ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 3
5 ปีต่อมา ... พุทธศักราช 2111
บริเวณลานฝึกอาวุธในวังหน้า เห็นการฝึกซ้อมต่อสู้กันด้วยดาบหวายของบรรดาพระสหายร่วมสำนักวังหน้ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งอายุอยู่ในวัย 15-16ปี จับคู่ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดและรวดเร็ว
ณ บริเวณใกล้เคียง ... พระองค์ดำกำลังสานชะลอมใบใหญ่จนเป็นรูปเป็นร่าง ขณะนั้น พระองค์ดำเติบโตอยู่ในวัยรุ่น อายุราว 15 ปีกว่าๆ บุญทิ้งในวัยเดียวกันกําลังนั่งสานชะลอมอีกใบอยู่ข้างๆ เสียงการฝึกฟันดาบยังคงดังตลอด บุญทิ้งเงยหน้าขึ้นมองดูการฝึกฟันดาบที่ลานเบื้องหน้า
"เรามาอยู่วังหน้าเกือบสามเดือนแล้ว ยังไม่เห็นเขาสอนอะไรให้พระองค์ดำเลย มีแต่ให้ไปเลี้ยงช้าง ให้ไปถางหญ้า เบาหน่อยก็ให้สานตะกร้า สานชะลอม ไม่ได้จับหอกจับดาบอะไรซักอย่าง"
พระองค์ดำไม่ตอบ
"ที่จริงคนที่มาอยู่ใหม่ น่าจะต้องฝึกให้มากๆ จะได้เรียนทันพวกที่อยู่ก่อน แต่นี่ไม่เลย เขาสอนแต่ไอ้พวกนั้นพวกเดียว"
"หลวงตาเคยเตือนไว้แล้วว่า พระอุปราชวังหน้าจงใจเอาเรามากักไว้ เพื่อไม่ให้เราไปรับความรู้จากที่ไหน เวลาโตเป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่มีทางสู้ใครๆ"
พระอุปราชวังหน้ามองลงมาจากหน้าต่างตำหนัก เห็นการฟันดาบในสนามฝึก และเห็นพระองค์ดำกับบุญทิ้งที่นั่งสานชะลอมอยู่ที่ริมสนามด้วย
พระองค์พึงพอใจ แล้วหันกลับไป
พระอุปราชมังชัยสิงห์หมุนตัวจากมุมหน้าต่าง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างสะใจ ภายในห้องพระชายาเมงพยูนั่งกินผลไม้ที่สาววังหน้าสองนางกําลังปอกใส่ถาดทองให้
"ไอ้ตองเจมันคงแปลกใจนะเพคะ ว่าทำไมเราถึงไม่สอนอะไรให้มันซักที"
"มันรู้ มันรู้ดีว่าเราคิดยังไงกับมัน แต่มันจะไปร้องทุกข์เอากับใครได้ ในเมื่อมันมาอยู่วังหน้าแล้ว มันก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของเรา"
อุปราชเดินมานั่ง หยิบผลไม้กินแล้วพูดต่อ
"ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยปราบมัน ทำยังไงก็ได้ให้มันหายยโสโอหัง"
"โธ่ จะยากเย็นซักแค่ไหนเชียว กะเด็กอายุคราวลูกคราวหลานอย่างมัน"
"นั่นแหละ อย่าให้มันมีโอกาสได้รู้วิชาอาวุธหรือวิชาอะไรทั้งนั้น ไอ้เด็กคนนี้มันมีท่าทีเป็นอริไม่ยำเกรง ขืนปล่อยให้มีความรู้ มีฝีมือ ต่อไป มันจะเป็นภัยแก่เรา"
ฝ่ายพระองค์ดำและบุญทิ้งยังสานชะลอมต่อไป เสียงการฝึกฟันดาบเงียบไปแล้ว บุญทิ้งมีท่าทีพอใจกับผลงานสานชะลอมในมือของมัน
"รู้สึกว่าวันนี้ ไอ้ทิ้งจะสานชะลอมได้ดีกว่าวันก่อน ข้าว่าใบนี้สวยที่สุด"
"แม้จะเป็นงานเล็กน้อย แต่ถ้าเราทำได้ดี ก็สมควรภูมิใจ"
"ข้าจะแขวนไว้ดูเล่นที่ห้อง"
จังหวะนั้น ... มังกยอชวาในวัยหนุ่ม เดินนำพระสหายในวัยเดียวกันสี่คนผ่านมา
"เฮ้ย มานั่งทำอะไรกันอยู่แถวนี้วะ อ๋อ ใช่ๆ นั่งสานชะลอมอีกตามเคย ตั้งใจสานให้เก่งๆเข้าล่ะ เผื่อเกิดสงครามคราวหน้า เจ้าอาจจะได้เป็น นายกองสานชะลอมประจำทัพหลวงก็ได้ ฮ่ะๆๆๆ"
มังกยอชวาหัวเราะเยาะ พวกพระสหายก็หัวเราะตามๆกัน
"เอ้า พวกเรา ช่วยกันขนชะลอมที่ทำเสร็จแล้วไปให้หมด"
"เดี๋ยว เดี๋ยว จะเอาไปไหน"
"ก็เอาไปเป็นเชื้อไฟ เดี๋ยวเราจะเรียนวิชาก่อกองไฟกัน เอ้า ขนไป พวกพระสหายพากันเก็บชะลอม"บุญทิ้งโวยวาย
"เฮ้ย อย่าเอาไป อันนี้ของข้า เพิ่งทำเสร็จ"
บุญทิ้งเข้าแย่ง ผลักพระสหายคนที่หยิบชะลอมอันสวยเซถลาไป พระสหายที่เหลือปราดเข้าหาทันที บุญทิ้งหันไปคว้ามีดจักตอกขึ้นมาจ้องกราด
"เข้ามาสิ เข้ามา อยากโดนสับก็เข้ามา"
มังกยอชวาตวาด
"วางมีดเดี๋ยวนี้ ไอ้ขี้ข้า ไม่งั้นกูจะสั่งเฆี่ยนมึงร้อยที ฐานเหิมเกริมต่อเจ้านาย กูบอกให้วาง หรือมึงจะลอง"
ไอ้ทิ้งยอมวางมีด แต่หน้าตายังไม่หายโมโห
พระองค์ดำถาม
"พระเจ้าพี่ ข้าอยากรู้ว่า ถ้าเป็นข้า ข้าต้องทำผิดอะไรบ้างถึงจะโดนเฆี่ยนร้อยที"
" ฮ่ะๆๆ อย่างเจ้าน่ะรึ ไม่โดนเฆี่ยนหร๊อก ถ้าเหิมเกริมต่อเจ้านายเมื่อ ไหร่ ก็คอขาดสถานเดียว ฮ่ะๆๆๆ"
พระสหายหัวเราะตามกันครืน
"ข้าไม่เหิมเกริมหรอก พ่อเคยสอนไว้ ให้ข้า รู้เขารู้เรา รู้ว่าใครมีวาสนา บารมีมากกว่าเรา"
พระชายาเมงพยูเดินเข้ามา พูดเย้ยเช่นกัน
"พ่อของเจ้าเป็นคนฉลาด เพราะรู้ว่าใครเหนือกว่าใครนี่เอง ถึงรักษาหัวตัวเองไว้ได้จากดาบของหงสา เจ้าก็เหมือนกัน ตองเจ เตือนขี้ข้าไว้บ้างว่า อย่าริอ่านตีตัวเสมอใครในวังนี้ มิฉะนั้นจะตายไม่รู้ตัว"
"แต่พวกมัน เอ้อ พวกนั้นน่ะ จะเอาชะลอมที่พระนางสั่งให้เราสานไป เผา"
"แล้วทำไม ข้าจะสั่งให้เอ็งสานชะลอม ไว้ให้ลูกข้าเผาเล่น ข้าก็มีสิทธิ์ สั่งได้ เอ็งจะทำไม"
"เปล่า ไม่ทำไม ก็แค่บอกให้รู้ไว้"
"อย่าว่าแต่เผาชะลอมเลย ข้าจะจับเอ็งมาเผาด้วย ข้าก็ทำได้ หรือว่าวันนี้ เอ็งหนาว จะให้ข้าจับปิ้งไฟหมด ทั้งนายทั้งบ่าวก็ได้นะ ฮ่ะๆๆๆ" มังกยอชวาว่า
พวกวังหน้าหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน
