โจ นูโว” ทนไม่ไหวตำรวจทำร้ายประชาชน แฉเป็นการทำข้อเสนอ (Proposal) ประกอบการลี้ภัยของใครบางคน เผยมีการให้เงินกระจายไปทุกจุด ลั่นรู้ดี ใครชั่ว ใครเลว เรียกร้องรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ตำรวจบุกสลายม็อบด้วยความรุนแรง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้หลายๆ ฝ่ายทนไม่ไหวต้องออกมาประณามการกระทำดังกล่าว “โจ นูโว” จิรายุส วรรธนะสิน ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่ไปร่วมลงนามไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาล และเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ว่า “เป็นการทำข้อเสนอ (Proposal) ประกอบการลี้ภัยของใครบางคน ลั่นรู้ดีว่า ใครดี ใครชั่ว!”
“ตอนนี้มันถึงจุดที่แบบมีการแตกแยกกันอย่างรุนแรงมาก ประเทศชาติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันทุกคนก็ทะเลาะกัน คนร่วมงานกันก็ทะเลาะกัน เพียงเพราะเรื่องของคนๆ เดียว กับเงิน กับผลประโยชน์อะไรแบบนี้ คือ ผมอยู่มาตลอด ผมเกิด พ.ศ.2510 ปี 2519 ผมดูทีวีก็เห็นนักศึกษาถูกให้ถอดยกทรงหมอบอยู่ในสนาม ผมก็ถามพ่อว่านี่อะไร พ่อก็บอกอ๋อวันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนลูก”
“จนกระทั่งพฤษภาทมิฬ ผมก็เห็นก็รู้ตลอดว่าอะไรคืออะไร จนถึงตอนนี้มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นจุดที่แบบทุกคนอึดอัดหมด มันแบ่งเป็นหลายๆ กลุ่ม บางคนก็ได้ผลประโยชน์ไปแล้ว บางคนไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ ก็ต้องขอบคุณกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย เพราะข้อมูลเขาดี บางคนไม่ได้ติดตาม แต่พอฟังข้อมูลก็ทำให้ฉลาดขึ้น พอคนฉลาดขึ้นคิดขึ้นเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ก็คงต้องใช้เวลา”
“เรื่องการทะเลาะกันสำหรับผมรู้สึกเฉยๆ อยู่แล้ว เพราะผมเห็นการขัดแย้งมาโดยตลอด เหมือนพ่อกับลูกทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ต้องรักกัน เพราะเป็นพ่อกับลูก พ่อหยิบไม้เรียวออกมาตีลูกเดี๋ยวก็ดีกัน แต่ถ้าพ่อเริ่มหยิบระเบิดมาขว้างใส่ลูกมันไม่ใช่ไง ผมรู้สึกว่า...โอ้โห ผมไม่ชอบการใช้ความรุนแรงกับประชาชน”
“ส่วนเรื่องการยุบสภาควรจะเลือกตั้งใหม่ อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะไปหยิบยื่นอะไรได้ แต่ถ้าจะถามว่า ถ้าจะให้ยุบสภาทำรัฐธรรมนูญใหม่มันก็น่าจะเป็นทางออกอย่างหนึ่ง แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเก่าๆ ความน้ำเน่ามันยังจะกลับมาอีกหรือเปล่า ซึ่งปัญหามันอยู่ตรงนั้น ถ้าผมมีโอกาสก็อยากจะบอกว่า พอเถอะคร้าบ (ลากเสียงยาว) อยู่บ้านเถอะ เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเถอะ ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาทำงานกันบ้างก็น่าจะดีขึ้น”
คนเก่า เรื่องเน่าๆ จะกลับมาอีกหรือเปล่า เป็นเรื่องที่เกินจะคาดเดา แต่ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และการที่ตำรวจออกมาแถลงการณ์ว่า ใช้แค่แก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุม เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยังกังขา ในฐานะที่บุคคลสาธารณะที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเหยื่อทมิฬที่โรงพยาบาล “โจ นูโว” ยืนยันว่าแก๊สน้ำตาไม่น่าทำให้คนขาขาดได้
“การที่ผมไปเยี่ยมคนไทยที่บาดเจ็บจากการเข้าไปสลายม็อบที่โรงพยาบาลวชิระ ผมเข้าไปดูแผล ดูจากตาเปล่า และการได้สัมผัส ผมรู้สึกว่า มันไม่น่าจะเป็นแผลที่มาจากแก๊สน้ำตา น่าจะเป็นแผลที่มาจากอะไรที่เป็นสะเก็ดออกมา ถ้าตำรวจไม่ได้ขว้างก็คงอาจจะมีใครซุ่มขว้างอยู่ที่อื่น หรือรอจังหวะขว้าง แต่ผมมองดูแล้วไม่ใช่แก๊สน้ำตาที่จะทำให้คนขาขาดได้”
ส่วนเรื่องที่ตำรวจบอกว่า “ระเบิดเป็นของพันธมิตรฯ” นักร้องชื่อดังบอกว่า...
