xs
xsm
sm
md
lg

"ไพโรจน์" งง "มูลนิธิปวีณา" มายุ่งทำไม บอกไม่ได้ทำร้าย "เมียเก่า" ซักหน่อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ไพโรจน์" สวนกลับ ไม่เข้าใจอดีตเมีย ฟ้องมูลนิธิปวีณาทำไม ก่อนแจงกรณีลักทรัพย์และร่วมกันกับ "แฟนใหม่"รุมทำร้ายร่างกาย "แฟนเก่า" ลั่นไม่อยากให้ใครเรียกแฟนใหม่ว่า "เมียน้อย" เผยใช้หลักธรรมดับทุกข์ที่เกิดในชีวิต พร้อมยอมรับฉวยโอกาสเกาะกระแสข่าวโปรโมทหนังสือ

หลังจากที่ "พิศมัย" หรือ กชวัณน์ สังวริบุตร งัดไม้เด็ดโผซบอกมูลนิธิปวีณาเพื่อขอความช่วยเหลือเรียกร้องเรื่องแบ่งสินสมรสพร้อมกับขอความเป็นธรรมที่ถูกแย่งสามี ด้านดารารุ่นเก๋า "ไพโรจน์ สังวริบุตร" ได้ออกมาพูดถึงเรื่องการเดินทางไปพบมูลนิธิปวีณาของอดีตภรรยาที่ สตูดิโออาร์เอส ลาดพร้าว15 หลังจากอัดรายการ ฟ้าเมืองไทย เสร็จสิ้นว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังคิดไม่ตกว่าทางมูลนิธิจะรับเรื่องด้วยเหตุผลอะไร

"ผมทราบครับ เพราะทางมูลนิธิปวีณาเขาได้โทรมาคุย คือการที่เขาจะรับเรื่องอะไรมาเขาต้องดูความเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายด้วย ฝ่ายโน่นเป็นยังไง ฝ่ายนี้ว่ายังไง เขาถึงจะบอกว่าช่วยได้หรือไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนอยู่ในข่ายที่เขาจะช่วยทั้งหมด ซึ่งทางคุณปวีณาก็ได้ติดต่อมาทางผมแล้ว แต่เดี๋ยวคงจะได้คุยรายละเอียดกันอีกที"

"แต่ผมไม่ทราบว่าเขาจะไปร้องเรียนเรื่องอะไร ยังมองไม่เห็นประเด็นว่าเขาจะไปขอความช่วยเหลือหรือร้องเรียนด้วยเหตุอะไรนะครับ เพราะสิ่งที่ผมรู้มาแต่ดั้งแต่เดิมมูลนิธิถูกตั้งมาเพื่อช่วยเหลือกสตรี เด็กและคนชราที่ถูกรังแก ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าการที่มีคนหนึ่งคนฟ้องเรียกค่าเสียหายผม 48 ล้านแล้วบอกว่าเขาถูกรังแกยังมองไม่ออก อีกอย่างผมอยู่ในฐานะต้องคอยชี้แจง เรื่องราวต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เพราะผมตกเป็นจำเลยนะครับ แล้วก็เป็นจำเลยของตัวเขาและสังคม เพราะฉะนั้นคนที่เป็นจำเลยก็มีหน้าที่ต้องชี้แจง"

"ผมยังมองไม่ออกว่าเขาทำเพื่ออะไรในเมื่อถ้าถามว่าทรมานใจทำใจไม่ได้ เขาเป็นคนฟ้องหย่าผมแล้วผมก็ยินดีที่จะให้หย่า ทำตามข้อตกลงในศาลยังไง เขายกเลิกนะครับ"
 
"ถ้ามองในมุมกลับถ้าเขาอยากจะเลิกกับผม ผมบอกไม่ยอม ใช้กำลังข่มขู่หรือจับโซ่ลามไว้ผมว่าตรงนี้มูลนิธิปวีณาต้องเข้ามา แต่นี่ไม่มี เขาฟ้องหย่าผม เขาฟ้องเรียกค่าเสียหายผม 48 ล้าน แล้วมูลนิธิปวีณาจะเข้ามาช่วยเรื่องอะไรผมยังมองไม่ออก"