พระองค์ดำพยายามสะกดกลั้นโทสะไว้อย่างที่สุด
ต่อมา พระองค์ดำและบุญทิ้งเดินมาถึงริมบึงกว้าง
"พระองค์ว่ายน้ำริมฝั่งเสียหน่อยไหม ถึงจะดับร้อนใจไม่ได้ แต่ก็พอจะดับร้อนกายได้อยู่นะ"
พระองค์ดำส่ายหน้า ส่วนบุญทิ้งกระโดดลงน้ำ
ต่อมา พระองค์ดำนั่งอยู่ บุญทิ้งยืนหลบหลังกำแพง
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรผิด พระอุปราชกับพระนางเมงพยูถึงได้จงเกลียดจงชังข้าหนักหนา"
"พระองค์ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก พระองค์ก็แค่มีเชื้อสายของสาวสยาม"
"เชื้อสายผิดด้วยหรือ"
"ก็ไม่ผิดนะ แต่พระองค์เป็นเชลยเขา และทำตัวเก่งกว่า เขาเลยเขม่นเอา"
"ก็คงจะจริง นี่เจ้าไม่ได้นุ่งผ้าหรอกหรือ นุ่งลมห่มฟ้าเช่นนี้ เดี๋ยวฟ้าได้ผ่าเอาหรอก"
"ก็ผ้ามันเปียก ข้ามีโอกาสก็เลยตากไว้ เวลากลับข้าจะได้ไม่ต้องแฉะเหมือนลูกหมาตกน้ำ"
สาววังตะโกนถามลอยเข้ามา
"มีใครอยู่แถวนี้ไหม มีใครอยู่ไหม"
สาววังวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาตรงที่ พระองค์ดำกับบุญทิ้งคุยกันอยู่
"ว๊าย" สาววังตกใจ เขวี้ยงไม้ใส่หัวบุญทิ้ง
"อย่าตระหนกตกใจไปเลย เขาหาได้มีพิษมีภัยอะไร" พระองค์ดำบอก
"หรือว่าพระองค์ คือองค์ดำ"
"ใช่ ข้าเอง"
"หม่อมฉันมีการสำคัญ เมื่อครู่หม่อมฉันกำลังหาคนไปช่วยองค์หญิงวิไลกัลยาอยู่"
"องค์หญิงวิไลกัลยา ลูกพระวังหน้าหรือ"
"เพคะ พระองค์ถูกงูกัด"
" ไฉนเจ้าไม่รีบบอกเร็วๆเล่า ถ้าเป็นเรื่องนั้น พาข้าไปพบพระองค์เร็ว"
พระองค์ดำเดินเร็วเข้ามายังสถานที่ที่วิไลกัลยาถูกงูกัด โดยมีนางสนมดูแลอย่างใกล้ชิด พระองค์ดำเดินเข้าหา
"วิไลกัลยาใช่ไหม"
วิไลกัลยาพยักหน้า องค์ดำก้มดูแผลให้
" ไม่ใช่งูเงี้ยวเขี้ยวขอมีพิษหรอก น้องหญิงสบายใจได้"
พระองค์ดำจับแผลดูเพื่อพิจารณา
"โอ้ย"
"ดูจากแผลแล้วน่าจะเป็นสรรพสัตว์จากในป่าที่รก ออกมากัดต่อยตามภาษา ดังนั้น น้องหญิงยังฟกช้ำอยู่ ไอ้ทิ้ง เอ็งกับสาววัง เร่งไปหาหลวงตา แล้วบอกความให้ถ้วนทั่ว ข้าว่า หลวงตาจะจัดโอสถให้พระนางบรรเทาแผลได้"
ต่อมา พระองค์ดำ มานั่งข้างๆวิไลกัลยา
"แล้วเหตุใดน้องหญิงจึงมาเที่ยวเล่นแถวนี้ ไม่ใช่วิสัยของสตรีวังหน้าหรอก"
"หญิงไม่ชอบอยู่ในรั้วในวังหรอก มันน่าเบื่อยิ่งนัก ยิ่งเป็นวังหน้าที่มีทหารซ้อมรบด้วยแล้ว ยิ่งหามีอะไรมาบรรเทิงใจ หญิงไม่เลย หญิงชอบมาเดินดูนกดูไม้ในที่ลับตาเช่นนี้อยู่บ่อยๆ"
" ข้าพอเข้าใจดี ข้าเองก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน ไว้มีโอกาสคงได้มีโอกาสมาเดินเที่ยวเล่นกันบ้าง คงไม่ขัดกระมัง"
"ต้องขอบพระทัยเจ้าพี่ ที่ช่วยมาดูแผลให้ข้า"
" อย่าคิดมากไปเลยน้องหญิง ใครเจ็บก็ต้องมาดูแล ไม่มีชั้น เพศ สมณะใด สำคัญไปกว่าชีวิตหรอก เดี๋ยวไอ้ทิ้งก็คงเอายามาให้ ทนรออีกหน่อยนะ"
ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้ววิไลกัลยาทำท่าทีเขินอาย
วันหนึ่งในตอนกลางวัน แล้วจึงเห็นพระมหาจักรพรรดินั่งพนมมือสวดมนต์อยู่คนเดียวที่พื้นพรมเบื้องหน้าพระพุทธรูปแบบสุโขทัย พระประธานองค์ใหญ่ในอุโบสถ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยหน่ายและท้อใจในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทรงผ้าขาวห่มเฉียงไหล่แสดงว่าตั้งใจรักษาศีล เมื่อสวดมนต์เสร็จพระมหาจักรพรรดิจึงกราบพระพุทธรูป
พระมหินทร์เดินไปเดินมาอย่างรอคอยอยู่ที่หน้าโบสถ์ มีทหารราชองครักษ์สี่นายยืนรักษาการอยู่ห่างๆ มีมหาดเล็กนั่งรอตามเสด็จพระเจ้าแผ่นดิน ครู่หนึ่งพระมหาจักรพรรดิจึงออกมาจากในโบสถ์
" เสด็จพ่อไหว้พระนานเสียจนหม่อมฉันแทบจะรอไม่ไหว"
"พ่อชอบสวดมนต์ สวดแล้วทำให้ใจสงบดี ลูกมีอะไรหรือ"
"ตั้งใจจะมาบอกเสด็จพ่อว่า เราหาทางเล่นงานพระมหาธรรมราชาได้แล้ว"
พระมหาจักรพรรดิไม่ถาม แต่ถอนใจ
"เสด็จพ่อจำพระยารามรณรงค์ เจ้าเมืองกําแพงเพชรได้ไหม เขาเป็นเจ้าหัวเมืองเหนือคนเดียวที่ไม่ถูกกับพระมหาธรรมราชามาก่อน หม่อมฉันก็เลยให้คนไปตามตัวมารับราชการในกรุง"
"ลูกจะให้เขาทำอะไร"
"จะให้คุมกองทัพ เราจะวางแผนยกไปตีเมืองพิษณุโลก เสด็จพ่อเห็นเป็นไง"
พระมหาจักรพรรดิทรงเหนื่อยหน่าย
"ลูกจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ พ่อน่ะท้อใจเต็มทีแล้ว บอกตรงๆว่าอยากจะวางมือจากการแผ่นดินแล้วไปอยู่อย่างสงบๆ ในวังหลัง หรือบางทีอาจจะบวชก็ได้"
"หมายความว่า เสด็จพ่อจะสละราชบัลลังก์"
"ลูกคงจะต้องรับภาระนี้เร็วกว่าที่คิด ทั้งๆที่อายุอาจจะน้อยเกินไปสักหน่อย"
พระมหินทร์ยิ้มยินดี
"ไม่เป็นไรเสด็จพ่อ ลูกพร้อมเสมอ เสด็จพ่อไม่ต้องห่วง ในเมื่อพระมหาธรรมราชาสมคบกับหงสาวดี ก็เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับอยุธยา ลูกจะต้องจับตัวมาสำเร็จโทษให้ได้"
พระมหาจักรพรรดิถอนใจระอา ส่ายหัวแล้วเดินจากไปอย่างสงบ มหาดเล็กสองคนเดินตาม คนหนึ่งกางร่ม และคนหนึ่งถือล่วมหมาก
