xs
xsm
sm
md
lg

ใยกัลยา ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใยกัลยา ตอนที่ 7

บุรีกับศวัสกลับถึงบ้านตอนบ่าย สองพ่อลูกนั่งอยู่ในห้องรับแขก บุรีหันกลับมามองลูกชายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เรื่องที่แอบนัดขวัญอนงค์ไปทำบุญด้วยตอนเช้าวันนี้

“พ่อไม่อยากให้ลูกทำอย่างนี้อีก คุณขวัญอาจเข้าใจผิด”
“แต่คุณพ่อก็พาคุณอาไปไหนมาไหนบ่อยๆ บางทีก็พาไปส่งบ้าน แล้วอย่างนี้คุณอาจะไม่เข้าใจผิดหรือครับ”
ถูกบุตรชายย้อนแย้งบุรีถึงกับอึ้งนิ่งงัน เบือนหน้ากลับไป
ศวัสเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม “คุณพ่อ”
“พ่อจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง”
“การที่คุณพ่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนไม่ใช่ความผิดนะครับ ที่หลวงพ่อท่านพูดว่า...”
บุรีสวนออกมา “พอที”
ศวัสนิ่ง บุรีลุกเดินขึ้นข้างบนท่าทีไม่พอใจ ศวัสถอนใจยาว มองตามบิดาอย่างเป็นห่วง

ขณะเดียวกัน ที่ออฟฟิศชิดขอบบันเทิง วดีอยู่ภายในห้องทำงาน มีเอิงนั่งเอกเขนกตะไบเล็บไป ขณะที่ลิซซี่ถือถาดน้ำสตรอเบอรี่มาวางให้
“มาแล้วค่ะ สตรอว์เบอแหล...เอ๊ย...เบอร์รี่”
“ขอบคุณค่ะพี่ลิซซี่”
เอิงกรีดนิ้วจับแก้วขึ้นมาจิบ
วดีเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้แอบเอาอมยิ้มไปวางไว้ที่รถหมอศวัสอีกนะ”
ที่แท้อมยิ้มหน้ารถศวัสเป็นแผนการของวดี
ลิซซี่เซ็ง “อีกแล้วหรือคะ”
“ใช่ วางจนหมอศวัสรำคาญ ไล่ตะเพิดนังนั่นไปเลย” เจ๊วดี เจ้าแม่บันเทิงบอก
เอิงเปิดกระเป๋าหยิบอมยิ้มอันใหญ่กว่าเดิมส่งให้
“นี่ค่ะ พี่ลิซซี่”
“คุณน้องขับรถไปให้พี่ลิซซี่นะคะ”
“โอเคค่ะ”
“เอิงไม่ต้องเข้าไป รออยู่ข้างนอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะได้รีบหนีไปก่อน”
ลิซซี่ร้อง “อ้าว”
เอิงยักคิ้วให้
วดีกำชับกะเทยเผือกว่า “ส่วนแก ถ้าเกิดมีใครจับได้ ก็ยอมรับผิดไปคนเดียว ห้ามซัดทอดเด็ดขาด”
ลิซซี่อึ้ง “อ้าวครั้งที่สอง”
“ออกไปได้แล้ว”
ลิซซี่บ่นขมุบขมิบขณะเดินออกไป
“ทำแบบนั้นจะดีหรือคะป้า เดี๋ยวพี่ลิซซี่เขาโกรธ เอาเรื่องนี้ไปบอกหมอศวัส”
วดีไม่สน “ก็ลองดูซิ มันต้องพึ่งเราตลอด ไม่กล้าหรอก แต่ถึงมันทำ เราไม่รับก็สิ้นเรื่อง”
เอิงแย้ง “งั้นเราก็หน้าด้านซิคะป้าขา”
“ด้านแล้วได้ใครจะทำไม”

ค่ำนั้น ศวัสเดินไปมาช้าๆ เหมือนลังเลกับการตัดสินใจบางอย่าง ในที่สุดหมอหนุ่มเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้สนาม หยิบโทรศัพท์มาโทร.ออก รอสายอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันเอง”
เสียงหอมน้ำตอบมาว่า “ค่ะ”
“เมื่อเช้าทำไมหนีกลับก่อน”
หอมน้ำอยู่ที่ห้องพัก อึ้งไป
เสียงศวัสเข้มขึ้น “หอมน้ำ”
“หอมไม่ตอบดีกว่าค่ะ”
“ทำไม”
“เพราะตอบไปคุณหมอก็ไม่เชื่อ”
ศวัสเยาะ “จะบอกว่าคุณแม่ฉันเข้าสิงเธออีกล่ะซิ”
หอมน้ำเลยนิ่งไป จนศวัสเรียกขึ้น
“หอมน้ำ”
“คุณหมอคิดอย่างไรก็สุดแต่คุณหมอเถอะค่ะ” น้ำเสียงหอมน้ำเริ่มเครือเหมือนจะร้องไห้
“เราต้องเห็นหน้ากัน ถึงจะพูดรู้เรื่อง” เขาบอก
“สไก๊ป์หรือคะ”
“อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปพบเธอที่หอพัก”
“เดี๋ยวค่ะ”
ศวัสตัดสายไปเลย หอมน้ำค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงถอนใจเฮือก เครียดหนักทั้งเรื่องแม่และเรื่องลูก

บริเวณด้านหน้าอาคารคอนโดหอพักค่ำนี้ ยังคงคึกคัก มีนักศึกษาเดินเข้าออกกันไปมา อีกหลายกลุ่มนั่งตรงโต๊ะสนามพูดคุย หัวเราะหัวใคร่กันอยู่ หอมน้ำเดินออกมาด้วยท่าทางเหมือนเด็กทำความผิด และกำลังจะไปพบครูผู้ปกครอง
มีเพื่อนๆ ที่รู้จักเดินผ่านและทักทายกันกับหอมน้ำ มีรุ่นน้องและเด็กคณะอื่นที่รู้ว่าเธอไปเล่นหนังมาขอถ่ายรูป
หอมน้ำปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มพูดคุยด้วยอัธยาศัยอันดี แต่ยังมีวี่แววความกังวลให้เห็น แล้วแยกย้ายกันไป
ครู่ต่อมาหอมน้ำเดินมองหาศวัส จนกระทั่งพบเขายืนอยู่ตรงมุมค่อนข้างมืดมุมหนึ่ง
เธอรีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ ทำไมมายืนอยู่ตรงที่มืดๆ นี่ละคะ”
“แล้วจะให้ฉันออกไปยืนกลางลานโล่งสว่างเหรอ ใครเห็นเข้าจะได้นินทา ว่าฉันมาดักรอเด็ก” คุณหมอฟันทันตแพทย์ว่า ทำเอา หอมน้ำหน้าแดง
“รถอยู่ทางโน้น”
เขาพูดพลางออกเดินนำ หอมน้ำรีบเดินตาม แต่อารามรีบร้อนทำให้สะดุดหน้าคะมำไปชนหลังศวัส
“อุ๊ย” เธอยึดเกาะแขนเขาไว้ทันที
ศวัสหันมามอง
หอมน้ำรีบปล่อย “ขอโทษค่ะ”
“ซุ่มซ่าม” เขาไม่วายดุด่า

หอมน้ำได้รับคำเดียวคำเดิมจากเขาคนนี้ เธอก้มหน้าต่ำเหมือนเด็กถูกดุ แล้วเดินตามไป

ตรงมุมลับตาของลานจอดรถหอพัก ศวัสเดินนำหอมน้ำมา กดรีโมตรถ แล้วเปิดประตูด้านหน้าให้ หอมน้ำชะงักไอเย็นลอยออกจากปากจมูก พร้อมๆ กับที่สายตามองไปเห็นพุธกันยานั่งนิ่งอยู่และผินหน้ามองมายังเธอ

“อะไรอีกล่ะ” ศวัสหงุดหงิด มองอย่างขวางหูขวางตา
“หอม...หอม ขออนุญาตนั่งข้างหลังได้มั้ยค่ะ”
ศวัสดุ “อยากให้ใครเขาคิดว่าฉันเป็นคนขับรถหรือไง”
หอมน้ำส่ายหน้า
พุธกันยายิ้มพลางบอก “ขึ้นมานั่งซิ”
“อย่าแกล้งหอมเลยค่ะ” หอมน้ำขอร้อง
“ฉันเนี่ยนะแกล้งเธอ”
“หอมไม่ได้ว่าคุณหมอ” หอมน้ำมองไปที่พุธกันยาอย่างวิงวอน
ศวัสมองตามสายตาหญิงสาวแวบหนึ่ง “เธอจะบอกว่าคุณแม่ฉันนั่งอยู่ใช่ไหม”
หอมน้ำรีบพยักหน้าโล่งใจ “ใช่ค่ะใช่”
ศวัสถอนใจเฮือกเซ็งๆ หน่ายๆ ทำตาเหลือกมองไปข้างบนอย่างหงุดหงิดจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หอมน้ำมองท่าทีเขาด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจเหลือประมาณ จนอยากจะร้องไห้
พุธกันยาหายไป และไปปรากฏตัวที่เบาะหลังแทน
หอมน้ำไหว้พุธกันยา “ขอบคุณมากค่ะ” แล้วขึ้นไปนั่งแทน
ศวัสส่ายหน้า ปิดประตูให้แล้วอ้อมขึ้นมานั่งที่คนขับ
“คุณแม่ฉันไปแล้วหรือ” หมอขี้เก๊กพูดด้วยน้ำเสียงประชด
“นั่งอยู่ข้างหลังค่ะ”
ศวัสถอนใจเฮือก หอมน้ำหน้าจ๋อย หมอฟันรูปงามขับรถออกไป

ในความเงียบสงบของร้านอาหารแห่งนั้น มีผู้คนและลูกค้าไม่มากนัก บริกรยกชามบะหมี่เป็ดย่างมาวางให้หอมน้ำ ส่วนศวัสเป็นข้าวหน้าเป็ด หอมน้ำจัดการปรุงบะหมี่ ใช้ตะเกียบตักกินทันทีด้วยกำลังหิว ท่าทางไม่มีจริตจก้าน เหมือนบรรดาหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
ศวัสมองหอมน้ำใช้ตะเกียบสาวบะหมี่เข้าปากกินอย่างน่าอร่อย “หิวหรือ”
หอมน้ำรู้สึกตัว หัวเราะอายๆ “ค่ะ”
“งั้นชามเดียวคงไม่พอ”
หอมน้ำเกรงใจ “พอแล้วค่ะ”
สองคนทานกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง จนต่างคนต่างอิ่ม
“นึกยังไงถึงเกิดจะไปทำบุญที่วัดนั่น”
หอมน้ำนิ่งงันไป สีหน้าเหมือนพยายามหาคำตอบ
“หอมน้ำ”
“หอมพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ”
ศวัสเอือม “ก็วกเข้าเรื่องคุณแม่เหมือนเดิม”
“หอมถึงไม่อยากพูดยังไงคะ”
“ลองพูดมาซิ”
หอมน้ำส่ายหน้า
ศวัสเสียงเข้มบังคับกลายๆ “หอมน้ำ”
“เมื่อวานซืนคุณพุธมาบอกหอมว่า วันนี้เป็นวันเกิดคุณหมอ ท่านอยากทำบุญกับลูกกับสามี เลยมาขอสิงร่างหอม”
ศวัสนั่งฟังเงียบๆ ตามเคย
“หอมไม่ยอม เพราะไม่ต้องการเป็นคนบ้าในสายตาคุณหมออีก แต่ท่านก็สิงจนได้ โดยที่หอมไม่รู้ตัวเลย จนมาตกใจตื่นในห้องตอนที่เขนโทรตาม เขนเล่าให้หอมฟัง หอมเสียใจจริงๆ ค่ะที่มีส่วนทำให้ครอบครัวคุณหมอหงุดหงิดวุ่นวาย”
“ก็ไม่ได้หงุดหงิดวุ่นวายอะไร” เขาเว้นระยะไปนิดจึงถามต่อ “พรุ่งนี้มีถ่ายหนังหรือเปล่า”
“มีค่ะ”

