กะรัตรัก Diamond Lover ตอนที่ 3
กว่าเซี่ยวเลี่ยงจะเคลียร์งานเสร็จก็ดึกโข เวลานี้เขาเพิ่งออกจากห้องทำงานคลายเนกไทพลางบิดคอคลายเมื่อย เดินคุยมาตามทางในตึกเทซีโร่กับผู้ช่วยของเขา ฉีหยูเอ่ยเตือนเจ้านายด้วยความเป็นห่วง
“คุณเซี่ยว ช่วงนี้คุณทำงานดึกทุกวัน อย่าหักโหมเกินไปล่ะ”
“สามเดือน เวลาน้อยเกินไป แต่เรื่องนี้เราจะผิดพลาดไม่ได้” เซี่ยวเลี่ยงบอกเหตุผล
“หลังจากที่เกาเหวินมีการรับรองแล้ว ยอดขายก็เพิ่มขึ้นมาก ผมเชื่อว่าทางคณะกรรมการจะไม่คัดค้านเราอีก”
“แต่ยังไม่สามารถวางใจได้ การวางแผนโฆษณาฤดูกาลใหม่ออกมาแล้ว ติดต่อเกาเหวินบอกเธอเตรียมตัวให้พร้อม”
“ได้ครับ”
สองหนุ่มเดินมาถึงหัวบันไดขึ้นลงระหว่างชั้นแล้วต้องพากันหยุด เหลียวมองลงไปยังโถงสูงชั้นล่างแผนกออกแบบด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นเหม่ยลี่ยังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ท่ามกลางโต๊ะทำงานอันว่างเปล่า ไร้ผู้คน
“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเลิกงานดึกกว่าเรา” ฉีหยูว่า
เหม่ยลี่เสิร์ชหาข้อมูลจากคอมพ์บนโต๊ะทำงาน เมื่อได้แล้วก็จดเตือนความจำลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กตรงหน้า
เซี่ยวเลี่ยงมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สองหนุ่มก้าวเดินลงบันไดลงไปช้าๆ เซี่ยวเลี่ยงจดสายตามองไปยังเหม่ยลี่ในทุกก้าวย่าง
ดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะตรงไปหาเรื่องเธอ
มี่เหม่ยลี่ก้มหน้าก้มตาเสิร์ชหาข้อมูลจากคอมพ์ โดยกางหนังสือคู่มือไว้ดูประกอบกันบนโต๊ะอีกสองเล่ม แล้วจดเตือนความจำลงในสมุดบันทึกไปเรื่อยๆ ก่อนจะรับรู้ถึงการมาถึงของใครบางคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะ แถมผิวปากเรียก เมื่อเงยหน้ามอง เหม่ยลี่ก็ต้องทำหน้าประหลาด คาดไม่ถึง
“เอ๊ะ นายมาได้ยังไง”
ใครคนนั้นกลับเป็น เหลยอี้หมิง ซึ่งในมือหิ้วกระติกอาหารมาด้วย
“เธอขยันขนาดนี้ฉันก็ต้องสนับสนุนน่ะสิ มา ยังไม่กินข้าวใช่มั้ย ฉันเอาอาหารที่เธอชอบมาให้”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้าง “นายดีกับฉันมากเลย”
อี้หมิงวางกระติกลง เหม่ยลี่รับไปเปิดฝาทันที
“ทำงานดึกต้องกินเยอะๆ หน่อยล่ะ นะ”
เหม่ยลี่นึกบางอย่างได้ “เอ๊ะ นายมีนัดไม่ใช่เหรอ แฟนนายล่ะ”
“เอ่อ...แฟน...แฟนฉัน..เธอ...” อี้หมิงอึกอัก คิดหาคำแก้ตัวสุดท้ายตัดบทไปเฉยๆ “เรากินข้าวเสร็จแล้วเธอก็ต้องกลับบ้านสิ”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้างดีใจ
อี้หมิงมองสำรวจโต๊ะทำงานพลางถาม “เธอดูอะไรอยู่ ออกแบบเครื่องประดับเหรอ”
“เฮ้อ...ฉันกำลังอ่านความรู้เรื่องมืออาชีพ กลัวจำไม่ได้ ดังนั้นเลยจดหนึ่งรอบ เพื่อทบทวนความจำ”
อี้หมิงเท้าแขนลงกับโต๊ะ ยื่นหน้ามาใกล้ๆ อาสาช่วย “การท่องอ่านหนังสือเป็นข้อดีของฉัน เธอลืมแล้วเหรอตอนเด็กๆ เธอท่องหนังสือฉันเป็นคนวาดให้เธอ มา ฉันจะไฮไลท์จุดสำคัญให้”
พร้อมกับว่าอี้หมิงคว้าหนังสือคู่มือการออกแบบมานั่งบนเข่าเท้าแขนกับโต๊ะข้างๆ เหม่ยลี่ คอยอธิบาย พร้อมกับใช้ปากกาในมือขีดเป็นไฮไลท์ตรงจุดสำคัญให้ เหม่ยลี่จดลงสมุดบันทึกไว้ด้วย
สองหนุ่มสาวใกล้ชิดกัน คุยกันกระหนุงกระหนิง หัวเราะหัวใคร่ดูราวกับเป็นคู่รักกันก็ไม่ปาน
รถที่อี้หมิงขับแล่นมาตามทาง มาหยุดรอสัญญาณไฟตรงสี่แยกแถวออฟฟิศ อี้หมิงหันมาอีกทีพบว่า เหม่ยลี่หลับคอพับคออ่อนอยู่กับที่นั่งข้างคนขับ เรียกก็ไม่ยอมตื่น
“นี่ ยัยอ้วน”
หมอหนุ่มปลดสายเข็มขัดนิรภัย ขยับตัวมาปรับเอนเบาะลงให้ยัยอ้วนของเขานอนสบายขึ้น แล้วเข้าที่นั่ง แต่สายตามองจ้องใบหน้างามที่หลับไม่ได้สติ ก่อนจะยื่นมือไปปัดผมซึ่งปรกหน้าเหม่ยลี่ออก คาดเข็มขัดแล้วเลี้ยวรถไปทางบ้าน
อี้หมิงขับรถมาเรื่อยๆ และคอยหันมามองยัยอ้วนของเขาเป็นระยะด้วยความรู้สึกสับสนในใจ ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ไปมา
“ฉันกำลังคิดเหลวไหลอะไรเนี่ย เหลยอี้หมิง มีสติหน่อยสิ”
วันถัดมา พนักงานเทซีโร่ทำงานจนถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนทยอยกลับบ้านกัน
หญิงชุดแดง เดินผ่านแผนกออกแบบ โบกมือลาซือหยวนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างคนมักคุ้นกัน
“บ๊ายบาย”
ซือหยวน “บ๊ายบาย” ตอบ ก่อนจะคว้ากระเป๋าถือลุกออกจากโต๊ะ เห็นเหม่ยลี่ทำงานอยู่จึงเดินมาหา
“ยังไม่กลับเหรอ พยากรณ์อากาศบอกว่า คืนนี้จะมีพายุไต้ฝุ่นนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มให้ “พี่ซือหยวนกลับก่อนเถอะค่ะ ฉันอยากศึกษางานต่ออีกหน่อย”
ซือหยวนมองหนังสือบนโต๊ะ “หนังสือมืออาชีพอย่างนี้ เธออ่านเข้าใจเหรอ”
“เอ่อ...ฉันกำลังพยายามเรียนรู้”
“แต่บางสิ่งบางอย่างต้องพึ่งพรสวรรค์ ไม่ใช่พยายามแล้วจะเป็นได้ง่ายๆ เธอยังไม่เคยเข้าใกล้เครื่องประดับ มีสิทธิ์อะไรจะออกแบบล่ะ” ซือหยวนดูถูกผ่านน้ำเสียงเยาะหยันชัดแจ้ง
เหม่ยลี่เงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันถามอะไรพี่หน่อยสิพี่ซือหยวน”
ซือหยวน “ว่ามา”
เหม่ยลี่ “พี่...ทำไมพี่ต้องเกลียดฉันด้วย”
“เพราะว่าเธอต้องการเข้ากลุ่มที่ไม่เหมาะกับตัวเอง ไม่เหนื่อยบ้างรึไง”
ซือหยวนเดินฉับๆ ออกไปเลย ปล่อยให้เหม่ยลี่นั่งหน้าเครียดอยู่ลำพัง
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ไฟในอาคารเทซีโรถูกปิดเหลือเฉพาะบางจุดตรงทางเดิน เหม่ยลี่คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับกันหนาวเปิดโคมไฟทำงานต่ออีกสักครู่หนึ่ง จึงเก็บโต๊ะ ปิดไป ลุกเดินออกไปเพื่อกลับบ้าน
ขณะเดินลงบันไดมารอลิฟต์ จู่ๆ ไฟบริเวณหน้าลิฟต์สองฝั่งก็ดับพรึบลง
“อ๊าย อะไรกันเนี่ย” เหม่ยลี่ตกใจ ล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ามาเปิดไฟฉาย เดินไปส่องไฟกดเรียกลิฟต์ทั้งสองข้างแต่ไม่เป็นผล จึงเอาไฟฉายมือถือส่องหน้าเดินออกมาทางบันได โดยไม่รู้ว่าเซี่ยวเลี่ยงกำลังเดินลงมาจากชั้นบนพอดี
เซี่ยวเลี่ยงหันมาเห็นเหม่ยลี่ซึ่งมีไฟส่องหน้าก็แทบช็อกสะดุ้งสุดตัว แหกปากร้องลั่น
“เฮ้ย”
เหม่ยลี่เองก็ตกใจ ยกมือปิดร้องกรี๊ดสุดเสียง “อ๊าย”
เซี่ยวเลี่ยงมองชัดๆ จนพบว่าเป็นคน และเป็นเหม่ยลี่ก็โมโห
“คุณทำอะไร”
เหม่ยลี่เงยหน้ามอง “คุณเซี่ยว ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้”
เซี่ยวเลี่ยงถอนหายใจ “ผมอยู่ในบริษัทของตัวเองมันแปลกตรงไหน”
“เอ่อ ไม่รู้ว่าทำไมลิฟต์ถึงไฟดับ”
เซี่ยวเลี่ยงถามว่า “ยามล่ะ”
“เลิกงานแล้วมั้ง”
เซี่ยวเลี่ยงหยิบมือจากเสื้อโค้ท กดโทร.ออก
“ฮัลโหล ให้ยามขึ้นมาเปิดประตู ผมกับพนักงานคนหนึ่งถูกขังอยู่ในบริษัท อืม” ซีอีโอหนุ่มกดวางสายไป
เหม่ยลี่ยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณคุณเซี่ยว ถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ วันนี้ฉันคง...แย่แน่”
