กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 13
เหม่ยลี่กังวลปนเป็นห่วงและรู้สึกผิดต่อเกาเหวินไม่คลาย
“เฮ้อ มาคิดดูดีๆแล้ว เป็นเพราะฉัน ที่ไปบอกให้เกาเหวินไปทำลายหานปิง เรื่องทั้งหมดนี้มันก็เลยเกิดขึ้น ฉันก็เลย รู้สึกผิดต่อเกาเหวิน”
“ฮึ เกาเหวินเลือกหานปิงเอง จะโทษคนอื่นได้ไง” อี้หมิงทักท้วง
“แต่ฉันโทษตัวเอง เรื่องของเซี่ยวเลี่ยง ฉันเป็นหนี้เกาเหวินส่วนเรื่องของหานปิงฉันก็เป็นหนี้เกาเหวิน ในเมื่อนายชอบเขา นายก็ไปจีบเขาสิ อาจจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ได้ก็ดีไม่ใช่เหรอ”
อี้หมิงไม่อาจยอมรับได้ หันหน้าหนี เหม่ยลี่เซ้าซี้ยกนิ้วจิ้มเอาๆ ให้เขายอมรับปาก
“เฮ้ย เจ็บนะ ได้ๆๆๆ ฉันรับปากเธอ”
“จีบเขาใช่มั้ย”
“ไม่ใช่แน่นอน จะดูแลในฐานะเพื่อน ตอนนี้เธอมีเซี่ยวเลี่ยงแล้ว ไม่ต้องการฉันแล้วนี่” อี้หมิงงอน
เหม่ยลี่ฟาดแขนเข้าให้ “วางใจได้ ยังมีฉันอยู่ ถ้านายพยายามนายต้องจีบเกาเหวินติดแน่ แฮ่...เสี่ยวหมิงหมิง เสี่ยวหมิงหมิง เสี่ยวหมิงหมิง”
เหม่ยลี่ยิ้มหน้าเป็น ยกมือมาหยิกแกมหยอกล้อๆ จนอี้หมิงหงุดหงิด อ้าปากจะงับมือ
“จะหยุดมั้ย”
“กินข้าวเหอะ หิวแล้ว” เหม่ยลี่ลอยหน้าลอยตาบอก
“ยังอีก”
อี้หมิงรำคาญลุกหนีไปเลย เหม่ยลี่เรียกให้กลับมาแต่ไม่เป็นผล
“เสี่ยวหมิงหมิง...เสี่ยวหมิงหมิง นี่กลับมานี่ มานี่ๆ”
เช้าวันนี้สภาพบ้านเกาเหวินเละเทะข้าวของกระจายเกลื่อนพื้น เสียงกดออดเรียกจากหน้าประตู ปลุกให้ซุปตาร์สาวที่เมาหลับคาโซฟาในห้องรับแขกงัวเงียตื่นขึ้นมา เดินโผเผหน้าจะทิ่มพื้นท่าทีผะอืดผะอมไปเปิดประตูให้ แปลกใจที่เห็นเป็นหมอเหลย
“โอ๊ย เฮ้อ...โอ๊ย คุณมาได้ไง”
อี้หมิงเดินเข้ามาในบ้านปิดประตูลง ในมือเขาถือกระติกใส่อาหารมาด้วย
“อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ เลยมาดูว่ายังอยู่มั้ย”
เกาเหวินลงนั่งบนเก้าอี้ตรงโถงหน้าประตู “ครึ่งเป็นครึ่งตาย”
อี้หมิงยื่นเครื่องดื่มแก้แฮงก์ให้ “เอ้าดื่มซะ แล้วไปกินข้าว”
เกาเหวินแกะดูแต่ไม่ยอมกิน “ช่วงเย็นต้องไปถ่ายหนัง กินไม่ได้ เดี๋ยวจะบวมน้ำ”
อี้หมิงขัดใจ “ฮื่อ นี่มันเวลาไหนยังจะไปถ่ายหนังอีก เพิ่งสร่างเมา ต้องกินข้าว”
“ตอนนี้ ฉันมีแค่หนังเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ ห้ามประมาท” เกาเหวินวางกล่องลง
อี้หมิงทักท้วง “ข้างนอกวุ่นวายมาก ยังจะไปกองถ่ายอีกเหรอ”
“แน่นอน ฉันเป็นนักแสดงยังไงก็ต้องไปถ่ายหนัง ผู้ช่วยของฉันยังไม่มารับฉันเลย”
อี้หมิงถอนใจ
“เฮ้อ” เกาเหวินหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทร.ออกฮัมเพลงรอ แต่ปลายสายให้ฝากข้อความ
“สวัสดีค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถ…”
“ปิดเครื่อง ช่างเถอะฉันขับเอง”
เกาเหวินจะลุก อี้หมิงจับให้นั่งลง “นี่”
หัวเกาเหวินไปกระแทกผนัง “โอ๊ย”
“ไม่ต้อง กินโจ๊กก่อน ผมจะช่วยเอง”
เกาเหวินประหลาดใจ เปิดฝากระติกหยิบกล่องอาหารมาเปิดแต่เปิดไม่ออก
“โอ๊ะ เปิดยากจัง”
“เดี๋ยวผมเปิดให้”
อี้หมิงหยิบมาเปิดให้มองสภาพเกาเหวินด้วยความสงสารและเห็นใจ
ไม่นานต่อมา เหลยอี้หมิงขับรถมาส่งเกาเหวินที่โรงถ่ายแห่งหนึ่ง สองคนจะลงจากรถ เกาเหวินเอ่ยขึ้นว่า
“อ่ะเด็กดี ฉันให้บัตร”
“หา บัตรอะไร”
“บัตรกำลังใจ”
“ขอบคุณครับ”
“ลงไป”
“ครับ”
อี้หมิงจะเปิดประตูลง เกาเหวินเรียกไว้ จับผมเผ้าที่วันนี้เธอรวบตึงเผยใบหน้า
“เดี๋ยวก่อน ผมฉันเป็นไง”
“ผมเรียบลื่นเงางาม ไม่ยุ่งเลย” อี้หมิงบอก
“หน้าล่ะ”
“หน้าใสมาก ไม่มันเลย”
“เสื้อผ้าสวยมั้ย”
“เสื้อผ้า สวยมาก สวยสุดๆ ไปเลย” อี้หมิงแกล้งด้วยการกลอกตาขาวมอง
เกาเหวินหมั่นไส้ “ฮึ ลงรถไปเลย”
“ลงก็ได้ ลงรถๆ”
เกาเหวินหัวเราะขำร้องโวยวาย “ลงไป ไม่เปิดประตูให้ฉันเหรอ”
อี้หมิงลงรถแล้วแกล้งโบกมือจะเดินหนี “ลาก่อน”
เกาเหวินบีบแตรเรียก เลยต้องอ้อมมาเปิดประตูให้ “มา เชิญเลยครับ”
“เฮ้อ...” เกาเหวินถอนหายใจรวบรวมความกล้า เพื่อเดินเข้าไปเผชิญความจริงหลังตกเป็นข่าวอื้อฉาว
“ไหนล่ะบัตรน่ะ ผมถามคุณนะ”
เกาเหวินเดินนำเข้าไปในกองถ่าย อี้หมิงรีบตาม
ทีมงานเตรียมงานกันง่วนอยู่ ผู้กำกับเงยหน้ามาเห็นเกาเหวินก็รีบเดินมาหา
“เห็นมั้ย ผู้กำกับเห็นฉันก็จะวิ่งมาทัก”
“นี่ ทำไมยังมาอีก บทคุณถูกยกเลิกแล้ว ไม่มีใครบอกเหรอ ไปเลยกลับไปซะ” ผู้กำกับโวยวายใส่เสียงดังลั่น ทีมงานหันมามอง
เกาเหวินอึ้งไป หน้าสลดลง “เดี๋ยวค่ะ ตอนนี้ฉันสามารถ…”
อี้หมิงดูออกทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เดินไปเผชิญหน้า ด่าสวนออกไปอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน
“คุณบ่นอะไรเนี่ย ที่เรามาที่นี่จะมาบอกว่าหนังเน่าๆ เราไม่อยากเล่นอยู่แล้ว อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน เขาให้เกียรติแล้วไม่รักษาไว้อยากดังมากเหรอ ฟังให้ดีนะต่อไปนี้ อย่าเรียกเกาเหวินมาอีก ไม่มีเวลาให้หรอก”
ผู้กำกับโมโห “นาย...นายเป็นใคร”
อี้หมิงชี้หน้า “พูดอีกผมต่อยแน่”
ผู้กำกับอ้าปากค้าง งงเต๊ก “หา...หา”
อี้หมิงดีดดิ้นจีบปากจีบคอทำตัวเป็นตุ๊ด หันมาทางเกาเหวินที่ยืนอึ้งอยู่
“ที่รักยังมีหนังสองเรื่องรออยู่”
อี้หมิงประคองเกาเหวินเดินกลับไปที่รถ
“นี่ๆๆ” ผู้กำกับโมโห โวยวายตามหลังมา
“อย่าหันไป เชิดเข้าไว้” อี้หมิงกระซิบบอก
เกาเหวินใจหายงานชิ้นสุดท้ายก็ถูกแคนเซิล
“นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”
“งั้นก็ต้องยิ่งทำหยิ่งยโส”
อี้หมิงบอก เกาเหวินหันมามองหมอหนุ่มอย่างทึ่งๆ เชิดหน้าเดินออกไปอย่างทระนง
“ทำถูกแล้ว”
หมอเหลยให้กำลังใจ
ตอนค่ำวันเดียวกันนั้นเกาเหวินแวะมาหาเจสันที่ออฟฟิศ เห็นผู้จัดการนั่งถอนใจเฮือกๆ อยู่หน้าโต๊ะตรงตัว ทั้งออฟฟิศโล่งเงียบยังกับป่าช้า
“เฮ้อ...”
