xs
xsm
sm
md
lg

“ตี๋-ชิงชัย” ศิลปินนักสู้ กับ หัวใจที่รู้จักคำว่า “ให้อภัย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


                                                                        “ตี๋” ชิงชัย อุดมเจริญกิจ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ภาพของชายในเสื้อสีน้ำตาล สวมกางเกงยีน ทั้งตัวถูกละเลงไปด้วยเลือดและรอยไหม้ มือขวาขาดรุ่งริ่ง มือซ้ายกำวัตถุที่มองไม่ออกว่าคืออะไร ปรากฏต่อสายตาของประชาชนทั่วไป สร้างความสลดหดหู่และเศร้าเสียใจให้ผู้คนจำนวนมาก

เช้าวันถัดมา ภาพดังกล่าวได้ถูกนำไปเผยแพร่และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนและหนังสือพิมพ์บางฉบับกล่าวหาว่า “วัตถุในมือซ้าย” ของชายผู้นั้นคือ “ระเบิดปิงปอง” ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำมาใช้ก่อเหตุความวุ่นวาย แม้ในที่สุดจะมีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่า วัตถุที่ชายผู้นี้กำไว้จะเป็นเพียงกรอบใส่พระเครื่องธรรมดาๆ แต่ตำรวจและหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆ ที่เคยให้ข่าวและลงข่าวบิดเบือนก็ไม่เคยที่จะแก้ข่าว หรือ ขอโทษ

แม้ ... แขนขวาที่ถูกแรงระเบิดจนขาดและสะเก็ดระเบิดที่ฝังกระจายอยู่ทั่วทั้งหน้าอกจะทำให้ “ตี๋” ชิงชัย อุดมเจริญกิจ อยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

แม้ ... การสูญเสียแขนขวาที่เคยสะบัดแปรงพู่กันสร้างงานศิลป์ จะทำให้เขาสูญเสียอาชีพที่เคยเลี้ยงดูครอบครัว แต่ชีวิตและลมหายใจยังดำรงอยู่กับหัวใจที่ไม่ได้ขาดพร่องออกไปด้วย

แม้ ... วันเวลาเก่าๆ จะไม่อาจหมุนกลับ แต่ในวันนี้เขากลับยังมีความรักที่ภรรยาและลูกชายทั้ง 2 ช่วยกันเต็มเต็ม จนดูราวกับว่าชีวิตของ “ตี๋” ในวันนี้มีความสุขไม่แตกต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย




ทุกวันนี้ “ตี๋” กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว หลังจากต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานหลายเดือน โดย เมตตา อุปมัย หรือ “แหม่” ภรรยาผู้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เล่าให้ฟังว่า แพทย์ต้องใส่ท่อทางเดินหายใจด้านในเพื่อต่อกับท่อทางเดินหายใจด้านนอกไว้ที่คอของเขา เนื่องจากต้องการให้เนื้อเยื่อข้างในคอคงที่ เพราะลักษณะแผลที่โดนความร้อนจากระเบิด เนื้อเยื่อมักจะสร้างแผลเป็นขึ้นมาเองอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแพทย์จึงวิตกว่าหากเอาท่อตรงที่คอออกแล้ว แผลเป็นดังกล่าวอาจไปอุดตันท่อทางเดินหายใจ ซึ่งคะเนว่าอาจต้องใช้เวลาร่วมปีกว่าเขาจะกลับมาหายใจทางจมูกได้ตามปกติ

“ตอนแรกเข้าใจว่าพี่ตี๋จะหายใจทางรูจมูกไม่ได้เลย เนื่องจากหลอดลมมันฉีกขาด พอรักษาตัวได้ระยะหนึ่ง หลอดลมที่ฉีกขาดบางส่วนมันกลับมาต่อกันได้เอง พอกลับมาตรวจใหม่ หมอยังบอกเลยว่าเหมือนเป็นปาฏิหาริย์”

แต่ก็ต้องรอให้เนื้อเข้าที่ พร้อมๆ กับทำกายภาพควบคู่ไปด้วย หมอบอกว่าตอนนี้ยังมีโอกาสที่จะกลับไปหายใจทางจมูก 100% แต่ว่าถ้าหลอดลมติดกันมากๆ แล้วกายภาพมันเอาไม่อยู่อาจจะต้องผ่าตัดอีก ส่วนแผลเป็นที่เกิดบริเวณรูจมูกก็คงใช้ต้องใช้เลเซอร์จัดการ” แหม่เล่าถึงอาการที่หลอดลมของตี๋พร้อมอธิบายต่อว่า