หอมน้ำกลับถึงห้องโดยมีศวัสมาส่งได้สักครู่หนึ่งแล้ว และเล่าเรื่องให้เพื่อนรักฟังจบแล้วเช่นกัน โดยตอนนี้เขนมีสีหน้าตื่นเต้นมาก
“งั้นก็แสดงว่าเฮียเขาเริ่มเชื่อแกแล้ว”
หอมน้ำส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ...หอมเดาไม่ออก”
เขนยกขาทั้งคู่ขึ้นมานั่งชันเข่า “ฉันว่า..คุณพุธแกคงหึงอาขวัญ”
หอมน้ำชะงัก ฉงน “ฮือ”
“จริง ก็ตอนแรกแกดูตื่นเต้นดีใจ แต่พอเห็นอาขวัญมากับคุณลุงแล้วก็คุณหมอเท่านั้นแหละ แกจะกลับเลย”
หอมน้ำนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
เขนดีดนิ้วเปาะ “แล้วที่หน้าต่างกระจกรถอาขวัญแตก ฉันว่าต้องเป็นฝีมือคุณพุธแน่”
หอมน้ำสะดุ้ง “จริงเหรอ”
เขนพยักหน้า
หอมน้ำถอนใจ ทั้งเซ็ง ทั้งเศร้า “เป็นเพราะหอมเองที่ดันมีเคมีตรงกับคุณพุธ หอมไม่น่ารับเล่นหนังเล้ย ไม่งั้นก็ไม่มีเรื่อง”
เขนโอบไหล้เพื่อนปลอบโยน

วันต่อมา หอมน้ำและเขนเดินเข้ามาภายในบริเวณบ้านตอนเช้า ซึ่งมีทีมงานส่วนหนึ่งมาถึงแล้ว
“หอมไปดูซิว่าพี่อุมามาหรือยัง เขนจะไปช่วยพี่โค้กก่อน” เขนว่า
หอมน้ำพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้องแต่งตัว ขณะที่เขนเดินแยกไปอีกทาง
แจ่มเดินตรงมาที่เขนในจังหวะนี้
“น้องเขนขา น้องเขน”
เขนหันไปมอง “อะไรคะพี่แจ่ม”
“คุณหมอเชิญไปพบหน่อยค่ะ”
เขนมีสีหน้าแปลกใจประมาณหนึ่ง

เขนเดินเข้ามามุมหนึ่งในบ้าน แล้วยกมือไหว้เจ้าบ้าน
ศวัสรับไหว้ “นั่งซิ”
เขนลงนั่งอย่างเรียบร้อย
“เพื่อนเธอกำลังไม่สบายมาก”
“เอ๊ะ ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ”
“ไม่ได้หมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย”
เขนชักฉุน “หอมก็ไม่ได้บ้าค่ะ”
“แน่ใจหรือ”
เขนอึ้ง นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างใคร่ครวญตริตรอง
“เขนเคยพูดกับคุณแม่คุณ เวลาที่ท่านสิงหอม เขนแน่ใจเลยว่านั่นไม่ใช่ วิธีการพูดของเขา แล้วหอมก็เป็นคนขี้อาย ถ้าคุณพุธไม่เข้าสิงหอมจะไม่มีวันเล่นละครได้”
“เคยได้ยินเรื่องบุคลิกแปลกแยกหรือเปล่า”
“เคยดูหนังค่ะ”
“ฉันกำลังสงสัยว่า หอมน้ำอาจจะเป็นอย่างนั้น”
สาวอวบอั๋นเบิกตากว้าง “เป็นแบบในหนังน่ะหรือคะ”
“วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือไปพบจิตแพทย์ ถ้าห่วงเพื่อน เธอต้องช่วยหว่านล้อมให้เขายอมไป”

คราวนี้เขนมีสีหน้าว้าวุ่นยุ่งยากใจเหลือประมาณ

ภายในห้องแต่งตัว เหล่าดารากำลังแต่งหน้าทำผม ส่วนทับทิมก็กำลังเซ็ตเสื้อผ้านักแสดง แยกเป็นคนๆ กับผู้ช่วยอยู่ เขนเดินเข้ามา สายตามองมายังหอมน้ำด้วยความเป็นห่วงแว่บหนึ่ง หอมน้ำทำหน้าเหมือนอยากจะถามเพื่อน แต่ก็เกรงใจคนอื่นๆ เลยจำต้องนิ่งไว้

ทับทิมกระซิบถามเขนซึ่งเดินมาช่วยเบาๆ “มีอะไรเหรอ”
เขนส่ายหน้า เริ่มทำงาน

ฉากนี้ถ่ายที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มี หอมน้ำ เพลินพิศ ขวัญอนงค์ และลูกนัท ทุกคนเริ่มเข้าประจำที่
“5...4...3...2…แอ็คชั่น”
หอมน้ำหลับตา สูดลมหายใจ ตามแบบพุธกันยาทำ เวลานี้เธอถูกสิงแล้ว สีหน้าเจคมองมาอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

ตรงซุ้มพุดซ้อน หอมน้ำเดินเข้ามาในบริเวณนั้นแล้วทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าแววตาดูเหม่อๆ เหตุการณ์เมื่อวานผุดซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
เจคเดินเข้ามาพร้อมทอดสายตามองเพ่งพิศครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเรียกในที่สุด
“กัลยา”
หอมน้ำหันกลับมาโดยไม่ทันเอะใจชื่อที่เจคเรียก
เธอยิ้มฝืนๆ พร้อมกับลุกขึ้น “มีอะไรหรือคะ”
“วันนี้เป็นอะไรไป ไม่ค่อยมีสมาธิเลย เทคตั้ง 4-5 ครั้ง”
“หอม..เอ้อ...ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ”
เจคพยักหน้า หันหลังกลับทำท่าเหมือนจะเดินไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันกลับมา
“ขอถามอะไรหน่อย”
“ได้เลยค่ะ แต่หอมจะตอบได้หรือเปล่าไม่รู้นะคะ หอมยิ่งซื่อบื้อ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอยู่”
เจคยิ้ม “รับรองว่าตอบได้แน่ถ้าอยากจะตอบ”
หอมน้ำมองเจคอย่างตั้งใจฟัง “เรื่องอะไรหรือคะ”
เจคมองหน้าหอมน้ำเขม็ง “เรื่องพุธกันยา”
หอมน้ำอึ้ง มีสีหน้าตกใจ แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พ้นสายตาเจค ซึ่งจับตามองไม่ให้คลาดสายตา
“โห ถามผิดคนแล้วล่ะค่ะ คุณเจคควรจะถามเจ้าของบ้านมากกว่า” เธอหัวเราะกลบ
เจคยังคงมองสังเกตความผิดปกติ “นักแสดงแต่ละคนมีวิธีเทคนิคลีลาต่างกัน อย่างพุธกันยาเขาจะชอบสูดลมหายใจยาวๆ สามครั้งก่อนแสดงเหมือนกับที่เราทำไม่มีผิด”
หอมน้ำทำหน้าตาย “เหรอคะ หอมไม่ยักทราบ”
เจคมองเข้าไปในดวงตา “แน่ใจหรือ ผมนึกว่าคุณรู้เสียอีก”
หอมน้ำอึดอัดและหลบตาเมื่อเจคเปลี่ยนสรรพนาม “เอ้อ...ถ้าคุณเจคไม่มีอะไรแล้ว หอมขอตัวก่อนนะคะ”
หอมน้ำเดินเลี่ยงออกไปเลย
เจคมองตามด้วยสายตาเหมือนจะแน่ใจในความคิดของตนแล้ว

หอมน้ำเดินหน้าตาบึ้งตึงมา กำลังจะเลี้ยวมุมตึก โค้กเดินอ้อมมาพอดี ทั้งสองเกือบชนกัน หอมน้ำโกรธ จนพาลหงุดหงิด
“ตาบอดรึไง” แล้วจึงเดินเลยไป
โค้กตกใจ ด้วยเคยเห็นหอมน้ำในลักษณะนี้มาก่อนตอนโดนผลักอย่างรุนแรงคราวก่อน
“หอม”

หอมเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ไกลจากรถครัวกองถ่าย แล้วหยุดยืน สูดลมหายใจยาว ราวกับจะข่มความรู้สึกต่างๆ ที่รบกวนจิตใจลงไป มีเสียงเหมือนใครคนหนึ่งอยู่ในบริเวณนั้น หอมน้ำหันไปมองหาทิศที่มาของเสียง แล้วค่อยๆ เดินไป
เป็นพิไลนั่งพิงต้นไม้และกำลังเปิดอัลบั้มรูปดู บางจังหวะยกมือเช็ดน้ำตา
หอมน้ำแปลกใจ “ดูรูปอะไรจ๊ะ เอ๊ยคะ”
พิไลสะดุ้งเฮือก หันกลับมาพบว่านัยนต์ตาแม่ครัวใหญ่แดงนิดๆ
“น้องหอมน้ำ ป้ากำลังดูรูปคุณพุธกันยา นางเอกในดวงใจน่ะค่ะ”
หอมน้ำมีสีหน้าตื้นตัน นำตารื้นขึ้นทันตาเห็น
“ดูซิคะ สวยที่สุดในโลกเลย”
หอมเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง รับอัลบั้มมาเปิดดู รูปในอัลบั้มเป็นรูปผลงานเก่าๆ ของพุธกันยา จากหนังสือพิมพ์ และหนังสือบันเทิง ที่ถูกตัดจัดเก็บไว้ในอัลบั้มเป็นอย่างดี
พุธกันยาในร่างหอมน้ำ น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตันอีกคำรบ
“ขอบใจมาก”
พิไลมองหอมน้ำอย่างแปลกใจ “ขอบใจป้าทำไมคะ ไม่ใช่รูปหนูสักหน่อย”
หอมน้ำเสหัวเราะ “นั่นซิคะ”
“ป้าได้ยินเขาพูดกันว่า คุณเจคจะนำละครที่พุธกันยาเคยเล่นไว้มาทำใหม่ ดูเหมือนจะให้หนูเล่นด้วย”
หอมน้ำนิ่วหน้าฉงนฉงาย “ใครบอกป้าคะ”
“ก็คุณฟ้ากับคุณอุมาเขาคุยกันน่ะค่ะ เรื่อง “รอยทราย” ไง หนูคงไม่เคยได้ยิน รอยทรายเป็นละครเรื่องแรกที่พุธกันยาเล่น หลังจากประสบความสำเร็จจากการเล่นหนังแล้ว”
หอมน้ำพึมพำเบาๆ “รอยทราย...ฉันจำได้”
“อะไรนะคะ”
“เปล่าค่ะ”
พิไลเหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าตาลึกลับและลดเสียงลง
“ถ้าหนูรับเล่นต้องระวังอาถรรพณ์ด้วยนะคะ ป้าจำได้ว่าพุธกันยาเกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวกันให้แซด ป้ายังเป็นห่วงแทบตาย”
หอมน้ำยิ้มให้ “ขอบคุณที่เตือนค่ะ”

พิไลเก็บอัลบั้ม ขยับตัวลุกขึ้น หอมน้ำช่วยประคอง ก่อนจะปล่อยแขน แล้วเดินคุยไปด้วยกัน

อ่านต่อหน้า 2

ใยกัลยา ตอนที่ 7 (ต่อ)

ขณะนั้น เอิงนั่งพิมพ์ข่าวตามที่ป้าสั่งอยู่ในห้องทำงานวดี และกำลังปิดโน้ตบุ๊คที่พิมพ์อยู่พร้อมขยับลุกขึ้น