เกาเหวินเดินเข้ามาหา “เฮ้อ ทำไมไม่อยู่ในออฟฟิศ”
เจสันตำหนิอย่างไม่พอใจ “ไปโวยวายที่กองถ่าย ทำทำไม”
“ไม่มีอะไร แค่ไม่ร่วมงานกับผู้กำกับคนนั้น” เกาเหวินฝืนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร ลงนั่งโต๊ะแต่งตัวฝั่งตรงข้ามกัน
“เฮ้ย เธอเก่งดีนี่ เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่อง ยังจะยิ้มออกอีก”
“เธอพูดเองว่าฉันเกิดมาเพื่อเป็นดารา ถ้าไม่มีความสามารถจะยอมรับเสียงปรบมือได้ไง” เกาเหวินลดเสียงลงตอนท้าย “เฮ้อ เธอพูดมาสิ บริษัทจะลงโทษฉันยังไง”
เจสันอึดอัดเต็มทน ลุกเดินมาหาจับไหล่ซุปตาร์สาวบีบเบาๆ “เฮ้อ หยุดงานทั้งหมดไว้ก่อน รอให้...มันผ่านไปก่อน ก่อนหน้านี้ ข่าวอื้อฉาวยังดังไม่มากพอ แต่ตอนนี้ ฉันอยากจะนอนหลับไป ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เฮ้อ”
“พอตื่นขึ้นมา อาชีพของฉันคงจบสิ้นแล้ว พูดตามตรง บริษัทให้ฉันพักงานคงไม่คิดจะให้กลับมา”
เจสันสะอึกอึ้ง สะท้อนใจ ลดมือออกจากไหล่ เกาเหวินฝืนยิ้มหัวเราะ ทำตัวร่าเริง
“ไม่เป็นไร ดูสิฉันสวยจะตาย แถมฉลาดด้วย เป็นตัวประกอบก็ไม่เสียหายนี่จริงมั้ย”
เจสันฮึด ปรับสีหน้าเป็นยิ้มระรื่นจับเกาเหวินลุกยืนหมุนตัวมาหา
“เฮ้อ...ใช่ ยังมีหวัง นะยังมีหวัง ยังไม่ยกเลิกสัญญา มา เบบี๋ลุกขึ้น”
เกาเหวินงงๆ “หา”
“ดูสิ เธอสวยมาก เซี่ยวเลี่ยงเป็นแฟนเธอ เขายังหนุนหลังอยู่ เธอต้องสู้นะ”
เกาเหวินหัวเราะออกมา “ไม่นึกว่า คนที่ไม่ทิ้งฉันจะเป็นเขา”
“เฮ้อ ใช่เขาดีกับเธอ”
“พอดีฉันมีธุระ” เกาเหวินหยิบกระเป๋าถือจะกลับ
“เอ่อ เดี๋ยวเกาเหวินเธอชอบการแสดงมาก พอเรื่องนี้ผ่านไป ต้องมีหนัง..ให้เล่นแน่”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องเป็นผู้จัดการฉันแล้ว ดูแลคนใหม่ อย่าให้ด้อยกว่าฉัน อย่าให้ฉันผิดหวัง”
“ก็เป็นซะอย่างงี้ อวดเก่ง เอาแต่ใจ” เจสันค้อนควักด้วยความน้อยใจ
เกาเหวินโผเข้ากอดผู้จัดการโอบไหล่ไว้ “เจสัน”
เจสัน “อื้อ”
เกาเหวินยิ้มบอก “หลายปีนี้ขอบคุณมาก
เจสันถอนสะอื้น พยายามที่จะไม่ร้องไห้
เกาเหวินละตัวออก เหลียวมองไปรอบๆ ออฟฟิศเหมือนจะจารจำทุกอย่างไว้ในใจ จนหันมาเห็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ของเธอ ซุปตาร์สาวเดินไปหยุดตรงหน้าโปสเตอร์ยักษ์ ลูบไล้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“เปลี่ยนโปสเตอร์เถอะ”
เจสันมองตามซุปตาร์ดวงตกไป ก่อนจะหันมามองโปสเตอร์ใบนั้น ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาด้วยความชื่นชมเกาเหวิน
วันต่อมา เซี่ยวเลี่ยงขึ้นมาพบเจิ้นตงที่ยืนรออยู่บนดาดฟ้า ปรายตามองจื่อเหลียงที่ยืนอยู่ด้วย ก่อนจะโค้งทักทายบิดาเหน็บแนมน้องชายต่างมารดา
“กลับมาแล้วเหรอครับ รายงานเร็วดีนี่ อะไรก็ขวางไม่อยู่”
“ยังกล้าตำหนิจื่อเหลียงอีกถ้าเขามาไม่ทันเวลา แกจะปกป้องหล่อนไปถึงเมื่อไหร่”
“เกาเหวินเป็นแฟนผม ผมก็ต้อง ดูแลปกป้องเธอ”
“หล่อนมีข่าวอื้อฉาว ทำให้บริษัทต้องขายหน้า ยังกล้าบอกว่าเป็นแฟนอีกเหรอฉันบอกแกไปแล้ว ว่าหล่อนมีชาติกำเนิดไม่ชัดเจน แกไม่ควรไปเกลือกกลั้วกับหล่อน” เจิ้นตงสั่งด้วยน้ำเสียบเฉียบขาด
จื่อเหลียงทำเป็นแสนดี “พ่ออย่าโกรธเลย ให้อภัยเขาเถอะ”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาด่า “ฉันพูดกับพ่อ นายไม่ต้องมาแทรก
“แกหุบปากซะ เมื่อบริษัทให้ยกเลิกสัญญากับเกาเหวิน ทำไม แกไม่ลงนาม”
“เอกสารยังไม่มา”
“ไม่ว่าแกจะอ้างอะไร แกต้องยกเลิกสัญญากับหล่อน ประกาศเรื่องเลิกด้วย ตระกูลเซี่ยวไม่ยอมรับผู้หญิงสกปรกแบบนั้น”
เจิ้นตงเดินหนีไปเลย
“เอ๊ะพ่อ...พ่อ” จื่อเหลียงทำเป็นร้องทักท้วง แต่พอเห็นเจิ้นตงพ้นตัวไปแล้ว จึงหันมาเผชิญหน้า แสดงธาตุแท้ออกมา
“มีหน้าที่ปกป้อง ฟังแล้วน่าประทับใจจริงๆ ถึงจะรักกันมากแค่ไหน ก็ต้องยกเลิกสัญญาอยู่ดี เรื่องนี้มันได้เตือนนายยิ่งปกป้องมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้เธอเป็นอันตราย”
เซี่ยวเลี่ยงก้าวเข้าไปจนใกล้ สองคนสู้สายตากัน “ฉันไม่พยักหน้า ใครก็อย่าคิดแตะต้องเธอ”
“ใครบอกว่าเป็นเธอ คนอื่นฉันทำอะไรไม่ได้หรอก แต่คนในบริษัท นายก็ปกป้องไม่ได้ หึ ประธานเซี่ยว เสน่ห์แรงดีนี่”
จื่อเหลียงยิ้มหยันพร้อมกับจิ้มนิ้วกระแทกกับอกเซี่ยวเลี่ยงแล้วเดินหนีไป เซี่ยวเลี่ยงยืนคุมแค้น พยายามระงับอารมณ์ถึงขีดสุด
เหม่ยลี่นั่งเช็กข่าวเกาเหวินทางอินเตอร์เน็ตอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้า สาวๆ ในแผนกออกแบบยังคงเม้าท์เรื่องเกาเหวินอย่างสนุกปาก ยิวยิวเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ และเป็นฝ่ายเปิดประเด็ดขึ้นว่า
“ตั้งแต่ เกิดเรื่องกับเกาเหวิน บริษัทเลยแย่ไปด้วย ยอดขายลดลงท่านประธานกลับจากอเมริกาแล้ว บังคับ ให้คุณเซี่ยวเลิกกับเกาเหวิน”
