นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนายคารม พลทะกลาง คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย แถลงที่รัฐสภาถึงกรณีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกำลังพิจารณาจะถอนฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลว่า
พรรคฝ่ายค้านเห็นว่าน่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่ทราบว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เนื่องจากยังมีคดีที่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมปิดถนนราชดำเนินค้างอยู่
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ายึดทำเนียบฯ เป็นเวลากว่า 190 วัน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับทำเนียบรัฐบาลเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แต่เมื่อมีการร่วมรัฐบาลกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มเพื่อนเนวิน จนสมประโยชน์ทางการเมืองกันแล้ว กลับจะมีการสั่งการให้ทนายความถอนฟ้องเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อกฎหมายเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สินของแผ่นดิน
“หากนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีถอนฟ้องจริง อาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ และอาจจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายลอยเลื่อน นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง และสั่งการให้มีการถอนฟ้องคดีดังกล่าว พรรคการเมืองฝ่ายค้านจะตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
คำแถลงของโฆษกพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นสติปัญญาและความรู้ทางกฎหมายค่อนข้างจะตื้นเขิน มิน่าเล่าจึงได้ถูกยุบพรรคเรื่อยมาตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และมาถึงพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ทั้งที่พรรคหรือกลุ่มการเมืองเหล่านี้มีบัณฑิตทางกฎหมายมากหน้าหลายตา และมีชื่อเสียงอยู่หลายคนเป็นต้น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายนพดล ปัทมะ และ ดร.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ฯลฯ
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำคดีฟ้องร้องต่อศาลสถิตยุติธรรมหลายคดี มีคดีฟ้องขับไล่ให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล และคดีเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดทำเนียบฯ แล้วสร้างความเสียหาย ดูเหมือนค่าเสียหายที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเรียกร้องเป็นเงิน 18 ล้านบาท
คดีที่นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะถอนฟ้องก็คือ คดีฟ้องขับไล่ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกจากทำเนียบรัฐบาล
ส่วนคดีเรียกค่าเสียหาย 18 ล้านบาทนั้นไม่คิดจะถอน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สลายการชุมนุมไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2551 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย อันเป็นผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กระเด็นไปจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีโน่นแล้ว
ถึงแม้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะไม่ถอนฟ้อง การพิจารณาคดีนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอยู่ดี เพราะไม่ต้องขับไล่ใครออกจากทำเนียบฯ เพราะไม่มีใครถือครองพื้นที่อาคารสำนักงานอีกแล้ว
เช่นเดียวกับคดีฟ้องขอให้ศาลสั่งให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งเขตใดเขตหนึ่งระหว่างที่ยังไม่ได้มีการพิจารณา หรือระหว่างการพิจารณาสืบพยานอยู่นั้น เกิดการยุบสภา ศาลท่านก็จำหน่ายคดีไป เพราะพิจารณาไปก็ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาไปปลี้ๆ เปล่าๆ
หรือเช่นเดียวกับคดีภริยาฟ้องหย่าสามีระหว่างดำเนินคดีอยู่นั้น สามีเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ศาลท่านก็จำหน่ายคดีไป เพราะไม่เห็นจะต้องให้ภริยาหย่าหรือไม่หย่ากับสามีที่ตายไปแล้ว
โฆษกและฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง และสั่งการให้มีการถอนฟ้องคดีดังกล่าว
เป็นข้อสังเกตที่แสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาเอาเสียจริงๆ หรือไม่ก็เป็นข้อสังเกตที่ค่อนข้างจะอคติเอามากๆ เพราะถ้าหากมีความคิดเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง ก็จะเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มีการกระทำใดๆ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ตำรวจฆ่าประชาชนวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นฝ่ายค้าน นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เองยังเคยให้สัมภาษณ์ และทำหนังสือถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นเชิงตำหนิ และเรียกร้องให้รัฐบาลสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษ
แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง นายอภิสิทธิ์กลับไม่สนใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย ซ้ำตำรวจกลับตั้งข้อหาเอากับแกนนำ 21 คนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเหตุการณ์วันนั้นเสียอีก
ทั้งที่ความเป็นจริงก็เห็นกันอยู่โทนโท่ว่า ตำรวจฆ่าประชาชนในวันนั้น 2 ศพ บาดเจ็บ แขนขาด ขาขาดอีก 400-500 คน
ฝ่ายที่ควรจะตกเป็นจำเลยกลายเป็นโจทก์ ฝ่ายที่ควรจะเป็นโจทก์กลับจะเป็นจำเลย
เรื่องอย่างนี้ไม่เห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้จัดการรัฐบาลนี้ให้ความสนใจแต่อย่างใด
ต่างกับตอนที่เป็นฝ่ายค้านอย่างสิ้นเชิง แล้วอย่างนี้หรือจะมาแทรกแซง จะมาสั่งการให้ถอนฟ้องขับไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล
ไม่ถอนก็ไม่มีการพิจารณาคดีนี้อยู่แล้ว!
