ระบำไฟ ตอนที่ 1
กลีบดอกซากุระหลุดจากขั้ว ร่วงหล่นปลิวไหวตามแรงลมที่พัดโหมมารอรับ เกลียวลมหมุนวนนำพากลีบซากุระสีชมพูสวยเริงระบำไปในอากาศ กลีบแล้วกลีบเล่า
บริเวณลานกว้างกลางสวนญี่ปุ่นแห่งนี้ บรรยากาศร่มรื่น ดอกไม้บานสะพรั่ง ลมพัดมาอ่อนๆ พากลีบดอกไม้ลอยปลิวเป็นระลอก คอยต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่แวะมาเยือนโดยไม่รู้เหนื่อย
บนศาลาพักร้อนในสวนสวย มีหญิงสาวคนหนึ่งละเลียดสายตาอ่านหนังสืออยู่ หน้าปกเป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อเรื่องแปลไทยได้ว่า “ระบำแห่งความรัก” หนังสือที่ยกสูงบังใบหน้าค่อยๆ ลดลงมา เผยให้เห็นว่าเป็น “ตรีประดับ” นักแปลนิยายสาวสวยของแวดวงวรรณกรรม
ตรีประดับ เงยหน้าจากหนังสือ เห็นกลีบซากุระลอยลิ่วตามแรงลมปลิวมาตรงหน้า หล่อนยื่นมือรองรับกลีบบางๆ มา คลี่ยิ้มอ่อนๆ ประดับวงหน้าสวยหวาน
ตรีประดับวางกลีบซากุระนั้นไว้ในหน้าหนังสือที่กำลังอ่าน เหมือนกับจะทับเก็บไว้จนแห้ง แล้วไล่นิ้วมืออ่านทีละประโยค ละเลียดสายตากับทุกอักษร และเริ่มแปลความ โดยเขียนจดลงสมุดบันทึก พลางทวนและแก้ไข
“ฤดูใบไม้ผลิ สวนสวยสะพรั่ง ลมพัดเอื่อยๆ มีเสียงซามิเซ็ง...”
ดูออกว่าตรีประดับยังไม่ถูกใจ หล่อนแปลใหม่ เน้นอารมณ์และความรู้สึก โดยยังคงความหมายเดิม
“กลางสวนสวยในฤดูใบไม้ผลินั้น เสียงซามิเซ็งพลิ้วอยู่ในทำนองลมพัด...กลีบดอกไม้โบยบิน...”
ตรีประดับหยิบกลีบดอกซากุระที่ลอยมาเมื่อครู่ เป่าออกไปในอากาศให้ดอกไม้โบยบิน
กลีบซากุระลอยละล่องอยู่ในอากาศ
กลีบซากุระที่ลอยอยู่ในอากาศกลางสวน ลอยลิ่วไปยังห้องๆ หนึ่งที่เปิดประตูเลื่อนออกทุกบาน แลเห็นเกอิชาสาวนางหนึ่งกำลังร่ายรำต่อหน้าลูกค้า เกอิชาอีกคนดีดซามิเซ็งให้จังหวะแผ่วพลิ้ว บรรดาลูกค้ามองด้วยสายตาชื่นชม
เสียงตรีประดับอ่านทวนคำแปลดังขึ้น
“กลีบดอกไม้โบยบินในสายลมแผ่วพลิ้วนั้น ไม่ต่างจากหัวใจฮารุมิ เกอิชาสาวประจำสำนักเกอิชาแห่งกิอง”
เกอิชาสาวอิซาโอะ หมุนตัว พัดที่ปิดหน้าอยู่ค่อยๆ ลดลง เผยให้เห็นว่าเป็นตรีประดับ
ตรีประดับมโน และเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมเล่มนี้ เช่นเดียวกับผลงานเรื่องอื่นๆ ของหล่อน
“นานแล้วที่หัวใจฮารุมิไม่เคยโบยบินแบบนั้น”
ตรีประดับแปลหนังสือต่อ พิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์
หน้าจอ บนหัวกระดาษมีเขียนว่า
“ระบำแห่งความรัก”
ผู้แต่ง Hana Maruyama (ฮานะ มารุยามา)
ผู้แปล ตรีประดับ
ด้านล่างไล่ลงมา เป็นเนื้อหาหนังสือที่แปลบทแรก จนกระทั่งมาถึงบรรทัดที่ว่า
“นานแล้วที่หัวใจฮารุมิไม่เคยโบยบินแบบนั้น...” เคอร์เซอร์ชี้ตำแหน่งอักษรบนจอกระพริบค้าง
ตรีประดับอ่านทวน นิ่งคิดอีกนิดหนึ่ง จึงพิมพ์ต่อ
“นานแล้วที่ผีเสื้อในหัวใจไม่ได้ขยับปีก...”
ฮารุมิเริงระบำสวยงาม คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้ลูกค้า ฮารุมิร่ายรำสวยงาม หมุนตัวไปกระทั่งมองออกไปทางสวนพลันแววตาระยิบระยับเป็นประกาย
“นานแล้วที่ผีเสื้อในหัวใจไม่ได้ขยับปีก กระพือชีวิต”
ฮารุมิร่ายรำอยู่ที่ห้องริมสวน โดยที่กลางสวน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านแนวไม้ในสวนสวยมาช้าๆ ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ภายใต้ใบหน้าแต่งแต้มสีสันแลดูบริสุทธิ์หมดจด ในรอยท่วงทำนองร่ายรำแช่มช้อย เนิบช้า หัวใจฮารุมิกลับเต้นเร่าเมื่อเห็นชายหนุ่มก้าวเข้ามาในสวนนั้น”
ตรีประดับทำงานแปลของหล่อนไปอย่างลื่นไหล
สายตาวาววับสะท้อนแสงจากหน้าจอ แลเห็นความกระตือรือร้นอยู่เต็มเปี่ยม ปากขยับพูดทวนคำแปลไปด้วย พร้อมๆ กับนิ้วมือรัวบนแป้นพิมพ์
“นานมาแล้วที่เธอเคยพบเขา นานมาแล้วที่เขาก้าวเข้ามาในสวนแห่งหัวใจ พาผีเสื้อและฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานในใจฮารุมิ”
ในสวนสวย ชายหนุ่มกำลังก้าวเดินมาเรื่อยๆ ท่ามกลางผีเสื้อบินวน กลีบดอกไม้ลอยฟุ้ง เดินตรงมาที่ห้องจัดเลี้ยงริมสวนนั้น เสียงซามิเซ็งของงานเลี้ยงจบลง
ฮารุมิร่ายรำจบเพลง โค้งคำนับให้ ลูกค้าปรบมือ อิซาโอะโค้งรับแล้วเคลื่อนตัวจะออกจากห้อง
ชายหนุ่มคนดังกล่าวเดินมาถึงหน้าห้อง ยื่นมือให้ฮารุมิ ในสีหน้านิ่งเฉย แต่หัวใจฮารุมิเต้นไม่เป็นส่ำ กระทั่งเสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ไปดูผีเสื้อที่ทุ่งโคลเวอร์ตรงโน้นกันไหม”
ฮารุมิมองมือชายหนุ่มอย่างชั่งใจ สุดท้ายตัดสินใจวางมือลงในมือของเขา
เกอิชาสาวสวยฮารุมิ เดินเคียงคู่ชายเข้ามาหนุ่มในสวนสวน รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มมองใบหน้าเธอตลอดเวลา แต่ฮารุมิไม่หันไปมองสบตา
ฮารุมิระงับความเขิน และหัวใจเต้นรัวด้วยการมองต้นไม้ดอกไม้แทน
“หาใบโคลเวอร์สี่แฉกด้วยกันนะคะ”
ฮารุมิเชื้อชวนพลางสอดตามองหา แต่ยังไม่เจอ ทุ่งโคลเวอร์ก็ไม่มี เธอเริ่มผิดหวัง
“ที่นี่ไม่มีต้นโคลเวอร์...”