“ในความเห็นของผม ผมคิดว่าถ้าใครพกระเบิดไป ก็คงขว้างออกไปแหละครับ คงไม่มีใครเก็บไว้กับตัวเอง อีกอย่างหนึ่งก็อย่าลืมว่าเราก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่รอทำให้มันรุนแรงขึ้น คือ ผมมองแล้ว ผมคิดว่ามันเหมือนการทำข้อเสนอมันคือ การทำข้อเสนอประกอบการขอลี้ภัยมากกว่า ดูแล้วมันแบบ...มันเหมือนเป็นการทำข้อเสนอ (Proposal) ไปขอสปอนเซอร์ เราก็ต้องทำให้โครงการเราน่าเชื่อถือที่สุด การที่จะไปผลักดันให้ม็อบผลักไปโดยดีโดยการเอาโล่ดันๆ ก็ได้ เอาตะบองตีก็ได้แต่ไม่ใช่ ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ขนาดนี้ ตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายซักเท่าไหร่”
สรุปคิดว่าเป็นการจงใจให้เกิดความรุนแรง เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” พึ่งยื่นขอลี้ภัยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ครับ แต่ผมมองว่ามันเหมือนการทำ Proposal ซึ่งการทำ Proposal นั้นมันแลกด้วยเลือด มันก็ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่”
การที่ตำรวจใช้ความรุนแรง จนทำให้เกิดคนบาดเจ็บล้มตาย เพราะแค่ต้องการเปิดทางให้รัฐบาลไปประกาศนโยบายในรัฐสภา ทำให้หลายๆ ฝ่ายออกมาประณามการกระทำดังกล่าว เรื่องนี้ โจ บอกว่า เป็นเรื่องเกินเยียวยาจนอยากจะลาออกจากความเป็นคนไทย
“คือ อันนี้โดยหลักคอมมอนเซนต์ ประชาชนชาวไทยดูโดยหลักคอมมอนเซนต์ด้วยความคิดง่ายๆ ก็น่าจะถอนหายใจ ถอนหายใจแล้วแบบ....เฮ้อ มันรู้สึกว่าถ้าไม่แถลงวันนั้นก็จะหลุดไปแล้วใช่ไหม หลังจากตั้งรัฐบาลมันต้องแถลงนโยบายภายใน 15 วัน ถ้าไม่ทำภายใน 15 วันจะต้องล้มเลิกไป วันนั้นมันเป็นวันสุดท้ายหรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่วันสุดท้ายเลื่อนไปก็ได้ ทำไมจะต้องเข้าวันนั้น”
“คือ มันเป็นเรื่องแบบว่า มันเกินเยียวยาจริงๆ มันน่าจะไปลาออกจริงๆ ผมนะควรไปลาออกจากความเป็นคนไทย อายผมอาย เพื่อนผมที่เป็นเล่นคีย์บอร์ด เขาเป็นชาวมาเลเซีย เขาบอกประเทศยูดังมาก ทุกคนบอกประเทศเราดังมาก มันทำให้เรารู้สึกหดหู่ใจ มันดังในทางที่แบบว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีคนที่เขาอยู่เมืองนอกด้วย ดูแล้วอยากจะถอนหายใจ”
“คือ เรื่องแกมม่าในการสลายชุมนุมผมไม่เกี่ยวอยู่แล้ว เพราะผมเป็นนักดนตรี แต่ผมก็เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว มันมีความรุนแรงป่าหวายที่ยิง ตู้ม ตู้ม ตู้ม หายไป 5-6 พันคน ก็มี พฤษภาทมิฬ เราก็เห็นมาหมดแล้ว เพียงแต่ว่ามันน่าหดหู่ใจตรงที่ว่า มันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง มันไม่ได้ทำด้วยอุดมการณ์ตัวเอง มันทำเพราะถูกสั่ง มันทำเพราะได้เงิน หรือมันทำเพราะต้องทำ”