“เดี๋ยวยามก็ขึ้นมา คุณรออยู่ตรงนี้เถอะ” เซี่ยวเลี่ยงบุ้ยใบ้บอกแล้วจะเดินขึ้นบันไดกลับห้องทำงาน
เหม่ยลี่ตกใจกลัววิ่งกระโจนมาคว้าแขนเขาไว้ เซี่ยวเลี่ยงสะบัดมือออกหันมามองตาขุ่น แล้วเดินขึ้นบันไดไป เหม่ยลี่วางตาม
“คุณอย่าเพิ่งไปค่ะ รอฉันด้วยค่ะคุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงเข้าห้องทำงานมา มีเหม่ยลี่ตามมาด้วย แต่นางหยุดยืนที่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามา
“เอ่อ…ไม่ปิดประตูได้มั้ย ฉันจะยืนอยู่ตรงประตู ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ”
“เข้ามาสิ คุณนั่งตรงนั้นได้”
เซี่ยวเลี่ยงเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ส่วนเหม่ยลี่ปิดประตูแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ตรงมุมรับรองแขกในห้อง
เซี่ยวเลี่ยงเตรียมทำงานต่อ มองมายังเหม่ยลี่แล้วกระแอมขึ้น ออกคำสั่ง
“ห้ามพูดอะไร และห้ามขยับ ห้ามถามคำถาม และห้ามรบกวนผม ไม่งั้นผมจะลากคุณออกไปทันที”
เหม่ยลี่ยิ้มโค้งรับเอาคำสั่ง
“ขอบคุณคุณเซี่ยว”
จากนั้นเหม่ยลี่ก็นั่งเท้าคางมองจ้องเทพบุตรของเธอทำงานด้วยหัวใจพองโต ฟินแล้วฟินอีก
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เซี่ยวเลี่ยงรู้สึกตัวว่าถูกมอง จึงเงยหน้ามามองตาขวาง เหม่ยลี่สะดุ้งนิดๆ
“บอกแล้วไงว่าอย่าห้ามรบกวนผม”
“ฉันไม่ได้พูดและไม่ได้ขยับตัวเลยนี่”
เซี่ยวเลี่ยงคร้านจะทะเลาะ ก้มหน้าดู ตรวจงานต่อ เหม่ยลี่หุบยิ้ม สายตาไปสะดุดกับเอกสารงานบนโต๊ะกลาง ก้มหน้าลงไปดู พลางเอ่ยถามขึ้น
“นี่คืองานโฆษณาฤดูกาลใหม่เหรอคะ”
เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้ามามอง ทุบโต๊ะปัง หงุดหงิดและรำคาญเหม่ยลี่จนเหลืออด
“คุณออกไปเดี๋ยวนี้เลย คุณต้องการอะไรกันแน่ ทำไมรองประธานหลินถึงยอมให้คุณเข้ามาทำงานที่นี่”
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขอบคุณค่ะคุณเซี่ยว ฉัน...ฉันไม่ได้มีความหมายอื่น และไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคุณด้วย งั้นฉันออกไปยืนข้างนอกดีกว่า”
เหม่ยลี่ลุกเดินออกไปทางประตู แต่หยุดในอีกสองสามก้าว หันมาหาเขา
“คุณเซี่ยว ฉัน...ฉันอยากพูดอะไรกับคุณอย่างหนึ่ง แค่ประโยคเดียว” เหม่ยลี่ยกนิ้วชี้มาสำทับ
“ว่ามา”
“ที่จริงฉันอยากบอกว่า โฆษณาของฤดูกาลใหม่ ถ้ามีการขยายความคุ้มครองใหญ่กว่านี้ ผลที่ได้รับจะดีขึ้น
“คุณว่าไงนะ” เซี่ยวเลี่ยงประหลาดใจไม่น้อย
เหม่ยลี่เดินไปหยิบแฟ้มเอกสาร แล้วเดินมาหยุดห่างจากโต๊ะเซี่ยวเลี่ยงร่วมเมตร พลางเสนอไอเดียอย่างคล่องแคล่ว
“ฉันหมายถึงว่า ถ้าคุณเอาความคุ้มครองโฆษณานี้ขยายให้ใหญ่ อย่างเช่นว่า เราสามารถถ่ายหนังสั้น แบ่งออกเป็นสองเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรก เป็นความคล่องตัว แล้วเอาลงอินเตอร์เน็ตโทรทัศน์และสื่อโฆษณาอื่นๆ เวอร์ชั่นที่ 2 เราก็สามารถถ่ายเป็นเวอร์ชั่นเต็มได้ ฉายเฉพาะในสถานที่สาธารณะ รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือตามป้ายรถเมล์ ในรูปแบบของเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ และฉายทีละซีซั่น ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ผู้ชมมีความอยากรู้อยากเห็น และสามารถดึงดูดผู้ชมทุกเพศทุกวัย สิ่งที่สำคัญคือวิธีการประชาสัมพันธ์ของเรา จะทำให้น่าสนใจมากกว่าวิธีแบบเดิมค่ะ”
เห็นซีอีโอหนุ่มเอาแต่จ้องตาค้างไม่พูดไม่จา เหม่ยลี่หน้าเสียใจแป้ว รีบออกตัว
“เอ่อ...แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดของฉันคนเดียว ยังไม่ดีเท่าไหร่หรอกค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงทึ่งจนพูดไม่ออกต่างหากเล่า เขาเอ่ยขึ้นผายมือให้
“เข้ามานั่งสิ”
เหม่ยลี่ลงนั่งงงๆ
เซี่ยวเลี่ยงยื่นมือมาขอแฟ้มงาน “แผนงานล่ะ” เหม่ยลี่ยื่นให้ เขารับไปเปิดหน้าแรกกางออก วางลงบนโต๊ะแล้วยื่นกลับมาให้เธอใหม่
“คุณลองตั้งใจดูแผนงานนี่ให้หมด แล้วบอกผมเกี่ยวกับ ความคิดและข้อเสนอแนะของคุณว่าเป็นยังไง”
“ค่ะ” เหม่ยลี่ยิ้มกว้างรับเอาคำอย่างปลื้มปริ่ม
ก้มหน้าลงอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
อีกฟากหนึ่ง ดึกมากแล้ว แต่เหม่ยลี่ก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นสักที เหลยอี้หมิงนั่งไม่ติดที่ เทียวเดียวไปเปิดประตู ชะโงกหน้าไปดู เมื่อไม่เห็นก็เปิดประตูอ้าไว้ แล้วเดินมานั่งรอ จ้องประตูด้วยใบหน้าหมองเศร้า สักพักหนึ่งก็ลุกเลื้อยไปยืนเอาคางเกยราวบันไดจ้องประตูบ้านอย่างใจใจจ่อ
ดูออกไม่ยากว่าโมงยามนี้ สูตินรีแพทย์หนุ่มเจ้าสำราญอาการหนัก
เพราะหลงรัก ยัยอ้วน ของเขา เข้าเต็มทรวง
เซี่ยวเลี่ยงหยิบแฟ้มที่เหม่ยลี่ทำไฮไลต์กำกับไว้มาดู ออกอาการพอใจมาก
“เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแล้วย่อมดีกว่า เมื่อก่อนคุณเคยทำงานอยู่บริษัทโฆษณาเหรอ”
“ค่ะ”
“อื้ม” เซี่ยวเลี่ยงพนักหน้า “ความคิดสร้างสรรค์อย่างนี้ ทำไมไม่เสนอตั้งแต่แรกล่ะ”
“ความจริงก่อนหน้านี้ฉันเคยทำงานโพรเจกต์หนึ่งให้...” เหม่ยลี่ชะงัก อดคิดในใจขึ้นมาไม่ได้ว่า “หรือว่าท่านรองหลินไม่ได้เอาแผนงานของฉันให้คุณเซี่ยว ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วยนะ ช่างเถอะ เหลยอี้หมิงบอกว่าอย่าหลงกลใครง่ายๆ ทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า”
เซี่ยวเลี่ยงเห็นอีกฝ่ายเงียบไปเฉยๆ ก็แปลกใจ “คุณเป็นอะไร อยากพูดอะไรเหรอ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ คุณเซี่ยว คุณบอกว่าความคิดของฉันดีเหรอคะ” เหม่ยลี่ปรบมือให้กับตัวเอง ยิ้มหัวด้วยความดีใจ “ดีใจจังเลย”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มบางๆ มาให้ อคติในใจเขาที่เคยมีต่อเธอสลายไปจนสิ้น
“สนใจเข้ามาอยู่ฝ่ายวางแผนมั้ย”
เหม่ยลี่ชะงักไปนิด “ฉันยังไม่อยากออกจากฝ่ายการออกแบบค่ะ”
“คุณยินดีจะเป็นผู้ช่วยนักออกแบบต่อไปเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจ
“เพราะว่าตอนนี้ฉันเป็นเพียงผู้ช่วย ฉะนั้นฉันจะไปตอนนี้ไม่ได้ ถ้าฉันออกไปตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าฉันยอมแพ้ตำแหน่งนี้ ฉันไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ หรอกค่ะ” ยิ่งฟังซีอีโอหนุ่มยิ่งทึ่ง “เอ่อ...แน่นอนว่า แม้จะมีความพยายาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ เหมือนฉันที่ไม่เคยเข้าใกล้เครื่องประดับเลย จะออกแบบเครื่องประดับที่ดีได้ยังไงกันล่ะ”
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขัดขึ้น เซี่ยวเลี่ยงหันไปทางเสียง พร้อมกับร้องบอก
“เข้ามา”
พนักงานชายชุดดำ เปิดประตูหยุดยืนรายงานอยู่ตรงนั้น “ขอโทษครับคุณเซี่ยว เพราะคืนนี้มีพายุเข้าจึงไม่มีใครทำโอที ไฟเพิ่งซ่อมเสร็จ ลิฟต์ก็ใช้งานได้ปกติแล้ว คุณสามารถออกไปได้แล้วครับ”