ขณะที่ฮารุมิกำลังก้มลงหาโคลเวอร์อยู่นั้น สร้อยคอมีจี้ทรงใบโคลเวอร์สี่แฉก ห้อยอยู่ตรงหน้า
เสียงตรีประดับบรรยายดังขึ้น
“ฮารุมิหัวใจหวั่นไหว สิ่งที่ถวิลหาลอยอยู่ตรงหน้า ฮารุมิเฝ้าฝันว่าใบโคลเวอร์สี่แฉกนั้น จะนำพาความรักและความโชคดีมาให้”
ชายหนุ่มยื่นสร้อยส่งให้ รอให้เธอรับ ฮารุมิใจสั่น ตื่นเต้น สายตาวิบวับ
รุ่งเช้า ต้นฉบับแปล ปึกกระดาษหนาประมาณหนึ่งอยู่ในมือตรีประดับ กระดาษแผ่นแรกมีชื่อเรื่องภาษาญี่ปุ่น และตัวอักษรไทย “ระบำแห่งความรัก” บทที่ 1 แปลโดย ตรีประดับ
ตรีประดับเปิดอ่านหน้าสุดท้ายอยู่ แววตาระยิบระยับ
“สร้อยคอโคลเวอร์...สร้อยแห่งความรักเหรอ...”
ตรีประดับนิ่งนึกถึงสร้อย จนมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดึงหล่อนออกจากห้วงคิดนั้น
ยิ่งเห็นหน้าจอ มีชื่อ “พยส” เป็นคนโทร.มา ตรีประดับยิ้มกว้าง รีบรับสาย
“ว่าไงคะพยส”
อีกฟากหนึ่ง
บนชั้น 32 ของอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของสำนักงานบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ผนังด้านหนึ่งของห้องทำงานอันโอ่อ่าทันสมัยเป็นกระจกทั้งแถบตามแนวอาคาร ประกายเพชรสะท้อนแสงที่สาดเข้ามากะทบ ฉายความระยิบระยับออกมา
จี้เพชรสุดหรูดังกล่าวประดับอยู่กับสร้อยทองคำขาว ซึ่งห้อยอยู่ในมือ "พยส" เขากำลังมองสร้อย พลางนึกถึงตรีประดับ
“กำลังทำอะไรอยู่ครับตรี”
ทนายความหนุ่มหล่ออยู่ในชุดสูทเนี้ยบ คัพลิงค์สุดเท่กลัดที่แขนเสื้อ เขาพิงโต๊ะคุยโทรศัพท์ มองวิวข้างนอกหน้าต่างจากห้องทำงานบนตึกสูงระฟ้ากลางกรุงเทพฯ ส่งใจไปถึงหญิงคนรักที่อยู่ญี่ปุ่น
“นึกถึงผมบ้างหรือเปล่า”
ตรีประดับเดินคุยโทรศัพท์อยู่ท่ามกลางสถานที่สวยงาม ถึงกับหยุดเดิน เขิน ไม่คิดว่าพยสจะพูดคำนี้
“แล้วพยสทำอะไรอยู่คะ”
พยสกำลังจะตอบ แต่หันไปเห็นเลขาฯ เคาะประตูแล้วเข้าห้องมาพร้อมสีหน้าท่าทางหนักใจและวิตกมาก
“คุณพยศคะ”
พยสพยักหน้ารับรู้ คุยโทรศัพท์ต่ออีกหน่อย ก่อนวางสาย
“ผมกำลังคิดว่าอยากไปหาคุณที่โน่น แต่งานเยอะมาก คงไปไม่ได้”
เสียงตรีประดับดังลอดออกมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ อีกอาทิตย์ตรีก็กลับ แล้วเจอกันนะคะ”
“ครับ แล้วพบกัน”
พยสวางสาย หันไปทางเลขา ผู้ซึ่งยืนแบกโลกอยู่
“จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ผมด้วย คืนนี้เลย”
“ได้ค่ะ...แต่ว่า”
พยสกำลังเก็บสร้อยลงกล่อง ได้ยินน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความกังวลใจของเลขา เขาเงยหน้ามอง เดาได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่
พยสเดินนำเลขาเข้ามาในห้องประชุมของออฟฟิศ มีหลายคนรอเขาอยู่แล้ว เผด็จ ลูกความของพยสซึ่งรออยู่ โยนแฟ้มบางๆ ในมือใส่เขาทันทีด้วยความโมโห แต่พยสคว้าแฟ้มไว้ได้มาดอย่างเท่ ถามผู้มาเยือนด้วยสีหน้าเรียบ
“คุณมาเพราะโมโห ที่ผมยกเลิกสัญญาที่คุณจะขายบริษัทของคุณให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศนั้น”
เผด็จตบโต๊ะปัง สีหน้าเดือดดาลถึงขีดสุด
“ใช่ คุณเป็นที่ปรึกษาการเงินของบริษัทผม เป็นทนายความให้ผม ไม่ใช่เป็นเจ้าของบริษัทผม”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น “คุณเผด็จ ผมแนะนำให้คุณจ้างที่ปรึกษาการเงินคนใหม่ แล้วเรามาตกลงข้อซื้อขายกัน”
พยสมองข้ามโต๊ะไป เห็นพิชัยเจ้าของคำพูด ตัวแทนบริษัทใหญ่กับทนายนั่งข้างกัน ท่าทางผยองทั้งคู่ พยสยิ้มเยือกเย็น ไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ
“ก่อนจะตกลงซื้อขายกัน ดูนี่ก่อนไหมครับ”
พยสรับแฟ้มมาจากเลขา สองแฟ้ม หน้าตาเหมือนกัน เลื่อนให้เผด็จ และอีกแฟ้มแทบจะปาใส่ฝ่ายตรงข้าม
“คุณพิชัย” พยสมองจ้องหน้าฝ่ายตรงข้าม “คุณเป็นถึงผู้จัดการบริษัท คุณรู้ข้อมูลว่าจะเข้าซื้อหุ้น 59 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทลูกความผม ซึ่งมันจะทำให้หุ้นบริษัทคุณเพิ่มมูลค่าในตลาดหุ้น คุณก็เลยแอบไปช้อนซื้อหุ้นเก็บไว้เก็งกำไร ทั้งในชื่อตัวเอง และชื่อนอมินี”
เผด็จที่เพิ่งอาละวาด มองพยสอย่างนับถือ และหันไปมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างโกรธแค้น
ทนายความของพิชัย มองหน้าลูกความแทบไม่เชื่อสายตา
พยสกลายเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า ท่าทางหยิ่งนิดๆ ดูแคลนหน่อยๆ อันเป็นเอกลักษณ์ นั่นทำให้พิชัยเดือดดาลมาก
“ถือเป็นการใช้ข้อมูลวงใน เข้าซื้อขายหุ้น ผิดทั้งจรรยาบรรณ แถมยังโดนปรับ ชื่อเสียงบริษัทคุณจะฉาวโฉ่ ไม่มีใครเชื่อถือเรื่องธรรมาภิบาล นั่นยิ่งกระทบบริษัทลูกความผม ผมจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงที่ลูกความผมสั่งสมมากว่า 50 ปี ต้องเสียไปเพราะความโลภของคุณ”