"ส่วนกลัวมั้ยที่เขาเอาเอกสารไปยื่นให้มูลนิธิฯดู ผมว่าไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวนี่ครับ เขามาถามผมก็ชี้แจงไป เพราะผมก็ได้ชี้แจงเป็นหลักการแล้วว่า ไม่ว่าจะในเรื่องของกฎหายหรือเรื่องของส่วนตัวมันเป็นยังไง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาผมย้ำอีกทีก็ได้ว่า ผมไม่ได้เป็นคนฟ้องหย่าเขา เขาเป็นคนแสดงเจตนาจะไม่อยากอยู่กับผม และผมยังมองไม่ออกเลยว่ามูลนิธิปวีณาจะรับด้วยเรื่องอะไร"

ต่อข้อซักถามที่ว่าทางด้านอดีตภรรยาเคยโทรมาข่มขู่อะไรบ้างหรือไม่ เพราะดูจากสถานการณ์ทางด้านนางกชวัณน์ ประกาศยืนยันแล้วว่าจะเดินหน้าเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
"ช่วงนี้ไม่ครับ เพราะว่าการที่เขาจะโทรมาข่มขู่คือผมต้องฟัง แต่ถ้าเขาโทรมาผมก็ไม่ฟัง เพราะว่าเราคุยกันมาตลอดผมคิดว่าผมคงเป็นคนหนึ่งที่รู้นิสัยเขาดีกว่าคนอื่นนะครับ เพราะฉะนั้นการที่พูดกันไม่รู้เรื่องอธิบายอะไรก็ไม่ยอมรับความจริงหรือสิ่งต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดใจมานานแล้วว่า ผมไม่พูดดีกว่า"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามหานาง "ชญาณิศวร์ สังศรีจันทร์" แฟนใหม่ หลังจากได้ยินข่าวว่าจะเดินทางมาอัดรายการฟ้าเมืองไทย ด้วยกันแต่พอถึงเวลากลับไม่มาเพราะเพราะเกิดความกลัวจริงหรือไม่ พระเอกรุ่นเก่าบอก
"คงไม่หรอกครับ จริงๆ ข่าวว่าจะมา เขาไม่ยอมมาอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่มาออกอะไรอยู่แล้ว เขาก็อยู่เงียบๆ ของเขา เพราะเดี๋ยวคนจะมองว่ามาสร้างภาพ ฉะนั้นก็ไม่จริง เราพยายามหลีกเลี่ยง สิ่งหนึ่งก็คือเราพยายามหลีกเลี่ยงคือกลัวคนจะมองว่าป็นการยั่วยุ หรือทำให้คนบางคนเข้าใจผิด เราก็เลยยังคิดว่าการอยู่เฉยๆ นิ่งเงียบน่าจะดีกว่าที่เราจะไปออกมา"

"แต่ถ้าคดีไม่จบจริงๆ ถามว่าตั้งใจจะฟ้องกลับในข้อหามาคุกคามชีวิตมั้ย เราคงไม่ทำขนาดนั้นเพราะสิ่งที่ผมพยายามอดกั้นมาตลอดเพราะคนๆ เดียวก็คือ พีค ลูกชายนะครับ 5-6 ปีจะยังไงก็แล้วแต่ทางด้านสถานภาพผมก็ได้แจงแล้วว่าผมมีสิทธิ แต่ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เขาก็จะไปพูดเจอใครก็จะไปด่าผมสาดๆ เสียๆ ตลอด 6 ปี ผมก็นิ่งเงียบมาตลอดผมก็ไม่ตามไป มีเพื่อนๆ หลายคนบอกเขาไปเล่าแบบนี้ๆ พี่เอ๋เสียน่าจะออกตอบโต้บ้าง ผมบอกไม่ตอบโต้น่ะ ถ้าเพื่อนคนไหนไปฟังเขาพูดแล้วเชื่อก็ปล่อยเขาเชื่อไปไม่ต้องมาคบกัน เพราะผมคิดว่าเราทำสิ่งที่ดีที่สุด"

