“จอห์น มกจ๊ก” กราบขอโทษคนที่เคยบริจาคเงินให้ สารภาพเล่นการพนันจริงแต่แค่ขำๆ เผยหมดตัวเพราะญาติๆ มารุมสูบ ประกอบกับเป็นหนี้สินตั้งแต่จัดงานศพลูกกับสามี ซ้ำยังต้องไปไถ่ที่จึงต้องขายบ้านขายรถล้างหนี้
หลังจากที่เพื่อนบ้านออกมาเปิดเผยปมเบื้องหลังที่ทำให้ “จอห์น มกจ๊ก” ศุภาพิชญ์ บัวติ๊ก ต้องขายบ้านขายรถที่ได้มาจากเงินบริจาคเพราะเป็นหนี้การพนันถึง 650,000 ส่งผลให้หมดตัวจนต้องไปเร่ขายน้ำพริกนั้น ล่าสุดจอหน์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า เล่นการพนันจริงแต่เป็นการเล่นแก้เหงาเท่านั้น ซัดญาติๆ มารุมสูบจนหมดตัว
“ที่ผ่านมาคนอื่นอาจจะมองว่าจอห์นทำงานหนัก สำหรับเรามันเป็นงานธรรมดาที่ต้องทำมาหากินเป็นเรื่องปกติและถ้ามีโอกาสก็อยากมีกิจการเป็นของตัวเองเรียกคนอื่นมาช่วยบ้าง แต่มาคิดอีกทีตอนนี้เหลือตัวคนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร ทำแค่เพราะว่ายังมีลมหายใจก็พอ ซึ่งไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานแค่ไหนขนาดจอห์นมีบ้านก็ยังขายใช้หนี้ใช้สินเขาหมดแล้ว”
จอห์นเกริ่นถึงหนี้สินที่เป็นเหตุให้ขายบ้าน ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงกรณีที่มีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่ง เข้ามาขอสัมภาษณ์ ซึ่งจอห์นไม่ขอเอ่ยนาม โดยเจ้าตัวจวกผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวดูหมิ่นศักดิ์ศรี
“หลังจากมีข่าวออกไปก็โทรคุยกับพี่เหลือเฟือขอโทษทำเบอร์โทรศัพท์เขาหายเลยไม่ได้ติดต่ออธิยายให้เขาฟังว่า มีสื่อมวลชนหรือนักศึกษาก็ไม่รู้มาถามจอห์นว่าใช่พี่ จอห์น มกจ๊ก ไหมเราบอกว่าใช่ เขาถามว่าทำไมพี่มานั่งขายน้ำพริก เราก็อ้าวพี่ทำน้ำพริกก็ต้องมาขายน้ำพริกสิ เพราะเป็นธุรกิจของพี่อยากให้ทุกคนเห็นว่าอย่างเราหมดทุกสิ่งทุกอย่างยังสู้ชีวิตไม่ท้อแท้”
“เขาก็ถามอีกว่าถ้าสมมติมีคนมาให้พี่ขอทานพี่จะไปไหม เราก็บอกเขาว่าถึงจะเป็นคนแคระแต่ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีมีมือมีเท้ามีอะไรที่จะทำได้ก็ต้องต่อสู้จะไปขอทานทำไม เขามาถามต่อว่าพี่เหลือเฟือไม่ช่วยอะไรเหรอไหนออกรายการว่าจะช่วย เราก็บอกว่าเขาจะมาช่วยอะไรทุกวันนี้ไม่ได้ติดต่อกับพี่เขา เพราะว่าจอห์นทำโทรศัพท์หายและไม่อยากที่จะเป็นภาระเขาด้วย ที่ผ่านมาเขาก็ช่วยเหลือตั้งแต่เรื่องสามีเรื่องลูกมาเยอะแล้วยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเขาก็ย่ำแย่เหมือนกัน อยากให้เขาช่วยเหลือครอบครัวเขามากกว่าจอห์นพูดจริงว่าจะมาช่วยเหลือทำไม เพราะเราไม่ได้ติดต่อกับพี่เขา”