พนักงานคนนั้นโค้งให้ ปิดประตูลงแล้วเดินจากไป
เหม่ยลี่ลุกขึ้น “งั้นคุณเซี่ยว ฉันกลับก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะคุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงเรียกเธอไว้ “เดี๋ยวก่อน” เหม่ยลี่หันมาหา “เอ่อ...คุณชื่ออะไร”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้างสดใส “ฉันชื่อมี่โตะ งั้นฉันกลับก่อนค่ะ บ๊ายบาย”
เซี่ยวเลี่ยงมองตามจนสาวเจ้าพ้นประตูลับกายไป
“มี่โตะเหรอ”
ซีอีโอหนุ่มทวนชื่อนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ที่โรงพยาบาลซึ่งเหลยอี้หมิงทำงานอยู่ ในวันต่อมา อี้หมิงสวมเสื้อกาวน์ในมือถือชาร์ตคนไข้ เดินใจลอยพ้นมุมทางเดินเข้ามาในแผนกจิตเวช ด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ จนสุดท้ายพาตัวเองมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานจิตแพทย์ท่านหนึ่ง มองซ้ายแลขวา ก่อนจะยกชาร์ตในมือปิดหน้า ผลุบหายเข้าไปในห้องนั้นโดยไว พร้อมกับปิดประตูลง
คุณหมอเจ้าของห้องเอ่ยทักอย่างแปลกใจในท่าที
“ว่าไงหมอเหลย”
อี้หมิงเดินปิดหน้าปิดตามานั่งลงหน้าโต๊ะ “วันนี้ว่างมั้ย”
“ว่างสิ ปิดประตูปิดหน้าอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าคุณอยากไปแดนซ์กับสาวๆ คุณมาผิดแล้วที่นี่แผนกจิตเวช” จิตแพทย์ร่างอวบยิ้มขำ
“หยุดพูดเลยน่า”
“ทำไมแกต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แถมยังปิดหน้าด้วยล่ะ”
อี้หมิงวางชาร์ตปิดหน้าลง แขนกับโต๊ะทำหน้าจริงจังเท้าเชิงหารือ
“ความจริงวันนี้ที่ฉันมาปรึกษาแก เพราะฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง”
“อื้ม ว่ามา”
“เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อนฉันอกหักมา เขาบอกว่ามีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กับเพื่อนผู้หญิงที่เติบโตมาด้วยกัน เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้”
“ความรู้สึกยังไง” เพื่อนหมอถามอาการ
“ไม่สบายใจ”
“ไม่สบายใจเหรอ” จิตแพทย์ประหลาดใจ
“เขาบอกว่าไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และทุกครั้งจะทำให้เขาหงุดหงิดและมีอาการซึมเศร้า เพราะรู้สึกแปลกๆ กับเธอ ยังไงก็ตาม เวลาเห็นยัยอ้วนเขาจะรู้สึกไม่ปกติและหงุดหงิดมาก แกว่าอาการแบบนี้เป็นเพราะเขากดดันมากเกินไป เขามีภาวะซึมเศร้ารึเปล่า”
อี้หมิงเผลอเล่าอาการตัวเองจนเห็นภาพ จิตแพทย์รู้ทันยกปากกาในมือเขี่ยหัวตัวเอง บอกทันทีว่า
“แกไม่ได้เป็นภาวะซึมเศร้าหรอก”
อี้หมิงรีบสวน “เดี๋ยวๆๆ แกอะไรกันล่ะ”
เพื่อนหมอรีบแก้ให้ “อ้อ เพื่อนของแกไง มันไม่ได้เป็นภาวะซึมเศร้าหรอก”
“แล้วมันเป็นโรคอะไร”
เพื่อนหมอร่างอวบยิ้มบอก “โรคความคิดถึง”
อี้หมิงแย้งไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้”
“แกเคยได้ยินคำพูดของชาวยิวมั้ย คนเรามีสามอย่างที่ไม่สามารถปิดบังได้ คือความจน อาการไอ และความรัก เมื่อแกตกหลุมรักใครสักคน...”
อี้หมิงรีบสวนอีก “เดี๋ยวก่อนๆๆ แกอะไรฉัน บอกแล้วไงว่าเพื่อนของฉัน”
“ใช่ๆๆ เพื่อนของแก”
“ระวังคำพูดของแกด้วย ไม่ใช่ฉัน” อี้หมิงยกมือชี้นิ้วคาดโทษให้ระวังคำพูด
“เมื่อเพื่อนของแก ตกหลุมรักใครสักคน ก็จะคิดถึงเขาโดยไม่รู้ตัว และจะห่วงใยเธอตลอดเวลา และมีความรู้สึกดีให้เสมอ เวลาที่ห่างไกลเธอก็รู้สึกกังวล และมักคิดว่าโลกนี้มีแต่เธอคนเดียว ในใจของแก...อ้อ ในใจของเพื่อนแกมักคิดแบบนี้ อาการแบบนี้ในโลกนี้ ไม่มียาหรือว่าวิธีรักษาให้หายขาดได้ แก...คงไม่ได้อกหักนะ” อี้หมิงชี้นิ้วปรามอีก “เพื่อนของแกน่ะ”
สีหน้าอี้หมิงเครียดจัด
ภาพแผนงานภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของเทซิโร ถูกฉายขึ้นบนจอโพรเจกเตอร์ในห้องประชุม ภาพบนจอเปลี่ยนไปตามรายละเอียดที่ผู้หญิงบรรยายประกอบ
“ปล่อยให้ประชากรสิบล้านในเมือง ได้มองเห็นส่วนลึกของภาพเพชรขนาดเล็กแต่สวยที่สุด ผู้กำกับ 8 คน เกิดหลังปีเจ็ดศูนย์ ต้องการสื่อให้ความรักความเกลียดชังระหว่างคนที่เกิดหลังแปดศูนย์ เพราะหวังว่าคุณจะสามารถมองเห็นเงาของตัวเอง และสามารถทำให้คุณหยุดและมองไปข้างหน้า เพื่อที่จะสัมผัสกับความรู้สึกที่อ่อนไหวที่สุดของตัวเองได้อย่างแท้จริง”
หลินจื่อเหลียงมองภาพบนจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เซี่ยวเลี่ยงเอ่ยเสริมขึ้นในที่ประชุมว่า “ในรูปแบบของไมโครภาพยนตร์โฆษณา จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายการประชาสัมพันธ์ ต้องมีเนื้อหาที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นทุกคนคิดว่ายังไง”
จื่อเหลียงทักท้วงขึ้น “ก่อนหน้านี้ บริษัทไม่เคยใช้รูปแบบนี้ประชาสัมพันธ์ ผมเกรงว่าจะมีความเสี่ยงบางอย่าง”
หญิงชุดส้มกรรมการท่านหนึ่งกลับแย้งว่า “แต่รูปแบบนี้มีความคิดใหม่ๆ และยังอยู่ในแนวเดียวของสังคมปัจจุบัน ฉันสนับสนุน”
“ดี งั้นตกลงตามนี้”
ฉีหยูเดินเข้ามาหา วางแฟ้มให้ “คุณเซี่ยว นี่คือรายชื่อของพนักงานทุกแผนกที่ส่งมา”
เซี่ยวเลี่ยงรับมาเปิดดูทันที “คณะกรรมการของแต่ละฝ่ายตัดสินใจ ส่งรายชื่อของพนักงานฝ่ายออกแบบคือหลิวซือหยวนกับเฉินหมิงใช่มั้ย รองประธานหลิน” ตอนท้ายเขาหันมาทางจื่อเหลียง
“หลิวซือหยวนเป็นผู้รับผิดชอบงานออกแบบครั้งนี้”
เซี่ยวเลี่ยงบอกทันทีว่า “เปลี่ยน! คนผมจะระบุคนใหม่”
จื่อเหลียงแปลกใจ “คุณจะเปลี่ยนเป็นใคร”
เซี่ยวเลี่ยงปิดแฟ้มในมือลง หันมามองหน้าจื่อเหลียง
“เปลี่ยนเป็นมี่โตะ”
จื่อเหลียงแปลกใจมากกว่าเก่า “คุณรู้จักเธอเหรอ”
“แปลกมากเหรอ เพราะไมโครภาพยนตร์เป็นความคิดของเธอ”
เซี่ยวเลี่ยงเลื่อนแฟ้มไปคืนฉีหยู ในขณะที่หลินจื่อเหลียงเหลียวไปมองภาพพรีเซนต์บนจอ แล้วหันมามองหน้าเซี่ยวเลี่ยง อย่างคาดไม่ถึง สีหน้าของเขากังวลมากเอาการ
เสียงเหม่ยลี่ร้องโหวกเหวกดังมาจากจากประตูหน้าบ้าน
“เหลยอี้หมิง ฉันมีข่าวดีมาบอก ฉันจะเข้าฝ่ายละครแล้ว”
เหม่ยลี่เดินเอาถุงข้าวของที่ชอปปิ้งมาไปวางตรงเคาน์เตอร์ เดินไปเคาะประตูห้องนอนเรียก
“เหลยอี้หมิง” ทุกอย่างเงียบกริบ “นี่ นายไม่อยู่เหรอ”
มี่เหม่ยลี่แปลกใจ ที่หมอหนุ่มเจ้าสำราญไม่อยู่ในบ้าน วางกระเป๋าสะพานตรงโต๊ะหยิบมือถือออกมากดโทร.หา
อี้หมิงยังอยู่ในชุดเดิม นั่งเครียดอยู่หน้าจอคอมพ์ห้องพักแพทย์ในแผนกสูตินรี บ่นพึมพำกับตัวเองสลับกับถอนใจเฮือกๆ ตั้งแต่ออกจากห้องจิตแพทย์จวบจนป่านนี้
“เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีทางชอบเธอแน่นอน ฉันจะชอบเธอได้ไง เธอคือยัยอ้วนนะ ฉันไม่คิดแล้ว ฉันไม่คิดแล้วพอใจยัง ฉันไม่คิดๆๆๆ” อี้หมิงหลับตาลง บอกเตือนตัวเอง “ฉันไม่คิดๆๆๆ” อยู่อย่างนั้น
จนเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อี้หมิงเห็นชื่อ ยัยอ้วน ของเขา โทร.มา แล้วหงุดหงิดบ่นบ้าออกมา
