xs
xsm
sm
md
lg

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 16

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 16

ชลกรกับชยพลเดินออกมาจากในบ้านตรงมายังรถชยพลที่จอดอยู่ สองหนุ่มหิ้วกระเป๋าสัมภาระไปเก็บไว้ท้ายรถ ชยพลใจฝ่อ กังวลไม่หาย

“พี่มั่นใจนะว่า ทำแบบนี้มันจะได้ผล”
“ยังไม่ทันเริ่มเลย กลัวซะแล้ว”
“แล้วถ้าป่านเขาไม่เล่นด้วย หนีกลับไปเลยล่ะ”
“พี่ว่าเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก แต่เราก็มีแผนไว้รองรับแล้ว”
“แผนอะไร”
“ให้เป็นหน้าที่ของพี่กับปอละกัน”
ชยพลปิดกระโปงรถ
“เออพี่ พี่ว่าจะถึงวันเกิดป่านเขาด้วยใช่ไหม เราแวะหาซื้ออะไรไปฝากเขาด้วยดีไหม”
“อะไรดีล่ะ เค้กเหรอ”
“เอ๊ย...เชยจังพี่” ชยพลยิ้มเจ้าเล่ห์ดูมีเลศนัย “ผมรู้แล้ว อะไรดี”
ชลกรเหล่มองน้องชายจะมีแผนอะไรในใจ

ในขณะที่ดาวรายปัดกวาดเช็ดถู ตู้ โต๊ะ และชั้นต่างๆ ในห้องรับแขก ฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ภาคีเดินเข้ามา ทักทายดาวรายยกมือสวัสดี
“คุณแม่ดาว สวัสดีครับ”
ดาวรายหันมา ยิ้มแต้ รีบวางไม้ขนไก่รับไหว้
“คุณภาคี สวัสดีค่ะ แหมกำลังคิดถึงอยู่พอดี”
ดาวรายเดินมาหาภาคีผายมือเชิญนั่ง
“นั่งก่อนค่ะ”
ภาคีมองหา “น้องป่านอยู่ไหมครับ อยากชวนไปดินเนอร์หน่อย”
“เอ่อ ป่านไม่อยู่หรอกค่ะ”
“ไปไหนเหรอครับ”
“เขาไปพักผ่อนกับพี่สาวเขาที่ปราณน่ะค่ะ”
“ปราณบุรีเหรอครับ ผมตามไปด้วยดีกว่า เขาพักที่ไหนครับ”
“เขาไม่ได้บอกแม่ไว้น่ะค่ะ แหม แม่ก็ปากหนักไม่ได้ถาม ลองโทร.หาดีมั้ยคะ”
“เอ่อ ดีครับ” พร้มกับว่าภาคีหยิบโทรศัพท์มือถืออกมากดโทร.หาปานดาว รอสาย

อีกฟากบนรถที่ปานวาดขับแล่นมาตามทาง ปานดาวได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังมาจากกระเป๋า หยิบออกมาดูเห็นเป็นชื่อ ภาคี จึงยังไม่รับ
ปานวาดขับรถอยู่สงสัย “ใครน่ะป่าน”
“พี่ภาคีน่ะค่ะ”
“ดีแล้ว ไม่ต้องรับ เดี๋ยวตามมาแล้วจะยุ่ง”
ปานดาวมองโทรศัพท์ ที่ยังคงส่งเสียงเรียกเข้าอยู่อย่างนั้น

ฟากภาคีรอนานแล้วจึงกดวางสาย
“น้องป่านไม่รับสายครับ”
“สงสัย ขับรถน่ะค่ะ แหม ยัยปอจะรับโทรศัพท์แทนน้องหน่อยก็ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทร.เรื่อยๆ” ภาคียิ้มแย้ม
ดาวรายนึกขึ้นได้ “เออ แล้วคุณภาคีได้ฤกษ์ ที่จะมาสู่ขอลูกป่านหรือยังคะ แม่จะได้รีบไปตัดชุดรอบ้าง”
“นี่เลยครับคุณแม่” ภาคียิ้มกริ่มควักกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ดาวราย “ผมก็กะว่าจะมาหารือเรื่องนี้ด้วยครับ ท่านให้ฤกษ์มา 3 วัน คุณแม่ดาวเลือกเลยครับ”
ดาวรายดูฤกษ์งามๆ ในกระดาษยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจจะได้ลูกเขยรวย ภาคียิ้มประจบว่าที่แม่ยาย