ทุกวันนี้ตี๋ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกสัปดาห์ โดยในหนึ่งสัปดาห์จะต้องไปไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง เพื่อทำการรักษาแผลที่อยู่บริเวณหน้าอก ที่เธอเล่าว่ามัน “เจ็บจี๊ดๆ” ขึ้นมาเป็นระยะนอกจากนี้แขนขวาที่เนื้อยังรอติดกันให้สนิทอยู่ ยังทำให้แขนขวาไม่สามารถขยับได้มากนัก โดยทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล แหม่จะไปกับสามีทุกครั้ง เธอให้เหตุผลว่าเขายังหันคอไม่ค่อยได้ ความคล่องตัวก็ไม่ดีนัก จึงเป็นห่วงว่าถ้าเดินทางไปคนเดียวอาจจะไม่ปลอดภัยนักโดยเฉพาะเวลาข้ามถนน เวลาเช่นนี้ ตี๋ต้องพกขวดน้ำติดตัวเสมอ เนื่องจากการหายใจโดยอาศัยท่อช่วยหายใจนั้นที่ไม่ได้ผ่านเข้าจมูก ส่งผลให้หลอดลมที่เชื่อมระหว่างจมูกกับคอแห้ง เพราะไม่มีละอองน้ำชุ่มชื้นคอยหล่อเลี้ยง ซึ่งจะทำให้เขาไอบ่อยจึงต้องแก้ด้วยการจิบน้ำตลอดเวลา

 
                                                                   บาดแผลที่หลงเหลือบนร่างกาย

35 วันในไอซียู

ฝั่งเจ้าตัวเล่าให้ ASTVผู้จัดการ ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และช่วงเวลาระหว่างที่รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู พร้อมด้วยรอยยิ้มและอารมณ์ที่เบิกบานตามประสาศิลปินอารมณ์ดีว่า วันนั้นเขานั่งหลบอยู่ข้างกำแพงบริเวณที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว พอมีคนหย่อนระเบิดเข้ามา ทุกคนก็วิ่งหนีกันหมด แต่ตัวเขาเองวิ่งไม่ทัน เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก แต่ก็มีสติรู้สึกตัวตลอดจนถึงช่วงที่ถูกส่งตัวไปรักษาอยู่ในห้องไอซียู ตอนแรกที่ฟื้นขึ้นมาเขาก็คิดแค่เพียงว่า หลังจากนี้จะต้องใช้มือซ้ายวาดรูปให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เอาเงินมาใช้ผ่อนหนี้ที่ใช้เป็นค่ารักษาตัว โดยเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือคิดโทษใครเลย

“ไม่ท้อ มันท้อไม่ได้ มันต้องสู้ ตายไม่ได้ เราโตมาที่คลองเตย ตอนเด็กๆ สภาพแวดล้อมมันโหดร้ายมาก มันสอนให้รู้ว่าต้องเอาตัวรอดยังไง แม้เหตุการณ์ที่เจอครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดในชีวิต แต่เราก็พยายามคิดว่าเราจะผ่านมันไปอย่างไรและจะทำอะไรหลังจากนี้ ซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าจะใช้อวัยวะที่เหลือคือแขนซ้ายวาดรูปแทน แม้ประสิทธิภาพจะยังไม่ค่อยดี แต่ยังไงเราก็วาดรูปได้” ตี๋กล่าวด้วยแววตาที่มุ่งมั่นของศิลปินพร้อมปล่อยมือที่ใช้ปิดท่อที่คอออกหลังพูดจบ

แหม่กล่าวเสริมระหว่างที่คู่ชีวิตหยุดพักจิบน้ำว่า อาจเพราะสามีเป็นคนฟังธรรมะเยอะ จึงทำให้เขาเข้าใจชีวิตและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ 2 ปีสามีได้รักษาศีล 5 มาตลอด และมีความตั้งใจว่าในบั้นปลายชีวิตจะไปบวช แต่ถึงตอนนี้คงบวชไม่ได้แล้วเพราะตามหลักวินัยสงฆ์บัญญัติไว้ว่าผู้ที่จะบวชต้องมีอวัยวะครบ 32 ประการ แต่พอเขามาเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา แม้จะบวชไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังถือศีล 8 และไปเข้าวัดฟังธรรมได้

