ผู้จัดการออนไลน์ - อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ชี้ “สมชาย” หน้าเนื้อใจสัตว์จริง หนีรับผิดชอบสั่ง ตร.ฆ่า ปชช.ไม่พ้น อาสาเป็น กก.เข้าทำเรื่อง 7 ตุลาฯ ให้กระจ่าง ระบุผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้ใหญ่-ผู้น้อยต้องโดนลงโทษหมด ชี้เบื้องต้นดำเนินคดีอาญากับ ตร. ได้ 4 ข้อทันที ค้านตั้ง “หมอพรทิพย์” ตรวจสอบเหตุเพราะมีข้อกังขาตั้งแต่กรณีตากใบ ชี้ทหารต้องถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ ประกาศเลิกรับ “มติชน” เพราะบิดเบือนข้อมูลร้ายแรง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "รู้ทันประเทศไทย"
วานนี้ (10 ต.ค.) เวลาประมาณ 20.20 น. รายการรู้ทันประเทศไทย ณ เวทีทำเนียบรัฐบาล ซึ่งดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เชิญ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจและอดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานครขึ้นมากล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม วันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่รัฐบาลสั่งให้ตำรวจใช้กำลังและอาวุธหนักเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บริเวณ หน้ารัฐสภา และลานพระบรมรูปทรงม้า
เมื่อนายเจิมศักดิ์ถามว่า ความสูญเสียและเสียชีวิตของพี่น้องวีรชนนั้นจะเป็นการตายฟรีหรือไม่ พล.ต.อ.ประทินตอบว่า คำว่าตายฟรีนั้นก็เพราะรัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน แต่จริงๆ แล้วพี่น้องวีรชนไม่มีทางตายฟรีและเวรกรรมจะตามทันผู้ที่เข่นฆ่าประชาชนอย่างแน่นอน
จากนั้น พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ 7 ต.ค. ตนเคยผู้ถึงคำว่า “หน้าเนื้อใจสัตว์” เอาไว้ ซึ่งในวันที่ 7 ต.ค. ตนเองนั่งติดตามข่าวสารทางโทรทัศน์ตั้งแต่ 6 นาฬิกา ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนขึ้น ในช่วงบ่ายระหว่างที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี หลบออกจากรัฐสภาไปแถลงข่าวที่กองทัพไทยก็ยังไม่มีความสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำ
“นักข่าวถามว่าในการสลายฝูงชนนั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ แขนขาด ขาขาด นายกฯ ให้ความเห็นไว้ว่ายังไง บอกว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตามหน้าที่ครับ ... ดูจิตใจมัน มันไม่ใยดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย มันไม่แยแส” อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าว พร้อมระบุว่าสมกับที่ตนว่าไว้ว่า นายสมชายเป็นคนหน้าเนื้อใจสัตว์
พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า ถ้านายสมชายเป็นคนดีจริงแล้วพบว่าการสลายมวลชนนั้นก่อให้เกิดความสูญเสีย นายสมชายต้องสั่งให้มีการะงับและการทบทวนการกระทำของตำรวจ แต่นายสมชายไม่ได้ทำเลย ทั้งยังออกมาแถลงด้วยว่าสิ่งที่ตำรวจทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ อดีต ส.ว.กทม.ผู้นี้ยังกล่าวด้วยว่า เท่าที่ตนสังเกต ตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมในวันดังกล่าวนั้น ใช้วิธีการยิงแก๊สน้ำตาที่ไม่ถูกวิธี โดยตำรวจส่วนมากที่ปฏิบัติการในวันนั้นใช้วิธีหันปากกระบอกปืนยิงเข้าใส่ประชาชนในแนวราบ ขณะที่โดยหลักสากลนั้นต้องยิงเป็นวิธีโค้ง
“การยิงแก๊สน้ำตานั้นต้องยิงเป็นวิถีกระสุนโค้ง แล้วเราจะยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนนั้นต้องรู้ว่าช่วงระยะมันห่างพอสมควร เพราะฉะนั้นการยิงแก๊สน้ำตาโดยประทับในแนวราบ กระสุนพุ่งเข้าใส่ประชาชน ถูกประชาชน เขาทนไม่ไหวแน่ เพราะระเบิดวิ่งเข้าหาประชาชนแล้วกระแทกอย่างแรง สะเก็ดระเบิดมันกระจาย และทำร้ายร่างกายของประชาชน เท้าขาด แขนขาด มือขาดได้ครับ” อดีตอธิบดีกรมตำรวจและจี้ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำกระบอกปืนทั้งหมดที่ใช้ในการปฏิบัติการมาตรวจสอบว่า ปืนดังกล่าวสามารถยิงกระสุนอย่างอื่นได้หรือไม่