ที่ถนนทางเข้าบ้านพักริมทะเล ปานวาดขับรถปานดาวแล่นมาจอดใกล้กับตัวบ้าน สองสาวลงรถ เดินไปเปิดกระโปงท้ายหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา ปานดาวมองไปที่บ้านพัก
“บ้านใครเนี่ยพี่”
“นิตยสารที่พี่ไปทำงานให้เขา เขามีวอยเชอร์ให้”
ปานดาวพยักหน้ารับเอาคำ หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา
“แล้วไม่เห็นเพื่อนพี่ ที่บอกจะมาด้วยเลยคะ”
“กำลังเดินทาง เดี๋ยวก็มาถึงจ้ะ”
ปานวาดปิดกระโปงรถ ปานดาวยังสงสัยอยู่
“เอาน่า ทำจิตใจใหปลอดโปร่ง พักผ่อนให้เต็มที่”
ปานวาดจูงแขนปานดาวพาเดินไปที่บ้านพัก เสียงโทรศัพท์ปานดาวดังอีกรอบ ปานดาวจะหยิบมาดู
ปานวาดรีบดึงโทรศัพท์มาจากน้อง มองชื่อแล้วกดรับสายแทน
“สวัสดีค่ะพี่ภาคี”
ภาคีคุยสายอยู่ที่ล็อบบี้โฮมสเตย์
“น้องปอเหรอครับ ไปเที่ยวไม่ชวนพี่บ้างเลย พักที่ไหนครับ เดี๋ยวพี่จะตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พี่ภาคี เพื่อนปอมีแต่ผู้หญิง พี่มาคงไม่สะดวก”
“ก็เพราะมีแต่ผู้หญิงน่ะซิครับ พี่ถึงต้องไปดูแล พี่เป็นห่วงน้องป่าน”
“ไม่รบกวนคือไม่รบกวนค่ะ แค่นี้นะคะ”
ปานวาดกดวางสายไปดื้อๆ แถมยังยึดโทรศัพท์ปานดาวเอาไว้เฉยเลย
“เอาไว้ที่พี่นี่แหละ เผื่อพี่ภาคีโทร.มาอีก”
สองพี่น้องหิ้วกระเป๋าเดินเข้าบ้านพักไป

ภาคีไม่สบอารมณ์ที่ปานวาดพูดจาไม่ดีใส่ และกดตัดสายไปดื้อๆ ระหว่างนี้ปัฐวีเดินมาเจอภาคีเข้า จึงหยุดทักทาย
“อ้าว สวัสดีครับคุณภาคี มาหาป่านเหรอครับ น้องผมไม่อยู่ไปเที่ยวทะเล”
“สวัสดีครับคุณปัฐ เอ่อ คุณปัฐพอจะทราบมั้ยครับว่าคุณป่านไปพักที่ไหน”
“ป่านไม่ได้บอกคุณเหรอครับ”
ภาคีเงียบไปชั่วขณะ รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ปัฐวีมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วพูดต่อ
“ถึงผมจะทราบก็คงบอกคุณไม่ได้ ก็แปลกดีนะครับ ที่คุณกับน้องผมจะหมั้นกันแล้ว แต่ดูเหมือนยัง...” ปัฐวีเปลี่ยนเรื่อง “ผมว่าบางทีการที่คนเราหลบหน้ากัน ไม่พูดความจริงต่อกัน มันน่าจะมีความหมายบางอย่าง บางทีคุณน่าจะคิดทบทวนเรื่องการหมั้นกับน้องสาวผมนะครับ”
ปัฐวีเดินออกไปอีกทาง ทิ้งให้ภาคียืนฮึดฮัดขัดใจ โมโหที่ทั้งปัฐวี และปานวาด วางท่ากีดกันเขากับปานดาว โดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วปัฐวีกำลังคิดถึงเรื่องตัวเองกับดุจเดือนต่างหาก

พันลือเดินเข้าไปในบ้าน ในมือหิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวมาด้วย
“มื้อเที่ยงมาแล้วนะ”
มาลาเดินมาจากทางหลังบ้าน
“ได้อะไรมาล่ะพี่”
“ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ลูกๆ ล่ะ อยู่ข้างบนเหรอ”
“สองคนเขาออกไปแล้ว”
“ไปไหน”
“เขาพากันไปเที่ยวทะเล พักผ่อนสมอง”
“อ้าว เหรอ วันหยุดเป็นต้องหายหัว จะไปไหนไม่บอกไม่กล่าว ชอบทำให้เราเป็นห่วง” พันลือบ่นบ้าตามประสา
“เขาโตๆ กันแล้ว เป็นลูกชายด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก”
มาลารับก๋วยเตี๋ยวมาแล้วเดินนำพันลือเข้าไปในห้องทานอาหาร

