“หมอกฤษฏ์” รอเก้อ “ลีเดีย” ไม่มาไกล่เกลี่ยเป็นรอบที่3 เจ้าตัวหวังอยากให้ตกลงกันได้ด้วยดี ก่อนเหน็บอีกฝ่ายไม่ให้เกียรติ เคลียร์ ฟ้องกลับเพราะรักษาสิทธิ์ ไม่ใช่แก้เกี้ยวหรือบีบให้อีกฝ่ายถอนฟ้อง ยันอีกรอบศาลรับฟ้องแล้ว ลั่น หากชนะได้ 200 ล้านจะทำบุญให้หมด
ยังคงยืดเยื้อ สำหรับคดีที่นักร้องสาว “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา” ฟ้อง “ศุภฤษฏ์ ปทุมศรีวิโรจน์” หรือ “หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม” ในข้อหาหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จากการที่หมอดูคนดังทำนายว่านักร้องสาวดวงมีเกณฑ์ท้อง ล่าสุดวันนี้ (17) ศาลได้นัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ย ที่ศาลแพ่ง จังหวัดนนทบุรี แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากตกลงกันไม่ได้ ศาลนัดไกล่เกลี่ยอีกที ใน เดือนพ.ค.และ มิ.ย.ปี 53
โดยในวันนี้หมอกฤษฏ์เดินทางมาพร้อมครอบครัว และทนาย “สาคร สิริชัย” ขณะที่ทางฝั่งนักร้องสาวลีเดียไม่มาเป็นครั้งที่ 3 ด้านหมอดูคนดัง หลังจากเข้ารับฟังการพิจารณาไกล่เกลี่ยแล้ว ก็ได้ควงทนายออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ด้วยสีหน้าเรียบเฉยถึงการไกล่เกลี่ยที่ล้มเหลวครั้งที่3 ว่า...
ทนาย : “วันนี้ศาลให้พิจารณาแล้ว เป็นเรื่องว่าไม่สามารถจะไกล่เกลี่ยกันได้ เลยนัดชี้สองสถาน นัดสืบพยานโจทย์ในปีหน้า ปี 53 สืบพยานโจทย์ 13 ปาก ถกนัดสืบพยานปากจำเลย 6 ปาก สองนัด ในเดือนพ.ค.และ มิ.ย.53
ส่วนคดีที่หมอกฤษฏ์ฟ้องคุณลีเดียที่ศาลอาญาจะมีการไกล่เกลี่ยกัน วันที่ 23 มี.ค. บ่ายโมงครึ่ง 13.30 น. ถ้าหากจะไกล่เกลี่ยกันคงจะไปรวมกันในคดีนั้นเลย และก็จะมีการนัดไต่สวนวันที่ 20 เมษายน ส่วนคดีแพ่งจะมีการนัดในวันที่ 18 พ.ค. 9 โมงเช้าเป็นคดีที่ฟ้องคุณแม่ของคุณลีเดีย 100 ล้านบาท ที่ศาลแพ่ง นัดพร้อมกัน”
“ทางฝ่ายเราก็มีเจตนารมณ์อยากไกล่เกลี่ยเพื่อให้จบลงกันด้วยดี เนื่องจากเป็นคดีที่ต่างคนต่างฟ้องกันถ้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งจบก็น่าจะจบหมด แต่เรามีความคิดเห็นที่จะไกล่เกลี่ยอย่างนั้นอยู่แล้วครับ
หมอกฤษฏ์ส่วนตัวผมก็อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนไทย ถ้าเกิดมีโอกาสที่ได้คุยกัน ผมคิดว่ามันน่าจะมีทางออกที่ดีได้ ยังไงมันก็คงต้องรอเวลาครับ”
หมอกฤษฏ์ : “ถามความมั่นใจ คือเราก็สู้ตามหลักฐานที่เรามีครับ ว่าผมไม่ได้ไปทำอะไร ถ้าถามว่าหนักใจมั้ย ทุกคนแหละครับ มันก็ต้องมีกันบ้าง แต่ถ้าถามว่าผมหนักใจมั้ย ผมก็เชื่อในกระบวนการยุติธรรม และความศักดิ์สิทธิ์ของศาล ว่าศาลเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ซึ่งผมก็เป็นคนจนนะ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีทางอื่นนอกจากจะขอความอนุเคราะห์ และขอความยุติธรรมจากศาล เพราะศาลเป็นที่พึ่งของงประชาชน”