“สงครามโลกครั้งที่ 2 คนเยอรมันกับอเมริกันวัยรุ่นอายุ 20 เจอหน้ากัน ไม่รู้จัก แต่ต้องฆ่ากันนะ เพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าผมเจอคุณแล้วคุณใส่ชุดนาซีผมต้องฆ่าคุณทันทีเลย กระสุนหมดเอาระเบิดขว้าง นั่นคือสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นี่เราคนไทยด้วยกัน เข้าใจเปล่าคนไทยด้วยกันแบบไม่มีเงื่อนไข ถูกสั่งมาต้องยิงตู้ม ต้องผลัก ต้องยิง ไอ้นั่นมาต้องฟาดต้องตี โดยที่ไม่ใช่เป็นเงื่อนไขแบบเป็นรัฐบาลของคุณสุจินดา (พล.อ สุจินดา คราประยูร) แล้วคนไม่ยอม ทหารก็ไม่ยอมอันนั้นต้องดุเดือดเลือดพล่าน”
“แต่นี่เป็นเรื่องที่คนหนึ่งก็อ้างว่า ตัวเองมาจากการเลือกตั้ง เป็นนักเลือกตั้ง อีกคนก็บอกว่าไม่ชอบธรรม ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่ชอบธรรมแล้วแหละเมื่อถึงตรงนี้ เท่าที่เราเห็นมาที่มาทำร้ายกันจนต้องมีคนต้องเข้าโรงพยาบาลและมีคนตาย นี่คือ จุดที่ผมรับไม่ได้ ผมหดหู่ที่สุด ผมคิดว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นเหมือนการทำ Proposal มากเลย”
ส่วนเรื่องที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาในระดับที่หวังผลต่อร่างกาย ไม่ใช่ยิงขึ้นบนฟ้าเหมือนที่สากลเขาทำกัน “โจ นูโว” ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะเมืองไทยม็อบน้อย
“นี่แหละครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเมืองไทยม็อบน้อย ประสบการณ์ปราบม็อบไม่ค่อยมี รู้แต่ว่าเวลามีม็อบต้องมีคนตาย 2-3 พัน ที่สูญหายไปตอนพฤษภาฯ ก็เป็นพัน ม็อบน้อยเลยไม่ค่อยชิน หรือว่าถ้าจะยิงกันตรงๆ ก็เอาปืนจริงๆ มายิงกันดีกว่า ตรงนั้นเราก็ไม่รู้ว่าตำรวจยิงไม่เป็นหรือยังไง มันเป็นเรื่องที่ผมไม่รู้ และก็ไม่ใช้เรื่องที่ผมแปลกใจ คือ ถ้าเขาสั่งมาว่าให้ยิงแก๊สน้ำตา แต่การยิงแก๊สน้ำตายิงเป็นหรือเป็นก็ไม่รู้ แต่ต่อให้ยิงไม่เป็นขาก็ไม่น่าจะขาด”
“อันนี้ผมก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และผมก็ไม่ใช่นักวิเคราะห์แบบ พ.ญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ นะครับ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ทราบดีกว่า แต่เอาเป็นว่าสิ่งที่เราไปเห็นที่โรงพยาบาลเขาก็อาจจะเจ็บแบบ บางคนไปเจ็บที่สะโพกก็อาจจะระเบิดลั่น หรือโดนระเบิดก็แล้วกันไป แต่เป็นระเบิดแน่ๆ ไม่ใช่แก๊สน้ำตา นี่คือจากการที่เราไปเห็นแผล”