ชี้นายกฯ ตร.ที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องโดนซิวเรียบ
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวด้วยว่าจาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่นักการเมืองผู้สั่งการ เรื่อยมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงที่สั่งการ เกี่ยวข้อง และตำรวจระดับปฏิบัติการทั้งหมด ต่างมีความผิดและต้องถูกลงโทษทั้งหมด โดยมีข้อหาที่สามารถแจ้งได้มี 4 ข้อหาดังนี้
“ผมเรียนเลยว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่นายกฯ ผู้เกี่ยวข้องและผู้ปฏิบัติทุกคน พวกนี้ไปไม่รอดแน่ครับ ทุกคนต้องรับผิดชอบหมด และอยู่ในข่ายต้องดำเนินคดีทุกคน” อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าว พร้อมอธิบายถึงข้อหาที่สามารถดำเนินการได้ทันทีในเบื้องต้นคือ
ข้อหาที่แรก ที่ดำเนินการได้คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีโทษจำคุก 1-10 ปี
ข้อหาที่ 2 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ข้อหาที่ 3 ทำร้ายประชาชน ให้ได้รับอันตรายทั้งกายและใจ
ข้อหาที่ 4 ทำร้ายร่างกายประชาชนจนได้รับอันตรายสาหัส
พร้อมกล่าวว่าในเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจต้องดำเนินการสอบสวนโดยทันที อยู่เฉยไม่ได้และต้องยึดปืน นำภาพต่างๆ มาสอบสวน ถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินการโดยด่วน
ด่า ตร.รุ่นน้อง “เลวสิ้นดี”
เมื่อ นายเจิมศักดิ์ ถามว่ากรณีที่รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงข่าวระบุว่า “น้องโบว์” น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ เสียชีวิตเพราะหนีบระเบิดเข้าไปในที่ชุมนุมนั้น มีความเห็นว่าอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่
พล.ต.อ.ประทิน ตอบว่า “มันเลวสิ้นดีเลยครับ มันทำร้ายจิตใจคนทั้งประเทศ ยกเว้นไอ้พวกเดียวกับมันเท่านั้นเองครับ”
เมื่อถามว่าจากเหตุการณ์ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ จนถึงขั้นทุพลภาพนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าระเบิดที่ตำรวจใช้มิใช้แก๊สน้ำตา แต่เป็นระเบิดสังหาร พล.อ.ประทิน บอกว่า มีหลักฐานอยู่เต็มไปหมด เพราะสื่อเห็น ประชาชนก็เห็น นอกจากนี้ยังมีภาพที่ตำรวจไม่ได้แต่งเครื่องแบบชุดปราบจลาจลที่มาพร้อมกับตำรวจปราบจลาจล โดยคนเหล่านี้เมื่อขว้างระเบิดไปยังกองยางที่กีดขวางอยู่ กองยางถึงกับฉีกขาด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าที่ตำรวจขว้างมาต้องเป็นลูกระเบิดชนิดหนึ่งชนิดใด และตำรวจต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นในข้อเท็จจริง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มิฉะนั้นเรื่องก็ไม่จบ
“ทุกครั้งที่ตำรวจสาธิตการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา แล้วก็ปรากฎว่าทุกครั้งไม่มีการทำร้ายร่างกายของประชาชน แต่เมื่อความจริงปรากฎว่า การใช้แก๊สน้ำตาครั้งนี้เป็นเหตุให้ประชาชนแขนขาด ขาขาด แล้วมันยังลอยหน้าอยู่ได้อย่างไร” พล.ต.อ.ประทินกล่าว พร้อมกับถามด้วยว่า ตำรวจที่ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ได้ปฏิบัติตามคู่มือและหลักปฏิบัติหรือไม่ เพราะถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามนั้นก็ถือว่าผิดกฎหมาย
แจงวิธีการสลายผู้ชุมนุมที่ถูกต้อง
ทั้งนี้วิธีการที่ถูกต้องสำหรับการจัดการกับผู้ชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. นั้น พล.ต.อ.ประทินชี้แจงว่า ก่อนที่จะเข้าไปตำรวจต้องชี้แจงต่อชุมนุมให้ชัดเจน อย่างเช่น ในกรณีวันที่ 7 ต.ค. ที่คณะรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อสภา เมื่อชี้แจงเสร็จก็ต้องให้เวลากับกลุ่มผู้ชุมนุม ถ้ายังไม่ออกไปก็ต้องประกาศอีกครั้งว่า กำลังจะใช้มาตรการอย่างไร และต้องบอกด้วยว่า ถ้าใช้แล้วจะเกิดผลอย่างไรบ้าง