หนานหนานดี๊ด๊า “จริงเหรอ งั้นคุณเซี่ยวก็โสดอ่ะสิ มีโอกาสแล้ว”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คุณเซี่ยวต้องเครียดมากแน่ๆ เลยบวกกับที่ เกาเหวินยังสวมเขาเขาด้วย เสียทั้งงานเสียทั้งความรัก” สาวชุดเขียวบอก
“ฉันว่าต้องโทษเกาเหวินถ่ายรูปเหล่านั้นแล้ว ยังจะมีหน้ามาอีกเหมาะกับคุณเซี่ยวตรงไหน” ยิวยิวว่า
หญิงชุดเขียวพยักพเยิด “ใช่”
เหม่ยลี่ทนฟังไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นด่าอย่างเหลืออด
“ใครไม่เหมาะกับคุณเซี่ยว ใครไม่เหมาะ เคยคลุกคลีกับเกาเหวินหรือเปล่า อย่าพูดลับหลังคนอื่นในทางที่ไม่ดีจะได้มั้ย”
ทุกคนวงแตก เดินกลับโต๊ะตัวเองไป เหม่ยลี่มองตามอย่างเคียดขึ้ง
หลังจากนั้นเหม่ยลี่ขึ้นมาพบเซี่ยวเลี่ยงในห้องทำงาน
“เรียกฉันเหรอ พวกเขาด่าคุณใช่มั้ยคะ หรือมีความกดดันมากเกินไป”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ตอบ แต่หันมาหาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คุณลาออกเถอะ”
“ทำไมคะ” เหม่ยลี่ตกใจนิดๆ
“ผมจะแนะนำที่อื่นให้ตำแหน่งเหมาะกับคุณแน่”
เหม่ยลี่ไม่ยอม “ไม่นะ ทำไมทุกครั้งที่มีปัญหาต้องผลักฉันออกไป ถึงจะช่วยไม่ได้ ให้ฉันอยู่เคียงข้างคุณไม่ได้เหรอ”
“คุณลาออกก็ถือว่าช่วยผมแล้ว” เซี่ยวเลี่ยงว่า
เหม่ยลี่เดินเข้ามากุมมือเขา “แต่เราสองคนคบกันแล้วนะ มันเป็นความฝันฉัน ฉันอยากอยู่ที่นี่”
เกาเหวินเดินพรวดพราวเข้ามานั่งที่โซฟา
“มี่โตะ ออกไปก่อน ฉันจะคุยกับเขา เฮ้อ...”
เหม่ยลี่กลับออกไป เซี่ยวเลี่ยงเดินมานั่งคุยด้วย
“คุณมาเวลานี้ ไม่กลัวนักข่าวเหรอ”
เกาเหวินโยนแฟ้มยกเลิกสัญญาพรีเซ็นเตอร์ไปให้
“ยกเลิกเถอะ ฉันแปลกใจมาก คุณไม่เคยพูดคำว่ายกเลิกกับฉัน คนเราเมื่อรุ่งโรจน์จะไม่รู้ว่าใครจริงใจหรือเสแสร้ง แต่เวลาที่เราตกต่ำ เราถึงจะรู้ว่าใครจริงใจ ฉะนั้นขอบคุณมาก คุณเป็นคนดี ดังนั้นการแสดงของเรา สิ้นสุดลงแล้ว”
“เฮ้อ ในมือคุณเหลือแค่ไพ่ใบนี้ ถ้าคุณทิ้งมันไป คุณจะแพ้” เซี่ยวเลี่ยงหนักใจ
“คืนที่เจอหานปิง ก็คิดแล้วว่าต้องมีวันนี้”
“เฮ้อ...ชีวิตของแต่ละคนควรตัดสินเอง แต่ครั้งนี้ คิดอีกทีเถอะ
“ต้องกลับสู่โลกแห่งความจริงแล้ว” เกาเหวินหัวเราะหึๆ ลุกขึ้นยื่นมือมาให้ “อ่ะ เลิกกันเถอะ คุณแฟน”
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้นจับมือด้วย ถอนใจอีกครั้ง “เฮ้อ คุณเปลี่ยนไป ผมทึ่งมาก”
“เปลี่ยนเหรอ คุณก็เปลี่ยน คุณคงจะมีความรัก มันเปลี่ยนแปลงคุณ บ๊ายบาย”
ซุปตาร์สาวดวงตกคว้ากระเป๋าถือใบเก๋เดินฉับๆ ออกไป
เซี่ยวเลี่ยงมองตามด้วยความสงสาร ถอนใจเฮือกออกมา
บ่ายวันนั้นเอง สองคู่รักคนดังยืนเคียงกันเปิดแถลงที่โถงลอบบี้บริษัทเทซีโร่ เจสัน เหม่ยลี่ และ ฉีหยู ยืนอยู่ข้างๆ เกาเหวินเป็นคนประกาศยกเลิกความสัมพันธ์ขึ้นมาก่อนต่อหน้าไมค์รวมของสื่อจอมเผือก
“ขอบคุณมากค่ะที่ทุกคนมาวันนี้ ฉันกับคุณเซี่ยวอยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่า พวกเรา...เลิกกันแล้วค่ะ หลายเดือนที่เราคบกันมา เราอยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด เราขอบคุณซึ่งกันและกันผลลัพธ์ในวันนี้เราก็รู้สึกเสียใจแต่ว่าเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทุกคน คงไม่เอาเหตุผลของฉันมาถามคุณเซี่ยวนะคะ ขอให้สนับสนุนเขาต่อไป”
“การเลิกราครั้งนี้เป็นเพราะข่าวฉาวหรือเป็นเพราะมือที่สามคะ” นักข่าวหญิงคนแรกถามขึ้นพอเกาเหวินเงียบจึงพากันหันไมค์มาทางเซี่ยวเลี่ยง “ไม่ทราบว่าคุณเซี่ยวบอกเลิกก่อนใช่มั้ยคะ”
“ระหว่างเราไม่เคยมีมือที่สาม เรื่องในครั้งนี้ เป็นเพียงอดีตทุกคน อย่ามุ่งเน้นไปที่ภาพถ่ายเหล่านั้นเลยครับ ไม่งั้นจะให้ทนายยื่นฟ้อง ให้เกียรติกันด้วย” เซี่ยวเลี่ยงบอกเป็นเชิงขอร้อง แสดงการปกป้องเกาเหวิน
นักข่าวหญิงคนที่สองซักเกาเหวินขึ้นว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะให้สัมภาษณ์รึเปล่าคะเกาเหวิน”
“ชีวิตคนเราไม่มีใครที่สามารถรู้บทสรุปได้หรอกค่ะ พฤติกรรมของฉัน คอยดูต่อไปเถอะค่ะ ขอบคุณ”
เจสันรีบเข้ามากันจบการให้สัมภาษณ์พาตัวเกาเหวินเดินออกไปหน้าตึก “เอ่อ...ขอโทษครับการสัมภาษณ์จบลงแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ คุณเซี่ยวขอตัวนะครับ ขอทางหน่อยครับ”
นักข่าวตามมาเป็นพรวน หลายคนยังคงรุมถามเซ็งแซ่
“เกาเหวินคุณอธิบายอีกทีได้มั้ยคะ”
“คุณกับหานปิงยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”
“เดี๋ยวเกาเหวิน”
เหลยอี้หมิงซึ่งยืนรออยู่ที่ข้างรถหันไปมองเห็นเจสันประคองเกาเหวินออกมา
จู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น มีการขว้างปาสิ่งของมาใส่เกาเหวินจากบรรดาติ่งที่บัดนี้ความโกรธแค้นชิงชังเข้าไปแทนที่ความรักจนหมดสิ้น
“ออกจากวงการๆๆ”