พระมหินทร์กําหมัดกระแทกฝ่ามือตัวเองอย่างหมายมั่น ยิ้มดีใจที่จะได้ครองอยุธยาเร็วขึ้น มีกําลังใจที่ดำเนินการกําจัดพระมหาธรรมราชาต่อไป
ในหอหลวง เมืองหงสาวดี วันใหม่
พระเจ้าบุเรงนองนอนเอกเขนกอยู่บนพระที่ มีสาววังหลวง 4 คนนั่งล้อมปรนนิบัติพัดวี ส่งเหล้าและของเสวย มีพระยาทะละนั่งที่พื้นใกล้ๆ ส่วนอุปราชมังชัยสิงห์นั่งที่ตั่งอีกตัวหนึ่ง
"โยธยามันตั้งหน้าท้าทายเราเสียจริงๆนะพระเจ้าพ่อ มันไม่รายงานเราสักนิดเลยว่า พระเฑียรราชาออกบวช และมอบบัลลังก์ให้พระมหินทร์ขึ้นครองแทนแล้ว พวกมันทำกันราวกับไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของเรา" อุปราชมังชัยสิงห์กล่าว
"ความจริงพระมหินทร์ก็ยังอายุน้อยอยู่ เท่าไหร่นะ พระยาทะละ"
" ยี่สิบห้า พระพุทธเจ้าข้า"
"นั่นแหละ อายุแค่นี้ ยังรู้ยังเห็นอะไรไม่มาก ตัดสินใจพลาดง่าย ไม่น่ากลัวเกรงอะไรนักหรอก"
"แต่ที่น่ากลัวก็มีพระเจ้าสองแคว ข่าวว่าตอนนี้ดูจะมีอำนาจมากขึ้นทางหัวเมืองเหนือ คงจะถือว่าพระมหินทร์กษัตริย์โยธยา เป็นแค่น้องเขยนั่นเอง"
" เฮ่ย จะกลัวอะไรไปนักหนานะมังชัยสิงห์ สุธรรมราชาน่ะหรือ เขาอยู่ฝ่ายเรา คอยเป็นหูเป็นตาให้เราด้วยซํ้า ถ้าโยธยาทำอะไรผิดลู่ผิดทางเกินไป เขาจะบอกเราเอง ไม่น่าเป็นห่วงหรอก จริงไม๊ พระยาทะละ"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระอุปราชรู้สึกผิดหวังที่บุเรงนองไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
บรรยากาศมุมต่างๆของตลาดโยเดียที่มีผู้คนเดินไปมาและพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงลอยขายของอยู่ตามปรกติ
ร้านขายยาดอง พระสุนทรสงครามในชุดชาวบ้านไทยเก่าๆ หน้าตาท่าทางทรุดโทรมนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวด้วยอาการเศร้าซึมและเจ็บชํ้าจากความอัปยศ
พระองค์ดำและบุญทิ้งเดินผ่านมาเห็น จึงรี่เข้ามาหา
"เอ้า คุณพระของเรานี่เอง วันนี้นึกยังไง ถึงได้มานั่งดื่มอยู่คนเดียว"
พระสุนทรสงครามยังคงนั่งซึม มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
"ดื่มให้ชีวิตที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง"
"ชีวิตของใคร" บุญทิ้งถาม
"ชีวิตของข้าไง ชีวิตที่เคยเป็นถึงพระสุนทรสงคราม เจ้าเมืองสุพรรณ ข้าน่าจะได้รบรักษาแผ่นดิน ข้าน่าจะได้ตายในศึกให้เลื่องชื่อ ไม่ใช่มาเป็นเชลยหน้าโง่อยู่ในแดนศัตรูเป็นปีๆอย่างนี้"
"จะเศร้าไปทำไม ทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ ย่อมมีวันสิ้นสุด ทั้งนั้น"
"เมื่อห้าปีก่อน พระองค์ก็ตรัสเช่นนี้"
" ใช่ และอีกห้าปีข้างหน้า ข้าก็จะพูดอีก พูดให้คุณพระอยู่รอดูความเปลี่ยนแปลง ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน"
พระสุนทรสงครามยกถ้วยเหล้า
"ระหว่างรอ ก็กินเหล้าไปพลางๆ เผื่อจะลืมทุกข์ได้"
"เหล้าไม่ทำให้ลืม แต่เหล้าทำให้จำ เหล้ามีแต่ตอกยํ้าความทุกข์ให้ติดแน่นในใจ ไม่แปลกที่คนเรามักจะเห็นสิ่งเลวร้ายเป็นของดี แต่ถ้าคุณพระอยากดื่มเหล้าอีก ข้าก็จะซื้อให้"
"พอแล้ว กินมากก็ยิ่งพูดมาก พอดีกว่า"
ทั้งสามยังคงเดินอยู่ในตลาดที่ผู้คนเดินไปมา ผ่านมาใกล้ประตูเมืองหงสาวดี เห็นชื่อ ประตูโยเดีย
พระสุนทรสงครามชี้ให้ดู
"ประตูนั่นไง ที่ข้าเรียกประตูอัปยศ เพราะมันมีชื่อว่าประตู โยเดีย"
"ทำไม ชื่อโยเดียมันอัปยศยังไง" บุญทิ้งถาม
"ก็ประตูเมืองหงสาวดีทุกประตู ล้วนแต่ตั้งชื่อตามชื่อเมืองขึ้นของมันทั้งนั้น ประตูนี้ชื่อประตูโยเดีย ก็เท่ากับประกาศว่า กรุงศรีอยุธยาเป็น เมืองขึ้นของหงสาวดีด้วย"
" ใช่ พวกหงสาถือว่า อยุธยาเป็นเมืองขึ้นของมันมานานแล้ว ตั้งแต่คราวสงครามช้างเผือกโน่น"
"แต่ มันน่าสมเพชจริงๆ ที่คนอยุธยาเองไม่เคยรู้เลย แม้วันนี้ก็ไม่เคย มีใครคิดว่า เรากําลังเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีอยู่"
ทั้งสามเดินเลยไป ...
ณ บันไดท่าริมแม่นํ้า ไอ้จัน หรือ มณีจันทร์ เด็กสาวผู้ทำกริยาท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายกําลังประชุมกลุ่มเด็กวัดชายทั้งหลายที่เป็นลูกสมุน
"ถ้าไอ้หนุ่มไทยนั่นคือเจ้านเรศ ที่เคยมาบวชอยู่ที่วัดเราละก็ แปลว่าห้าปีที่ผ่านมานี่ มันคงใหญ่โตโอหังขึ้นอีกแยะ ข้าละอดหมั่นไส้มันไม่ได้ และยิ่งถ้าตอนนี้ มันได้อยู่วังหน้าตามที่เอ็งบอก มันก็ต้องเป็นสมุนของไอ้มังกะยอชวาแน่ๆ"
สมุน 1 บอก
"ตอนนี้ ไอ้มังกะยอชวากับพวกของมันก็คุมตลาดนี้อยู่ ใครจะค้าขายอะไร ก็ต้องส่งส่วยให้มันด้วย ไม่งั้นโดนไล่ไปหมด"
" ก็มันชอบเอาเปรียบคนอื่นเหมือนๆกัน มันถึงอยู่ด้วยกันได้ไงล่ะ"
" มันคงคิดว่ามันแน่ ถึงได้กล้าออกมาเดินตลาดแค่คนสองคน ไม่ยักมีพวกตามมาคุ้มกัน"
"ดีละ งั้นก็เหมาะแล้ว เราจะสั่งสอนมันซะที่นี่" มณีจันทร์บอก
พระองค์ดำ บุญทิ้ง และพระสุนทรสงคราม เดินมาถึงหน้าแผงขายต้นไม้ซึ่งมีไม้ดอกหลายชนิดที่ชาวบ้านป่าขุดมาขาย
"กระหม่อมขอแยกกลับบ้านตรงนี้ก่อนนะพระพุทธเจ้าข้า"
