xs
xsm
sm
md
lg

ระบำไฟ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ระบำไฟ ตอนที่ 4

ระหว่างรอขึ้นเครื่อง แม้จะรู้ว่าเทศราชไม่มาแน่แล้ว ทว่าตรีประดับก็ยังอดชะเง้อมองหาไม่ได้

“ตรียังคิดถึงที่ไปเที่ยวอยู่ล่ะสิ”
“ค่ะ มีแต่ช่วงเวลาดีๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้นายเทศจะอยู่ตรงไหน”
พยสนิ่งงันไป หัวใจที่กำลังพองคิดว่าตรีประดับรำลึกแต่ความสุขระหว่างสองคนเขาและเธอ กลายเป็นตรีประดับนึกถึงเทศราชอยู่ด้วย
“อย่ามองหาเลยครับ มองไปก็ไม่เห็นเทศราชหรอก”
ตรีประดับยังไม่รู้ตัวว่าพยสหึง ใจคิดแต่เรื่องดีๆ
“ที่ตรีได้เข้าใจ ได้รักกับยส เทศเค้าก็มีส่วนเหมือนกันนะคะ”
“ผมดีใจที่ตรีมองเทศเป็น ‘เพื่อน’ ที่ยินดีกับความรักของเราสองคน ผมว่า เทศเค้าก็เห็นตรีเป็น ‘เพื่อน’ เหมือนกัน” พยสจงใจให้น้ำหนักคำว่าเพื่อนทั้งสองครั้ง
“แน่สิคะ ไม่งั้นเค้าคงไม่ยอมมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ยสหรอก”
“ชื่นใจจัง ตรีพูดถึงเรื่องแต่งงานของเราแล้ว”
ตรีประดับเขิน “เอ้อ ก็ยังไม่คิดไกลขนาดนั้น”
“คิดเถอะครับ ต่อไปนี้ ขอให้คิดว่ามีแค่เราสองคน”
ตรีประดับเขินหนัก ปล่อยหัวใจไปกับคำหวานของพยส จนไม่ทันสังเกตว่าในประโยคแสนหวานนั้น สีหน้าพยสนิ่งขึงเจือความหึงหวงไว้ด้วย

เทศราชยืนนิ่งอยู่ในสวนสวยใกล้สนามบินนาริตะ แหงนมองฟ้า จดสายตามองตามเครื่องบินลำที่พาตรีประดับกลับเมืองไทย จนมันบินหายไปจากสายตา

ในแววตาคู่หม่น เทศราชนึกทวนหวนย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าบอกรักตรีประดับออกไป

เช้าวานนี้ ระหว่างพักการถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง
เทศราชกำลังเช็ครูปที่เพิ่งถ่ายไป อยู่กับความคิดตัวเอง ท่าทีซึมลงนิดๆ มองตรีประดับกับพยสแล้วถอนใจ
พัดชาเอาเครื่องดื่มร้อนๆ มาให้ตรีประดับและพยสจิบแก้หนาว พยสขอตัวเข้าห้องน้ำ
“อ๋อ ห้องน้ำทางโน้นค่ะ ไปถูกมั้ยเอ่ย...พัดพาไปก็ได้ค่ะ”
“คุณรอตรงนี้นะ หรือไปยืนตรงแดดๆ จะได้ไม่หนาวมาก” พยสบอกคนรัก
ตรีประดับยิ้มให้ “ยสไม่ต้องห่วงตรีหรอกค่ะ ไปเถอะ”
“งั้นเอางี้...”
พยสถอดเสื้อนอกตัวเองห่มคลุมให้ตรีประดับ ทั้งที่มีผ้าพันคออยู่แล้ว ตรีประดับยิ้มเขิน
พัดชาอยู่ใกล้ๆ กลับรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนตรงนั้น เพราะเธอและเขามีกันและกันในสายตาเพียงแค่สองคน พัดชาอดโหวงๆ ในใจขึ้นมา ยิ่งเห็นพยสดูแลตรีประดับดีเหลือเกิน อดนึกเปรียบเทียบตัวเองที่ยืนหนาวอยู่ไม่ได้
เทศราชเองเห็นซีนหวานนี้แล้ว ยังต้องเบือนหน้าหนี

พยสเดินไปเข้าห้องน้ำโดยมีพัดชานำทางไป ตรีประดับมองมาเห็นเทศราชอยู่คนเดียวจึงเดินไปหา
“เทศ”
เทศราชหันมา รีบปรับสีหน้าร่าเริง ปิดบังความเศร้า
“เป็นอะไร เห็นยืนพ่นลมหายใจ”
“เปล่า เราไม่เป็นไร”
“หรือว่าหนาว บอกแล้วใช่ไหมให้ใส่เสื้อหนาๆ”
“มาละ แม่แววประทับร่างบ่น”
ตรีประดับยิ้มขัน หัวเราะหึๆ มุขเก่าของเขาที่ชอบยกขึ้นมาเหน็บว่าเธอขี้บ่นเหมือนแวว ผู้เป็นมารดา ตรีประดับหยิบเอาผ้าพันคอตัวเอง มาพันคอให้เทศราชพลางบ่นไปยิ้มไป
“ชอบนักแต่งตัวเท่ๆ แนวๆ แล้วมันอุ่นมั้ย”
เทศราชจดสายตามองตรีประดับแทบจะลืมหายใจระหว่างที่เธอพันผ้าให้ ที่สุดเขาอดไม่ได้กุมมือตรีประดับที่กำลังพันผ้าอยู่
“ตรี...”
ตรีประดับมองสบตาคู่นั้น เบื้องแรกยิ้มๆ แต่อึ้งไปเมื่อเห็นแววตาหม่นเศร้าน่าสงสารของเทศราชจนต้องหลบตาวูบ ละสายตาลงมาอยู่ที่มือตัวเองซึ่งจับผ้าพันคออยู่ โดยมีมือเทศราชกุมไว้อีกชั้น
“เรา...”

ระหว่างนี้ พยสกลับมาจากห้องน้ำ เดินนำมาก่อนพัดชา เหลียวมองหาคนรัก จนเห็นว่าตรีประดับกำลังพันผ้าพันคอให้เทศราชอยู่ เขามองจ้องแววตาขุ่น

ตรีประดับนิ่งงันไป พยายามไม่คิดไปไกล ด้วยไม่แน่ใจท่าทีว่าเทศราชเป็นอะไรกันแน่
“ตรี...เรา...”
คำว่า ‘รักเธอ’ กำลังหลุดลอดออกมาจากปากเทศราช ทว่าตรีประดับขัดขึ้นก่อน
“เธอ...เอ่อ...มือเย็น”
“เอ้อ...เออ ใช่ เรามือเย็น...เย็นมากไหม หนาวเนอะ”
เทศราชปล่อยมือออก ตรีประดับค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเป็นปกติ
“ต่อไปนี้ดูแลตัวเองบ้างนะ เราคงไม่ได้บ่นเธอบ่อยๆ แล้ว”
“เพื่อนกัน ดูแลกันไปตลอดชีวิตไม่ได้ใช่ไหม”
ตรีประดับอึ้งไป ขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เพียงกระชับผ้าพันคอให้เทศราชแล้วเดินออกไปเงียบๆ
เทศราชได้แต่มองตามไป พยสเดินเข้ามารอรับและแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่

ไม่นานต่อมา เทศราชหลบมานั่งชันเข่าพิงโคนต้นซากุระ ข้างๆ มีกล้องคู่ใจวางทับกระเป๋าเป้ เขากำลังสเก็ตรูปชายหญิงโอบเอวกันลงในหน้ากระดาษสมุดบันทึก มันคือภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนเขาโอบเอวตรีประดับตั้งใจจะบอกรัก แต่สุดท้ายกลับไม่กล้า ปากกาในมือของเทศราชนิ่งไป เมื่อเสียงของตรีประดับตอนกระชับผ้าพันคอให้ ดังก้องขึ้นในใจ
“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

เทศราชร้าวรานใจเหลือแสน วาดต่อไม่ไหว เขาปิดสมุดบันทึกนั้นลงถอนใจเฮือก

เทศราชดึงตัวเองออกมา มองท้องฟ้าสดใส มองซากุระบานสะพรั่ง แต่ทุกอย่างไม่สวยเหมือนเคย ช่างภาพหนุ่มขังใจอยู่ในความเศร้าต่อไป

อีกด้านหนึ่ง เสื้อผ้าที่ถูกกระชากออกเมื่อคืนวางกองเป็นขยะอยู่มุมหนึ่ง ที่นอนยับยู่ยี่ พัดชาห่อตัวนั่งกอดตัวเองในผ้าห่มร้องไห้ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา โดยไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา มือยืนไปจับเนื้อตัวตรงไหนก็เจ็บระบมไปหมด
“พัดจัง”
เสียงตะโกนเรียกของเดฟทำให้เด็กสาวสะดุ้งเฮือก ผวากลัวจากเรื่องร้ายเมื่อคืนไม่หาย พัดชายกแขนปาดป้ายน้ำตาจนแห้ง คว้ากระเป๋ารีบร้อนออกจากห้องไป

ยูอิเตรียมเครื่องปรุงไว้ทำอาหารอยู่ตรงโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ จนมีเสียงวิ่งตึงตังลงบันไดมา จึงหันไปด่า
“เมื่อคืนก็ทำเสียงดัง เป็นบ้าอะไร”
ยูอิลุกขึ้นจะด่าซ้ำพัดชาวิ่งลงมาอย่างเร็วและไม่ทันมองชนกะละมังผักริมโต๊ะร่วงกระจาย แถมมือผลักไปโดนยูอิจนเซไป
เดฟไม่สนใจมองพัดชาที่วิ่งหนีออกจากร้านไป ยูอิหันไปมองสามีฝรั่งเชิงถามว่าพัดชาเป็นบ้าอะไร เดฟส่ายหัว ทำหน้างงๆ

พัดชาพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าสถานีตำรวจละแวกร้าน เนื้อตัวสั่นสะท้ายด้วยความหนาวเหน็บ รีบร้อนจนลืมใส่แจ็คเก็ต อ้อมแขนที่โอบกอดตัวเองลูบไปโดนรอยกัดตรงไหล่จนรู้สึกเจ็บ ก้าวขาไปข้างหน้า แต่แล้วต้องชะงักเมื่อนึกไปถึงคำขู่เมื่อคืนนี้
พัดชากระชับร่างเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ่าห่ม ขณะเดฟคว้าสายรัดยูกาตะลุกขึ้นแต่งตัว เห็นเงาทะมึนสูงใหญ่ของพ่อบุญธรรมในเงามืด ทิ้งคำขู่สุดท้ายไว้ว่า
“พัดจัง อย่าหวังว่าจะหนีพ้น ชีวิตเธอไม่มีทางเลือกนั้นหรอก”
ประตูปิดแกรกลง ทุกอย่างในห้องเงียบสงัด

พัดชาสะกิดใจในคำขู่ของเดฟ ควานหาของที่เก็บไว้ในกระเป๋าสะพายเสมอ พบว่าทั้งกระเป๋าตังค์ พาสปอร์ตและโทรศัพท์ที่เคยอยู่ในนี้ ไม่มีแล้ว

ฟากเดฟทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์ แลเห็นกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือ และพาสปอร์ตของพัดชาซุกอยู่มุมหนึ่ง พอเห็นยูอิเดินมา เดฟรีบยัดของทั้งหมดใส่ตู้โดยยูอิไม่เห็น

พัดชาหมดเรี่ยวแรงจะขึ้นโรงพักแจ้งความที่ถูกพ่อบุญธรรมข่มเหง เด็กสาวหันหลังกลับด้วยความขมขื่น ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าสู้ตาใคร ทำให้ชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่สวนมาอย่างแรง
“ขอโทษค่ะ”
พัดชาก้มหน้าโค้งขอโทษ เห็นแค่ขาว่าเป็นผู้ชายเท่านั้นก็กลัวจนตัวสั่น ถอยกรูดๆ ร่างซวนเซ ชายคนนั้นตรงเข้ามาช้อนไว้ได้ พร้อมกับเอ่ยทัก
“พัดชา”
พัดชาชะงัก เงยหน้ามอง พอเห็นเป็นเทศราชก็อึ้งไป ทั้งตกใจและอับอาย ไม่อยากเจอใครตอนนี้ ตัวสั่นทั้งหนาวและหวาดระแวง
“ไม่สบายหรือเปล่า”
พัดชาไม่กล้าตอบ เทศราชเห็นยังสั่นจึงถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองคลุมให้

พัดชามองหน้าเทศราชอย่างประเมิน


พัดชานั่งเงียบอยู่ข้างทาง รอจนเทศราชเดินกลับจากเครื่องดื่ม พร้อมยื่นแก้วชาร้อนให้ ส่วนของเขาเป็นกาแฟ

“ชาร้อน เผื่อแก้หนาวได้บ้าง”
พัดชาดูผ่อนคลายลง อ่านสายตาเทศราชไม่เห็นความหื่นกระหายในนั้น
“ขอบคุณค่ะ”
“เธอมาทำอะไรแถวนี้”
“พัด....เอ้อ...มาเดินเล่นค่ะ คุณเทศราชล่ะคะ
“ฉันก็มาเดินเล่น แต่แถวนี้ไม่น่ามาเดินเล่นนะ ว่ามั้ย ไม่มีอะไรเลย นอกจากสถานีตำรวจ”
เทศราชตอบไปเรื่อยเพราะโกหกอยู่ โดยไม่รู้ว่าคำพูดไปจี้ใจดำอีกฝ่าย จนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เห็นคุณเทศเคยบอกว่า จะกลับพร้อมคุณตรีประดับกับคุณพยสนี่คะ ทำไมยังอยู่ที่นี่”
“บ้านเธออยู่ไหนน่ะ เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
พร้อมกับว่าเทศราชก้าวเดินนำไป ตัดบทเรื่องที่พัดชาถาม
“คุณเทศไม่อยากกลับใช่ไหมคะ ไม่ต้องบอกเหตุผลหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวคนเราบางครั้งก็มีบางสถานที่ที่ไม่อยากกลับไป มีช่วงเวลาที่ไม่อยากเดินไปข้างหน้า มีความทรงจำข้างหลังที่ไม่อยากมองเห็นอีก พัดยังไม่อยากกลับบ้า”
เทศราชถูกจี้ใจดำบ้าง ชะงักเท้าตั้งแต่ประโยคแรกๆ ก่อนจะหยุดยืนนิ่ง พัดชาก็นิ่งคาที่ไม่รู้จะไปทางไหน
แม้เวลาจะผ่านไปสักระยะแล้ว เทศราชและพัดชาต่างคนต่างยืนอยู่ในโลกอันทึมเทาของตน

บ้านทรงไทยภาคกลางสวยคลาสสิกตั้งอยู่กลางแมกไม้ในสวนสวยอันร่มรื่น บ่งบอกฐานะมีอันจะกินของเจ้าของ รถหรูของพยสแล่นเข้ามาจอดที่หน้าเรือน พยสลงรถมาช่วยตรีประดับหิ้วกระเป๋าลงมา
“เดินทางมาก็เหนื่อย ยังจะมาส่งตรีที่บ้านอีก”
“ผมจะได้มาสวัสดีพ่อแม่ตรีด้วยไง ไปรับลูกสาวท่านไกลถึงญี่ปุ่น คงมีอะไรต้องอธิบายท่านบ้าง”
“นี่วางแผนไว้หมดเลยไหมคะ ตั้งใจเซอร์ไพรส์ไปหาถึงโน่น จอดรถไว้สนามบินเพื่อจะได้มาส่งตรีแล้วก็...”
พยสยิ้มกริ่มตอบเองว่า “เปิดตัวกับพ่อแม่คุณ”
ตรีประดับเขินพยสจะจับมือ แต่แววกับภูมิเดินออกมาจากในบ้านพอดี ชายหญิงสูงวัยบิดาและมารดาของตรีประดับรับไหว้เพื่อนลูกสาวด้วยสีหน้าแปลกใจที่เห็นเป็นพยส ไม่ใช่เทศราชอย่างที่พากันคิด
“เพื่อนมาส่งเหรอลูก” ภูมิถาม
“เอ้อ...พยสเค้า...”
พยสโชว์แมน “คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขออนุญาตไม่เป็นแค่เพื่อนตรีนะครับ ผมรักตรี ถ้าหากว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ขัดข้อง”
แววและภูมิตกใจ มองหน้ากัน ด้วยเซนส์ของคนเป็นพ่อแม่ พอเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร
ตรีประดับเอาแต่เขินอายหน้าแดง ส่วนพยสในท่าทีสุภาพนอบน้อมกับผู้ใหญ่ เขายังดูมาดมั่นมีความเป็นผู้นำพร้อมดูแลตรีประดับ

ค่ำคืนแรกหลังกลับจากญี่ปุ่น ตรีประดับนอนหนุนตักแม่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สีหน้าเปี่ยมสุข จนถูกแววหยอกเย้า
“ลูกสาวแม่ นอนหนุนตักแม่เป็นเด็กอยู่เลย มีหนุ่มหล่อมาขอซะแล้ว”
“แม่ว่าพยสเขาเป็นยังไงคะ”
“แม่ก็เห็นพยสเป็นเพื่อนหนูสมัยมหาวิทยาลัยใช่ไหม ขยันนะ ช่วยกันติวหนังสือ แล้วดูสิ ตอนนี้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย หน้าที่การงานก็ดี สร้างเนื้อสร้างตัวเองจนฐานะดี แม่ชื่นชมนะ”
ภูมินั่งข้างๆ อดทักท้วงให้แง่คิดธิดาสุดสวาทคนเดียวไม่ได้ “เรื่องฐานะไม่เกี่ยวหรอก มันอยู่ที่หนูรู้จักเขาดีแค่ไหน คบกันนานพอจะตกลงใจใช้ชีวิตด้วยกันหรือเปล่า”
“ตั้งแต่ตรีรู้จักกับพยส เขาไม่เคยมีเรื่องเสียหาย ยสเขาก็เป็นคนดีมากๆ คนนึงนะคะ”
“คนที่ดีกับคนที่รัก ต่างกันนะลูก” ภูมิบอก
แววไม่อยากให้ลูกกังวลค้านขึ้นว่า
“ต่างกันก็ไม่เป็นไรนี่พ่อ เพราะนายพยสคนนี้ เขาทั้งเป็นคนดีและเป็นคนที่รักลูกเรา”
“อ้าว แล้วนายเทศล่ะ เข้านอกออกในบ้านเรามาแต่เล็ก คนนี้ก็...”
ตรีประดับขำคิก แย่งภูมิพูด “คนนี้เพื่อนค่ะ เทศราชเป็นเพื่อน”
แววมองค้อนสามีก่อนจะหันมาพยักพเยิดเอาใจลูกสาว “วุ้ย พ่อละก็ ลูกเรารักพยสคนนี้ แม่โอเค พยสเหมาะสมกับลูกทุกอย่าง แล้วตรีก็รักเขาใช่ไหมลูก”
ตรีประดับเขินจนหน้าแดง มีเสียงข้อความไลน์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ตรีประดับหยิบมากดดู ยิ้มกว้างออกมา
“ยส”