เซี่ยวเลี่ยงที่ตามออกมาส่ง เห็นท่าไม่ดี รีบกันเหม่ยลี่พากลับเข้าด้านในไปพร้อมกับฉีหยู ในขณะที่อี้หมิงวิ่งฝ่าฝูงชนที่กำลังโกรธแค้นบ้าคลั่งเข้าไปโอบปกป้อง
ถอดสูทห่มให้ แล้วพาเกาเหวินขึ้นรถ ขับหนีไปโดยเร็ว
ในรถที่แล่นมาตามทาง อี้หมิงถามขึ้นว่า
“คุณ ไม่เป็นไรนะ”
เกาเหวินนั่งร้องไห้อยู่ที่เบาะหลัง ในสภาพผมกระเซิง ถูกน้ำสาดใส่รีบบอก
“คุณอย่าหันมา สภาพฉันมันน่าเกลียด” อี้หมิงมองอย่างเข้าใจ เห็นใจหยิบทิชชู่ส่งไปให้
เกาเหวินรับไปเช็ดน้ำตา สีหน้าเศร้า
สองคนเดินเข้ามาในห้องรับแขกบ้านเกาเหวิน ซุปตาร์ถามนั่งลงที่โซฟา เอ่ยขึ้นว่า
“ฉันอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“คุณ...อยากให้ผม...ช่วยอะไรหรือเปล่า”
“คุณจะช่วยอะไรได้” เกาเหวินหันมาทางอี้หมิงที่ยืนอึ้งอยู่ พูดต่อด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “ฉันพยายามมาหลายปีเพื่อให้ทุกคนไล่ฉันออกจากวงการงั้นเหรอ นั่นคืออาชีพของฉัน”
อี้หมิงลงนั่งยองๆ พยายามจะปลอบ เกาเหวินหันหน้าหนี
“เหลยอี้หมิงฉันขออยู่เงียบๆ คนเดียวได้มั้ย ฉันไม่อยากแสดงความอ่อนแอ ฉันเหลือความเข้มแข็งแค่นี้”
“ได้ ถ้าต้องการผม โทร.หาได้ตลอด” เกาเหวินลุกขึ้นยืนมองเกาเหวินอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินออกไป
เกาเหวินเอนตัวลงซบหน้ากับหมอนอิงปล่อยโฮออกมา
“ฉันผิดอะไร ทำไมทำกับฉันแบบนี้”
ซุปตาร์สาวดวงตก ร้องไห้คร่ำครวญอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ท่ามกลางเครื่องเรือนอันหรูหรา ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอฬาร
อี้หมิงเปิดประตูเข้าบ้านมา เห็นเหม่ยลี่นั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทานอาหารจึงเดินมาหา
“ทำอะไร”
“มาแล้วเหรอ เกาเหวินเป็นไงบ้าง” เหม่ยลี่เงยหน้ามาหา
“ไม่รู้ เขาให้ฉันกลับมา”
“นายก็เลยกลับงั้นเหรอ”
“เพื่อนดีแค่ไหนก็เป็นได้เพียงผู้ชมเท่านั้น ต้องให้เขาอยู่เงียบๆ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้อง ผ่านมันไปได้”
“เขาต้องปวดใจมากแน่ๆ”
อี้หมิงก้มหน้ามามองใกล้ๆ ถามอย่างแปลกใจ
“หา ข้อมูลการฝึกอบรมจิวเอลรีนี่ เอาออกมาทำไม”
“ใช่ ต้องทบทวนให้ดีจะได้ปฏิบัติจริงได้”
“นี่เธอถูกเลือกแล้วเหรอ”
“เปล่า แต่ว่า ฉันต้องไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ต้องต่อสู้ เซี่ยวเลี่ยง ต้องทึ่งในตัวฉัน” ยัยอ้วนของอี้หมิงว่า
หมอเหลยหูผึ่ง ยืนเท้าแขนกับโต๊ะ จ้องหน้าถาม “เซี่ยวเลี่ยงทำอะไรไล่เธออีกแล้วเหรอ เขาพูดอะไร”
“เขาให้ฉันลาออก บอกว่าตอนนี้บริษัทแย่มาก บอกว่าทำเพื่อฉันด้วย”
อี้หมิงกลับเข้าสู่โหมดหวังดีประสงค์ร้ายทันที
“ยัยอ้วนนี่คือข้ออ้าง พอเขาสารภาพรักแล้วต้องคืนคำแน่ เขาอยากจะกันเธอออกไป”
“ใช่เหรอ”
“ใช่แน่นอน ฉันทิ้งผู้หญิงมาตั้งเยอะใช้วิธีนี้ทั้งนั้น” อี้หมิงยืดตัววางท่าจริงจัง
“จริงด้วย แถมยังทำหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์อีก ยังพูดว่าเพราะหวังดี”
“ใช่ เพราะฉันอยากคืนคำพูด ไม่อยากมีเรื่องผิดใจ ฉันก็เลยพูดแบบนี้จำได้มั้ย”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันจะทำไงดี”
“ลองคิดดู คนที่ผ่านมาของฉัน ฉันชอบใครที่สุดรู้มั้ย”
เหม่ยลี่ส่ายหน้า “ไม่รู้”
“ก็คนที่...บอกเลิกแล้ว เขาไม่หันหลังกลับมาเลย”
“นายก็ทิ้งเขาอ่ะสิ”
“เธอเพิ่งรู้เหรอ ไม่ได้ครอบครองน่ะดีแล้ว อย่าดึงดันอยู่กับเซี่ยวเลี่ยงอีก ถ้าเขาไล่เธอเก็บของมาเลย อย่าหันกลับไป” หมอเหลยยุแยงทันที
เหม่ยลี่บอกโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้”
อี้หมิงเซ็ง “ทำไม ไม่เชื่อฉันเหรอ ฉันเป็นครูเธอนะ”
เหม่ยลี่จึ๊ปากอย่างขัดใจ “นายไม่เข้าใจสินะ เรื่องความรักมันต้องวางอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจกันและกันในเมื่อเซี่ยวเลี่ยงไม่เชื่อใจฉัน ฉันก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นสิ ดังนั้นครูเหลย ช่วยไม่ได้ ช่วยเรื่องความรักฉันต่อไปไม่มีรักก็ไม่มีครู ประโยคต่อไปคือต้องรักในความจริง”
มี่เหม่ยลี่รวบแฟ้มงาน และข้าวของทั้งหมดเดินหนีขึ้นห้องนอนไปเลย
“ไม่มีรักก็ไม่มีครู อะไร มีรักก็มีครูไม่ใช่เหรอ”
กูรูเลิฟบ่นบ้าอยู่คนเดียวจนมองไปเห็นบางอย่างตกอยู่ใต้โต๊ะ จึงหยิบขึ้นมาวิ่งขึ้นบันไดเอาไปให้
“ของของเธอหล่น ยัยอ้วน มาคุยกันต่อเรื่องเงินห้าหยวน”
ด้านเซียนหนานเมาปลิ้น นั่งโงนเงนอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่ง กวาดกระป๋องเบียร์บนโต๊ะทิ้งเกลื่อนพื้นตะโกนสั่งเพิ่ม
“เถ้าแก่ เอาอีกสิบขวด”
เถ้าแก่ร้าน ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ แต่ไม่ยอมหยิบของมาให้
“พอแล้ว เมาแล้วยังจะดื่มอีก ฉันโทร.ไปบอกเมียนายเดี๋ยวเขามา”
“ใครให้โทร.”
