บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 22
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
เวลาเย็น เรือเข้ามาจอดที่ท่าน้ำเรือนออกญาโหราธิบดี ขุนศรีวิสารวาจากระโดดขึ้น แล้วรีบหันไปส่งมือให้เกศสุรางค์
"ข้าขึ้นเองได้...สบายมาก"
"ส่งมือมา"
"ข้าขึ้นเองได้..." เกศสุรางค์พูดยังไม่ทันจบประโยค
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเข้ม "แม่การะเกด"
"กลัวแล้วเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ส่งมือให้
ขุนศรีวิสารวาจากระชับมือ
ผินและแย้มที่คอยอยู่ท่าเรือสบตากัน แล้วทำมือโอเคให้กัน
ขุนศรีวิสารวาจาดึงเกศสุรางค์ขึ้นมายืน เกศสุรางค์เซนิดหน่อย จนต้องถูกดึงตัวมาชิดอก
"เห็นหรือไม่"
"คุณพี่ดึงข้าแรง"
ขุนศรีวิสารวาจามองด้วยสายตาจะบอกว่าเจตนาดึงแรง สายตายิ้มๆนิดๆ
เกศสุรางค์สบตาแล้วใจเต้นแรงมาก
สองบ่าวทำมือโอเคอีก คราวนี้สองมือเลย
จ้อยซึ่งมานั่งใกล้ๆสองบ่าว
"ทำอะไร"
สองคนสะดุ้ง หันไปเจอหน้าจ้อยอยู่ใกล้มาก
"ไอ้จ้อย" ผินผลักหน้าออกไป
สองคนทำมือโอเคให้จ้อย
"อะไร"
แย้มว่า"แม่นายไปแล้ว"
ขุนศรีวิสารวาจาเดินเคียงมากับเกศสุรางค์ สายตาจ้องเกศสุรางค์ลึกซึ้งมาก
เกศสุรางค์เหลือบไปสบตา กระแสที่ผ่านสายตามาอย่างแรงนั้นทำให้เกศสุรางค์ต้องหลบตา
สองคนเดินคู่กันมา จนเกือบถึงบันได ไกลพอควรที่บ่าวจะไม่เห็น
มือที่ทิ้งห้อยอยู่ข้างตัวทั้งคู่ใกล้กันมาก สักครู่มือก็กระทบกันเบาๆ
สองคนหันมามองกันทันที หยุดเดิน เป็นวินาทีที่เหมือนโลกหยุดหมุน
"แม่การะเกด"
"คุณพี่"
คุณพี่ขยับเข้าไปใกล้ เกศสุรางค์เงยหน้ามอง สบตากัน พอขุนศรีวิสารวาจาขยับอีกที
เสียงผินดังเข้ามา "เร็วๆนังแย้ม แม่นายไปถึงไหนแล้ว"
สองคนขยับออกจากกันอย่างเก้อเขิน
ผิน แย้มมาถึง
"แม่นายเจ้าขา รีบอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ" แย้มบอก
ผินบอก "ยุงจะมาแล้วเจ้าค่ะ"
สองบ่าวพาเกศสุรางค์ขึ้นเรือนไป
ขุนศรีวิสารวาจายืนนิ่ง สีหน้ายังตรึงใจอยู่
จ้อยกระแอมเล็กๆ ขุนศรีวิสารวาจาหันมา จ้อยมองยอดไม้
"ไอ้จ้อย"
"ขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาชี้หน้าเป็นเชิงปรามว่าอย่าทะลึ่ง
จ้อยตัวอ่อนลงไป
คืนนั้น ที่ชานเรือน ขุนศรีวิสารวาจายืนคิดถึง พระจันทร์เต็มดวงกลางฟ้า
เสียงเพลงที่เกศสุรางค์ร้อง ดังแว่วๆ
เกศสุรางค์นอนคิดถึงเหมือนกัน แล้วลุกมองไปที่ผินและแย้มที่นอนหลับก่อนว่าจะเห็นหรือไม่
เธอลุกไปมอง เห็นขุนศรีวิสารวาจายืนเดียวดาย
เกศสุรางค์ยิ้มขำ กลับมานอน
ขุนศรีวิสารวาจาคอยจนเมื่อย หันกลับ เจอะสายตาจ้อย
"ไอ้...จ้อย"
"ขอรับ"
"มาทำอะไร"
"นั่งดูขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาอึ้งไปอึดใจ ถามเสียงเข้มทำเป็นโกรธ "ดูอะไร"
"ดูพระจันทร์ขอรับ ดวงใย้...ใหญ่"
ขุนศรีวิสารวาจาพูดไม่ออก มันไม่ได้มาดูตัวเองซักหน่อย
"บนพระจันทร์ มีคนอยู่มั้ยขอรับออกขุนท่าน"
"ข้าไม่รู้...ถามบ้าๆ" ขุนศณีวิสารวาจาเดินไปเลย
จ้อยยิ้มชอบใจ
เช้ารุ่งขึ้น พวกบ่าวขาใหญ่คุยกัน ส่วนบ่าวตัวเล็กตัวน้อยนั่งฟังอยู่ห่างๆ
ปริกถาม
"เอ้ามีอะไรพูดไปไอ้จ้อย บอกว่าจะเล่า...จะเล่าแล้วทำลับลมคมนัยข้ารำคาญ"
"รำคาญขึ้นเรือนไปเลยป้า"
"บังอาจไล่ข้ารึ"
"งั้นข้าไปเอง" จ้อยลุกจะไป
จวง จิก บุ้งลุกบ้าง
"หยุดทุกคน"
ทั้งหมดชะงักหันกลับมา
จวงถาม "พี่ปริก จักให้ทำยังไรแน่"
"นั่นสิ ไล่ป้าไม่ได้พวกข้าก็จะไล่ตัวเอง ไม่สมใจป้าหรือ" จิกว่า
บุ้งบอก"ไม่รู้หรอกรึนังจิกว่าป้าปริกน่ะ พูดอย่างใจอย่าง"
"นังบุ้ง...วันนี้ไม่ต้องแดกข้าวนะเว้ย ข้าไม่ให้"
"เอ้าป้า...ข้าไม่แดกข้าวให้ข้าแดกอะไรล่ะ" บุ้งถาม
"แดกตีนกู"
จ้อยว่า
"นังบุ้ง ป้าปริกแกพูดอย่างใจอย่างไม่ให้เอ็งแดกข้าว ก็หมายอีกอย่างว่าให้เอ็งแดกได้ไงล่ะ"
"ไอ้จ้อยพูดคล่องเป็นล่องน้ำเชียวมึง เอ้า จะเล่ากระไรก็เล่ามา มึงมันฆ้องปากแตก เดี๋ยวจะไม่สมชื่อนะมึง"
"ได้...ข้ายอมให้ป้าพูดกระทบกระแทกข้า เพราะที่ข้าจะเล่าสู่กันฟังมันเรื่องลับจริงๆ"
ทุกคนพุ่งหน้าไปที่จ้อย
"ข้าถามหน่อย...ออกขุนท่านเคยเกลียดแม่หญิงการะเกดใช่หรือไม่"
ทุกคนว่า "ใช่"
จ้อยถาม "เกลียดแค่ไหน"
จวงบอก "เข้าไส้"
จิกต่อ "ถึงกระดูก"
"ถึงไส้ถึงพุง" บุ้งว่า
"ถึงเลือดถึงเนื้อ" ปริกว่า
จ้อยทำท่ายืดเหมือนบอกความสำคัญสุดยอด "เดี๋ยวนี้ไม่เกลียดแล้ว"
ทุกคนงง
"เอ๊า...ทำหน้างวยงงสงกากันเชียว"
ทุกคนเดินมาเงียบๆ แต่สีหน้าครุ่นคิดกันทั้งนั้น
ถึงบันไดหลังจะขึ้นเรือน
บ่าวทุกคนหยุด หันมองหน้ากัน
"ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น...มันเรื่องจริง" จ้อยบอก
เช้าต่อเนื่อง บนเรือน ออกญาโหราธิบดีถาม