ตรีประดับลุกออกจากตักมารดา ไปนั่งอีกมุม ยิ้มเขินเชิงขอตัวบุพการี

เทศราชเดินนำเข้ามาหน้าแมนชั่น

พัดชาหยุดยืนเงยหน้าขึ้นมองอาคารรูปทรงทันสมัย สลับกับมองหน้าเทศราช ประหวั่นใจเล็กน้อย
“แมนชั่นของอาชั้นเอง เค้าเช่าไว้ให้คนที่บริษัทเวลามาทำงานที่นี่ ตอนตรีประดับมาแปลงาน ก็พักที่นี่ ถ้าคืนนี้เธอไม่อยากกลับบ้าน ก็นอนกับฉันที่นี่แหละ”
พัดชาเผลอเขยิบตัวออกห่างเล็กน้อย
“เอ้อ...”
เทศราชมองฉงนแปลกในท่าทีนั้น “อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้น เธอเต็มใจมากับฉันเองนะ”
“พัดไปที่อื่นก็ได้ค่ะ”
“แล้วมีที่ไปเหรอ”
พัดชาชะงักเท้า
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก เลิกกังวลได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่าฉันพาเธอมาทำมิดีมิร้ายจริงๆ”
พัดชามองคนอื่นๆ ที่เดินเข้าออกจากล็อบบี้ ไม่มีสายตาจะแคร์ความคิดใครอีกแล้ว ตอนนี้ขอที่ที่ปลอดภัยซุกตัวนอนก่อน
เทศราชเองก็อยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ตรมขมไหม้ จนไม่ยี่หระอะไรอีก

ที่บ้านสวนตรีประดับกดอ่านข้อความไลน์จากพยส อ่านไปยิ้มไป
“ผมขอบคุณพ่อกับแม่ตรีที่อนุญาตให้เราแต่งงานกัน แต่ผมลืมบอกตรีอย่างนึง”
ตรีประดับพิมพ์ถามไปว่า
“อะไรคะ”
พยสอยู่บนเตียงในห้องนอน ที่คอนโดหรูของเขาย่านใจกลางเมือง พิมพ์ข้อความตอบ
“ผมอยากขอบคุณตรีที่ให้โอกาสผม โอกาสที่ผมจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือจากนี้กับคุณ”
ตรีประดับยิ้มอิ่มเอมใจ
“หวานจัง”
ตรีประดับพิมพ์กลับไป
“ขอบคุณนะคะ แค่นี้ตรีก็มีความสุขจนไม่รู้จะเก็บมันไว้ตรงไหนแล้ว”
“เก็บไว้ในใจตรีนั่นแหละ”
ตรีประดับเขินสุดๆ ส่งสติ๊กเกอร์หัวใจพองโตไปให้
“ฝันดีนะคะ”
“ผมจะฝันถึงคุณ”
พยสหัวใจพองโต ที่เอาชนะใจตรีประดับได้ เฝ้าแต่นับวันรอวิวาห์หวาน

แววกับภูมิลอบมองตรีประดับ เห็นพิมพ์ส่งไลน์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แววยิ้มที่เห็นลูกมีความสุข แต่ภูมิยังกังวล
“เวลารักมากๆ มันจะเห็นโลกด้านเดียว ไม่มีมุมอื่น”
“พ่อละก็ พูดอะไรไม่รู้ เมื่อกี๊ก็ทีแล้วนะ พูดถึงนายเทศทำไม ลูกเรารักกับนายพยส ไม่ต้องพูดถึงบุคคลที่สาม”
“ก็เห็นลูกเราสนิทกับนายเทศจะตาย ก็นึกว่าสองคนนั้น...” ภูมิบ่นด้วยความเสียดาย
ตรีประดับได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน พลอยคิดถึงเทศราชขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แววฮึดฮัด ค้อนควักสามี “ฮึ นายเทศราช ลูกเศรษฐี ดีแต่ลอยไปลอยมา ป่านนี้เป็นผู้เป็นคนหรือยังก็ไม่รู้”
ตรีประดับกดโทรศัพท์ เปิดดูไลน์เทศราช พบว่าข้อความถูกอ่านหมดแล้ว แต่เทศราชไม่ตอบกลับเลย ตรีประดับกดส่งไปอีก
“เราถึงบ้านแล้ว เทศอยู่ไหน ทำอะไรอยู่”
ข้อความถูกอ่านทันที แต่ไม่มีข้อความตอบกลับ
ตรีประดับหงุดหงิดนิดๆ กดพิมพ์ส่งไปถามรัวๆ
“เทศเป็นอะไรหรือเปล่า” / “เที่ยวอยู่? กินข้าว? ยุ่งเหรอ?” / “นี่ อ่านแต่ไม่ตอบ หมายความว่ายังไง”
เทศราชอ่านแต่ก็ยังไม่ตอบอยู่ดี ตรีประดับเอะใจ คิดว่าเทศราชแปลกไป

ในห้องพักแมนชั่น ที่เมืองนาริตะ ญี่ปุ่น
บะหมี่ถ้วยเปิดกินแล้ว ตะเกียบยังวางคาอยู่ ขวดน้ำพร่องไปบ้าง แก้วเหล้าวางอยู่บนโต๊ะ เทศราชนั่งมองจอมือถืออ่านไลน์จากตรีประดับ
จังหวะหนึ่งเทศราชเลือกสติ๊กเกอร์หัวใจค้างอยู่ สุดท้ายก็ไม่กดส่ง ปิดหน้าจอ โยนมือถือห่างตัว กลัวใจ
เทศราชเหลือบไปทางห้องที่ตรีประดับเคยนอน เขาเดินไปที่ประตูที่ปิดอยู่

พัดชานอนอยู่ในห้อง คิ้วขมวดราวกับจมอยู่ในฝันร้าย จนมีเสียงเคาะประตู พัดชาสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว
“อย่าเข้ามา”
“พัดชา”
พัดชาเหลียวไปมองรอบๆ ตัวอย่างหวาดหวั่น สแกนทุกจุด เบาใจเมื่อไม่มีร่างพ่อบุญธรรมใจชั่วอยู่ในห้อง มี เสียงเคาะประตูเรียกอีกครั้งจากเทศราชดังเข้ามา
“พัดชา”
พัดชาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ รู้สึกปลอดภัยขึ้น
“พัดชา โอเคนะ”
พัดชาร้องบอกออกไปว่า “ค่ะ”
เทศราชยืนคุยกับพัดชาอยู่ที่หน้าประตู “อาบน้ำอุ่นๆ แล้วนอน อย่าคิดมาก ชุดนอนถ้าไม่รังเกียจว่าเป็นของเก่าตรีเค้า ก็ใช้ไปก่อนแล้วกัน”
พัดชาเหลียวมองไปทางราวแขวนเสื้อตรงมุมห้อง มีเสื้อคลุมสีขาวเนื้อผ้าไหมอย่างดีพาดอยู่
“อย่าลืมโทร.บอกพ่อแม่เธอด้วยนะ ว่ามาค้างที่นี่ เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”
“เอ้อ ค่ะ”

พัดชาหน้าเครียดขึ้นมาทันที ที่ได้ยินคำว่า พ่อแม่

พัดชาพาตัวเองมายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ค่อยดึงเสื้อยืดลงเปิดไหล่ออกดู ยิ่งเลื่อนลงต่ำก็ยิ่งเห็นรอยช้ำมากขึ้น

พัดชาจับเนื้อตัว เจ็บกาย แต่ไม่เท่าปวดใจ ค่อยๆ ถอดเสื้อยืดออก พบว่าแผ่นหลังเปลือยเปล่า มีรอยขย้ำเป็นจ้ำ ส่วนที่ใต้ราวนมมีรอยฟันกัด จนช้ำ พัดชามองร่างตัวเองในกระจกน้ำตาร่วงพรู
นึกถึงความชั่วร้ายเลวทรามที่พ่อบุญธรรมใจชั่วย่ำยีบีทาเธอเมื่อคืนก่อน
ประตูถูกงัดเปิดจากข้างนอก เดฟก้าวข้าวมาในห้องปิดล็อกประตู พัดชากระโจนหนี เดฟจับถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกออก รวบร่างกดลงไปกับที่นอน พัดชาสู้ขาดใจ ทั้งถีบถอง ข่วน แต่สุดท้ายโดนต่อยท้องสุดแรง เอาผ้าอุดปาก พัดชารวบเรี่ยวแรงคลานหนี เดฟกระชากเสื้อยืดฉีกขาดเผยให้เห็นเนื้อเนียนสาวแรกรุ่น สีหน้าพัดชาผวากลัว คลายหนีสุดแรงเกิด ทว่าเงาดำทะมึนเหวี่ยงชุดยูกาตะออก แล้วก้มลงทาบตัวกับแผ่นหลังพัดชา

พัดชายืนนิ่งอยู่ใต้ฝักบัว ก้มมองเรือนร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยเขียวม่วงเป็นจ้ำๆ หยาดน้ำตาร่วงเผาะ
น้ำจากฝักบัวราดรดกายสาว พัดชาใช้ฟองน้ำขัดถูเนื้อตัวอย่างรุนแรง หวังว่ามันจะช่วยชำระล้างคราบไคลสกปรกจากพ่อบุญธรรมใจสัตว์ออกไปหมดสิ้น น้ำตาไหลรินรวมกับน้ำจากฝักบัวไม่หยุดหย่อน

เทศราชถือแก้วน้ำอุ่นออกมาจากแพนทรี ผ่านหน้าห้องน้ำ ในจังหวะที่ประตูเปิดออกมา พัดชาในชุดคลุมไหมสีขาวที่ตรีประดับเคยใส่ ก้าวออกมาชนเข้ากับเทศราชพอดี
เทศราชถึงกับผงะ นึกว่าเป็นตรีประดับ

เพราะหลายวันก่อนหน้านี้ ขณะที่เทศราชหิ้วกระป๋องเบียร์จากตู้เย็นในแพนทรี เดินผ่านหน้าห้องน้ำ ในจังหวะที่ตรีประดับเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาพอดี สองชนกันจังๆ ใบหน้าใกล้ชิด ตาสบตากันนิ่งนาน
วินาทีนั้นเทศราชแทบลืมหายใจ มองตรีประดับที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จผมหมาดๆ ในชุดเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวเนื้อละเอียดบางเบา กลิ่นกายสาวเจือกลิ่นสบู่อ่อนๆ กำจายรอบตัว
“เทศ” ตรีประดับเป็นฝ่ายเรียกสติ
เทศราชใจเต้นรัวเร็ว หูดับ แทบไม่ได้ยินอะไร
ตรีประดับตะโกนใส่หน้า “นายเทศ”
เทศราชได้สติ ผละออก ยิ้มแก้เก้อ แล้วรีบหนีเข้าห้องไป