“เฮ่อ ฉันไม่คิดอะไรแบบนั้นแน่นอนใช่มั้ย”
อี้หมิงกดรับสาย ถามเสียงดุทำเป็นโมโหใส่ไปว่า
“เธอเป็นอะไรอีกล่ะ”
เหม่ยลี่ยิ้มร่าอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“เหลยอี้หมิง ฉันมีข่าวดีจะบอกนาย”
“เธอจะบอกเรื่องเซี่ยวเลี่ยงใช่มั้ย เธอจะให้พื้นส่วนตัวฉันบ้างไม่ได้เหรอฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ฉันต้องไปทำคลอดแล้วไม่มีเวลาคุยเรื่องเหลวไหลกับเธอ”
อี้หมิงโวยวายเสียงดังใส่แล้วตัดสายไปเลย
“นี่ เฮ้อ ทำไมจู่ๆ กลายเป็นอย่างนี้ล่ะ หรือว่าหลังอกหักต้องการพักฟื้น”
เหม่ยลี่อึ้ง งงมาก
ส่วนอี้หมิงเอาแต่บ่นบ้าบอกเตือนตัวเองด้วยคำพูดเดิม
“ไม่คิดๆ” แต่ไม่เป็นผล
สุดท้ายถอนใจเฮือกออกมาก้มหน้าลงกับโต๊ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหัวใจตัวเอง
เซียนหนาน สามีรูปหล่อของซือหยวนนั่งเล่นเกมกับโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงานในห้อง ขณะซือหยวนเปิดประตูเข้ามา เขาหันไปมองแว่บหนึ่ง แล้วหันกลับมาจดจ่อหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ ทักถามขึ้นว่า
“ที่รัก กลับมาแล้วเหรอ ซื้อกับข้าวมารึเปล่า”
“ยังจะมาถามอีก ฉันยังโมโหไม่หายเลย” ซือหยวนยกแก้วน้ำบนโต๊ะข้างประตูมาดื่ม ดับอารมณ์พลุ่งพล่านในใจ
“เป็นอะไร ใครทำให้คุณโกรธอีกล่ะ”
ซือหยวนเดินบ่นเข้ามาในห้อง “จะมีใครอีก ก็ยัยมี่โตะไง เธอเป็นแค่พนักงานใหม่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร คุณเซี่ยวสั่งให้ฉันกับเธอเข้ากลุ่มละคร และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันถึงได้ถูกคัดออก”
เซียนหนานหมุนเก้าอี้หันมาหา “โธ่ เธอเป็นพนักงานใหม่คุณก็ควรแนะนำเขาสิ ไม่เห็นต้องโมโหเลย”
“ฉันมาอยู่จุดนี้ได้ เพราะความพยายามของฉันนี่ ไม่ได้มีใครมาคอยสอน ถ้าต้องการมีตำแหน่งสูง ก็ต้องรู้จักความลำบากทุกคน จะสบายกว่าคนอื่นได้ไงล่ะ”
“ใช่ๆๆ” เซียนหนานเอาอกเอาใจ
“เขามีสิทธิ์อะไร เพราะมีใบหน้ารูปไข่ ก็ได้รับความสนใจจากท่านประธาน มันยุติธรรมกับฉันแล้วเหรอ”
เซียนหนานลุกเดินมา จับแขนปลอบ “เอาเถอะ งั้น...งั้นจะทำไงได้ เราไม่ใช่ท่านประธานนี่ คุณยอมรับซะเถอะ”
หลิวซือหยวนสะบัดแขนเขาออก อาละวาดใส่สามี “ฉันไม่ยอมหรอกน่า ทำไมฉันต้องยอมรับด้วย นอกจากคุณจะยอมชะตากรรม คุณไม่รู้จักทะเยอทะยานบ้างเหรอ ฉันอยู่ในบริษัทมีความกดดันมาก ฉันยังไม่พูดว่ายอมเลย นอกจากเล่นเกมแล้วคุณทำอะไรเป็นบ้างเนี่ย
เซียนหนานโกรธ เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอีก บ่นระบายออกมาด้วยความอึดอัด
“คุณโมโหมาจากบริษัททำไมต้องมาลงที่ผมด้วย คุณกลับมาเมื่อไหร่ก็ชวนทะเลาะทุกที คุณเคยคิดถึงความรู้สึกผมบ้างมั้ย ผมเป็นแฟนนะ ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของคุณ”
หลิวซือหยวนเถียงไปออก ได้แต่ยืนคุมแค้นอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางห้องพักเรียบเล็ก เครื่องเรือนธรรมดา
ภาพลักษณ์หรูหราไฮโซ ครอบครัวแสนอบอุ่น สามีแสนดี ที่หล่อนคุยโม้โอ้อวดให้ทุกคนในแผนกฟัง
ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องจริงอยู่เลย!
วันนี้มีการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ของเทซีโร่ ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาก เพราะ ซีอีโอหล่อหลากไส้ ซื่อเหลียง จะร่วมแสดงกับซุปตาร์สาว เกาเหวิน ด้วย
กองทัพนักข่าว และแฟนคลับจึงมาปักหลักรออยู่ด้านหน้าทางเข้าสถานที่ถ่ายทำ ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเสียงชายคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น
“เกาเหวินมาแล้ว”
พร้อมๆ กับที่รถยนต์ตู้หรูคันนั้นจะแล่นเข้ามาจอด
บรรดาติ่งเกาเหวิน ร้องรับ “มาแล้ว เกาเหวินๆๆๆๆๆ”
ประตูรถตู้เปิดออกโดยเจสัน มีซื่อเลี่ยงก้าวลงมาก่อน ตามด้วย เกาเหวิน คู่รัก ซีอีโอหนุ่ม โอบประคอง ซุปตาร์สาว หันมาประจันหน้ากับไมค์รวมของกองทัพนักข่าว ที่ยิงคำถามใส่ไม่ยั้ง
“เกาเหวิน คุณเข้าร่วมแต่ละกิจกรรมของเทซีโร่ จะมีคุณเซี่ยวตามไปดูแล ไม่ทราบว่าข่าวฉาวระหว่างคุณสองคนเป็นความจริง หรือแค่การโปรโมตภาพยนตร์คะ”
คำถามแรกยังไม่ถูกตอบ นักข่าวหญิงจอมเผือกคนต่อมาก็ซักต่อว่า
“ครั้งนี้คุณเซี่ยวยอมเป็นพระเอกเพื่อคุณเกาเหวินใช่มั้ยคะ”
“ไม่ว่าทุกคนพูดยังไงฉันกับคุณเซี่ยวเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน” เกาเหวินตอบ พลางหันมายิ้มเชิงถามเซี่ยวเลี่ยงว่า “ใช่มั้ยคะ”
“ขอบคุณที่ทุกคนสนใจผลงานของเทซีโร่ ขอบคุณมากครับ”
เจสันและบอดี้การ์ด แหวกกองทัพนักข่าวออก เข้ามากันให้สองคนเดินไป ท่ามกลางเสียงตะโกนถามดังเซ็งแซ่ในทำนองว่า
“คุณเซี่ยว ช่วยตอบคำถามของเราหน่อยค่ะ” /
“ช่วยตอบคำถามของเราด้วยค่ะเกาเหวิน” /
“เกาเหวิน แฟนคลับอยากให้พวกคุณคบหากันมาก”
จากนั้นบรรดาติ่ง ก็ประสานพลัง ชูป้ายบอกรัก ชูโปสเตอร์ ตะโกนก้อง
“เกาเหวินๆๆๆๆๆ”
เกาเหวิน และ เซี่ยวเลี่ยง เดินคุยกันมาทางเซ็ตที่ทีมงานตั้งกองถ่ายโฆษณารออยู่แล้ว เจสัน ตามหลังมาด้วย เหม่ยลี่ เตรียมงานอยู่มุมหนึ่งกับซือหยวน หันไปเห็นความสนิทสนมของสองคนก็ลืมตัวลุกเดินมามองจ้อง
“ทำไมคุณต้องมาเป็นพระเอกของฉันด้วยล่ะ คุณไม่ได้สนใจฉันไม่ใช่เหรอ” เกาเหวินเอ่ยถาม
เซี่ยวเลี่ยงตอบว่า “ให้คนอื่นคิดว่าผมสนใจคุณก็พอแล้ว”
“เรื่องนี้ค่อนข้างได้รับการยอมรับ แต่ฉันขอพูดไม่ดีไว้ก่อนเลย มีฉากจูบนะ”
เจสันกระแอมปราม “ที่รัก หยุดพูดแล้วเข้าไปพบผู้กำกับดีกว่า”
“ได้” เกาเหวินหันมาทางเซี่ยวเลี่ยง “ฉันไปก่อนนะ”
ซือหยวนเห็นเหม่ยลี่เอาแต่ยืนมองสามคน ก็ไม่พอใจ ร้องเรียก
“มี่โตะ”
แต่เหม่ยลี่ไม่ได้ยินมองตามเกาเหวินไป
พื้นทางเดินเป็นระแนงไม้เว้นช่อง หากเดินไม่ระวังมีสิทธิ์ส้นรองเท้าตกลงไปเป็นแน่ เกาเหวินบอกให้เจสันช่วย
“พยุงฉันหน่อย”
ซือหยวนไม่พอใจ เรียกดังขึ้นน้ำเสียงขุ่นมัว “มี่โตะ มัวดูอะไรอยู่ ฉันบอกให้ทำงาน”
เหม่ยลี่หันมาหน้าเจื่อนจ๋อย “ขอโทษค่ะพี่ซือหยวน”
“คุณเซี่ยวให้เธอมาเป็นผู้ช่วยของฉัน ลืมฐานะของตัวเองแล้วเหรอ”
“คราวหน้าฉันจะตั้งใจค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยืนมองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้น ตัดสินใจเดินเข้ามาหา ซือหยวนเห็นเข้า
“คุณเซี่ยว”
เหม่ยลี่หันมาหา เซี่ยวเลี่ยงถามเธอว่า
“คุณเตรียมตัวถึงไหนแล้ว”
เหม่ยลี่งง “หืม...ฉัน...ฉันเหรอค่ะ ฉันต้องเตรียมตัวอะไร”
“คุณเป็นหนึ่งในนักวางแผนของโพรเจ็กต์นี้ ก็ต้องเตรียมตัวเข้าฉากด้วยสิ” เซี่ยวเลี่ยงบอก ซือหยวนหันมามองเหม่ยลี่อย่างแปลกใจและไม่พอใจ
“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะเซี่ยว”
“บริษัทเราไม่ชอบผู้ที่ไร้ความสามารถ คุณต้องพยายามนะ”
“ฉันจะจำไว้ค่ะ” เหม่ยลี่ยิ้มรับเอาคำ
“ทำงานเถอะ” เซี่ยวเลี่ยงเดินออกไปอีกทาง