“กระแสข่าวที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็ช่างขอให้จบแค่นี้ เรื่องจอห์นขายบ้านไม่เกี่ยวกับพี่เหลือเฟือจอห์นขอโทษผิดไปแล้ว แต่อยากจะถามว่า ถ้าทุกคนมาตกอยู่ในสภาพแบบจอห์นทั้งแฟนและลูกเสียไปหมดทุกอย่างจะรับได้ไหม ตอนนี้เรามีแต่ความรู้สึกที่ดีๆ จากการได้กลับมาอยู่ที่เก่ารังเก่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบรักกับโจ้ พอเราหวนกลับมาอยู่ตรงนี้เหมือนเราอยู่กับแฟนและลูกตลอดเวลา”
“แต่ถ้าให้เราอยู่คนเดียวที่บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ได้ มันรู้สึกอ้างว้างขาดทุกสิ่งทุกอย่าง เราขายบ้านไปเพราะมันทำใจไม่ได้ทุกคนจากเราไปหมด หลังจากขายบ้านก็เอาเงินไปใช้หนี้ไปไถ่ที่ดินที่บ้านนอกไว้ 130,000 คิดเอาไว้ว่าอนาคตข้างหน้าเราอาจจะต้องกลับไปอยู่ที่โน่น จากนั้นมีคนมาขโมยบัตรเอทีเอ็มไปแล้วก็กดเงินไปหมดเลย100,000 บาท ตอนนี้เขาถูกศาลตัดสินจำคุกแล้วสามปี แต่เขาไม่มีเงินคืนให้ ที่ผ่านมาทุกคนอาจคิดว่าเรามีเงินมากมายมันคนช่วยเหลือบริจาคก็จริง เรื่องรายรับทุกคนรู้หมดแต่เรื่องรายจ่ายไม่มีใครมารู้ด้วย”
“จอห์นทำธุรกิจร้านอาหารตามสั่งก็ไปไม่รอดเจ๊งหมด ส่วนยอดเงินบริจาคทั้งหมดจำไม่ได้มันนานแล้ว แต่อยากจะบอกว่า มีคนบริจาคมาก็จริงแต่ไม่มากมาย คนส่วนใหญ่คิดว่าเรามีเงิน แต่หลังจากเสร็จงานศพไม่ได้มีคนมารับรู้เรื่องรายจ่ายไม่มีใครรู้ว่าเราต้องมานั่งใช้หนี้ใครบ้าง เฉพาะค่างานศพน้องเจนนี่ 7 วันหมดไปทั้งหมดสองแสนเจ็ดแล้วคิดดูว่างานศพโจ้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนแล้วจะหมดไปเท่าไหร่”
“จอห์นเป็นคนที่เก็บกดไม่อยากให้พี่เหลือเฟือเขาห่วงหน้าห่วงหลัง พี่เขาไม่รู้หรอกว่าจอห์นเป็นหนี้อะไรบ้าง เพราะเราไม่เคยบอกเขาพยามปกปิดบอกว่าไม่มีหนี้สินอะไรเราอยากที่จะดูแลตัวเองไม่อยาก
ให้เขามาหนักใจกับด้วยหนี้สินที่มีมาก่อนที่โจ้จะเสีย ตอนนั้นเราสองคนปิดกันไว้จอห์นอยากให้แก้ข่าวว่าทางสมาคมเขาเคยช่วยงานศพโจ้งานศพน้องเจนนี่ ทุกวันนี้มีคนที่แย่กว่าจอห์นตั้งเยอะอยากให้เขาไปดูแลคนเหล่านั้นมากกว่า เพราะเราเหลือแค่ชีวิตเดียวแล้วเราก็ทำมาหากินเองตอนนี้มีความสุขมากได้มาอยู่ที่เก่าถึงจะไม่มีอะไรก็ช่าง”