“ไม่ไหวค่ะ ป้า เอิงนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร เอิงไปช้อปปิ้งดีกว่า”
“นั่งลงเดี๋ยวนี้”
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉันบอกให้นั่งลง” วดีเสียงเข้ม จิกตามอง
เอิงกระแทกตัวลงนั่งหงุดหงิด “ป้าชอบบังคับหนู หนูบอกแล้วว่าไม่ชอบๆๆๆๆ ป้าก็ยังบังคับอีก”
“แกต้องหัดทำงานได้แล้ว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วลิซซี่จอมเผือก โลดลิ่วหน้าระรื่นเข้ามา โดยไม่สนความตึงเครียดระหว่างป้าหลาน
“ข่าวด่วนค่ะข่าวด่วน”
สองสองป้าหลานถอนใจเฮือกอย่างรำคาญ
“คุณเจคจะสร้างเรื่องรอยทราย ให้หอมน้ำรับบทนางเอกเต็มตัวค่ะ”
สองป้าหลานตกใจประสานเสียงดังลั่น “อะไรนะ”
“สนแล้วใช่มั้ยล่ะคะ พี่ฟ้าเพิ่งแอบโทร.มาบอกเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ แกได้ยินพี่โค้กคุยกับพี่คัมภีร์...”
เอิงวี้ดขึ้น ปานคนหัวใจแตกสลาย “โอ๊ย คุณป้าขา เอิง เอิง ทนไม่ได้แล้ว”
“สมน้ำหน้า เล่นตัวจนนังนั่นมันหยิบชิ้นปลามันไปหมด” วดีคิดปราดเดียว “ลิซซี่”
“ขา...”
“ปฏิบัติการอมยิ้มเป็นยังไงบ้าง”
“คือ เมื่อเช้ายังไม่ได้จังหวะค่ะ” กะเทยเผือกหน้าเจื่อน
“ไม่ได้จังหวะ” เอิงฉุนปนงง
“ค่ะ คนเยอะแยะไปหมด”
“แล้วทำไมไม่วางตั้งแต่เมื่อคืน”
“รถคุณหมอไม่อยู่ค่ะ”
เอิงชะงัก “พี่หมอไปไหน หรือว่าแอบซุกกิ๊ก โอ๊ย...เอิงไม่ยอมนะคะคุณป้า น้องเอิงไม่ยอม”
ลิซซี่อุดหู
วดีตวาด “หยุด”
เอิงหยุดทันที
“ถ้าแกอยากเด่นอยากดัง อยากสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา แกจะต้องเชื่อฟังป้า ทำได้มั้ย”
เอิงหมดฤทธิ์ “ค่ะ”
“ป้าอยู่วงการมานานจนรู้วิธีที่จะสร้างหรือทำลายคน ป้าต้องช่วยแกอยู่แล้ว”
ลิซซี่ อวยสีหน้าระรื่น “คุณป้าเก่งจุงเบย”
วดีเหลียวหน้ามาจ้องเขม็ง จนลิซซี่หน้าเจื่อนจ๋อยเสียสนิท

ที่กองถ่าย ภายในห้องแต่งตัว เพลินพิศกำลังเล่นเกมมือถืออยู่ในห้องคนเดียว ประตูเปิดออก หอมน้ำเดินเข้ามา ท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจ และมองไม่เห็นเพลินพิศ ในขณะที่นางร้ายเหล่มองตาม จนกระทั่งหอมน้ำไปทรุดตัวลงนั่งมุมหนึ่ง เอนศรีษะพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลง พุธกันยาออกจากร่างหอมน้ำแล้วลงนั่งตรงกันข้าม
หอมน้ำลืมตาขึ้นขยับนั่งตัวตรง
“เธอจะมีละครอีกเรื่องนึง”
“ไม่แล้วค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย” หอมน้ำบอก
เพลินพิศซึ่งหันกลับไปเล่นเกมต่อด้วยกำลังติดพัน หันกลับมามองอย่างประหลาดใจ
“ฉันขอร้องให้เธอเล่น”
หอมน้ำส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ให้ตอนละล้านหอมก็ไม่เล่น”
เพลินพิศมองเขม็งเริ่มมีสีหน้าหวาดๆ
“แต่ฉันอยากเล่น ฉันเคยเล่นมาแล้ว ตอนนั้นยังมีหลายฉากที่ฉันไม่พอใจ คราวนี้ฉันจะตั้งใจเล่นให้ดีที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องไปสิงคนอื่นแล้วล่ะค่ะ”
หอมน้ำเพิ่งหันไปเห็นเพลินพิศ ถึงกับชะงัก สีหน้าเจื่อนๆ
“หอม เอ้อ..พูดคนเดียวค่ะ เอ๊ย...หอมกำลังทบทวนบทน่ะค่ะ”
“โกหก ไอ้ที่เธอพูดน่ะ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบทละครเลย ยอมรับเถอะว่าเธอเป็นบ้า”
“เปล่านะคะ คือ...” หอมน้ำหันมามองพุธกันยา ผีซุปตาร์ยักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้ แล้วหายไปเลย
หอมน้ำกลืนน้ำลายและหันกลับมา โดนเพลินพิศด่า
“เด็กบ้า”

เพลินพิศลุกขึ้นและเดินออกไป หอมน้ำถอนใจเฮือก

เขนกำลังเดินตรงมาหน้าห้องแต่งตัวพอดี

“เห็นหอมมั้ยคะ พี่เพลิน”
“นั่งพูดคนเดียวอยู่ในห้องแน่ะ เพื่อนเธอน่ะเป็นบ้าไปแล้ว” เพลินพิศทำท่าขนลุกขนพอง “ขนลุก”
นางร้ายทั้งในและนอกจอเดินหนีไป เขนมองตามแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง

หอมน้ำนั่งเครียดอยู่ “ขนาดนี้คนเขายังหาว่าหอมเป็นบ้าเลย ถ้าต้องยอมให้คุณพุธสิงเล่นละครไปนานๆ มีหวังหอมต้องเป็นบ้าจริงๆ”
เขนตบไหล่ปลอบ “คิดถูกแล้วล่ะเพื่อน” สาวอวบมองหอมน้ำอย่างซึ้งใจครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจพูด “หอม...เขนจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แล้วหอมอย่าโกรธเขนนะ”
“หอมเคยโกรธเขนที่ไหน”
เขนหนักใจ แต่ต้องพูด “คืองี้...เขน...เขนอยากให้หอม...เอ้อ...ไปหาหมอ”
หอมน้ำงง “ทำไม หอมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
เขนลำบากใจ “เขนรู้..แต่คุณหมอฟันทันตแพทย์เขาคิดว่า...เอ้อ...”
หอมน้ำน้ำตาคลอ เมื่อเดาเรื่องได้หมด
“เฮ้อ...” เขนถอนใจ
“หอมรู้แล้ว เขาคิดว่าหอมเป็นบ้า”
“แต่ดูเขาก็เป็นห่วงหอมนะ”
หอมน้ำอัดอั้นตันใจเต็มที่ “ก็บอกแล้วว่าเขาคิดว่าหอมเป็นบ้า เขากลัวหอมจะทำอันตรายคนอื่น” หญิงสาวที่ถูกวิญญาณสิงยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหลด้วยความน้อยใจ “เพื่อความสบายใจของเขา หอมจัดให้ หอมจะไปพบจิตแพทย์”
ระหว่างนี้ประตูเปิดออก เห็นฟ้าเดินเข้ามาแล้วชะงัก
“ต๊าย ร้องห่มร้องไห้เป็นอะไรคะน้องหอม”
“เปล่าค่ะ”
“น่า บอกพี่ฟ้ามาเถอะ เผื่อพี่ฟ้าจะช่วยได้” ฟ้าแสดงท่าทางหวังดีเต็มที่
หอมน้ำซึ่งมองโลกสวย อ้าปาก ทำท่าจะเล่า
เขนรีบแทรก “ไม่มีอะไรค่ะ หอมเขาซ้อมร้องไห้ จะเข้าฉากเย็นนี้น่ะค่ะ”
ฟ้ารู้ทันและยิ้มเจ้าเล่ห์ “ร้องไห้ นี่ก็ต้องซ้อมด้วยเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย”
เขนตีหน้าตาย “ไม่ว่าบทะไรมันก็ต้องซ้อมกันทั้งนั้น ซ้อมบทหัวเราะ ร้องไห้ บทอิจฉา บทคนดี เวลาแสดงจริงๆ จะได้ตีบทแตกไงค่ะ เคล็ดไม่ลับที่หอมเขาเล่นละครเก่ง ก็เพราะอย่างนี้ละค่ะ”
ฟ้าทำหน้างง เพราะเขนพูดลื่นปรื๊ด ตรงกันข้ามกับหอมน้ำซึ่งยิ้มแห้งๆ

ตอนค่ำวันนั้น ในห้องอาหาร สองพ่อลูกนั่งกินข้าวด้วยกัน โดยมีเยาวภายืนสงบนิ่งคอยดูแลอยู่มุมหนึ่ง
“พรุ่งนี้ผมจะพาหอมน้ำไปพบจิตแพทย์”
บุรีชะงักค้างช้อนซึ่งกำลังจะเข้าปากมองหน้าลูก ใบหน้าเยาวภาซึ่งนัยน์ตาเย็นชาบอกความสนใจขึ้นมาทันที
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ” เขาเสริม
“แล้วแกพาเขาไปหาหมอทำไม”
ศวัสนิ่งคิดหาคำอธิบาย “ผมสังเกตเห็นว่าเด็กคนนั้นมีบางอย่างแปลกๆ เมื่อวานตอนไปทำบุญคุณพ่อก็เห็นแล้ว”
“เขายอมไปหรือ”
“ยอมครับ”
ทั้งสองกินข้าวกันเงียบๆ ต่อ

กอพุดซ้อน ออกดอกขาวพร่างในความมืด ขณะเยาวภาเดินเข้ามาในบริเวณนั้นพลางทรุดตัวลงนั่ง เสียงศวัสดังเข้ามาในห้วงความคิด
“พรุ่งนี้ผมจะพาหอมน้ำไปพบจิตแพทย์”
ตามด้วยภาพหอมน้ำที่ถูกสิง และพูดจาแปลกๆ กับตน ซ้อนเข้ามาในห้วงความคิดเป็นลำดับ
เยาวภายังคงนั่งนิ่ง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ดึกสงัด บรรยากาศในซอยบ้านศวัสเงียบสงัดจนวังเวง ระหว่างนี้รถปิ๊กอัพคันหนึ่งแล่นมาจอดเยื้องๆ บ้านศวัส

ภายในรถมีกะเทยจอมเผือก ลิซซี่ ส่งอมยิ้มกับการ์ดให้คนรถบริษัทวดี ทั้งสองคนสวมถุงมือเรียบร้อย
“เอาไปวางที่หน้ารถคุณหมออย่างเดิม รีบไปรีบมาล่ะ”
“ครับ”
คนรถข้ามถนนไปที่รั้วบ้านศวัส มองซ้ายมองขวาแล้วปีนเข้าไป ลิซซี่ชะเง้อมองตามด้วยสีหน้าแววตากังวล มีเสียงหมาในบริเวณนั้นหอนรับกันขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบนั้น
ลิซซี่สะดุ้ง “ไอ้หมาบ้า”
กะเทยเผือกยกแขนขึ้นกอดอกด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
วิญญาณพุธกันยาปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยที่ลิซซี่มองไม่เห็น และชะเง้อไปที่ตัวบ้าน
“ไอ้นั่นก็เข้าไปนานเกิน”
พุธกันยามองไปที่ที่ปัดน้ำฝน จู่ๆ ที่ปัดน้ำฝนค่อยๆ ขยับแล้วเคลื่อนไหวได้เอง ลิซซี่สะดุ้งเฮือก เสียงหมามาหอนอยู่บริเวณใกล้รถ
ลิซซี่รีบยื่นมืออันสั่นเทาไปปิดปุ่มปัดน้ำฝน ท่าทีดูเงอะงะ ปิดผิดผิดถูกด้วยความตกใจ ลิซซี่ปิดได้ในที่สุด เสียงหมามาหอนอยู่ข้างๆ กะเทยนักข่าวหันไปมองพร้อมกลืนน้ำลาย เห็นหมานั่งหอนพลางมองมาในรถ
พุธกันยาเบือนหน้ามามองหมา เห็นหมายังหอนเสียงดังโหยหวน
“ไป..ไปให้พ้น” ลิซซี่ไล่ แต่หมายังคงตั้งหน้าตั้งตาหอน “ไป ไอ้หมาบ้า หอนอยู่ได้”
มีเสียงเปิดประตู ลิซซี่หันขวับไปมองพลางสะดุ้งเฮือกสุดตัว
“ไอ้บ้า”
ลิซซี่ทั้งโล่งใจทั้งโกรธเมื่อเห็นเป็นคนรถกลับมา
“อะไรเจ๊ เห็นหน้าผมยังกับเห็นผี”
“ยังจะพูดอีก รีบไปได้แล้ว”
คนรถขับออกไป ลิซซี่โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

