ASTVผู้จัดการรายวัน - "21 พันธมิตรฯ" ส่งทนายความขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนเป็น 30 มี.ค. เหตุตำรวจออกหมายเรียกกระชั้นชิดเกินไปเตรียมตัวไม่ทัน พร้อมเตรียมหารือเปลี่ยน “สุชาติ-อำนวย-ภาณุพงษ์” พ้นทีมสอบสวน หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้าน "อำนวย" คุยโวทำงาน 30 ปีเป็นกลางตลอด พร้อมให้โอกาสพันธมิตรฯเลื่อนได้ ส่วนคดีเสื้อแดงทำร้ายทหารเสนอหมายจับวันนี้ ด้านสำนักนายกฯมอบทนายถอนฟ้องคดีขับไล่พันธมิตรฯพ้นทำเนียบฯวันนี้เช่นกัน
เมื่อบ่ายวานนี้ (2 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความตัวแทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกออกหมายเรียกจากเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 จำนวน 21 คน ประกอบด้วย 1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 2.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 3.นายสุริยะใส กตะศิลา 4.นายสำราญ รอดเพชร 5.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 6.นายวีระ สมความคิด 7.นายกิตติชัย ใสสะอาด 8.นายสุชาติ ศรีสังข์ 9.นายพิภพ ธงไชย 10.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 11.นายอมร อมรรัตนานนท์ 12.นายศิริชัย ไม้งาม 13.นายพิชิต ชัยมงคล 14.นายอำนาจ พละมี 15.นายประยุทธ วีระกิตต์ 16.นายสมบูรณ์ ทองบุราน 17.นายประพันธ์ คูณมี 18.นายพิเชฐ พัฒนโชติ 19.นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี 20.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และ 21.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ในฐานะคณะพนักงานสอบสวน เพื่อยื่นหนังสือขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหา ของผู้ต้องหาทั้ง 21 ราย
ตร.ออกหมายเรียกกระชั้นชิด
นายนิติธร กล่าวว่า หลังทราบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 21 รายและมีรายละเอียดให้ผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าพบตั้งแต่วันที่ 2-5 มี.ค.แต่จนขณะนี้ผู้ต้องหาส่วนมากยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่ก็มีความประสงค์จะพบพนักงานสอบสวนและพร้อมจะต่อสู้คดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนและจะขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนจากวันดังกล่าวเป็นวันที่ 30 มี.ค.เวลา 09.00 น.โดยทั้งหมดจะเข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมกัน ซึ่งส่วนนี้ต้องดูว่าพนักงานสอบสวนจะพิจารณาตามคำร้องหรือไม่
ส่วนระยะเวลาที่ขอเข้าพบพนักงานสอบสอบสวนจะยาวนานไปหรือไม่นั้น นายนิติธร กล่าวว่า ส่วนนี้ผู้ต้องหามีสิทธิ์ขอเลื่อนหากติดธุระเนื่องจากการออกหมายเรีบยกนั้นก็ออกมาในระยะกระชั้นชิดมาก ไม่สามารถเตรียมตัวทันและพนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกได้อีกครั้ง และดูจากระยะเวลาแล้วไม่นานเกินไปอีกทั้งผู้ต้องหาทั้งหมดจะเดินทางเข้าพบในวันเดียว จึงเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการได้เรียบร้อยในวันเดียว
นายนิติธร กล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนมี พล.ต.ท.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ด้วยว่า ในส่วนของผู้ต้องหาจะมีการปรึกษากัน เนื่องจากโดยหลักแล้วหากพนักงานสอบสวนมีส่วนได้เสียในคดีก็อาจจะทำให้เกิดอคติในการทำคดีได้ หรือการใช้ดุลยพินิจเกิดการโน้มเอียงได้ เพราะฉะนั้นตามหลักกฎหมายทั่วไปสามารถทำได้เพราะเป็นสิทธิของผู้ต้องหา
“การขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้นไม่ได้มีการกำหนดว่าให้ผู้ใด เนื่องจากขณะนี้เป็นเพียงความเห็นของผู้ต้องหาบางท่านเท่านั้น แต่ส่วนที่หารือเข้ามาที่ฝ่ายกฎหมายยังไม่ได้หารือเรื่องนี้และการที่ขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีส่วนกับเหตุการณ์ เช่น เป็น ผบ.เหตุการณ์ แม้ทาง ป.ป.ช.จะยังไม่ชี้มูล แต่ก็เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้นของผู้ต้องหายังไม่ใช่มติของทั้งหมด ซึ่งคงจะต้องหารือเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง” นายนิติธร กล่าว