ยอมรับว่า เล่นการพนันจริงแต่ไม่ได้เล่นจนเสียหมดตัว
“เรื่องการเล่นการพนันมันเป็นธรรมดา จอห์นยอมรับผิดเราอยู่คนเดียวใครดึงไปไหนก็ไป เวลาที่เราสับสนไม่มีใครถ้าเป็นคนอื่นจะทำอย่างไร ตอนนั้นจอห์นพลาดไปแล้ว จอห์นผิดไปแล้วถึงไม่อยากติดต่อกับใครให้คนอื่นมาช่วยเหลืออีกอยากอยู่เงียบๆ ทำมาหากินด้วยตัวเอง เราเหลือแค่ชีวิตเดียวไม่อยากให้ใครช่วยเหลือเป็นภาระเขา แต่ไม่ได้ติดการพนันไม่ถึงขนาดนั้นมันเป็นธรรมดาเล่นหวยเล่นอะไรไป แต่ไม่ใช่ว่าเล่นจนหมดตัว ไม่ต้องไปถามใครอยากรู้อะไรให้มาถามจอห์นจะบอกความจริง คนรักเราก็มีคนเกลียดก็มี คนรักเป็นร้อยคนอิจฉาเป็นพันขนาดลิ้นกับฟันยังกระทบกันได้ แล้วนับประสาอะไรกับคำพูดของคน”
“ยอมรับว่าเล่นไพ่จริงแต่ไม่ใช่เล่นจนเสียหมดตัวต้องขายบ้าน เวลาที่เล่นๆ กับคนในหมู่บ้านเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงกับเล่นหัวปักหัวปำขนาดนั้น เล่นแล้วเราก็มาขายของตรงหน้าหมู่บ้าน เราเล่นคลายเหงาตอนนั้นมันเครียดไม่รู้จะระบายอย่างไรแต่ก็เล่นแบบไม่ได้คิดว่าต้องร่ำรวย เพราะเรารู้อยู่ว่าการพนันไม่เคยทำให้ใครร่ำรวยเล่นกันแค่ตาละ 5 -20 บาท”
“บ้านที่ขายไปทุกวันนี้ไม่เคยเสียดาย เพราะคิดว่าบ้านนั้นเป็นของโจ้และเจนนี่ก็อยากให้มันไปพร้อมๆ กับเขา ส่วนคนที่บริจาคเงินมาซื้อบ้านหลังนี้จอห์นขอโทษเขาด้วยที่เราทำแบบนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างอยากให้ทุกคนมาเห็นสภาพเราในตอนนั้น มันเป็นคนละคนกับตอนนี้ ในช่วงนั้นเหมือนเป็นคนบ้าต้องอยู่คนเดียวมันดูอ้างว้างเราเคยคิดวางอนาคตเอาไว้ว่า จะซื้อบ้านหลังนี้เก็บไว้ให้ลูกแล้วพอลูกเสียเราไม่มีใครก็อยู่ไม่ได้ทำอะไรไม่ถูก บางทีตื่นตั้งแต่ตีสี่ออกไปคนเดียวนอนไม่หลับ"
เผยชีวิตเสียหลักเพราะญาติๆ มารุมสูบจนหมดตัว ซ้ำยังตบตีทำร้ายร่างกาย
“ไม่รู้จะไปปรึกษาใครจะโทรไปหาพี่เหลือเฟือก็ไม่กล้ากลัวเขาดุต่อว่า เพราะปิดบังเขาไว้หลายเรื่องหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องญาติๆ ที่เรารับเขามาอยู่ในบ้านทำให้เราต้องรับภาระจ่ายคนเดียวนับตั้งแต่ยาสีฟัน รายจ่ายแต่ละเดือนเป็นหมื่นจอห์นหาคนเดียวต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างเปิดร้าคาราโอเกะลงทุนไปสองแสนบาท เปิดได้ไม่นานพอญาติมาอยู่เขามาต่อว่าไล่แขกบอกว่ารำคาญเสียงดังคนจะหลับจะนอน แค่นั้นชีวิตจอห์นพังหมด พี่เหลือไม่รู้หรอกเราพลาดคิดว่าญาติพี่น้องจะดีก็เลยตัดปัญหาอยู่อย่างนี้คนเดียวดีกว่า”