“ก็...” เถ้าแก่หันไปเห็นซือหยวนเปิดประตูเข้ามาพอดี
เซียนหนานโมโหสุดขีด คาดคั้นถาม “ใครใช้ให้คุณโทร.ไป”
“เอ๊ะ มีอะไรคะ” ซือหยวนเดินเข้ามา
“เธอมาก็ดีแล้ว เขาดื่มอยู่ร้านฉันทั้งวัน และร้องไห้ด้วย พอลูกค้าเข้ามา ก็นึกว่าเขาบ้า เลยออกไป ขายของไม่ได้เลย” เถ้าแก่บอก
“ขอโทษนะคะ ฉันจะพาเขากลับ ยังไม่ได้จ่ายใช่มั้ย เท่าไหร่” ซือหยวนควักกระเป๋าตังค์ออกมา
“ค่าเหล้า135 เมื่อวานเล่นเกมทั้งวันมายืมเงินฉัน เกือบร้อยเอามาสองร้อยพอ เงินทองหาง่าย ผู้ชายดีๆ หายาก ใช้ชีวิตดีๆ”
“ขอบคุณค่ะ เซียนหนาน...เซียนหนาน” ซือหยวนจ่ายตังค์ให้ แล้วเข้ามาประคองเซียนหนานที่นอนพับอยู่กับโต๊ะ
“เฮ้ย คุณมาได้ไง คุณไปเฝ้าคนอื่นไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไปทำงานยังเหนื่อยไม่พอใช่มั้ย แค่อยากกลับบ้านพักผ่อน แต่ทำไมถึงมีแฟนไม่ได้เรื่อง มีงานแต่คุณก็ไม่ไปทำ อยากเสเพลแบบนี้ต่อไปใช่มั้ย ฉันต้องผิดหวังอีกแค่ไหน คุณถึงจะพอใจ เฮ้อ”
เซียนหนานเมาจนเถียงไม่ออก
ซือหยวนหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างเบื่อหน่าย
เหลยอี้หมิงในชุดเสื้อกาวน์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ในโรงพยาบาล ออกเวรแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้าน โยนเหรียญถามตัวเอง ถอดเสื้อ ใส่เสื้อ ไปมา ตัดสินใจไม่ถูก
“ต้องกลับบ้าน เฮ้อ...ไม่ได้ ห้ามกลับไปเจอ เฮ้อ...กลับดีกว่า เฮ้อ...กลับไม่ได้”
เหม่ยลี่วิ่งพรวดเข้ามา “หมอเหลย”
อี้หมิงใส่เสื้อกาวน์กลับ พูดออกไปโดยไม่หันไปมอง “โทษทีผมเลิกงานแล้ว”
“เป็นแฟนกันนะ” เหม่ยลี่หัวเราะระรื่นถลาเข้ามาหา
อี้หมิงหันมาหาอย่างงงๆ “ยัยอ้วน มาได้ไง”
“เป็นแฟนกันนะ”
“นี่เธออยากจะ เป็นแฟนฉันเหรอ” อี้หมิงถามออกไป
“ใช่แล้ว”
อี้หมิงถามย้ำ “ไม่ล้อเล่นนะ”
“นายเป็นที่ปรึกษาฉัน สอนปฏิบัติจริง เอาตามนี้เลย ตกลงนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มบอก อี้หมิงอึ้ง เซ็งไปเลย
บทเรียนรักของหมอเหลย บทที่ 1 เริ่มขึ้นแล้ว เขาพายัยอ้วนเดินเข้ามาในเต็นท์ปิ้งย่างข้างทาง
พ่อค้ายิ้มส่งลูกค้าอยู่ “มาอีกนะ”
“มาแน่ครับ”
ลูกค้าอีกโต๊ะ ชนเหล้ากัน “มาชนกันหน่อย”
อี้หมิงลงนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง เหม่ยลี่รีบดึงขึ้น “นี่ ให้พาเขามาที่นี่จริงเหรอ”
“ใช่แล้ว มานั่งก่อน ดูสิ อากาศดีมาก หือ กางเต็นท์แบบนี้ อากาศถ่ายเทมีอารมณ์ในการใช้ชีวิต เฮอะๆ” อี้หมิงหัวเราะเจ้าเล่ห์
“แน่ใจเหรอ” เหม่ยลี่ถามย้ำ
“แน่ใจอยู่แล้ว ไม่เชื่อเหรอ งั้นลองดู” อี้หมิงหันไปสั่งอาหาร “ขอสามสิบไม้”
ลูกชายพ่อค้าตะโกนมาบอก “ได้ครับ”
เวลาผ่านไปเหม่ยลี่เอ็นจอยอีตติ้งตามเคย “ฮ้า ไม่นึกเลยว่าจะอร่อยขนาดนี้”
“ยัยอ้วน ดูนั่นสิ” อี้หมิงบุ้ยใบ้ไปทางคู่รักที่โต๊ะข้างๆ กัน ที่กำลังป้อนเนื้อย่างใส่ปากกันอยู่
เหม่ยลี่หันไปมองตามสายตา
อี้หมิงอ้าปากรอ “อื้อ อ้าๆ อ้า”
เหม่ยลี่งง “เป็นอะไร”
อี้หมิงอ้าปากบุ้ยใบ้อยู่อย่างนั้น “อ้าๆๆๆๆ อ้า”
“เฮ้ย” เหม่ยลี่หัวเราะ “หยิบเองก็ได้นี่ กัดสิ เอ๊ะ ฮึ่ย”
อี้หมิงกัดเนื้อย่างจากไม้เคี้ยวหยับๆ “นี่ เขาเรียกว่ามืออาชีพ เธอไม่รู้เหรอ ฉันหวังดีกับพวกเธอนะ”
“หวังดีงั้นเหรอ”
อี้หมิงเห็นคู่รักเช็ดปากให้กันก็รีบบอก
“นี่ๆ เช็ดปากด้วย อื้อๆๆๆ มา อื้อ เบาๆอ่อนโยนหน่อยสิ”
เหม่ยลี่เช็ดให้อย่างขัดใจ
“ดี”
“โอเคมั้ย”
อี้หมิงยิ้มกริ่ม “จ้ะ เช็ดต่อไป”
“ได้ เพื่อเซี่ยวเลี่ยง งั้น มาลองอีกชุด” เหม่ยลี่หันไปสั่งเนื้อย่าง “ขอสามสิบไม้”
“ได้ครับ”
เหม่ยลี่เปลี่ยนใจ “เอ่อ ห้าสิบไม้”
ลูกพ่อค้าตะโกนมาบอก “ได้”
อี้หมิงบ่น “เธอกินยี่สิบแปดไม้ครึ่งแล้วนะ”
“จะฝึกให้ไม่ใช่เหรอ งั้นมาฝึกกันเลย เอ้า นี่ของนาย นี่ของฉัน”
“กินเองไม่ได้มันไม่ได้อารมณ์ อ้า” หมอเหลยสวมรอย อ้าปากอ้อนสุดฤทธิ์
“เห็นแก่เซี่ยวเลี่ยง ฉันจะฝึกกับนาย”
บทเรียนรักบทต่อมา เหม่ยลี่เดินซบไหล่ควงแขนอี้หมิงเดินหิ้วถุงช็อปปิ้งอยู่ในบ้าน
“นายว่าคู่รักเดินช็อปปิ้ง จำเป็นต้องตัวติดกันเหมือนกับตังเมหรือเปล่า”
“แน่นอนสิ ห้ามแยกจากกัน ผู้ชายชอบผู้หญิงขี้อ้อน ไม่พิงแล้วจะอ้อนยังไงล่ะ”
“จะเดินก็เดินไปสิ ทำไมต้องให้ฉันหิ้วถุงใหญ่อย่างนี้ด้วยล่ะ”
“เขาเรียกว่าการจำลองเดินช็อปปิ้งเธอก็ต้องหิ้วถุงแบบนี้แหละ”
“จะเดินไปทางนี้มั้ย”
“ไปสิ เธอก่อน”