พิชัยอายมาก รีบลุกหนีออกไปเลย ทนายความฝั่งพิชัยเสียหน้าเอามากๆ ยื่นมือมาขอจับมือพยส
“ขอบคุณมากคุณพยส ที่ใครๆ ว่าคุณเป็นที่ปรึกษาการเงินที่เก่งระดับประเทศ ผมเชื่อแล้ว”
“ด้วยความยินดีครับ”
ทนายออกไปแล้ว เผด็จลูกความขี้โมโหหันมามองพยส สีหน้าผิดไปจากเมื่อแรกที่ฟาดงวงฟาดงาใส่ลิบลับ
“ขอบคุณมาก คุณพยส แต่แผนระดมทุน ขายหุ้นบริษัทผมคงล้มแล้วสินะ”
“อย่าลืมสิครับ สำหรับผม ไม่มีอะไรเป็นไปไมได้ ผมหาข้อเสนอที่ดีกว่าให้คุณแล้ว”
พยสยื่นอีกแฟ้มให้ เผด็จเปิดดู แล้วยิ้มกว้างออกมา หันมาบีบไหล่เชิงขอบคุณพยส
พยสเดินมาดเท่ออกจากห้องทำงานมา เขาหยุดมองผ่านกระจกห้องรับรองแขกเข้าไป เห็นสาวสวยคนหนึ่ง ในท่วงท่าสุดเซ็กซี่นั่งไขว่ห้างอยู่ ยิ้มหวานส่งสายตายั่วยวนมาให้เขา พยสยิ้มตอบอย่างสุภาพ ก่อนหันมาที่เลขาฯ ตั้งคำถามด้วยแววตา
“ลูกค้าคนใหม่ค่ะ เธออยากให้คุณว่าความคดีฟ้องแพ่ง”
“คุณไม่ได้บอกหรือว่าผมไม่รับว่าความคดีทั่วไป”
“เลขาคุณบอกแล้วค่ะ”
สาวสวยนางนั้นลุกเดินเข้ามาประชิดพยส มือทาบลงที่แขน
“แต่ฉันมีข้อเสนอที่ดีจนคุณต้องสนใจ”
พยสมองกิริยานั้นแว่บเดียว หากเป็นผู้ชายอื่นคงเคลิ้มไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเขา พยสปลดมือหญิงสาวออกอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้”
พยสไม่สนใจสาวสวยนางนั้นอีกเลย ปล่อยให้เจ้าหล่อนเงิบ เสียหน้า เสียจริตไปเลย เดินกลับมานั่งที่โต๊ะคุยกับเลขา
“เรื่องที่ผมให้ไปจัดการ เรียบร้อยมั้ย”
เลขาวางตั๋วลงตรงหน้า
“แล้วเรื่องอื่น”
“มีเอกสารรอเซ็นค่ะ แล้วก็บ่ายมีประชุมกับบริษัทคู่ค้าจากญี่ปุ่น”
พยสวางกล่องสร้อยเพชรลง เซ็นเอกสาร เลขามองกล่องแล้วยิ้ม สาวสวยมองตะลึง
“ญี่ปุ่นเหรอ...พอดีเลย”
พยสเซ็นเอกสารเรียบร้อย หยิบตั๋วกับกล่องสร้อย ลุกเดินออกไป หญิงสาวนางนั้นได้แต่มองตาละห้อยตามอย่างเสียดาย
พยสกำลังเดินออกจากสำนักงาน ผ่านแผนกต่างๆ สาวๆ แอบมองเขาอย่างชื่นชม กับมาดสุดเนี้ยบ เท่ สมาร์ทของทนายชื่อดัง
เมื่อพยสเดินเข้าลิฟต์ สาวๆ พากันตะลึง พยสกดลิฟต์ให้ด้วยมาดสุภาพบุรุษ
พยสก้าวออกจากลิฟต์ สวนกับหญิงคนหนึ่งที่เดินมาโดยไม่ทันระวัง พยสช้อนตัวเธอไว้ได้ โดยไม่ให้ล้ม พลางช่วยประคอง ส่งแฟ้มเอกสารให้
ยามหน้าประตูตะเบ๊ะให้เขา พยสผงกหัวรับอย่างไม่ถือตัว
คนขับรถเอารถสุดหรูมาจอดเทียบรอที่หน้าตึก ยื่นกุญแจให้ พยสเห็นคนขับแต่งตัวไม่เรียบร้อย จึงขยับเนกไทให้ คนขับเก้อไปนิดๆ พยสตบไหล่เป็นทำนองให้กำลังใจ
“ขอบใจนะ”
พยสขึ้นรถ แล้วขับออกไปในท้องถนน
ที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ผู้คนกำลังคร่ำเคร่งทำงานในหน้าที่ใครมัน ฝ่ายศิลปกรรมตรวจปรู๊ฟปกอยู่ อีกมุมหนึ่ง มีคอกทำงานกั้นเป็นสัดส่วนจากคนอื่นๆ บนโต๊ะและพาติชั่นบอร์ดมีภาพถ่ายสวยๆ แปะอยู่หลายภาพ เก้าอี้นั่งว่างเปล่า
พยางค์ หนุ่มใหญ่ บรรณาธิการและเจ้าของสำนักพิมพ์แห่งนี้ เดินอ่านปึกกระดาษต้นฉบับแปล บนหน้าปกเป็นชื่อ “ระบำแห่งความรัก” แปลโดย ตรีประดับ พยางค์เดินตรงเข้ามาทางโต๊ะดังกล่าวพลางโทรศัพท์ไปด้วย
“ครับคุณตรีประดับ ผมได้รับต้นฉบับนิยายญี่ปุ่นที่คุณแปลแล้วนะครับ สำนวนดีมากเลย รีบแปลให้จบนะครับ ผมจะลงแบบรายปักษ์ให้ก่อนแล้วค่อยรวมเล่มทีหลัง ที่จริง ผมอยากได้ภาพประกอบสวยๆ ด้วย”
พยางค์เดินมาหยุดที่โต๊ะ แต่ไม่มีคนนั่งอยู่ มองดูภาพถ่ายที่ติดแปะไว้ทั่ว มองซ้ายขวาหาเจ้าของโต๊ะ คุยสายต่อ
“เอางี้ครับคุณตรี....ถ้าผมติดต่อตากล้องได้ จะให้มันติดต่อคุณตรีเพื่อคุยรายละเอียดนะครับ”
พยางค์วางสาย มองหาตากล้องไม่เจอ เริ่มหงุดหงิด
“ใครเห็นช่างภาพโต๊ะนี้บ้าง”
ทุกคนทำงานตัวเองไป โดยไม่สนใจตอบ จนพยางค์เสียงดังขึ้น ประสาเจ้านายจอมวีน ปากร้ายใจดี
“ใครเห็นไอ้ตากล้องตัวแสบโต๊ะนี้บ้าง”
ทุกคนเงยหน้า เงียบกริบ เมื่อไม่ได้คำตอบพยางค์รีบกดโทรศัพท์โทร.ออก รอสายสักพักแต่ไม่มีคนรับ พยางค์โมโห ส่งสติ๊กเกอร์รูประเบิดรัวๆ ไปทางไลน์ ตากล้องตัวแสบคนนั้น
จู่ๆ ที่หน้าจอ มีรูปส่งตอบกลับมาทางไลน์ เป็นวิวทิวทัศน์ของญี่ปุ่นสวยงามมาก พยางค์กดเปิดดูงงๆ
ภาพถ่ายเหล่านั้นถูกส่งมาจากสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อ และสวยงามของญี่ปุ่น
หนึ่งในนั้น เป็นภาพทางเดินระหว่างต้นไม้ใหญ่บริเวณวัดคาโตริ ซึ่งแสงลอดต้นไผ่เป็นลำ
ซึ่งตรงกลางทางเดิน ชายหนุ่มมาดเท่คนหนึ่งกำลังเงยหน้าเล็งมุมถ่ายภาพ แสงส่องลงตรงหน้าเขาพอดี “เทศราช” ตากล้องตัวแสบคนนั้น ลดกล้องลงมองวิวฟายเดอร์ ด้วยใบหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
เทศราชหันไปถ่ายรูปต่ออย่างชำนาญ