"อำนวย"โวเป็นกลางให้ พธม.เลื่อน
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวภายหลังการประชุมพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม สน.ดุสิต สน.นางเลิ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการชุมนุม เพื่อเร่งรัดคดีเกี่ยวกับการชุมนุมว่า ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนในพื้นที่ที่มีการชุมนุมบ่อยครั้ง ประชุมเร่งรัดสำนวนค้าง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง หรือ นปช. หรือพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคดีอยู่และยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น โดยการประชุมเป็นการเร่งรัดในทุกเรื่องไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยได้สั่งเร่งรัดติดตาม ซึ่งผลการดำเนินการมีความพอใจในระดับหนึ่ง ที่ค้างอยู่นั้นเนื่องจากต้องรอผลตรวจพิสูจน์ หรือเพิ่มเติมประเด็นการสอบสวน โดยทำไปพร้อมๆ กันทั้งสองกลุ่ม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ก็จะเรียกพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง สน.หนองจอก และ สน.ลาดกระบัง มาประชุมด้วย ส่วนคดีที่สนามบินสุวรรณภูมินั้นเป็นหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงกรณีที่ทนายความตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยอ้างว่ากระชั้นชิดและไม่มีเวลาเตรียมพยานหลักฐานที่จะหักล้างข้อกล่าวหาว่า เบื้องต้นได้นำเสนอไปยัง พล.ต.ท.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และจากการพูดคุยจะมากันครบในวันที่ 30 มี.ค.ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
“ส่วนที่มีการยื่นขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น ผมยืนยันว่าตั้งแต่เป็นตำรวจและอาจารย์มาได้สั่งสอนพนักงานสอบสวนว่าให้กระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและเป็นกลาง อย่าไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง และผมก็ยืนอยู่จุดนี้มาโดยตลอด และดำเนินการกับทุกฝ่ายไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะบ้านเมืองมีขื่อมีแป ไม่อยากให้กฎหมายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนน้ำหมึกไม่ได้ ผมทำงานมากว่า 30 ปี ในสายสอบสวน ผมไม่เคยถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าผมไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม คิดผิด คิดใหม่ได้”
หมายจับเสื้อแดงทำร้ายทหารวันนี้
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงคดีกลุ่มเสื้อแดงทำร้ายทหารด้วยว่า ได้ให้ผู้เสียหายดูภาพถ่ายและยืนยันแล้ว คาดว่าวันนี้ (3 มี.ค.)จะสามารถขออนุมัติขอหมายจับและดำเนินการตามกฎหมายได้ ส่วนนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าตำรวจดำเนินการกับทุกกลุ่มทุกสีเสื้อ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองตนจะออกมาเตือนทุกครั้งว่าต้องชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง เพื่อจะไม่ให้มีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า พนักงานสอบสวนได้นำภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดและจากกล้องวิดีโอต่างๆ ที่บันทึกได้ให้ ส.อ.อำนวย ทองรินทร์ ทหารประจำกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ที่ตกเป็นผู้เสียหายตรวจสอบแล้ว และยืนยันชี้ตัวผู้ต้องหาที่รุมทำร้ายซึ่งจำหน้าได้เพียง 1 คนเป็นชายที่ร่วมกันรุมทำร้ายและหน่วงเหนี่ยวกักขัง ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นใครมาจากไหน และจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับบุคคลดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายยืนยันชี้ตัวเพียงคนเดียวเท่านั้นจากบุคคลที่ปรากฏในภาพจำนวนหลายคนเราก็พร้อมดำเนินการ
สำนักนายกฯถอนฟ้องคดีไล่ที่ พธม.