ซือหยวนเอ่ยขึ้น “ทำงานแล้ว”
สองสาวช่วยกันจัดเรียงกล่องเครื่องประดับไป
เกาเหวินเดินมากับเจสันที่คอยพยุงกันสะดุด
“ฉันจะบอกเธอนะ ผู้กำกับแบบนี้ ใช่ว่าเราไม่เคยเจอฉันแค่ยิ้มหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว”
“ช่วยไม่ได้ก็เราดังนี่ เธอนั่งพักก่อนสิ” เจสันพาเกาเหวินไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างราวเสื้อผ้า จึงหันมาทางซือหยวนกะเหม่ยลี่ “ชุดของเราล่ะ เอามาสิ”
ซือหยวนหยิบชุดบนราวที่เตรียมไว้มาส่งให้ “คุณเกา ชุดของคุณค่ะ”
เจสันยังไม่ยอมรับมาถามว่า “ชุดพวกนี้เคยถูกคนอื่นสัมผัสมั้ย”
ซือหยวนงง “น่าจะไม่เคยค่ะ”
เหม่ยลี่มองดูเหตุการณ์อยู่ รู้ว่าไม่นานต้องเกิดเรื่องแน่ เพราะเกาเหวินไม่พอใจคำตอบ
“ฉันไม่ใส่ชุดที่คนอื่นสัมผัสแล้ว เจสันเปลี่ยน”
เจสันรับเอาคำทันที “ได้”
ซือหยวนไม่พอใจโต้กลับทันที “คุณเกาเหวิน ฉันเป็นนักออกแบบของเทซีโร่ รับผิดชอบแค่ออกแบบและสร้างแบบจำลอง เสื้อผ้าของศิลปินไม่ใช้หน้าที่ของฉัน”
เกาเหวินเหลียวมามองตอกกลับเผ็ดกว่าแถมขึ้นเสียงใส่ ไม่พอใจถึงขีดสุด
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังพนักงานอย่างคุณพูดไร้สาระ เปลี่ยนชุดให้ฉันเดี๋ยวนี้ถ้าทำไม่ได้ก็รีบเปลี่ยนคน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา”
เหม่ยลี่รีบเข้าไปดึงแขนซือหยวนเชิงปราม พยายามประนีประนอมกับซุปตาร์สาว
“เอ่อ…คุณเกาคะ เอ่อ...ก่อนมาฉันเช็คประวัติของคุณทางอินเตอร์เน็ตแล้ว คุณมีนิสัยเจ้าบงการ ดังนั้น ก่อนมาที่นี่ฉันได้ตรวจสอบเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ว มั่นใจว่าไม่เคยมีใครแตะต้อง คุณสามารถสวมได้อย่างสบายใจค่ะ”
ซือหยวนอดทึ่งเหม่ยลี่ไม่ได้ เกาเหวินพอใจมาก
“งั้นดี ต่อไปเธอเป็นคนรับผิดชอบเสื้อผ้าของฉัน”
เหม่ยลี่ตกใจรีบบอก “ฉันเหรอ แต่ว่า ฉันเป็นแค่พนักงานใหม่ พี่ซือหยวนต่างหากเป็นนักออกแบบมืออาชีพ”
เกาเหวินปรายตามองซือหยวนพูดเหน็บ “ฉันว่าเธอสองคนน่าสนใจดีนะ คนเก่าอะไรกัน ทำได้ดีถึงเรียกว่ามืออาชีพ ฉันเลือกเธอแล้ว เจสัน ฉันเลือกเธอ”
เจสันรับเอาคำ “ได้”
ซือหยวนยื่นเสื้อให้แล้วเดินหนีไป เหม่ยลี่ไม่สบายใจหันไปเรียกไว้ทำท่าจะตามไป “พี่ซือหยวน”
เกาเหวินเรียกไว้ “เอ๊ะนี่เธอ จะถ่ายมั้ย”
เหม่ยลี่ผายมือบอกทางไปห้องแต่งตัว “ค่ะ เปลี่ยนชุดทางนี้ค่ะ”
“ไป” เจสันพยุงพาไป
ทางด้านเหลยอี้หมิงคอยหลบหลบตาเหม่ยลี่ตลอด หลังจากระเบิดอารมณ์ใส่ไป คืนนี้มาเที่ยวผับประจำหลังออกเวร แต่ดันซวยมาเจอกิ๊กเก่า ที่เขาเคยไปหลอกตอนบอกเลิกว่าตัวเองป่วยประหลาดและใกล้ตาย
กิ๊กเก่าในชุดดำเห็นอี้หมิง นั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่ตรงโต๊ะกลางผับคนเดียว ก็มองจ้องด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงจำจำหล่อนได้ ทักตอบเนือยๆ “อ๋อ เธอนั่นเอง”
กิ๊กเก่าเดินมานั่งด้วย “คุณยังมีชีวิตอยู่เหรอ”
“ใช่ ไม่เจอกันตั้งนาน”
“ไหนบอกว่านายเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำไมคุณมีชีวิตจนถึงตอนนี้ล่ะ” กิ๊กเก่าจ้องหน้า
อี้หมิงนึกได้ รีบไอโขลกๆ คิดคำแก้ตัว ทำเสียงแหบเสียงแห้งไปด้วย “ฉัน...ต่อมาฉันก็หายป่วยกะทันหัน หลังจากหายฉันก็แข็งแรง เธอเห็นฉันตอนนี้แข็งแรงมากใช่มั้ย”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเหลยอี้หมิง” กิ๊กเก่าเอนมาซบคล้องแขนเขามากอด “ฉันจะไม่ไปจากคุณอีก เรากลับมาคืนดีกันเถอะนะคะ”
อี้หมิงไม่ได้ซาบซึ้งสักนิด ดันเผลอตัวพึมพำออกมาว่า “ยัยอ้วน”
“คุณเรียกฉันว่าไงนะ” กิ๊กเก่าชุดดำโมโห ผลักอี้หมิงออกอย่างแรง
“เอ่อ ฉันไม่ได้เรียกเธอนะ เป็นอะไรที่รัก”
“คุณเรียกฉันว่ายัยอ้วนเหรอ ฉันสูง 165 ซม. น้ำหนัก 45 กิโล เมื่อก่อนคุณไม่เคยรังเกียจว่าฉันอ้วนนี่ ยัยอ้วนเป็นใครกันแน่”
อี้หมิงแก้ตัวพัลวัน “ไม่ใช่ๆ ฉันเปล่ารังเกียจเธออ้วน ฉันเรียกชื่อของเธอไม่ใช่เหรอ”
“ถ้างั้นฉันชื่ออะไร” กิ๊กชุดดำจ้องหน้าคาดคั้น
อี้หมิงกระอึกกระอัก จำไม่ได้ “เอ่อ...ที่รัก”
“คนโกหก” กิ๊กเก่าสะบัดหน้าลุกเดินหนีไปพร้อมความโกรธ
อี้หมิงสับสนหนัก ไม่เข้าใจตัวเองดกเหล้าดื่มดับความว้าวุ่นในใจ
“ฉันเรียกยัยอ้วนเหรอ เฮ้อ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ไปดีกว่า”
ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ อี้หมิงลุกเดินออกจากผับไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
บ้านทั้งหลังมืดสลัว มีเพียงโคมไฟจากผนังห้องพอให้มองเห็น ทันทีที่เปิดประตูโผล่หน้าเข้ามาในบ้านถุงของกินในมือ เขาก็หันไปตะโกนร้องเรียกหาเหม่ยลี่ที่ห้องนอนบริเวณชั้นลอยในบ้าน
“ยัยอ้วน ฉันกลับมาแล้ว เธอรู้มั้ยฉันซื้ออะไรมาให้ ตีนไก่ตุ๋นที่เธอชอบกินไง ซื้อมาจากร้านที่เธอชอบกินด้วย ฉันว่าเราหยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ เราไม่เคยทะเลาะกันอย่างนี้เลยนะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ อี้หมิงหันมาเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกทับไว้ด้วยตุ๊กตารูปหงส์บนโต๊ะทานอาหาร เขาวางถุงอาหารลง หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านดู เป็นข้อความขอโทษเขา เขียนด้วยลายมือมี่เหม่ยลี่
“เหลยอี้หมิง ฉันขอโทษ นายอกหักแล้วฉันยังเกาะแกะนายอีก นายเลยต้องคอยทนฟังฉันพูดเรื่องของเซี่ยวเลี่ยง ความจริงฉันแค่อยากเล่าให้นายฟังเท่านั้น เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเพื่อนของฉันมีแต่นาย คำพูดของนายฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันต้องการให้นายมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง แต่ฉันจะรอนายอยู่เสมอ พอดีหลายวันนี้ฉันต้องไปกองละคร นายต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ มิตรภาพตลอดไป”
อี้หมิงถอนใจเฮือกเมื่ออ่านจบ พูดระบายกับกระดาษแผ่นนั้น
“ยัยอ้วน ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ต่อไปฉันจะไม่ตะคอกใส่เธออีก เธอรู้มั้ย เธอทรมานฉันจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เรามาลืมเรื่องในอดีต แล้วกลับไปเหมือนเมื่อก่อน ดีมั้ย แค่ได้เห็นหน้าเธอ ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ”
อี้หมิงถอนใจนับครั้งไม่ถ้วน พยายามหักห้ามใจตัวเองอย่างหนักหน่วง
เมื่อมาถึงกองถ่ายในตอนเช้าวันต่อมา เหม่ยลี่ไม่สบายใจเดินมาคุยกับซือหยวนตรงทางเดินระแนงไม้
“ในส่วนของหน้าที่รับผิดชอบ…”
ซือหยวนสวนออกมาว่า “ฉีหยูบอกฉันแล้ว เสื้อผ้าของเกาเหวินเธอจะเป็นคนรับผิดชอบ ยังไงฉันก็ไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น ฉันไม่กล้ามีเรื่องกับใคร และไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง เธอเป็นคนรับผิดชอบแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะพี่ซือหยวน”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเพราะโครงการนี้เป็นของฉัน ฉันเซ็นสัญญาแล้วนะ เอาไปให้ผู้รับผิดชอบด้วย”