“ความรู้สึกผม คือ แรกๆ ทำไมถึงต้องโหดอย่างนั้นล่ะ ทำไมต้องทำกันรุนแรงขนาดนั้น ผมรู้สึกเศร้าใจที่มันเป็นประเทศของประชาชน แต่ตอนนี้มันเป็นรัฐตำรวจ ผมไม่ได้เกลียดตำรวจนะครับ ผมก็รักตำรวจ มีเพื่อนเป็นตำรวจ มีพวกพี่ๆ เป็นตำรวจเยอะ แต่อยากให้ตำรวจคิดว่า ทำเพื่อความถูกต้อง กับใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทำ ลองไต่ตรองดูสิว่า นี่ทำเพื่อใคร ทำเพื่อความถูกต้อง หรือทำเพื่อใคร ผมก็ไม่ได้เกลียดใครคนนั้นนะ แต่ผมอยากให้หยุดทำก่อน ก็มีคนร้องก็อย่าเพิ่งแถลง ตอนนี้มันเป็นการจะเอาชนะกัน”
เหมือนเป็นกระบวนการเร่งที่จะทำเพื่อให้บรรลุผลบางอย่าง เพราะในอีกไม่กี่วันศาลรัฐธรรมนูญศาลก็จะตัดสินคดีของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในเดือนนี้
“ตรงเรื่องศาลผมก็ไม่อาจจะอาจเอื้อมอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องแบบอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน อ้าววันนี้คนนี้โดน อ้าววันนี้คนนั้นโดน เป็นเรื่องเหมือนเราเสพวาไรตี้โชว์ แต่อย่าลืมนะครับมันไม่ใช่เอเอฟแต่มันเป็นเอเอส....ทีวี มันก็ดีที่คุณสนใจเรื่องการเมือง แต่บางทีมันทำให้เครียด ดูการเมืองจนแบบติดและช่างน้ำหนักไม่ออก แต่ผมดูด้วยความไตร่ตรอง ดูว่าอันไหนมันถูกต้อง”
“พันธมิตรฯข้อมูลเขาดีมาก ผมติดตามตลอด มีช่วงเครียดด้วย และบางทีก็ไม่เครียด ทำให้เราแบบเอ๊ะดูเอเอฟ หรือดูเอเอสทีวีดีวะเนี่ยวันนี้ คือ มันก็งงๆ ตกลงดูคนดูเรียลิตีโชว์ซึ่งไม่ใช่ แต่มันคือประเทศชาติบ้านเมืองจริงๆ มันคือของจริง ซึ่งถ้าไม่มีการทำร้ายประชาชนให้เจ็บผมก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย เพราะมันมีคนที่คอยดูประชาชนอยู่ แต่ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่า มันมีแต่ความรุนแรงกับประชาชน ในฐานะที่เราถึงวัยกลางคนแล้วเราก็อยู่นิ่งตรงนี้ไม่ได้ แล้ว ประเทศชาติก็ให้อะไรเรามาเยอะ ทำให้เรามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เราก็ต้องทำอะไรที่ไตร่ตรองแล้ว”
พูดง่ายๆ พอเห็นข่าวก็ทำให้ทนไม่ได้ จนคิดว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง...
“ผมก็เลือกที่จะไปเยี่ยมคนที่บาดเจ็บที่โรงพยาบาล กลับมาเพื่อนก็ถามไปเยี่ยมพันธมิตรฯ มาเหรอ ผมก็บอกว่า ไปเยี่ยมคนไทยที่บาดเจ็บจากการสลายม็อบ คนไทยเขาบาดเจ็บก็ไปให้กำลังใจเขา บางคนก็ถามว่าไปขึ้นเวทีมาเหรอ ผมก็บอกว่าไม่เคยไปเลย ไม่เคยไปอยู่ ไม่เคยไปอะไรเลย แต่ว่าเราก็มีจุดยืนของเรา คือ หนึ่งเรารักในหลวงรักพระราชินี สองเราไม่ชอบที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชน สองอย่างนี้จบนี่คือจุดยืนผมจบ ส่วนเรื่องอื่นผมเข้าใจหมด เข้าใจว่า....ใครชั่ว ใครเลว(แต่พูดไม่ได้) พูดได้ แต่มันก็มีคนพูดเยอะแล้ว ไม่ไปยุ่งตรงนั้นดีกว่า เอาที่ว่าเรารักในหลวงเรารักพระราชินี และเราก็ประณามการกระทำที่รุนแรงต่อประชาชน”