 
                                                                เมตตา อุปมัย หรือ “แหม่” ภรรยาผู้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

ด้วยความผูกพันที่เป็นคู่ชีวิตกันมานานกว่า 14 ปี แหม่เผยถึงความรู้สึกครั้งแรกที่เห็นคู่ชีวิตนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลว่า เธอเองกังวลอยู่ว่าเขาจะเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน เพราะสภาพของตี๋ในตอนนั้นหนักมาก หน้าบวม ปากเขียว สูญเสียแขนขวา หลอดลมขาด เนื้อตรงช่วงอกและปอดเป็นแผล ทั้งระหว่างที่รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู 35 วัน ก็ต้องผ่าตัดเกือบทุกวัน ซึ่งเธอก็คิดว่าเขาก็คงทรมานมาก เพราะต้องโดนฉีดมอร์ฟีนทุกครั้งที่ล้างแผล ใส่เสื้อก็ไม่ได้เพราะต้องถูกผ้าก๊อซพันไว้ทั้งตัวเหมือนมัมมี่ แต่เธอก็พยายามมองในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็เป็นเรื่องดีมากๆ ที่เขายังมีชีวิตรอดมาได้

“เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว จะทำยังไงได้ ก็ต้องสู้ต่อไปและก็ไม่เคยคิดท้อด้วยที่พี่ตี๋ มาเป็นแบบนี้ ปกติถึงพี่ตี๋ไม่ป่วยก็ดูแลกันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็แค่ดูแลมากขึ้น อีกอย่างคิดว่าดูแลเองดีกว่าจะปล่อยให้พยาบาลดูแล” เธอกล่าวพร้อมยิ้มเล็กๆ พร้อมแววตาเปี่ยมกำลังใจ

 
ซาบซึ้ง “พระราชินี” รับเป็นคนไข้

ในส่วนของการรักษาพยาบาลว่า สองสามีภรรยาเล่าว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างมากที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้รับสามีไว้เป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะมีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือ

สำหรับ ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในครอบครัว หลังจากที่ตี๋กลับมารักษาตัวที่บ้าน ภรรยาของตี๋อธิบายว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในช่วงพักฟื้นคงต้องสำรองจ่ายไปก่อน ซึ่งเธอคิดว่ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะเข้ามาช่วยดูแล โดยขณะนี้ทางครอบครัวก็พอมีเงินสำรองใช้อยู่ก้อนหนึ่ง โดยเป็นเงินที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องพันธมิตรที่บริจาคเงินผ่านกองทุนช่วยเหลือเพื่อผู้บาดเจ็บและเพื่อผู้เสียชีวิต ศูนย์เยียวยาผู้บาดเจ็บ ผู้พิการและผู้เสียชีวิต มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และจากคณะกรรมการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 สังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ส่วนเรื่องรายได้ในครอบครัวเธอเล่าต่อว่า ครอบครัวมีรายจ่ายเกิดขึ้นทุกวัน ในขณะที่รายได้ในครอบครัวไม่มีเลย เนื่องจากตี๋ต้องหยุดวาดภาพและปล่อยให้รุ่นน้องที่รู้จักกันมาเช่าร้านที่ตลาดนัดสวนจตุจักรขายภาพไปก่อน แต่ก็ยังมีภาพที่เขาวาดไว้ก่อนเกิดอุบัติเหตุยังไม่ได้วางขายที่ไหน เธอบอกว่าตี๋อยากจะเก็บไว้ก่อนรอจนเขาหายเป็นปกติแล้วจึงหาที่จำหน่ายเอง ในระหว่างนี้เธอก็ได้ฝึกวาดรูปไปด้วย แม้ในตอนนี้ฝีมืออาจจะยังไม่ดีพอที่จะนำไปจำหน่ายได้ แต่ก็หวังว่าในอนาคต ภาพวาดของเธอจะเป็นรายได้เข้าครอบครัวอีกทางหนึ่งเช่นกัน

 