“เรามาเสียหลักกับญาติๆ พี่ชายมาบอกว่า อยากให้เราช่วยส่งลูกเขาเรียนคนหนึ่ง แต่จอห์นส่งลูกพี่สาวเรียนแล้วหนึ่งคนเวลาจอห์นอยู่กับญาติๆ เราไม่ใช่เจ้าของบ้านเหมือนเป็นคนอาศัย เราอยู่นอกบ้านเขาอยู่ในบ้าน ถ้ามีคนมาหาเขาจะมายืนขวางคนอื่นจะไม่กล้ามายุ่ง แล้วเราเปิดร้านอาหารตามสั่งใครจะกล้ามาสั่งทำอะไรก็เจ๊ง ตรงนี้ไม่กล้าที่จะบอกใครเหมือนน้ำท่วมปาก”
“เรื่องรถกระบะก็ดาวน์ให้พี่ชายเป็นเงินแสนห้าตกลงกันไว้ตอนแรกคือเราเป็นคนดาวน์เขารับปากจะเป็นคนส่ง พอมีเรื่องขัดใจกันเขาเลยไม่ส่งจอห์นต้องส่งเองมันไม่ไหวเดือนละ 9,600 บาท ตีเป็นเดือนละ 10,000 บาท พอส่งไม่ไหวก็เลยต้องเอาไปขายให้หลาน แต่เขาไม่ได้ให้เงินเราเป็นเงินก้อนให้มาเป็นเบี้ยหัวแตกกว่าจะได้ครบเราก็ใช้ไปหมด”
“พอเราพูดถึงเรื่องนี้นิดเขาก็ตบตีถึงได้ต้องเรียกตำรวจมาไม่มีใครรู้มีแค่ทนาย สุกฤษ คนเดียวที่รู้เรื่องนี้เขาเป็นนายความของท่าน เสรี อัศวานนท์ ที่ดูแลจอห์นอยู่ช่วยเหลือตลอด ทนายคนนี้มีอะไรจะคุยกับท่าน จอห์นเรียกแกว่าพ่อยังบอกเขาเลยว่า จอห์นพลาดแล้วไม่อยากติดต่อกับใคร เราพลาดที่เอาครอบครัวพี่น้องมาอยู่เขามากดดัน ไม่อยากรื้อฟื้นใครที่เคยช่วยเหลือ ขอกราบขอโทษยอมรับว่าผิดจอห์นพลาดทำผิดเงินส่วนหนึ่งมันหมดไปกับญาติๆ ด้วยเขาเอาไปเยอะเหมือนกัน”
“บ้านหลังนี้ขายไปห้าเดือนแล้วจอห์นไม่อยากให้ทุกคนมามีความทุกข์กับจอห์น ขอให้มองมันผ่านๆ ไปเราไม่เคยบอกใครว่าเป็นหนี้อะไรบ้างให้มองในแง่ลบอย่างเดียวแง่บวกไม่ต้องมอง ขอรับผิดชอบขอโทษทุกคนอยากให้แค่คนข้างบนเห็นอย่างเดียวว่า เราทำชั่วทำดี ทุกวันนี้ทำใจได้แล้วปลงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเจออะไรมาเยอะมาก แต่จอห์นไม่เคยเป็นหนี้เป็นสินจากการเล่นการพนันเราเล่นไม่นานผ่านไปก็เล่นแก้เหงาเล่นกับพ่อค้าแม่ค้าด้วยกันไม่เคยไปเล่นบ่อนใหญ่ขนาดนั้น”