" ท่าทางคุณพระจะมึนๆแล้ว ไอ้ทิ้งเดินไปส่งคุณพระที่บ้านที ข้าจะรออยู่ที่นี่"
"ไม่เป็นไรหรอกพระพุทธเจ้าข้า ใกล้แค่นี้ เดินครู่เดียวก็ถึง"
" ข้าอยากให้คุณพระปลอดภัย จะได้อยู่ถึงวันเปลี่ยนแปลงของเรา อย่าลืมนะคุณพระ ไม่มีเวลาที่ไหนจะสั้นหรือยาวนานเกินไป นอกจากใจเราจะคิดไปเอง"
"เป็นพระกรุณาพระพุทธเจ้าข้า กระหม่อมจะจำไว้"
เมื่อพระสุนทรแยกไปแล้ว พระองค์ดำและบุญทิ้งก็ดูปาหี่
มณีจันทร์กับสมุนก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางระรานเต็มที่ มณีจันทร์ปามีดไปที่เป้า
" ไง เจอกันจนได้นะ เณร"
พระองค์ดำดีใจ
"ฮ้า มณีจัน กลับมาแล้วหรือ ดีใจที่ได้เจอนะ เสียดายที่ข้า ไม่ได้อยู่รอรับเจ้าที่วัด"
"ก็ไปอยู่วังเจ้านายใหญ่โตแล้วนี่ จะอยู่ที่วัดเก่าๆอีกทำไมเล๊า"
" ไปอยู่เรียนวิชาเท่านั้นแหละ"
" ไปประจบเขามากกว่าละมั๊ง รู้ไว้ด้วยว่าพวกวังหน้าน่ะ เขาไม่เคยเห็นใครดีหรอก นอกจากพวกของเขาเอง"
"ขอบใจมากที่บอก ข้าก็พอรู้อยู่"
"ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี แล้วเหตุใดเจ้าจะมายังตลาดโยเดียร์นี่อีก หรือมาเก็บส่วยอากรให้มังกะยอชวาใช่ไหม"
"ข้าเปล่า"
"ไม่ต้องมาพูด พูดไปก็ไม่เชื่อ"
"นายข้าพูดความจริง" บุญทิ้งบอก
" เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไร"
"เอาชีวิตข้าเป็นเดิมพันเลยก็ได้"
" เจ้าแน่ใจนะ"
"ข้าแน่ใจ"
บญทิ้งโดนจับมัดเป็นเป้าปาหี่
"จะให้ข้าทำอย่างไรหรือ" พระองค์ดำถาม
"เจ้าจะต้องปามีด 3 เล่มนี้ ให้โดนไหเหล้าทั้ง3ใบในคราวเดียวกัน หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ชีวิตของไอ้ทิ้งก็ดับสลายลงเท่านั้นเอง"
พระองค์ดำ รับมีดจากมณีจันทร์ และปาเข้าเป้าทั้ง 3 ไห ชาวบ้านที่ยืนเชียร์แถวนั้น ต่างร้องส่งเสียงดีใจ
"คงจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจได้แล้วนะ หรือต่อไปจะให้ข้าเป็นเป้าให้เจ้าซ้อมมือ ข้าก็ยอม"
พระองค์ดำพูดกับมณีจันทร์ที่พาพวกเดินจากไป ด้วยความรู้สึกโมโห
พระเจ้าบุเรงนองกําลังนั่งประทับอยู่บนตั่งกลางท้องพระโรง โดยมีสาววังรูปร่างหน้าตาดี 2 นางกําลังเช็ดตัวอยู่
ส่วนพระยาทะละ ที่ปรึกษาราชการศึกเดินเข้ามา
" นั้นใคร"
สาววังบอก "พระยาทะละเพค่ะ"
พระยาทะละถวายบังคม
"พระยาทะละ ท่านพอจะบอกได้ไหมว่า เวลานี้มีราชบุตรจากเมืองขึ้นมาอยู่ที่เมืองเรากี่คน"
"ถ้าไม่นับพระราเมศวรซึ่งสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว ก็มี 16 องค์ ราช บุตรที่อายุน้อยที่สุดคือ พระนเรศ จากเมืองสองแคว พระพุทธเจ้าข้า"
"แล้วราชบุตรพวกนี้เขาได้เรียนวิชาอาวุธกันบ้างหรือเปล่า"
" เรียนพระพุทธเจ้าข้า แต่ละตำหนักก็มีสำนักสอนวิชาอาวุธที่ตัวเองถนัด เพื่อต่อไปภายหน้า พวกเขาจะได้ออกศึกร่วมทัพไปกับพระองค์พระพุทธเจ้าข้า"
" ตอนนี้ ฝีมือของเขาเป็นยังไงบ้าง"
" ใครจะเก่งกว่าใครแค่ไหน ไม่มีทางรู้ได้"
"ได้สิ ถ้าเราจัดสนามให้เขาประลองฝีมือกัน เราก็จะรู้ว่า ใครมีฝีมือขนาดไหน เอาเลยนะ พระยาทะละ ท่านไปจัดงานประลองฝีมือระหว่างราชบุตรทุกเมือง ให้ข้าดูอย่างสำราญบานใจหน่อยเถอะ"
"กําหนดประลองกันเมื่อไหร่ดีพระพุทธเจ้าข้า"
"เอาวันมะรืนก็แล้วกัน ไม่ต้องจัดเป็นงานใหญ่หรอก ข้าจะดูคนเดียว ไม่ต้องเชิญใคร ท่านจัดเป็นการภายในได้เลย สนามประลองใช้ที่วังหน้า ก็น่าจะพอ"
สาววังสวมเสื้อให้พระเจ้าบุเรงนอง
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระยาทะละถวายบังคมพระเจ้าบุเรงนอง
ในห้องโถงตำหนักวังหน้า เวลาต่อมา พระอุปราชเดินมือไขว้หลังเข้ามาหยุดยืนพูด
"ประลองยุทธกันที่นี่ก็เข้าท่าดี เราจะได้รู้เห็นกันเองว่าราชบุตรเมืองไหน เก่งขนาดไหน"
พระอุปราชยืนอยู่กลางห้องโถง มีพระยาทะละนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ใกล้ๆ ส่วนพระชายาเมงพยูนั่งอยู่กับพระธิดาวิไลกัลยาด้านหนึ่ง มีสาววังหน้า 2นางนั่งอยู่งานรับใช้ด้วย
" กล้ากระหม่อมเชื่อว่า ฝีมือราชบุตรแต่ละองค์คงไม่ด้อยไปกว่ากัน เพราะภายหน้าพวกเขาจะต้องเป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองของเขาต่อไป พระพุทธเจ้าข้า"
อุปราชมังชัยสิงห์นึกสนุก
"หรือถ้าจะพูดอีกอย่าง งานประลองครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการแข่งขันระหว่างสำนักดาบทั้งหลายด้วยสินะ บ๊ะ ข้าชักนึกสนุกแล้วสิ คราวนี้ คงเป็นโอกาสให้ลูกชายข้าได้แสดงฝีมือให้ประจักษ์แก่สำนักทั้งหลายว่า ศิษย์สำนักวังหน้าของเรา มีฝีมือเหนือกว่าสำนักอื่นแค่ไหน"
" ทูลพระอุปราชเจ้า พระองค์อาจจะทรงลืมไปว่า พระราชบุตรมังกะยอชวา มิได้เป็นราชบุตรของเจ้าเมืองขึ้นเมืองใด จึงไม่สิทธิ์เข้าประลองในครั้งนี้ พระพุทธเจ้าข้า"
พระอุปราชรู้สึกเหมือนถูกขัดคอ แต่ก็ระงับความไม่พอใจไว้
"เออ จริงสิ ท่านเสนาธิการพูดถูก อึ๊มม์ น่าเสียดายนะ วังหน้าเราเป็นฝ่ายจัดสถานที่ให้แท้ๆ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ได้ลงสนามกับเขาเลย"