เผยลูกกับภรรยาคนแรกเข้าใจถึงเรื่องที่ขึ้นเป็นอย่างดีพร้อมกับคอยให้กำลังใจเสมอ
"กับภรรยาคนแรกยังเป็นเพื่อนกันอยู่เขาว่ายังไงบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็โทรมาให้กำลังใจ เพราะว่าจริงๆ แล้วคนเราเลิกกันมันอยู่เป็นเพื่อนกันได้ หรือว่าหลายๆ ครั้งทางแม่ของลูกชายก็เอาลูกไปนะครับ เขาก็เอาไปฝากคุณสิริพร ภรรยาเก่าผมเลี้ยงนะครับ คือเอาไปแต่เขาไม่มีเวลานะครับ แต่เขาไม่ยอมให้มาเจอผมเอาลูกไป เขาก็จะเอาไปฝากให้ทางโน่นดูแลให้"

"ส่วนลูกคนโตที่เกิดกับภรรยาเก่าเขาก็อายุเยอะแล้ว คนหนึ่งก็อายุ 30 แล้วคนหนึ่ง 28 เขามีวิจารณญาณที่ดีครับ ก็ถ้าจะเอารายละเอียดสักนิดหนึ่งตอนนี้แม้แต่ลูกสาวคนโตเขาก็ยังงอนๆ ผมอยู่เพราะว่าครั้งหนึ่งเนี่ยมันก็เป็นชนวนอันหนึ่งคือผมเอารถลูกสาวไปขายเพื่อเอาสตางค์มาหมุนเงินไม่ทันใช้หนี้ครับ แต่ว่าแม่ของน้องพีคเขาก็บอกว่าเอารถไปยกให้เมียน้อย หึ มันจะเป็นอย่างนั้นเขาก็เลยยังงอนพ่อเขาอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไร"

ก่อนชี้แจงถึงกรณีคดีลักทรัพย์และข่าวลือที่ทางอดีตภรรยากล่าวหาว่าไปล็อกตัวเขาแล้วให้เมียน้อยตีว่าไม่เป็นความจริง เพราะตนเพิ่งผ่าตัดหัวใจมา หากมีเรื่องกันคงตายไปแล้ว
"ผมเพิ่งผ่าตัดหัวใจมาได้ประมาณ 10 วัน ผมก็พักฝื้นอยู่ที่บ้าน คุณเอ๋หญิง(แฟนใหม่)เขาก็โทรมา ตอนนั้นเรายังไม่ได้อยู่ด้วยกัน คุณเอ๋หญิงขอมาเยี่ยมผม เขาก็มามีคอมฯไอบีเอ็มเพิ่งซื้อได้สักเดือนนึงถือมาด้วยแล้วก็มีกระเป๋าแล้วก็ไม่ทราบว่ามีสายสืบที่ไหนโทรมารายงาน คอนโดกับบ้านผมอยู่ห่างกันสัก 2 กิโล ผมก็บอกเขาเสมอว่าบ้านหลังนี้เขาไม่มีสิทธิอะไรแล้วนะ มันเป็นบ้านของผม มันเป็นสินส่วนตัวที่อยู่มาแต่เดิม คุณไม่มีสิทธิ์ถือวิสาสะเข้ามา แต่ความรู้สึกของเขายังเป็นภรรยาอยู่ คือไม่ยอมรับกับกติกาของสังคมและกฏหมาย เขาบุกเข้ามา ผมเห็นหน้าบ้านบอกให้เอ๋หญิงออกไปก่อน เพราะไม่มีเวลาที่จะทะเลาะ ผมเพิ่งผ่าหัวใจมา 10 วันถ้าหัวใจผมเต้นเร็วอาจตายได้ เอ๋หญิงก็ปีนรั้วออกหลังบ้าน เขาเข้ามาก็พูดๆ แล้วเห็นกระเป๋าก็เอาของออกไปเลย เอากระเป๋าตังค์เขามีโทรศัพท์บัตรเครดิตเอาไปหมดเลย มูลค่าทั้งหมดรวมๆ แล้วประมาณแสนสี่อ่ะ ไม่รวมทรัพย์สินทางปัญญาที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ก็เป็นตัวกลางขอเจรจาเอามาคืน ไม่ยอม ผมบอกอาหมดปัญญา"