โต้ ข่าวที่ออกมาว่าศาลไม่รับฟ้องคดีที่หมอกฤษฏ์ฟ้องกลับนักร้องสาวลีเดีย ไม่เป็นความจริง
ทนาย : “ที่อุทธรณ์ไปวันที่ 10 มีนาคม ศาลรับอุทธรณ์ไปแล้ว อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของในกรณีที่เป็นข่าวว่าฟ้องที่ศาลแขวงปทุมวันใช่ไหมครับ คดีนั้นคือคดีที่หมอกฤษฏ์ฟ้องทั้งสามคดี ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของศาลอยู่ ยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ถึงที่สุด ศาลแขวงปทุมวันรับอุทธรณ์แล้ว ที่ข่าวลงว่าศาลยกฟ้องทั้งสองร้อยล้านไม่เป็นความจริงครับ”
หมอกฤษฏ์ : “เพราะว่าคดีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคดีในศาลแขวง คดีนี้อยู่ในศาลแขวงเล็กๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสองร้อยล้านแต่อย่างใด”
ทนาย : “สองร้อยล้านอยู่ในศาลอาญาและศาลแพ่งครับ”
ทนาย : “ที่ศาลยังไม่รับฟ้องเพราะหลักฐานยังไม่สมบูรณ์หรือเปล่านั้น คือเรื่องนี้เป็นความเห็นในมุมของศาล ในการที่ทนายบรรยายฟ้อง เราก็บรรยายตามสื่อต่างๆ ซึ่งมันค่อนข้างแพร่หลาย ซึ่งเราจะหาหลักฐานเกินเลยกว่านั้นก็ไม่ได้ เหตุการณ์นี้บรรยายไปเพราะทางนักกฎหมายมีความคิดว่ามันน่าจะตรงตามมาตรา 39 แล้วแต่เมื่อศาลมีความเห็นอย่างนั้นเราก็ต้องเคารพ แต่เราก็มีความเห็นแตกต่าง เลยฟ้องอุทธรณ์ ก็เป็นเรื่องปกติของการพิจารณาของศาลไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เรื่องหนักใจครับ”
ส่วนโอกาสที่ลงขอโทษในสื่ออย่างที่เคยพูดไว้ ทนายเผยว่า....
ทนาย : “เดี๋ยวขอดูผลการเจรจาในวันที่ 23 มี.ค.ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร แต่เราก็จะพยายามหาทางออกให้ดีที่สุด เราเป็นคนไทย ให้มันจบกันด้วยดีกันทั้งสองฝ่าย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ประกอบอาชีพบันเทิง อยากให้คนไทยมีความสุข”
หมอดูลั่นอยากสงบศึก หาทางออกที่ต่างฝ่ายต่างพอใจ
หมอกฤษฏ์ : “จริงๆ แล้วมันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวน้องเขาด้วยครับ ผมมานั่งคุยกันได้ แล้วจะมาคุยกันได้ทั้งสองฝ่าย คือคนไทยครับ เหมือนกับประเทศเราก็มีการทะเลาะกันอยู่แล้ว เราก็ทำงาน เหมือนเราเปิดร้านอะไรสักอย่าง แล้วเราทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นมันก็มีผลกระทบทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าตกลงกันได้ ต่างฝ่ายต่างโอเค เรื่องมันก็ตกลงกันได้ เพราะว่าเราก็คนไทยด้วยกัน แต่ประเด็นคือข่าวที่ลงมาในหลายวันที่ผ่านมา ที่บอกว่าศาลยกฟ้องคดีทั้งหมด หรือศาลยกฟ้องทั้งแพ่งทั้งอาญายกฟ้องทั้งหมด 200 ล้านมันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