อีกมุมหนึ่ง สถานที่สวยงามแนวธรรมชาติ เทศราชตั้งกล้องถ่ายรูปเพื่อได้ภาพคมชัดมากขึ้น มีสัญญาณมือถือสั่นดังระรัว เทศราชล้วงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง เปิดเสียงลำโพง กดรับ แล้ววางโทรศัพท์ไว้อย่างไม่ใยดี เล็งภาพต่อไป ยินเสียงพยางค์เอ็ดตะโรดังลั่น
“เอ็งไปญี่ปุ่นทำไมไม่บอกก่อน ไอ้...” พยางค์ด่าเป็นชุด
เทศราชสะดุ้ง รีบปิดเสียงลำโพงเพราะเกรงใจคนอื่น เทศราชฟังเฉยๆ ไม่ยี่หระหรือถือสากับเสียงด่า
ที่โรงพิมพ์ในหรุงเทพฯ พยางค์ยังคงด่าส่งไปญี่ปุ่นอีกเป็นชุด
“ไอ้เทศราช ถึงแกจะเป็นหลานบก. จะไปไหนมาไหนแกก็ต้องทำเรื่องแจ้งเรื่องลา”
สีหน้าเทศราชเอือมระอาเหลือ จนต้องโต้กลับผู้เป็นอา
“ผมแจ้งลาที่ฝ่ายบุคคลแล้ว อีเมลให้อาด้วย นี่ไม่เช็คเมลใช่มั้ย อินเตอร์เน็ตใช้เป็นหรือเปล่า เขาไว้ทำงาน ไม่ใช่ดูหนังโป๊”
“ไอ้เวร...ไม่ต้องมากวน...มีงานต้องทำ”
พยางค์มีสีหน้าโล่งใจ และเย็นลงที่ติดต่อหลานชายได้
“แกอยู่ญี่ปุ่นก็ดีแล้ว คุณตรีประดับเขาส่งงานแปลมา ฉันอยากได้ภาพประกอบแนวธรรมชาติญี่ปุ่นสวยๆ”
“ผมรู้แล้ว”
พยางค์แปลกใจ “รู้ได้ยังไงวะ”
“เรื่องของตรีประดับ มีอะไรบ้างที่ผมจะไม่รู้”
เทศราชจบการสนทนากับพยางค์เพียงเท่านั้น เขาหยิบกล้องคู่ใจมาเลื่อนภาพในกล้องดู กดไปจนเจอรูปแอบถ่ายตรีประดับในระยะไกล โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
รูปนั้นตรีประดับสวยงามเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม เทศราชมองภาพนิ่งนานด้วยแววตาหลงใหล
ด้านพยางค์เพิ่งวางสายจากหลานแสบ เขาหัวเราะหึๆ เดินมาที่โต๊ะทำงานเทศราช เขี่ยภาพถ่ายที่แปะอยู่บนพาติชั่นดู มีภาพๆ หนึ่งถูกแปะอยู่ด้านในสุด
พอเห็น บก.จอมวีน ถึงกับหัวเราะหึๆ ออกมาอีก “ไอ้เทศเอ๊ย หนูตรีเขาจะเคยรู้มั้ย”
รูปถ่ายใบนั้น เป็นรูปเทศราชกับตรีประดับในชุดนักศึกษา ท่าทางสนิทกันมาก และในบรรดาภาพที่แปะอยู่นั้น มีโปสการ์ดจากสถานที่ต่างๆ หลายแผ่นติดรวมอยู่ด้วย
มันเป็นโปสการ์ดอันเดียวกับที่เทศราชส่งให้ตรีประดับแผ่นหนึ่ง และแผ่นพวกนี้เขาส่งให้ตัวเอง เพื่อเป็นที่ระลึก
เทศราชเดินถ่ายรูปมาจนถึงแหล่งขายของที่ระลึก เขาหยุดที่ร้านขายโปสการ์ด และหน้ากากญี่ปุ่นโบราณ
เลือกโปสการ์ดที่ถูกใจ หยิบมา 2 แผ่นเหมือนกัน เทศราชมองไปสะดุดตากับหน้ากากรูปปิศาจญี่ปุ่นในร้าน เห็นแล้วอดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้
ดวงอาทิตย์โพล้เพล้ บรรยากาศสวยงาม ผู้คนละแวกดังกล่าวเดินถนนน้อยลงทุกที เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แถมยังเป็นทางเดินคดเคี้ยวตามย่านเก่าๆ ของเมือง ยิ่งทำให้ดูลึกลับ
ตรีประดับย่ำเดินมาตามทางอันคดเคี้ยวในแดดอัสดง เพื่อกลับที่พัก
เหมือนมีสายตาคู่หนึ่งแอบมองตรีประดับจากด้านหลัง แล้วฉากหลบโดยไว
ตรีประดับเดินมาได้สักพัก จึงเริ่มรู้สึกตัว ว่ามีคนตาม
“ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีคดีฉกชิงวิ่งราวนี่นา”
ตรีประดับเดินไปอย่างสบายๆ
แต่ยังคงมีคนแอบเดินตามมา ท่าทีลับๆล่อๆ คอยหลบตามมุมตึกบ้าง ทางเลี้ยว และทางแยก ตรีประดับรับรู้ และเริ่มวิตกไม่สบายใจ
“ไม่มีคดีเล็กๆ แต่อาจจะมีโรคจิต”
ตรีประดับกระชับกระเป๋าแนบอกแน่น เริ่มระวัง ก้าวเท้าเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ พอเหลียวไปข้างหลัง เห็นเงาคนแว้บๆ หายไปหลังเสาข้างทาง ยิ่งทำให้หวั่นกลัว
สุดท้ายตรีประดับรวบรวมความกล้า ยืนนิ่งรอ แต่กลับไม่มีคนออกมาจากเสา
“คงไม่มีอะไรหรอกน่า”
ตรีประดับตัดสินใจก้าวเท้าค่อยๆ เดินย้อนกลับไปดู
สายตาคู่เดิมแอบมองจากอีกมุม พอตรีประดับเดินมาถึงมุมตึก ความมืดสลัวเริ่มคืบคลาน ดวงอาทิตย์สีส้มกำลังจะตกดิน เงาแดดทำให้ตาพร่าพราย
จังหวะนั้นเอง ในละอองสุดท้ายของแสงแดด ท่ามกลางความสลัวเลือนราง ปิศาจญี่ปุ่นก็ปรากฏตัวขึ้นย้อนแสงตรงหน้า
ตรีประดับตกใจสุดขีด แต่แค่เพียงวินาทีเดียว หล่อนยื่นมือออกไปตรงหน้าเจ้าปิศาจตนนั้น
ปิศาจงง ชะงักเท้า ถดถอยหลัง
ตรีประดับคว้าหมับกระชากเปิดหน้ากากปิศาจออก เทศราชต้องเป็นฝ่ายตกตะลึงที่เห็นตรีประดับส่งยิ้มให้เหมือนรู้ทัน
“ตรี”
“นายเทศ”
ตรีประดับยิ้มร่า หัวเราะชอบอกชอบใจ
ถัดมา สองหนุ่มสาวคุยกันอยู่กลางหว่างความสวยงามยามเย็น ในสถานที่ท่องเที่ยวนั้น เทศราชมองหน้ากากในมือเซ็งๆ ที่แผนเซอร์ไพรส์ตรีประดับไม่ได้ผล
“เซ็งล่ะสิ เซอร์ไพรส์ไม่ได้ผล” ตรีประดับรู้ทัน
“ก็ไม่คิดว่าตรีจะนิ่งได้ขนาดนี้”
“เราไม่ได้นิ่ง แต่เรารู้ว่าเป็นเธอ”
“ตรีจำเราได้”
“ก็เสื้อตัวนี้ ตอนซื้อก็ไปซื้อด้วยกัน เทศให้เราเลือกให้ เป้นี่ ตอนเธอไปโรม เธอก็ส่งรูปมาถามเราว่าซื้อดีไหม”
เทศราชยิ้มทำเสียงล้อเลียนตรีประดับ “ใช่ แล้วตรีก็บอกว่า...ถ้าซื้อแล้วใช้ ก็ซื้อ แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องซื้อ...”