“ค่ะ” เหม่ยลี่รับเอาคำ พร้อมกับรับแฟ้มนั้นมา
ไม่ไกลจากจุดที่สองสาวคุยกันอยู่นั้น เซี่ยวเลี่ยงตรวจเอกสารที่ฉีหยูนำมาให้ดู ก่อนจะยื่นคืนให้สั่งกำกับว่า
“เอากลับไปที่บริษัท เพื่อตรวจสอบสถานการณ์หลายวันนี้ แล้วส่งกลับมาให้ผม”
“ครับ” ฉีหยูเดินออกไป
ระหว่างนี้เห็นทีมงานช่างไฟกำลังเตรียมงานกันอย่างรีบเร่ง ส่งเสียงสั่งงานเอะอะขึ้นเป็นระยะ ในขณะที่เหม่ยลี่ถือแฟ้มที่รับจากซือหยวนเดินมาทางเซี่ยวเลี่ยง พนักงานยกขาตั้งไฟสปอตไลต์ตัวใหญ่สวนมา แต่สายไฟสปอตไลต์ตัวนั้นดันเกี่ยวอยู่กับบันไดขาตั้งอลูมิเนียมที่กางตั้งอยู่ข้างทางเดินระแนงไม้
เหม่ยลี่ตกใจสุดขีดเมื่อหันไปเห็นว่า บันไดอันนั้นเอนล้มและกำลังจะเหวี่ยงฟาดลงมาใส่เซี่ยวเลี่ยงตามแรงกระชากสายไฟของพวกช่างไฟ
ไวเท่าความความคิด เธอวิ่งเข้าไปกอดเซี่ยวเลี่ยงใช้ตัวเองรับแรงฟาดจากบันไดนั้นแทน
เซี่ยวเลี่ยงตกใจรับรู้ถึงแรงที่ฟาดลงมานั้น เขาจับร่างเหม่ยลี่ออกร้องถาม
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
แต่แล้วซีอีโอหนุ่มต้องตะลึงงัน เมื่อเห็นมีเลือดไหลซึมออกมาจากศีษะของเธอ ตรงจุดที่ถูกบันไดฟาด พอจะปล่อยมือร่างของเหม่ยลี่กลับโงนเงนจะร่วงลงเพราะเจ้าตัวหมดสติไปแล้ว
“มี่โตะ มี่โตะ มี่โตะ รีบส่งโรงพยาบาลเร็ว”
เสียงร้องของเซี่ยวเลี่ยงเรียกให้ทีมงานที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งเข้ามาดู ซือหยวนตกตะลึง หันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูก
ยินเสียงผู้กำกับตะโกนสั่งผ่านวิทยุมือถือขึ้นว่า
“รีบไปขับรถมา เร็วๆๆ”
เซี่ยวเลี่ยงตัดสินใจช้อนอุ้มร่างเหม่ยลี่วิ่งออกไปทันที เสียงทีมงานร้องบอกกันทางวิทยุไปตลอดทาง
“รถล่ะ รถ” / “เร็วๆๆ”
ซือหยวนได้แต่ยืนตะลึง มองตามไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ยังช็อกไม่หาย
อีกฟากหนึ่ง อี้หมิงออกจากบ้าน เดินกดมือถือโทร.หาเหม่ยลี่ พลางเปิดประตูรถก้าวขึ้นนั่งแล้วปิดประตู คาดเข็มขัดเรียบร้อย รอจนมีคนรับสาย เขาคิดว่าเป็นยัยอ้วน
“ฮัลโหล ภาพยนตร์โฆษณา ถ่ายไปถึงไหนแล้ว”
กลายเป็นเซี่ยวเลี่ยงรับสายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
“เอ่อ ผมเป็นเจ้านายของมี่โตะ ตอนนี้เธอไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ เธอได้รับอุบัติเหตุระหว่างทำงานตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
อี้หมิงสตาร์ตเครื่องโดยเร็ว ขับรถทะยานออกไปราวกับจะบิน ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง เป็นห่วงยัยอ้วนของเขายิ่งกว่าชีวิตตัวเอง
เหลยอี้หมิงโลดแล่นกระโจนเข้ามาหยุดตรงเคาน์เตอร์ ถามเจ้าหน้าที่ในนั้น แจ้งรูปพรรณเหม่ยลี่ เจ้าหน้าที่หญิงชี้บอกห้อง เขาถามย้ำจนแน่ใจแล้ววิ่งไปโดยเร็ว
หมอหนุ่มเปิดประตูพรวดเข้ามา หยุดยืนพิงประตูหอบเหนื่อยมองไปที่เตียง พอเห็นว่าเหม่ยลี่ปลอดภัยนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงก็โล่งอก เดินเข้าไปหา แต่ต้องชะงักกึก
เมื่อเห็นเซี่ยวเลี่ยงซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ในห้อง ลุกเดินมายืนข้างเตียง ขยับผ้าห่มคลุมให้เหม่ยลี่
อี้หมิงเดินมาแอบดูตรงหน้าห้องน้ำในห้อง ก่อนจะตัดสินใจหันกลับเดินออกจากห้อง ปิดประตูลงอย่างเบามือ เดินจากไปในสภาพหัวใจสลาย
เซี่ยวเลี่ยงยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ก็ออกอาการดีใจที่เห็นเหม่ยลี่ซึ่งมีผ้าแผลเรียบร้อยลืมตาตื่น ฟื้นแล้ว
“คุณฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกยังไงบ้าง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรแล้ว ฉันแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”
เซี่ยวเลี่ยงโน้มหน้ามาดูแผล “หมอทำแผลให้คุณแล้ว เจ็บแผลแสดงว่าเริ่มฟื้นตัวแล้วล่ะ”
“คุณอยู่เฝ้าฉันทั้งวันเลยเหรอคะ”
เซี่ยวเลี่ยงถามเรื่องที่กวนใจเขาออกไป “ทำไมคุณต้องช่วยผม ถึงผมจะใช้โพรเจกต์ของคุณให้คุณเข้ากองละคร แต่คงไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยง”
“ฉันไม่ได้ช่วยคุณเพราะเรื่องนั้นหรอกค่ะ”
“งั้นเป็นเพราะอะไร”
“ฉันช่วยคุณเพราะว่า...” เหม่ยลี่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “เพราะฉันเดินผ่านตรงนั้นพอดี ฉันเลยต้องช่วยคุณค่ะ”
“ผมไม่เชื่อว่าคุณช่วยเหลือผมเพราะบังเอิญ ว่ามา คุณต้องการอะไร”
“ถ้าฉันมีเวลาคิดว่าต้องการอะไรล่ะก็ ฉันคงเข้าไปช่วยคุณไม่ทันหรอก คุณเซี่ยว ในโลกใบนี้ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยเงินได้นะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้ง นิ่งงันไป ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ในรถที่แล่นมาตามทาง ฉีหยูมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังเห็นท่าทีแปลกไป นั่งเงียบเหมือนคนใจลอยมาตลอดทาง ก็อดถามไม่ได้
“คุณเซี่ยว คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงหลุดจากภวังค์ “อะไรนะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่า ตั้งแต่คุณกลับจากโรงพยาบาล เหมือนเปลี่ยนเป็นละคน”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “ฉีหยู นายคิดว่า ปกติฉันมองโลกในแง่ร้ายเกินไปมั้ย”
“คุณเซี่ยว คือว่า...” ฉีหยูอึกอักลำบากใจที่จะพูดออกไป “ผมไม่รู้จะพูดยังไง”
เพียงเท่านี้ซีอีโอหนุ่มก็ได้คำตอบจากคำถามที่เหม่ยลี่ตั้งขึ้นในใจเขา
รอจนเห็นเซี่ยวเลี่ยงกลับออกไปสักระยะหนึ่งแล้ว อี้หมิงจึงเดินเข้ามาในห้องพักฟื้น ทุกก้าวย่างเขาจดสายตามองร่างยัยอ้วนที่นอนหลับบนเตียงด้วยความสงสาร เมื่อมาหยุดข้างเตียงเขายืนมือไปหมายจะจับแผลตรงหน้าผาก แต่ไม่ทันได้จับเพราะจู่ๆ เหม่ยลี่ก็สะดุ้งละเมออกมาเหมือนคนฝันร้าย
“อย่าเข้ามา อย่าชนฉันๆ”
อี้หมิงกุมมือเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างลูบหน้าผากปลอบเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวๆ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”
เหม่ยลี่ลืมตาขึ้นมองพอเห็นว่าเป็นใครจึงยันกายลุกนั่ง
“เหลยอี้หมิง นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
อี้หมิงหยิบหมอนมาวางรองหลังให้
“เธอฝันร้ายอีกแล้วนะ เธอยังตกใจเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์เหรอ”
“ตอนนี้ฉันไม่ค่อยคิดแล้วล่ะ อ้อจริงสิ วันนี้เซี่ยว...” เหม่ยลี่นึกได้ คราวก่อนเขาตะคอกเธอเพราะพูดแต่เรื่องเซี่ยวเลี่ยงเลยหยุดไว้เท่านั้น “ขอโทษนะ ฉันลืมว่านายเพิ่งอกหัก ยังไม่ควรพูดเรื่องของฉัน”