“ส่วนที่ผมออกมาร่วมแถลงการณ์กับกลุ่มศิลปิน ก็เพราะว่า เราก็มองดูอยู่ว่ามันมีร่องไหนที่จะระบายความอึดอัดตรงนั้นออกมาได้ ก็พอดีกลุ่มพี่เนาวรัตน์ (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) กับพี่หงา(สุรชัย จันทิมาธร) เขาก็นัดกันว่าเที่ยงมาคุยกันหน่อยสิว่าเป็นไง (คือปกติก็คุยกันอยู่แล้ว) ไม่ครับ คือ ผมฟังคุณอัญชลี (อัญชลี ไพรรัก) คุณอัญชลีเขาเรียกออกมาได้แล้ว ออกมาได้แล้วพวกศิลปิน เราก็ขอไปฟังหน่อย ผมก็เข้าไปนั่งเราก็อ่านดูและก็เห็นด้วยก็ลงชื่อไป”
“พอลงชื่อเสร็จ พี่หงา ก็ชวนไปสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยไปแถลงเรื่องนี้ และก็ไปยื่นหนังสือให้กับทางสมาคม ซึ่งตรงข้ามสมาคมเป็นโรงพยาบาลเลย ผมก็เลยเดินเข้าไปเยี่ยมเลย”
“ส่วนศิลปินคนไหนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ผมคิดว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นเลย ศิลปินอยู่ตึกไหนค่ายใคร หัวหน้าเป็นเพื่อนกับใครเราก็รู้กันหมด แต่เราจะทำอย่างนั้นทำไม ประเทศชาติให้อะไรเรามาตั้งเยอะแยะแล้ว มาถึงขนาดนี้แล้วก็ควรจะแสดงอะไรออกมาบ้าง มีจุดยืนของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่ารอจะรับเงินอย่างเดียว แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นรับไปทะเลาะกันไป ถ้าเรามีโอกาสที่จะโผล่มาตรงไหนก็ควรที่จะโผล่มาไม่ต้องไปกลัว จะกลัวอะไร ทุกวันนี้ทำงานหากินเล่นดนตรีในผับก็ทำกันอยู่แล้ว (เดี๋ยวโดนดอง) ก็ช่วยไม่ได้แต่งเพลงออกมาเพราะๆ ก็ไม่โดนดอง”
“คือ คุณเป็นไทยพอถึงจุดหนึ่งคุณจะรอนิ่งๆ แล้วให้เขาทะเลาะกันไปผมว่ามันก็โอเคถ้าคุณอายุ 20 กว่า 30 แต่นี่ผมมันก็กลางคนมากแล้ว ถ้าจะปล่อยให้พี่หงากับอาจารย์เนาวรัตน์ออกมาคนเดียว แล้วถ้าเกิดหมดรุ่นนั้นไปแล้วจะมีใครล่ะ อีก 20-30 ปีอาจจะมีเรื่องแบบนี้อีก ไม่ใช่พวกรุ่นอายุเท่าเราแล้วจะใครล่ะ มองซ้ายมองขวาพี่หงา 80 แล้วแกคงไม่ออกมาแล้ว พี่มงคล อุทกก็คงไม่ออกมาแล้ว จะเอาพี่เนาวรัตน์แกก็คงใส่แพมเพิร์สไปแล้ว”
“ผมว่าศิลปินอย่างพวกผม กบ ทรงสิทธิ์, จอห์น, ก้อง, มอส ต้องออกมา โตๆ กันแล้วแสดงบทบาทตรงไหนได้ก็แสดงไป อาจจะไม่จำเป็นต้องไปแบบสุดโต่งขวาสุดซ้ายสุด แต่ว่ามาตรงกลาง ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องก็แสดงออกมาหน่อย ประเทศไทยให้เรามาเยอะแล้ว ให้คนรู้จักคุณ คุณแสดงละครมีคนดูแล้วคุณจะมานั่งอยู่เฉยๆ ทำตัวเป็นพระเอกตลอดผมว่ามันไม่เหมาะ”
“มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะตอบแทนคุณประเทศ จะทำอะไรก็ทำแต่ไม่จำเป็นจะต้องไปขวาสุดหรือซ้ายสุด แต่เห็นว่าคนเจ็บก็ไปเยี่ยมเขา เขาเจ็บเพื่อคุณนะ หรือคุณเห็นว่า เขาดันหาเรื่องไปเจ็บเองก็แล้วแต่ แต่ว่าเขาคือคนไทย (กำลังจะบอกว่าเขาเจ็บเพื่อชาติ) เขาก็เจ็บเพื่อคุณนะ ไม่ว่าเรื่องมันจะจบแบบซ้ายชนะขวาชนะก็แล้วแต่ แต่เขาก็เจ็บให้มันจบ งานนี้ถ้าไม่มีคนเจ็บมันก็ไม่จบอยู่แล้ว”
“วันนี้จะจบไหม ผมว่ามันอยู่ที่คนที่ถือปืนใหญ่ๆ (ทหาร) ใช่ มันอยู่ที่ตรงนั้นแหละ(แต่ตอนนี้ 3 เหล่าทัพก็มาเสริมทัพทหารตำรวจแล้ว) ก็เรียบร้อยครับ ถ้าเล่นหมากรุกเป็นการวางหมากที่เยี่ยมยอดทีเดียวน่าชมเชย น่าซูฮก และน่าเห็นใจ จะเกิดความรุนแรงขึ้นกว่านี้อีกไหมคงเดาไม่ได้หรอกครับ เพราะมันอยู่ที่จิตสำนึกคนถือปืนว่าจะหันไปจ่อใครแค่นั้นเอง มันเป็นสิ่งที่เดาไม่ได้ เขาอาจจะหันไปจ่อผมก็ได้ หรืออาจจะหันไปจ่อพวกข้าราชการพวกเดียวกับเขาก็ได้ มันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าเขาจะไปจ่อใครเงินมีส่วนสำคัญอย่างมาก”
“ผมอึดอัดมากที่.....คือ ถ้าผมมีอำนาจมากคงจะสนุกกว่านี้ ถ้ามันเป็นเหมือนเกมคอมพิวเตอร์คงจะมันส์กว่านี้ ถ้าผมมีบารมีคงจะสนุกกว่านี้ แต่นี่ผมก็เป็นพสกนิกรชาวไทยคนหนึ่งที่มองเหตุการณ์อยู่ และผมก็มองว่า มันคงจะมีการรับสตางค์กันทุกหมู่เหล่า ทุกด้าน ทุกรั้ว ทุกที่ ทุกที่ ทุกจุด ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สักคน ก็เลยอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ไม่งั้นก็คงไม่ปล่อยให้คนตายกันขนาดนี้หรอก เข้าใจความหมายของผมไหม (คิดว่าเพราะเงิน) ทุกจุด ทุกที่ ทุกรั้ว ทุกห้อง”
“ถามว่าจะจบแบบไหน ก็คงเป็นคนที่ได้รับเงินออกมาทรยศเงินออกมามันถึงจะจบ เขาบริจาคมากที่ไหนก็ได้รับบริจาคทั้งหมด หมู่บ้านเพื่อนผมแม่ทำงานอยู่เชียงใหม่ทัวร์นกขมิ้นก็ได้รับ คือได้รับหมดทุกจุดแล้ว”
จากนี้ต่อไปในฐานะศิลปินคนหนึ่ง ที่เคยได้รับชื่อเสียงเงินทองจากประชาชน คิดว่าจะทำอะไรตอบแทนสังคมและประเทศชาติ
“ก็มีศิลปินคนหนึ่งที่เป็นนักวาดรูปแขนเขาขาด เพราะเหตุการณ์นี้ วันอาทิตย์ก็ว่าจะไปเล่นคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้ให้เขาที่แซกโซโฟน ตอนนี้กำลังคุยโครงการอยู่กับอาจารย์เนาวรัตน์และกลุ่มของคาราวาน ถ้าผมมีโอกาสก็อยากจะบอกว่า คนที่อยู่กลุ่มกลางๆ ออกมาแสดงตัวหน่อย อย่าอยู่นิ่งๆ ตอนนี้ประเทศชาติกำลังต้องการคุณอย่างพวกคุณเยอะมาก มาแสดงอารมณ์อะไรหน่อย”