การแถลงข่าวของโฆษกและทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยดังกล่าวไม่ต่างไปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคุกหัวซุกหัวซุนอยู่ขณะนี้ ซึ่งมักจะพร่ำพูดอยู่เสมอว่า การพิจารณาคดีของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นการยุติความเป็นธรรม ซึ่งก็เช่นเดียวกับบรรดาลิ่วล้อของเขาโฆษณาชวนเชื่อในช่วงหนึ่งว่า “ทำกับข้าวถูกปลด เป็นกบฏถูกปล่อย” โดยแกล้งโง่ แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ว่า ไม่ได้ทำกับข้าวอย่างเดียว หากแต่รับเงินค่าทำกับข้าวโชว์นั้นด้วย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่รัฐธรรมนูญเขียนห้ามเอาไว้ชัดเจน
และที่บอกว่าเป็นกบฏถูกปล่อยนั้น ก็เพราะศาลพิจารณาเห็นว่า ข้อหาที่ตั้งให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ว่าเป็นกบฏนั้น เป็นข้อหาที่รุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง จึงได้ถอนข้อหากบฏ
แต่บรรดาข้ารับใช้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังโฆษณาชวนเชื่อโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวอยู่นั่นเอง
รัฐบาลซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะบรรลุความมุ่งมาดปรารถนาคือ เป็นรัฐบาลกับเขาให้ได้ เป็นรัฐบาลกับเขาเสียที แทนที่จะเร่งทำงาน ทำความจริงให้ปรากฏ ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ก็เอ้อระเหยลอยชาย หรือไม่ก็เอาดีทางฝีปากตามที่ตัวถนัด ตำรวจ อัยการยังคงทำงานอืดเป็นเรือเกลือ สำหรับคดีที่บรรดาลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นผู้ต้องหาหรือเป็นจำเลย
สื่อสารมวลชนที่เป็นของรัฐ ก็ก้มหน้าก้มตารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อไป โดยที่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ที่กำกับดูแลได้แต่ทำตาปริบๆ เหมือนเด็กไร้เสียงสา
จึงไม่แปลกเลยที่คนซึ่งเหมือนจะตายไปแล้วอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อยู่
พรรคฝ่ายค้านเห็นว่าน่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่ทราบว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เนื่องจากยังมีคดีที่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมปิดถนนราชดำเนินค้างอยู่
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ายึดทำเนียบฯ เป็นเวลากว่า 190 วัน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับทำเนียบรัฐบาลเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แต่เมื่อมีการร่วมรัฐบาลกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มเพื่อนเนวิน จนสมประโยชน์ทางการเมืองกันแล้ว กลับจะมีการสั่งการให้ทนายความถอนฟ้องเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อกฎหมายเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สินของแผ่นดิน
“หากนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีถอนฟ้องจริง อาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ และอาจจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายลอยเลื่อน นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง และสั่งการให้มีการถอนฟ้องคดีดังกล่าว พรรคการเมืองฝ่ายค้านจะตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
คำแถลงของโฆษกพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นสติปัญญาและความรู้ทางกฎหมายค่อนข้างจะตื้นเขิน มิน่าเล่าจึงได้ถูกยุบพรรคเรื่อยมาตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และมาถึงพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ทั้งที่พรรคหรือกลุ่มการเมืองเหล่านี้มีบัณฑิตทางกฎหมายมากหน้าหลายตา และมีชื่อเสียงอยู่หลายคนเป็นต้น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายนพดล ปัทมะ และ ดร.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ฯลฯ
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำคดีฟ้องร้องต่อศาลสถิตยุติธรรมหลายคดี มีคดีฟ้องขับไล่ให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล และคดีเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดทำเนียบฯ แล้วสร้างความเสียหาย ดูเหมือนค่าเสียหายที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเรียกร้องเป็นเงิน 18 ล้านบาท
คดีที่นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะถอนฟ้องก็คือ คดีฟ้องขับไล่ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกจากทำเนียบรัฐบาล
ส่วนคดีเรียกค่าเสียหาย 18 ล้านบาทนั้นไม่คิดจะถอน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สลายการชุมนุมไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2551 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย อันเป็นผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กระเด็นไปจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีโน่นแล้ว