ตรีประดับหัวเราะขำเทศราชที่ดัดเสียงทำล้อเลียน สองคนหัวเราะไปด้วยกัน
“ตรีรู้ตัวมั้ย ตอนตรีบ่น เสียงเหมือนแม่แววของตรีมาก”
“กี่ปีมาแล้วนะ”
“โอย นาน จำไมได้” เทศราชจำได้แม่น แต่เขาโกหก
“แล้วเทศมาทำอะไรที่ญี่ปุ่น มาถ่ายรูปประกอบนิยายแปลของเราเหรอ...แต่เราเพิ่งคุยกับบก.พยางค์เมื่อกลางวันนี้เองนะ...แล้วนี่มานานหรือยัง พักที่ไหน”
“หิวข้าว ไปเหอะ”
พร้อมกับว่า เทศราชออกเดินนำไป ตรีประดับงง รีบตาม
“นายเทศ นี่จะไม่บอกอะไรเลยเหรอ เป็นนินจาเหรอ ไปมาไม่บอก ไม่ให้รู้”
“นิน...นิน...นิน...นิน” เทศราชทำท่านินจาเคมุมากิ วิ่งรอบตัวตรีประดับไปมา นักแปลสาวขำ อารมณ์ดี
ตรีประดับไม่เคยสำเหนียกเลยว่า ยามอยู่กับเทศราชแล้วหล่อนสบายใจมากเพียงใด
ในขณะที่เทศราชเอง ก็ปิดบังอำพรางความในใจไว้ใต้ท่าทีขี้เล่นไร้สาระจนมิด ชนิดที่ตรีประดับใม่เคยรู้เลย
สองคนพากันมาหยุดยืนที่หน้าร้านเหล้าร้านหนึ่ง ตกแต่งแบบญี่ปุ่นชนบทขนานแท้ ตรีประดับมองดูร้านงงๆ
“ถึงแล้ว” เทศราชยิ้มแป้น
“ร้านอะไร เทศรู้จักร้านนี้ได้ยังไง”
“เคยมีเรื่องกับลูกเจ้าของร้าน”
เทศราชพูดยิ้มๆ ตรีประดับมองอึ้ง เทศราชเดินนำเข้าร้านไปเลย ตรีประดับเหวอ กลัวว่าจะมีเรื่องหรือเทศราชมาล้างแค้น
เทศราชเดินนำตรีประดับเข้ามาในร้าน มองไปที่เคาน์เตอร์บาร์ เห็นชายญี่ปุ่นคนหนึ่งง่วนอยู่เคาน์เตอร์ กำลังทำอาหาร
เทศราชร้องทักเสียงดังลั่นร้าน “ซาโต้”
ชายชื่อซาโต้หันมา ร้องทักตอบเสียงดังพอใจ “เทศราช”
เทศราชชี้ไปที่ซาโต้ ซาโต้ก็ชี้กลับมาที่เทศราช ต่างคนต่างมองหน้ากันนิ่งๆ อย่างไว้เชิง
ที่โต๊ะหนึ่งในร้าน มีชายญี่ปุ่นวัยเดียวกับซาโต้ 3-4 คน กำลังดวดสาเกกันอยู่ ทุกคนหยุดมองไปที่เทศราช
ตรีประดับสยอง คิดว่าคงมีเรื่องแน่ ดึงแขนเทศราชรั้งไว้
“เทศ สมัยเรียนก็ระห่ำพอแล้ว โตแล้ว อย่ามีเรื่องนะ”
ซาโต้ออกมาจากเคาน์เตอร์ ตรงเข้ามาหาเทศราช ฝ่ายเทศราชก็เดินปรี่เข้าไปหา ชายสี่คนลุกขึ้นก้าวออกมาด้วย
ตรีประดับปิดหน้า พลันมีเสียง คัมปายๆๆ ดังลั่น ตรีประดับลดมือลงมองฉงน
เห็นซาโต้และเพื่อนกำลังกลุ้มรุมทักทายเทศราช ท่าทางสนิทสนม และ รู้จักกันมาแสนนาน เพื่อนส่งแก้วสาเกให้ชน เทศราชยกดื่มอั้กๆ เทศราชหันมาทางตรีประดับ ผายมือให้ทุกคนรู้จัก
“ตรีประดับซัง”
ซาโต้และชายสามสี่คนโค้งให้ ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“คาวาอิ” ซาโต้ชมตรีประดับว่าน่ารักมาก
เทศราชกางแขนกันท่าไม่ให้ซาโต้ทักทายแบบโอเว่อร์ ทุกคนหัวเราะ ตรีประดับยิ้มเขิน
เพื่อนๆ สามสี่คนลุกมาหาเทศราชสลับสายตามองตรีประดับ เพื่อนๆ รัวคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นใส่ไม่ยั้ง
ตรีประดับหัวเราะ ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นกลับไป
เทศราชโวยวาย “อะไรน่ะ พวกนายพูดอะไร ตรีเก่งภาษาญี่ปุ่น แปลหน่อยสิ ผมมันได้แค่ไม่กี่คำ พูดยาวๆเร็วๆ เป็นรถไฟด่วนแบบนี้ผมฟังไม่ทัน”
“เขาถามว่าทำไมไม่ไปนั่งด้วยกัน เป็นแฟนกันเหรอ ถึงต้องมานั่งสองคน เราเลยตอบว่าไม่ใช่”
ตรีประดับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำๆ เทศราชหัวเราะขื่นใจ
“เออ ไม่ใช่ ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ ไปๆ ชนแก้ว”
ซาโต้มาลากเทศราชไปรวมกลุ่มชนสาเกกับเพื่อนๆ ตรีประดับตามไปสมทบ คุยกันเป็นที่สนุกสนาน
โทรศัพท์มือถือตรีประดับซึ่งวางไว้ในกระเป๋าถือ มีสายเรียกเข้า หน้าจอขึ้นชื่อคนโทร.มา และรอสายคือ “พยส”
เทศราชชนและดื่มสาเกอั้กๆ ไม่หยุด และคอยแอบชำเลืองมองตรีประดับโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
พยสรอขึ้นเครื่องอยู่ในห้องรับรองพิเศษ อาคารผู้โดยสารขาออกในสนามบินสุวรรณภูมิ โทรศัพท์หาหลายหน แต่ตรีประดับไม่ได้รับสาย เขาซึมลงเล็กน้อย หยิบกล่องสร้อยออกมาดู
“คุณคงดีใจที่เจอผมนะตรี”
พยสมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นภาพเครื่องบินกำลังลอยลำขึ้นและลง ดูไม่มีอะไรแน่นอน
เงาสะท้อนในกระจก ตอนแรกดูท่าทีพยสคอตกเล็กน้อย แต่แล้วก็ยืดขึ้น ยิ้มกับตัวเองอย่างมีความหวัง
ฝ่ายเทศราชกอดคอกับซาโต้เดินออกมาลานหน้าร้าน เพื่อนๆ กอดคอกันเดินเซแซดๆ ตามออกมาส่งเทศราชและตรีประดับ
“ไว้เจอกัน ซาโต้”
ซาโต้พูดไทยได้นิดหน่อย “เจอกันอีกนะ ตรีจัง”
“ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ซาโต้จะโผเข้ามากอด เทศราชเดินเซแทรกตัวมากอดซาโต้แทนเนียนๆ ซาโต้ตบหลังเทศราช ชี้หน้าอย่างรู้ทัน เทศราชแอบขยิบตาให้
ทุกคนโบกมือลาซาโต้
ทั้งหมดเดินมาตามถนน เพื่อนๆ ชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 กอดคอกันร้องเพลงเสียงดังลั่น เทศราชเดินเซมา ตรีประดับพยายามประคับประคอง ช่วยรับกันล้ม
ทั้งกลุ่มเดินผ่านหน้าร้านราเมนที่กำลังปิดร้านพอดี เด็กสาวในชุดพนักงานเสิร์ฟ มีผ้าปิดปาก ลากถุงขยะออกมาจะทิ้งที่ถังขยะ
เทศราชอ้าปากร้องเพลงไทยแข่งกับเพื่อนๆ ซาโต้ ตรีประดับรีบปิดปาก
“เบาๆ หน่อยเทศ รบกวนคนแถวนี้....ดูสิ น้องมองใหญ่แล้ว”
ตรีประดับโค้งขอโทษเด็กสาวคนนั้น พูดภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่ว
“โกเมนนะไซ” (ขอโทษนะคะ)
เด็กสาวมองตามกลุ่มคนชายหญิงที่เดินหัวเราะกันออกไป เห็นแต่ภาพความสุขของคนอื่นๆ เด็กสาวคนนั้นเลื่อนผ้าปิดปากลง
เผยให้เห็นว่าเป็น “พัดชา” สาวไทยแท้ลูกบุญธรรมพ่อแม่ชาวญี่ปุ่น เจ้าของร้านราเมนแห่งนี้ พัดชามองตามกลุ่มตรีประดับไป ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะลากถุงขยะไปทิ้ง
พัดชาเปิดผ้าเดินกลับเข้ามาในร้าน มองไปเห็นจานชามหลายใบวางเกลื่อน โต๊ะก็ยังไม่ได้เก็บ ยูอิ แม่บุญธรรม นับเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ ปรายตามามองแว่บหนึ่ง
“ให้ออกไปทิ้งขยะแค่นี้ ไม่น่าเสียเวลานาน”
พัดชานิ่งอึ้ง ไม่รู้จะตอบอะไร
ทาโร่ พ่อบุญธรรม เดินมาจากไหนไม่รู้ จู่ๆ มายืนอยู่ข้างตัว เอนมากระซิบถามใกล้ๆ
“เป็นอะไร”
พัดชาสะดุ้ง เขยิบหนีโดยอัตโนมัติ สีหน้าทาโร่ไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วง แต่ดูเหมือนจะประเมินท่าทีมากกว่า
พัดชาเลี่ยงไปเก็บโต๊ะ เดินห่างจากทาโร่มาพอควร
ยูอิไม่พอใจท่าทีนั้น เอ็ดขึ้นว่า “พัดจัง คุณพ่อถาม เธอต้องตอบ”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ จะรีบเก็บของเดี๋ยวนี้ค่ะ”
พัดชาก้มขอโทษ รีบเก็บอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดถูโต๊ะ
ทาโร่เอื้อมมาจับผ้า เกือบจับโดนมือพัดชารอมร่อ ทาโร่วางมือลงใกล้ๆ พัดชากำผ้าในมือแน่น สีหน้านิ่งขึง ทาโร่มองขรึมๆ
“เธอคงไม่ชอบ หากฉันจะทำโทษ”
พัดชาก้มหน้า พยักหน้ารับเอาคำ
ทาโร่คลายมือออก พัดชารีบดึงมือกลับมาโดยเร็ว ส่วนทาโร่เดินออกไป
พัดชาหันหลังกลับทันที เก็บซ่อนความรู้สึกหวาดกลัวบางอย่างเอาไว้ มือกำผ้าแน่นจนเกร็ง
เมื่อมาถึงสี่แยก เพื่อนๆ ซาโต้ พากันโบกมือลาเทศราชและตรีประดับ แล้วแยกไปทางหนึ่ง
“ขอบใจนะมิจิ แล้วจะแวะไปขอซ้อมมือที่สนามเคนโด้ของนายนะ”
เทศราชและตรีประดับแยกไปอีกทางด้วยกันสองคน
“จะเดินไหวมั้ยเนี่ยนายเทศ”
“สบาย”
ขาดคำเทศราชเซแซดๆ แทบล้ม ตรีประดับผวาดึงแขนไว้ แต่เทศราชตัวหนัก ร่างตรีประดับเลยถลาตามไปเกือบชนกัน
“เธอโอเคนะเทศ”
เทศราชรับตัวตรีประดับไว้ สองคนมองหน้ากันแว่บหนึ่ง สำหรับเทศราชแล้วเวลามันชั่งยาวนานเหลือเกินแล้ว
“อืม”
เทศราชเป็นฝ่ายเมินหนีไป ทำเป็นเมากลบ ยกมือปิดหน้า เดินนำออกไป
“ตรีพักที่ไหน เดี๋ยวเราไปส่ง”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ จะมาดูแลเรา”
ตรีประดับไม่คิดอะไรเลย แต่เทศราชสะอึกอึ้ง รีบหัวเราะกลบเกลื่อนขณะหันมาหา
“งั้นตรีดูแลเรา”
ตรีประดับส่ายหัว
ไฟในร้านราเมนถูกปิดทีละดวงๆ พัดชาเช็ดโต๊ะทีละโต๊ะ เสร็จแล้วยกเก้าอี้ขึ้นเก็บ ยูอิทำบัญชีเสร็จเก็บเงินเดินไล่ปิดไฟ กำลังจะขึ้นด้านบน หยุดหาวตรงตีนบันไดหันมาหาพัดชา
“เก็บให้เรียบร้อย ฉันไปนอนก่อน”
“ค่ะ”
ยูอิปิดไฟจนเหลือดวงสุดท้าย ในแสงสลัว เห็นเดฟพ่อเลี้ยงฝรั่งนั่งดวดเบียร์อยู่คนเดียวตรงมุมร้าน พัดชาทำงานอีกมุมหนึ่ง รู้ว่าเดฟมอง แต่เธอไม่ชำเลืองตาไปมอง
แสงไฟในร้านบางดวง แสงจากด้านหน้าร้านที่ลอดเข้ามา ยังทำให้บรรยากาศไม่น่ากลัวเกินไป
พัดชาเก็บโต๊ะทุกโต๊ะ เดฟตบที่นั่งข้างตัวเรียก
"นั่งสิ...ฉันมีอะไรจะคุยด้วย"
"พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า ไว้พรุ่งนี้นะโอโตซัง"
เดฟปรายตามอง โบกมือให้ไปไม่ว่าอะไร ก่อนยกเบียร์ขึ้นดก
พัดชาแทบกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นกลัว รีบขอตัวขึ้นข้างบน
ห้องนั้นทั้งเล็กและคับแคบ ชนิดที่มีเตียงนอนเล็กมาก มีโต๊ะหัวเตียงเล็กๆกับเก้าอี้หนึ่งตัว พัดชาเปิดเข้ามาในห้อง แทบหมดสภาพเพราะทำงานหนัก พัดชากดล็อกห้อง ล็อกแล้วล็อกอีก ก่อนจะไปทิ้งตัวลงอย่างหมดสภาพที่เตียง
มีเสียงดังก็อกแก็กข้างนอก พัดชาผวา รีบไปไถชั้นหนังสือมากั้นประตูไว้อีกชั้น รอจนเสียงเงียบลง หญิงสาวถอนใจโล่งอก
จากนั้นจึงเดินไปที่หน้าต่าง เปิดออกสูดรับอากาศ น้ำตาเอ่อท้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่รีบยกแขนปาดเช็ดน้ำตาออกโดยไว หวนนึกถึงอดีตอันปวดร้าวตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก
เสียงเรียกของครูพี่เลี้ยง ดังเข้ามาในความมืดมิดของห้องๆหนึ่ง ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“พัดชา”
มีแสงจากภายนอกทอเงาเข้ามา จากประตูที่แง้มเปิดออก เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งวัยราว 6-7 ขวบกอดเข่าคุดคู้อยู่ในมุมมืด
“พัดชา”
เด็กหญิงพัดชาเงยหน้าขึ้น น้ำตาเอ่อนองเต็มสองตา แววตาว้าเหว่โดดเดี่ยวไม่มีใคร ครูรีบเข้ามาหา
“พัดชา มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ ครูตามหาแทบแย่ ไปทานข้าวค่ะ เพื่อนๆ รออยู่”
ครูพี่เลี้ยงจับตัว พัดชากระถดหนีไปชิดผนัง ทำตัวลีบเล็กหนีมือครู พัดชาดึงกระเป๋าใบหนึ่งมากอด เห็นชัดว่าที่แขนมีรอยถูกตีเขียวจ้ำเป็นทาง
ครูพยายามกอดปลอบ แต่พัดชายังหวาดกลัวไม่หายก้มหน้างุดสีหน้าหวาดระแวง ครูได้ถอนหายใจอย่างหนักอก
หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหญิงพัดชานั่งกอดเข่ามองออกไปนอกห้องจากประตูที่เปิดแง้ม จากแสงที่ลอดเข้ามา เห็นครูสองคนคุยกันอยู่หน้าห้อง
“เด็กพัดชานี่น่าสงสารนะ ก่อนมาคงโดนตีจนเนื้อแหลก ญาติเอามาทิ้งไว้ไม่ถึงอาทิตย์ แกคงยังช็อกอยู่” เสียงครูคนแรกเอ่ยขึ้น
ครูคนที่สองเสริมว่า “ตามประวัติพ่อแม่เพิ่งเสีย ฐานะญาติก็ยากจนเลี้ยงไม่ไหว”
“มาอยู่สถานสงเคราะห์กับเราก็ดีนะ อย่างน้อยก็ที่เรียน มีครู มีเพื่อน”
พัดชาได้ยินทุกคำ สายตาอ้างว้างว่างเปล่าของเด็กหญิงมองออกผ่านช่องแคบๆ ของหน้าต่างที่แง้มไว้ เห็นกลุ่มเด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งเล่นกันอยู่ พัดชากอดกระเป๋าแน่น อย่างคนหวาดกลัวต่อโลกภายนอก
กลุ่มเด็กๆ เล่นกัน ใกล้ๆ กับป้ายสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้
วันคืนอันเลวร้ายผ่านไป จากวัยประถม เด็กหญิงพัดชายังใช้ชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้เรื่อยมา จนเรียนชั้นมัธยมต้น ในวันท้องฟ้าสดใส กระเป๋าใบหนึ่งถูกโยนลอยขึ้นฟ้า มันคือกระเป๋าใบเดียวใบเดิมของเด็กหญิงพัดชาตอนมาที่นี่ใหม่