เทศราชหลุดจากภวังค์ได้สติจากเสียงเรียกของพัดชา
“คุณเทศ”
“เธอ...เอ่อ ใส่เสื้อตรีได้นะ....ฉันไปนอนก่อน”
เทศราชรีบผละเข้าห้องไป
พัดชาตกใจมากเอาการ เพิ่งรู้ตัวว่ามือเผลอกุมอกเสื้อไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
เทศราชเปิดประตูห้องเข้ามานั่งซึมต่อ หลับตาไม่ลง เอาแต่นอนมองโทรศัพท์ ไม่มีข้อความอะไรจากตรีประดับอีก

รุ่งเช้า เสียงไลน์ดังติดๆ กัน ทั้งสติ๊กเกอร์และข้อความ เรียกให้เทศราชสะดุ้งตื่น และพบว่าตัวเองนอนหลับโดยที่มือไม่ห่างจากโทรศัพท์
“ตรี”
เทศราชคว้ามือถือมากดดูหน้าจอ แล้วต้องเซ็งรับอรุณ เมื่อเห็นเป็นพยางค์ที่ส่งสติ๊กเกอร์โมโหควันออกหูมาให้ เป็นชุด พร้อมข้อความ
“ไอ้เทศ แกอยู่ไหน”
“โธ่ อาพยางค์”
เทศราชกดปิดเสียงโทรศัพท์ไป คว่ำหน้าจอลงไม่สนใจ ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นครวญคราง ตรื้ดๆๆ ต่อไป
เทศราชอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์ไปดู บ่นบ้ากับตัวเอง
“จิกแต่เช้า เป็นไรมากมั้ยครับอา”

ที่สำนักพิมพ์ พยางค์ถึงออฟฟิศแต่เช้าเช่นทุกวัน เวลานี้ยืนอยู่ที่โต๊ะทำงานเทศราช หงุดหงิดมากเอาการ เพราะเทศราชไม่ตอบโผล่หน้ามาให้ด่าตัวเป็นๆ สักที
“มันว่าจะกลับวันนี้นี่นา ไอ้เทศ ทำไมยังเงียบๆ”
บอกอหนุ่มใหญ่ร่างยักษ์ ควักมือถือขึ้นมาจะกดโทร.หาเทศราช แต่เมื่อหันไปทางหนึ่งแล้วต้องชะงัก
“อ้าว หนูตรี...คุณพยส
“สวัสดีค่ะ” / “สวัสดีครับ” สองคนไหว้นอบน้อม
พยางค์เห็นตรีประดับเดินเข้ามากับพยส รับไหว้สองหนุ่มสาวแล้วทำหน้าไม่ถูก เก็บมือถือคืนกระเป๋ากางเกง ยิ้มทัก
“หนูตรี กำลังนึกถึงเลย”
“จะทวงต้นฉบับใช่ไหมคะ นี่ค่ะ” ตรีประดับยื่นซองต้นฉบับในมือให้ “ตรีทราบว่าบอกอไม่ชอบเข้าเมล ตรีเลยพิมพ์มาให้เรียบร้อย นี่ตอน 3 ตอน 4 และ ตอน 5 นะคะ แล้วนี่ก็ของฝากจากญี่ปุ่น” ตรีประดับหันมาทางคนรัก
พยสยื่นถุงในมือให้ “นี่ครับ”
พยางค์ยิ้มรับพยักหน้าอือออไป มองประเมินตรีประดับและพยสที่ยืนติดกัน ช่วยกันหิ้วของมา แล้วนึกเอะใจ เป็นห่วงหลานตัวเอง
“ไปแปลงานที่โน่นเป็นเดือนเลยนะ แต่กว่าจะได้เที่ยวก็ตอนเจอกับนายเทศ เที่ยวกันสองคนสนุกหรือเปล่าไม่รู้”
“พอดียสเขาตามไปด้วย ไม่ได้เที่ยวกันสองคนหรอกค่ะ”
“ก็เลยเป็น...สาม” พยางค์นิ่งนึก บอกอใหญ่เดาเรื่องได้อย่างปรุโปร่ง อา...หลานกรูเจ็บสาหัสแน่งานนี้
ตรีประดับเขินเล็กน้อย พยางค์สังเกตเห็นท่าทีดังกล่าว
“ผมเคยเห็นคุณพยสแค่ในหนังสือ กับที่คุณสัมภาษณ์ออกทีวี เพิ่งได้พบตัวจริงวันนี้”
“ยินดีครับ คุณพยางค์มีอะไรให้ผมรับใช้ ผมยินดีนะครับ นึกถึงตรีก็นึกถึงผมได้เหมือนกัน ผมขอความกรุณาฝากดูแลคุณตรีด้วยนะครับ”
“ยสก็...งานแปลกับงานกฎหมายเหมือนกันที่ไหน”
ตรีประดับเขินอีก เพราะพยสพูดในทำนองเป็นคนๆ เดียวกัน
“นั่นสินะ คนละเรื่องกันแท้ๆ ไปด้วยกันได้ยังไง” น้ำเสียงบอกอใหญ่เบาลงในตอนท้าย “มันน่าจะนักเขียนกับช่างภาพที่คู่กัน”
“เทศยังไม่กลับนี่คะ แต่ไม่เห็นบอกว่าทำไม” ตรีประดับปรารภ
พยางค์รักษาหน้าให้หลานแต่ไม่วายเหน็บแนมพอแสบๆ คันๆ
“อ๋อ มันยังถ่ายงานไม่เสร็จ รู้สึกจะเหลือช็อตเหงาๆ เศร้าๆ อะไรทำนองนี้ เหมือนว่าตอนหนูตรีอยู่มันถ่ายแนวนี้ไม่ได้”
ตรีประดับมองดูโต๊ะเทศราช สะดุดตากับโปสการ์ดที่แปะอยู่ตรงพาทิชั่น

พยางค์นั่งเอาตัวบังไว้ เพื่อช่วยปกปิดความรู้สึกของหลานแสบ ไม่ให้เสียฟอร์มต่อหน้าคนอื่น

อ่านต่อตอนต่อไป

เทศราชผู้ซึ่งพยางค์เป็นห่วง กำลังถูกความเหงาเล่นงานแล่นเป็นริ้วๆ จับขั้วหัวใจ

ไม่ว่าเดินไปถ่ายภาพในมุมไหน หรือถ่ายอะไรออกมาก็บ่งบอกอารมณ์เหงา เศร้า โดดเดี่ยว อ้างว้าง รูปนกตัวเดียว ดอกไม้ดอกเดียว ม้ายืนเหงา ภาพสุดท้าย เทศราชหมุนกล้องหามุมสวยๆ ดันมาเจอพัดชานั่งซึมเศร้าอยู่อีกมุมหนึ่ง
เทศราชมองจ้องพัดชาดูเศร้าจนผิดสังเกต และแปลกไปจากเด็กสาวที่เขาหรือตรีประดับกระทั่งพยสเคยรู้จักเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็มีสายเข้า เขากดรับบ่นกลับไปยังเมืองไทย
“โทร.จิกขนาดนี้ ไฟไหม้โรงพิมพ์เหรออา”
“เออ ได้ยินแบบนี้ แปลว่าแกยังไม่ตาย โอเคนะ ไอ้เทศ” เสียงพยางค์ดังโวยวายออกมา
“โอคงโอเคอะไร อาเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตาขยิบแต่เช้า”
ที่กรุงเทพฯ พยางค์ยืนอยู่ริมหน้าต่างสำนักพิมพ์ แหวกมู่ลี่มองลงไปยังลานจอดรถ เห็นพยสเปิดประตูรถให้ตรีประดับ คอยจับไม้จับมือดูแลเวลาขึ้นนั่งรถ ดูรู้ว่าเป็นคู่รักกัน
“ฉันรู้หมดแล้ว แกโอเคนะ”
เทศราชเลิกฟอร์ม เพราะพยางค์เป็นคนเดียวที่เขาเปิดใจคุยได้ทุกเรื่อง
“มันก็...ไงดีนะอา ไอ้โลกสีชมพูนี่มันเป็นยังไงวะ”
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งเบื่อโลก ไม่ต้องรีบตาย”
“อาไม่ต้องห่วง ที่ไม่กลับเพราะผมอยู่ถ่ายงานต่อ เดี๋ยวแถมให้คอลัมน์นึงด้วย พอใจยัง”
“เออ เอาที่แกสบายใจ แกก็นอนที่แมนชั่นเดิมไปก่อน ฉันอนุญาตให้แกพาคนมาปลอบใจได้”
“ใครจะเหมือนอา เรื่องแบบนี้...ผมไม่” เทศราชสะท้อนสะท้านในอก
“ความรักเดียวใจเดียว มันมีเวลาหมดอายุ หนูตรีเค้าเริ่มปลูกต้นรักกับคนอื่น แกก็ต้องเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว ไอ้เทศ”
เทศราชวางสาย ไม่ได้เก็บเอาคำพูดพยางค์ มาคิดเลย ในสายตาของเขามีเพียงตรีประดับ รักเดียวเหนียวแน่น
ระหว่างนี้พัดชายกแก้วกาแฟในมือให้ดู พูดบอกโดยไม่ได้ยินว่า “กาแฟมาแล้วค่ะ” เทศราชเดินตรงไปหาพัดชา