ทนาย : “ในการดำเนินคดีทุกครั้งทางฝ่ายหมอกฤษฏ์มาศาลด้วยตัวเอง แล้วเราก็คงจะต้องไปศาลทุกนัด เราให้ความสำคัญในกระบวนการพิจารณาของศาล เพื่อการพิจาณาของเรา เราควรไปศาลด้วยตนเอง”
หมอกฤษฏ์ : “อย่างที่ผมบอกว่ามีข่าวออกไปว่า ผมฟ้องเป็นจำนวนเงินมากๆ เป็นจำนวน 200 ล้าน คือผมคิดว่าในส่วนตรงนี้ถ้าเกิดการไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ และฟ้องร้องกันในที่สุดไม่ว่าศาลจะพิจารณาว่าจะได้เงินค่าเสียหายเท่าไหร่ เงินตรงนี้จะไม่เข้ากระเป๋าผมเลย แม้แต่บาทเดียว ผมจะไปสร้างวัด จะบริจาคตามมูลนิธิที่เกี่ยวกับโรคเอดส์ แล้วก็เกี่ยวข้องกับคนพิการทั้งหมดเลยนะครับ”
“ถ้าในเมื่อคำพูดที่ทางฝ่ายน้องลีเดียคิดว่า คำพูดที่ผมพูดทำนายดวงไปเป็นการที่ผิดต่อเขา เพราะฉะนั้นผมก็ถือว่าการที่น้องเขาพูดถึงผมออกทางทีวีก็เป็นเหมือนหมิ่นประมาทผมมากเช่นเดียวกัน ซึ่งก็สามารถไปดูได้ว่าน้องเขาพูดมีรายละเอียดอย่างไร “
“เรื่องดูดวงตัวเอง จริงๆ ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมเคยดูว่าตัวเองจะเกิดเรื่องร้ายๆ เรื่องของคดีความ แต่เราก็ทำนายไปตามดวงนะครับ ซึ่งหมอฟันยังไม่อาจถอนฟันให้ตัวเองได้ เพราะฉะนั้นการดูดวงเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราอาจจะไม่รู้แน่ใจว่าเกิดจากอะไร แต่ว่ารู้ครับ ผมรู้ล่วงหน้า แต่จะชนะหรือเปล่า ตรงนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล แต่ผมก็เชื่อในความยุติธรรมของศาล ว่ามีความยุติธรรมให้กับประชาชนทั่วไป มันก็เป็นแนวโน้มที่ดีครับ ปี 53 คงจะดีขึ้นจะแพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลครับ”
ถามถึงความรู้สึกทุกครั้งที่ศาลนัดไม่เคยเจอคู่กรณีเลยสักครั้ง เจ้าตัวบอกว่าส่วนตัวให้เกียรติอีกฝ่าย ด้วยการด้วยมาตัวเองทุกครั้ง แต่ทางฝั่งสาวลีเดียกลับไม่ใช่
หมอกฤษฏ์ : “อย่างที่บอก ผมอยากจะคุยกัน แต่ว่าครอบครัวผมมาหมด แต่ทางฝั่งน้องไม่เคยมาสักครั้งหนึ่ง ก็ถ้าเกิดได้มีโอกาสได้เจอกันสักหน่อยก็ดี เพราะผมถือว่าที่ผ่านมาผมให้เกียรติทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่มาศาล ผมมาทุกครั้ง ทุกนัด ผมถือว่าผมให้เกียรติทางน้องเขา ให้เกียรติทางศาล และให้เกียรติตัวผมเอง แต่อย่างที่บอก สิ่งที่เจอมาทางฝ่ายน้องเขาก็ไม่มา