"ทำอย่างไรรึแม่การะเกด"
คุณหญิงจำปาถาม
"นั่นสิ ออเจ้าไปเอามาจากไหนว่าพวกฝรั่งปะหน้ากันต้องทำท่าด้วย แค่กล่าวคำทักทายกันไม่พอฤๅอย่างไร"
"ข้าไม่ได้บอกนะเจ้าคะ ออกพระท่านบอกมาเจ้าค่ะว่าพวกฝรั่งเขามีท่าทางเวลาเจอกัน บอกด้วยว่าข้ารู้และข้าก็รู้จริงเสียด้วย"
"พูดจายืดยาว รู้ก็สอนคุณพี่ไปสิออเจ้า เผื่อเขาจะได้ไม่ไปทำขายหน้าที่เมืองฝาหรั่ง"
"คุณป้าอย่าตกใจนะเจ้าคะ"
"อะไร...พูดจาพิกล ทักทายกันเหตุใดต้องตกใจ"
ออกญาโหราธิบดีบอก
"แม่จำปา...ถ้ายังต่อปากต่อคำเห็นที่จะถึงเย็น ข้าอยากจะรู้เต็มทีแล้ว"
"ฮึ...พ่อเดชเห็นทีจะไม่อยากรู้แล้วใช่หรือไม๋"
"อยากขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาบอก จำปาเงิบเล็กๆ
"คุณพี่ยืนตรงนี้ค่ะ สมมติว่าข้าเป็นแขกมานะเจ้าคะ เขาก็จะทำอย่างนี้ ทำพร้อมกันสองคนเลยนะเจ้าคะ"
เกศสุรางค์จุ๊บข้างหนึ่ง อีกข้าง มือก็ดึงแขนขุนศรีวิสารวาจาให้เข้ามาหาตัวเองด้วย
ออกญาโหราธิบดีตาโต แต่ระงับกิริยาอย่างน่าขำ
คุณหญิงจำปามือทาบอก อ้าปากค้าง
และพวกบ่าวทั้งหมดที่ขึ้นบันไดมา แต่ละคนหน้าตาตลกมาก
พอเกศสุรางค์จุ๊บครั้งที่สาม ขุนศรีวิสารวาจานั้นหน้าเคลิ้มจัด
แต่คนดูสิ แต่ละคนหลบหน้าไม่อยากดู
ไอ้จ้อยหลบก็จริง แต่อ้านิ้วแอบดู
เกศสุรางค์เห็นหน้าขุนศรีวิสารวาจา
"ไม่ต้องยิ้มกริ่มค่ะคุณพี่ แค่ทักทายกันเท่านั้น"
ขาดคำเกศสุรางค์
เสียงปริกก็ดังขึ้น
"ว๊าย...ตาเถร บัดสีบัดเถลิง ทนดูไม่ได้เจ้าค่ะ"
"ข้าทนดูไม่ได้เหมือนกัน" คุณหญิงจำปาลุกขึ้นเดินเข้า หันมา
เห็นปริกร้องแรกก็จริง แต่มองดูตาตั้ง
"ปริก"
ปริกตายังดู "เจ้าขา"
"ปริก"
"เจ้าขา"
"นังปริก"
"นังปริกทนดูไม่ได้ก็เข้าห้องไปสิเอ็ง"
ปริกลนลานตามจำปาเข้าห้องไป
บ่าวทุกคน รวมทั้งผินและแย้มด้วย ต่างก็เก้อเขินอายเอียง
เกศสุรางค์บอก"ทุกคน...เงยหน้า" แล้วมองออกญาโหราธิบดี ด้วยเห็นว่า ก้มหน้ามองไปทางอื่น "คุณลุงด้วยเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีสะดุ้งเล็กๆ หน้าเก้อๆ เหมือนกัน "ลุงด้วยฤๅ"
"เจ้าค่ะ เพราะข้าจะบอกว่านี่มันกิริยาธรรมดาๆของการทักทายกัน เขาทำกันทั้งนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยเจ้าค่ะ มันแค่หน้าชนกันจึ๊กเดียว...แบบเนี้ย"
เกศสุรางค์จุ๊บเข้าไปอีกที
ออกญาโหราธิบดีเมินไม่มอง
บ่าวทั้งปวงก็หลบตาวูบวาบ
มีแต่คุณพี่เท่านั้นที่นัยน์ตาซึ้งมองเกศสุรางค์
บริเวณสำรับอาหาร ตอนกลางวัน วันรุ่งขึ้น
ที่ห่อผ้าหนึ่ง เกศสุรางค์เปิดออก เป็นช้อน ส้อม มีด ที่ตักเนย ช้อนซุป 2 ชุด
จ้อยบอก "บ่าวเรือนออกขุนวิสุทธสุนทรเอามาให้ขอรับ"
เกศสุรางค์บอก"ให้หัดวิธีกินอาหารแบบฝรั่งเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เริ่มสอน อุปกรณ์ทุกอย่างวางไว้ตามระเบียบแล้ว
สอนใช้ส้อมกินสลัด ซึ่งเป็นผักบ้านๆ เช่น ผักบุ้ง
สอนวิธีกินซุป ซึ่งก็คือแกงจืดลูกรอก ตักซุปจากตัวและทานจากข้างๆช้อน
สอนวิธีตัดเนื้อด้วยมีด และส่งเข้าปากด้วยส้อม
พอเกศสุรางค์ส่งเข้าปาก
บ่าวๆผวา ตกใจกันทั้งนั้น
ปริกบอก "ดูไม่ได้เจ้าค่ะ"
"ยังไรอีกล่ะนังปริก"
"กลัวปากฉีกเจ้าค่ะ" ปริกลุกไป
"ฝรั่งนี่จะกินจะอยู่ช่างพิกลนัก" คุณหญิงจำปาลุกไปอีกคน
เสียงหัวเราะเบาๆของทุกคน
อีกวันหนึ่ง ขุนศรีวิสารวาจาทำงานอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
เกศสุรางค์จัดของอยู่กับบ่าว เป็นของที่ขุนศรีวิสารวาจาจะเอาไปปารีส มีหีบใหญ่ๆ 4-5 ใบ ของเช่นอาหารการกินวางเต็มไปหมด
ขุนศรีวิสารวาจาไม่เป็นอันทำงาน ชำเลืองมองตลอด เกศสุรางค์สบตา มองเห็นว่าโดนจ้อง
ข้าวของลงหีบหมดแล้ว หีบวางเรียงราย เกศสุรางค์ออกจากห้องของตัว เดินเร็วๆไปทางลงบันได ผิน แย้มตาม
ขุนศรีวิสารวาจาเผลอเดินตามไป 2-3 ก้าว
เกศสุรางค์หันมาสบตา แล้วไปเร็วๆ
ขุนศรีวิสารวาจาหยุดยืน เก้อๆ เหลียวไปเหลียวมา
ขุนศรีวิสารวาจาไปยืนอ่านหนังสืออยู่ที่หนึ่ง แต่นัยน์ตาชำเลือง
"เร็วๆเข้าพี่"
ขุนศรีวิสารวาจาขยับตัวเดินออกไปทันที เกศสุรางค์ขึ้นบันไดมาสบตาปัง
ขุนศรีวิสารวาจายืนนิ่ง
"คุณพี่มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ"
"เหตุใดจึงถาม...อย่างนั้น"
"ก็คุณพี่คอยจ้องข้าตลอดเวลา ข้าทำผิดอะไรหรือเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปทำเสียงเข้มกับผินและแย้ม
"อีผินอีแย้ม ไปจัดน้ำชากับขนมมาเพิ่มหน่อยสิเล่า" เมื่อมองเห็นบ่าวทาสเดิน
ไปไกลแล้วจึงกระแอมเบาๆ "วันพรุ่งข้าจักต้องไปไกลแล้วหนา"
"เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์จ้องมองมารอฟังคำจนขุนศรีพูดไม่ออก ได้แต่พึมพำเบาๆได้ยินแต่หางเสียง "หรอกฤๅ"