รถแล่นมาตามทางโล่งยามดึก
“เรียบร้อยดีมั้ย”
“มือชั้นนี้แล้วเจ๊ เสียแต่มีหมาหอนตล๊อด”
ลิซซี่นิ่ง ตามองไปข้างหน้า
“หมาหอนนี่แปลว่าผีมาใช่ปะ” คนขับบ่น
ลิซซี่ฝาดไหล่คนขับโครม “ไอ้บ้า”
“โอ๊ย” คนขับรีบหักพวงมาลัยไม่ให้ไถลลงข้างทางตอนลิซซี่ผลัก “เดี๋ยวก็ได้ไปเฝ้ายมบาลหรอกเจ๊”
ลิซซี่ยังตกใจไม่หาย “โทษที ห้ามพูดเรื่องผีเรื่องสางอีก”
คนขับเอ่ยขึ้นลอยๆ “แปลกนะเจ๊”
ลิซซี่ถลึงตาใส่ ปนเชิงห้ามไม่ให้พูด
“ตอนออกมาจากบ้าน ผมเห็นเป็นเงาๆ เหมือนมีใครขึ้นมานั่งคู่กับเจ๊”
ลิซซี่สะดุ้ง ทำท่าอยากจะฟาดคนรถอีก
“ทีแรกก็ตกใจ แต่พอเดินมาใกล้ๆ ก็ไม่มีอะไร”
“ไอ้จ่อย ถ้าแกขับรถเฉยๆ โดยไม่ต้องพูดอะไรจะดีกว่ามั้ย”
“มันก็เงียบนะซิเจ๊”

ลิซซี่หงุดหงิด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป

ที่บริเวณจอดรถตอนนี้ พุธกันยายืนจ้องมองดูอมยิ้มกับการ์ดที่คนขับเอามาเสียบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

พริบตานั้นเอง กลางยามดึกบริเวณหอพักอันเงียบสงัด ส่วนภายในห้อง หอมน้ำถอนใจอย่างกลัดกลุ้มๆ เมื่อฟังจบ
“คุณไม่ทราบหรือคะว่าใคร”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง การใส่ร้ายป้ายสีนี่มันมีทุกยุคทุกสมัยจริงๆ”
“แล้วทำไมคุณไม่ช่วยหอม” สุ้มเสียงเธอต่อว่านิดๆ
พุธกันยาลงนั่ง “จะให้ช่วยยังไง ก็ได้แต่มาเตือนนี่แหละ จะปรากฎตัวพวกนั้นก็มองไม่เห็น นอกจาก...ให้ฉันสิงเธอไปหลอก”
หอมน้ำรีบพูดทันที “ไม่ต้องค่ะ หอมไม่อยากเป็นเวรเป็นกรรมกับใครอีก พ่อกับแม่สอนหอมว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
พุธกันยายิ้มเยาะ “แรกๆ ฉันก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ไอ้พวกคนใจร้ายมันก็ไม่เคยสำนึก ฉันถึงต้องเปลี่ยนใหม่เป็น เวรต้องระงับด้วยการจองเวรหรือตาต่อตาฟันต่อฟัน”
หอมน้ำชะงัก “คุณพุธ.. นี่หมายความว่าคุณพุธจะใช้หอมเป็นเครื่องมือจองเวรหรือเปล่าค่ะ”
พุธกันยายิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันไม่เคยบอกอย่างนั้นสักหน่อย”
จากนั้นวิญญาณพุธกันยาเลือนหายไปทันที
“เดี๋ยวค่ะ คุณพุธ...คุณพุธคะ”
ทุกอย่างเงียบสนิท

รุ่งเช้าวันใหม่ ศวัสเดินมาที่รถและชะงัก สีหน้าที่เหมือนจะอารมณ์ดีเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันที
“เด็กบ้า” หมอหนุ่มหันไปเรียกคนสวน “เขียวมานี่ซิ”
คนสวนรีบเดินแกมวิ่งตรงมา
“เอานี่ไปทิ้งหน่อย”
“ครับ” คนสวนเดินแกมวิ่งไป
ศวัสออกอาการหงุดหงิด “เอามาวางตอนไหนนะ” พลางหันไปมองโดยรอบ

บรรยากาศภายในโรงพยาบาล วุ่นวายรีบร้อนเช่นทุกวัน ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนดูรีบร้อนเพื่อจะไปทำงาน หรือเข้ารับการตรวจรักษา

เขนและหอมน้ำนั่งอยู่ตรงหน้าศวัสแล้วในร้านอาหารข้างโรงพยาบาล สีหน้าหอมน้ำตื่นๆ เมื่อถูกถามเรื่องอมยิ้มปริศนา
“เปล่าค่ะ หอมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ”
“อย่าพูดปด”
“หอมเปล่า”
เขนแทรกขึ้น “หรือว่าจะเป็น...”
หอมน้ำกับศวัสหันมามองเขนเป็นตาเดียว
“คุณพุธ” เขนบอก
“คุณพุธเป็นคนมาบอกหอมว่าหอมถูกใส่ร้าย คงไม่ใช่หรอก” หอมน้ำท้วง
“ว่าไม่ได้”
“หอมเชื่อว่าไม่ใช่คุณพุธแน่ๆ”
“หอมอย่าโลกสวย”
“ความรู้สึกหอมมันบอกว่า...”
ศวัสกระแอมเมื่อเห็นสองสาวทำท่าว่าจะคุยกันสองคน โดยทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ด้วย
เขนและหอมน้ำหันมา หอมน้ำหน้าจ๋อย “ขอโทษค่ะ”
“ท่าทางจะต้องพบจิตแพทย์ทั้งสองคนแล้วมั้ง”
เขนและหอมน้ำมองสบตากัน แล้วก้มหน้านิ่งไป
“รีบๆ กินให้เสร็จจะได้ไปหาหมอ”
หอมน้ำเงยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า ดูน่าสงสาร ขณะที่เขนกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย
“หอมอิ่มแล้วค่ะ”
“อะไร เพิ่งกินไปไม่กี่คำ ดูเพื่อนเธอซิ”
“หอมทานไม่ลง”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเขนกินต่อ”

ศวัสส่ายหน้าขณะมองสองสาวซึ่งดูต่างกันคนละขั้ว

ไม่นานต่อมาศวัสเดินนำสองสาวจะขึ้นลิฟท์ไปรอตนในห้องพักแพทย์
เสียงเอิงแหลมเข้ามา “พี่หมอขา...พี่หมอ”
ศวัสนิ่วหน้าพร้อมหันไปเช่นเดียวกับหอมน้ำ และเขน ซึ่งลอบสบตากันแวบหนึ่ง
เอิงวิ่งถลามาที่ศวัส พลางร้องเรียกท่ามกลางสายตาของคนในบริเวณนั้นซึ่งมองแปลก
พอมาถึงเอิงยังหอบนิดๆ “พี่หมอ” พลางมอง สองสาวแวบหนึ่ง “เอ๊ะ สองคนนี่มาทำไม”
หอมน้ำอึกอัก
“ผมนัดให้มาเอง คุณเอิงมีธุระอะไรหรือครับ”
เอิงขัดใจซอยเท้าเล็กๆ อย่างมีจริต “แหม ก็มาหาพี่หมอน่ะซีคะ น้องเอิงทำคุ้กกี้มาฝาก ทำเองกับมือเชียวนะคะ”
เขนถามหน้าตาย “มือใครคะ คุณพี่เอิง”
เอิงตาเขียวปัด “มือฉันน่ะซิยะ ยัยหมูตอน แล้วนี่ใครเป็นอะไรกันบ้างล่ะ อ้อ...รู้แล้ว คงจะเป็นโรคอ้วนกับโรคอ้อนใช่มั้ยล่ะ”
ศวัสรีบตัดบท เมื่อเห็นผู้คนสนใจกันมากขึ้น
“คุณเอิงกรุณาไปรอที่หน้าห้องตรวจก่อน เดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้วจะตามไป”
“ไม่เอา น้องเอิงอยากไปด้วย”
หอมน้ำมองท่าทางกระเง้ากระงอดของเอิงอย่างสนใจ ขณะที่เขนทำท่าขยักขย้อนจะอ้วก
ศวัสบอกเสียงเข้มขึ้น “คุณเอิง”
เอิงไม่รู้ไม่ชี้ “ขา...พี่หมอ พี่หมออย่าทำหน้าโกรธซิคะ น้องเอิงอยากไปด้วยจริงๆ ทียัยสองคนนี่ยังไปได้เลย”
“ก็ผมจะพาเขาไปตรวจ...” ศวัสหยุดเมื่อเห็นเอิงมองตาเขม็งอยากรู้อยากเห็น
“ตรวจอะไรคะ”
หอมน้ำตัดสินใจบอกว่า “คุณหมอจะพาหอมไปพบจิตแพทย์ค่ะ”

เอิงทำตาโตห่อปากอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขณะที่ศวัสและเขนมองหน้าหอมน้ำอึ้งๆ

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 7 (ต่อ)

วดีซึ่งนั่งคุยมือถืออยู่ในห้องทำงาน ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อฟังหลานสาวรายงานสดจากโรงพยาบาลจบลง

“ไปพบจิตแพทย์”
“ค่ะ แสดงว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว ป้าสั่งให้พี่ลิซซี่เขียนลง “ชิดขอบบันเทิง” เลยนะคะ”
“ยังลงไม่ได้”
น้ำเสียงเอิงฉุน “ทำไมล่ะคะ บอกเลยว่าเอิงเป็นพยาน”
“คุณหมอเขาจะได้โกรธแกน่ะซิยะ ดีไม่ดีอาจถูกฟ้อง”
“เอิงไม่กลัวเพราะมันเป็นความจริง”
“เออ ฉันรู้ แต่มันต้องลงให้รอบคอบหน่อย อย่าให้เขาสาวมาถึงแกได้”
เอิงปิดมือถืออย่างหงุดหงิด

เมื่อผ่านเวลาไปอีกเล็กน้อย ศวัสเดินตรงมาที่ห้องตรวจ บริเวณหน้าแผนกทันตกรรม เอิงเดินแกมวิ่งตามมา พร้อมกับร้องเรียกเสียงดังเช่นเคย
“พี่หมอขา”
ศวัสมีสีหน้ารำคาญพร้อมหงุดหงิดแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไป
เอิงเข้ามาเกาะแขนแสดงความสนิทสนมให้ทุกคนเห็น “วันนี้พี่หมอต้องไปทานข้าวกับน้องเอิงนะคะ ไม่งั้นน้องเอิงไม่ยอมด้วย”
“วันนี้ผมไม่ว่างจริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะเอิงรอได้”
“ผมมีประชุม”
“แล้วเมื่อไหร่พี่หมอจะมีเวลาให้เอิงสักที” เอิง หรือ แววรุ่ง กระเง้ากระงอดใส่
ศวัสบอกอย่างขอไปทีด้วยความอึดอัด “พรุ่งนี้ก็แล้วกันผมไม่มีตรวจ”
“จริงๆ นะคะ”
“ครับ...ผมขอตัว” ศวัสรีบเดินไป
เอิงมองตามแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป

ส่วนสองสาวอยู่ในห้องพักแพทย์ หอมน้ำนั่งท้าวคางมองเหม่อๆ ไปข้างหน้า
เขนมองเพื่อนครู่หนึ่ง “ป่านนี้ยัยเอิงเอาไปประกาศทั่วราชอาณาจักรแล้ว”
“ช่างเถอะ”
เขนมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น “หอม โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่หอมคิดหรอกนะ คนบางคนเห็นใครได้ดีไม่ได้ เป็นต้องพิฆาตฆ่าฟันให้บรรลัย”
หอมน้ำถอนใจ “ช่างเขา”
เขนจับหน้าเพื่อนให้มองมายังตนอย่างหงุดหงิด “นี่ ดูปากเขนให้เต็มตา” หอมน้ำจ้องปากเขน “ช่างไม่ได้ โอเค้....เข้าใจเสียทีว่าช่างไม่ได้”
หอมน้ำน้ำตาคลอ “แล้วเขนจะให้หอมทำยังไง”
“รู้เท่าทันคนอื่นบ้าง อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน มันจะจนใจเอง”
หอมน้ำปากสั่น “หอมมันโง่”
“ฟังนะ แกไม่ได้โง่ แต่แกจิตใจดี ใสซื่อ บริสุทธิ์ ซึ่งหาแทบจะไม่ได้แล้วในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกเส็งเคร็งใบนี้”
หอมน้ำถอนใจอีก ขณะเบือนหน้าหนี และหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตา
เขนเลยเสียงอ่อนลง “ต่อไปหอมไม่ต้องพูดอะไร คอยสังเกตเขนให้ดีละกัน”
หอมน้ำพยักหน้ารับแล้วเอนศรีษะพิงพนัก
เขนมองเพื่อนเพ่งพิศ แล้วสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์
“เขนว่า คุณหมอฟันทันตแพทย์เขาต้องชอบหอมแหงๆ”
หอมน้ำสะดุ้งและเบิกตากว้าง “เขน”
“เขนสงสัยมาสักพักนึงแล้ว”
หอมน้ำไม่พอใจ “เขน ถ้าเขนเป็นเพื่อนหอม ห้ามพูดแบบนี้อีก”
เขนอ้าปากจะพูดต่อ
หอมน้ำดุ “หอมบอกว่ายังไง”
“ก็ได้”
“นั่งรอเงียบๆ จนกว่าคุณหมอฟันทันตแพทย์จะมา”
เขนเม้มปากพยักหน้าหงึกหงักท่าทีน่าขัน ดูออกว่าไม่ค่อยเต็มใจ