“ประชาชนไม่ใช่สัตว์ จะทำอะไรรุนแรงไม่ได้ครับ ถ้ายังไม่ได้อีก ก็ใช้มาตรการที่ประกาศออกไปแล้ว อย่างบางประเทศใช้มาตรการเอาน้ำที่ผสมสีฉีดเข้าไป เมื่อไปถูกเสื้อผ้าใครก็ไปตามจับมา ในความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน” อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าว พร้อมว่า การที่อยู่ๆ ตำรวจเริ่มยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนเลย ทั้งวิธีการยิงยังเป็นการประทับปืนในแนวราบก็ย่อมเกิดอันตรายต่อประชาชนซึ่งถึงแก่ชีวิตได้
“มันบอกว่ามันปฏิบัติตามหลักสากล ให้มึง (ตำรวจ) ใช้อุปกรณ์อย่างนี้ สากลเข้าใช้จริง แต่เขาไม่ได้ใช้วิธีอย่างพวกมึง” อดีต ส.ว.กทม.กล่าว
ชี้ “หมอพรทิพย์” ไม่เหมาะเป็น กก.สอบ
กรณีที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ พญ.คุญหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิสูจน์หลักฐานสังกัดกระทรวงยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบ พล.ต.อ.ประทิน ระบุว่า บางคนตนก็รับได้ แต่บางคนตนก็รับไม่ได้ ทั้งนี้ตนมีประสบการณ์กับ พญ.พรทิพย์ระดับหนึ่ง คือ จากกรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารที่ อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งถือว่าทำงานไม่มีมาตรฐาน
“เรื่องคนตายตากใบ 78 คน เราพบว่า 40 กว่าคน ตายโดยลิ้นจุกปาก ตาถลน ผมเห็นเองจึงพอพูดได้ เมื่อผมถามเขาว่า สาเหตุเหล่านี้เป็นเหตุให้คนเหล่านี้ตายได้มั้ย เขาตอบว่าเขาไม่สามารถตอบได้เพราะเขาไม่ได้ตรวจอย่างละเอียด” พร้อมยืนยันว่าตนรับไม่ได้กับการตั้ง พญ.พรทิพย์
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการมาสองชุดเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์พาดหัวว่า “ตั้งโจรไปจับโจร” อดีตอธิบดีกรมตำรวจระบุว่า แค่สื่อพาดหัวแค่นี้ถ้าเป็นตนก็แสบไปถึงทรวงแล้ว พร้อมกล่าวถึงตำรวจที่กระทำการในวันที่ 7 ต.ค. ด้วยว่า
“ถามจริงๆ มึง (ตำรวจ) ยังไม่สะทกสะท้านเลยหรือไง ถามจริงๆ จิตใจของพวกมึงทำด้วยอะไร ทำด้วยอะไร ถ้าไม่เกิดขึ้นกับพี่น้องมึง พ่อแม่มึง ลูกเมียมึง มึงจะรู้สึกยังไง ผมต้องเรียนพี่น้องครับว่า ตำรวจจำนวนน้อยที่ทำไม่ถูกต้องไม่ดี ต้องทำให้ตำรวจทั่วประเทศพลอยเสียไปหมดครับ”
ด้าน นายเจิมศักดิ์ ได้กล่าวถึงกรณีแต่งตั้ง พญ.พรทิพย์ว่า ตนจะเห็นด้วยหาก พญ.พรทิพย์ตอบคำถามตนได้ชัดเจนในสองประเด็น หนึ่ง คือในกรณีตากใบ และ สอง คือกรณีเลขานุการหน้าห้องข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรมผู้หญิงทำอัตนิวิบาตกรรมขณะที่ตั้งท้องได้ 2 เดือน
“กรณีที่ หน้าห้องของบิ๊กกระทรวงยุติธรรมเมื่อปี 2544 ได้ตั้งท้องประมาณสองเดือนแล้วมีเหตุผูกคอตายขึ้น มีคนเขาบอกว่า หมอพรทิพย์เป็นคนไปชันสูตรแล้วพบว่า มีโทรศัพท์มือถือของผู้ตายที่มีบันทึกอยู่ว่าได้โทรถึงบิ๊กคนนี้ 10 ครั้ง และบิ๊กคนนี้โทรกลับมา 3 ครั้ง และก็มีข้อความออกมาด้วยว่า ‘ให้ไปเอาเด็กในท้องออก’ ถามว่าคุณหมอไปชันสูตรแล้วพบอย่างนั้นหรือไม่ และคุณหมอได้ลบข้อความนั้นไปใช่หรือไม่” นายเจิมศักดิ์ฝากคำถามไปถึง พญ.พรทิพย์ พร้อมว่า ถ้าตอบไม่ได้พวกตนก็ไม่ค่อยสบายใจที่ พญ.พรทิพย์จะดำเนินการตรวจสอบตรงนี้
ชี้ นายกฯ สั่งสลายม็อบต้องรับผิดชอบ
ต่อมา พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลกับการดำเนินคดีอาญาสามารถทำแยกกันได้ เพราะการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง นั้นอาจตั้งขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงเพราะคนสั่งสลายการชุมนุมนั้นแน่ชัดว่าเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และมิอาจหนีความรับผิดชอบได้