กลุ่มเด็กวัยรุ่นม.ต้น เล่นชิงกระเป๋า โยนขึ้นฟ้าให้เพื่อนรับต่อ อย่างสนุกสนาน พัดชาในชุดนักเรียนม.ต้น พยายามแย่งคืน
“เอาคืนมานะ”
“ไม่ให้”
“ของเรา....เอาคืนมา”
พัดชาดึงกระเป๋ามาคืนมาจนได้ เด็กสาวมองจ้องเพื่อนๆ ด้วยสีหน้าแววตาอันเย็นชา
“ของๆ เรา”
“ไม่มีใครแย่งซะหน่อย แค่เล่นกันขำๆ น่าพัดชา” เพื่อนคนแรกว่า
เพื่อนอีกคนเสริม “อีกหน่อยก็ไม่ได้เล่นกับพวกเราที่นี่แล้ว”
เพื่อนๆ เข้ามาตบไหล่ ยิ้มแสดงความยินดี พัดชานิ่งงันไป เหลียวมองไปทางตึกอำนวยการ
ครูพี่เลี้ยงกวักมือเรียกพัดชา ข้างๆ ครูมีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ท่าทางสุภาพอ่อนโยน
ทั้งคู่มองมาที่พัดชาด้วยสายตาเปี่ยมเมตตาท่าทางเป็นคนใจดี
พัดชามองหน้าชายหญิงสามีฝรั่งภรรยาชาวญี่ปุ่นตรงหน้า อึ้งๆ อยู่ ไม่รู้จะรู้สึกยังไง เพราะไม่เคยรู้จักความรัก ไม่เคยสัมผัสความอบอุ่น กับทั้งไม่เคยเปิดใจรับความเมตตาจากใคร แม้กระทั่งครูหรือเพื่อนที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้
“คุณเดฟกับคุณยูอิ พ่อแม่บุญธรรมของหนูจ้ะพัดชา” ครูพี่เลี้ยงแนะนำ
“พ่อ...แม่...” เด็กหญิงพึมพำ
ชายชาวฝรั่ง และหญิงญี่ปุ่นพยักหน้าให้ ครูพี่เลี้ยงโอบไหล่พัดชาอย่างให้กำลังใจ
“ต่อไปนี้ พัดชาจะมีบ้าน มีครอบครัว”
นึกมาถึงตรงนี้ พัดชายืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างห้อง แหงนมองพระจันทร์บนฟ้า เสียงครูท่านั้นดังก้องขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดรอบกายของบ้านชาวญี่ปุ่น
“ชีวิตพัดชาจะมีแต่ความโชคดี ความรักและความสุข”
แสงนวลของดวงจันทร์อาบต้องใบหน้าพัดชา สะท้อนให้ประกายน้ำตาเต็มดวงตาคู่นั้น
อีกฟากหนึ่ง ภายในที่พักสุดหรู ลักษณะเป็นแมนชั่น มีห้องนอน 2-3 ห้อง มีห้องนั่งเล่น และแพนทรีเล็กๆ สำหรับประกอบอาหารง่ายๆ เทศราชนอนเขลงอยู่ที่โซฟากลาง ตรีประดับเตรียมชาเขียวอยู่ตรงแพนทรี เมื่อเสร็จก็ยกมาให้เทศราช พร้อมผ้าเย็น
“เรามาเป็นภาระตรีแท้ๆ” เทศราชว่า เชิงทำหนิตัวเอง
“เราก็เป็นแผนกตามเก็บพวกขี้เมา ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่ ชินแล้วล่ะ” หล่อนสัพยอกพร้อมกิริยาน่ารัก
เทศราชเช็ดหน้าเช็ดตา รับชาเขียวมาดื่ม รู้สึกดีขึ้น กวาดตามองรอบห้อง
“ตรีมาอยู่ญี่ปุ่นคนเดียว ทำไมอยู่ห้องใหญ่โตจัง”
“ถามบอกอพยางค์ อาของเธอสิ เราบอกบก.ว่าจะมาพบนักเขียนหนังสือที่เรากำลังจะแปลเพื่อคุยกับเขา บก.ก็ใจดีติดต่อที่พักให้ คงนึกว่าเราจะพาพ่อกับแม่มาเที่ยวด้วยละมั้ง”
“เราคุยกับพ่อ พ่อบอกอยากมาเหมือนกันนะ แต่แม่คงกลัวเครื่องบินน่ะ”
“นี่แอบไปชวนพ่อฉันชวนแก้วมาอีกแล้วใช่ไหม ถึงได้รู้”
“ตรีมาญี่ปุ่นเกือบเดือน เรากลัวพ่อกับแม่เหงา เลยไปเยี่ยมที่บ้านสวน”
“เทศทำอะไรที่เรายังไม่รู้อีกไหม” ตรีประดับเอ่ยถามขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“ถ้าบอกก็รู้น่ะสิ อย่ารู้เลย ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”
ตรีประดับอยากจะซัก แต่เทศราชปิดปากหาว ทำเป็นง่วง
“สรุปเราจะย้ายมานอนนี่นะ ห้องว่างอีกสองห้อง เราจะได้ดูแลตรีด้วย”
ตรีประดับมองหมั่นไส้ “โถ ใครดูใครกันแน่”
เทศราชหิ้วเป้ลุกเดินเข้าห้องไปเลย ไม่อยากให้ตรีประดับเห็นมุมอ่อนไหวของตน ตรีประดับมองตาม ส่ายหน้าระอา
เทศราชปิดประตูลง ยินเสียงตรีประดับพูดดังมาจากด้านนอก
“อาบน้ำก่อนนอนด้วยนะเทศ เหม็น”
ในสีหน้าอันเรียบเฉย แววตาอ่อนไหวของเทศราชเปล่งประกายแห่งความรักชัดแจ้ง
“เฮ่ย จะนอนแล้ว บ่นไร วู้”
เทศราชทำเป็นส่งเสียงเชิงรำคาญ ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม รู้สึกดีเหลือนที่วันนี้ได้ใกล้ชิดตรีประดับ
ตรีประดับอยู่ในห้องนอนแล้ว หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือจะเสียบชาร์จแบตเตอรี่ เห็นหน้าจอมีมิสคอลอยู่เต็ม กดดูเป็นพยสที่ทั้งโทร.มา ทิ้งทั้งข้อความเสียง และโทร.ทางไลน์มาอีกด้วย
“ยสมีอะไรนะ”
ตรีประดับนิ่วหน้าฉงน กดโทรกลับ แต่เข้าโหมด ฝากข้อความ
“คงไม่มีอะไรมั้ง”
หล่อนกดส่งสติ๊กเกอร์ฝันดีส่งให้พยสทางไลน์
ตรีประดับอาบน้ำเสร็จ เตรียมเข้านอน เดินมากดดูโทรศัพท์มือถืออีกครั้งเพื่อเช็คไลน์ดู พบว่าเทศราชยังไม่ได้เปิดอ่าน ตรีประดับล้มตัวลงนอน กดดูโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วผล็อยหลับไปทั้งโทรศัพท์
แสงอาทิตย์อุทัยรำไรยามเช้า สาดส่องเข้ามาในห้องนอน ตรีประดับยังนอนอยู่ในท่าเดิม โทรศัพท์คามือ สักครู่หนึ่งมีเสียงสัญญาณโทร.เข้า ตรีประดับสะดุ้งตื่น รีบกดรับสายน้ำเสียงงัวเงีย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะยส”
พยสลากกระเป๋าเดินทางมาตามทางในอาคารสนามบินนาริตะ กำลังคิดว่าจะเซอร์ไพรส์ตรีประดับอย่างไรดี
“อรุณสวัสดิ์ครับตรี...ผมโทร.มาปลุกหรือเปล่า...แต่นี่มันแปดโมงแล้วนะ”
ตรีประดับยิ้ม ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
“เมื่อคืนดึกไปหน่อยค่ะ นายเทศพาตรีไปปาร์ตี้กับเพื่อนเขา”
ใบหน้าพยสที่กำลังยิ้มอยู่ รอยยิ้มค่อยๆ จางลง
“เทศราชอยู่ที่นี่กับตรีเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คงมาถ่ายงานสารคดี ตรีก็บังเอิญเจอเมื่อวานค่ะ” เสียงตรีประดับดังลอดออกมา
“ผมอยากไปอยู่ตรงนั้นกับตรีจัง”
ตรีประดับใจเต้น เขินแต่ไม่มาก เหมือนไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า
“มาสิคะ เที่ยวด้วยกันคงสนุก”
“วันนี้ตรีจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เผื่อว่าผมจะจินตนาการตาม”
“ตรีว่าจะไป...”