จิตใจอันประเสริฐในร่างกายที่บอบช้ำ

เมตตายังเล่าถึงความคืบหน้าในคดีที่ ทนายนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) บริษัท ข่าวสด, นายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นสพ.ข่าวสด และ นายเผด็จ ภูรีปติภาน คอลัมนิสต์ นสพ.ข่าวสด เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ว่าศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ในเวลา 13.30 น. ซึ่งเธอก็มั่นใจที่อย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะว่าเชื่อมั่นในตัวทนายสุวัตรที่เข้ามาดูแลตรงนี้

ด้านตี๋ได้กล่าวถึงความรู้สึกในเรื่องนี้ว่า “บอกตรงๆ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ที่บอกว่าไม่ ก็คือ ไม่จริงๆ นะ เพราะเหมือนกับว่าเราไปอยู่ตรงนั้นเอง ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกโกรธตำรวจ เข้าใจว่าพอไปอยู่จุดๆ นั้น คนมันเหนื่อย มันล้า มันเครียด ก็แปลกเหมือนกัน เพราะตอนแรกก่อนที่จะไปร่วมชุมนุมเห็นภาพจากโทรทัศน์ เห็นตำรวจเตะประชาชน ก็รู้สึกโกรธว่าทำไมถึงทำกับประชาชนที่ไม่มีทางสู้ได้ แต่พอมาเจอกับตัวเองกลับไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเฉยๆ และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบและนิ่ง ก่อนที่จะเอามือปิดที่คอแล้วพูดต่อว่า

“เรารู้อยู่ว่าเราเป็นคนดี เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องกลัวอะไร ขอฝากไปถึงคนที่ยังที่คิดว่าผมยังกำระเบิดอยู่ อยากให้เปิดใจให้กว้าง ให้ฟังคนเสื้อเหลืองพูดบ้าง เพราะคนเสื้อเหลืองไม่เคยโกหกใคร”

เมื่อเราถามต่อว่า ถ้ามีโอกาสย้อนเวลากลับไปจะไปชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ ... ตี๋ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ไป แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม คงไม่นั่งอยู่ตรงนั้น เพราะคงไม่มีใครอยากสูญเสีย และ ถ้ามีโอกาสเมื่อหายดีแล้วก็จะไปตระเวนคอนเสิร์ตกับพันธมิตรฯ อยากจะไปเที่ยวแต่ตอนนี้ยังถ้าต้องไปต่างจังหวัด การที่ต้องหอบหิ้วอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดท่อช่วยหายใจเพื่อล้างคราบเสลดที่ติดตามท่อออกทุกเช้าเย็นไปด้วยคงเป็นเรื่องไม่สะดวกนัก”

 
กำลังใจที่ท่วมท้น

แหม่เล่าต่อว่านอกจากกำลังใจจากเครือข่ายกลุ่มเพื่อนศิลปินและเพื่อนบ้านที่มอบให้ตี๋แล้ว ก็ยังมีกำลังใจจากเพื่อนที่เป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บางส่วน ที่ได้มาเยี่ยมบ้าง ซึ่งตรงนี้ตี๋กล่าวเสริมว่า

“คือคนที่มีสมอง เวลาเจอกันจะตัดเรื่องการเลือกข้างออกไป ให้เหลือแต่ความเป็นมนุษย์ มีแต่ความเป็นเพื่อน คนเราอยู่ในประเทศไทยมันก็คนเหมือนกัน คือถ้าคนไทย มองคนเป็นคนเหมือนกันนะ ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้ามองแบบเหยียดหยาม ก็จะเจอปัญหาเหตุผลร้อยแปด เพื่อนก็เกลียดกัน”

แหม่เล่าต่อด้วยว่า นอกเหนือจากกำลังใจทั้งหมด กำลังใจที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยคือกำลังใจจากลูกชายทั้ง 2 คน ซึ่งภายหลังจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น เธอก็ได้อธิบายและทำความเข้าใจกับทั้ง น้องบลู (ด.ช.ณภัทร อุดมเจริญกิจ) และน้องแจ๊ส (ด.ช.ภูชิสส์ อุดมเจริญกิจ) ที่ในวันนี้ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ยังเหมือนเดิม ส่วนคุณพ่อตี๋ยังคงให้ความใส่ใจและทุ่มเทเวลาอยู่กับลูกเหมือนเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยนแปลงและเด็กๆ ก็ติดพ่อมากด้วย