เจ้าหญิงวิไลกัลยาอดไม่ได้ จึงพูดแทรกขึ้น
"ทำไมจะไม่มีสิทธิ์เพคะ ในเมื่อเจ้านเรศก็เป็นราชบุตรเจ้าเมืองขึ้น และเขาก็เรียนอยู่ในสำนักวังหน้าเหมือนกัน พระเจ้าพ่อก็ให้เจ้านเรศลงสนามในนาม สำนักของเราก็ได้"
อุปราชแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าขึ้นมาทันที
"ไม่ได้ เจ้านเรศต้องไม่มีส่วนในงานนี้ เพราะเราไม่ได้สอนอะไรให้มัน ถ้าขืนให้มันลงแข่ง ไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะ สำนักวังหน้าย่อมเสียชื่อทั้งขึ้นทั้งล่อง ไป ท่านเสนาธิการ ออกไปคุยต่อข้างนอกดีกว่า ในนี้มันชักจะร้อน เกินไปเสียแล้ว"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระอุปราชเดินออกไปอย่างหัวเสีย พระยาทะละรีบตามออกไป ทิ้งให้วิไลกัลยามองตามด้วยความงุนงง
วิไลกัลยาอุทานกับพระมารดาในห้องโถงตำหนัก
"เลี้ยงช้างหรือเพคะ นี่พระเจ้าพ่อคิดยังไงถึงได้ให้เจ้านเรศไปเลี้ยงช้างอย่างกับบ่าวไพร่ไร้ยศศักดิ์อย่างนั้น"
"ในเมื่อพ่อของลูกเป็นถึงพระอุปราช มีอำนาจเป็นที่สองรองจากพระราชาธิราชเจ้า พ่อจะสั่งยังไงก็ได้ ไม่มีใครกล้าว่าผิดว่าถูกหรอก"
"อยากรู้นักว่า พ่อเกลียดคนไทย หรือเกลียดเจ้านเรศกันแน่"
เมงพยูบอก
"พ่อจะเกลียดคนไทยมากแค่ไหน แม่ไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับโยธยา พ่อมีความเห็นต่างจากพระราชาหมด ส่วนเจ้านเรศ พ่อเกลียดที่มันไม่เคยเคารพเราด้วยความจริงใจเลย"
"มีตั้งหลายวิธีที่คนเราจะได้ความเคารพนับถือจากคนอื่น แต่ไม่ใช่วิธีกลั่นแกล้งกันอย่างนี้ เพราะมีแต่จะเพิ่มความเกลียดให้เขามากขึ้นๆ และ ในที่สุด เขาก็จะเป็นศัตรูเรา สมกับที่เราอยากให้เขาเป็นจริงๆ"
"ลูกหญิงยังเด็กเกินไป ลูกยังไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ที่จะต้องปกครองเมืองใหญ่ๆ ปกครองคนมากๆหรอก"
" เพคะ ลูกอาจจะไม่รู้เรื่องการปกครองของใคร แต่หงสาวดีจะยิ่งใหญ่อยู่ได้นานแค่ไหนกันเพคะ ตราบที่ยังชอบสร้างศัตรูไว้ในบ้านอย่างนี้"
พระองค์ดำและเจ้าหญิงวิไลกัลยาเดินคุยกันมาตามทางเดินร่มรื่นในวังหน้า จากโรงช้างเพื่อจะไปยังคอกเลี้ยงม้าของวังหน้า โดยมีบุญทิ้งเดินตามหลังห่างๆ
"วังหน้าก็เพิ่งสร้างพร้อมกับวังหลวง เมื่อคราวที่พระราชาธิราชเจ้าขึ้นครองหงสาวดีเมื่อ 17 ปีมานี่เอง ตัวหญิงก็เกิดและโตมาพร้อมกับวังหน้า เพิ่งจะย้ายไปอยู่ตำหนักกลาง ก็ตอนที่หงสาวดียกทัพไปตีโยธยาเอาช้างเผือก นั่นแหละ"
" มิน่าล่ะ เราถึงได้ไม่เจอกัน นี่ถ้าเราได้พบกันเร็วกว่านี้ ชีวิตเชลยของหม่อมฉันคงจะแจ่มใสมากกว่านี้แยะ"
"ทำไมเหรอ"
"ก็ตั้งแต่มาอยู่หงสา ไม่เคยมีสาวคนไหนมายิ้มสวยๆให้หม่อมฉันเลย เพิ่ง จะมีก็น้องหญิงนี่แหละ เป็นคนแรก"
"จะมีที่รู้จักอยู่คนนึง ก็หน้าบูดเป็นตูดลิงตลอดทั้งวัน" บุญทิ้งบอก
วิไลกัลยาหัวเราะ
"โอย ถึงขนาดนั้นเชียว"
โรงตีดาบ ในวังหน้าซึ่งค่อนข้างมืดทึบ
แสงจากเตาไฟฉาบผนังเป็นสีส้มเรื่อๆ ทั้งสามเดินมาด้วยกันจนถึงลานหน้าโรง มีช่างตีดาบชาวพม่าสามคนรีบวิ่งออกจากภายในไปนั่งคุกเข่าเรียงกันหน้าโรงเพื่อถวายบังคม
"ที่นี่เป็นโรงตีดาบของวังหน้า ถ้าเจ้าพี่สนใจจะแวะดูก่อนก็ได้"
ช่าง1 บอก "โอ พระธิดา เสด็จมาถึงนี่ มีอะไรจะให้เกล้ารับใช้หรือพระพุทธเจ้าข้า"
"ก็แค่พาเพื่อนเดินผ่านมา ขอเข้าไปดูข้างในได้ไม๊"
"เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าข้า"
ช่างสูงวัยและดูท่าทางเป็นหัวหน้าเชิญทั้งสามเดินเข้าไปดูภายในโรงตีดาบ ซึ่งมีเตาสูบลม เบ้าหลอมเหล็กละลายส่งแสงร้อนแรงแดงระอุ มีดาบแบบต่างๆแขวนอยู่มากมาย
"งานหลักของที่นี่ก็คือ ซ่อมแซมดาบที่ชำรุดมาจากสนามรบและตกแต่งดาบของศัตรูที่ยึดมาได้ เพื่อใช้ในกองทัพหน้าของเรา หวังว่าเจ้าพี่คงจะชอบ อาวุธพวกนี้นะเพคะ"
พระองค์ดำเดินดูดาบชนิดต่างๆอย่างสนใจ จนกระทั่งสายตามาสะดุดหยุดที่ดาบของญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง
" อันนี้ดาบอะไร ดูแปลกดี"
" ดาบของพวกญี่ปุ่นพระพุทธเจ้าข้า เรียกว่า คาตาน่า ใบดาบเป็นเหล็กเหนียวและคมมาก ให้นํ้าหนักในการฟันโดยไม่ต้องออกแรงมาก แต่เวลาฟันต้องถือสองมือจึงจะฟันได้แม่นยำพระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ดำถือดาบพลิกไปมา
"ดาบนี่มีคมด้านเดียว เบาดี คล่องตัว"
"แล้วเจ้าของดาบเขาอยู่ไหนล่ะ"
"คงจะตาย หรือหนีหายไปแล้ว พวกนี้เป็นพ่อค้า มากกว่าจะเป็นทหารรับจ้าง ไม่เหมือนพวกอินเดียหรือโปรตุเกสพระพุทธเจ้าข้า"
"ถ้าจะดัดแปลงดาบนี้ให้สั้นลง และถือมือเดียว ท่านจะทำได้ไหม"
" ก็พอทำได้พระพุทธเจ้าข้า"
" งั้นข้าขอซื้อดาบเล่มนี้ และจ้างให้ท่านดัดแปลงให้ข้าด้วย"
ช่าง 1ท่าทางอึดอัดใจ
"แต่ว่า ..... คือ"
พระองค์ดำหยิบถุงเงินจากเอวส่งให้ทั้งถุง
" ข้าจ่ายให้ท่านล่วงหน้าเลยนะ เอ้า"
" คือ ที่นี่มีกฎอยู่ว่า...."