"แต่ครั้งแรกเขาก็ยอมรับนะว่าเอาไป คุณเอ๋หญิงโทรไปถาม ทีนี้แหละเขาไม่ยอม แล้วให้ทนายโทรก็ไม่ยอมให้ ให้ตำรวจโทรก็ไม่ยอมให้ แล้วบอกว่าไม่ได้เอาไปทั้งๆ ที่เอาไป เห็นครับมีพยาน เหตุเพราะมีพยานพร้อมทรัพย์ พอไปขึ้นศาลถูกสั่งจำคุกและปรับ ซึ่งทางคุณเอ๋หญิงก็บอกไม่ติดใจเอาความ ตรงนั้นก็จบไป หลังจากนั้น ระหว่างนั้นก็จะมีเรื่องราว คุณอย่ามาระรานผม ซึ่งการทำร้ายร่างกายหนแรกคือ ผมนัดกับคุณเอ๋หญิงไปกรมทรัพยากร เขาเดินเข้ามา คงมีทะเลาะอะไรกันนิดหน่อยจำไม่ได้แล้วก็เดินไปหยิบกระบอกน้ำเป็นพลาสติกสีขาวมาตีหัวคุณเอ๋หญิง ผมก็ให้เด็กกันแล้วไปเรียกตำรวจ เวลาคนเราทะเลาะกันยื้อๆ กันอยู่ ผมเป็นคนกลาง ผมก็เข้าไปบอกว่าอ้อ(เมียเก่า)ไม่เอาอย่าทำ ระหว่างนั้นอาจจะมีปัดๆ อะไรกันบ้าง แล้วตรงนี้บอกว่าจับให้เมียน้อยตบ ผมก็สะเทือนใจนะ ผมเป็นคนไม่อยากให้มีเรื่องนะ คนถูกตี พอเวลาโดนดึงออกไปเขาก็ต้องมีบ้างหล่ะ ใครจะออกไปแล้วเก็บมือไม่มีหรอกตามธรรมชาติของมนุษย์"

ลั่นขอความเป็นธรรมให้แฟนใหม่ บอกนักข่าวให้เลิกใช้คำว่า เมียน้อย เพราะไม่เหมาะสม
"แต่เขาบอกว่าทะเลาะกันแล้วผมก็จับเขาแล้วให้เมียน้อยตบ ผมขอแก้คำตรงนี้นิดนึง จริงๆ ใช้คำว่าเมียน้อยผมว่ามันไม่ยุติธรรมต่อคุณเอ๋หญิง เพราะผมบอกแล้วตั้งแต่วันที่3ธ.ค. 2546 สถานภาพผมคือหย่าขาด ถ้าผมไปคบใครเนี่ย ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่น่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย"

"แต่ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ ตรงนั้นมันยังไม่เกิดนิฮะ มันเกิดอยู่ในระหว่าง 2546 -2550 คนที่มาคบกับผมทำไมต้องถูกยัดเยียดว่าเป็นเมียน้อย ถ้าหลัง 10 ก.ย. 2550 จะมาพูดว่าเป็นเมียน้อยเออน่าใช่ แต่ระหว่างตรงนั้นไม่ใช่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกายอยู่ระหว่าง 4 ปีหมด อยู่ระหว่างคุณเอ๋หญิงมาคบกับผม ผมอยากจะทำความเข้าใจว่าเมียน้อยเนี่ยฟังดูแล้วมันไม่เป็นธรรม ผมหมายความว่าผมจะไปคบกับใครระหว่างตรงนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ควรตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย เวลาหนังสือไปลงผมอยากทำความเข้าใจให้ฟังนิดเดียว"