 
                                                                             น้องบลูและน้องแจ๊ส

ถึงตรงนี้น้องบลูที่นั่งอยู่ข้างๆ พ่อ ได้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้ฟังว่า เวลาคุณครูมาถามว่าพ่อเป็นยังไงบ้าง บลูก็ตอบว่าพ่อเจ็บที่มือครับ แล้วครูก็ถามว่าพ่อเป็นอย่างนี้ มือขวาพ่อขาดใช่ไหม แล้วพ่อจะวาดรูปได้ไหม แล้วบลูก็ตอบว่า “ได้” เพราะพ่อเป็นคนพิเศษ ใช้ปากวาดก็ได้ นอกจากนี้บลูยังประดิษฐ์มือขวาเทียมที่ทำจากกระดาษให้พ่อด้วย เด็กชายยังเล่าด้วยว่าเขาชอบตัดกระดาษ เมื่อโตขึ้นจะเป็นศิลปินกระดาษและศิลปินวาดภาพเหมือนกับพ่อของเขา

“เป็นห่วงพ่อครับ กอดพ่อทุกวันเลย” น้องบลู เผยถึงความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ก่อนที่น้องแจ๊สจะกล่าวเสริมว่า “จริงๆ พ่อวาดใช้ปากได้ แต่กลัวพู่กันทิ่มปาก ใช่รึเปล่าพ่อ” ลูกชายคนเล็กของตี๋หัวเราะอย่างชอบใจและเล่าถึงความฝันของตัวเองต่อว่า เขาชอบวาดรูปและอยากเป็นศิลปินด้วยเหมือนกัน

 
ถึงตรงนี้เมตตาได้เล่าให้ฟังถึงวิธีการเลี้ยงลูกๆ ว่า นอกจากพ่อ แม่ จะต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ในครอบครัวยังปลูกธรรมะด้วยการให้เด็กๆ ดูการ์ตูนธรรมะ ฟังเพลงสวดมนต์ก่อนนอน เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ขัดเกลาจิตใจของเด็กให้สงบขึ้น เพราะเด็กสมัยนี้มักจะทำอะไรเร่งรีบ แบบคิดได้ให้รีบทำ

“จริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องธรรมะ แต่พี่ตี๋เป็นคนสนใจ แล้วก็มาถ่ายทอดให้ฟังอีกที ปกติวันหยุด พี่ตี๋จะเป็นคนพาลูกไปวัด เลยคิดว่าสิ่งเหล่านี้คงจะค่อยๆ ซึมซับไปถึงลูกบ้าง” เมตตายิ้มก่อนลูบหัวน้องแจ๊สอย่างเอ็นดู

เมื่อถามตี๋ว่ามีวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไร เพื่อให้เด็กทั้ง 2 เติบโตมาเป็นคนดีที่ยืนอยู่ท่ามกลางสังคม ที่บางครั้งก็มีความความขัดแย้งและความปรองดอง เขาไม่ตอบแต่เอานิ้วปิดท่อทางเดินหายใจที่คอ พร้อมร้องเพลงบทเพลงเพื่อเด็ก ของ “เต๋อ” เรวัติ พุทธินันท์

“…เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ๆ กันอยู่ที่ใคร ที่จะคอยดูแลเขา ขอให้เราอย่าละเลย ช่วยกัน ทำตัวให้เด็กรู้ ให้เด็กเห็น ให้เด็กตาม ย้ำในสิ่งที่ดี…”

จากนั้น ‘ตี๋’ ยิ้มและส่งแขนขวาที่ไร้มือให้ น้องบลูจับ ก่อนที่ น้องแจ๊สและภรรยาจะเดินตามมาสมทบ ทั้ง 4 คน จับมือกันก้าวเดินต่อไป แม้วันนี้อวัยวะบางส่วนของ ‘ตี๋’ จะขาดหายไป แต่ในทางตรงกันข้ามความอบอุ่นในครอบครัวอุดมเจริญกิจกลับไม่ได้ขาดหายไปด้วย เหตุการณ์นี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ยืนยันได้ว่าความรัก ความห่วงใย ความเข้าใจของกันและกัน คือสิ่งที่คล้องหัวใจของคนทั้ง 4 ให้ฝ่าฝันอุปสรรคไปด้วยกัน ……



*หมายเหตุ :

สำหรับผู้ต้องการช่วยเหลือ "ตี๋" ชิงชัย อุดมเจริญกิจ และครอบครัวสามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ที่ ชื่อบัญชี นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยโลตัส พระราม 4 บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 7102341206










กำลังโหลดความคิดเห็น