"ทำให้เขาเถอะน่า นายช่าง เขาเป็นสหายของข้าเอง"
" พระพุทธเจ้าข้า"
นายช่างลงนั่งคุกเข่ารับถุงเงินและดาบไปถือไว้
"คราวนี้ เจ้าพี่จะได้มีดาบคู่มือไว้ใช้ละ"
"เพราะน้องหญิงช่วยแท้ๆ"
บุญทิ้งเอาเหล็กยาวเขี่ยถ่านไฟที่ลุกแดงเล่น ไฟลุกแดงวาบโชติช่วงขึ้นมา
บริเวณทางเดินไปสนามฝึก คอกม้าวังหน้า
พระองค์ดำนั่งบนหลังม้าเทศที่จูงโดยบุญทิ้ง เดินคู่มากับม้าเทศอีกตัวที่องค์หญิงวิไลกัลยานั่ง โดยนั่งห้อยขาไปข้างเดียวกัน จูงโดยคนดูแลคอก ไปยังบริเวณลานฝึก
" เรื่องงานประลองฝีมือราชบุตรพรุ่งนี้ เจ้าพี่เห็นเป็นยังไงบ้าง"
" ก็แค่หมาป่าอยากรู้กําลังลูกแกะ งานบันเทิงของคนยิ่งใหญ่ งานที่จะทำให้คนเล็กๆ 14 คนต้องเสียใจเพราะพ่ายแพ้ และทำให้คนเล็กๆแค่คนเดียวได้ดีใจไปกับชัยชนะลมๆแล้งๆ"
"ยังดีนะที่คนที่ 16 ไม่ได้ลงแข่ง อยากรู้จังว่าถ้าเจ้าพี่ลงแข่งจะเป็นยังไง"
" ถ้าหม่อมฉันลงแข่ง ก็มีจุดหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือคนไทยจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด"
ม้าทั้งสองถูกจูงไป
วันใหม่ ณ ลานฝึกอาวุธในวังหน้า มีพลับพลาที่ประทับซึ่งสร้างขึ้นชั่วคราว มีแท่นที่ประทับสำหรับพระเจ้าบุเรงนอง และพระอุปราชอยู่ใกล้กัน ด้านหนึ่งมีพระชายาเมงพยูกับมังกยอชวานั่งตั่งร่วมกัน มีสาววังหน้า 4นางนั่งพื้นรอรับใช้ อีกด้านมีที่จัดไว้สำหรับพระยาทะละและนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งที่พื้น นอกนั้นมีทหารหลวงหงสายืนรักษาการณ์รายรอบ
พระเจ้าบุเรงนอง สีหน้าสบายใจ กล่าวกับพระอุปราชซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ
"อากาศกําลังเย็นสบาย น่าจะเริ่มประลองกันได้แล้วนะ"
"พระพุทธเจ้าข้า เอ้า พระยาทะละ วันนี้มีอะไรบ้าง"
พระยาทะละถวายบังคมตรงพื้นที่นั่ง พนมมือ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังเหมือนประกาศ
" การประลองในวันนี้ เราจะใช้วิธีแพ้คัดออก จนกว่าจะเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว โดยในรอบแรกราชบุตรจะจับคู่ สู้กันด้วยอาวุธที่ตนเองถนัด แล้วในรอบที่สอง เราจะนำผู้ที่ชนะในรอบแรกมาจับคู่สู้กัน จนถึงรอบสุดท้ายจะเหลือคู่เอกเพียงคู่เดียว การตัดสินแพ้ชนะถือเอาผู้ที่ล้มลงพื้นก่อน เป็นผู้แพ้ ต้องออกจากการแข่งขันก่อน"
" เอา เอา เริ่มคู่แรกกันเลย"
"คู่แรก ราชบุตรเจ้าฟ้าเมืองนาย กับ ราชบุตรเจ้าเงี้ยวเมืองยาง"
ราชบุตรคู่แรกที่ถูกประกาศเรียกก้าวออกมายืนคู่กันเบื้องหน้าที่ประทับ ทั้งสองต่างแต่งตัวด้วยชุดรบประจำเมืองของตนเอง คนหนึ่งใช้อาวุธยาว ส่วนอีกคนใช้ดาบคู่
" เริ่มประลองได้"
เสียงกลองรบเริ่มตีเป็นจังหวะให้ความตื่นเต้นประกอบการต่อสู้
ราชบุตรทั้งสองต่อสู้กันอย่างเต็มฝีมือ ระหว่างอาวุธสั้นกับอาวุธยาวที่คล่องแคล่วน่าดูทั้งคู่ พระเจ้าบุเรงนอง อุปราช เมงพยู มังกะยอชวาและผู้ชมต่างสนใจชมการต่อสู้ จนกระทั่งราชบุตรเจ้าเงี้ยวเมืองยางเสียทีล้มลง เสียงฆ้องดังกังวานขึ้นเป็นสัญญาณจบการต่อสู้ พระยาทะละประกาศผล
"ราชบุตรเจ้าฟ้าเมืองนายชนะ ได้เข้ารอบสองต่อไป"
ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะเดินออกนอกสนามไป
อุปราชมังชัยสิงห์บอก
"พวกมันฝึกซ้อมกันมาได้ไม่เลว ฝีมือพอใช้ได้นะพระเจ้าพ่อ"
"ใช้ได้ ดี เด็กเก่งๆอย่างนี้พ่อชอบ"
"คู่ต่อไป ราชบุตรเมืองคัง กับ ราชบุตรเมืองฆ้อง"
ราชบุตรเมืองคัง และคู่ต่อสู้ก้าวออกมายืนคู่กันหน้าพระที่นั่ง ถวายคำนับพร้อมกัน
" เริ่มได้"
ราชบุตรเมืองคังใช้ดาบที่มีใบดาบกว้างและโค้ง สู้กับราชบุตรเมืองฆ้องที่ใช้ดาบยาวและโล่
ราชบุตรเมืองคังมีความชำนาญในการใช้อาวุธมากกว่า การต่อสู้ดำเนินไปได้ครู่หนึ่ง
ณ ลานฝึกอาวุธในวังหน้า เริ่มการประลองระหว่างราชบุตรเมืองคังกับราชบุตรเวียงแสนหวีซึ่งแต่งตัวดูคล้ายนักรบจีน ราชบุตรแสนหวีถูกราชบุตรเมืองคังบุกเข้าฟาดฟันจนตั้งตัวไม่ติด แล้วก็ถูกราชบุตรเมืองคัง
ชกด้วยมือที่กําด้ามดาบจนเซไปมา ก่อนที่จะล้มลงนอนกับพื้น เสียงฆ้องดังกังวานสนั่น เสียงเฮและเสียงปรบมือดังทั่วบริเวณ ราชบุตรเมืองคังชูดาบหมุนตัวไปรอบๆอย่างผู้ชนะ
"ราชบุตรเวียงแสนหวีแพ้แล้ว ผู้ชนะเลิศคือ ราชบุตรเจ้าฟ้าเมืองคัง"
"ฮ่ะๆๆๆ นึกอยู่แล้วว่าไอ้นี่ต้องชนะ ฝีมือมันเหนือกว่าทุกคนจริงๆ" อุปราชมังชัยสิงห์ว่า
" แต่ เดี๋ยวก่อน เจ้าแน่ใจหรือว่าราชบุตรสู้กันครบทุกคนจริงๆ แล้วเจ้านเรศล่ะ เจ้านเรศหายไปไหน ทำไมไม่มาประลองฝีมือด้วย"
"เอ้อ ราชบุตรไทยยังมีฝีมือไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมจึงให้ไปเลี้ยงม้าอยู่ที่ทุ่งหลังวัง"
"เอ๊ะ อย่างนั้นก็ไม่ถูกนะ ไหนๆวันนี้จะประลองฝีมือราชบุตรกันแล้ว ฝีมือจะมากหรือน้อยก็ต้องร่วมงานด้วยสิ เพราะเขาก็เป็นราชบุตร เหมือนกัน"
เวลาเดียวกัน พระองค์ดำและบุญทิ้งนั่งคุยอยู่กับเจ้าหญิงวิไลกัลยาที่หน้าคอกม้า คนดูแลคอกจูงม้าที่พระองค์ดำขี่เมื่อครู่นี้เดินผ่านข้างหลังไปด้วย
"ถึงเจ้าพี่จะชอบการสู้รบแค่ไหน ก็ต้องเตือนใจตัวเองไว้อย่างหนึ่งว่า นักรบที่แท้เท่านั้นจะต่อสู้กับเราซึ่งๆหน้า แต่คนที่ไม่ใช่นักรบแท้ จะคอยทำร้ายเราลับหลัง โดยเฉพาะคนที่อิจฉาริษยาเรา เขาจะทำทุกอย่างเท่าที่มีโอกาสทำได้ เพื่อทำลายเรา โดยไม่มีเมตตาธรรมเลยแม้แต่น้อย"
" น้องหญิงพูดถูกแล้ว คนอิจฉาเป็นศัตรูที่ไม่ได้อยู่ในสนามรบ แต่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบางครั้งก็เป็นคนที่เราคาดไม่ถึงด้วย คนพวกนี้แหละที่ทำให้คนดีๆต้องพ่ายแพ้และตายไปเยอะแยะแล้ว"