รถชยพลแล่นเข้ามาตามถนนเข้าสู่บ้านพักริมทะเล
“ทางเข้าบ้านพักนี่ลึกเหมือนกันนะ เปลี่ยวด้วย” ชยพลว่า
“ถ้าไม่มีรถ ก็ไม่ควรเดินออกไปปากทาง”
ชยพลพยักหน้าเห็นด้วย มองไปที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง เห็นรถของปานดาวจอดอยู่
“สาวๆ มาแล้ว” ชลกรยิ้มบอก
ชยพลจอดรถใกล้ๆ รถปานดาว สองหนุ่มลงจากรถ
“เราทำให้นายมาขนาดนี้ ต่อจากนี้ นายก็ทำให้ดีที่สุดละกัน” ชลกรบอกน้อง
ชยพลพยักหน้าสูดลมหายใจเต็มปอด สร้างความมั่นใจ ชลกรเดินไปหยิบกระเป๋าที่ท้ายรถ พลางบอกน้อง
“อย่าลืมของสำคัญล่ะ”
ชยพลเปิดประตูที่นั่งแถวหลัง ก้มเข้าไปหยิบอะไรบางอย่าง ชลกรยกกระเป๋าทั้งสองใบออกมาปิดกระโปงท้าย ชยพลปิดประตู ซ่อนบางอย่างไว้ในมือทางด้านหลัง

ส่วนในห้องพักสองปาน ปานดาวยืนอยู่หน้ากระเป๋าเสื้อผ้าถือบิกินี่ทรงเซ็กซี่สีแปร๋นไว้ในมือ มีแสงสว่างวาบเข้ามาพร้อมกับเสียงประตูเปิดเข้ามา และปิดลงติดๆ กัน
ปานดาวพูดโดยไม่หันไปมอง “พี่ปอ แดดเริ่มคล้อยแล้ว ระหว่างรอเพื่อนพี่ เราไปเล่นน้ำทะเลกันก่อนดีกว่าค่ะ”
ปานดาวหันไปหาเพื่อจะฟังคำตอบจากพี่สาว แต่แล้วก็ต้องชะงัก ถือบิกินี่ค้าง เพราะชยพลยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดอยู่ ชยพลอึ้งไปนิดจนนึกได้ รีบเอาดอกไม้ช่อใหญ่สีขาวทั้งช่อออกมาจากข้างหลัง ยื่นให้หญิงสาว
“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับ”
ปานดาวยืนตะลึงตะไลอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะเจอเขา พอได้สติก็รีบโยนบิกินี่ลงกระเป๋า

อีกฟาก ดุจเดือนเดินเข้ามาในสวนข้างบ้าน กดเบอร์ปัฐวีแล้วถือโทรศัพท์รอสาย
ที่โฮมสเตย์ เสียงโทรศัพท์มือถือของปัฐวีซึ่งวางอยู่ที่เคาน์เตอร์ดังขึ้น ปัฐวีเดินเข้ามา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นเป็นชื่อของดุจเดือนก็นิ่งไป แต่ที่สุดก็กดรับสาย
“สวัสดีครับ”
ดุจเดือนยิ้มขำ “ทำไมทำเสียงเข้มจัง นี่ดุจเองนะปัฐ”
“มีอะไรครับ”
ดุจเดือนอึ้งไปอีกนิดกับคำถามนั้น “จะโทร.มาถามว่าปัฐว่างเจอกันหรือยัง”
“ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย ปอกับป่านก็ไม่อยู่ ต้องดูแลโฮมสเตย์คนเดียว แขกก็ทยอยมาเรื่อยๆ”
“นี่ ถ้างานมาก ให้ดุจไปช่วยไหมละ วันสองวันนี้ดุจว่าง”
“อย่าเลย”
“ไม่ต้องเกรงใจ ดุจอยากช่วย ไม่คิดตังค์ด้วยนะ”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ ดุจไม่เคยทำมาก่อน”
ดุจเดือนพยายามคุยให้สนุกๆ “ดุจเรียนรู้เร็วนะ”
อึดอัดมากขึ้นๆ จนปัฐวี เผลอเสียงดังใส่ “ก็บอกว่าไม่ต้องไง โอเคนะ ผมต้องไปทำงานแล้ว”
ปัฐวีกดวางสายไปเลย
ดุจเดือนถือโทรศัพท์ค้างอยู่ อึ้งไปเลยที่ถูกตัดสายแบบนั้นลดโทรศัพท์ลงช้าๆ แล้วนั่งซึมเหม่ออยู่อย่างนั้น