จากคำพูดที่พระเอกรุ่นเก่าบอก รู้จักนิสัยอดีตภรรยากว่าใคร ผู้สื่อข่าวเลยถามถึงนิสัยส่วนตัวของภรรยาเก่าว่าเป็นคนขี้วีนหรือไม่ ไพโรจน์เผย
"เป็นมานานแล้วมั้งครับ ถ้าเป็นการเขียนบทหนังเขาเรียกว่าคาแรกเตอร์ คือบังเอิญผมสอนเขียนบทภาพยนตร์อยู่ที่ม.เกริก เวลาที่ผมจะอธิบายคำว่าคาแรกเตอร์ให้กับลูกศิษย์ ผมก็ไปยืมตัวอย่างจากอาจารย์ผมก็ไปยืมจากพี่เปี๊ยก โปสเตอร์ แล้วพี่เปี๊ยกก็ไปยืมจากฝรั่งอีกทีหนึ่งเขาบอกว่า มันเกิดน้ำท่วมขึ้นมาแล้วมันก็จะท่วมเกาะก็มีแมงมุมพิษตัวหนึ่งอยู่ที่ริมน้ำก็มองไปเห็นกบตัวหนึ่งกำลังจะว่ายน้ำไปที่แผ่นดินใหญ่ แมงมุมพิษเขาก็บอกว่าขอเราเกาะหลังหลังไปด้วยคนได้มั้ย กบก็บอกอย่ามาลูกเล่นเรื่องอะไรเราจะให้นายเกาะไป เดี๋ยวนายก็มาต่อยเราเราก็ตาย อย่างนายไม่มีใครเชื่อใจหรอก เพราะถ้าเราขี่หลังนายแล้วไปต่อยนายกลางน้ำนายจมน้ำเราก็จมน้ำตายด้วย ก็เออใช่เลยให้ขี่พอไปถึงกลางทางกบก็สะดุ้งเลย แมงมุมต่อยพึ่บ มันบอกไม่รู้สิมันเป็นคาแรกเตอร์ของเรา"

พร้อมออกตัวเป็นห่วงอดีตภรรยาไม่มีที่ปรึกษาที่ดีคอยช่วยแนะ ไม่เหมือนตัวเองที่โชคดีมีพระพุทธเจ้าในใจและมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต
"ผมมีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจผม ผมทำใจได้กับทุกเรื่อง เขาแหละน่าเป็นห่วง จริงๆ ผมเป็นห่วงเขานะเราพูดไม่ออกเป็นห่วงที่เขาไม่มีที่ปรึกษาที่ดีๆ สิ่งที่มันเกิดขึ้นเพราะเขาขาดคนที่จะปรึกษาที่เป็นประโยชน์ อาจจะมีคนปรึกษาแต่ว่าคงจะปรึกษาไปในทิศทางที่ไม่ดี ถ้าเกิดเขามีคนที่เข้าใจกฎหมายอธิบายให้เขาเข้าใจถึงกฎกติกาของสังคมเรื่องมันก็ไม่เกิด แต่นี่คงไม่มี"

"อาจจะมีเพื่อนรอบข้างที่เอาเลยอย่างนี้ยอมไม่ได้ อย่างนี้ต้อง คือถ้าเราเจอเพื่อนอย่างนี้เราลำบาก แต่ผมคิดว่าในชีวิตผมนี้ผมโชคดีที่เกิดมาในตระกูลที่ผมมีพ่อแม่ดี พี่น้องดี ผมมีเพื่อนดี ผมกล้าพูดได้ว่าผมมีเพื่อนดีจริงๆ แต่ละคนมีแต่ช่วยเหลือ มีแต่ให้ความคิดดีๆ กัน หรือแม้แต่เวลาที่ผมไหว้พระก็ไม่เคยขออะไรที่มันเกินเลย ไม่ใช่ทำบุญบาทหนึ่งขอซะตั้งเยอะแยะสิ่งเดียวที่ผมขอจากพระอยู่ตลอดผมขอให้ผมมีสติปัญญาที่ดี ขอให้ผมคิดอะไรที่ดีๆ ได้และอะไรที่ไม่ดีอย่าให้ผมคิด"

"ผมมองว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตานะครับ ทุกคนถ้าเรามองก็มีชะตาชีวิตของตัวเอง คนเราไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในสิ่งที่มันผิดพลาดหรอก แต่ชะตาชีวิตเรามันผลักดันไง คือที่เราพูดเนี่ยไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนที่งมงายนะ แต่จริงๆ มันเป็นคติธรรมทางด้านเอเชียของเรานะ ที่เราก็จะมีความเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตา"