ถึงแม้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะไม่ถอนฟ้อง การพิจารณาคดีนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอยู่ดี เพราะไม่ต้องขับไล่ใครออกจากทำเนียบฯ เพราะไม่มีใครถือครองพื้นที่อาคารสำนักงานอีกแล้ว
เช่นเดียวกับคดีฟ้องขอให้ศาลสั่งให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งเขตใดเขตหนึ่งระหว่างที่ยังไม่ได้มีการพิจารณา หรือระหว่างการพิจารณาสืบพยานอยู่นั้น เกิดการยุบสภา ศาลท่านก็จำหน่ายคดีไป เพราะพิจารณาไปก็ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาไปปลี้ๆ เปล่าๆ
หรือเช่นเดียวกับคดีภริยาฟ้องหย่าสามีระหว่างดำเนินคดีอยู่นั้น สามีเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ศาลท่านก็จำหน่ายคดีไป เพราะไม่เห็นจะต้องให้ภริยาหย่าหรือไม่หย่ากับสามีที่ตายไปแล้ว
โฆษกและฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง และสั่งการให้มีการถอนฟ้องคดีดังกล่าว
เป็นข้อสังเกตที่แสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาเอาเสียจริงๆ หรือไม่ก็เป็นข้อสังเกตที่ค่อนข้างจะอคติเอามากๆ เพราะถ้าหากมีความคิดเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง ก็จะเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มีการกระทำใดๆ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ตำรวจฆ่าประชาชนวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นฝ่ายค้าน นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เองยังเคยให้สัมภาษณ์ และทำหนังสือถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นเชิงตำหนิ และเรียกร้องให้รัฐบาลสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษ
แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง นายอภิสิทธิ์กลับไม่สนใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย ซ้ำตำรวจกลับตั้งข้อหาเอากับแกนนำ 21 คนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเหตุการณ์วันนั้นเสียอีก
ทั้งที่ความเป็นจริงก็เห็นกันอยู่โทนโท่ว่า ตำรวจฆ่าประชาชนในวันนั้น 2 ศพ บาดเจ็บ แขนขาด ขาขาดอีก 400-500 คน
ฝ่ายที่ควรจะตกเป็นจำเลยกลายเป็นโจทก์ ฝ่ายที่ควรจะเป็นโจทก์กลับจะเป็นจำเลย
เรื่องอย่างนี้ไม่เห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้จัดการรัฐบาลนี้ให้ความสนใจแต่อย่างใด
ต่างกับตอนที่เป็นฝ่ายค้านอย่างสิ้นเชิง แล้วอย่างนี้หรือจะมาแทรกแซง จะมาสั่งการให้ถอนฟ้องขับไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล
ไม่ถอนก็ไม่มีการพิจารณาคดีนี้อยู่แล้ว!
การแถลงข่าวของโฆษกและทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยดังกล่าวไม่ต่างไปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคุกหัวซุกหัวซุนอยู่ขณะนี้ ซึ่งมักจะพร่ำพูดอยู่เสมอว่า การพิจารณาคดีของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นการยุติความเป็นธรรม ซึ่งก็เช่นเดียวกับบรรดาลิ่วล้อของเขาโฆษณาชวนเชื่อในช่วงหนึ่งว่า “ทำกับข้าวถูกปลด เป็นกบฏถูกปล่อย” โดยแกล้งโง่ แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ว่า ไม่ได้ทำกับข้าวอย่างเดียว หากแต่รับเงินค่าทำกับข้าวโชว์นั้นด้วย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่รัฐธรรมนูญเขียนห้ามเอาไว้ชัดเจน
และที่บอกว่าเป็นกบฏถูกปล่อยนั้น ก็เพราะศาลพิจารณาเห็นว่า ข้อหาที่ตั้งให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ว่าเป็นกบฏนั้น เป็นข้อหาที่รุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง จึงได้ถอนข้อหากบฏ
แต่บรรดาข้ารับใช้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังโฆษณาชวนเชื่อโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวอยู่นั่นเอง
รัฐบาลซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะบรรลุความมุ่งมาดปรารถนาคือ เป็นรัฐบาลกับเขาให้ได้ เป็นรัฐบาลกับเขาเสียที แทนที่จะเร่งทำงาน ทำความจริงให้ปรากฏ ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ก็เอ้อระเหยลอยชาย หรือไม่ก็เอาดีทางฝีปากตามที่ตัวถนัด ตำรวจ อัยการยังคงทำงานอืดเป็นเรือเกลือ สำหรับคดีที่บรรดาลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นผู้ต้องหาหรือเป็นจำเลย
สื่อสารมวลชนที่เป็นของรัฐ ก็ก้มหน้าก้มตารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อไป โดยที่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ที่กำกับดูแลได้แต่ทำตาปริบๆ เหมือนเด็กไร้เสียงสา
จึงไม่แปลกเลยที่คนซึ่งเหมือนจะตายไปแล้วอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อยู่