หนุ่มสาวสองคนนั่งอยู่ในสวนสวย ความร่มรื่นของต้นไม้รอบบริเวณนั้นไม่ได้ช่วยเยียวยาความทุกข์ให้คลายลงเลย เทศราชปิดบังทุกข์ขมในใจด้วยการวาดๆ เขียนๆ โปสการ์ด แต่ก็ไม่เสร็จสักอัน พัดชามองอยู่
“ขออนุญาตถามได้ไหมคะ คุณเทศราชเขียนโปสการ์ดตั้งหลายใบ ไม่เห็นลงชื่อผู้รับสักใบล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่รู้จะส่งหรือเปล่า”
“น่าเสียดายนะคะ ความรู้สึกของเราปล่อยไว้กับตัวเอง อีกคนจะรู้ได้ยังไง”
“บางที บางเรื่อง ปล่อยให้มันผ่านไป ก็ยังมีความสุขมากกว่า”
“สำหรับพัด ไม่ใช่ค่ะ ชีวิตมันทุกข์มามากพอแล้ว อะไรที่เป็นความสุขแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องคว้าไว้”
พร้อมกับว่าพัดชากุมสร้อยจี้โคลเวอร์ที่พยสให้ นึกถึงความสุขความหวังที่ตัวเองอยากจะได้
เทศราชเหลียวมองมา “เธอมีใบไม้นำโชคแล้วนี่ อะไรที่ทุกข์คงจะดีขึ้นแล้วสินะ”
“ค่ะ คุณพยสให้ไว้ พัดหวังว่า พัดจะโชคดีเหมือนคุณตรีประดับ”
เทศราชอึ้งไป นึกเอะใจในตัวพัดชาโดยประหลาด เพราะในสายตาคู่หม่นที่ดูทุกข์ทนมากขนาดนั้น เขาเห็นความอยากได้ใคร่มีก่อตัวขึ้นจางๆ

ขณะที่เทศราชกับพัดชากินกาแฟดำ และดื่มไม่หมด ขมคอกันทั้งคู่ ต่างจากคู่รักหวานที่เมืองไทย
ตรีประดับนั่งรออยู่ ไม่นานพยสก็ถือกาแฟที่ใช้ฟองนมลาเต้ เขียนเป็นรูปหัวใจมาวางให้
“แก้วนี้ของตรี บาริสต้าเห็นเรา เลยทำลายนี้มาให้”
ตรีประดับรู้ทันท้วงขำๆ “ลายมาตรฐานค่ะ”
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ผู้ชายคงเซ็งนะครับ เพราะขัดมุข แต่สำหรับตรี คุณเป็นข้อยกเว้นทุกอย่าง”
พยสหวานทุกเม็ด ตรีประดับเขิน ก้มหน้าจิบกาแฟไป
“ยสมารับตรีจัดการธุระเรื่องงานแต่เช้า แล้วงานของยสล่ะคะ”
ไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์พยสสั่นตรื๊ดๆ มีสายเข้ามากมาย ข้อความอีกนับไม่ถ้วน
“มันเยอะเป็นปกติอยู่แล้วครับ”
“ยสไปทำงานเลยก็ได้นะคะ ไม่ต้องห่วงตรี ตรีกลัวว่าจะทำให้ยสเสียเวลางาน”
“แต่ก่อน ชีวิตผมมีแต่งาน แต่ตอนนี้นอกจากงาน ผมมีคุณที่สำคัญกว่า...ผมอยากให้ความเป็นปกติของผม คือ มีคุณอยู่ข้างๆ เสมอ”
“ใครจะอยู่ข้างๆ กันได้ตลอดเวลาคะยส เราก็อาจต้องมีเวลาส่วนตัว เวลาทำงานพบกับคนอื่น หรือเวลา...”
“คนอื่นผมไม่รู้ แต่เวลาของผมต่อไปนี้จะมีให้คุณคนเดียว ไม่ได้อยู่ข้างๆกันแบบนี้ คุณก็อยู่ตรงนี้”
พยสแทรกขึ้นพร้อมกับกุมมือตรีประดับวางที่อก หวานได้อีก
ตรีประดับเขิน หลบสายตาวูบ ดื่มกาแฟแต่มีฟองนมติดปาก พยสใช้นิ้วเช็ดให้อย่างเบามือ

พัดชาดื่มกาแฟจู่ๆ เกิดสำลัก ไอแค่กๆ เทศราชยื่นทิชชู่ส่งให้ พัดชารับมาเช็ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ติดๆ กัน
เทศราชและพัดชาต่างคนต่างอมทุกข์ แต่พยายามไม่แสดงออกให้อีกฝ่ายได้รู้ แต่อาการซึมๆ เงียบๆ ก็ทำให้ทั้งคู่รู้ตัวว่ายังไงต้องมีอะไรบางอย่างในใจ
“เธอโอเคนะ”
“แล้วคุณเทศราชล่ะคะ พัดเห็นถอนหายใจหลายครั้งแล้ว”
“อากาศดีน่ะ ฉันเลยสูดลมหายใจบ่อยๆ
“แต่พัดว่าไม่ใช่”
“แล้วเธอล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
เทศราชมองพัดชา เหลือบที่เห็นที่มือมีรอยแดงที่ข้อมือ พัดชามองตามสายตา นึกถึงที่มาของรอยช้ำเพราะถูกเดฟจับมัดมือด้วยเชือกตอนข่มเหง พัดชารีบดึงชายเสื้อยืดแขนยาวปิดไว้
“ปิดบังความทุกข์ไว้ บางทีก็ใช้ได้เฉพาะเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนอื่น แต่กับตัวเอง เราหนีมันไม่พ้นหรอก ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเชิดหน้า เดินเข้าสู้กับมัน”
พัดชามองขาด “แต่ลักษณะคุณเทศราชตอนนี้ ไม่ใช่คนที่กำลังเดินเข้าสู้กับความทุกข์”
“เหมือนฉันกำลังหนีอย่างนั้นสิ”
คล้ายกับว่าเทศราชย้อนถามพัดชา แต่จริงๆ ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง คำตอบคือ ใช่ เขากำลังหนี ไม่อยากเห็นตรีประดับกับพยส
“ถ้ามันไม่ไหว ก็ต้องเลี่ยงสักพัก รอจนชีวิตตั้งหลักได้ ถึงตอนนั้นเริ่มต้นใหม่คงไม่สายไปหรอก”
พัดชานึกตาม ภาพในหัว มีแต่เหตุการณ์ที่ถูกพ่อบุญธรรมข่มเหงทำร้าย ผุดซ้อนขึ้นมาเป็นระยะ
“ถ้าเราแกร่งพอ สักวันเราจะหลุดพ้นใช่ไหม เราจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ใช่ไหม”
เทศราชมองพัดชา รู้สึกแปลกๆ ในน้ำเสียงเครือสั่น และแววตาที่เหมือนจะมีน้ำตาเอ่อท่วมคู่นั้น

ชีวิตของคนสี่คนกำลังเต้นไปตามจังหวะของใครของมัน เทศราชกับพัดชาอยู่ในท่วงทำนองเหงาเศร้า ส่วนพยสกับตรีประดับกำลังเริงแล่นอยู่ในทำนองของความสุข
กลีบดอกซากุระปลิวตามแรงลม ลอยคว้างลงมาต้องร่างพัดชาที่ยืนกอดตัวเองทำใจอยู่ลำพัง เทศราชเขียนๆ วาดๆ โปสการ์ดเล่นอยู่อีกมุม

ส่วนที่กรุงเทพฯ ตรีประดับและพยสเดินควงกันอย่างเปิดเผย สวีทหวาน
เสียงความคิดเทศราชดังก้องขึ้นในใจของเขา
“ชีวิตก็เท่านี้ เต้นระบำอยู่ในเพลงชีวิต คงจะมีสักครั้งที่เราหลุดจากทำนองปกติ ซึ่งมันอาจกระทบกับโน้ตตัวอื่นจนเสียสมดุล แต่ถ้าโน้ตของเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงใคร ชีวิตเขาเป็นปกติได้เมื่อไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ก็พยายามทำชีวิตเราให้มันเป็นปกติ”

เทศราชพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไปรษณีย์ ทำท่าจะหย่อนส่ง แต่แล้วก็เก็บโปสการ์ดไว้กับตัวเอง

ทางด้านพัดชาเดินมาถึงหน้าร้าน มือไม้สั่น จะทำยังไงกับชีวิตข้างหน้า หากเปิดม่านเข้าไปในร้านแล้ว คำปลอบของเทศราชดังก้องขึ้นในหูพัดชา

“อาจจะยาก แต่เชื่อเถอะ ถ้าวันนี้มันทุกข์ที่สุดแล้ว พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น เพราะความเจ็บปวดเดินทางมาถึงจุดที่ลึกที่สุดแล้ว เจ็บที่สุดแล้ว มันไม่มีวันเจ็บไปกว่านี้”

เทศราชเดินผ่านถนนมุมเดิมๆ ที่เขาเคยมากับตรีประดับ เห็นภาพตรีประดับกับพยสพรีเวดดิ้งตรงหน้า เทศราชเดินทะลุภาพนั้นซึ่งกลายเป็นเพียงเงาจางไป บอกเตือนตัวเอง
“ถ้าเราแกร่งพอ สักวันเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำแบบที่ไม่เจ็บไปกว่าเดิม”

พัดชาสูดลมหายใจ เดินหายเข้าไปในร้าน ได้ยินเสียงโวยวายเอ็ดตะโรของแม่บุญธรรมดังออกมา
“กลับมาแล้วเรอะ หายไปไหนมาทั้งคืน”
“ฉันไม่สบาย ไปโรงพยาบาลมา โอก้าซังอยากรู้ไหมว่าฉันเจออะไรมาบ้าง”
“พอเถอะ ไปพักซะ”
เพียงไม่นานนักที่หน้าร้านราเมนของยูอิ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบเช่นเดิม