ตรีประดับนิ่งนึก คล้ายตัดสินใจ พยสนิ่งรอฟัง
สวนญี่ปุ่นอวดโอ้ความงามของธรรมชาติอยู่ตรงกลางหมู่เรือนญี่ปุ่นน้อยใหญ่ในอาณาบริเวณหมู่บ้านซามูไร ประตูเรือนหลังหนึ่งเลื่อนเปิดออกกว้าง หญิงชาวญี่ปุ่นวัยคราวป้าสองคน ช่วยกันแต่งตัวชุดกิโมโนเต็มยศให้ตรีประดับ
เทศราชในชุดเคนโด้คุยอยู่กับมิจิเพื่อนของซาโต้ ตรงมุมสนาม เขายกนิ้วโป้งให้เพื่อนชาวอาทิตย์อุทัย เป็นเชิงยกยอว่าเยี่ยมมาก และขอบใจที่ให้ยืมสนามเล่น
อีกมุมหนึ่งของสนาม ใครคนหนึ่งในชุดเคนโด้สวมใส่หน้ากากพร้อมสรรพ กำลังนั่งรออยู่
เทศราชเดินเข้ามาอีกมุม ใครคนนั้นเดินเข้าพบกันกลางสนาม ทั้งคู่โค้งให้กัน ไม้เคนโด้ประสานกันเบาๆ เป็นเชิงทักทาย
ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน ลองเชิงกันอย่างออมมือ
ตรีประดับยืนเป็นหุ่นให้ป้าๆ แต่งตัวยังไม่แล้วเสร็จ สายโอบิทาบมาที่ด้านหลัง คุณป้าดึงแน่น การแต่งกิโมโน ดำเนินตามขั้นตอน สวยงามและประณีต ริมฝีปากตรีประดับถูกแต่งแต้มสีสัน ผมเกล้ามวย
เสียงฟันดาบเคนโด้ กระทบกัน ผัวะๆ ดังเข้ามาเป็นระยะ
ตรีประดับเอียงหูฟังการต่อสู้ ป้าช่วยแต่งตัวยังคงแต่งตัวให้ต่อไป
เทศราชและคู่ต่อสู้ เริ่มต่อสู้กันดุเดือดมากยิ่งขึ้น สองคนผลัดกันรุกและรับ แววตาทั้งคู่วาววับ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมายสะท้อนออกมา
คุณป้าคนหนึ่งผูกสายโอบิเสร็จแล้ว อีกคนกำลังเสียบดอกไม้ลงที่มวยผมด้านหน้า
เสียงดาบเคนโด้กระทบกัน ดังผัวะๆ รุนแรงมากขึ้น และกระชั้นถี่มากขึ้น เสียงไม้ปะทะกัน ดังปั้กๆๆๆ อย่างหนักหน่วง
ตรีประดับหมุนตัวกลับมา ในชุดกิโมโนเต็มยศ ใบหน้าแต่งแต้มสวยหมดจด ดอกไม้ไหวและชายพู่ห้อยที่ปักอยู่บนหัวยิ่งทำให้ใบหน้าหวานงดงาม
ลมพัดพากลีบดอกซากุระลอยคว้างจากสวนลอยมาตรงหน้า ตรีประดับยืนอยู่ตรงชานติดสวนยื่นมือรับกลีบดอกไม้นั้น ยิ้มบางๆ
เสียงดาบเคนโด้ดังรัวเร็วแรงขึ้นเป็นลำดับ ตรีประดับหันไปทางเสียง พบว่าดังมาจากห้องหนึ่ง
เทศราชกับคู่ต่อสู้ ซึ่งที่แท้คือพยสนั่นเอง สองหนุ่มยังคงไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ ผลัดกันรุกและรับอยู่อย่างนั้น
ขณะที่พยสและเทศราชดูเชิงกันอยู่ พยสอยู่ในมุมเปิด หันหน้าไปทางประตู เห็นตรีประดับปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องแข่งขัน
ส่วนตรีประดับเหลียวมองหาพยสกับเทศราชในกลุ่มนักกีฬาตรงมุมห้อง แต่เมื่อไม่เห็นจึงมองไปยังคู่แข่งทั้งสองกลางลานในห้อง
พยสนิ่งไป เทศราชแปลกใจจึงเหลียวไปมองตาม พยสฉวยจังหวะ เข้าตีทำคะแนน และเป็นฝ่ายชนะไป มิจิยกมือให้พยสเป็นฝ่ายชนะ
“The winner is พยสซัง”
ตรีประดับได้ยินชื่อ คาดไม่ถึง หล่อนตกตะลึงเล็กน้อย
พยสถอดหน้ากากออก ยิ้มหล่อให้ พร้อมกับก้าวเดินไปหาตรีประดับใกล้ๆ ตะลึงความสวยในอาภรณ์แปลกตา ตรีประดับยังคงเซอร์ไพรส์ไม่หาย
“เซอร์ไพรส์”
“ยส...”
“มาได้ยังไงคะ”
“ต้องขอบคุณนายเทศ”
เทศราช มองพยสและตรีประดับยืนสบตากัน โดยยังไม่ถอดหน้ากากออก เขายกมือทักทายตรีประดับและโค้งให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเลย สีหน้าแววตาหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
พยสมาถึงสนามบินนาริตะในตอนเช้า เขากดโทร.หาเทศราช หลังจากโทร.ติดต่อตรีประดับไม่ได้
“เทศราช นี่ฉันเองนะ ฉันมีอะไรให้นายช่วย”
เทศราชอยู่ในแมนชั่นที่พักของตรีประดับ รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้างุนงง เมื่อพยสสำทับว่า
“แต่อย่าเพิ่งให้ตรีรู้”
เทศราชชำเลืองมองไปทางตรีประดับที่นั่งนั่งทานข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร นักแปลสาวหันมาพอดี
“มีอะไรเหรอเทศ”
เทศราชวางโทรศัพท์ ทำตัวปกติ
“ลูกพี่โทร.มาสั่งงาน ไป เหอะ วันนี้ผมมีอะไรจะเซอร์ไพรส์”
ตรีประดับมีสีหน้าสงสัย
สองคนคุยกันอยู่ตรงทางเดินข้ามสะพานไปเจอลานกว้างเวิ้งซากุระ ตรีประดับรู้เรื่องจากพยสแล้วพยักหน้าเข้าใจ ยิ้มกว้าง
“มิน่า วันนี้ตรีบอกยสว่าตรีจะไปหาที่ถ่ายรูปสวยๆ นายเทศก็พาตรีมาเซอร์ไพรส์ให้แต่งชุดยูกาตะสวยๆ ที่แท้ ฝีมือยสนี่เอง”
“แต่เกมเคนโด้นี่ไม่เกี่ยวนะ นายเทศคันไม้คันมืออะไรไม่รู้ ระหว่างรอเลยชวนผมมาเล่นที่สนามซ้อมยูโดของเพื่อนเขา แล้วมันอยู่ติดกับตรีพอดี ตรีเซอร์ไพรส์ไหมครับ”
“เซอร์ไพรส์กว่าก็ตรงที่ได้เจอยสนี่แหละค่ะ”
“ผมซะอีก ยืนตะลึงตอนนั้น จนผมแทบเสียสมาธิ สงสัยนายเทศก็คงเหมือนกัน แต่ผมก็ชนะ เพราะคุณ”
“แล้วยสลงไม้สุดท้ายทีเผลอแบบนั้น มันโอเคเหรอคะ”
ตรีประดับหมายถึงตอนเล่นตีไม้สุดท้ายขณะที่อีกฝ่ายเผลอ
ด้วยรู้ดีว่าตรีประดับเป็นคนเห็นใจคนอื่นเสมอ พยสยิ้มให้โดยไม่คิดอะไร
“ผมไม่ได้ทำผิดกติกา...ไม่เป็นไรหรอก เกมนะตรี ต้องมีคนชนะ” พยสยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “คนแพ้”
พยสยิ้มให้ตรีประดับอย่างผู้ชนะ อีกฝ่ายอดนึกถึงเทศราชขึ้นมาแว่บหนึ่งไม่ได้ แต่ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าแค่เกมกีฬา และสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน
หน้ากากเคนโด้ถูกวางลงพร้อมอาวุธ ตรงข้างๆ เคาน์เตอร์ก๊อกน้ำล้างมือ ในเวิ้งกว้างอันสวยงามของหมู่บ้านซามูไร ก๊อกถูกหมุนเปิด ขณะศีรษะของเทศราชยื่นเข้าไปให้น้ำราดรดหัว
เทศราชสะบัดผมอย่างแรง หยดน้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง ชายหนุ่มลูบหน้าไล่หยาดน้ำ
“คนแพ้” เสียงพยสดังก้องขึ้นในหัวใจของช่างภาพหนุ่ม
เทศราชรู้ตัวเองดีว่ากำลังจะพ่ายแพ้ในเกมรัก ที่มีหัวใจของตรีประดับเป็นเดิมพัน
อ่านต่อตอนที่ 2