ด้านปานดาวมองชยพลอย่างไม่ค่อยพอใจ และไม่ยอมรับดอกไม้
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“พี่ผมเขาพามา เขาอยากให้ผมพักผ่อน”
ปานดาวประชด “บังเอิญจังนะคะ ที่มาที่เดียวกัน”
“ผมว่าเราน่าจะใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกันนะ” ชยพลเดินเข้ามาหาปานดาว พร้อมกับยื่นดอกไม้ให้อีกครั้ง “แทนคำขอโทษของผม”
ปานดาวรับช่อดอกไม้มา ชยพลยิ้มย่อง คิดว่าปานดาวจะยอมรับคำขอโทษของเขา
“จะเอาไว้ไหนดีล่ะ” ปานดาวมองไปรอบๆ ห้อง “อ้อ รู้แล้ว”
ปานดาวเดินไปที่ถังขยะในห้อง แล้วทิ้งช่อดอกไม้นั้นลงไปเลย ชยพลใจหายมองดูดอกไม้หล่นลงถัง หุบยิ้มแทบไม่ทัน
ปานดาวมองหน้าชยพลแน่วนิ่ง “ที่ๆ มันควรอยู่มากที่สุด”
“อย่าโหดนักซิครับ พวกเขาอุตส่าห์ช่วยเราขนาดนี้แล้ว”
ปานดาวสะดุดหู “พวกเขาเหรอ หมายความว่าพี่ปอก็สมรู้ร่วมคิดด้วยใช่ไหม”

ชยพลชะงัก พลาดไปแล้วตรู

อ่านต่อหน้า 2

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 16 (ต่อ)

ห่างออกไปที่ริมทะเล มันไกลจนมองไม่เห็นบ้านพัก รถชยพลจอดอยู่แถวนั้น ชลกรกับปานวาดนั่งคุยกันอยู่ที่ใต้ต้นมะพร้าวริมหาด

“ไม่รู้สองคนจะเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่รู้ซิ น้องปอดุขนาดนั้น ถ้ารู้ว่าเราหลอกพาเขาสองคนมาอยู่ด้วยกัน เขาอาจจะฆ่าเจ้าพลเลยก็ได้”
ปานวาดฟังแล้วนึกสยอง “เฮ้ ป่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
ชลกรหัวเราะร่า “โอย ดูหน้าปอซิ กลัวจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“หมายความว่าไง”
“ผมพูดเล่น” ชลกรหัวเราะมองหน้าปานวาด “ถึงเขาสองคนจะบู๊กันขนาดไหน มันก็ไม่มีอะไรขนาดนั้นหรอก ผมว่าดูๆ ไป ปออาจจะโหดกว่าน้องป่านนะ”
ปานวาดทุบแขนชลกร “ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”
ชลกรจับแขนไว้ ไม่ให้ทุบต่อ “เหรอ ไม่ใช่เพื่อนเล่น แล้วเป็นอะไรดี”
ปานวาดทำเป็นโกรธ ดึงแขนกลับมา “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
“โกรธจริงด้วยเว้ย” ชลกรทำมือโอ๋ “โอ๋ๆ แต่ช้าแต่...”
ปานวาดยกแขนจะทุบอีก
“ถ้าทุบอีก ผมไม่ยอมแล้วนะ ผมจะกอดให้แน่นเลย”
ปานวาดมองค้อนเบะปากใส่ “ฉวยโอกาส”
ชลกรยิ้มกริ่ม “มันก็ต้องมีบ้าง นี่ เรื่องเจ้าพลกับน้องป่าน ปอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมว่าไม่นานเขาก็ต้องลงเอยกัน”
“รู้ได้ไง”
“ก็ที่แม่ผมเอาวันเดือนปีเกิดไปให้หลวงพ่อดูไง หลวงพ่อบอกว่า ดวงเขาสมพงษ์กันมากๆ เป็นเนื้อคู่กระดูกคู่เลย จะได้ครองคู่กันจนถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร”
“ดีจังเลย” ปานวาดนั่งยิ้มดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกได้ “เออ แล้วของเราล่ะ หลวงพ่อว่ายังไง”
“อ๋อ” ชลกรอึ้งไป
“แม่ชลเอาไปให้ท่านดูด้วยไม่ใช่เหรอ”
“เอาไป แต่...” ชลกรสีหน้าไม่ค่อยดี แถมไม่กล้าสบตา ปานวาดดูออกรู้ว่าต้องมีปัญหาแน่
“ไม่ค่อยดีเหรอ”
ชลกรพยักหน้านิดๆ ปานวาดจ้องหน้ารอฟัง