ลั่นอยากให้เรื่องจบโดยเร็ว อ้างเพื่อจะได้ดูแลลูกให้เต็มที่ แต่อดีตภรรยาพูดไม่รู้เรื่อง เลยต้องหาคำสอนพระพุทธศาสนาบรรเทามาความโกรธ
"โดยส่วนตัวผมก็อยากให้จบๆ กันไป หมายความว่าหย่ากันไปแล้วก็จบๆ กันไปต่างคนต่างแยกย้ายไปทำมาหากินของตัวเองต่อไปก็ช่วยกันดูแลลูกให้มันดี ถามว่าอยากฝากอะไรถึงเขามั้ยไม่ฝากหรอกครับ คือเราเรียนรู้ตั้งแต่สมัยบวชว่าในกฎข้อบังคับของพระเขาจะมีบอกไว้ว่าอย่าสอนคนที่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้คนที่ถืออาวุธอยู่อย่าไปสอนศาสนากับเขา พระพุทธเจ้าสอนมาอยู่แล้วว่าเราอย่าไปสอนอะไรให้กับคนที่เขาไม่พร้อมที่จะรับก็ไม่มีประโยชน์เราพูดไปอาจจะหวังดีพูดกับเขา แต่เขามองว่าเราไม่หวังดีหรอกประสงค์ร้าย เพราะฉะนั้นอย่าพูดดีกว่า"

"สิ่งที่มันเกิดขึ้นนะ สำหรับผมนะ ผมมองในมุมธรรมะ ผมมองในมุมของโลกธรรม 8 พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นสิ่งที่มันต้องเกิดประจำอยู่แล้วก็คือ โลกธรรม 8 มีลาภ ได้ลาภ ได้ยศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีเกียรติ มีคนรัก มีทุกข์มีความสุขมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำอยู่แล้วในโลก เพราะฉะนั้นก็อย่าไปคิดมาก เวลาเราเจอมันก็ต่อสู้มันด้วยความรู้สึกที่มั่นคงสักนิดนึงแล้วเราก็จะผ่านพ้นมันไปได้"

"ถามว่าเราเจ็บแค้นมั้ย เราอายุเยอะแล้วเราเรียกรู้ชีวิตมาถ้าผมรู้สึกเจ็บแค้นมันคงไฟต์กันมานานแล้ว แต่ทั้งหมดที่มันเรื่องเงียบมาตลอดแม้แต่วันก่อนที่ผมไม่ไปศาลเนี่ยนอกจากเหตุผลที่ว่ามันไม่จำเป็นต้องไปเพราะผมเป็นจำเลยเขาสืบพยานโจทย์อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผมไม่อยากให้มันเป็นข่าว คือเราหลีกเลี่ยงมาตลอดนั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ"

เมื่อผู้สื่อข่าวเปลี่ยนประเด็นถามถึงกระแสถือโอกาสช่วงที่เป็นข่าวโปรโมทหนังสือตัวเอง ไพโรจน์ รับถ้าหากจะเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้คนรู้จักหนังสือตนก็พร้อมที่จะทำ บอกไม่ใช่เรื่องเสียหาย
"ถามว่ารู้สึกยังไงว่าถูกมองว่าถือโอกาสโปรโมทก็ดีใจที่เขาคิดอย่างนั้น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว การที่เราจะมาทำอะไรโดยสุจริตใจก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย มันมีแต่ดารางี่เง้าไม่เห็นทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมีก็แต่ไปทำอะไรที่เป็นกิจการไม่เข้าท่า ผมไม่ได้ไปขายอะไรที่มันน่าเกลียดน่าชังนี่น่า ส่วนปัญหาผลกระทบมันไม่ทันมีหรอกครับเรื่องงาน ก็มีแต่เรื่องถูกด่าฟรีทางอินเตอร์เน็ตนี่แหละ ก็ไม่เป็นไรทำใจได้ก็คิดอยู่แล้วคือเราไม่ใช่เพิ่งเข้ามาอยู่วงการเราอยู่ในวงการนี้มาตั้ง 30 ปีหรือจะพูดว่าอยู่ในวงการมาตั้งแต่เกิดเลยก็ได้ คุณแม่เป็นนางเอกหนังแล้วก็เป็นนักพากย์หนัง ผมก็อยู่กับวงการนี้มาจนกระทั่งเรารู้ว่าสิ่งอะไรที่มันเกิดมันจะเป็นยังไงนะฮะ จริงๆ แล้วก็ยังพูดเคลียร์กับประชาชนอยู่บ่อยๆ ว่าบางทีประชาชนก็จะมองว่าทำไมวงการนี้มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ ผมก็จะบอกตรงนี้อีกครั้งหนึ่งครับว่าไม่ใช่แค่วงการนี้ มันมีทุกวงการ มีเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว ชีวิตมนุษย์ ชู้สาวมีทุกครอบครัว เพียงแต่อาชีพอื่นมันไม่เป็นข่าวเท่านั้น"