อีกฟาก บรรดารถดารา รถทีมงาน จอดอยู่เต็มหน้าบ้านศวัส ขณะที่เอิงขับรถมาจอดบริเวณที่ว่าง โดยมีฟ้าออกมายืนคุมที่ไว้ให้ และทำหน้าที่บริการโบกให้รถเข้าจอดอย่างดี
เอิงลงจากรถแล้วไหว้ “ขอบคุณจ้ะ พี่ฟ้า”
“ลิซซี่มารออยู่ข้างในแล้วละค่ะ น้องเอิงรับประทานอะไรมาหรือยังคะ”
“ยังเลย น้องเอิงอยากกินสลัดกุ้งทอด พี่ฟ้าให้ใครไปซื้อมาให้เอิงหน่อยซิจ๊ะ”
“ได้ค่ะ เชิญน้องเอิงเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่ฟ้าจัดการให้”
เอิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับฟ้า โดยฟ้าดูพินอบพิเทาเต็มที่

ฟ้าพาเอิงเข้ามาภายในห้องรับแขก พลางตะโกนเรียกอย่างถือวิสาสะ
“แจ่ม แจ่ม”
แจ่มเดินเข้ามา
“คุณฟ้าต้องการอะไรหรือคะ”
“นี่คุณเอิงจำได้มั้ย หลานสาวคนเดียวของคุณวดีเจ้าของหนังสือ “ชิดขอบบันเทิง” ไง”
“จำได้ค่ะ”
เอิงขยับมุมปาก ยิ้มหยิ่งๆ
“นั่นแหละ คุณเอิงอยากรับประทานสลัดกุ้งทอด แจ่มทำให้หน่อยนะ
“ได้ค่ะ”
“กุ้งแชบ๊วยนะยะ กุ้งฝอยไม่เอา เอิงไม่ปลื้ม” เอิงบอกสำทับ
“ได้ค่ะ” แจ่มออกไป
“น้องเอิงอยู่คนเดียวได้มั้ยคะ พี่ฟ้าต้องไปช่วยข้างนอกเขาก่อน”
“ไปเถอะจ้ะ”

ฟ้าออกไป เอิงไขว่ห้างกวาดตามองไปโดยรอบอย่างพึงใจ

ด้านกนกรัตน์กำลังเม้าท์มอยกับพิไลอยู่ตรงรถครัวอย่างเมามัน โดยพิไลคอยปรุงกับข้าวที่มีลูกมือคอยช่วย

“ดาราวันนี้มีใครมาบ้าง” ติ่งรุ่นป้าเปิดฉากซัก
“ก็เกือบทุกคนนั่นแหละค่ะ ยกเว้นหนูหอมน้ำ นี่ได้ยินธุรกิจเขาพูดนะ”
“เพลินพิศนิสัยเป็นไง”
“ตรงกันข้ามกับในหนังเลย คุณขวัญซินิสัยดี น่ารัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยถูกกับหนูหอมน้ำ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ไปหัวหิน 3-4 วันตกข่าวเลย”
เสียงแจ่มดังขึ้น “ป้าพิไล”
สองคนหันไปมอง เห็นแจ่มเดินหน้ามุ่ยตรงเข้ามา
“มีมะนาวมั้ย ในครัวหมดพอดี พรุ่งนี้ซื้อใช้ให้”
พิไลหยิบส่งให้ “โธ่เอ๊ย ไม่ต้องมาช้งมาใช้อะไรหรอก จะเอาไปยำอะไร ลูกเดียวพอเรอะ”
“พอจ้ะ เอาไปบีบใส่น้ำสลัดให้หลานสาวเจ้าของหนังสือ “ชิดขอบบันเทิง” จ้ะ นางจะทานสลัดกุ้งทอด เรื่องมากยิ่งกว่าดาราอีก ขอบใจนะป้า”
พิไลพยักหน้า และหันมานินทากับกนกรัตน์ต่อ
“หลานสาวคุณวดีนี่ไง ที่เบี้ยวจนหนูหอมน้ำจำใจต้องแสดงแทน” พิไลว่า
“เออ หนูหอมน้ำนี่ท่าจะรุ่งนะ เห็นเขาว่าคุณเจคจะปั้นให้เป็นตัวแทนพุธกันยานี่”
พิไลเอ่ยขึ้นเป็นปกติ “จะยอมเล่นเร้อ เห็นแค่เรื่องเดียว ก็แทบจะกระอักเป็นเลือดแล้ว น่าสงสาร”
สองคอดารา คุยกันอย่างเพลิดเพลินต่อไป

ฝ่ายแจ่มยกชามสลัดมาคุกเข่าวางบนโต๊ะ พร้อมน้ำดื่มอย่างเรียบร้อย
“ต้องการอะไรอีกหรือเปล่าค่ะ”
เอิงไม่พอใจทันที “ถามแบบนี้แดกดันฉันเรอะ”
แจ่มตกใจกับท่าทางเอิงจนพูดไม่ออก
“ฉันเป็นผู้ดี กินแค่นี้ก็อิ่มแล้ว ไมใช่กินแบบยัดทะนานเหมือนแก”
แจ่มเพิ่งจะนึกคำพูดออก “เปล่าค่ะ แจ่มไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ต้องพูดมาก ขี้เกียจฟัง จะไปไหนก็ไป”
แจ่มรีบออกไปแทบไม่ทัน

พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น โดยนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม นัยน์ตาที่มองเอิงเป็นประกายแข็งกร้าว เอิงหยิบรีโมตมาเปิดทีวี อย่างถือวิสาสะเช่นเดิม พลางใช้ส้อมจิ้มผักเข้าปากนัยน์ตาจับจ้องดูทีวี
เอิงวางส้อมลง เคี้ยวผักพลางยกมือยื่นมาที่กุ้งทอด พุธกันยาค่อยๆ เลื่อนสายตาไปที่ตัวกุ้งทอดเหล่านั้น
พลันแววตาเป็นประกายแดงวาบ แถมกุ้งทอดกระดุกกระดิก แล้วกลับกลายเป็นหนอนตัวใหญ่ มือเอิงจับตัวหนอนแทนที่จะเป็นกุ้ง เอิงรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเลื่อนสายตามองที่มือแล้วสะดุ้งเฮือก กรีดร้องดังลั่น ปล่อยหนอนแล้วปัดจานทิ้งลงพื้นแตกกระจาย
แจ่มรีบพรวดพราดเข้ามา โดยมีฟ้าวิ่งเข้ามาอีกทาง ทั้งสองคนหน้าตาตื่น
“อะไรคะ น้องเอิง”
เอิงหลับหูหลับตาชี้ “อีคนใช้บ้านนี้มันเอาหนอนมาให้ฉันกิน โน่น เห็นมั้ย”
ฟ้าและแจ่มมองไปที่พื้น ซึ่งผักและกุ้งทอดเกลื่อนกลาด
“หนอนอะไรคะ” ฟ้าถามงงๆ
เอิงตวาด “นั่นไง”
เสียงแนแสนเย็นชาของเยาวภาดังขึ้น “ที่นี่ไม่มีใครเอาหนอนมากินหรือมาให้ใครกิน”
เอิงลืมตามอง พร้อมๆ กับฟ้าและแจ่มที่หันไปมองตาม เยาวภาเข้ามายืนตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทันสังเกต
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านคุณ แค่เข้ามานั่งทำท่าราวกับเจ้าของบ้านนี่มันก็ทุเรศพออยู่แล้ว” เยาวภาแดกดัน
เอิงชี้หน้า “แกว่าฉันทุเรศเหรอ”
“ก็ดูซิว่าคุณทำอะไรลงไป”
เอิงมองไปที่พื้น ซึ่งมีแต่ผักและกุ้งทอด กระจายตามพื้น
“ไม่เห็นมีหนอนสักตัว แจ่ม เก็บกวาดให้หมด”
“ค่ะ” แจ่มเดินออกไปทางหลังบ้าน เอาเครื่องมือทำความสะอาดเข้ามา
“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นหนอนเต็มจาน”
“คุณคงเห็นคนเดียวกระมังคะ”
เยาวภาเดินคอแข็งออกไป
เอิงขบกรามแต่ไม่กล้าพูดดัง “อีบ้า”
ฟ้าบอกเบาๆ “ไปกันเถอะค่ะ”
เอิงคว้ากระเป๋าพร้อมกับสะบัดลุกขึ้น “อ๋อ ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอกไอ้บ้านผีสิงนี่”
ขณะที่เอิงออกเดิน มะเขือเทศที่พื้นขยับมาตรงเท้าเอิงเหยียบลื่นหกล้มโครม เอิงร้องลั่น

พุธกันยามองดูภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา และน่ากลัว

ศวัสขับรถมาตามทางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หอมน้ำที่นั่งคู่ตอนหน้า เอาแต่นั่งก้มมองมือตัวเอง เขนซึ่งนั่งตอนหลัง ยื่นมือมาจับไหล่เพื่อนเหมือนจะคอยปลอบใจ

ศวัสชำเลืองมองแวบหนึ่ง “กลัวเหรอ”
หอมน้ำพยักหน้า
“เพื่อนฉันใจดี”
เขนสอด “ใจดีเหมือนคุณหมอหรือคะ”
ศวัสเหลือบมองเขนทางกระจกแวบหนึ่ง
เขนไม่ได้มองตอบ “ได้ยินมั้ยหอม เพื่อนคุณหมอใจดีเหมือนคุณหมอเลย”
หอมน้ำน้ำตาหยดแล้ว
“ว้า...ยิ่งร้องให้ใหญ่เลย”
“ถึงแล้ว”
หอมน้ำสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง พบว่ารถศวัสขับแล่นไปภายในบ้านหลังหนึ่ง

หมอต้น จิตแพทย์เพื่อนศวัส หน้าตาดูเป็นคนใจดี เดินยิ้มแย้มออกมารับทั้ง 3 คน
“มาตรงเวลาเลย”
ศวัสแนะนำ “นี่หมอต้น”
สองสาวซึ่งไหว้ไปแล้ว ยกมือไหว้อีก
เขนยังงงๆ “นึกว่าคุณหมอจะพามาโรงพยาบาลเสียอีก”
“หมอศวัสเค้าไม่อยากให้เรื่องแพร่ไปใหญ่โต เห็นว่าเล่นหนังเล่นละครด้วยไม่ใช่หรือ”
จิตแพทย์หนุ่มเลื่อนสายตามาที่ผู้ถูกบังคับให้ป่วย หอมน้ำพึมพำรับคำเบาๆ
“เชิญข้างในครับ”
หมอต้นพาคนทั้ง 3 เข้าบ้านไป