เกศสุรางค์ถึงกับต้องคลานไปนั่งฟังแทบชิดตัว พลอยให้ขุนศรีวิสารวาจาผงะรีบกระถดหนีแทบมิทัน
"ว่ากระไรหนาเจ้าคะข้าไม่ได้ยิน"
ขุนศรีวิสารวาจาลุกขึ้นจากพื้นศาลาก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังรั้วของลานระเบียง อันเป็นที่ค่อนข้างจะลับตาผู้คนพลางพยักหน้าให้เกศสุรางค์เดินตาม
"อะไรของเขานะ หรือว่ามีเรื่องจะสั่งเรา" เกศสุรางค์พึมพำแล้วลุกตามอย่างอยากรู้
ในที่ลับตาคน
"แม่การะเกด"
เกศสุรางค์เงยหน้ามองใบหน้าคมสันนั้นอย่างกระตือรือร้น ครั้นสบกับแววตาที่หวานสะท้อนแสงได้ก็ถึงกับอึ้ง มือใหญ่ยื่นมาเกาะกุมต้นแขนเกศสุรางค์ก่อนจะรั้งเข้ามาหาตัว กอดประทับกระชับแน่นจนร่างเกศสุรางค์แทบละลายเข้าไปในอก ซุกซบกับผมนุ่มสลวยพลางกระซิบเอ่ยซ้ำ
"วันพรุ่งข้าจักไปแดนไกล ออเจ้ามิมีสิ่งใดให้ข้าไว้แทนตัวหรอกฤๅ"
เกศสุรางค์อึ้ง รู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว ใจเต้นแรงกระหน่ำ
"เป็นอะไรหรือ ออเจ้าตัวสั่นได้ยินข้าฤๅไม่"
"เอ้อ"
ขุนศรีวิสารวาจากระซิบคลอเคลียอยู่ข้างหู "อยากให้ข้าพูดซ้ำฤๅไม่"
"ได้...ยินค่ะ"
"มีฤๅไม่"
"แล้ว เอ่อ...คุณพี่อยากได้สิ่งใดเจ้าคะ"
"สิ่งที่ออเจ้าใช้อยู่ทุกวัน สิ่งที่ติดกายออเจ้าที่หากข้าเห็นก็ต้องระลึกถึงออเจ้าอย่างไรเล่า"
เกศสุรางค์ครุ่นคิดจนคิ้วขมวด
"ให้ข้าได้อุ่นใจว่าข้าไปไกลแต่ออเจ้าจักรอคอยข้า มิหันเหไปทางอื่นให้มีราคี"
เกศสุรางค์ใช้มือยันอกแข็งแรงนั้นให้ห่างตัว ก่อนจะนึกออกว่าควรให้อะไรไปเป็นที่ระลึก
"รอข้าตรงนี้หนาเจ้าคะ" เกศสุรางค์เดินเข้าไปในหอนอนของตัวเอง
ขุนศรีวิสารวาจายืนรอกระวนกระวาย เกศสุรางค์ออกมาพร้อมหมอนใบใหญ่
"หมอนนี้ข้าหนุนทุกคืน ข้าให้คุณพี่เอาไปหนุนนอนเจ้าค่ะ เมืองฝรั่งหนาวเย็นนัก หากคุณพี่เผลอไผลไปได้เมียฝรั่ง ตอนจะเอนตัวลงนอนคงพอทำให้ยับยั้งชั่งใจได้บ้าง ถ้าคุณพี่อดใจได้ ข้าก็จะรักษาตัวไว้ให้ดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมรอคอยคุณพี่กลับมา" เกศสุรางค์พูดเสียงหนักแน่นมั่นคง
ขุนศรีวิสารวาจามองซาบซึ้งเหลือเกิน มือรับหมอนทับไปบนมือเกศสุรางค์และนิ่งอยู่อย่างนั้น
เพลงขึ้นช้าๆ สองคนยืนจ้องมองกัน
ขุนศรีวิสารวาจากอดอีกครั้ง แต่หมอนกั้นไว้ จึงต้องจับหมอนออกแล้วกอดแนบแน่น โดยถือหมอนไว้ข้างๆตัว
ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้าหอห้องปิดประตู จนอยู่เพียงลำพังจึงได้ทรุดนั่งลงบนตั่งเตียง
มือใหญ่ลูบหมอนนุ่มอย่างเบามือ พลางยิ้มแลหัวเราะเบาๆราวเสียจริต ก่อนจะวางหมอนใบนั้นแล้วก้มลงสูดดมความหอมเจือจางในเนื้อหมอน ใบหน้าคมสันแนบซบจนได้กลิ่นเนื้อนางเจือจางที่ตรึงตราอยู่ในใจ ความวาบหวามแทรกซึมลึกซึ้งไปถึงดวงวิญญาณ
"แม่การะเกดของพี่"
เช้ามืด บ่าวเดินจุดไต้
บนเรือน แสงไฟเกิดตรงโน้น...ตรงนี้ จนสว่างหมดทั้งเรือน
เกศสุรางค์แต่งตัวเสร็จ นั่งรอบนเตียง
ผิน แย้มตื่นพร้อมกัน เก็บที่นอนเงียบๆ และย่องๆจะออก
"จะไปไหน"
สองบ่าวตกใจหันมา
"แม่นาย แต่งตัวเสร็จแล้วหรือเจ้าคะนั่น" ผินถาม
"เสร็จแล้ว"
"อีผิน เราสองคนหลับเหมือนถูกวางยา"
ผินเห็นเกศสุรางค์ทำท่าปวดคอ
"เป็นอะไรเจ้าคะ"
"คอเคล็ด"
ผิน/แย้มตกใจ "ทำไมคอเคล็ดเจ้าคะ"
"ไม่ได้หนุนหมอน"
"หมอนไปไหนล่ะเจ้าคะ" ผินถาม
"หมอนไม่มีแล้ว"
"ไปไหนเจ้าคะ...หมอนน่ะ" แย้มถาม
หมอนในอ้อมกอดขุนศรีวิสารวาจา
เกศสุรางค์เดินออกจากหอนอนพร้อมผิน แย้ม
ผิน แย้มมองปราดไปที่ขุนศรีวิสารวาจา ที่กอดหมอนใบโตห่อด้วยกระดาษชุบน้ำมัน
ผิน แย้มหันมามองหน้ากัน ทำมือโอเคกันอีก
"หมอนอยู่ไหน...เห็นยัง"
ผิน/แย้ม "เห็นแล้วเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีถาม
"พ่อเดช...หอบอะไรนั่นน่ะ ให้ไอ้จ้อยมันถือไปสิ จักได้รวมกับของอื่นๆ"
บ่าวกำลังขนหีบทั้งหลายลงเรือนไป จ้อยถือของมาจากห้องนอนเป็นห่อหนังสือ
"กระผมถือไปเองขอรับ คุณพ่อ"
"หนักเปล่าๆ ให้บ่าวถือไปเถิดพ่อเดช ไอ้จ้อย" คุณหญิงว่า
"ไม่เป็นไรขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาวางหมอนใกล้ตัว แล้วทรุดตัวลงกราบเท้าพ่อและแม่
สองคนก้มลง ลูบหลังลูบไหล่
ขุนศรีวิสารวาจาลุกขึ้นลาแม่อีกที แม่แค่แตะไหล่ไม่กอดกัน
เกศสุรางค์มองแล้วคิดในใจ "คนเมืองนี้กอดพ่อกอดแม่ไม่เป็น"
ผินถาม"อะไรนะเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาจะหันไปหยิบหมอน หมอนอยู่ในมือออกญาโหราธิบดี
"อะไรฤๅนี่ เสื้อฤๅพ่อเดช ไอ้จ้อย...เอ้า...มาเอาของนี่"
ขุนศรีวิสารวาจาหยิบหมอนจากมือออกญาโหราธิบดีทันที แต่นุ่มนวล
"เป็นของสำคัญขอรับ"
เกศสุรางค์ ก้มลงยิ้มกับตัวเอง
ผินกับแย้มก็ยิ้ม
ขุนศรีวิสารวาจาเดินไปที่บันไดเรือน