อี้หมิงลงนั่งข้างๆ เตียงถอนใจ “เอาเถอะน่า ตอนนั้นฉันแค่อารมณ์หงุดหงิด เธออย่าเก็บไปใส่ใจเลย ตั้งแต่นี้ไป เธออยากแสดงความรัก ยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ถือสาเธออีกแล้วนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้าง ฟาดแขนเขาไปทีด้วยความดีใจ
“ต้องอย่างนี้สิอี้หมิงของฉัน เฮ้อ...ช่วงนี้นายอารมณ์แปรปรวนมาก ฉันเลยไม่รู้จะเข้าหานายยังไงดี”
อี้หมิงลุกมานั่งริมเตียง กระแอมกระไอก่อนบอกความนัย
“ฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว นับจากวันนี้ไป แค่เธอมีความสุขก็พอ ฉันจะทิ้งความวุ่นวายในใจไป และมีความสุขไปพร้อมเธอ เพราะฉันหวังดีกับเธอ ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าไกลแค่ไหน ฉันจะไปอยู่ดูแลเธอ เพราะระหว่างเรา คือเพื่อนรักนี่ ฉันจะไม่ยอมให้อะไรมาทำลายมิตรภาพของเราแน่”
เหม่ยลี่จ้องหน้าจับผิด “ฉันรู้สึกว่านายดูเศร้าๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
หมอหนุ่มอึ้งไปนิดๆ “เอ่อ...ไม่มีหรอกฉันแค่..อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันกดดันมากไป แต่ตอนนี้เธอทำให้ฉันมีสติขึ้นมากเลยล่ะ”
เหม่ยลี่หัวเราะเบิกบาน “เฮ้อ ดูเหมือนว่า การบาดเจ็บครั้งนี้ของฉันจะไม่เสียเปล่า ไม่เพียงแต่ ช่วยคุณเซี่ยวได้เท่านั้น แต่ยังทำให้นายง้อฉันด้วย”
อี้หมิงหมั่นไส้ เอ็ดเอา “พูดเหลวไหลอะไร เธอบาดเจ็บแล้วยังพูดอย่างนี้อีก ไม่เจ็บบ้างรึไง”
เหม่ยลี่หัวเราะร่า โผเข้ากอดอี้หมิงด้วยความดีใจ “เฮ้อ เพื่อนของฉันกลับมาแล้ว ดีใจจังเลย”
ยัยอ้วนของเหลยอี้หมิงละตัวออก จับที่แผลตรงหน้าผาก กับหน้าตาตัวเอง พลางถาม
“นี่ มาดูหน่อยเร็ว หน้าผากฉันจะมีรอยแผลเป็นมั้ย ยังมีตรงไหนที่บาดเจ็บต้องทำแผลบ้าง มีมั้ย”
อี้หมิงยกมือเสยเผยที่ปิดแผลขึ้นมองนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วบอกว่า
“ไม่มี...ไม่เป็นไร”
“งั้นก็ดี” เหม่ยลี่ดีใจ เกลี่ยผมลงปิดแผลอย่างเก่า ส่วนอี้หมิงมองเพื่อนรักของเขาอยู่อย่างนั้น
ดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาใหม่ขึ้นที่กองถ่ายโฆษณา เพราะเสียงเกาเหวินโวยวายขึ้น จับสำเนียงได้ว่าหล่อนกำลังโต้เถียงกับผู้กำกับ
“ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังฉันเจอพระเอกก็ต้องตื่นเต้นจะให้วิ่งเข้าไปจูบเขาได้ไงกันล่ะ”
เกาเหวินยืนประจันหน้ากับผู้กำกับ ท่ามกลางวงล้อมของทีมงานที่ยืนออลุ้นระทึกกันอยู่
“แต่มันจะถ่ายทอดความรู้สึกของคุณได้ ภาพออกมาถึงจะดูดี เพราะเราต้องการความรู้สึกที่ร่าเริง” ผู้กำกับบอก
เกาเหวินเริ่มเหวี่ยง ประชดประชัน “ถ่ายโฆษณาไม่ใช่ถ่ายซีรีส์โรแมนติกซักหน่อย คุณจะให้ฉลองตีกลองตีฉิ่งด้วยมั้ยล่ะ”
ผู้กำกับพยายามคุมอารมณ์ “ผมไม่มีเวลาพูดเรื่องนี้กับคุณแล้ว”
ระหว่างนี้เหม่ยลี่เดินเข้ามาหยุดข้างๆ ซือหยวนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
ซือหยวนหันมาถามเป็นเชิงตำหนิ “ทำไมเธอกลับมาอีกแล้ว”
“ฉันกลัวงานในกองจะยุ่งเลยรีบตามมาค่ะ ไม่ทำให้งานล่าช้าใช่มั้ยคะ”
“ล่าช้าเหรอ ไม่เห็นรึไง ตอนนี้ถึงเธออยากทำงาน ก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
ซือหยวนเหยียดยิ้มหันกลับไปมองเกาเหวินที่ทะเลาะกับผู้กำกับต่อ
ผู้กำกับชักโกรธชี้หน้าด่าอย่างเกรี้ยวกราด
“ปัญหาคือคุณแสดงไม่ได้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมจำเป็นต้องถ่ายเป็นสิบๆ รอบเรอะ”
“ดี” ซุปตาร์สาวแค่นยิ้มออกมา “คุณแสดงเอง กำกับเองแล้วกัน ฉันไม่ถ่ายแล้ว”
จากนั้นเกาเหวินก็ทิ้งบทในมือ แล้วเดินหุนหันออกไปเลย
ผู้กำกับโกรธจนเสียงสั่นประกาศก้อง
“เธอ ปล่อยเธอไป ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
เหม่ยลี่ตกใจหยิบมือถือจากกระเป๋าออกมา
“ไม่ได้ฉันต้องโทร.หาคุณเซี่ยว ไม่งั้นเธอต้องไปจริงๆ แน่”
ซือหยวนทักท้วง “ล้อเล่นอะไรกัน เธอโทร.หา คิดว่าเขาจะรับเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงเธอจะเอาแต่ใจยังไง ไม่มีทางทิ้งกองละครไปแน่นอน เดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว ไป เราไปเตรียมชุดที่จะถ่ายฉากต่อไปเถอะ”
ซือหยวนเดินนำออกไป เหม่ยลี่ไม่สบายใจ และไม่เชื่อว่าจะเป็นดังนั้น
เจสันนั่งเตรียมชาอยู่ในห้องแต่งตัว เห็นเกาเหวินเดินเข้ามาก็ยิ้มทักลุกมาเอาใจ
“ที่รัก มาสินี่อาหารว่างของเธอ”
เกาเหวินเดินมาหยิบมือถือตรงกระจกแต่งหน้าพลางถาม “ชุดของฉันอยู่ไหน”
เจสันชักทะแม่งๆ หู “ชุดเหรอ เป็นอะไร พวกเค้าเปลี่ยนฉากแล้วเหรอ”
“ไม่ได้เปลี่ยนฉากแต่เปลี่ยนคน” เกาเหวินเดินหนีเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด
“เปลี่ยนคนเหรอ เปลี่ยนคนเรื่องอะไร”
เจสันงง ยืนบ่นบ้าอยู่คนเดียว จนซือหยวนเดินมาหา เปิดกล่องเครื่องประดับให้ดู
“นี่เป็นเครื่องประดับ ที่คุณเกาเหวินต้องใส่ในฉากต่อไป”
“วางไว้ตรงนั้น” เจสันบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะแต่งหน้า ซือหยวนวางเสร็จจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน ใครเป็นคนทำให้เธอโกรธ”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง” ซือหยวนตอบในท่าทีเย่อหยิ่ง
เจสันโมโห “ไม่รู้ได้ยังไง เธออยู่ในเหตุการณ์ไม่ใช่เหรอ”
“ขอโทษด้วยนะ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
ซือหยวนเดินเชิดออกไปเลย
“เอ๊ะ นี่ เธอนี่ไร้ความรับผิดชอบจริงๆ นี่มัน...”
เจสันคว้าชามาดื่มดับกลุ้ม เกาเหวินเปลี่ยนชุดเสร็จเดินออกมาพอดี หยิบโน่นเก็บนี่ของตัวเองลงกระเป๋า
“ที่รัก คือว่า มีอะไรค่อยพูดค่อยจาสิ ทุกคนกำลังรอเราเข้าฉากอยู่นะ”
“อย่าทำให้ฉันรำคาญได้มั้ย”
เกาเหวินอาละวาด กวาดกล่องเครื่องประดับทิ้ง โดยไม่รู้ตัวว่าเครื่องประดับหล่นลงในกระเป๋าถือของเธอ
เจสันพยายามโน้มน้าว “เธอเซ็นสัญญาแล้วถ้าเธอไปเราต้องชดใช้ค่าเสียหายนะ”
“ฉันบอกแล้วไงอย่าทำให้ฉันรำคาญได้มั้ย”
เจสันอึ้งไป ได้แต่ยืนมองเกาเหวินสะพายกระเป๋าเข้ากับตัว คว้าหมวกปีกกว้างมาสวม แล้วเดินออกไป
“ที่รัก”
เกาเหวินเดินออกมาด้านหน้า เห็นกลุ่มนักข่าวยังปักหลักรออยู่จึงหรุบหมวกลงปิดใบหน้าอีกหน่อย แต่ก็ไม่พ้นสายตาบรรดาจอมเผือก ที่หันมาเห็น แล้ววิ่งตามกันมาเป็นพรวน
“เกาเหวิน รีบตามไป ตามไป เร็วสิ”
เกาเหวินวิ่งโกยแน่บออกไป
เวลาเดียวกัน อี้หมิงซึ่งมาส่งเหม่ยลี่และนั่งรออยู่นานแล้ว เพิ่งสตาร์ตรถ พร้อมกับโทรศัพท์ไปหาเพื่อบอกเหม่ยลี่ว่าเขาจะกลับก่อน
“นี่ยัยอ้วน เธอเป็นไงบ้าง ถ้าไม่เป็นไรฉันกลับแล้วนะ”
เกาเหวินวิ่งหนีนักข่าวผ่านมาพอดี เลยไปหน่อยแล้วรีบถอยกลับ เปิดประตูผลุบเข้ามานั่งในรถแถมคาดเข็มขัดโดยไว อี้หมิงคาดเข็มขัดเสร็จหันมาเห็นก็ร้องถามงงๆ
“นี่คุณขึ้นรถผิดคันรึเปล่า”
เกาเหวินสวนออกมาว่า “รีบขับรถออกไปเร็ว”
อี้หมิงคุ้นหน้านางมาก พยายามนึก จนนึกออก “อ๋อผมจำได้แล้ว คุณคือ...”