ถ้าเป็นบ้านเมืองอื่น “นายกรัฐมนตรี” คงลาออกไป แต่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ประกาศไม่ลาออกไม่ยุบสภา
“โอ้โห....มันได้เงินกันทุกจุด ทุกคน ทุกรั้ว ทุกบ้านครับ การที่เขาจะแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกผมเห็นสมควรมาก อย่างน้อยก็ค่อยยังชั่ว แต่ค่อยยังชั่วนั้น ก็ยังชั่วอยู่(หัวเราะเสียงดัง) ไม่หรอกครับ แต่มันน่าจะค่อยยังชั่วค่อยคลี่คลาย กลับบ้านกลับช่องกันไปก่อน”
“ผมอยากจะบอกว่า ผมเห็นด้วยเลย อะไรก็ได้ทำไปก่อนอะไรก็ได้ ผมไม่อาจล่วงเกินตรงนั้น ผมเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่อะไรก็ได้ ขอให้ขาวๆ กัน ยอมๆ กัน คือทำอะไรก็ได้อย่าให้มีคนเจ็บใจหรือโกรธแค้นอาย มนุษย์เรามีอย่างเดียวอย่าให้อาย บางทีทำให้โกรธยังไม่เท่าไหร่ แต่ทำให้อายรู้สึกโกรธ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ฝ่ายนี้ไม่อายสงบๆ ยกโทษถอยหลังให้ฝ่ายนี้ คือให้ทุกคนแฮบปี้ ฝ่ายนี้แฮบปี้ทุกคนแฮบปี้แล้วยิ้มแย้มกัน และประเทศชาติก็เดินกันต่อไป”
“ส่วนดีเทลห้ามแก้รัฐธรรมนูญ 3 ปี อันเก่าต้องเข้าคุก อันนี้ต้องโมฆะ อันนั้นมันเยอะไปให้ไม่ไหว อะไรก็ได้ให้ทุกคนมีความสุข ให้ถอยไปเคลียร์ทีละปมๆ จะเป็นสิ่งที่ดีมาก สิ่งที่ถามผมมามันก็สุดโต่ง ใช่ก็มีคนโกรธอีก คนเก่าก็โกรธอีก ก็มาทุ่มอีก จะเอาเท่าไหร่ล่ะกี่แสนล้าน ถ้าเอาแบบนี้อย่าให้คนเก่าโกรธ อย่าให้คนใหม่โกรธ อย่าให้คนตรงกลางโกรธมันก็จะดีมากๆ”
ตามความจริงแล้วการที่จะทำให้ทุกฝ่ายแฮปปี้เป็นเรื่องที่ยาก เพราะมันไม่ใช่เรื่อง คนเก่า คนใหม่ คนกลาง แต่มันเป็นการเรื่องของ “คนผิด” กับ “คนถูก” ฉะนั้น ผลประโยชน์มันไม่มีทางจะบรรจบกันได้
“ใช่.....แต่มันก็กลับมาที่เรื่องเดิม เขาส่งเงินมาแล้วทุกจุดมันก็แย่อีก ที่น้องพูดนี่ก็เข้าใจหมดนะ เข้าใจนะ ไอ้นี่ผิดคนก็รู้ไอ้นี่ผิด แล้วทำไมไอ้นี่มันอยู่ได้ ก็กลับมาที่คำว่า ทุกจุด ผมขอใช้รหัสคำว่าทุกจุด มันไปทุกจุด เอาให้ใหญ่ที่สุดก็ทุกจุด กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกทุกจุด เป็นการเล่นหมากรุกที่เก่งมาก มันก็จะเป็นปัญหาแบบนี้”
“เพราะฉะนั้นมันก็ต้องแบบว่า คุณอยากได้ยังไงคร้าบ ผมว่ามันยังต้องยังงี้มากกว่า ทางนี้ก็มีหมายจับเต็มไปหมดไม่รู้กี่ใบ ออกจากรั้วนั้นมาโดนจับ เอ้าเคลียร์ๆ กลับบ้านได้ แล้วคุณจะเอาไงคร้าบ คุณพอใจจะอยู่ที่โน่นไปเลยไหมหรือว่าไง ก็ต้องลดๆ ตรงนั้นก่อนนะ แต่จุดยืนเดิมที่ผมมีคือ ผมรักในหลวงกับไม่อยากให้ทำร้ายประชาชน นั่นคือจุดยืนของผมสองข้อ”
ปัญหาก็คือว่า คนที่อยู่ตรงกลางที่จะทำให้ทุกคนประนีประนอมควรที่จะเป็นใคร “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” งั้นหรือ