“ก็สามนัดแล้วครับ นัดครั้งที่สี่ก็ไม่รู้ว่าจะมาหรือเปล่า ถ้าเกิดไม่มาก็สี่นัดแล้ว สมมตินะครับ ถ้าเกิดผมไปมีเรื่องกับใครแล้วนัดกันแล้วเขาไม่มา ให้คนอื่นมาแทน เสร็จแล้วก็ไปออกข่าวว่าผมไปทำอย่างนู้นอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นใจของทางนู้นเอง จะเป็นอย่างไร เวลามีปัญหากับใครสักคน แล้วเขาไม่มา ส่งคนมาแทนซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ จะเป็นอย่างไร คนในครอบครัวก็ไม่ใช่ แล้วจะคิดยังไง (เป็นไปได้มั้ยที่ทางโน้นไม่อยากไกล่เกลี่ย?)คือจริงๆ คดีนี้เขาก็ควรจะมานะ คือตามหลักพยานจำเลยจริงๆ ต้องมา”
ปฏิเสธฟ้องแก้เกี้ยวเพื่อบีบให้อีกฝ่ายถอนฟ้อง
หมอกฤษฏ์ : “สำหรับผมเรียนตรงๆ ว่าไม่ได้แก้เกี้ยวจริงๆ ครับ และอย่างที่ผมบอกว่า ที่ฟ้องน้องเขาเพราะมันเด่นชัดมาก คือหมิ่นประมาทแน่ คือแมทธิวพูดมาก็รู้ดีกันอยู่ว่าเขาพูดว่าอะไร แล้วคนที่ได้ฟังจะมองว่าหมิ่นประมาทมั้ยครับ เอาแค่นี้พอ”
ทนาย : “ดูในใบคำฟ้องได้เลยครับ”
หมอกฤษฏ์ : “ไม่ได้บีบให้ถอนฟ้องครับ เรารักษาสิทธิ์ครับ เราแค่ต้องการรักษาสิทธิ์ของเรา สมมติว่าผมเดินไปเหยียบเท้าเด็กคนหนึ่งแล้วมีแม่ของเด็กคนนั้นมาหาผม แล้วบอกว่า กราบเท้าเดี๋ยวนี้ มาเหยียบเท้าลูกฉัน ซึ่งเท้าเนี่ยเป็นสิ่งที่ต่ำที่สุดแล้ว มือกับเท้า คือขอโทษนะครับ เอามือตบ กับเท้าถีบ ความรู้สึกต่างกันมั้ยครับ กราบฉันสิ กับ กราบตีนชั้นสิ ความรู้สึกต่างกันมั้ยครับ ผมตอบเลยนะครับว่าผมเป็นผู้ชาย คำว่ากราบตีนถือว่าค่อนข้างรุนแรง ถ้าเกิดอยู่กันแค่สองคน ไม่ใช่ปัญหา แต่นี่ภาพออกไป คนในประเทศรู้ แม้แต่ต่างประเทศยังเอาไปลงเลยครับ เรื่องนี้มันไปถึงต่างประเทศเลยนะครับ”
กับเรื่องที่สาวลีเดียบอกว่า หมอกฤษฏ์ทำแบบนี้เหมือนเป็นการรังแกเพศแม่ เจ้าตัวบอกว่า...
หมอกฤษฏ์ : “โห...แล้วผมล่ะครับ เป็นเด็กตัวเล็กๆ คุณพ่อไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีเงินร้อยล้านพันล้านด้วย ครอบครัวผมเป็นครอบครัวคนจน ผมถามหน่อย ถ้าผมโดน 50 ล้าน ถือเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ครับ บ้านผมก็ไม่ได้หลังใหญ่โต แค่หลังเล็กๆ รถผมก็มีน้อยนิดมาก ผมไม่ได้ขับรถคันละหลายสิบล้าน บ้านผมก็หลังละไม่กี่แสน ไม่กี่ล้าน”
“ผมอยากถามกลับว่าผมไม่ได้ไปแถลงข่าวนะครับ ว่าดวงมันเป็นแบบนี้แบบนั้น ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่ละครั้งก็มีไมค์ทั้งนั้น แล้วก็ยิงคำถามมาว่าดวงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ผมก็ตอบไปตามนั้น แค่นั้นเองครับ แต่อย่างที่บอกเรียกผม 50 ล้าน แล้วผมก็โดนออกทีวี ทุกคนก็เห็นว่า ผมโดนอะไรบ้าง โอเค อย่างไรมันก็จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม คือเราไปทำงาน แล้วเราก็ต้องมาเจอแบบนี้อีก เจอเหตุการณ์ เอ้า กราบตีน แล้วผมถามครับ งานอีเว้นท์ที่ไหนจะจ้างผม มันเหมือนกับว่าพอผมไปออกงานเดี๋ยวก็โดนอีก เจอแบบนี้อีก เพราะฉะนั้น มันก็มีผลกระทบค่อนข้างมากครับ”