“ไม่ต้องสนว่าฉันเป็นใคร รีบขับรถออกไปเร็ว”
ด้านนอกกลุ่มนักข่าววิ่งใกล้เข้ามาร้องบอกกัน
“อยู่ข้างหน้า”
อี้หมิงเอาแต่ชวนคุย “ใช่แล้วคุณคือคุณเกาเหวินใช่มั้ย”
เกาเหวินโมโห เร่งให้รีบออกรถไป “ไม่ต้องสนใจว่าฉันเป็นใครรีบขับรถออกไปเร็ว”
อี้หมิงขับรถออกไปอย่างแรงเร็ว บรรดานักข่าวเก็บภาพรถที่แทบจะบินออกไป เม้าท์มอยไปต่างๆ นาๆ
เกาเหวินนั่งใช้หมวกปิดหน้าปิดตาอยู่กลางร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ ท่ามกลางสายตาทุกคนในร้านที่คอยมองมา และส่งเสียงซุบซิบ เม้าท์มอยไปมา
ไม่นานนักอี้หมิงก็เดินเข้ามาส่งเสียงดังตามประสา “เรียบร้อย ผมทำตามที่คุณต้องการ สั่งอาหารให้คุณเรียบร้อยแล้ว มองอะไร แค่หมีแพนด้าไม่ใช่เหรอ” หมอหนุ่มหันไปโวยวายเอากับโต๊ะข้างๆ ฝ่ายนั้นหลบตาวูบ
จากนั้นเขาจึงลงนั่งตรงข้ามกับซุปตาร์สาว “รีบกินข้าวไปสิ คนเก่ง หนีออกมาจากกองถ่าย เพื่อจะมาที่นี่เหรอ”
“ฉันจ้างคุณเป็นคนขับรถกับบอดี้การ์ดหนึ่งวัน คุณต้องการเรียกเงินเท่าไหร่ก็ได้” เกาเหวินว่า
“เท่าไหร่ดีล่ะ” อี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบมือถือออกมาทำทีเป็นถ่ายรูปเกาหวิน พอเจ้าหล่อนหันมาเห็นก็ไม่พอใจ
“คุณทำอะไร”
“ผมแค่ขายรูปคุณให้ปาปารัซซีก็พอ ไม่จำเป็นต้องเป็นบอดี้การ์ดให้หรอก”
“เอารูปถ่ายมานะ เอาโทรศัพท์มานะ” เกาเหวินยื้อแย่งมือถือมา แต่อี้หมิงไม่ให้ หล่อนโมโหลุกขึ้นมาแย่ง “เอามาให้ฉันสิเอามานะ”
อี้หมิงรำคาญเลยให้ไป “ได้ๆๆ ให้คุณๆ”
เกาเหวินรีบเปิดดู แต่ต้องงง เพราะดันเป็นอี้หมิงเซลฟี่ตัวเองหน้าตาตลก
“เป็นไง ผมถ่ายขึ้นกล้องมั้ย สิ่งสำคัญคือคุณต้องดูแลสายตาคู่นั้นของผมให้ดีด้วยล่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมก็เป็นได้แค่คนขับรถกับบอดี้การ์ด ไม่มีทางทำอะไรนางเอกคนสวยหรอก”
เกาเหวินยิ้มพอใจ คืนมือถือให้ อี้หมิงรับมาเก็บคืนกระเป๋าเสื้อโค้ท พลางถาม
“เอาละ วันนี้วุ่นวายไปหมด ผมไปทำงานสายแล้ว เลยต้องขอลางาน ว่ามากินข้าว เสร็จแล้ว เราไปไหนกันดี”
อี้หมิงพาเกาเหวินไปทำอะไรสนุกๆ ที่หล่อนไม่เคยทำมาก่อน ที่บริเวณลานการ์ตูนในห้าง สองคนอยู่หน้าตู้หนีบตุ๊กตา หมอหนุ่มลุ้นซุปตาร์สาวที่กำลังบังคับมือจับตุ๊กตาในตู้ ผลปรากฏว่านางหยิบได้ อี้หมิงเฮลั่น
ถัดมาทั้งคู่นั่งอยู่หน้าตู้เกมรถแข่ง กำลังบังคับเกมอย่างเมามันส์ อี้หมิงยื่นหน้าไปแกล้งเกาเหวิน แต่ทำอะไรหล่อนไม่ได้ แต่อี้หมิงก็ยังหาโอกาสแกล้งตลอดๆ
สุดท้ายทั้งคู่มาแข่งกันยิงบาสลงห่วง เกาเหวินสนุกมากแม้ลูกสุดท้ายยิงไม่ลง
“เป็นไงบ้าง สนุกมั้ย” อี้หมิงถาม
แต่พอเห็นคนเดินมาใกล้ ซุปตาร์สาวก็รีบเอาหมวกปิดหน้า หลบวูบกลัวคนจำได้ตามประสาคนดัง
อี้หมิงดูออก บอกให้เธอเลิกระแวงระวังตัว “พอได้แล้ว ดูสิไม่มีใครมองคุณเลย ทุกคนที่นี่ต่างเล่นของใครของมัน ไม่มีใครมาสนใจคุณหรอก” เกาเหวินค่อยๆ เหลียวมองไปรอบๆ เห็นจริงดังที่เขาว่า
“ชีวิตของคนเรา จะสนใจแต่สายตาของคนอื่นไม่ได้ แต่ต้องสนใจความรู้สึกตัวเองให้มากๆ เข้าใจมั้ย”
เกาเหวินคลายความกงวลลง แต่ยังงงๆ อยู่ ไม่คุ้นกับชีวิตแบบนี้
อี้หมิงถาม “เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้คุณมีความสุขมั้ย”
“มีความสุข” เกาเหวินยิ้มให้
อี้หมิงดีใจ “นี่ต่างหากที่คุณต้องแคร์ ว่ามา ยังมีอะไร ที่คุณอยากทำอีกมั้ย”
เกาเหวินยกนิ้วชี้ขึ้นมา “ยังมีอีกอย่าง”
“ไปสิ”
“ตามฉันมา” เกาเหวินวิ่งนำออกไป
รถอี้หมิงที่เวลานี้เกาเหวินเป็นคนขับแล่นฉิวมาตามท้องถนนด้วยความเร็วสูง อี้หมิงนั่งเกร็งกอดตุ๊กตาตัวที่เกาเหวินคีบได้จากตู้ในห้างไว้แน่น คอยบอกให้ซุปตาร์สาวลดความเร็ว แต่ไม่เป็นผล
“นี่คุณดาราช่วยขับช้าหน่อยได้มั้ย คุณไม่กลัวตายแต่ผมกลัวนะ”
“สนุกจังเลย” เกาเหวินแฮปปี้สุดๆ ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง หันมาถามอี้หมิง “มีความสุขมั้ย”
อี้หมิงตอบตัวเกร็ง “มีความสุข”
“มีความสุขเหรอ งั้นต้องเร็วกว่านี้”
อี้หมิงสยองเมื่อเห็นเกาเหวินกำลังแซงรถคันข้างหน้าอย่างน่าหวาดเสียว
“ช้าหน่อยได้มั้ย”
มีความสุขอะไรเบอร์นี้ เกาเหวินหัวเราะร่า ร้อง “วู้ว” อย่างเบิกบานใจเมื่อแซงได้สำเร็จ
ทางด้านเหม่ยลี่ตกใจมาก เมื่อได้ฟังผู้กำกับบอกจนต้องถามทวนซ้ำอย่างไม่เชื่อหู
“อะไรนะผู้กำกับ จะให้ฉันแสดงแทนเกาเหวินเหรอคะ”
มีทีมงานยืนรุมล้อม และลุ้นอยู่ด้วย ตรงหน้ามอนิเตอร์
“ใช่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ไม่มีนางเอกเราก็ถ่ายต่อไม่ได้ เธอกับเกาเหวินรูปร่างเหมือนกันมาก ดังนั้น เธอเป็นตัวแทนของเขาเหมาะที่สุดแล้ว ถูกต้องมั้ย”
กลุ่มทีมงานร้องเชียร์ลั่น “ใช่ๆๆ”
“ไม่ได้ๆ ฉันแสดงละครไม่เป็น อีกอย่างฉันยังมีงานต้องทำ ถ้าทำให้งานของฉันล่าช้า พี่ซือหยวนจะว่าเอาได้”
ผู้กำกับหันไปกวักมือเรียกซือหยวน “มาๆๆ ซือหยวน ลูกน้องของคุณเชื่อฟังคุณมาก ช่วยเกลี้ยกล่อมเธอหน่อย มา”
ซือหยวนเดินมายืนข้างๆ เหม่ยลี่ “ฉันได้ยินหมดแล้ว ไปสิ ไปเตรียมตัวซะ เพื่อลดภาระของบริษัท พนักงานทุกคนสมควรต้องทำ”
จากนั้นซือหยวนก็เดินนำไปทางห้องแต่งตัว
ผู้กำกับเร่ง “ไปสิ นะ ไปสิๆ”
ไม่นานนัก มี่เหม่ยลี่ ก็ปรากฏตัวออกมาในชุดเดียวกับที่เกาเหวินใส่อาละวาดผู้กำกับ เธอเดินมาตามทางเดินระแนงไม้ ด้วยท่าทีประหม่าสุดๆ แถมสะดุดเกือบล้มในบางจังหวะต้องกางแขนประคองตัว
เซี่ยวเลี่ยงซึ่งยืนอยู่อีกฟากฝั่งของทางเดิน เหลียวมามองช้าๆ พอเห็นชัดๆ ถึงกับตะลึง มองจ้องอย่างคาดไม่ถึง
มี่เหม่ยลี่เดินก้มหน้าก้มตา ทั้งเขินทั้งประหม่าเข้าไปหาเซี่ยวเลี่ยงที่ยามนี้หายตะลึง และยิ้มบางๆ มาให้
อ่านต่อตอนที่ 4