นายเมธี ใจสมุทร ทนายความของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผยถึงคดีที่นายลอยเลื่อน บุญนาค รองเลขาธิการนายกฯเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพร้อมผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เรื่องละเมิดขับไล่ออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า ตนได้เตรียมยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลแพ่งวันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 09.00 น. ซึ่งศาลได้นัดสืบพยานโจทก์คดีดังกล่าวไว้ เนื่องจากสำนักเลขาธิการนายกฯ โจทก์เห็นว่าจำเลยได้ย้ายออกจากทำเนียบฯ รวมทั้งเปิดเส้นทางจราจรบริเวณสะพานมัฆวานฯ ถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนินทุกช่องจราจรตามปกติแล้ว ดังนั้น เหตุแห่งความเดือดร้อนในการฟ้องคดีได้หมดสิ้นไปไม่มีเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับคดีอีก โดยคดีนี้ไม่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วยจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีต่อไปตนจึงเตรียมยื่นคำร้องขอถอนฟ้องให้ศาลพิจารณา
อนึ่ง สำหรับคดีนี้ยื่นฟ้องเมื่อ 27 ส.ค.51 หลังจากพันธมิตรฯนำผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายจากสะพานมัฆวานฯ ไปปักหลักอยู่ในทำเนียบฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.51 เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยขอให้ศาลมีคำสั่งขับไล่จำเลยทั้ง 6 และประชาชนผู้ร่วมชุมนุมออกจากทำเนียบฯ และรื้อถอนเวทีปราศรัย สิ่งกีดขวางทั้งหมดออกจากทำเนียบฯ พร้อมทั้งให้เปิดถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนิน เพื่อให้คณะรัฐมนตรี และข้าราชการสามารถปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯได้ โดยศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กลุ่มพันธมิตรฯออกจากพื้นที่
แต่ภายหลังกลุ่มพันธมิตรฯได้ยื่นขอให้ศาลงดการบังคับคดีขับไล่ที่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินการตามหมายบังคับคดีโดยไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ส.ค.51 ศาลแพ่งจึงได้มีคำสั่งงดการบังคับคดี และต่อมาในภายหลังกลุ่มพันธมิตรฯได้ย้ายสถานที่ชุมนุมจากทำเนียบฯ ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ เพื่อขับไล่รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ศาลแนะ"ตี๋"ไกล่เกลี่ยคดีฟ้อง"สุรพล"
เวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.4884/2551 ที่นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ “ตี๋ ชิงชัย” ศิลปินกู้ชาติ ที่สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก สตช., บริษัท ข่าวสด, นายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นสพ.ข่าวสด และนายเผด็จ ภูรีปติภาน คอลัมนิสต์ นสพ.ข่าวสด เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีจำเลยที่ 1 แถลงข่าวชี้แจงการสลายการชุมนุมฯ ทำนองว่าผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวพกพาอาวุธเข้าไปเองโดยมีภาพโจทก์ถือระเบิดอยู่ในมือ และจำเลยที่ 2-4 นำไปตีพิมพ์เผยแพร่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 ต.ค.51
ทั้งนี้ ศาลเห็นว่าคดีมีทางยอมความกันได้จึงแนะนำให้คู่ความไกล่เกลี่ยกัน และนำคดีเข้าสู่กระบวนการประนอมข้อพิพาท ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพล แถลงว่ายังอยู่ระหว่างประสานพนักงานอัยการเพื่อเป็นทนายความว่าความให้ จึงของเลื่อนนัดออกไป ศาลสอบถามโจทก์ไม่คัดค้านจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อทำการไกล่เกลี่ยกันในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
เลื่อนไต่สวน"สนธิ"ฟ้องสามเกลอ