บ่าวทั้งปวงก้มลงกราบ
"ปริก ข้าฝากเอ็งดูแลแม่ข้าด้วยนะ"
"เจ้าค่ะ ออกขุนท่านอย่าห่วงเจ้าค่ะ ข้าเจ้าไม่ทิ้งคุณหญิงหรอกเจ้าค่ะ"
ผ่านเกศสุรางค์ หยุดยืนอึดใจ
เกศสุรางค์พนมมือไหว้อย่างงดงาม
ขุนศรีวิสารวาจายื่นมือเหมือนจะแตะมือ แต่ไม่สามารถทำได้
บ่าวสองคนเลี่ยงออกไปห่างๆ
"ข้าไปนานมาก...ขอออเจ้าจงอยู่ดีมีสุข อย่ามีทุกข์ใจอันใด"
"เจ้าค่ะ"
"อย่ามี...ใคร"
เกศสุรางค์สบตาแรงมากตอบยืนยัน "เจ้าค่ะ"
ทั้งสองสบตากันอีกอึดใจ
ขุนศรีวิสารวาจาก็ไป
เกศสุรางค์ได้แต่มองตาม
บ่าวยกของไปตามทางที่จะไปท่าน้ำอย่างรวดเร็ว จ้อยควบคุมไป
ขุนศรีวิสารวาจาเดินลงบันได แล้วหันไปมองเรือนสีหน้าอาวรณ์
แล้วตัดใจเดินดุ่มๆไป จ้อยเดินสวนมา
"ขุนเรืองมาขอรับ"
"ขุนเรืองมาใยเอ็งทำหน้าตื่นเต้นปานนั้น"
"เพราะมีอีกคนมาด้วยขอรับ"
"อีกคน...ใคร"
เรือจันทร์วาดเข้ามาถึงท่าเรือ
แม่หญิงจันทร์วาดเงยหน้าขึ้นมายิ้มนุ่มนวล
ขุนศรีวิสารวาจาจะเข้าไปรับ แต่ขุนเรืองอภัยภักดีเดินแทรกไปรับมือจันทร์วาดขึ้นมาก่อน
ขุนศรีวิสารวาจามองขุนเรืองอภัยภักดีแบบงงๆ และขำๆ
จันทร์วาดขึ้นมายืน มือยังอยู่ในมือขุนเรืองอภัยภักดี
"แม่จันทร์วาด"
จันทร์วาดจะไหว้ แต่มือขุนเรืองอภัยภักดีไม่ปล่อย จันทร์วาดมองหน้าและดึงออก ขุนเรืองยังไม่ยอมปล่อย อีกจนวินาทีต่อมา...จึงปล่อย
จันทร์วาดข่มความเขินอาย
"คุณพี่เดชเจ้าคะ ข้ามาส่งเจ้าค่ะ"
"ขอบใจยิ่งนักอุตส่าห์มาส่งข้า"
"คุณพี่จักไปนานแค่ไหนฤๅเจ้าคะ"
"นานมากอาจจะเป็นปี"
แม่หญิงจันทร์วาดหน้าสลดลงพอสังเกตได้
"พ่อเรืองจักไปด้วยกันหรือไม่"
ขุนเรืองอภัยภักดีบอก "ออเจ้าต้องไปเข้าขบวนเรือล่องไปปากน้ำ ข้าส่งออเจ้าตรงนี้แล้วกัน"
ขุนศรีวิสารวาจาพยักหน้า ก้มหัวนิดๆ "ขอบใจออเจ้า ขุนเรือง"
เรือของขุนศรีวิสารวาจาวาดหัวออกจากท่า
แม่หญิงจันทร์วาดประนมมือไหว้อย่างนุ่มนวล ขุนศรีวิสารวาจารับไหว้เพียงอก
ขุนเรืองอภัยภักดีก้มหัวลา ขุนศรีวิสารวาจาก้มหัวรับไหว้การลา
เรือพร้อมทั้งสัมภาระทุกอย่างลอยออกไป จ้อยนั่งไปด้วย คนพายสองคนพายไป
ขุนเรืองอภัยภักดีหันมาทางจันทร์วาด จ้องหน้าอย่างลึกซึ้ง
จันทร์วาดหลบตา
"ข้าจะขึ้นไปกราบทักทายคุณลุงและคุณป้าเจ้าค่ะ"
"แม่หญิงสบายดีหรืออย่างไร"
จันทร์วาดไหว้ "เจ้าค่ะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
"ข้า...ระลึกถึงแม่หญิงตลอดเวลา แต่ข้ามิอาจกล้าไปหาสู่แม่หญิง ด้วยคุณหญิง..." ขุนเรืองอภัยภักดียังพูดไม่จบ
จันทร์วาดส่ายหน้าให้หยุด
"คุณแม่ของข้าทำเช่นเดียวกับแม่ของทุกผู้ ท่านจำเป็นต้องแน่ใจ แลท่านจะแน่ใจได้เพียงใดเป็นหน้าที่ของขุนเรือง"
ที่เรือนออกญาโกษาธิบดี คุณหญิงนิ่มกัดพลูที่ม้วนไว้ยาว กัดไปครึ่งหนึ่งก็วาง นัยน์ตาชำเลืองมองจันทร์วาด ที่นั่งร้อยอุบะอยู่ใกล้ๆ
"ไปส่งคุณพี่ขุนถึงเรือนชานเขาเชียวหรือแม่จันทร์วาด"
"เจ้าค่ะ"
"อ้อ...พบเจอผู้ใดบ้างล่ะ"
จันทร์วาดชำเลืองทันที
บุญกับเหมือน หลบตาวูบ มีพิรุธชัดเจน
"พบเจ้าค่ะ ขุนเรืองอภัยภักดีไปส่งคุณพี่เดชเช่นกันค่ะ"
นิ่มหน้าเครียดทันที "ขุนเรืองอภัยภักดีรึ... ข้าไม่ชอบ อย่าได้หวังว่าจะมาเป็นเขยเลย"
คุณหญิงนิ่มลุกเดินเข้าไปทันที
จันทร์วาดนั่งเซ็ง
บริเวณท่าน้ำเรือนออกญาโหราธิบดี
เกศสุรางค์บอก
"ขุนเรืองไม่เชื่อข้าเหรอ"
"จะให้เชื่อได้ยังไร แม่ของนางรังเกียจข้า ออเจ้าจะให้ข้าเพียรไปหานางที่ออเจ้าเรียกว่า...เอ่อ"
"ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก"
"ข้าทำอย่างนั้นไม่เป็น"
"เรื่องเล็ก...ไม่ยาก ขุนเรืองไปนะเจ้าคะ เลือกเวลาที่คุณหญิงแม่ของแม่หญิงจันทร์วาดไม่อยู่"
"ข้าจะรู้ได้ยังไรว่าคุณหญิงไม่อยู่"
"โธ่เอ๊ย...ก็ไปด้อมๆมองๆสิคะว่ารถเอ๊ยเรืออยู่รึเปล่า"
ขุนเรืองอภัยภักดีอยู่ในชุดพรางตัว พายเรือผ่านท่าน้ำบ้านออกญาโกษาธิบดี ผ่านไป
บ่าวคนหนึ่งกำลังล้างภาชนะ กำลังจะตักน้ำมองเห็นดูเฉยๆ
เรือกลับมาอีก ผ่านมาช้าๆ
บ่าวยังล้างไม่เสร็จ มองดูแบบฉงนอีก
เรือผ่านไป บ่าวมองตามสีหน้าสงสัย แต่แล้วก็เลิกสนใจ ตักน้ำใส่ภาชนะนั้น
เรือมาอีกแล้ว บ่าวผลุดลุกขึ้นทันที
บ่าว 1ร้อง เอ๊ะๆ
บ่าว 2วิ่งมา "นังใบ้ ตักน้ำเป็นนานสองนาน...ได้ยัง"
"แบ๊ะ...แบ๊ะ" บ่าว 1 ชี้ไปที่เรือ
"อะไร...ก็เรือเขาพายผ่านเรือน เอ็งจะอะไรกะเขา เร็ว เดี๋ยวคุณหญิงกลับมาล่ะเอ็งเอ๋ย เออ...ไม่ได้ยินรู้แล้ว เร็วๆ"
ขุนเรืองอภัยภักดีดีใจ รีบจ้ำๆพายไปทันที
ขุนเรืองอภัยภักดีก้าวขึ้นบ้าน หล่อเหลามาเต็มๆ ยิ้มพรายสมใจ
บ่าว 1 ออกมา ไหว้นอบน้อม
"แม่หญิงจันทร์วาด"
บ่าว 1ร้อง "แบ๊ะ"
ขุนเรืองอภัยภักดีพูดช้าๆให้ บ่าว 1 ดูปาก "แม่หญิงจันทร์วาด"
บ่าว 1 ทำท่าว่าอยู่ข้างใน เชื้อเชิญให้เข้า