“คนเราจะดีร้อยครั้งแต่พอทำชั่วแค่ครั้งเดียวคนเห็นหมดเลยอยากบอกว่า ที่ผ่านมาจอห์นขอโทษจอห์นพลาดผิดที่นำเงินช่วยเหลือมา แต่อย่าไปโทษพี่เหลือเฟือไม่เกี่ยวกับสมาคมตลกอยากให้ทุกคนเข้าใจ จอห์นอยากที่จะแก้ปัญหาเอง ไม่อยากที่จะขอโอกาสใครอีก เพราะเขาช่วยเหลือมาเยอะแล้ว อยากที่จะทำเองทำด้วยแรงด้วยมือตัวเอง ถ้าใครจะมาบริจาคเงินให้ไม่เอา แต่ถ้ามาซื้อน้ำพริกเอา เพราะคนช่วยมาเยอะแล้วไม่อยากที่จะเป็นข้อครหานินทาอีก ไม่อยากที่จะเป็นบาปอีกต่อไปถึงได้บอกว่า จอห์น มกจ๊ก ตายไปจากโลกนี้แล้วที่อยู่ทุกวันนี้คือ จอห์น น้ำพริกคนสู้ชีวิตคนใหม่”
“เรื่องข่าวแล้วแต่คนจะคิด จอห์นรับได้ไม่อยากที่จะไปอธิบายอะไรขอให้มันจบ ใครจะคิดอะไรก็ให้เขาคิดไป แค่ให้เบื้องบนรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว คนรอบข้างไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นให้เขามองในแง่ลบอย่างเดียวแง่บวกไม่ต้องมอง เราไม่รู้อนาคตจะอยู่ได้นานแค่ไหนเหลือตัวคนเดียวไม่ขออะไรแล้ว แค่ส่งหลานสาวที่เรียนอยู่ให้จบก็พอแล้ว อยากอยู่ในวงแคบๆ ทำมาหากินตามธรรมดาตื่นขึ้นมาเห็นชีวิตวันนี้ดีกว่าเมื่อวานแค่นี้ก็พอแล้ว ขอสู้เพื่อชีวิตที่ยังมีลมหายใจก็พอแล้ว”
“จอห์นอยู่แบบนี้มีความสุขดีไม่อยากที่จะคิดอะไรอีก ถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ชีวิตมีทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่มีความสุขเลยมีแต่คนมาแสวงหาผลประโยชน์ บางครั้งรู้สึกน้อยใจเราไม่อยากจะเป็นภาระใคร แต่คนที่เขาช่วยเหลือกลับคิดว่าเราขาดการติดต่อลืมบุญคุณ อยากบอกว่าไม่ใช่คนแบบนั้น เรามีแรงกดดันเก็บความรู้สึกไว้ลึกๆ ไม่กล้าบอกให้ใครรู้ ตั้งแต่เล็กจนโตจะเป็นแบบนี้อย่างเวลาเรามีเงินจะให้แม่แต่ถ้าไม่มีเงินจะหลบหน้าแม่ไปขายของกล้วยทอดงานวัด ถ้าได้เงินมาจะให้แม่ ถ้าไม่มีเราจะหนีไม่เจอหน้าแม่มีนิสัยแบบนี้เก็บความกดดันไว้ตลอด ทุกข์สุขเก็บไว้ไม่รู้จะระบายให้ใครฟังจะมาระบายตอนที่ไหว้พระ”
“ที่ผ่านมาพี่เหลือก็เคยเตือนตลอดว่าให้ระวังญาติพี่น้อง เราก็คิดว่าญาติพี่น้องเขาจะช่วยเหลือได้แต่มันกลับตรงกันข้าม คิดไว้ว่าบั้นปลายชีวิตจะอยู่ที่นี่ตายที่นี่จะร่ำรวยฐานะดีกว่านี้ก็ไม่เอาแล้วบ้านไม่คิดที่จะเดินไปซื้ออะไรอีก ชีวิตนี้อยากที่จะทำบุญอย่างเดียวได้เงินมาก็เอาไปเลี้ยงข้าวเด็ก ซื้อของแจกเหลือเงินแค่เอามาลงทุนทำน้ำพริกก็พอแล้ว ทุกวันนี้มีขัดสนบ้างแต่มันก็ไปเรื่อยๆ เรื่องหนี้สินยังมีอยู่เป็นหนี้จากการลงทุนน้ำพริกไม่เกี่ยวกับหนี้ครั้งก่อน แต่ก็ไม่ทำให้เดือดร้อนอะไรเรามีรายได้ที่เอามาหมุนเวียนไปได้”