"อยู่ที่นี่ เจ้าพี่ต้องระวังพระองค์นะเพคะ ยิ่งเก่ง ยิ่งเด่น ยิ่งดี ยิ่งมีคนอิจฉา"
พอดีมหาดเล็กวังหน้าสองนายวิ่งตรงมาหา
"เอ๊ะ มหาดเล็กวังหน้า มาทำไมที่นี่"
มหาดเล็กทั้งสองวิ่งมานั่งคุกเข่าถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าที่นั่งของพระองค์ดำและเจ้าหญิง
"พวกเจ้ามาทำไม มีอะไรหรือ"
"พระอุปราชวังหน้า มีรับสั่งให้พระนเรศ ราชบุตรสองแคว ไปร่วมการประลองด้วยพระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ดำและวิไลกัลยาหันมองหน้ากัน
ณ สนามประลอง พระยาทะละประกาศให้ได้ยินไปทั่วบริเวณ
"ต่อไปนี้ เป็นการประลองคู่สุดท้าย ระหว่างราชบุตรเมืองคัง ผู้ชนะ มาแล้วทุกรอบ กับ ราชบุตรเมืองสองแคว ราชบุตรคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่"
ราชบุตรเมืองคังซึ่งยังไม่มีความเหน็ดเหนื่อยมากนักจากการประลองที่ผ่านมา ยังคงใช้ดาบเล่มใหญ่เป็นอาวุธ ยืนคู่กับองค์ดำ ซึ่งตัวเล็กกว่าและใช้ดาบญี่ปุ่นตัดสั้นเป็นดาบคู่มือ ทั้งคู่ยืนคู่กันอยู่หน้าที่ประทับ
" ทั้งสองต้องสู้กันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะล้มลงนอนพื้น ผู้ที่ยืนอยู่จะถือเป็นผู้ชนะ เริ่มการประลองได้"
เสียงกลองตีเป็นจังหวะหนักๆเร้าใจ ทั้งสองหันหน้าเผชิญกัน ราชบุตรเมืองคังมองพระองค์ดำอย่างดูถูกดูหมิ่นว่าหน้าตาท่าทางอย่างนี้ไม่มีทางสู้ตนเองได้แน่นอน
มังกยอชวาพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องกับพระมารดาเมงพยู
"ไอ้ตองเจตายแน่ละคราวนี้ มืออ่อนหัดอย่างมันหรือจะสู้ราชบุตรเมืองคังได้"
เจ้าหญิงวิไลกัลยาและบุญทิ้งซึ่งตามมาดูด้วยที่ริมขอบสนาม ทั้งสองมองดูพระองค์ดำอย่างห่วงใยและเอาใจช่วย
การประลองฝีมือระหว่างพระองค์ดำกับราชบุตรเมืองคัง โดยพระองค์ดำใช้ดาบญี่ปุ่นที่สั่งทำมาใหม่ ฟาดฟันได้อย่างรวดเร็วและคล่องมือ จนลีลาท่าทางของผู้ถือดาบใหญ่อย่างราชบุตรเมืองคังกลายเป็นเชื่องช้าไป พระองค์ดำหลบดาบคู่ต่อสู้ได้ว่องไว และในที่สุดก็สามารถงัดร่างคู่ต่อสู้ตีลังกาลงหลังฟาดพื้นได้อย่างสวยงาม เมื่อราชบุตรเมืองคังลุกไม่ไหว เสียงฆ้องก็ดังขึ้นแสดงถึงชัยชนะของพระองค์ดำ เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังไปทั่วงาน
พระเจ้าบุเรงนองชอบใจมาก ในขณะที่พระมหาอุปราชขัดเคืองใจ เจ้าหญิงวิไลกัลยาและบุญทิ้งกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเหมือนเด็กๆ แต่มังกะยอชวากลับลุกพรวดขึ้นตะโกนท้าเสียงดัง
"ตองเจ ถ้าเจ้าแน่นัก มาสู้กับข้าให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยเป็นไง"
เสียงคนดูทั้งสนามเบาลงทันที พระองค์ดำยืนผงาดอย่างไม่สะทกสะท้าน ตะโกนสวนขึ้นไป
"ชัยชนะของหม่อมฉัน คงจะทำให้พระเจ้าพี่เริ่มสงสัยแล้วกระมังว่า ใครเก่งกว่าใคร จึงต้องขอท้าสู้ให้รู้แน่เช่นนี้"
เสียงคนดูฮือฮาทำให้มังกะยอชวายิ่งโกรธที่พระองค์ดำปากกล้าไม่กลัวเกรง สั่งมหาดเล็กวิ่งกันชุลมุน
มังกะยอชวาสั่งเสียงดัง
"เฮ้ย ไปเอาดาบของข้ามา เร็วซี่โว้ย"
เสียงพระเจ้าบุเรงนองตะโกนขึ้น
"เดี๋ยว หยุดก่อน ฟังข้าก่อน"
คนดูในสนามเงียบลงฉับพลัน เสียงบุเรงนองดังกังวานไปทั้งสนาม
" พวกเจ้าจะหลงไปกันใหญ่แล้ว อะไรกัน จำไม่ได้หรือว่า วันนี้เป็นการประลองฝีมือระหว่างราชบุตร จากประเทศราชของเราเท่านั้น ไม่ใช่ใครต่อใครก็ท้ากันได้ ใครคิดว่าตัวเก่งก็อยู่ส่วนเก่งไปก่อน ไม่ต้องมาอวด ฝีมือในงานนี้"
เสียงเด็ดขาดของบุเรงนองทำให้มังกะยอชวาสงบไป กระแทกตัวลงนั่งด้วยท่าทางฮึดฮัด พระอุปราชก็มีท่าทีเกรงกลัวบุเรงนองจนไม่กล้าพูดอะไร
" เจ้านเรศ"
พระองค์ดำลงนั่งคุกเข่าพนมมือ
"เจ้ามีฝีมือดีเกินกว่าข้าและใครอื่นจะคาดคิด เมื่อเจ้าเอาชนะราชบุตรเมืองคังได้ ก็เท่ากับเจ้ามีฝีมือเหนือราชบุตรอื่นทั้งหมด เจ้าควรได้รับรางวัลจากชัยชนะครั้งนี้ เจ้าอยากได้อะไร ขอมาได้เลย"
พระองค์ดำนิ่ง ไม่ตอบ...
"ว่ายังไงล่ะ เจ้าจะขออะไร ถ้าให้ได้ ข้าจะให้"
" ทูลพระราชาธิราชเจ้า ถ้าจะทรงพระกรุณา เกล้ากระหม่อมขอออกจากวัง หน้า ไปอยู่วัดพระมหาเถรคันฉ่องดังเดิม พระพุทธเจ้าข้า"
คำตอบของพระองค์ดำ ทำให้แต่ละคนมีสีหน้าต่างกันไป พระอุปราช พระชายาและมังกะยอชวาหน้าตึงขึ้งเครียดเหมือนได้ยินคำเย้ยหยาม บุญทิ้งสะใจ เจ้าหญิงวิไลกัลยาหน้าเจื่อนลง แต่พระเจ้าบุเรงนองกลับหัวเราะชอบใจ
"ฮ่ะๆๆๆ จะเป็นไรไปเล่า ฝีมือขนาดนี้ก็เท่ากับเจ้าเรียนวิชาอาวุธจากสำนักวังหน้าจบสิ้นแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะกลับไปอยู่ที่วัดดังเดิม ข้าก็ไม่ขัดข้อง เอ้า ข้าอนุญาตให้เป็นไปได้ตามที่เจ้าขอ"
" เป็นพระมหากรุณาพระพุทธเจ้าข้า" พระองค์ดำถวายบังคม
อุปราชมังชัยสิงห์มองพระองค์ดำด้วยความชิงชัง แต่ก็ต้องรีบกลบเกลื่อนเมื่อบุเรงนองหันมาพูด
" แหม เจ้านี่ช่างเก็บซ่อนของดีไว้เผยตอนท้ายจริงๆนะ ฮ่ะๆๆ ฝึกสอนเจ้านเรศได้ถึงขนาดนี้แล้ว ต่อไปสำนักไหนจะสู้สำนักของเจ้าได้ ฮ่ะๆๆๆ"
อุปราชนบนอบ ฝืนยิ้ม
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ดำเดินมาหาเจ้าหญิงวิไลกัลยาที่ริมสนาม
บุญทิ้งบอก
"สุดยอดจริงๆพระพุทธเจ้าข้า สุดยอดของสุดยอดเลย"
" พี่ขอเช่นนี้ น้องหญิงคงไม่ว่าอะไรนะ"
" ไม่หรอกเจ้าพี่ หญิงอาจจะใจหายบ้างที่ต้องห่างคนคุ้นเคย แต่ดีใจนักแล้ว ที่ครั้งนี้ เจ้าพี่จะได้ออกจากวังหน้าไปอย่างผู้ชนะ สมดังตั้งใจ"
พระองค์ดำยิ้มอย่างสมความมุ่งหมาย