แม่หญิงจันทร์วาดออกมา ไหว้
"ขุนเรืองอภัยภักดี"
"แม่หญิง"
"มีธุระอันใดกับ...ใครหรือคะ"
"กับคนที่ข้าระลึกถึงที่สุดอยู่ตลอดเวลา"
จันทร์วาดก้มลงอาย
ขุนเรืองอภัยภักดีว่าอย่างที่เกศสุรางค์สอนเอาไว้
"เจอปุ๊บ ขุนเรืองต้องบอกคิดถึง...คิดถึงมากๆ มากที่สุด เข้าใจไหม"
มุมหนึ่งในบ้าน
ขุนเรืองอภัยภักดี มองจันทร์วาดสายตาลึกซึ้ง สีหน้าอ่อนโยน
เกศสุรางค์สอนไว้ว่า
"ณ เวลานี้ ความรักมีอุปสรรคยิ่งใหญ่ จะพบกันแสนยาก เพราะแม่ฝ่ายหญิงไม่เป็นใจ ขุนเรืองอย่ารีรอนะเจ้าคะ รีบบอกความในใจให้แม่หญิงจันทร์วาดหวั่นไหวเสียก่อน เข้าใจไหมคะ"
"เข้าใจ"
"กระหน่ำเลยนะคะ"
"กระหน่ำใครฤๅแม่การะเกด"
"โอ๊ย ซื่อบื้อมั้ยเนี่ย"
ขุนเรืองอภัยภักดี สายตายิ้มขึ้น
จันทร์วาดซึ่งมองดูของว่างแลเครื่องดื่มที่บ่าววาง บ่าวถอยไป หันกลับมามองขุนเรืองแล้วชะงัก
กับสายตาของขุนเรืองอภัยภักดี
"แม่หญิงจะไม่ถามฤๅว่าคนที่ข้าคิดถึงเป็นใคร"
"ข้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร"
"จริงดังนั้นฤๅ" ขุนเรืองอภัยภักดีขยับเข้ามา "ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง"
"แต่แม่การะเกดมีคู่หมายแล้ว ขุนเรืองต้องหักห้ามความเสียใจนะคะ หมายปองคนที่มีคู่แล้วไม่ควรทำ"
"ถ้าเช่นนั้น...ข้าควรหมายปองใคร"
แม่หญิงจันทร์วาดมองสบตา นิ่งๆ ตอบรับด้วยสายตา
"แม่หญิงรู้ใช่ฤๅไม่ว่ามิใช่แม่หญิงการะเกด แต่เป็นแม่หญิงจันทร์วาด"
"ท่านพูดอ้อมค้อม ข้าจึงมิอาจพูดว่าข้ารู้"
จันทร์วาดสบตาเปิดเผยมาก
ขุนเรืองอภัยภักดีใจเต้นแรง
"แม่หญิงช่างน่ารักเหลือเกิน มิน่า ข้าถึงดึงหัวใจออกจากแม่หญิงหาได้ไม่ ทั้งวันแลทั้งคืนที่ข้าเฝ้าคิดถึงแม่หญิง"
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
"ทำไมแม่หญิงจึงรู้ใจข้า"
"ขุนเรืองเจ้าคะ เป็นผู้หญิงมิใช่โง่นะเจ้าคะ ขุนเรืองไม่ได้บอกข้าด้วยกิริยาตลอดมาหรือเจ้าคะ"
ขุนเรืองจับมือทันที "แม่หญิง ข้ารักแม่หญิงเป็นที่สุด"
จันทร์วาดก้มหน้าอายเล็กๆเท่านั้น
"รักข้าบ้างไหม"
"โธ่เอ๋ย...ขุนเรือง ถ้าแม่การะเกดรู้ว่าขุนเรืองถามข้าอย่างนี้ ต้องโดนนางเอ็ดเอาแน่ๆ"
ขุนเรืองเงิบไปเลย เกาหัวแก้เขิน
จันทร์วาดหัวเราะเสียงใส
ขุนเรืองทำอะไรไม่ถูก ต้องหัวเราะเก้อๆไปด้วย
วันหนึ่ง เกศสุรางค์เขียนสมุดบันทึก เขียนไปพูดพึมพำไปด้วย
"วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2228 คณะทูตจากกรุงศรีอยุธยาเดินทางไปพร้อมกับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มองสิเออร์เชอวาเลีย เดอโชมองต์ที่เดินทางกลับเมืองปารีส นั่งเรือสำเภาลำใหญ่ชื่อมาลีนและลัวโซ มีนักเรียนช่างตามไปอีกยี่สิบคนไปเรียนวิชาแบบฝรั่ง ท่านอาจารย์ชีปะขาวก็เดินทางไปด้วย"
เขียนจบ เกศสุรางค์เงยหน้า มองไปไกลๆ
"ตรงตามประวัติศาสตร์ทุกอย่าง"
ผินกับแย้มที่นั่งพับผ้าใส่เตียบอยู่อีกทางมองหน้ากัน แล้วคลานมาหา
"ประวัติศาสตร์ว่าไว้ตรงเลยใช่ไหมเจ้าคะแม่นายท่าน" ผินถาม
"เป๊ะ"
แย้มถาม "ประวัติศาสตร์เล่าเรื่องออกขุนท่านไปเมืองฝรั่งรึเปล่าเจ้าคะ"
"แหม เดี๋ยวนี้รู้จริงนะ ประวัติศาสตร์ก็รู้ด้วย"
ผินบอก "แม่นายพูดเป็นร้อยครั้งก็เดาได้เจ้าค่ะว่าเป็นเรื่องเก่าๆ"
"โอเค...ประวัติศาสตร์บอกว่าอย่างนี้นะ กลางทางเรือไปเจอคลื่นน้ำวนด้วย ลมมรสุมด้วย เรือก็เลยลอยขึ้น-ลงสูงเหมือนตึกหลายชั้น เรือก็หมุนรอบตัวเอง แล้วตกไปอยู่ในวังน้ำวน ถ้าไม่มีอาจารย์ชีปะขาวไปช่วยดึงเรือขึ้นมาจากน้ำวนนั่นน่ะ เก๊าะ...เรือล่มจมหายไปในทะเลชัวร์"
"ประวัติศาสตร์บอกแล้วเป็นจริงหรือไม่เจ้าคะแม่นาย" ผินว่า
แย้มบอก
"ต้องรอให้ออกขุนท่านกลับมาก่อนสิวะ..ถึงจะรู้ว่ากรงตามประวัติศาสตร์หรือไม่"
"ประวัติศาสตร์บอกว่าไปนานแค่ไหนเจ้าคะแม่นาย" ผินถาม
"ประวัติศาสตร์บอกว่า ฟังดีๆนะ เป็นปี"
ผิน/แย้มร้อง "ฮ้า"
"จริงพี่...ปีกว่า" เกศศุรางค์ว่า
แย้มบอก "ปีกว่า...ตายห่าแน่นอน"
"ทำไมจะแน่นอน"
"เอ๊า...เป็นปีอย่างนี้ คนทางนี้ก็คิดถึงกันตายน่ะสิ"
เกศสุรางค์สลดลงทันที พยายามซ่อนหน้าไม่ให้บ่าวสองคนเห็น แต่ในที่สุดก็เริ่มร้องมีเสียงออกมาแผ่วๆ
"โถแม่นายของบ่าว"
คืนนั้น เกศสุรางค์ทอดกายลงนอน หนุนหมอนแข็งๆรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตาลืมมองเพดาน
เสียงสิปางแว่วมา
"เกศ...ลูกแม่"
เกศสุรางค์หยุดกึก หันขวับมา
แม่สิปางยืนอยู่หน้าเตียง ยิ้มหวาน
เกศสุรางค์เรียกเสียงดัง"แม่จ๋า"
ผินกับแย้มได้ยินลุกขึ้นคู่
เกศสุรางค์นอนเงียบ
สองคนก้มลงนอนต่อ
สิปางประคองหน้าลูกสาว ยิ้มปลุกปลอบกำลังใจ
"แม่มากับใคร...คุณยายล่ะคะ"
แม่หันไปทางประตู
คุณยายนวลยืนอยู่ ยิ้มกว้างสุดปาก