“นายก่อน มาแย่งทำไมเนี่ย ถอยไปๆ ถอยไป”
สองคนแย่งกันเดินระหว่างซอกโซฟากับโต๊ะกลางจนกอดกันล้มลงไปกับโซฟา
“โอ๊ย...เป็นไรมั้ย”
เหม่ยลี่ถอนใจเฮือก ละตัวออกจากอ้อมกอดอี้หมิง นอนลงกับโซฟาอย่างหมดแรง
“หา”
“เหนื่อยจังเลย”
“เอ่อ ยัยอ้วนฉันคิดว่าต่อไป เธอต้องเรียนวิชาความรักบ่อยๆ”
“ได้ ถ้านายยินดีสอน ฉันก็เต็มใจเรียน”
“อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ตกลงมั้ย”
เหม่ยลี่ดีดตัวขึ้น “เดี๋ยวนะ คิดตังค์ปะ”
อี้หมิงลุกขึ้น “เฮ้ย อย่างเธอฉันก็ต้องคิดอยู่แล้ว จะไม่คิดได้ยังไง”
เหม่ยลี่ได้ยินไม่ถนัดลุกมาจ้องหน้าถามย้ำ “นายว่าไงนะ”
อี้หมิงอึ้งไป ออกอาการประหม่า “คิดค่าเรียน”
เหม่ยลี่ไม่ทันสังเกต “พูดอีกทีซิ หึๆ”
“เอ่อ ฉันเหนียวตัวมาก ไปอาบน้ำก่อนนะ” อี้หมิงรีบเดินออกไป แต่ต้องเดินกลับมาอีก
“มีไรอีก”
“เอ่อ ฉันลืมเจ้านี่” อี้หมิงหยิบแชมพูจากถุงช็อปปิ้งขึ้นมาแล้วรีบไป
เหม่ยลี่ไม่รู้ตัวได้แต่หัวเราะหึๆ ตามไป
วันต่อมาจื่อเหลียงเรียกให้เหม่ยลี่เข้าไปพบในห้องทำงาน
“เข้ามา”
“ท่านรองหลิน เรียกฉันเหรอคะ”
เหม่ยลี่เดินมาหาจื่อเหลียงที่นั่งรออยู่ตรงมุมรับแขก
“นี่คือเอกสารการออกแบบ เอากลับไปอ่านสิ” จื่อเหลียงบุ้ยใบ้ไปที่แฟ้มบนโต๊ะกลางตรงหน้า
“ให้ฉันเหรอ” เหม่ยลี่งง
“งานออกแบบสินค้าใหม่ ผมอยากให้คุณเข้าร่วม”
“ให้ฉันเข้าร่วมอย่างงั้นเหรอคะ” เหม่ยลี่แปลกใจมากๆ
“ทำไม แปลกใจเหรอ คุณเป็นผู้ช่วย ก็ควรมีโอกาสแบบนี้แต่คุณต่างจากคนอื่น คุณมีพรสวรรค์ทำไม ไม่อยากทำเหรอ”
จื่อเหลียงมองจ้องลุกยืนขึ้นขยับมายืนใกล้ๆ
“นึกไม่ถึงว่า คุณจะให้โอกาสฉัน”
“มี่โตะ ผมรู้จักแยกแยะ” จื่อเหลียงตบไหล่เบาๆ เหม่ยลี่สะดุ้งนิดๆ “คุณทำให้แผนการออกแบบมีความโดดเด่น ผมก็ต้องยินดี นี่คืองาน คิดดูให้ดี”
“ขอบคุณมากค่ะ” เหม่ยลี่นิ่งงันไป คาดไม่ถึง ก่อนจะรีบเดินออกไปเลย
“มี่โตะ ข้อมูล” จื่อเหลียงเรียกไว้ บุ้ยใบ้ไปที่โต๊ะกลาง
เหม่ยลี่หันมาเก็บแฟ้มแล้วออกไปโดยไว ไม่ทันเห็นสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มร้ายกาจของรองหลิน
ในจังหวะที่เหม่ยลี่ถือแฟ้มกลับเข้าโต๊ะทำงาน ซือหยวนรวบแฟ้มเดินไปหาจื่อเหลียงที่เดินออกมาพอดี
“ท่านรองหลินฉันพร้อมแล้วค่ะ”
“คุณไม่ต้องไป” ซือหยวนอึ้งไปเลย จื่อเหลียงบอกแล้วเดินมาหาเหม่ยลี่ “มี่โตะ เตรียมตัวไปเป็นตัวแทนประชุมกับผม”
เหม่ยลี่ตกใจ “ฉัน เป็นตัวแทนเหรอคะ”
“ใช่ อย่าตื่นเต้น แค่หารือกับผู้บริหารชั้นสูง คุณแค่จดบันทึกก็พอไปเถอะ”
ซือหยวนฮึดฮัดขัดใจ หอบแฟ้มกลับมาวางโครมลงบนโต๊ะ หยิบแฟ้มหนึ่งมาดู พร้อมกับพึมพำออกมา
“โฆษณาแอล”
เซี่ยวเลี่ยงนั่งรออยู่ในห้องประชุมจนชักเริ่มหงุดหงิด เป่าปากฟู่ ดูเวลาอีกครั้ง ทุกคนรอใครบางคนอยู่
“ขอโทษนะครับ ที่ให้รอนาน” จื่อเหลียงเดินเข้ามาในนั้นพร้อมแก้วกาแฟ จิบอย่างใจเย็นขณะนั่งลง
เซี่ยวเลี่ยงข่มอารมณ์เต็มที่ แล้วต้องแปลกใจที่เห็นเหม่ยลี่เดินตามเข้ามานั่งข้างๆ จื่อเหลียง พยายามสบตาถาม แต่อีกฝ่ายเลี่ยงหลบ สุดท้ายเขาถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เริ่มประชุม”
“การประชุมครั้งนี้สิ่งสำคัญคือรายงานสถิติของแต่ละแผนก ที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกแบบสินค้าใหม่ ขอเชิญตัวแทนแต่ละแผนกรายงานผลงานด้วยครับ” ฉีหยูบอก
เซี่ยวเลี่ยงแทบไม่มีสมาธิหลงเหลือ เอาแต่จ้องเหม่ยลี่ตาเขม็ง เมื่อเห็นจื่อเหลียงหันไปกระซิบกระซาบกับเธออย่างสนิทสนม
“คุณเตรียมจดบันทึกนะ เอาแบบละเอียด เคนะ”
“เอ่อ คุณเซี่ยวคะ ก่อนหน้านี้นักออกแบบหลิวได้ทำหนังสือเรื่องการวางแผนชุดใหม่ ฉันจะส่งไปให้แต่ละแผนก หลังจบการประชุมค่ะ”
จื่อเหลียงเห็นเซี่ยวเลี่ยงนั่งเหม่อ จึงเรียกขึ้น “ประธานเซี่ยว ประธานเซี่ยว”
“มีอะไร”
“คุณมีข้อเรียกร้องอะไร กับแผนกเรามั้ย”
“ไม่มี”
“งั้นผมจะให้พวกเขา ไปตรวจสอบที่ ศูนย์การขาย ดีมั้ย”
“จบการประชุม” เซี่ยวเลี่ยงตัดบทลุกยืนเดินออกไป มองมายังเหม่ยลี่อย่างไม่พอใจ ฉีหยูรวบแฟ้มงานรีบตามไป
เหม่ยลี่ได้แต่มองตามด้วยสีหน้าอึดอัดหนักใจ
จื่อเหลียงปรายตามองตามเซี่ยวเลี่ยงอย่างรู้ทัน หัวเราะหึๆ ออกมาอย่างสาสมใจ
เซี่ยวเลี่ยงเดินลงบันไดมาอย่างหงุดหงิด
“เฮ้อ ยกเลิกโปรแกรมช่วงบ่าย”
“คุณนัดลูกค้าสำคัญไปเตะบอลนะครับ” ฉีหยูทักท้วง
เซี่ยวเลี่ยงหยุดเดินหันมาเอ็ดเอา “บอกให้ยกเลิกไง ทำไมเดี๋ยวนี้พูดมากจัง ตรวจสอบศูนย์การขายแต่ละที่”