เอิงกลับมาที่ออฟฟิศชิดขอบบันเทิงแล้ว เวลานี้อยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำ ผมซึ่งสระเสร็จเรียบร้อยคลุมพันด้วยผ้าเช็ดตัว โดยเอิงยังไม่หยุดร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
วดีมองพลางส่ายหน้า “ร้องไห้หาอะไร ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าแกน่ะผิดเต็มประตู”
เอิงโต้ “ผิดยังไง พวกมันสุมหัวกันกลั่นแกล้งเอิง”
“จะว่าเขาแกล้งก็ให้มันสมเหตุสมผลหน่อย พูดได้ยังไงว่าเขาเอาหนอนให้กิน”
“เอิงไม่ได้โกหกนะป้า มันเอาหนอนให้เอิงกินจริงๆ”
ลิซซี่สอดขึ้น “แต่ฟ้าเขาก็บอกว่าไม่มีหนอนซักตัวนะคะ”
“อีพี่ฟ้ามันโกหก” เอิงร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความเจ็บอกเจ็บใจ
วดีมองเอิงอย่างเพ่งพิศ
“แกไม่ได้โกหกแน่นะ”
“สาบานได้”
“เอ๊ะ...หรือว่าผีหลอก” ลิซซี่ตั้งข้อสังเกต
“ผีบ้าผีบอที่ไหน” วดีด่า
“คุณวดีคะ ที่ฟ้าเขาเคยเล่า”
วดีและเอิงสนใจถามพร้อมกันว่า “เล่าอะไร”
กะเทยจอมเผือกมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงลง
“ผีพุธกันยาค่ะ เมื่อคืนนี้ลิซซี่ยังเสียวๆ เลยค่ะ มันมีอะไรแปลกๆ”
วดีและเอิงมองลิซซี่อย่างตั้งใจฟัง

หอมน้ำและเขนเดินมาขึ้นรถ โดยที่ศวัสยังคงยืนคุยกับหมอต้นตรงหน้าบ้าน สองสาวมองไปที่ทั้งสองคุณหมอ
“เขาคุยอะไรกันน่ะ”
“คงพูดเรื่องหอมเป็นบ้ามั้ง”
“ไม่หรอกน่า คุณหมอมาแล้ว”
ศวัสล่ำลาเพื่อนแล้วเดินมาขึ้นรถ หอมน้ำและเขนมองตาไม่กระพริบ ขณะศวัสสตาร์ตรถ
หอมน้ำอดรนทนไม่ไหว “ตกลงหอมเป็นบ้าหรือเปล่าคะ”
ศวัสตอบเสียงเรียบสีหน้าปกติ “เราคิดว่ายังไงล่ะ”
หอมน้ำนิ่งไป ศวัสขับรถออกจากบ้าน

ด้านเอิงฟังจบทำหน้าตาดูถูก “ฮึ เอิงไม่เชื่อหรอก ผีสางนางไม้ไม่มีจริง”
“คุณน้องขา ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะ”
“ทำไม มันจะมาหักคอเอิงเรอะ”
วดีเสียงเข้มปรามหลาน “เอิง”
“อุ๊ย..อย่าท้าทายค่ะคุณน้อง”
“จะท้า..ไม่เห็นจะกลัวเลย”
วดีชักฉุน “แล้วไอ้ที่แกเกือบจะจับหนอนกินหยกๆ นี่ล่ะ แกนี่ปากพาจน”
เอิงนิ่งไป
“เอ๊ะ คุณวดีคะ ผีพุธกันยานี่ยังไม่ไปเกิดอีกหรือคะ” ลิซซี่ถามขึ้น
นัยน์ตาของวดี มีวี่แววกังวลวูบหนึ่ง “ฉันจะไปรู้เรอะ”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ลิซซี่ลุกไปเปิดประตู
พนักงานส่งเสื้อผ้าเอิงที่ซักรีดเรียบร้อยส่งให้ “ชุดคุณเอิงได้แล้วค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” ลิซซี่เดินมารับ แล้วส่งให้เอิง “นี่ค่ะ”
เอิงรับแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
“ลิซซี่”
“ขา...”
“แกไปสืบมาซิว่าผีที่ลือๆ กันน่ะ ผีเหย้าผีเรือนหรือว่าผีใคร”
สีหน้าวดียังคงดูกังวลอยู่มากขณะพูดคำนั้นออกมา

ศวัสขับรถเข้ามาจอดในโรงรถบ้านตอนเย็น
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ” เขนไหว้ตามด้วย
ศวัสรับไหว้ 2 สาว หอมน้ำและเขนเปิดประตูรถลงไป
เพลินพิศ อุมา ฟ้า และโค้ก ที่ยืนคุยกันอยู่บริเวณนั้นหันมามองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
โค้กรีบเดินดิ่งมาหา “หอมน้ำ ไปไหนมา”
ศวัสลงจากรถและเดินเข้าบ้านไปเลย
“คิดจะจับเจ้าของบ้านเลยเรอะ หัวสูงนี่” เพลินพิศเหน็บแนม
หอมน้ำปฏิเสธด้วยความตกใจ “เปล่านะคะ”
เพลินพิศหัวเราะ “ใครเขาจะเชื่อ”
“ไป..หอม” เขนคว้าแขนหอมน้ำจะเดินไปที่ห้องแต่งตัว
โค้กรีบมาขวางไว้

“เดี๋ยวก่อนหอม”

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 7 (ต่อ)

หอมน้ำหยุดเดินด้วยสีหน้ายุ่งยาก อึดอัดใจ

“หอมไปก่อน เดี๋ยวเขนคุยกับพี่โค้กเสร็จแล้วจะตามไป”
หอมพยักหน้าแล้วรีบเดินไปหลังห้องแต่งตัว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ตามหาหอมตั้งแต่เช้า” โค้กถาม
“พี่ธุรกิจเขาเลื่อนหอมไปถ่ายตอนค่ำเพราะพี่ไก่มีอีเว้นต์ ช่วงเช้าถึงบ่าย แล้วค่ำนี้จะมาหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เขนบอก
“ขอโทษ พี่ลืมไป แต่ทำไมต้องไปกับหมอศวัส”
“โอ๊ย จะฟอกอะไรกันนักหนา ไปกับหมอก็หมายความว่าเขาไม่สบายน่ะซิ” เพลินพิศสอดเข้ามาอีก
เขนและโค้กหันขวับมามองเพลินพิศ ซึ่งทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์ ขณะที่เขนเม้มปากแน่น
“ใช่มั้ยพี่ฟ้า” เพลินพิศหาพวก
ฟ้าสะดุ้งตั้งแต่เพลินพิศพูด “ไม่รู้ พี่ก็ฟังเขามาอีกที ไปกันเถอะ...อูม่า”
อุมาพยักหน้ารับ แล้วรีบพากันเดินไป
โค้กมองเพลินพิศและเขนสลับกัน “หอมเป็นอะไร”
เพลินพิศยักไหล่ “ถามเพื่อนเขาซิ” แล้วเดินหนีไป
โค้กจ้องเขนเขม็ง “เขน”
เขนถอนใจเฮือกใหญ่

ตรงมุมถ่ายทำ เจคกำลังสั่งงานคัมภีร์ ในขณะที่เหล่าดารากำลังซ้อมบทกันอยู่ ทุกคนต่างมุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน โค้กเดินหน้าตาซีเรียสมากระซิบบางอย่างกับเจค เจคชะงัก แล้วทั้งคู่พากันออกไป

เจคเดินนำโค้กเข้ามาในมุมห่างผู้คน ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน
“หอมน้ำมีอะไร”
“ผมก็ไม่ทราบรายละเอียด แต่เขนบอกว่าหมอศวัสพาหอมไปพบจิตแพทย์”
เจคชะงัก “ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
“ก็นั่นน่ะซิครับ แต่ไอ้ที่ร้ายที่สุดคือ ทุกคนในกองถ่ายรู้เรื่องนี้กันหมดเพราะฟ้ากับอูม่ารู้ เพลินก็รู้”
เจคเดินออกไปเงียบๆ แล้วนึกได้หันกลับมา
“โค้ก”
“ครับ”
“ไปสั่งทุกคนห้ามพูดหรือกระจายข่าวเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกลงโทษ พรุ่งนี้ 8 โมงเช้ามีประชุมที่ออฟฟิศ ห้ามใครขาดประชุม”
“ครับ”
เจคเดินเครียดออกไป โค้กรีบแยกไปอีกทาง

ค่ำแล้วขณะที่ ศวัสคุยกับบุรีเบาๆ อยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึม
เจคเดินเขามาโดย 2 พ่อลูกไม่ทันเห็น เพราะมัวแต่จดจ่อเรื่องที่คุยกัน
“คุณบุรี หมอ”
สองคนหันมา บุรีลุกขึ้นปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม ศวัสลุกตาม สีหน้าเคร่งขรึมเป็นปกติ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เจครีบเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนหมอ”
ศวัสหันกลับมา
“หมอพาหอมน้ำไปพบจิตแพทย์ทำไม”
ศวัสถอนใจอย่างหงุดหงิด รำคาญใจ
“เอาละ ทุกคนนั่งลงก่อน”
บุรีเอ่ยขึ้นแล้วลงนั่ง ศวัสทรุดตัวลงนั่งตาม

ส่วนในห้องแต่งตัว หอมน้ำนั่งฟุบหน้ากับมือ
เขนเอื้อมมือมาจับแขนปลอบ “ใจเย็นๆ หอม”
หอมน้ำส่ายหน้า สุ้มเสียงเครือ “หอมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ หอมน้ำเงยหน้าเหลียวไปดู ใบหน้าชุ่มน้ำตา ขณะที่เขนหันมามอง สองสาวเห็นโค้กเดินมาและ ปิดประตูลงเบาๆ ดวงตามองหอมอ่อนโยนและปลอบประโลม
“ร้องไห้ทำไม”
หอมน้ำส่ายหน้า น้ำตาร่วงพรูลงมาอีก
“คุณเจคสั่งห้ามทุกคนพูดแล้ว ทั้งดาราทั้งทีมงาน พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้าเพื่อย้ำเรื่องนี้อีกที”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ คุณเอิงเขาต้องบอกคุณป้าเขาแล้ว..แล้ว...” หอมน้ำสะอื้นออกมา
เขนลุกมานั่งข้างๆ และโอบกอดเพื่อนไว้
โค้กบอกน้ำเสียงหนักแน่น “พี่เชื่อว่าคุณเจคต้องแก้ปัญหาแน่นอน คุณเจคน่ะไม่ธรรมดาหรอก ท่านอยู่ในวงการนี้มานานจนนับเป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของวงการบันเทิง ท่านไม่ยอมให้นางเอกของท่านเสียชื่อเด็ดขาด”
“ได้ยินมั้ยหอม..หอมสบายใจได้”
หอมน้ำพยักหน้า โค้กส่งกระดาษทิชชู่ให้
“หอมต้องเข้มแข็งไว้ ไม่อย่างนั้นพวกคนใจร้ายจะถือโอกาสซ้ำเติม”
“ใช่ หอมต้องเข้มแข็งนะคะ” โค้กบอก
เขนลอบชำเลืองมองโค้กแวบหนึ่ง
“พี่คนหนึ่งล่ะ ที่จะไม่มีวันยอมให้ใครรังแกหอมเด็ดขาด”
หอมน้ำไหว้อย่างตื้นตัน “ขอบคุณมากค่ะพี่โค้ก”
โค้กเอื้อมมือมากุมมือที่พนมของหอมน้ำไว้ เขนกระแอมเบาๆ โค้กรีบปล่อยมือพร้อมกับทำหน้าเก้อๆ
“ทำใจให้สบายนะจ้ะ”

หอมน้ำฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ

ที่ห้องรับแขกเวลานี้ เจคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ตาจ้องมองศวัส