"เกศ...ยายมาหาลูก" ยายนวลว่า
เกศสุรางค์ลงไปกอดคุณยายทั้งตัว ซบหน้ากับตักแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
"คุณยาย...คุณยายขา"
แม่ลงไปกอดด้วย มีแต่เกศสุรางค์ที่มีน้ำตา คุณยายนวล กับแม่ไม่ร้องไห้เลย
ผินผงกหัวขึ้นมอง
เงียบ มีแต่เสียงร้องไห้แผ่วๆ
"ผิน...มีอะไร"
"ข้าได้ยินเสียงใครร้องไห้"
แย้มผวาเข้ามากอดผิน
"นังแย้ม...ตกใจหมด"
"ใครร้องไห้ล่ะ"
เกศสุรางค์ นอนร้องไห้สะอื้นทั้งยังหลับ
ในความฝัน ...
"เสียใจหรือที่แม่กับยายมาหา"
"เปล่า...เปล่าค่ะแม่ ดีใจที่สุด"
"แล้วร้องไห้ทำไม"
"เพราะเกศมีความสุข"
"คิดถึงแม่มากมั้ยลูก"
"คิดถึงที่สุดค่ะแม่"
"แม่รู้ว่าเกศคิดถึงแม่ คิดถึงคุณยาย แล้วก็คิดถึงใครอีกบางคนที่เขาอยู่แสน
ไกล แต่เขามาหาเกศไม่ได้ แม่ถึงมาหาเกศไง"
เกศสุรางค์มองหน้าแม่ แล้วเข้ากอดเต็มๆ
"แม่จ๋า แม่ของเกศ แม่อยู่กับเกศนานๆ อยู่ตลอดไปได้มั้ย"
"เดี๋ยวแม่ก็ต้องกลับแล้ว คุณยายต้องกลับไปใส่บาตร"
"คุณยายขา ไม่ใส่วันหนึ่งสิคะ"
"ไม่ได้หรอกลูก พ่อเรืองฤทธิ์เขาคอย"
คุณยายใส่บาตรให้พระเรืองฤทธิ์
เกศสุรางค์ร้องเรียก
"คุณยาย...แม่ แม่จ๋า อย่าเพิ่งไป...อยู่ก่อน อยู่ก่อนสิแม่"
ผินกับแย้มยืนมองอัศจรรย์
"ฮือ...ฮือ ไปกันหมดเลย" เกศสุรางค์สะอื้น
ผินลุกขึ้นมาแตะร่างเกศสุรางค์"แม่นาย...แม่นายเจ้าคะ"
สักครู่เกศสุรางค์ผวาตื่น
สองคนมองจ้อง
ผินถาม"ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"
วันหนึ่ง ที่หน้าคันฉ่อง
เกศสุรางค์ส่องกระจก ความหมองเศร้าสร้อยในสีหน้า ค่อยๆเข้มแข็งขึ้น
"วันนี้คุณป้าจะให้ข้าเรียนอะไร พี่รู้แล้วใช่มั้ย"
เวลาต่อเนื่อง ที่ระเบียง เกศสุรางค์จ้องมองตะคันกับทวน ตรงหน้า
"อะไรนี่พี่"
"นี่เรียกว่าตะคันเจ้าค่ะ" ผินบอก
แย้มบอก "นี่คันทวนเจ้าค่ะ"
"คุณป้าจะให้เรียนด้วยนี่เหรอ"
"ข้าเจ้าเองก็มิใคร่แน่ใจนักเจ้าค่ะ หากแต่แม่นายท่านสั่งให้ตากดินสอพองที่ซื้อมาจากละโว้เมื่อคราก่อน คาดว่าน่าจักทำแป้งร่ำเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ทรุดตัวลงจับแป้งสีขาวเล่น แป้งดินสอพองที่เห็นบ้างก็เป็นเม็ดโตบ้างก็เป็นผงถูกเกลี่ยไว้ในกระด้งที่รองด้วยผ้าขาวบาง
คุณหญิงจำปาเดินออกมา
"ข้าจักสอนออเจ้าอบร่ำแป้งดินสอพอง อบร่ำนี้ต้องทำซ้ำๆ สามวันตัวแป้งจักดูดเอากลิ่นหอมเข้าไปทำให้หอมทน แลต้องอบด้วยดอกไม้สดอีกสามวันจักได้หอมยิ่งขึ้นไป"
เครื่องปรุงต่างๆถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว
เกศสุรางค์ช่วยเอาเครื่องปรุงทั้งหมดใส่ครก และบ่าวคนหนึ่งตำ...ตำ
เครื่องปรุงทุกอย่างตำๆ
คุณหญิงจำปาบอก "เครื่องทำแป้งหอมนี้เอามาตำให้ละเอียด"
"อะไรมั่งเจ้าคะ"
"กำยาน อบเชย กานพลู เปลือกชะลูด ลูกจันทร์ น้ำตาลทรายแดง ไม้จันทร์หอม ไม้กฤษณา"
ตักเครื่องหอมที่ตำจนแหลกมาใส่โถเคลือบ
โถเคลือบใบเล็กใส่ชะมดเช็ดที่คล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองๆ
"นี่คือชะมดเช็ด เหมือนขี้ผึ้งเห็นฤๅไม่ เจ้าต้องฆ่าชะมดเช็ดด้วยน้ำมะกรูด หรือผิวมะกรูดสับละเอียดลนไฟ ใส่เข้าไปให้สะตุฆ่าพิษ ชะมดจะละลายตัว แล้วเอาไปผสมกับเครื่องร่ำที่ตำได้"
เอาชะมดเช็ดที่สะตุไว้เทลงในอ่างเคลือบใบใหญ่ที่ใส่เครื่องหอมที่ตำเสร็จ
"เอาทั้งหมดที่ตำได้มาผสมกับชะมดเช็ดหอมๆ มันจะหอมมาก เอาตะคันกับ
ทวนมา" บ่าวส่งให้ "ตะคันวางข้างบน ทวนนี่วางตั้ง ผ้าขาวบางปิดอ่าง"
"หอมจริงๆค่ะคุณป้า"
ใบตองกรวยหยดแป้งเป็นก้อนๆจิ๋วน่ารักบนกระด้ง
"เราเรียกว่า แป้งร่ำกระแจะจันทร์"
เกศสุรางค์ยื่นหน้าสูดกลิ่นหอมของแป้ง...ชื่นใจ
"เป็นหญิงจะออกเรือนต้องทำให้เป็นทุกอย่าง เพ-ลาสั่งบ่าวไพร่จักได้ไม่อายใคร การบ้านการเรือนต้องเรียบร้อย อาหารการกินต้องรู้จักปรุงแต่งทั้งคาวแลหวาน ข้อนี้จักได้ผูกมัดใจชาย ล้วนแต่เป็นเสน่ห์ของแม่หญิง ออเจ้าเข้าใจฤๅไม่"
เกศสุรางค์ยิ้มตอบคุณหญิงจำปา
"เข้าใจเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปามองหน้าผ่อง แล้วใจก็อ่อนลงว่านี่คือลูกสะใภ้ในอนาคต วางมือบนหัวเกศสุรางค์เบาๆตบ 2-3ที
"คุณป้าเจ้าขา เรียนทำแป้งเสร็จ ข้าขอไปเยี่ยมแม่หญิงจันทร์วาดได้มั้ยเจ้าคะ"
จำปาหดทีเดียว
"เห็นแม่นายใจดีไงเจ้าคะ เลยกำเริบใจ" ปริกว่า
คุณหญิงจำปามองปริก อ่อนใจนิดๆกับบ่าวคนนี้ ปริกก้มหน้า
"ไปแค่เรือนแม่จันทร์วาดเท่านั้น อย่าเถลไถลไปก่อเรื่องที่ไหนอีกเป็นอันขาด นังผินนังแย้มดูนายของเอ็งไว้ให้ดี"
เรือนออกญาโกษาธิบดี
อุบะงามฝีมือจันทร์วาด แบบต่างๆห้อยอยู่ทั่วเรือน
"อุบะสวยจัง แม่จันทร์วาดฝีมือสุดยอด" เกศสุรางค์ยกนิ้วให้
จันทร์วาดทำหน้างงๆ ถามย้ำ "แปลว่าดี ใช่ฤๅไม่"
"ใช่...สุดๆ"