พัดชาเข้าห้องพยายามค้นหากระเป๋าตังค์และพาสปอร์ต โดยสายตาคอยมองไปที่ประตูห้องอย่างระแวดระวัง หาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ พัดชาแปลกใจ
“ไม่มีทางที่ฉันจะลืมกระเป๋าตังค์กับพาสปอร์ตไว้ที่อื่น”
พัดชาหาแล้วหาอีก แทบจะปลิ้นดูทุกซอก กระเป๋าใบใหญ่ก็เทออกดู แต่ก็ไม่มี พัดชาฉุกคิด
“หรือว่า...เดฟ”

พัดชาย่องลงบันไดมาจากชั้นบน ระวังน้ำหนักเท้ากลัวว่าเดฟหรือยูอิจะตื่นขึ้นมา
พัดชาตรงมายังเคาน์เตอร์ที่ยูอินั่งประจำ ค้นดูทุกซอกมุมเพื่อหากระเป๋ากับพาสปอร์ต
เมื่อไม่เจอพัดชาจึงขยับมาค้นหาที่เคาน์เตอร์ของเดฟ แต่ยังไม่ได้เปิดตู้ที่เดฟเก็บของไว้ ก็มีเสียงคนเดินลงบันไดมา พัดชารีบหลบไปซ่อนตรงมุมมืดของร้าน
เป็นเดฟที่เดินลงมาที่เคาน์เตอร์ เปิดลิ้นชักเล็กที่ซุกกระเป๋าตังค์ พาสปอร์ตและโทรศัพท์พัดชาไว้ พัดชามองอยู่ เห็นทุกอย่าง ยิ่งแค้นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ตอนนั้น เดฟหยิบบางอย่างในนั้นล็อคกุญแจแล้วขึ้นข้างบนไป
พัดชาถลาไปที่ตู้เล็กๆ นั้น พยายามแงะ งัด เขย่า แต่ไม่ออก มีวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องเอากุญแจมาจากเดฟให้ได้ พัดชาหมดหวังสำหรับวันนี้

อีกวันหนึ่ง เทศราชเดินถ่ายภาพตามมุมต่างๆ ของศาลเจ้า เพื่อใช้ประกอบหนังสือ
สีหน้าเทศราชเศร้าหนักมาก บางช็อตแทบจะกดชัตเตอร์ไม่ลง แต่ก็กัดฟันถ่ายภาพต่อไป
เดินๆ อยู่ดันมองไปเห็นคู่รักเดินหวานใส่กันผ่านมาให้บาดหัวใจ เห็นลมพัดใบไม้ไหว ก็นึกถึงตรีประดับขึ้นมา
เทศราชเดินมาถ่ายรูปบรรยากาศในศาลเจ้า นึกถึงแต่ตรีประดับตอนถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่
เสียงพัดชาดังขึ้นในความคิดเทศราช
“คนเรา บางครั้งก็มีบางสถานที่ที่ไม่อยากกลับไป”
จังหวะที่พยสและตรีประดับสบตากันและกัน จนเทศราชเดินถอยหลังออกมา โดยไม่รู้ตัว
มันเป็นจริงดังที่พัดชาเคยพูดกับเขาว่า
“มีช่วงเวลาที่ไม่อยากเดินไปข้างหน้า”
ต่อมาเทศราชเดินเหงามาหยุดใต้ต้นซากุระที่ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่อย่างโดดเด่น มองแล้วก็นึกถึงภาพ พยสบรรจงจูบตรีประดับอย่างอ่อนหวาน
เสียงพัดชาดังก้องขึ้นมาในหูอีกคำรบ “มีความทรงจำข้างหลังที่ไม่อยากมองเห็นอีก”
เทศราชมืออ่อน ถ่ายรูปไม่ได้อีกแล้ว เก็บกล้องเข้ากระเป๋า ทรุดลงนั่งหน้าเศร้าให้ความเหงากัดกินใจ ใต้ต้นซากุระที่ยืนต้นโดดเด่นอย่างโดดเดี่ยวต้นนั้น

ที่กรุงเทพฯ รถหรูของพยสจอดที่หน้าตึกสำนักงาน พยสลงมาเปิดประตูให้ตรีประดับ มีพนักงานมารับรถไปจอดให้พนักงานที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นเริ่มมองซุบซิบกัน
“อุ๊ย คุณพยสมาใครมาด้วย”
พยสยื่นมือให้ควง ตอนแรกตรีประดับเขินๆ จนเขาต้องเป็นฝ่ายจับมือเธอมาวางบนแขนเขาเอง ตรีประดับมองตามสายตาสาวๆ ที่พากันมองมา มีทั้งชื่นชมยินดี บ้างเสียดาย สายตาอีกหลายคู่สงสัย
พยสพาเดินเข้าโถงอาคารอย่างสง่าผ่าเผย
“ผมพาคุณมาที่ทำงานผม เพื่อให้เห็นว่าผมจะเปิดเผยทุกอย่างกับคุณ”
“จริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะคะ ตรีไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว”
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะครับตรี ผมไม่มีเรื่องส่วนตัว มีแต่เรื่องของเรา”
“มันจะไม่มากไปหรือคะ ดูสิคนมองใหญ่แล้ว เขาอาจจะว่าไม่เหมาะสม”
“ใครว่า เรานี่แหละ สมกันที่สุด ที่คนมองก็เพราะเขาอิจฉาผมที่มีแฟนสวย”
พยสพาตรีประดับขึ้นบันไดเลื่อนไป ผู้คนมองจนแหงนคอตั้งบ่า
ตรีประดับอมยิ้มไปตลอดทาง เขินที่พยสโชว์ออฟตัวเอง กับเขินสายตาพนักงานที่จ้องมองมา

ประตูลิฟต์เปิดออก พยสและตรีประดับก้าวออกมา สาวๆ ที่ตามออกมาจากลิฟต์เลี่ยงไปจับกลุ่มเมาท์มอยสายตาจับจ้องที่ตรีประดับเขม็ง
ตรีประดับขำ “ตรีมาทำเรตติ้งคุณตกหรือเปล่าคะ”
“สำหรับผม ไม่มีผู้หญิงคนไหนสำคัญนอกจาก...”
พยสป้อนคำหวานไม่ทันจบคำ เสียงแปดหลอดของชินานางก็แหลมแหวกอากาศเข้ามาขัด
“ดาร์ลิง”
ชินานางปรี่เข้ามาแหวกตรีประดับออกไปห่าง โผเข้าไปกอดนัวเนียพยสเต็มที่
“โอ๊ย ไปไหนมาหลายวัน นางใจจะขาดแล้วนะคะ”
“คุณนาง ใจเย็นๆ ครับ”
“ไม่ยงไม่เย็นแล้วค่ะ พยสไม่อยู่ นางแทบบ้า นี่นางไม่เคยให้ความสำคัญกับใครขนาดนี้มาก่อนนะคะ”
ตรีประดับยืนนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ เธอนิ่งจนพยสเกรงใจ และชินานางสังเกตเห็น
“แล้วนี่ใครคะ ลูกความ? สำคัญหรือเปล่า? ไว้ก่อนได้ไหมเธอ”
พยสขัดขึ้น “คุณตรีประดับ คนรัก และว่าที่เจ้าสาวของผมเองครับ”
ชินานางมองเชิด “งั้นคุณคงแยกออก ระหว่างเรื่องงาน กับเรื่องส่วนตัว”
“ถ้าดิฉันทราบว่าคุณพยสมีลูกความรอปรึกษาอยู่ ดิฉันคงไม่รบกวนเวลาค่ะ เชิญนะคะ” ตรีประดับบอกพยสว่า “ตรีไปรอทางโน้นนะคะ”
ก่อนไปตรีประดับยิ้มให้ชินานางอย่างเป็นมิตรจนอีกฝ่ายเก้อ วางตัวไม่ถูก ไม่รู้จะข่มหรือจะยังไง
พยสเองยังทึ่ง ที่ตรีประดับไม่ได้มีท่าทีหึงหวงใดๆ ให้ปวดหัว

ชินานางยังเหล่มองผ่านกระจกในห้องทำงานพยส ไปดูท่าทีตรีประดับที่เห็นนั่งอยู่ในห้องรับแขก
“ยสไปรู้จักแม่ชีคนนั้นจากไหน”
“คุณนางครับ ที่คุณกอดผมแบบนั้นน่ะ ถ้าตรีเขาเป็นผู้หญิงขี้หึง ผมหูขาดไปแล้ว”
“เขาไม่หึงคุณ เขาอาจจะไม่ได้รักคุณก็ได้”
“ไม่จริงหรอก ตรีไม่ใช่คนอย่างนั้น ตรีแค่เป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ เท่านั้น”
ชินานางอ้อน “พยสมีเจ้าของแล้วแบบนี้ แล้วนางล่ะคะ จะเอานางไปไว้ที่ไหน”
“คุณก็พูดเล่นกับผู้ชายอย่างนี้ไปเรื่อย เรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้”
พยสวกเข้าคดีความ ชินานางเซ็งทันที
“นางจะทำยังไงดี เสี่ยเค้าอาจจะยอมหย่า แต่เค้าจะไม่ยอมให้เงินนางซักบาท”
“คุณเป็นแม่ของลูกเค้า ยังไงก็ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูได้”
“เค้าว่าเค้ามีหลักฐานไม่ให้นางได้เงิน”
“ผมดูสำนวนหมดแล้วนะครับ ไม่เห็นมีนี่”
ชินานางมีพิรุธขึ้นมา พยสมองหน้ารู้ทัน จับได้ทันที
“คุณนาง”
ชินานางกดมือถือเปิดคลิปไว้ยื่นให้ คลิปนั้นยินเสียงหญิงชายกอดจูบนัวเนียกัน เสียงผู้หญิงในคลิปฟังออกชัดเจนว่าเป็นชินานาง
พยสยิ้มขำ “อีกนิดเดียวสิบแปดบวกแล้วนะครับ”
“พยส นางกำลังร้อนใจนะคะ เออ ว่าแต่ คุณดูแล้ว ร้อนไหมคะ”