“ถึงยังไงหมอก็ผิด หอมน้ำเป็นพนักงานของบริษัทอา อาเป็นเหมือนผู้ปกครองเด็กคนนี้ หมอจะทำอะไรควรต้องปรึกษาอาก่อน”
ศวัสไหว้ “ผมต้องขอโทษครับ แต่หอมน้ำมักจะอ้างว่าเป็นคุณแม่ผมบ่อยๆ” เขาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
เจคจ้องหน้า “แล้วหมอเชื่อไหม”
ศวัสย้อนทันที “ถ้าเชื่อผมคงไม่พาเขาไปพบจิตแพทย์ให้คุณอามาตำหนิหรอกครับ”
บุรีมองเจค “แล้วคุณเชื่อหรือเปล่า”
เจคถอนใจยาว “พูดยาก คุณล่ะ”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
ศวัสขัดขึ้น “ค่อยยังชั่วที่ไม่มีใครเชื่อ”
เจคเลื่อนสายตาไปมองภาพพุธกันยาซึ่งถ่ายคู่กับบุรีในกรอบที่ตั้งประดับอยู่ ภาพพุธกันยาเหมือนมองตอบกลับมา
ผู้กำกับแล้วเจ้าของบริษัทสร้างศิลป์ 2000 มองภาพนั้นแน่วนิ่งสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ฝ่ายโค้กลุกขึ้น “เห็นหอมยิ้มออกพี่ก็ดีใจแล้ว พี่ไปทำงานต่อก่อนนะ คืนนี้เสร็จงานแล้วจะพาไปเลี้ยงข้าว”
เขนขยับจะพูด แต่โค้กรีบขัดขึ้นก่อน
“เขนก็ไปด้วย ให้เขนเป็นคนเลือกเองเลยว่าจะไปร้านไหน”
“แน่นะ”
ขณะทั้งหมดพูดกันอยู่ พนักงาน เด็กกอง 1 เดินเข้ามา
“น้องหอมจ๋า พี่ฟ้าใช้ให้ไปซื้อของที่หน้าปากซอยหน่อย นี่จ้ะ พี่เค้าจดมาให้ ตังค์ด้วย”
“ค่ะ”
“คนอื่นมีเยอะแยะทำไมไม่ใช้ น้องหอมเขาเป็นดารา”
“ไม่ทราบค่ะ พี่โค้กต้องไปถามแกเอง”
“พี่จะไปเป็นเพื่อน”
พนักงานบอก “อ้อ ลืมไป คุณเจคให้มาตามพี่โค้กด้วย”
เขนทะแม่งๆ หู เลยพูดดักคอ “แล้วเขนล่ะ มีใครเรียกหรือเปล่”
“มี พี่ฟ้าไงจ๊ะ” เด็กกองบอก
เขนเซ็งสุด “เหลือเชื่อเลย”
“ไม่เป็นไร หอมไปเองได้ แค่นี้เอง”
โค้กและเขนทำท่าจะพูด
“หอมพูดจริง หอมเคยแวะซื้อของที่นั่นบ่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หอมน้ำหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้แห้งขณะพูด แล้วเดินออกไป ทุกคนตาม

ขณะที่ศวัสเดินมาที่หน้าต่างห้องนอนโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วต้องชะงัก เมื่อมองลงไปเห็นหอมน้ำเดินแยกกับโค้ก ส่วนเขน แยกออกไปอีกทางคนเดียว หมอหนุ่มมองตามพลางใช้ความคิด

ระหว่างที่หอมน้ำกำลังเข็นรถมาตามทางในห้างเล็กๆ ก้มหน้าก้มตาอ่านรายชื่อของที่จะต้องซื้อ พลางเข็นรถมาเรื่อยๆ จนเกือบชนใครคนหนึ่ง ซึ่งยกมือยันรถไว้
“อุ๊ย” พอเงยหน้าขึ้น ห้อมน้ำเบิกตากว้าง ตกใจนิดๆ “คุณหมอ”
ศวัสถามเสียงเรียบเรื่อย “มาซื้อของหรือ”
“ค่ะ คุณหมอก็มาซื้อเหมือนกันหรือคะ” หอมน้ำถามด้วยดวงตาใสซื่อ แต่ยังพอมีร่องรอยการร้องไห้ให้เห็นอยู่
ศวัสพยักหน้าโดยไม่สบตา ด้วยเกิดละอายใจที่ตัวเองตามหอมน้ำมา
“งั้นเชิญคุณหมอเถอะค่ะ หอมจะไปดูผลไม้ทางโน้น”
“ฉันไม่ได้รีบร้อนอะไร ไปซิ จะเข็นรถให้”
หอมน้ำมองศวัสแปลกใจ ศวัสดึงรถเข็นมาแล้วเข็นนำไป หอมน้ำรู้สึกตัวรีบตาม ทั้งสองมาอยู่ที่โซนผลไม้ หอมน้ำเดินไปดึงถุงพลาสติกมา
“ฉันช่วยเลือกให้”
หอมน้ำเกรงใจ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณหมอจะเสียเวลา”
“ฉันก็ไม่ได้รีบร้อนจะไปไหนนี่ เดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วจะเลี้ยงไอศกรีม”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“พูดอย่างอื่นเป็นบ้างไหม ฉันจะเลี้ยงไอศกรีมชดใช้ที่ทำให้เธอเดือดร้อน”
ศวัสหันกลับมาเลือกผลไม้ต่อ หอมน้ำเลือกตาม

ภายในร้านไอศกรีมของห้างตอนนี้ มีลูกค้าไม่มากนัก ศวัสเดินนำหอมเข้ามาโดยหิ้วถุงของมาด้วย ทั้ง 2 ทรุดตัวลงนั่งแล้วสั่งไอศครีมกัน
หอมน้ำตัดสินใจถาม “ตกลงหอมเป็นบ้าหรือเปล่าค่ะ”
ศวัสเกือบสำลักน้ำที่กำลังยกขึ้นดื่ม
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าคนไปพบจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องบ้าแต่อาจมีปัญหาบางอย่าง”
“แล้วจิตแพทย์บอกไหมคะว่าหอมมีปัญหาอะไร”
“อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะบอกได้” ศวัสเว้นไปอีกนิด “เธอไม่ใช่คนบ้าสบายใจได้”
ขณะสองคนคุยกันอยู่นี้ พนักงานเอาไอศกรีมมาเสิร์ฟ
“พี่โค้กมาบอกหอมว่าคุณเจคจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
สีหน้าศวัสขรึมลง “สนิทกับเขามากหรือ”
“ไม่ถึงกับสนิทหรอกค่ะ คุณเจคเป็นเจ้านาย”
ศวัสรำคาญนิดๆ “ไม่ได้หมายถึงคุณเจค”
“อ๋อ...พี่โค้ก ค่ะ..ก็ค่อนข้างสนิท พี่โค้กใจดี คอยช่วยเหลือหอม”
ศวัสพาลโดยไม่รู้ตัว “เห็นสนิทไปหมดทุกคนเลยนะ ทั้งพระเอก พระรอง คุณโค้ก ระวังไว้บ้างก็แล้วกัน เราเป็นสาวเป็นนาง ซื่ออีกต่างหาก อย่าไว้ใจคนไปทั่ว”
“คุณหมอจะบอกว่าหอมเซ่อใช่ไหมคะ”
“บอกตามตรง บางทีเธอก็เป็นอย่างนั้น แต่บางทีก็เหมือนผู้หญิงเจนจัด ผิดกันเป็นคนละคน”
หอมน้ำเบิกตากว้าง มองศวัสเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

ออกจากร้านไอศกรีม ศวัสถือถุงของเดินนำหอมออกมาตรงไปที่รถ แล้วเปิดท้ายเอาของวาง
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ ความจริงคุณหมอไม่น่าจะต้องลำบาก”
“อ้อ...รู้ด้วยเหรอว่าฉันลำบาก”
หอมน้ำเริ่มเงอะงะกับนัยน์ตาดุคู่นั้น “งั้นหอม หอมถือไปเองสะดวกกว่า”
หอมน้ำยื่นมือไปจับถุงมาช้าๆ ขณะพูด มือศวัสเอื้อมไปจะดึงถุงไว้ แต่กลับจับลงบนมือหอมพอดี หอมน้ำตกใจ เงยหน้ามอง ศวัสก้มลงมองจ้อง หอมน้ำรีบหรุบตาลง หนีจากนัยน์ตาศวัสเป็นประกายประหลาดด้วยความลืมตัวนั้น
ศวัสมองหน้า มือยังคงจับที่มือหอมน้ำบีบเบาๆ
สักครู่หนึ่ง หอมน้ำรู้สึกตัวดึงมือกลับ ศวัสรีบปล่อยมือหอม
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หอมน้ำอุบอิบบอกเบาๆ
ศวัสปิดท้ายรถ ทำท่าจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันหลังจะเดินไปเปิดประตูรถ
หอมน้ำเลยรีบพูด “หอมผิดเองค่ะ”
ศวัสชะงักหันมามอง หงุดหงิดอีก “อะไรอีกล่ะ”
“หอมบอกว่า เมื้อกี้หอมผิดเองค่ะ” หอมน้ำหน้าตาแหยๆ
ศวัสดุ “เรื่องมาก”
หอมน้ำซึ่งหน้าเหยเกอยู่แล้ว น้ำตาคลอ หันกลับจะเดินไป
“หอมน้ำ”
หอมน้ำเดินแกมวิ่งหนีโดยเร็ว โดยมีศวัสก้าวยาวๆ ตามไปคว้าแขนไว้ “จะไปไหน”
หอมเม้มปาก เมินหน้าไปอีกทาง
มีเสียงกลั้วหัวเราะขำๆ ดังขึ้นว่า “มีแฟนเด็กก็แสนงอนอย่างนี้แหละ”
สองคนสะดุ้ง หันไปมอง เห็นชายกลางคนสีหน้ายิ้มแย้ม ใจดี กำลังเดินเลยไป แต่หันกลับมาใหม่
“ต้องหมั่นง้อกันหน่อย”
ชายนั้นเดินไปเลย หอมน้ำและศวัสรู้สึกเก้อเขินทั้งคู่
ศวัสปล่อยแขนหอมน้ำ “ไปขึ้นรถ”
หมอหนุ่มเดินนำไปที่รถ หอมน้ำรีบร้อนเดินตามโดยไม่วายสะดุดเท้าตัวเองเซถลาเกือบล้มตามเคย ทั้งคู่เปิดประตูขึ้นนั่ง
ขณะศวัสสตาร์ตรถ เขาตัดสินใจพูดเหมือนจะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเอง
“ถ้าเธอไม่เรื่องมาก คุณลุงเขาคงไม่เข้าใจผิดหรอก”
“หอมขอโทษค่ะ” หอมน้ำหน้าจ๋อย
ศวัสถอนใจเฮือก แล้วขับรถออกไป
หอมน้ำเอาแต่นั่งก้มหน้าดูมือตัวเองตลอดทาง

ฝ่ายเขนมายืนอยู่หน้ารั้วบ้านกำลังชะเง้อมองไปด้วยความกังวล ฟ้าเดินสีหน้าหงุดหงิดมาสมทบ
“ยังไม่กลับมาอีกเรอะ”
“ค่ะ เขนชักเป็นห่วงแล้ว หน้าตาผมเผ้าก็ยังไม่ได้ทำ เขนว่าเขนออกไปดูดีกว่า”
“ยังไม่ทันจะดัง ชักจะเหลวไหลแล้ว” ฟ้าเหน็บ
เขนชะงักหันมามอง “ทำไมพี่ฟ้าพูดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็…”
ฟ้าพูดยังไม่ทันจบ ทั้งสองก็ต้องรีบถอย เพราะศวัสขับรถเข้ามา ทั้งสองหันไปมองตามพร้อมกับเบิกตากว้าง
ศวัสและหอมน้ำก้าวลงมา ทั้งสองเดินไปหยิบของหลังรถ ฟ้าและเขนยังเบิกตากว้างตะลึงตะไลอยู่ในท่าเดิมนั้น

ไม่นานต่อมา เขนเดินตามหอมน้ำเข้ามาในมุมลับตาของห้องแต่งตัว
“ไปเจอคุณหมอที่ไหน”
“ที่ห้างฯ”
“แล้ว...”
“แล้วเขาก็ช่วยเลือกผลไม้ พาไปกินไอศกรีม” หอมน้ำบอกอีก
“ต้องใช่แน่ๆ” สาวอวบยิ่งมั่นใจ
หอมน้ำงงอยู่นั่น “ใช่อะไร”
“เฮ้ย...หมอฟันทันตแพทย์ชอบหอม” เขนบอก
หอมน้ำตกใจ “เขน”
“ไม่ต้องตกใจ เขนบอกหอมแล้ว”
“ไม่จริงหรอก” หอมน้ำว่า
“อะไรไม่จริงจ๊ะ” เสียงอุมาดังเข้ามาแล้วถามย้ำอีกท่าทีงงๆ “อะไรไม่จริง”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” หอมน้ำบอก
“เห็นเขาพูดกันว่า คุณหมอไปช่วยหอมซื้อของเหรอ” ทับทิมเดินเข้ามาหาสองสาว พลางถาม
“ค่ะ”
ทับทิมฟังแล้วฟิน “ต๊าย...ตื่นเต้น ตื่นเต้น”
อุมาทำท่าจะถามต่อ
“พี่ทับ พี่อูม่า พลีส”

เขนลงเสียงหนักตอนท้าย พร้อมกับพยักพเยิดเป็นเชิงขอร้องไม่ให้พูด ด้วยเห็นหอมน้ำมีสีหน้าอึดอัด