"ดีมากเจ้าค่ะ"
"ออเจ้ามีธุระอันใดกับข้า คงมิใช่มาเพื่อชมว่าข้าร้อยอุบะได้งามสุดๆหรอกนะ"
"ไม่ใช่..ไม่ใช่ ชมก็อีกเรื่อง แต่ที่มาเนี่ย...มีอีกเรื่อง"
"ข้าฟังออเจ้ามิค่อยจะรู้ความ ออเจ้าอย่าพูดภาษาเมืองสองแควได้ฤๅไม่"
"เถอะ...เดี๋ยวก็รู้เอง ว่าแต่..." เกศสุรางค์มองบอกบ่าว "ข้าหิวหนม"
"หนม ?"
"ข้าหมายถึงขนม แม่หญิงให้บ่าวเอาให้ข้ากินหน่อยนะ"
จันทร์วาดยังงง แต่หันไป
"บุญ...เหมือน จัดหาขนมกวนแลน้ำชามาให้แม่หญิงการะเกดด้วย"
บุญ/เหมือนรับคำก่อนลับตัวไป"เจ้าค่ะ"
ผินกับแย้มคลานห่างออกไป
"ข้าจะมาบอกว่าขุนเรืองตอนนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ งานการไม่ได้ทำ ตรอมใจสุดๆ"
แม่หญิงจันทร์วาดนิ่งไป หน้าเฉยเมย
"แม่หญิงไม่เชื่อข้าเหรอ"
"เชื่อ ไม่มีเหตุให้ไม่เชื่อ"
"ทำไมทำหน้าอย่างนั้น"
"เพราะข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดขุนเรืองจึงต้องให้ออเจ้ามาบอกข้า ข้ารับไมตรีขุนเรืองแล้วมิได้ตัดรอนใดๆ"
"ข้ามาเอง" เกศสุรางค์ชะโงกเข้าไปประจันหน้า นัยน์ตาจริงจัง เสียงจริงจัง "ขุนเรืองไม่รู้"
"เหตุใดออเจ้าจึงต้องยื่นจมูกเข้ามาในเรื่องที่มิใช่ของออเจ้า"
"เพราะข้ารู้ว่าแม่หญิงจะต้องเชื่อแม่ของแม่หญิง ข้าต้องมาบอกแม่หญิงว่า นี่คือชีวิตของเรา เราต้องกำหนดเอง เรารักคนนี้อย่ามาบังคับให้เราแต่งกับคนอื่น เพราะคนที่จะเข้าหอคือเรา เราต้องเลือกเอง อย่ายอมให้เขาจับเราใส่ถุงชนกับใครเป็นอันขาด"
จันทร์วาด เอ๋อยิ่งกว่าเอ๋อ
"ทำหน้าดีๆ บุญกับเหมือนมาแล้ว"
จันทร์วาดกระซิบ "ข้าควรทำอันใดล่ะ"
"โอเค...จะบอกให้"
เกศสุรางค์เข้าไปใกล้กระซิบกระซาบ จันทร์วาดฟังตั้งใจ
บุญกับเหมือนเอาขนมออกมา
อ่านต่อตอนที่ 23
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
จากหนังสือ "โกษาปาน ราชทูต ผู้กู้แผ่นดิน" หน้า ๓๕ กล่าวว่า
"น่าจะเป็นภาพวาดเหตุการณ์พิธีพระราชทานเพลิงศพแม่นมโกษาปาน - หมอแกมป์เฟอร์ บันทึกเรื่องงานพระราชทานเพลิงศพแม่นมของเจ้าพระยาพระคลัง โกษาปาน เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๐ ว่า มีการแห่ศพใส่เรือไปพระราชทานเพลิงศพ ณ ตรงระหว่างสาขาแม่น้ำตรงข้ามกับตัวเมือง "พระเจ้าแผ่นดิน (พระเพทราชา) เสด็จไปพระราชทานเพลิงด้วยพระองค์เอง เป็นเกียรติยศแก่ท่านพระยาพระคลังอันเป็นผู้ทรงโปรดปรานใกล้ชิดเป็นพิเศษ"
วาดโดยจิตรกรชาวดัทช์ชื่อ Van der Laan จาก Gittinger and Lefferts, Textiles and the Tai Experience in Southeast Asia, (Washington, D.C. : The Textile Museum, 1992), P. 145
"โกษาปาน"
จากหนังสือ "โกษาปาน ราชทูต ผู้กู้แผ่นดิน" หน้า ๑๒๖-๑๒๗ บรรยายว่า
ภาพครึ่งตัวโกษาปาน นั่งบนบัลลังก์ว่าราชการ หากไม่สังเกตให้ดีอาจจะสับสนกับภาพพระนารายณ์ ด้วยผู้วาดได้เปลี่ยนเฉพาะใบหน้าและคำบรรยายด้านล่างเท่านั้น มีคำอธิบายภาพนี้คือ
"ภาพจริงของอัครมหาเสนาบดีพระเจ้ากรุงสยาม ขณะนั่งบัลลังก์ว่าราชการแก่บรรดาทูตานุทูตและเสนาบดีต่างๆ ในค.ศ. ๑๖๘๖ ท่านผู้นี้ได้มายังฝรั่งเศสในฐานะเอกอัครราชทูตสยาม ใน ค.ศ. ๑๖๙๐ ได้เข้าร่วมอยู่กับกลุ่มผู้ยึดอำนาจ พระเพทราชาคือ ผู้ยึดอำนาจและขึ้นครองราชสมบัติ ท่านคือ ผู้ปลดปล่อยมิชชันนารีฝรั่งเศสออกจากคุก และได้เรียกให้มิชชันนารีฝรั่งเศสอื่นเข้ามารวมกัน ท่านได้ให้บูรณะสามเณราลัยที่ถูกทำลายให้สวยงามกว่าเดิม เพื่อให้เกียรติยศพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และประชาชนฝรั่งเศสกลับคืนมาอีกครั้ง ๑๖๙๑"
โกษาปาน : ออกพระวิสุทธสุนทร, เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
อย่างที่ทราบกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิต นั้นเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดีทั้งสอง คือ โกษาปาน และโกษาเหล็ก ทั้งยังเป็นแม่นมชั้นเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ "ชื่อจริง" ทั้งเอกสารไทยและฝรั่ง
หนังสือ "โกษาปาน ราชทูต ผู้กู้แผ่นดิน" โดย ภูธร ภูมะธน จัดพิมพ์ครั้งที่ ๓ โดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ อ้างแล้ว
"เจ้าแม่วัดดุสิต มารดาของโกษาเหล็กและโกษาปานเสียชีวิตตั้งแต่ต้นรัชสมัยพระเพทราชา ด้วยหมอประจำคณะราชทูตฮอลันดาชื่อ หมอแกมป์เฟอร์ (Kaempfer) จากเมืองปัตตาเวีย ที่แวะมาพระนครศรีอยุธยา ได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓) ว่า ในตอนบ่ายของวันนั้น มีพิธีปลงศพแม่นมของโกษาปานอย่างใหญ่โต พระเพทราชาเสด็จฯ มาในพิธีนี้ แต่มารดาจริงของโกษาปานได้ทำศพเสร็จไปแล้ว เมื่อ ๑๕เดือนก่อน" (Engelbert Kaempfer, A Description of the Kingdom of Siam, (Bangkok : White Orchid Press, 1987) pp. 21-22) หากนับย้อนกลับไปดังที่หมอแกมป์เฟอร์ระบุ เจ้าแม่วัดดุสิตต้องเสียชีวิตเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)