“ครับ” ฉีหยูสยอง
ซือหยวนกับเหม่ยลี่ออกมาตรวจสอบที่ศูนย์จำหน่ายสาขาของเทซีโร่แห่งหนึ่ง
“ช่วงนี้ยอดขายดีขึ้นมาก เหนื่อยหน่อยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” ผู้จัดการร้านยืนอยู่หลังตู้โชว์บอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอ๊ะ สองสัปดาห์นี้คอลเล็คชั่นไหนขายดีสุด”
“แบบนี้แบบนี้ และก็แบบนี้ ขายดีกว่าเดือนที่แล้ว10% ค่ะ”
ซือหยวนพยักหน้ารับรู้
เหม่ยลี่ได้ยินรีบเดินเข้ามาสมทบ “ยอดสูงขึ้น 10% เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ” ผู้จัดการร้านยิ้มบอก
ซือหยวนหันมาถามอย่างไม่พอใจ “เดินตามฉันทำไม”
“เอ่อ ที่ฉันเดินตามพี่ เพราะอยากจะเรียนรู้จากพี่น่ะค่ะ”
“เรียนรู้เหรอ ใครก็รู้ว่าเธอเป็นคนโปรดของคุณเซี่ยว ฉันทำด้วยตัวเอง ไม่ชอบพึ่งพาใคร เส้นทางเราต่างกัน ฉะนั้นอย่าเดินตามฉัน”
“ฉันไม่ได้คิดอย่างงั้น”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าเจ้านายรู้ฉันจะเดือดร้อน เอางี้ เธอดูร้านนี้ ฉันดูร้านอื่น”
ซือหยวนรำคาญ ตัดบทแล้วเดินหงุดหงิดออกไป เหม่ยลี่มองตามอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะหันมาถามผู้จัดการร้านอีกครั้ง
“แบบอื่นล่ะคะ”
“เอ่อ เอ๊ะ คอลเล็คชั่นนี้เลยค่ะ”
ด้านเซี่ยวเลี่ยงเดินนำเข้ามาในศูนย์จำหน่ายอีกแห่งหนึ่ง ฉีหยูพยายามทัดทาน
“คุณเซี่ยวครับ ทุกคนไม่ได้เตรียมความพร้อมเกรงว่าจะไม่เหมาะนะครับ”
“เพราะแบบนี้แหละฉันถึงมาไง ดูซิว่าจะทำยังไง”
“ดูโซนไหนก่อนดีครับ”
“ฉันต้องหาคนให้เจอก่อน”
ฉีหยูมองตามงงๆ
“หาคนเหรอ”
“เทซีโร่จิวเอลรียินดีต้อนรับค่ะ เชิญเลยค่ะ”
พนักงานขายประจำร้านยิ้มทักทาย ซือหยวนสะดุดตากับแหวนเพชรวงหนึ่ง
“เอ๊ะ แบบนี้คือ...”
“นี่คือผลิตภัณฑ์ฤดูกาลที่แล้ว เป็นฝีมือการออกแบบของคุณหลิวซือหยวนค่ะ”
ซือหยวนตื่นเต้นไม่ได้แสดงตัวแต่อย่างใด “ขอดูหน่อยค่ะ”
พนักงานหยิบออกมาให้ดู “แหวนเพชรรุ่นนี้ราคาค่อนข้างสูงค่ะ แต่ก็ขายดีมาก เหลือวงสุดท้ายแล้วค่ะ”
ซือหยวนหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ พอทดลองสวม พบว่าใส่ได้พอดีเป๊ะ ยิ้มปลื้ม “สวยจังเลย”
“เหมาะกับคุณมากค่ะ ทางร้านฉลองครบรอบ 1 ปี ให้ราคาพิเศษเลยค่ะ”
“อ้อ ซักครู่ค่ะ” ซือหยวนวางคืน ลงนั่งตรงหน้าตู้โชว์ หยิบมือถือออกมาโทร.หาคนรัก
“ค่ะ”
“ฮัลโหล เซียนหนาน มานี่หน่อย ร้านที่เคยพาคุณมาไง เร็วๆ นะ”
เหม่ยลี่ยังอยู่ร้านเดิม สอบถามผู้จัดการร้านโดยละเอียด “นี่ค่ะ จดไว้”
เซี่ยวเลี่ยงเดินล้วงกระเป๋าเข้ามา พนักงานขายเห็นยิ้มแย้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
ผู้จัดการร้านเห็นก็จำได้รีบเข้าไปทัก “อ้อ สวัสดีค่ะ”
เหม่ยลี่เงยหน้ามามองอย่างรู้ทันว่าเขาตามเธอมา
“สวัสดีค่ะ” พนักงานอีกคนยิ้มทักทาย
เซี่ยวเลี่ยง เดินมาหยุดตรงหน้าผู้จัดการ ทำเป็นไม่เห็นเหม่ยลี่ที่ยิ้มกริ่มมองจ้องเขาอยู่ “เอ่อคือ ช่วงนี้ยอดขายลดลงสินะ”
“ยอดขายลดลงค่ะ แต่ก็แค่ชั่วคราว ไม่ต้องห่วงค่ะ ทางร้านจะไม่ทำให้บริษัทผิดหวังแน่ค่ะ”
“อื้อดี รบกวนด้วย” เซี่ยวเลี่ยงทำเป็นเพิ่งหันมาเห็นเหม่ยลี่ “เอ่อ บังเอิญจังคุณอยู่ด้วย ดีเลย ผมอยากทำความเข้าใจช่วยจดที”
“แต่ว่าฉันยังมีงานอื่นอยู่น่ะค่ะ” เหม่ยลี่ว่า
เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ “จะขัดคำสั่งผมเหรอ”
“หา เปล่านะคะ คุณเซี่ยว”
“งั้นไป” เซี่ยวเลี่ยงเดินนำไป ฉีหยูตาม
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่มรีบตามไป
ฝ่ายซือหยวนรอจนเซียนหนานโผล่หน้าเข้ามาในชุดพนักงานไปรษณีย์
“เซียนหนาน มานี่ ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
“ตอนนี้ผมอยู่ในเวลางานมีเรื่องอะไร”
ซือหยวนจับเขานั่งหน้าตู้โชว์ “มานี่ จำได้มั้ย ฉันออกแบบไง ฉันเคยพาคุณมาดูแล้ว”
“เอ่อ คุณออกแบบตั้งเยอะ ผมจำไม่ได้”
“เหลือวงสุดท้ายลดราคา”
เซียนหนานอึ้ง ชักเริ่มหงุดหงิดไม่สนใจดูแหวนที่ซือหยวนหยิบขึ้นมาเลย
“เดี๋ยว เรียกผมมา จะให้ดูแหวนเหรอ ผมมีออเดอร์เป็นกองเดี๋ยวส่งไม่ทัน”
“ฮึ แหวนวงนี้มีความหมายกับฉันมาก เป็นชิ้นแรกในฐานะหัวหน้านักออกแบบ คุณยังไม่เคยซื้อแหวนให้ฉันเลย” ซือหยวนงอน วางคืน
เซียนหนานถามพนักงานว่า “เอ่อ เท่าไหร่ครับ”
“ถูกมากเลยค่ะ ลดแล้วเหลือแปดพันห้าร้อยหยวนค่ะ”
เซียนหนานลุกพรวดอุทานลั่น “แปดพันห้า”