พยสส่ายหน้าขำ ชินานางชวนขึ้นเตียงตลอดๆ

ตรีประดับออกจากออฟฟิศพยสลงมาเดินเล่น พลางพิมพ์ข้อความไลน์ส่งหาเพื่อให้เขาทราบ

“ตรีลงมาเดินเล่นแถวละลายทรัพย์นะคะ คุณทำงานตามสบายค่ะ ไม่ต้องห่วง”
ตรีประดับเก็บโทรศัพท์ เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างตึก ลึกเข้าไปด้านใน
ขณะกำลังเดินเพลินๆ พลันมีเด็กวัยรุ่นชาย 2-3 คน วิ่งมาจากด้านหลัง เห็นตรีประดับขวางทาง เด็กคนหนึ่งเลยผลักออกข้างๆ แต่แรงพอที่จะทำให้ตรีประดับล้ม เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามวิ่งนำเพื่อนมา เห็นผู้หญิงล้มจึงเข้าช่วยเหลือ ปล่อยให้เพื่อนวิ่งตามคู่อริไปก่อน
เขาคือ ชิงฉัตร นักเรียนสุดเกรียนสุดหล่อ มุมปากแตกนิดๆ เหงื่อท่วม ส่งมือให้ตรีประดับจับ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
ตรีประดับจะลุกเอง แต่ไม่ไหว จำใจเกาะมือเด็กหนุ่มดึงตัวเองขึ้น ตรีประดับเห็นรอยแตกเลือดออกซิบๆ ที่ข้อนิ้วหนุ่มน้อย เดาออกว่าก่อนหน้านี้คงต่อยกันยับ
ระหว่างนี้เพื่อนชิงฉัตรตะโกนด่าท้าทายออกไป นักเรียนคู่อริหยุดวิ่ง หันไปคว้าข้าวของพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นมาใช้เป็นอาวุธ
นักเรียนคู่อริตะโกนตอบมาว่า “เอาไงว่ามา ไอ้ชิงฉัตร”
ชิงฉัตรเหลียวไปมองคู่อริ เพื่อนกับคู่อริ จ้องตาชี้หน้าแยกเขี้ยวใส่กันอยู่ ชิงฉัตรหันบอกกับตรีประดับว่า
“พี่หลบไปนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง”
“น้องคะ อย่ามีเรื่องเลย”
ชิงฉัตรยิ้มให้เชิงขอบคุณ ก่อนจะดึงตรีประดับไปวางแหมะไว้ที่มุมดูแล้วว่าจะปลอดภัย
ชิงฉัตรหันไปมองคู่อริ เดินสามขุมเข้าไปหา ตรีประดับมองเหตุการณ์อยู่
“มึงเหยียบตีนกู กูไม่ว่า แต่อย่าทำผู้หญิง กูไม่ชอบ”
“ผู้หญิงของมึงที่ไหน สัส” คู่อริคนแรกโต้
“มึงแย่งแฟนเพื่อนกู เอาเค้าแล้วเสือกประจาน ไอ้สันดาน” ชิงฉัตรด่า
“เด็กพวกมึง กูจะลากมาฟาดให้เรียบ” คู่อริคนเดิมยิ้มหยัน
ชิงฉัตรมองหน้าเพื่อน พยักหน้าให้กัน จากนั้นเข้าตะลุมบอนต่อสู้กับอีกฝั่ง คู่อริมีอาวุธเป็นไม้หน้าสาม มันฟาดลงมาสุดแรงชิงฉัตรหลบได้ คู่อริเสียหลักถลามาทางตรีประดับ
ชิงฉัตรรีบวิ่งเข้ามากัน ตรีประดับกลัวมาก
“พี่ หนีไป”
ตรีประดับมองทางหนีทีไล่ แต่คล้ายจะฝ่าออกจากวงล้อมกลุ่มเด็กตีกันลำบาก เพราะชุลมุนไปหมด คู่อริจะฟาดลงมาโดยไม่มองตาม้าตาเรือ จะโดนตรีประดับอยู่รอมร่อม ชิงฉัตรเอาตัวเข้ามาบัง
ตรีประดับตะลึงมองหน้าชิงฉัตรที่มองสบตามาพอดี ชิงฉัตรคว้าไม้หน้าสามเด็กคู่อริอีกฝ่ายได้
“พี่โอเคนะ”
ชิงฉัตรกะพริบตาให้ แล้วหันไปจัดการคู่อริต่อ
พวกชิงฉัตรเกือบจะเพลี่ยงพล้ำอยู่รอมร่อ
ตรีประดับได้สติ นึกบางอย่างออก เปิดแอพตำรวจในมือถือ เปิดเสียงไซเรน ร้องตะโกนออกไปว่า
“ตำรวจ”
เด็กคู่อริทิ้งอาวุธ โกยแน่บหนีไปทันที ชิงฉัตรมองตรีประดับสีหน้าฉงน
“พี่จะจับผมเหรอ”
ตรีประดับส่ายหน้าอึ้งๆ ตื่นเต้นอยู่ แล้วยกมือถือที่เปิดแอพตำรวจให้ดู ชิงฉัตรยิ้มทึ่ง นึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้
“เจ๋งว่ะพี่ พี่ชื่ออะไร”
ตรีประดับไม่ทันได้ตอบ เพื่อนก็ร้องขึ้น “เฮ้ย ไอ้ฉัตร พ่อมึงมาจริงๆ แล้ว”
ทุกคนมองไปเห็นพ่อค้าไปตามตำรวจมาจริง เพื่อนจะลากชิงฉัตรออกไป แต่ชิงฉัตรยังประทับใจตรีประดับไม่หาย ขอจับมือให้หายฟินก่อน
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ”
ชิงฉัตรดูในมือ พบว่าตรีประดับยัดยาหม่องใส่ให้ เด็กหนุ่มยักคิ้วให้ก่อนจะวิ่งหนีไปกับเพื่อน

พยสและชินานางคุยธุระเสร็จ เดินออกมาจากห้อง
“พยสขา จัดการเรื่องหย่าให้นางเร็วๆ นะคะ นางจะได้เป็นอิสระเสียที อีกหน่อยนางจะกอดยส ใครเห็นเขาจะได้ต้องเมาท์มั่วซั่ว”
“เรื่องคดีคุณ ผมจะรีบประสานให้ ส่วนเรื่องถึงเนื้อถึงตัวคนอื่นจนเป็นข่าว คุณนางคงต้องระมัดระวังมากๆนะครับ”
“กับพยส นางไม่ต้องระวังใช่ไหมคะ”
ตรีประดับก้าวเข้ามา สีหน้าท่าทางยังตื่นตกใจไม่หาย และไม่ได้สนใจท่าทางเกาะแกะของดาราช่อง 8 เท่าไหร่ พยสรีบแกะมือปลาหมึกของชินานางออก เมื่อเห็นตรีประดับหน้าซีด รีบผละไปประคอง
“ตรีครับ เป็นอะไรไป หน้าซีดเชียว”
“เจอนักเรียนตีกันค่ะ น่ากลัวจัง”
“โถ มานั่งนี่ก่อนนะ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า โดนลูกหลงมั้ย”
“ไอ้นักเรียนนักเลงนี่ น่าจับเข้าคุกให้หมดนะคะ” ชินานางบ่นบ้าขึ้น
“คุกไม่ได้แก้ปัญหาเสมอไปนะคะ เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยความรักความเข้าใจของพ่อแม่” ตรีประดับแย้ง
“แหม คุณตรี เคยเป็นแม่คนเหรอคะ” ชินานางนึกหมั่นไส้
“ก็ ไม่เคยค่ะ แต่ตรีคิดว่าสถาบันครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญ ที่จะประคองทั้งชีวิตลูก ชีวิตคู่ให้มั่นคงและอบอุ่น”
“อู๊ย อย่าโลกสวยมากเลยค่ะ ไม่มีอะไรมั่นคงหรอก แต่งได้ก็หย่าได้ ครอบครัวน่ะ มันก็สนุกตอนทำลูก พอมีลูกจริงๆ ต้องมาเหนื่อยนั่งเลี้ยง”
“แต่คุณชินานางก็มีลูก”
“เงินมีก็จ้างเข้าไปสิคะ พี่เลี้ยงน่ะ”
ตรีประดับเข้าใจความเป็นชินานาง คร้านจะทะเลาะหรืออธิบายความดีงามของสถาบันครอบครัวอีก ชินานางก็เช่นกัน ฟังแล้วเหมือนโดนเลกเชอร์วิชาสร้างเสริมครอบครัว
“ไปนะคะพยส อ้อ ยินดีด้วยนะคะที่จะแต่งงาน นางคงให้คำแนะนำอะไรไม่ได้มาก เพราะนางอยากหย่าใจจะขาดแล้ว เรื่องอย่างนี้ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า”
พยสเปิดประตูไปส่งชินานาง แล้วกลับมาดูแลตรีประดับ พลางถาม
“คุณจะกลัวไหมเนี่ย”
“กลัวสิคะ ไม่อยากเจอ” ตรีประดับตอบอีกอย่าง
พยสเข้าใจไปอีกอย่าง “นี่คุณเพิ่งเจอคุณชินานางครั้งแรก ฟังเธอพูดครั้งเดียว กลัวการแต่งงานแล้วหรือ”
“ฮื่อ ไม่ใช่สิคะ เรื่องนั้นไม่เกี่ยว ตรีหมายถึงเด็กนักเรียนตีกันน่ะ ลูกหลานใครนะ น่าเป็นห่วงจริงๆ”
พยสกุมมือตรีประดับ ยิ่งชื่นชมที่เห็นว่าคนรักมองโลกแง่งาม เป็นห่วงคนอื่นอย่างปราศจากอคติ