“คงต้องไม่ใช่คนนี้ คงต้องเป็นอะไรที่ฟ้ามาประทานมากกว่า”
แสดงว่า โจ ก็รู้สึกว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นระบบเครือญาตินอมินี
“โอ้โห....มันเป็นแฟมิลี่ มันยิ่งกว่านอมินี มันเป็นแฟมิลี่ แต่เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้นะ ถ้าเขามีโอกาสทำงานด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องทำ Proposal ให้ใคร ถ้าเขามาจากการสร้างบารมีตัวเองได้ด้วยการเดินทางมาร้อยกว่าลี้มันก็โอเค ยืนด้วยขาตัวเองได้มันก็ไม่ใช่”
ไม่ห่วงถ้าจะเกิดอะไรขึ้น หลังมาร่วมลงนามกับกลุ่มศิลปินให้นายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรม
“ผมคิดว่าผมไม่ห่วง เพราะผมไม่ได้ทำร้ายอะไรใคร อย่าไปคิดว่าผมอยู่ข้างไหน ถ้ารักผมก็ชอบที่ผมร้องเพลงเพราะ ถ้าผมมีโอกาสเล่นละคร ถ้าผมเล่นดีก็ชอบก็ดูละครผมไป ถ้าเห็นผมไปยืนอยู่เวทีไหนปราศรัยที่ไหนก็ฟังผมไป ถ้าผมไม่ได้ไปยืนก็แปลว่าผมไม่ไป ถ้าผมแสดงจุดยืนในการทำร้ายประชาชนเป็นสิ่งที่ผิดก็ขอโทษด้วย แต่ผมคิดว่ามันผิดจริงๆ หรือการที่ผมประกาศว่า ผมรักในหลวงเป็นสิ่งที่ผิดก็ขอโทษด้วยที่ผมรักในหลวงแล้วผมผิด ก็ดูสิ่งที่ผมทำดีกว่า ส่วนใครจะมานั่งดักตีหัวผมคิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“ผมก็ไม่ได้หากินกับจอทีวี ไม่ได้มีรายการทีวีที่จะต้องคอยเข้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 7 9 ผมทำงานอิสระร้องเพลงเล่นดนตรีตามผับตามบาร์ ผมรู้แล้วว่าเราอยู่ตรงไหน จุดยืนเราก็อยู่ตรงนี้”
“ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียสำหรับเหตุการณ์นี้รวมไปถึงคนที่บาดเจ็บ ผมเป็นคนคริสเตียนก็จะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยตลอดเวลา ก็ไม่สามารถจะพูดอะไรเพื่อไปแก้ไขอะไรได้ผมก็ไม่ใช่พระบิดาหรือพระเจ้าที่ไหน ก็ได้แต่อ้อนวอนพระเจ้าให้เหตุการณ์มันคลี่คลายไปในทางของพระองค์ที่พระองค์คงจะมีทางเปิดให้ ถ้าเป็นคนพุทธก็คงจะพูดว่าพระสยามเทวาธิราชคงจะมีทางออกให้ จุดยืนของผมก็มีแค่นี้ รักในหลวง ไม่อยากเห็นคนไทยเลือดตกยางออก”
“และก็อยากจะฝากไปบอกตำรวจด้วยว่า จะทำอะไรก็ทำแต่ต้องพยายามคิดถึงชีวิตคน เลือดเนื้อคนที่เขาเสียไปกับสิ่งที่คุณมีความสุข เพราะเราทำสำเร็จดังใจผู้ที่บอกมาแล้ว ผมว่าอยากให้คิดซักนิดนึงแล้วมันจะดีกว่านี้ ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลต้องนึกถึงการอย่าให้เลือดตกยางออก ไม่งั้นประเทศชาติจะเสียหาย ชาวบ้านที่เขาอยู่ประเทศอื่นก็จะสมน้ำหน้า แล้วประเทศเรามันจะดูเหมือนมีแต่คนเห็นแก่เงินมันดูไม่ดี”