ขณะที่เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในคดีหมายเลขดำที่ อ.4883/2551 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นายก่อแก้ว พิกุลทอง ในฐานะผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT, บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด, นายสุรยงค์ หุณฑสาร รักษาการ ผอ.สถานีโทรทัศน์ NBT, นายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 28 – 29 ต.ค.51 เวลา 22.50-23.45 น.จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันจัดรายการ “ความจริงวันนี้ ” หมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่า โจทก์เป็นบุคคลล้มละลาย สร้างความเสียหายให้ประเทศโดยการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และเป็น กบฏ เป็นนักข่มขู่
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาเสมียนทนายได้แถลงว่าพนักงานอัยการซึ่งรับว่าความเป็นทนายให้กรมประชาสัมพันธ์ จำเลยที่ 7 ติดภารกิจไม่สามารถร่วมถามค้านพยานโจทก์ได้ จึงขอเลื่อนนัดออกไปก่อน ศาลสอบถามโจทก์ไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดไต่สวนออกไปเป็นวันที่ 14 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
เมื่อบ่ายวานนี้ (2 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความตัวแทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกออกหมายเรียกจากเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 จำนวน 21 คน ประกอบด้วย 1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 2.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 3.นายสุริยะใส กตะศิลา 4.นายสำราญ รอดเพชร 5.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 6.นายวีระ สมความคิด 7.นายกิตติชัย ใสสะอาด 8.นายสุชาติ ศรีสังข์ 9.นายพิภพ ธงไชย 10.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 11.นายอมร อมรรัตนานนท์ 12.นายศิริชัย ไม้งาม 13.นายพิชิต ชัยมงคล 14.นายอำนาจ พละมี 15.นายประยุทธ วีระกิตต์ 16.นายสมบูรณ์ ทองบุราน 17.นายประพันธ์ คูณมี 18.นายพิเชฐ พัฒนโชติ 19.นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี 20.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และ 21.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ในฐานะคณะพนักงานสอบสวน เพื่อยื่นหนังสือขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหา ของผู้ต้องหาทั้ง 21 ราย
ตร.ออกหมายเรียกกระชั้นชิด
นายนิติธร กล่าวว่า หลังทราบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 21 รายและมีรายละเอียดให้ผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าพบตั้งแต่วันที่ 2-5 มี.ค.แต่จนขณะนี้ผู้ต้องหาส่วนมากยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่ก็มีความประสงค์จะพบพนักงานสอบสวนและพร้อมจะต่อสู้คดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนและจะขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนจากวันดังกล่าวเป็นวันที่ 30 มี.ค.เวลา 09.00 น.โดยทั้งหมดจะเข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมกัน ซึ่งส่วนนี้ต้องดูว่าพนักงานสอบสวนจะพิจารณาตามคำร้องหรือไม่
ส่วนระยะเวลาที่ขอเข้าพบพนักงานสอบสอบสวนจะยาวนานไปหรือไม่นั้น นายนิติธร กล่าวว่า ส่วนนี้ผู้ต้องหามีสิทธิ์ขอเลื่อนหากติดธุระเนื่องจากการออกหมายเรีบยกนั้นก็ออกมาในระยะกระชั้นชิดมาก ไม่สามารถเตรียมตัวทันและพนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกได้อีกครั้ง และดูจากระยะเวลาแล้วไม่นานเกินไปอีกทั้งผู้ต้องหาทั้งหมดจะเดินทางเข้าพบในวันเดียว จึงเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการได้เรียบร้อยในวันเดียว
นายนิติธร กล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนมี พล.ต.ท.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ด้วยว่า ในส่วนของผู้ต้องหาจะมีการปรึกษากัน เนื่องจากโดยหลักแล้วหากพนักงานสอบสวนมีส่วนได้เสียในคดีก็อาจจะทำให้เกิดอคติในการทำคดีได้ หรือการใช้ดุลยพินิจเกิดการโน้มเอียงได้ เพราะฉะนั้นตามหลักกฎหมายทั่วไปสามารถทำได้เพราะเป็นสิทธิของผู้ต้องหา
“การขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้นไม่ได้มีการกำหนดว่าให้ผู้ใด เนื่องจากขณะนี้เป็นเพียงความเห็นของผู้ต้องหาบางท่านเท่านั้น แต่ส่วนที่หารือเข้ามาที่ฝ่ายกฎหมายยังไม่ได้หารือเรื่องนี้และการที่ขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีส่วนกับเหตุการณ์ เช่น เป็น ผบ.เหตุการณ์ แม้ทาง ป.ป.ช.จะยังไม่ชี้มูล แต่ก็เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้นของผู้ต้องหายังไม่ใช่มติของทั้งหมด ซึ่งคงจะต้องหารือเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง” นายนิติธร กล่าว