ใต้ร่มไม้ใหญ่ในลานวัด บรรดาศิษย์วัดซึ่งมีทั้งมณีจันทร์และบุญทิ้งกําลังยืนล้อมวงดูการซ้อมต่อสู้ด้วยดาบไม้ระหว่างพระองค์ดำกับศิษย์วัดฝีมือดี 3 คน ที่รุมล้อมฟันพร้อมกันจากสามทิศทาง โดยมีพระมหาเถรคันฉ่องเคี้ยวหมากวางสองมือกุมไม้เท้านั่งดูอยู่บนแคร่ด้วยความพึงพอใจ การซ้อมต่อสู้ปรากฏว่า พระองค์ดำคนเดียวสามารถรับดาบคู่ต่อสู้ทั้งสามและตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วว่องไว จนในที่สุดก็ปราบคู่ซ้อมทั้งสามได้หมด มีศิษย์วัดคนหนึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหลายอย่างเก็บรายละเอียด
มณีจันทร์โวยวายขึ้นมาทันที
" โอ้โฮ เฮ้ย เชื่อเขาเลยว่ะ สอง - สอง - สาม - สอง - สี่ นี่มันไม้ตายของวัดเราชัดๆ องค์ใจดำเอามาใช้สู้กับพวกเราได้ยังไง"
" ได้สิวะ ก็ข้าเป็นคนสอนให้เองนี่หว่า"
" หลวงตาลำเอียงหรือเปล่า ก็ในเมื่อเพลงดาบชุดนี้ ไอ้สมิงยังต้องรอสามปีถึงจะได้เรียน แต่องค์ดำมาอยู่แค่ไม่กี่วันก็ได้เรียนแล้ว"
" เอ็งนี่จะมากไปแล้ว มาหาว่าข้าลำเอียง"
"ก็ไม่จริงเหรอ หลวงตารักศิษย์ไม่เท่ากัน เลยให้วิชาไม่เท่ากัน"
" ฟังนะมณีจันทร์ เอ็งอย่าพูดพล่อยๆไป ศิษย์ของข้าแต่ละคนก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน ไอ้สมิงมันเก่งก็จริง แต่ก็เก่งเพราะมันขยันฝึก ส่วนพระองค์ดำมีพระปรีชาทางการต่อสู้ผิดใครอื่น ทรงจำเพลงอาวุธของพม่ารามัญได้เร็ว ข้าจึงสอนได้ง่ายกว่า ให้วิชามากกว่า และใช้เวลาน้อยกว่า"
"โธ่ ๆๆๆ ชมกันเองหรือเปล่า ถ้าชมกันเองละก็ ข้าขี้เกียจฟัง"
"ถ้าไม่เชื่อ เอ็งจะลองด้วยตัวเองก็ได้"
"ลองยังไง เพลงดาบชุดนี้ข้ายังไม่กระดิกเลย"
" เอ็งก็ลองใช้เพลงอาวุธที่เอ็งชำนาญที่สุดกับองค์ดำสิ ดูสิว่าเขาจะรับมือเอ็งได้ไหม"
มณีจันทร์ยิ้มร่าอย่างสมใจ หยิบดาบคู่ ซึ่งเป็นดาบเหล็กจริง ขึ้นมาแกว่งไกว
"มา มาเจอดาบคู่ของข้าหน่อย แล้วอย่ากลัวจนเยี่ยวราดก็แล้วกัน"
พะองค์ดำหันไปหยิบไม้พลองที่หุ้มหัวกลางท้ายด้วยโลหะที่พิงอยู่ออกมาถือ
" เต็มที่เลยมณีจันทร์ ไม่ต้องเกรงใจ"
" อ๋อ เต็มที่อยู่แล้ว"
จากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น ทั้งสองสู้กันอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มณีจันทร์ใช้ดาบคู่ตะลุยฟันด้วยท่าต่างๆอย่างไม่ยั้งมือ แต่พระองค์ดำก็ใช้พลองรับได้หมดทุกกระบวนท่าด้วยใบหน้าอมยิ้ม ไม่แยกเขี้ยวยิงฟันเอาเป็นเอาตายแบบมณีจันทร์ จนในที่สุด ผลปรากฏว่าดาบคู่แพ้ แถมมณีจันยังถูกพลองตีที่หน้าแข้งเต้นเร่าๆร้องลั่นอย่างน่าสงสาร
" โอ๊ย ๆๆๆๆ"
บุญทิ้งว่า "ฮ่ะๆๆๆ ดี สมนํ้าหน้า เจ็บตัวเสียบ้างก็ดี"
" ข้าสอนลูกศิษย์ทุกคนเหมือนกันหมดว่า เวลาต่อสู้ต้องมีสมาธิ อย่าสู้ด้วยความโกรธ ความเกลียด หรือความประมาท แต่เอ็งไม่เคยจำไว้เลยนี่ไอ้จัน"
"โอ๊ย ๆๆๆ โอย"
มณีจันทร์กุมหน้าแข้ง หน้าตาเหยเก
ต่อมา มังกะยอชวายืนสูงเด่น ศิษย์วัดที่จับสังเกตคนนั้น นั่งคุกเข่าเล่าเรื่องที่ไปสืบมา
"มันเรียนเพลงดาบจากพระมหาเถรคันฉ่องนี่เอง ถึงได้มาอวดเก่งเบ่งบานเอาที่วังหน้า หลอกให้ใครต่อใครนิยมชมชอบไปตามๆกัน"
" สอนตำรับตำราอะไรๆข้าไม่ว่า แต่วิชาอาวุธนี่สิพระพุทธเจ้าข้า หลวงตาสอนให้มันมากมายหลายกระบวนเหลือเกิน ชนิดที่พวกศิษย์วัดเองแท้ๆ ยังไม่มีโอกาสได้เรียนเลย"
"ฮึ่ พวกนักบวชก็อย่างนี้แหละ ชอบประจบเอาใจลูกเจ้าลูกนายไว้ก่อน เพราะหวังผลได้ผลดีเข้าตัวในภายหน้า ไอ้หลวงตาพระแก่นี่เล่ห์ร้ายนัก ข้าเห็นจะต้องหาทางปราบไอ้สำนักดาบเถื่อนนี่เสียที"
" พระราชบุตรจะทำยังไงหรือพระพุทธเจ้าข้า"
"บางทีสำนักวังหน้า อาจจะขอท้าประลองยุทธกับสำนักวัดของเอ็ง เพื่อข้าจะได้สยบไอ้ตองเจได้ถนัดๆสักที"
" ถ้าจะปราบไอ้ตองเจละก็ คงไม่ต้องถึงมือพระราชบุตรหรอกพระพุทธเจ้าข้า"
"ทำไม ยังมีใครปราบมันได้หรือ"
" มีพระพุทธเจ้าข้า มันเป็นหัวหน้าศิษย์วัดเราเอง ชื่อ สมิง อีกไม่กี่วันมันก็จะกลับมาจากเมาะตะมะแล้ว คนอย่างไอ้สมิงไม่เคยยอมให้ใครในวัดเก่งเกินหน้ามันหรอก พระพุทธเจ้าข้า"
" ชื่อสมิงหรือ มันเป็นใคร ข้าไม่เคยรู้จัก"
+++
ต่อมา มณีจันทร์นั่งที่บันไดศาลา คลำหน้าแข้งตัวเองอยู่ยังไม่หายเจ็บ จนกระทั่งพระองค์ดำเดินถือ
ถ้วยยาออกมาจากในศาลา มณีจันทร์จึงรีบลุกขึ้น
"นี่ยาทาแก้ชํ้าบวม หลวงตาให้ข้าเอามาทาให้"
"เอ็งตีข้าแล้ว ยังมีหน้ามาทายาให้ข้าอีกเหรอ"
" ก็เพราะข้าเป็นคนตีน่ะสิ ข้าถึงต้องมาทายาให้เจ้าไงล่ะ เอ้า นั่งลงๆ ได้ทายาเร็วเท่าไหร่ ก็หายเร็วเท่านั้นนะ"
มณีจันทร์จึงจำต้องลงนั่งที่บันได พระองค์ดำตามมาลงนั่งคู่ หันหน้าเข้าหา แล้วใช้ฝ้ายชุบยาทาที่หน้าแข้งมณีจันทร์
"โอ๊ย เบาๆหน่อยซี่ มือหนักชะมัด"
"นี่ก็เบามือที่สุดแล้วนะ"
"นี่หรือวะ ขนาดเบาของเอ็ง"
" เจ้าประมาทเกินไปนะมณีจันทร์ ที่คิดว่าดาบจะชนะไม้พลองได้ ที่จริงแล้ว อาวุธอะไรไม่สำคัญหรอก สำคัญที่เราใช้มันได้ดีแค่ไหนต่างหาก"
มณีจันทร์เสียงห้วน
"ทายาอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องมาสอน"
"ข้าไม่ได้สอน ข้าพูดคำของหลวงตาให้ฟัง"
"คำพูดหลวงตา ข้าฟังมาจนล้นหูแล้ว จำไม่ไหวหรอก"
"นี่เราสองคนน่าจะเป็นเพื่อนกันได้นะ อยู่วัดเดียวกันแล้ว จะมาขุ่นข้องหมองใจกันอยู่ทำไม"
"สำหรับข้า วัดนี้ไม่มีคำว่าเพื่อนกับเพื่อน มีแต่คำว่าหัวหน้ากับลูกน้อง ถ้าเอ็งอยากเป็นหัวหน้า เอ็งก็ต้องปราบไอ้สมิงให้ได้ก่อน ถ้าปราบไม่ได้ เอ็งก็ต้องอยู่เป็นลูกน้องไอ้สมิง และเป็นลูกน้องข้าด้วย เข้าใจ
แจ่มแจ้งไม๊ องค์ใจดำ"
พูดจบมณีจันทร์ก็เดินโขยกเขยกไป พระองค์ดำถอนใจ ที่ยังเป็นมิตรกับมณีจันทร์ไม่ได้สักที
อ่านต่อตอนที่ 4