“อั้ม” ซึ้ง แม่ “พิงค์กี้” ป้องแมนเต็มร้อย หลังลือที่เลิกเพราะฝ่ายหญิงจับได้ว่าไม่แมน รับ เป็นห่วงอดีตแฟนสาว เพราะหลังจากประกาศถอยห่างสภาพจิตแย่ จนกินข้าวไม่ได้หลายวัน พร้อมบอก ไม่หวงหากพิงค์กี้จะเปิดโอกาสศึกษาดูใจหนุ่มคนใหม่
หลังจากหนุ่ม “อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์” ออกมาประกาศถอยห่างความสัมพันธ์กับสาว “พิงค์กี้ สาวิกา ไชยเดช” แล้วเกือบเดือน ล่าสุด ”นางสรินยา ไชยเดช” คุณแม่ของสาวพิงค์กี้ ก็ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่หนุ่มอั้มออกมายอมรับว่ารักร้าวกันแล้วนั้น ก็เล่นเอาลูกสาวกินข้าวไม่ได้ไปหลายวัน พร้อมบอกถึงชนวนที่ทั้งสองคนไปกันไม่ได้ เนื่องจากทั้งคู่งอนกันนานเกินไป จนจูนกันไม่ติด ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพิงค์กี้จับได้ว่าแฟนหนุ่มเป็นเกย์อย่างแน่นอน ทั้งยังยืนยันอีกว่าหนุ่มอั้มแมนร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งทันทีที่เจ้าตัวทราบข่าว ก็ถึงกับตื้นตันที่คุณแม่ของอดีตแฟนสาวออกมาปกป้องในครั้งนี้
“อันนี้ก็ไม่ทราบเพิ่งได้ยินเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะน้องเขาทำงานหนักรึเปล่า ยังไงก็ยังเป็นห่วงถ้าเกิดเขาผอมหรืออะไรไป ก็อยากจะให้เขาทานเยอะๆ ให้เขาดูแลตัวเอง เขาอาจจะทำงานหนักด้วยช่วงนี้”
“ก็มันอาจจะมีส่วนเพราะผมเชื่อว่าการที่เราจะต้องเป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้ดีต่อสภาพจิตใจของใครเลยก็ตาม เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องรู้สึกเสียใจกันบ้างมันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ยังไม่ได้คุยกับคุณแม่เลยเลย แต่คิดว่าเร็วๆ นี้คงจะได้มีโอกาสขอคุยกับคุณแม่ ก็คงจะทักทายคุณแม่เพราะว่าคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องคุยกับคุณแม่ก่อน”
“ช่วงแรกๆมันก็ต้องมีอยู่แล้วเรื่องของคนสองคนถ้ามันมีอะไรสักอย่างซึ่งมันไม่สามารถไปกันได้ ซึ่งเราเองก็พยายามแล้ว ผมว่าจริงมันก็ต้องเฮิร์ทอยู่แล้วเพราะเราเองก็พยายามทำเต็มที่อยู่แล้ว มีเฮิร์ทไหมมีเสียใจไหมมันก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้วแต่ว่าเราพยายามฝืนต่อไปบางทีความเฮิร์ทความเสียใจมันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น มันทำร้ายกันเองรึเปล่าผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแบบนั้น”
หลังจากที่แม่ของ “สาวพิงค์กี้” ออกมาเผยถึงความสาเหตุของการเลิกกันครั้งนี้เกิดจากการงอนกันจนทิ้งระยะเวลานานเกินไปทำให้กลับมาจึงกันไม่ติดนั้น ด้านหนุ่มอั้ม เผยไม่สามารถระบุสาเหตุของการยุติความสัมพันธ์กับแฟนสาวได้บอกเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นที่จะเข้าใจ
“จริงอย่างที่บอกว่ามันหลายๆส่วนมาก ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าหนึ่งเพราะอะไรสองเพราะอะไรคือรวมๆ แล้วทุกอย่างมันทำให้ต้องมาถึงจุดนี้ คืออย่างน้อยถ้าทุกอย่างต่อจากนี้ไปผมรู้สึกเชื่ออย่างนึงว่าการที่คนเราสองคนคบกันหรือรู้สึกดีๆ ต่อกัน อย่างน้อยถ้าเกิดวันนึงความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไปเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อยแต่มันยังรู้สึกดีๆ ต่อกัน มันก็ยังสวยงามกว่าการที่เรามานั่งฝืนตัวเองต่อไปอีก มันทำร้ายกันแล้วมันจะแย่ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้เราไม่โกรธ ไม่เกลียดกันดีกว่า คือตอนนี้ผมพอใจที่จะอยู่คนเดียวแบบนี้”
“มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่ประกอบกันหลายๆ อย่าง จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของความเข้าใจบางทีการที่เราจะอธิบายเรื่องของคนสองคนให้คนอื่นเข้าใจ บางทีมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากเหมือนกัน ผมเชื่อว่าทุกคนที่มีคู่ที่มีความรักน่าจะเข้าใจกันว่าจริงๆแล้วบางอย่างมันก็ไม่สามารถอธิบายกันได้ หรือว่าบางทีที่เราพยายามกันแล้วแต่ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่มันพยายามไปนั้นมันเป็นยังไง แล้วเราสามารถปรับเปลี่ยนมันได้มากน้อยแค่ไหน มันอยู่ข้างในกันจริงๆ”
“ถามว่าจะใช้คำว่าเลิกกันแล้วได้ไหมจริงๆแล้วคำจำกัดความหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ซึ่งมันอาจจะมีคำนั้นมันก็เป็นเหมือนการทำร้ายความรู้สึกความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับผมและน้อง ผมไม่อยากจะใช้คำว่าอะไรแต่ผมอยากจะบอกว่ามันมีเวลาที่คนสองคนได้มีอิสระที่จะทำอะไรเป็นของตัวเอง ได้ไปทำอะไรก็แล้วแต่ วันนึงน้องอาจจะไปเจอใครที่ดีกว่าผม วันนึงน้องอาจจะมีโอกาสได้ศึกษาคนที่ดีกว่าผมซึ่งมันก็เป็นอิสระของน้องเขาซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดกับใครผมว่าอย่างนี้มันก็น่าจะโอเคกันกว่า ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบหรอกนะแต่ไม่อยากพูด มันเป็นเรื่องของความรู้สึกซึ่งมันตอบยากเพราะทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์อันไหนผมพูดได้ผมก็จะพูด อันไหนที่มันพูดยากมันก็พูดยากจริงๆ”
ส่วนที่แม่ของสาวพิงค์กี้ ออกมาปกป้องหนุ่มอั้ม ถึงสาเหตุของการเลิกกันไม่ใช่เพราะลูกสาวของตนทราบแล้วว่าเป็นเกย์แน่นอน ทั้งยังยันอีกว่าหนุ่มอั้มแมนเต็มร้อย ทำเอาเจ้าตัวถึงกับซาบซึ้งที่ครอบครัวอดีตแฟนสาวยังเอ็นดูเสมอมา ซึ่งเป็นสิ่งที่จะไม่มีวันลืม
“คือจริงๆ แล้วผมเชื่อว่าการที่คนเราสองคนเลิกกันมันจะต้องมีคนคิดไปต่างๆ นานาว่าเป็นด้วยสาเหตุนู่นนี้รึเปล่า คนอื่นรึเปล่า สาเหตุเพราะว่าสร้างภาพกันมาพอแล้วรึเปล่า หรือสาเหตุเพราะว่าเป็นเกย์รึเปล่าซึ่งจริงๆสาเหตุทุกสาเหตุผมเคลียร์ชัดเจนมาตั้งนานแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเหตุพวกนี้น่าจะตัดทิ้งไปได้เลย คือผมอยากจะขอร้องพี่ๆทุกๆ คนว่ามันเป็นเรื่องซึ่งละเอียดอ่อนมาก แล้วเรื่องแบบนี้ให้มันจบที่คนสองคน มันเป้นความรู้สึกจริงๆซึ่งมันไม่มีใครดีใจหรือยินดีกับสิ่งที่มันเป็นแบบนี้ ฉะนั้นผมขอความกรุณาว่ายังไงก็อย่าให้ผมสองคนเกิดความรู้สึกไม่ดีกันภายหลังเลย”
“อย่างที่ผมบอกทุกคนเวลาที่ผมเอ่ยถึงความครัวของน้องทั้งคุณพ่อของน้องเองทั้งคุณแม่ของน้องเองคือทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ แล้วผมโชคดีมากๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ของน้องให้ความเอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานคนนึง รักผมแล้วก็เอ็นดูผมแล้วก็ดูแลผมเป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นพระคุณที่ยังติดอยู่ในใจผมตลอดเวลาไม่ว่าผมจะยังไง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณแม่แต่ว่าผมก็ยังได้รับความเอ็นดูตรงนั้น คุณแม่ก็คอยปกป้องผมตลอดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผมก็ต้องกราบขอบพระคุณคุณแม่กับคุณพ่อของน้องจากใจจริง ซึ่งอย่างที่บอกว่าพูดกันตรงๆ พูดกันจริงๆ ชัดๆ ว่าอะไรมันเป็นยังไง แต่บางทีคำตอบที่ได้ยินมันก็อาจจะไม่ใช่เป็นก้อนอย่างที่ต้องการกันว่ามันเป็นยังไงแบบไหน แต่ว่าทุกอย่างมันรวมเป็นคำตอบแบบนี้แหละครับ”
เปิดทางให้หนุ่มๆ สามารถเข้ามาจีบสาวพิงค์กี้ ได้บอกเป็นสิทธิ์ของอีกฝ่ายที่จะศึกษาใคร
“มันก็เป็นอิสระของน้องเขาวันนึงเขาก็ต้องมีคนเข้ามาดูแลทั้งตัวน้องเองแล้วก็ครอบครัวของน้องเอง เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเปิดโอกาสให้ใครหรือว่าศึกษาใครก็ได้ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของน้องเขา”
“ทุกวันนี้เราไม่ได้คุยกันเลย อาจจะต้องมีการทักทายกันบ้างเป็นเรื่องปกติเพราะเราไม่ได้โกรธไม่ได้ทะเลาะอะไรกันซึ่งมันรุนแรงจนคุยกันไม่ได้”