ปานดาวเดินหนีออกมาจากในบ้านชยพลตามมา ปานดาวมองซ้ายมองขวา เห็นรถของตนจอดอยู่คันเดียวร้องเรียกหาพี่สาว
“พี่ปอ พี่ปอ”
“สองคนเขาไม่อยู่แถวนี้หรอก”
ปานดาวยิ่งโมโห “วางแผนไว้ทุกอย่างเลยใช่ไหม ปล่อยให้ป่านอยู่กับคุณตามลำพัง คุณอยากจะทำอะไรป่านอีกก็ได้”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เขาแค่อยากให้คุณกับผมได้มีเวลาเคลียร์ปัญหากัน”
“ปัญหาเรามันจบไปแล้วค่ะ จบก็คือจบ”
ปานดาวมองไปที่ถนนทางเข้ามาหยุดสายตาที่รถตัวเอง แล้วนิ่งไป
“โอเค ป่านไม่เล่นด้วยแล้ว ป่านจะกลับกรุงเทพฯ ฝากพี่ปอไว้กับพวกคุณด้วยละกัน”
“คุณจะกลับยังไง พี่คุณเขาเอากุญแจรถไปด้วย”
ปานดาวอึ้งหนัก “เตรียมการไว้อย่างดีซีนะ ฉันเดินไปก็ได้ ถึงถนนใหญ่ก็เรียกรถบัส”
“ที่นี่อยู่ลึกจากถนนใหญ่เกือบสิบกิโลเลยนะ คุณเดินไม่ไหวหรอก อีกอย่างแถวนี้ก็เปลี่ยวมากด้วย เกิดไปมืดกลางทาง แล้วจะทำยังไง”
ปานดาวหันมามองชยพล เห็นอีกฝ่ายยักไหล่ให้ก็ยิ่งไม่พอใจ โดยไม่พูดอะไร ปานดาวหันกลับแล้วเดินเข้าไปในห้องพัก ชยพลตามไป
แต่พอถึงหน้าห้องพักปานดาวก็ปิดประตูห้องดังปังแทบจะกระแทกใส่หน้าเขา ชยพลบิดลูกบิด ปรากฏว่าประตูล็อคจึงเคาะประตูเรียก แต่ปานดาวก็ไม่ยอมเปิดประตูให้
ชยพลเคาะประตูแรงขึ้น “คุณป่าน เปิดประตูเถอะ”
ทุกอย่างเงียบสนิท ชยพลหันหลังพิงประตูท่าทางเหมือนคนหมดหวัง

รอจนทุกอย่างเงียบลง ปานดาวเดินมารื้อหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อผ้า ค้นหาตามช่องต่างๆ ทุกซอก แต่หาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ นั่งลงที่เตียงหัวเสีย ที่ปานวาดยึดโทรศัพท์มือถือไป
“พี่ปอนะพี่ปอ ยึดทั้งโทรศัพท์ แถมกุญแจสำรองก็ยังเอาไป”
ปานวาดมองไปเห็นดอกไม้ในถังขยะ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปเก็บดอกไม้ขึ้นมา ท่าทีสับสนหนัก ใจน่ะให้ชยพลไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโกรธที่ถูกชยพลข่มเหง และอีกทั้งยังไม่มั่นใจเรื่องแวนด้าว่าจบจริงๆ เพราะโดนหลอกมาหลายต่อหลายครั้งจนไม่เหลือความเชื่อใจอีกแล้ว