ในละคร "บุเพสันนิวาส" ว่า โกษาปาน มีภรรยาถึง 22 คน ... เรื่องดังกล่าวหนังสือเล่มนี้กล่าวว่า
"ชีวิตสมรสของโกษาปานมีระบุในหลักฐานฝรั่งเศสว่า เมื่อครั้งโกษาปานเป็นราชทูต พำนักอยู่ที่ฝรั่งเศส ในกลาง ค.ศ. ๑๖๘๖ ถึงต้น ค.ศ. ๑๖๘๗ (กลาง พ.ศ. ๒๒๒๙ ถึงต้น พ.ศ. ๒๒๓๐) นั้น คราวหนึ่งมีสตรีฝรั่งเศสผู้หนึ่งถามโกษาปานว่ามีภรรยากี่คน โกษาปานตอบว่า มี ๒๒ คน" (ด็องโน เดอ วิเชส์, วรรณกรรม ฟ. ฮีแลร์ พระยาโกษาปานไปฝรั่งเศส, เจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ แปล (กรุงเทพฯ : โรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพ, ๒๕๔๐ ) หน้า ๒๙ )
แต่หลักฐานไทยบอกว่า โกษาปานได้ภรรยาฝรั่งเศส โดยพงศาวดารอยุธยา ระบุว่า
"พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงพระการุณยภาพราชทูตโกษาปานเป็นอันมาก มีพระราชประสงค์ใคร่ได้พืชพันธุ์ไว้ จึงทรงพระราชทานนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาราชทูตคนหนึ่ง ราชทูตอยู่สมัครสังวาสกันด้วยภรรยาจนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนบิดา อยู่ประมาณ ๓ ปี ราชทูตจึงกราบทูลถวายบังคมลา" (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๙ (กรุงเทพฯ : ศิลปากร, ๒๕๔๒) หน้า ๓๗ - ๓๘)
เจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ ผู้แปลเรื่อง โกษาปานไปฝรั่งเศส ที่บันทึกโดย ม. ด็องโน เดอ วิเชลส์ (Donneau de Vizé) วิจารณ์เรื่องโกษาปานได้รับพระราชทานภรรยาแหม่มจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ว่า
"ตอนที่กล่าวว่าอัครราชทูตสยามได้รับภรรยาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ถึงกับมีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งหน้าตาเหมือนพ่อ ข้อนี้อย่าว่าแต่ผิดวิสัยประเพณีกษัตริย์ฝรั่งเศสจนไม่ต้องวินิจฉัยเลย เพียงบอกให้รู้ว่า ราชทูตอยู่กรุงปารีส ๕ เดือนเท่านั้น จะทันได้เห็นหน้าบุตรจำมาเล่าให้พวกพ้องฟังที่ไหน"(ด็องโน เดอ วิเชส์, เรื่องเดิม หน้า ๒๓๙)
"โกษาปาน ราชทูต ผู้กู้แผ่นดิน" หน้า ๑๐๘ ว่า " ออกพระวิสุทธสุนทร ราชทูต (๑) หนึ่งในราชทูตจำนวนสามนายที่สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามส่งมาเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เป็นผู้ที่มีวิจารณญาณดี เหมาะสมแก่ตำแหน่งหน้าที่ได้มอบหมายนี้มาก เขาเป็นน้องชายของเจ้าพระยาพระคลังผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครมหาเสนาบดีของสยาม และเคยติดตามพี่ชายไปในที่ต่างๆ ราชทูตคนที่สองซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาคือ ออกหลวงกัลยาณราชไมตรี อุปทูต (๒) เป็นบุคคลสูงอายุ เฉลียวฉลาดมาก เคยเป็นราชทูตไปยังประเทศจีน ทำงานได้ผลเป็นที่พอพระราชหฤทัยพระมหากษัตริย์ของเขามาก ราชทูตที่สามซึ่งเป็นผู้ช่วยอีกคนหนึ่งคือ ออกขุนวิสารวาจา ตรีทูต (๓) ยังหนุ่มแน่นอยู่ อายุราว ๒๕ หรือ ๓๐ ปี บิดาของเขาเคยเป็นราชทูตไปยังประเทศปอร์ตุเกส ราชทูตทั้งสามนายนี้ เป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดี อ่อนน้อม สุภาพ และโอบโอ้มอารี มีอัธยาศัยดีและร่าเริง จากคำรับรองของเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ ซึ่งบุคคลทั้งสามนี้เดินทางร่วมมาด้วย ขุนนางทั้งสามนี้เป็นบุคคลสำคัญแห่งราชอาณาจักรสยาม เป็นผู้เชิญพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการของพระมหากษัตริย์ของตนมาถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ออกเดินทางจากประเทศสยามเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๕ และมาถึงท่าเมืองแบรสต์เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๖๘๖ มาถึงกรุงปารีส์เมื่อวันที่๑๒ สิงหาคม และได้รับการต้อนรับจากท่านจอมพลดุ๊ค เดอ ลา เฟยยาด ซึ่งนั่งร่วมไปด้วยในรถม้าหลวง และจากพระชายาของสมเด็จพระมกุฏราชกุมารกับพระโอรสธิดาเป็นขบวนอันงดงาม จนกระทั่งถึงทำเนียบที่พักของพวกราชทูตวิสามัญชุดนี้ ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ณ พระราชวังแวร์ซายส์ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม (บาทหลวงเดอ ซัวซีย์, จดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยาม, สันต์ ท. โกมลบุตร แปลและเรียบเรียง (กรุงเทพฯ : ก้าวหน้า, ๒๕๑๖ ) หน้า ๕๑๒)