“หัวหน้ารัฐบาลเป็นคนสั่งสลายม็อบ ในเมื่อมีคนตายเกิดขึ้นมา เขาหนีความรับผิดชอบไม่ได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องตรวจสอบหรอก เพราะเรียกมาได้เลยว่าในการสั่งการครั้งนี้ ใครสั่งใคร ไปยังไง ไล่มาได้ เสร็จ ไม่ต้องเรียกมาตรวจสอบ ใครเป็นคนสั่งต่อๆๆๆ ใครเป็นคนแจกอาวุธไปยังไง แค่นี้ก็เสร็จ” พล.อ.ประทินกล่าวพร้อมระบุว่า ตนเองอาสาขอเข้ามาทำเรื่องนี้อย่างเต็มใจ
แนะฟ้องศาลปกครอง สตช. ก่อนลุยคดีอาญา
ต่อมา นายเจิมศักดิ์ สอบถามว่า วิธีการเอาผิดทางอาญาต่อตำรวจนั้น ประชาชนผู้เสียหายสามารถไปฟ้องศาลปกครอง ในฐานะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดในฐานเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยให้ศาลปกครองเป็นผู้ไต่สวน เรียกพยานหลักฐานต่างๆ เพราะศาลมีอำนาจสามารถเรียกกำลังพลและวัตถุต่างๆ ได้ เพื่อให้ สตช.ชดใช้ค่าเสียหาย จากนั้นค่อยนำหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องอาญาอีกทีสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.ประทินก็ยืนยันว่าสามารถทำได้
นอกจากนี้ นายเจิมศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินยังสามารถดำเนินการได้ด้วย เพื่อนำเรื่องนี้ไปร้องต่อศาลปกครองต่อ ทว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ผู้ตรวจการแผ่นดินกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งตนก็สงสัยอยู่ว่า คนพวกนี้กินเงินเดือนใคร
ชี้ทหารต้องทำให้ปท.มั่นคงอย่าให้ทักษิณป่วน
ส่วนกรณีวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังจะตัดสินคดีที่ดินรัชดา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และมีผู้กล่าวว่า ในช่วงเวลานี้จนถึงวันที่ 21 ต.ค. จะเป็นช่วงเวลาอันตราย เนื่องจากฝ่ายระบอบทักษิณกำลังพยายามจะทำให้เกิดเรื่องให้ได้ พล.ต.อ.ประทิน มีความเห็นว่า ตนไม่อยากคาดการณ์ แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับทหาร
กรณีที่วานนี้อัยการสูงสุดได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคพลังประชาชนแล้วมีโอกาสที่นายสมชายจะประกาศยุบสภาก่อนหรือไม่
พล.ต.อ.ประทินตอบว่า “มีโอกาสครับที่เขาจะยุบสภาก่อน แต่การยุบสภาก็ไม่ได้ช่วยอะไรบ้านเมือง การจะช่วยบ้านเมืองให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้นก็คือ ทหารต้องถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ” พล.ต.อ.ประทินกล่าว พร้อมระบุว่า ตนเองไม่ได้มีความหวังอะไรกับรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว
เลิกซื้อมติชน รับไม่ได้คอลัมนิสต์ไร้สำนึก
ท้ายรายการ พล.ต.อ.ประทินได้กล่าวถึง หนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวานนี้ (10) ในหน้าที่ 3 คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเขียนโดยนายเสถียร จันทิมาธร นักหนังสือพิมพ์อาวุโสที่ระบุว่า รอยกระสุนที่ปรากฏขึ้นในห้องของรองประธานวุฒิสภา นางทัศนา บุญทอง และเหตุการณ์รถจี๊ประเบิด กอปรกับกลุ่มพันธมิตรฯ มีนายทหารนักรบชั้นผู้ใหญ่อย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ ทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีการสะสมกองกำลังติดอาวุธ
“ผมมาวิเคราะห์ดูแล้วว่า พันธมิตรฯ จะพกปืนไปทำไม พันธมิตรฯ อยู่กันแน่นเลย ยิงก็ไม่พ้นหัวพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมกันอยู่ แล้วที่หน้ารัฐสภากว่าจะถึงห้องของรองประธานวุฒิสภา ที่อยู่ห่างจากรั้วเกือบ 200 เมตร ปืนสั้นยิงก็ไม่ถึงครับ ผมเลยบอกคนส่งหนังสือพิมพ์ว่า ผมเลิกรับมติชนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ” อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าว