"ปัญหาผลกระทบเราไม่มี ต่อไปผมก็ต้องเริ่มโปรโมทเพราะเป็นแผนที่เราจะต้องเริ่มโปรโมทอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะไปโปรโมทตรงไหน เราโปรโมทด้วยวิธีไหนมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่มันเป็นสิ่งที่ทำให้สินค้าขายได้มันอยู่ที่ตัวคุณภาพของมันซึ่งเราก็มั่นใจว่าเราทำอย่างมีคุณภาพที่สุด เราไม่ได้ทำแบบเล่นๆ คือเราไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อที่จะสร้าง เราซุ่มทำของเรามาตั้ง 2 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่ามีเรื่องนี้ถึงหยิบขึ้นมาทำ เราไม่มีวันหยิบอะไรได้ภายใน 2 วันแล้วเอามาทำแบบนี้หรอกครับ มันเป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว"

"แต่เมื่อมันทำอยู่แล้ว แต่เกิดมีอะไรมากระทบเราก็ออกมาชี้แจง ตอนนี้ถ้าคนคิดว่าเป็นการโปรโมทก็จะขอบคุณมาก ก็จะบอกว่านี่แหละใช่เป็นการโปรโมทแล้วอยากให้ช่วยบอกต่อด้วยว่าผมโปรโมท ผมว่าไม่เห็นเสียหายอะไร เราไม่ได้ขายยาบ้า เราขายสุขภาพให้คนน่ะ ผมทำกรีนโปรดักส์น่ะ อาหารถนอมหัวใจ ผมมีประสบการณ์เรื่องผ่าหัวใจมาผมบายพาสหัวใจมาแล้วผมก็ต้องรู้ว่ามันจะต้องรู้ว่ามันดูแลสุขภาพยังไง ผมก็จะออกมาเล่าสู่กันฟังมาขายแล้วมันมีแถมดีวีดีด้วย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนะโฆษณาต่อหน่อยว่าหนังสือแล้วยังมีแถมดีวีดีอีกต่างหาก อีก 6 เรื่องเปิดตำราแล้วยังมีการสาธิตให้ดูอย่างละเอียด ในทุกขั้นตอนระบบดีวีดีคุณภาพสูง ก็ยอมรับเลยว่าอยากโปรโมทบอกต่อด้วย "

"เราใช้เวลามาตั้ง 2 ปีกว่าเราจะเตรียมแล้วก็มีฝ่ายโภชนาการที่เขาจะเป็นคนเขียนขึ้นมานะครับ คือเดี๋ยวจะเข้าใจว่าไพโรจน์เขียนเอง ไม่ได้เขียนเองนะครับ แล้วเมนูในหนังสือเล่มนี้เราทำลองกันมาเป็นอย่างดี ก็คิดว่าเราขายคุณภาพเพราะฉะนั้นก็ต้องยอม ใครจะบอกว่าถือโอกาสก็ต้องยอมก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่ครับ ก็เรามีแพลนนิ่งอยู่แล้ว จริงๆ เราไม่ได้เพิ่งมาเริ่ม เราเริ่มมานานแล้ว แม้แต่กับทางเวิร์คพอยท์เราก็คุยกันว่าผมจะไปออกรายการกล่องดำก็คุยนัดกันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่อยู่ในไทม์มิ่งตรงนี้พอดี"

***
“เมียเก่าไพโรจน์” ร่ำไห้ซบอก “เจ๊ปิ๊ก” แฉฝ่ายชายยอมหย่าแต่ไม่ยอมจ่ายตังค์ สาบานไม่เคยขู่ฆ่าใคร

สาวไส้กันเละ ! "เมียเก่า ไพโรจน์" โร่พบ "ปวีณา" ส่วน "กิ๊กใหม่" เตรียมแฉออกทีวี

ไพโรจน์" แถลงโต้คดีฟ้องหย่า แฉกลับเมียเก่าตามตีหัวกิ๊กใหม่ จนศาลสั่งจำคุก 2 คดี




กำลังโหลดความคิดเห็น