“เฮ้ย ขอโทษค่ะ” ซือหยวนอายพอๆ กับโมโห ลากแขนคนรักห่างออกมา
“จะเสียงดังทำไม หมายความว่าไง”
“ผมต้องทำงานสองเดือนเลยนะ” เซียนหนานบ่นงึม
“สองเดือนแล้วยังไง ไม่อยากซื้อให้ฉันเหรอ”
“มันไม่ใช่อย่างงั้นนะ แต่ผมไม่มีเงิน”
ซือหยวนน้อยใจ เดินหนีออกไปเลย
“เอ๊ะ ซือหยวน ขอโทษนะครับนี่ซือหยวน”
เซียนหนาตกใจหันมาบอกพนักงานขายแล้วรีบตามไป
ด้าน เซี่ยวเลี่ยง ฉีหยู และเหม่ยลี่ เดินเข้ามาในศูนย์จำหน่ายอีกแห่ง พนักงานยิ้มแย้มต้อนรับอย่างดีเช่นเคย
“สวัสดีค่ะ”
เหม่ยลี่ตื่นตาถูกใจกับสร้อยเส้นหนึ่งในตู้โชว์ “ว้าว สวยจังเลย”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาถาม “ชอบเส้นนี้เหรอ”
“แพงมากเลย”
เซี่ยวเลี่ยงบอกพนักงานหลังตู้โชว์ว่า “ขอดูหน่อยครับ”
เหม่ยลี่มองงงๆ
เซี่ยวเลี่ยงรับสร้อยมาจากพนักงานขาย ปลดสายรัดสวมเข้ากับคอเหม่ยลี่อย่างอ่อนโยน ละตัวออกมามอง ยิ้มอยู่ได้แว่บเดียวก็ถูกภาพอดีตผุดขึ้นมาหลอกหลอน เพราะสร้อยเส้นนี้ เหมือนกับสร้อยที่เยี่ยฉีคนรักของเขาใส่ในวันแต่งงานกับเจ้าบ่าวที่ทำให้เธอทิ้งเขาไป
“เอาล่ะถอดออก”
เซี่ยวเลี่ยงเอ่ยขึ้นทำเอาเหม่ยลี่ที่ยิ้มปลื้มลืมโลกอยู่งง
“หา”
“ไม่เหมาะเลย”
เหม่ยลี่ถอดออกงงๆ ยื่นให้แต่เซี่ยวเลี่ยงกลับเดินหนีไปเลย เหม่ยลี่แปลกใจมาก ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น จนได้ยินเสียงพนักงานเรียกขึ้น
“คุณคะ...คุณคะ”
“ขอบคุณค่ะ” เหม่ยลี่หน้าเศร้าลง
ฟากเซียนหนานตามง้อซือหยวนออกมาหน้าห้าง ดึงให้คนรักหันกลับมา แต่อีกฝ่ายโกรธจัดสะบัดแขนออกอย่างแรง
“ซือหยวน...ซือหยวน คุณเป็นอะไร ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
“ฉันต้องโกรธสิ สิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นได้แต่ฉันไม่ได้ ฉันด้อยกว่าตรงไหนฉันมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนสอบได้ที่สองยังรู้สึกอายเลย ทำไมพอมาอยู่เซี่ยงไฮ้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป” ซือหยวนระเบิดอารมณ์ใส่
“สิ่งที่เปลี่ยนไป คือคุณต่างหาก”
เซียนหนานว่า ซือหยวนอึ้งนิ่งงันไป
เซียนหนานเดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าห้าง ขับออกไปเลย
เซี่ยวเลี่ยงอยู่ที่คอนโด ดื่มเหล้าอยู่คนเดียว หวนคิดถึงความหลังในอดีต วันที่เขาบุกเข้าไปในห้องแต่งตัวของเจ้าสาว
“เยี่ยฉี ไปกับผม”
“คุณมาทำไม” เยี่ยฉีในชุดเจ้าสาวสวยงามเหลือเกิน ลุกขึ้น หันมาทางเขาช้าๆ
“ผมไม่ให้คุณแต่งงาน ไปกับผม” เซี่ยวเลี่ยงจับไหล่เธอไว้
“เราเลิกกันแล้ว” เยี่ยฉีปลดมือเขาออก
“ทำไมทำแบบนี้ เพราะเขารวยกว่าผมเหรอ”
“ฉันจะพูดครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ที่คุณถูกไล่ออกจากบ้าน คุณก็น่าจะรู้ตัวว่าคุณมันงี่เง่า ไม่มีอนาคต คุณตอบแทนความรักของเรายังไง ฉันพูดจบแล้ว คุณออกไปเถอะ”
เซี่ยวเลี่ยงตัดสินใจถามออกไปอย่างขมขื่นใจว่า “ถ้าผมไม่ใช่ลูกของเซี่ยวเจิ้นตง คุณจะยังรักผมมั้ย”
เยี่ยฉีหันหน้าหนี “ออกไป”
เซี่ยวเลี่ยงเดินน้ำตาร่วงออกไป หัวใจภินท์พังไม่เป็นชิ้นดี
เซี่ยวเลี่ยงดึงตัวเองออกมาจากรักแรก ดื่มเหล้าจนหมดแก้ว พยายามสลัดเยี่ยฉีออกไปจากหัวใจ
ซือหยวนนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียว บนโต๊ะมีขวดเปล่าวางอยู่เต็ม มองเห็นคู่รักพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจกันอยู่ตรงหน้าแล้วยิ่งช้ำใจ เมื่อเทียบกับคู่ของตัวเอง
“ร้อนจังเลย ปากพอหมดแล้วมั้ง” ฝ่ายหญิงบอก
“โทษน๊า” ฝ่ายชายว่า
ซือหยวนมองภาพนั้นแล้วอดนึกถึงความหวานตอนรักกับเซียนหนานใหม่ๆ ไม่ได้ สองคนกินดื่ม ป้อนอาหาร เอาอกเอาใจกันไม่วายเว้น
“มา ชนแก้ว”
“มา”
“มีความสุขจัง”
ซือหยวนดึงตัวเองกลับมา มองแหวนบนนิ้วนางของตัวเอง แล้วตัดสินใจถอดออกมา ยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
บังเอิญอะไรเช่นนี้ หลินจื่อเหลียงเดินผ่านมาเห็นพอดี จึงเดินเข้ามาหาในร้าน ในจังหวะที่ซือหยวนลุกขึ้นชนเก้าอี้ล้มลงเดินซวนเซเกือบจะล้ม จื่อเหลียงเข้ามารับได้ทันพอดี
“ท่านรอง มาได้ไงคะ” ซือหยวนแปลกใจ นึกอายที่เขามาเห็นเธอในสภาพนี้
“แค่ผ่านมา”
สองคนยืนอยู่ในซอกระหว่างรถบรรทุกคอนเทนเนอร์สองคัน ซือหยวนยืนพิงรถอ้วกอยู่
“เป็นไง ดีขึ้นมั้ย ซื้อยาแก้เมาให้เอามั้ย”
หลินจื่อเหลียงถามขึ้นอย่างห่วงใย
อ่านต่อตอนที่ 14