"อำนวย"โวเป็นกลางให้ พธม.เลื่อน
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวภายหลังการประชุมพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม สน.ดุสิต สน.นางเลิ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการชุมนุม เพื่อเร่งรัดคดีเกี่ยวกับการชุมนุมว่า ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนในพื้นที่ที่มีการชุมนุมบ่อยครั้ง ประชุมเร่งรัดสำนวนค้าง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง หรือ นปช. หรือพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคดีอยู่และยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น โดยการประชุมเป็นการเร่งรัดในทุกเรื่องไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยได้สั่งเร่งรัดติดตาม ซึ่งผลการดำเนินการมีความพอใจในระดับหนึ่ง ที่ค้างอยู่นั้นเนื่องจากต้องรอผลตรวจพิสูจน์ หรือเพิ่มเติมประเด็นการสอบสวน โดยทำไปพร้อมๆ กันทั้งสองกลุ่ม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ก็จะเรียกพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง สน.หนองจอก และ สน.ลาดกระบัง มาประชุมด้วย ส่วนคดีที่สนามบินสุวรรณภูมินั้นเป็นหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงกรณีที่ทนายความตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยอ้างว่ากระชั้นชิดและไม่มีเวลาเตรียมพยานหลักฐานที่จะหักล้างข้อกล่าวหาว่า เบื้องต้นได้นำเสนอไปยัง พล.ต.ท.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และจากการพูดคุยจะมากันครบในวันที่ 30 มี.ค.ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
“ส่วนที่มีการยื่นขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น ผมยืนยันว่าตั้งแต่เป็นตำรวจและอาจารย์มาได้สั่งสอนพนักงานสอบสวนว่าให้กระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและเป็นกลาง อย่าไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง และผมก็ยืนอยู่จุดนี้มาโดยตลอด และดำเนินการกับทุกฝ่ายไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะบ้านเมืองมีขื่อมีแป ไม่อยากให้กฎหมายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนน้ำหมึกไม่ได้ ผมทำงานมากว่า 30 ปี ในสายสอบสวน ผมไม่เคยถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าผมไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม คิดผิด คิดใหม่ได้”
หมายจับเสื้อแดงทำร้ายทหารวันนี้
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงคดีกลุ่มเสื้อแดงทำร้ายทหารด้วยว่า ได้ให้ผู้เสียหายดูภาพถ่ายและยืนยันแล้ว คาดว่าวันนี้ (3 มี.ค.)จะสามารถขออนุมัติขอหมายจับและดำเนินการตามกฎหมายได้ ส่วนนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าตำรวจดำเนินการกับทุกกลุ่มทุกสีเสื้อ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองตนจะออกมาเตือนทุกครั้งว่าต้องชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง เพื่อจะไม่ให้มีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า พนักงานสอบสวนได้นำภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดและจากกล้องวิดีโอต่างๆ ที่บันทึกได้ให้ ส.อ.อำนวย ทองรินทร์ ทหารประจำกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ที่ตกเป็นผู้เสียหายตรวจสอบแล้ว และยืนยันชี้ตัวผู้ต้องหาที่รุมทำร้ายซึ่งจำหน้าได้เพียง 1 คนเป็นชายที่ร่วมกันรุมทำร้ายและหน่วงเหนี่ยวกักขัง ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นใครมาจากไหน และจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับบุคคลดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายยืนยันชี้ตัวเพียงคนเดียวเท่านั้นจากบุคคลที่ปรากฏในภาพจำนวนหลายคนเราก็พร้อมดำเนินการ
สำนักนายกฯถอนฟ้องคดีไล่ที่ พธม.