อีกฟาก เอิงกำลังโทรศัพท์มาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าหล่อนหักพวงมาลัยเลี้ยวรถ

“เดี๋ยวนะพี่ฟ้า”
เอิงหักรถเข้าจอดชิดข้างทาง
“เอ้า พูดต่อ เมื่อกี้ที่บอกว่านังหอมน้ำมันไปซื้อของกับพี่หมอของเอิงเหรอ”
ฟ้าหลบมุมตึกโทร.หา และคุยสายอยู่ตรงนั้น “ค่ะ พี่ฟ้าใช้ให้มันไปซื้อของตามที่คุณน้องสั่ง แต่ขากลับมันดันกลับมากับคุณหมอน่ะซีคะ มิหนำซ้ำคุณหมอยังช่วยมันหิ้วของพะรุงพะรังอีก”
เอิงกรีดเสียง “อ๊าย...”
ฟ้าสะดุ้งโหยง รีบเอาโทรศัพท์ห่างตัวไปสุดแขนด้วยสีหน้าเหยเก ครู่หนึ่งแล้วจึงเอาแนบหูใหม่
เสียงเอิงแว้ดใส่ “พี่ฟ้า ทำไมพี่ฟ้าถึงได้ทึ่มยังงี้นะ”
“อ้าว ก็คุณน้องบอกให้พี่ฟ้าทำนี่ค่ะ แล้วพี่ฟ้าก็ไม่รู้ว่ามันจะไปเจอคุณหมอด้วย พี่ฟ้าเห็นคุณหมออยู่ในบ้าน”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว” เอิงปิดโทรศัพท์ใส่อย่างหงุดหงิด
เพลินพิศเดินเข้ามา “หงุดหงิดอะไรคะพี่ฟ้า”
“เปล่าค่ะ”
“ได้ข่าวว่าหอมน้ำควงมากับหมอศวัสหรือ”
“แหม ข่าวแพร่ไปเร็วยิ่งกว่าออนไลน์อีก”
“เพลินบอกแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ซื่อใสไร้เดียงสาอย่างที่ใครๆ คิดกันหรอก มันหลอกใช้พี่โค้กแล้วถีบหัวส่ง มันทำท่าอ่อยคุณเจค เพราะเมียเขาเสียมา 2 ปี ตอนนี้หันมาจับคุณหมอแทน เพราะทั้งหล่อทั้งเก่ง ทั้งรวย”
“โห น้องเพลินนี่อ่านมันทะลุปรุโปร่งเลยค่ะ”
“เราต้องหาทางบอกทุกคนให้รู้ตัว จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ พี่ฟ้าสนิทกับน้องเอิงก็ยุให้เขาไปบอกคุณวดีให้ลงข่าวเปิดโปงมันเลยซิ” เพลินพิศยิ้มรู้ทัน “เอ๊ะ หรือว่ายุไปเรียบร้อยแล้ว”
ฟ้ายิ้มแห้งๆ ที่ถูกจับได้

ศวัสยืนอยู่ในห้องรับแขก มองเหม่อๆ ออกไปภายนอก คิดถึงเหตุการณ์ช่วงที่มือต่อมือจับกันโดยไม่ตั้งใจ ตามด้วยภาพเขาและหอมน้ำเสียหลักล้มทับกันในห้องพักแพทย์
อีกครั้งตอนชายกลางคนทักว่ามีแฟนเด็กต้องหมั่นง้อ และคอยเอาใจ
เสียงขวัญอนงค์ดังขึ้น “หมอมาอยู่ที่นี่เอง”
เสียงนั้นปลุกศวัสตื่นจากภวังค์ เขาสะดุ้งหันกลับมามอง ขวัญอนงค์ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“อามารบกวนหมอหรือเปล่า”
“เปล่าครับ คุณอามีอะไรหรือครับ”
ขวัญอนงค์ถอนใจยาว นัยน์ตาหม่นลงอีก
“เชิญนั่งดีกว่าครับ”
ขวัญอนงค์เดินมาทรุดตัวลงนั่ง ศวัสทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม นัยน์ตามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจฟังเต็มที่
ขวัญอนงค์ส่ายหน้าเหมือนเกิดละอายใจขึ้นมา “อาไม่ควรพูด ขอโทษนะคะหมอ” พลางขยับจะลุกไป
ศวัสเรียกไว้ด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “อย่าเพิ่งไปครับ”
ขวัญอนงค์หยุดชะงัก ระหว่างนี้พุธกันยาปรากฏตัวนั่งใกล้ขวัญอนงค์ สายตามองอย่างไม่พอใจ
“เขาจะไปก็ปล่อยให้เขาไปซิลูกจะไปเรียกไว้ทำไม”
“คุณอามีปะไรไม่สบายใจก็เชิญพูดได้เลย ถือเสียว่าผมเป็นหลานแท้ๆ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ดาราสาวใหญ่ก้มลงมองมือที่ประสานกันบนตักครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้น “คุณพ่อของหมอโกรธอาหรือเปล่า”
“นั่นไง มันจะแย่งพ่อไปจากแม่”
“เอ๊ะ ทำไมหรือครับ”
“อารู้สึกว่าเขาคอยหลบหน้าอา พออาเข้ามาในบ้านจะพูดคุยด้วยเหมือนเคย แต่เขากลับทำท่าอึดอัด แล้วขอตัวขึ้นไปข้างบน”
“รู้ตัวแล้วก็ยังมายุ่งกับเขาอีก” พุธกันยาหมั่นไส้
“อ๋อ...คุณพ่อคง...” ศวัสพยายามแก้ตัวให้
ขวัญอนงค์ส่ายหน้า “ไม่ต้องปลอบอาหรอก อาไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
ศวัสบอกด้วยท่าทีอ่อนโยน “คุณอาอย่าคิดมากเลยครับ”
“มันเรื่องอะไรของลูกที่จะต้องปลอบมัน มันเองยังบอกไม่ให้ปลอบเลย” พุธกันยาบ่นบ้าโดยไม่มีใครได้ยิน
“ผมจะถามคุณพ่อ”
ขวัญอนงค์ตกใจ “อย่านะคะ หมอไม่ต้องถามอะไร เดี๋ยวคุณบุรีจะหาว่าอาจุ้นจ้าน”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว” พุธกันยาว่า
“ไม่หรอกครับ คุณพ่อไม่ใช่คนที่ชอบว่าใคร…”
พุธกันยาโมโหลูกชาย “เอ๊ะ ศวัสนี่ มันเป็นศัตรูหัวใจของแม่ทำไมจะต้องไปพูดดีด้วย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่าบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อ อาขอร้องให้หมอลืมไปเลยว่าอามาพูดอะไรบ้าๆ ด้วย สัญญากับอานะคะ”
“ครับผมสัญญา”
ขวัญอนงค์ลุกขึ้น “ขอบคุณมาก อาไปละ” แล้วเดินออกไป
“ไปเลยแล้วไม่ต้องกลับมาอีก” พุธกันยาไล่ส่ง
ศวัสมองตามขวัญด้วยสีหน้าครุ่นคิดตริตรอง

วิญญาณพุธปรากฏตัวขึ้นในห้องเธอแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง พุธกันยาเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแววตาว้าเหว่พร้อมถอนใจยาว มาหยุดที่รูป 3 คนพ่อแม่ลูกที่หัวเตียง เป็นรูปศวัสยังเล็กๆ
“มันน่าเศร้าแค่ไหนที่ทั้งพ่อทั้งลูกไม่ได้รับรู้ว่าแม่ยังอยู่ในบ้าน ไม่ได้จากไปไหนเลย”
พุธกันยามองเลยเรื่อยไปที่มุมหนึ่งของห้อง ที่จัดเป็นโต๊ะบูชา แต่วางโกศกระดูกแทน หน้าโกศมีแจกันปักดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่อย่างสวยงาม นอกเหนือจากธูปที่จุดบูชาทุกวัน
พุธกันยาค่อยๆ ลุกขึ้นเดินมาทรุดตัวตรงหน้าโกศนั้นน้ำตาคลอ “แค่นี้เอง เราเหลือแค่นี้เอง”
พุธกันยาน้ำตาไหลพรากด้วยความเศร้าสะเทือนใจสุดๆ สักพักหนึ่ง มีเสียงประตูเปิดออกเบาๆ พุธกันยาหันกลับไปมอง เป็นบุรีเดินเข้ามา สีหน้าและแววตาดูหม่นเศร้า พุธกันยานั่งมองสามีเงียบๆ
บุรีเดินเข้ามาล้มตัวลงนอนบนเตียง ทอดสายตามองรูป 3 คน ด้วยความเศร้าสะเทือนใจลึกซึ้ง พุธกันยาลุกขึ้น เดินมาทรุดตัวลงนั่งมองครู่หนึ่ง แล้วจึงยื่นมือไปเหมือนจะลูบผมเบาๆ บุรีหลับตาลง

ศวัสเดินมาหยุดหน้าห้องบุรีแล้วเคาะประตูเรียกเบาๆ แต่ไม่มีการตอบรับ เขาจึงเคาะดังขึ้น
“คุณพ่อครับ คุณพ่อ”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอีก ศวัสนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองห้องพุธกันยา

ประตูห้องเปิดเข้ามาเงียบๆ ศวัสเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา พุธกันยาซึ่งนอนหลับตาข้างๆ บุรี ลืมตาขึ้น แล้วลุกนั่งเมื่อเห็นว่าเป็นใคร พูดราวกับตัวเองยังมีชีวิต
“ศวัส เข้ามาซิลูก”
ศวัสปิดประตูเบาๆ เดินมามองพ่อซึ่งหลับสนิท
“คุณพ่อหลับจ้ะ”
ศวัสเดินไปที่โกศกระดูกแม่ แล้วก้มลงกราบ พุธกันยาเดินมานั่งข้างๆ มองสายตาลูกซึ่งมีแววสะเทือนใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“คงจะดีกว่านี้ถ้าหากคุณแม่ไม่ทิ้งคุณพ่อกับผมไป” เขาตัดพ้อ
“แม่ไม่ได้ทิ้งลูกกับคุณพ่อ ไม่ได้ตั้งใจสักนิด”
ศวัสทอดถอนใจยาว ขณะที่บุรีลืมตาหันมามอง ขยับลุกนั่ง
“อ้าว ศวัสเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
“เพิ่งเข้ามาครับ คุณพ่อนอนต่อเถอะ”
บุรียกมือลูบหน้า “นอนไม่หลับแล้วล่ะ เมื่อกี้พ่อไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็คิดถึงแม่เขาขึ้นมาจับใจ เลยเข้ามาหา”
พุธกันยายิ้มด้วยความตื้นตันใจ
“ผมว่าคุณพ่อคิดถึงคุณแม่ทุกวันนั่นแหละครับ” ศวัสเย้า
“คงจะจริง”
“เมื่อกี้คุณอาขวัญเข้ามาในบ้าน ไม่ทราบคุณพ่อเห็นหรือเปล่า” ศวัสลอบสังเกตท่าทีบิดา
“พ่อไม่ได้สังเกต” บุรีมีพิรุธนิดหนึ่ง “ออกไปนั่งรถเล่นกันไหมลูก”
“ชวนอาขวัญไปด้วยนะครับ”
พุธกันยาอ่อนใจ “ศวัส”
“อย่าเลย เราไปกัน 2 คนพ่อลูกดีกว่า”
บุรีกอดคอลูกเดินออกไป พุธกันยามองตามบุรีด้วยความตื้นตันใจส่งเสียงตาม
“ขอบคุณค่ะ”
บุรีชะงักหันกลับมามอง ศวัสหันกลับมามองตาม
“คุณบุรี คุณได้ยินกัลยาแล้วหรือคะ” พุธกันยาตื่นเต้น
“อะไรหรือครับคุณพ่อ”
“พ่อกำลังคิดว่าจะหาโกศมาใส่กระดูกแม่เขาใหม่” พุธกันยามีสีหน้าผิดหวัง
“อันนี้ก็ยังดีอยู่เลยนี่ครับ”
“พ่อไปเจอเมื่ออาทิตย์ก่อน สวยมาก แม่เขาคงชอบ”
“คุณแม่ไม่รู้เรื่องหรอกครับ”

พ่อลูกเดินคุยกันออกไป พุธกันยามองตามด้วยความผิดหวัง

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น