หลังจากหนีตำรวจมาได้ เด็กหนุ่มวัยรุ่นสี่คนก๊วนเพื่อนชิงฉัตร ยืนพิงกำแพงตรอก พักเหนื่อย บางคนนั่งอัดบุหรี่ เพื่อนๆ บ่นกันระงม
“ถ้าจับได้ ป๊าเอากูตายแน่”
“พวกมึงยังจิ๊บๆ ครั้งแรกไม่ใช่เหรอ ไอ้ฉัตรสิ ถ้าโดนตำรวจซิวรอบนี้...”
ชิงฉัตรรู้ตัวดี “กูคงโดนไล่ออกจากโรงเรียน ครั้งก่อนๆ ก็โดนทัณฑ์บนไว้”
“แล้วเสือกมามีเรื่องใกล้ที่ทำงานอามึงด้วยสิ ฮ่าๆ” เพื่อนรายที่สามหัวเราะ คนอื่นขำกลิ้ง
ชิงฉัตรเงยหน้าขึ้นมองตึกออฟฟิศสูงเสียดฟ้าข้างๆ ที่แท้เขาเป็นหลานชายของ พยส
“ถ้าอากูรู้ เค้าไม่ช่วยกูแน่ เค้าเป็นทนาย คงจับกูยัดเข้าคุกซะเองไปเหอะมึง อยู่แถวนี้เสียวหลังชิบหาย”

ชิงฉัตรพ่นควันสุดท้าย แล้วทิ้งบุหรี่ลงพื้นถ่มน้ำลายปรี๊ด บอกกลายๆ ว่าเหม็นหน้าอาตัวเองเอามากๆ เพราะพยสเข้มงวดมาก

ที่เมืองนาริตะ ญี่ปุ่น เทศราชเดินหัวเสีย จะถ่ายงานอะไรก็ไม่ได้ ยกกล้องขึ้นวัดแสงก็ดันยืนผิดมุม แสงแยงเข้าหน้า จนตาพร่ามัวไปหมด ในหัว มีแต่ภาพตรีประดับเต็มไปหมด

ในความว่างเปล่าของหัวสมอง มีเสียงกึ่งด่ากึ่งให้กำลังใจของพยางค์ดังขึ้น
“ถ่ายรูปต้องใช้สมาธิ ความรู้สึกอะไรที่รบกวนใจอยู่ ถ้าทิ้งไม่ได้ ก็ให้มันเป็นพลังแล้วถ่ายทอดภาพของแกออกมา เอาให้คนมองภาพแล้วเห็นเลยว่า ไอ้นี่มันเหงา มันเจ็บ มันจะตายนะ แต่มันก็ยังต้องสู้ ต้องมีลมหายใจ ต้องมีพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม เข้าใจนะเทศราช”

เทศราชยืนล้างมืออย่างสำรวม วักน้ำบ้วนปาก เขาเอาน้ำลูบหน้า
“ถ้าวันนี้มันทุกข์ที่สุดแล้ว พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น เพราะความเจ็บปวดเดินทางมาถึงจุดที่ลึกที่สุดแล้ว เจ็บที่สุดแล้ว มันไม่มีวันเจ็บไปกว่านี้”
ในแสงแดดที่ลอดทอลงจากเบื้องบน เทศราชสูดลมหายใจจนเต็มปอด เชิดหน้าขึ้น

ทุกอย่างในร้านเงียบเป็นปกติ พัดชาทำงานไป พยายามชำเลืองมองไปที่ลิ้นชักเล็กตรงเคาน์เตอร์ของเดฟ รอจังหวะที่เดฟเผลอ
“เธอเป็นอะไรนัก ลุกลี้ลุกลน” ยูอิถามเสียงขุ่น
“ขอโทษค่ะ โอก้าซัง ฉันจะตั้งใจทำงาน”
“แล้วที่เจ็บๆ ไปโดน...”
เดฟกระแอมมาจากในครัว
“พัดจัง เอาหัวหอมมาให้หน่อย”
“ค่ะ”
พัดชาไปหยิบหัวหอมไปให้ รู้ว่าที่เดฟขัดจังหวะเพราะไม่อยากให้บอกอะไรยูอิ พัดชานึกรู้ว่าเธอมีไพ่อยู่ในมือเช่นกัน
“อย่าให้ฉันต้องกำราบเธออีก”
“ฉันก็อยากรู้ว่าถ้าโอก้าซังรู้ จะเป็นยังไง”
“เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ และเธอจะไม่มีอนาคต เพราะเธอไม่มีสมบัติอะไรสักอย่างติดตัว” เดฟปรามาส
พัดชานิ่งไป ยูอิเดินผ่านมา มองเป็นคำถามว่ามีอะไรกัน พัดชาเลี่ยงไปเก็บจาน เดฟหน้านิ่งเป็นปกติ ชนิดที่ยูอิไม่เคยสงสัยสามีตัวเอง

ในรถที่ขับแล่นมา พยสเอื้อมมือมาพยายามจะกุมมือตรีประดับ
“เดี๋ยวตำรวจจับนะคะ ขับรถต้องระวัง”
“ตรีโกรธผมหรือเปล่า”
“ตรีจะโกรธพยสเรื่องอะไรคะ”
“ก็ คุณชินานาง”
“โธ่ ไม่เห็นมีอะไรเลย ตรีเห็นในทีวี คุณชินานางเธอก็ดูหวือหวาเหมือนกันเลย ตรีว่าเธอตรงไปตรงมานะคะ คิดอะไรพูดอย่างนั้น”
“คุณไม่หึงสักหน่อยเลยเหรอ”
“จะหึงทำไมล่ะคะ พยสทำอะไรให้ตรีต้องหึงล่ะ”
คราวนี้ตรีประดับเป็นฝ่ายวางมือบนมือพยส แค่นี้พยสก็โล่งอก สุขใจ
“นี่ผมมีแฟนเป็นคนใจกว้าง ใจเย็น หรือว่าไร้ความรู้สึก”
“บ้า สงสัยมากๆ เดี๋ยวจะฉุนละนะ”
“เออ เท่าที่รู้จักกันมา ผมยังไม่เคยเห็นคุณโกรธเลยนะ”
“ถ้าตรีโกรธ คุณจะเซอร์ไพรส์”
“ไม่เอาดีกว่า วันนี้ให้ผมเซอร์ไพรส์คุณก่อน”
ตรีประดับงง อะไรอีกเหรอ

บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า ดูออกว่าพยสเพิ่งซื้อ เพราะยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย มีเฟอร์นิเจอร์สองสามชิ้นบริเวณห้องรับแขก พยสพาตรีประดับที่ผูกผ้าเช็ดหน้าปิดตาเดินเข้ามาในโถงบ้าน
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ผมไปจัดการอะไรนิดหน่อย”
พยสเดินขึ้นบันไดไป ผลุบหายเข้าไปที่ห้องๆ หนึ่ง
ระหว่างนี้บุพชาพี่สาวของพยสเดินสำรวจบ้านอยู่ เจอเข้ากับพยสที่หันหลังง่วนเตรียมจัดกรอบรูป
“ซื้อบ้านใหม่ไม่บอกกันบ้างเลยนะยะ เอาซะหรูเชียว”
พยสถอนหายใจแทบไม่ทัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างเขากับพี่ น้อง ไม่ค่อยดีนัก ไม่ใช่ครอบครัวอบอุ่น
“พี่ชา มายังไงเนี่ย แล้วรู้ได้ยังไง”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากยุ่ง แต่ยัยณาน่ะสิ สอดไม่เข้าเรื่อง”
บุพชาสอดส่ายสายตาดูทุกมุม เดินมาถึงห้องนอนใหญ่ มีเตียงขนาดคิงไซส์ตั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ตกแต่ง
ตรีประดับอยู่อีกมุม ได้ยินเสียงคนคุยกัน เลยลดผ้าปิดลง เดินตามเสียงมา
ที่ห้องนอนใหญ่ อรณาน้องสาวพยสกำลังกระโดดเด้ง ทดสอบเตียง ท่าทางชอบใจใหญ่ เทศราชแทบจะลากลงมา แต่ห้ามน้องไม่ได้
“เตียงใหญ่มาก คือดี เหมาะ...” สาววัยใสคิดไปแต่เรื่องนั้น “พี่ยสซื้อไว้พาหญิงมาเด้งๆ ล่ะสิ”
บุพชาแขวะน้องสาว “ระริกเชียวนะยัยณา”
“พี่ชา ผมขอ บ้านหลังนี้ผมจะเอาไว้เป็นเรือนหอ เตียงนั่นผมก็ยังไม่เคยใช้”
พยสพยายามปรามให้พี่กับน้องเบาเสียงลง แต่ไม่มีใครสนใจ
บุพชาที่กำลังจะลากอรณาลงจากเตียง อดสงสัยท่าทีนั้นไม่ได้ นั่งลงในเตียงอีกคนซะเลย
“ทำไมยะ ถือ? แกคิดว่าแกจะให้ใครมาปูเตียงให้ พ่อแกก็มีเมียน้อย พี่สะใภ้ พี่เขยแก ผัวชั้น มีชู้ทุกคน นังน้องสาว” บุพชาปรายตามองอรณา “ก็แรดไม่เหลือดี มันไม่อยู่ที่เตียงหรอกชั้นจะบอกให้ มันอยู่ที่สันดานคนนอนเตียง
ตรีประดับยืนอยู่หน้าห้อง ได้ยินทั้งหมด
“บ้านเรามันนอกใจอยู่ในสายเลือด” บุพชาว่า
อรณาพยักพเยิดเห็นด้วย “นั่นสิ เห็นข่าวพี่กับยัยดาราชินานางแล้วเสียวดีเหมือนกัน”
“แกคิดว่าแกจะรอดเหรอ นายพยส” บุพชายิ้มเยาะ
ตรีประดับเดินมาหยุดตรงหน้าประตูห้อง ได้ยินทุกอย่าง ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น จนพยสหันไปเห็น
“ตรี”

พยสหน้าเสียเห็นถนัดตา กลัวว่าตรีประดับจะไม่ชอบพี่น้อง ตลอดจนสาแหรกของเขาที่โดนขุดขึ้นมา
 
อ่านต่อ ตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น