นายเมธี ใจสมุทร ทนายความของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผยถึงคดีที่นายลอยเลื่อน บุญนาค รองเลขาธิการนายกฯเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพร้อมผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เรื่องละเมิดขับไล่ออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า ตนได้เตรียมยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลแพ่งวันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 09.00 น. ซึ่งศาลได้นัดสืบพยานโจทก์คดีดังกล่าวไว้ เนื่องจากสำนักเลขาธิการนายกฯ โจทก์เห็นว่าจำเลยได้ย้ายออกจากทำเนียบฯ รวมทั้งเปิดเส้นทางจราจรบริเวณสะพานมัฆวานฯ ถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนินทุกช่องจราจรตามปกติแล้ว ดังนั้น เหตุแห่งความเดือดร้อนในการฟ้องคดีได้หมดสิ้นไปไม่มีเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับคดีอีก โดยคดีนี้ไม่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วยจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีต่อไปตนจึงเตรียมยื่นคำร้องขอถอนฟ้องให้ศาลพิจารณา
อนึ่ง สำหรับคดีนี้ยื่นฟ้องเมื่อ 27 ส.ค.51 หลังจากพันธมิตรฯนำผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายจากสะพานมัฆวานฯ ไปปักหลักอยู่ในทำเนียบฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.51 เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยขอให้ศาลมีคำสั่งขับไล่จำเลยทั้ง 6 และประชาชนผู้ร่วมชุมนุมออกจากทำเนียบฯ และรื้อถอนเวทีปราศรัย สิ่งกีดขวางทั้งหมดออกจากทำเนียบฯ พร้อมทั้งให้เปิดถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนิน เพื่อให้คณะรัฐมนตรี และข้าราชการสามารถปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯได้ โดยศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กลุ่มพันธมิตรฯออกจากพื้นที่
แต่ภายหลังกลุ่มพันธมิตรฯได้ยื่นขอให้ศาลงดการบังคับคดีขับไล่ที่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินการตามหมายบังคับคดีโดยไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ส.ค.51 ศาลแพ่งจึงได้มีคำสั่งงดการบังคับคดี และต่อมาในภายหลังกลุ่มพันธมิตรฯได้ย้ายสถานที่ชุมนุมจากทำเนียบฯ ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ เพื่อขับไล่รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ศาลแนะ"ตี๋"ไกล่เกลี่ยคดีฟ้อง"สุรพล"
เวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.4884/2551 ที่นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ “ตี๋ ชิงชัย” ศิลปินกู้ชาติ ที่สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก สตช., บริษัท ข่าวสด, นายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นสพ.ข่าวสด และนายเผด็จ ภูรีปติภาน คอลัมนิสต์ นสพ.ข่าวสด เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีจำเลยที่ 1 แถลงข่าวชี้แจงการสลายการชุมนุมฯ ทำนองว่าผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวพกพาอาวุธเข้าไปเองโดยมีภาพโจทก์ถือระเบิดอยู่ในมือ และจำเลยที่ 2-4 นำไปตีพิมพ์เผยแพร่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 ต.ค.51
ทั้งนี้ ศาลเห็นว่าคดีมีทางยอมความกันได้จึงแนะนำให้คู่ความไกล่เกลี่ยกัน และนำคดีเข้าสู่กระบวนการประนอมข้อพิพาท ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพล แถลงว่ายังอยู่ระหว่างประสานพนักงานอัยการเพื่อเป็นทนายความว่าความให้ จึงของเลื่อนนัดออกไป ศาลสอบถามโจทก์ไม่คัดค้านจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อทำการไกล่เกลี่ยกันในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
เลื่อนไต่สวน"สนธิ"ฟ้องสามเกลอ
ขณะที่เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในคดีหมายเลขดำที่ อ.4883/2551 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นายก่อแก้ว พิกุลทอง ในฐานะผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT, บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด, นายสุรยงค์ หุณฑสาร รักษาการ ผอ.สถานีโทรทัศน์ NBT, นายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 28 – 29 ต.ค.51 เวลา 22.50-23.45 น.จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันจัดรายการ “ความจริงวันนี้ ” หมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่า โจทก์เป็นบุคคลล้มละลาย สร้างความเสียหายให้ประเทศโดยการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และเป็น กบฏ เป็นนักข่มขู่
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาเสมียนทนายได้แถลงว่าพนักงานอัยการซึ่งรับว่าความเป็นทนายให้กรมประชาสัมพันธ์ จำเลยที่ 7 ติดภารกิจไม่สามารถร่วมถามค้านพยานโจทก์ได้ จึงขอเลื่อนนัดออกไปก่อน ศาลสอบถามโจทก์ไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดไต่สวนออกไปเป็นวันที่ 14 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.