ศาลอาญาประทับรับฟ้องคดี “จงรัก” ฟ้องกลับ “สิทธิพร” ทนายคนสนิทตานวย ฐานฟ้องเท็จ รับงานฟ้องศาลกล่าวหาอยู่เบื้องหลังใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ 7 ต.ค.ทมิฬ แล้วถอนฟ้องเฉย นัดสอบคำให้การ 25 พ.ค.นี้ ขณะที่ “จงรัก” ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ขู่จะเดินหน้าดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อไป
วันนี้ (13 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจาณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ.4970/2551 ที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ต.ร. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสิทธิพร โพธิโสดา อาชีพทนายความ เป็นจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 จำเลยได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ดำเนินคดีต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร., พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.4142/2551 โดยเอาความเท็จมาฟ้องโจทก์ต่อศาล ว่าโจทก์กับพวกได้ทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 โดยใช้แก๊สน้ำตาแบบใช้ยิงและแบบขว้างด้วยมือเข้าใส่ตรงต่อผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไปได้รับอันตราย แก่ร่างกาย ถึงบาดเจ็บสาหัส กล่าวหาว่าโจทก์เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เจตนาให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ต่อมา นายสิทธิพรยื่นฟ้องดำเนินคดีกับจำเลยทั้งห้านั้น นายสิทธิพรได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องไปแล้วเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ศาลพิเคราะห์จากพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล จึงมีคำสั่งประทับรับฟ้อง โดยนัดสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
สำหรับคดีนายสิทธิพร มีรายงานข่าวระบุว่ามีความสนิทสนมกับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.และถูกมองว่านำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อหวังให้ ป.ป.ช.ยุติการไต่สวน นายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังสลายการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 86 ได้บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน
ภายหลัง พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม เพราะเรื่องนี้ได้รับความเสียหายมาก ตนดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 51 เท่านั้น ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่ามีส่วนในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ในวันเกิดเหตุยังได้สั่งให้ตำรวจวางอาวุธด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง การกล่าวหาโดยไม่ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทและฟ้องเท็จ จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอีกด้วย