ฝ่ายปานวาดได้ฟังเรื่องพระดูดวงของทั้งสองแล้วออกมาไม่ดีก็อึ้งไป มองเหม่อไปในทะเล ชลกรดูออก รู้สึกไม่ดีที่เขาเอาข่าวร้ายมาบอก
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าผมทำให้ปอไม่สบายใจ”
“แค่ผิดหวังนิดหน่อย ที่ได้ฟังเรื่องดวงของเราสองคน แต่จะบอกให้นะ ปอไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่หรอก จริงๆดีซะอีก ถ้าเขาทำนายไม่ดี เราจะได้ระวังตัวไม่ทำให้ผิดพลาด”
ชลกรยิ้มให้ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขำอะไร”
“ตอนแม่ผมบอกเรื่องนี้ ผมก็พูดกับแม่อย่างที่ปอพูดเลย คิดเหมือนกันขนาดนี้ จะไม่ใช่เนื้อคู่กันได้ยังไง”
“อาจจะเหมือนกันมากเกินไปมั้ง”
ปานวาดลุกขึ้น พลางดูนาฬิกา
“จะเย็นแล้ว เราไปหาซื้ออาหารกันดีกว่า”
ชลกรลุกตามด้วย
“เอาซิ”

พันลือมาเดินดูของที่ตลาดบางน้ำผึ้ง เดินๆ อยู่สายตามองไปอีกมุมเห็นดาวรายเดินดูของอยู่อีกแผง
ขณะที่ดาวรายเดินเลือกซื้อของอยู่ แต่มีใครคนหนึ่งมายืนขวางทาง ก็ออกอาการหงุดหงิดพูดโดยไม่ได้มองว่าเป็นใคร
“เกะกะจริง ยืนขวางอยู่ได้”
พอดาวรายเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นคือ พันลือ
“เที่ยวบ่นคนอื่น ระวังจะโดนตีหัว”
“พี่มาทำอะไรแถวนี้”
“พอดีเอารถมาถ่ายน้ำมันเครื่อง เลยแวะเดินดูของ มานี่ซิ มีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
พันลือเดินนำออกไป ดาวรายงงๆ แต่ก็ตามไป

ดาวรายเดินตามพันลือมาหยุดคุยกันอยู่ที่มุมลับตาคนข้างตลาด
“ไง มีอะไร”
“เรื่องที่มาลาเขาเอาวันเดือนปีเกิดลูกเธอกับลูกพี่ไปให้พระผูกดวงน่ะ”
“เออใช่ ผลเป็นยังไง”
“หลวงพ่อท่านบอกว่า ดวงเจ้าชลกับหนูปอ ไม่ใช่เนื้อคู่กัน เป็นกาลกิณีต่อกัน”
ดาวรายสมใจ “มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ก็มันเป็นพี่น้องกัน จะคู่กันได้ยังไง แล้วของยัยป่านล่ะ”
“ของหนูป่านกับเจ้าพล กลายเป็นดีไป ดวงมันเสริมกัน”
ดาวรายไม่พอใจ “หลวงพ่อดูเป็นหรือเปล่า พี่น้องกันทำไมถึงไม่เหมือนกัน”
“ก็มันเกิดคนละวัน”
“แต่ของยัยป่านไม่มีปัญหาหรอก อีกไม่กี่วันก็จะมีผู้ชายมาสู่ขอแล้ว รวยด้วยนะ ถูกใจฉันมาก ว่าที่ลูกเขยคนนี้ ยัยป่านได้แต่งกับคนนี้ ฉันก็หมดห่วงไปได้ ตอนนี้สองคนเขาไปเที่ยวทะเลกัน”
พันลือแปลกใจ “สองคนไหน”
“ก็ลูกสาวฉันไง จะสองคนไหนอีก”
พันลืออึ้งไปนิดๆ “ไอ้สองคนของพี่มันก็ไปทะเลเหมือนกัน ของเธอไปที่ไหน”
“เห็นบอกปราณบุรี ลูกพี่ล่ะ”
พันลือเริ่มหงุดหงิด “ไม่รู้เหมือนกัน พี่เข้าบ้านมันออกไปแล้ว”
“แล้วทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้น”
“พี่กลัวทั้งสี่คนจะไปที่เดียวกันน่ะซิ แบบนัดไปเจอกันน่ะ”
ดาวรายตกใจ “ตายแล้ว ถ้ายังงั้นก็แย่น่ะซี”
“เดี๋ยวพี่รีบกลับไปถามมาลาก่อนว่า ลูกพี่มันไปที่ไหน”

ค่ำแล้ว ขณะรถชยพลแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ บ้านพัก สองคนลงรถหิ้วถุงอาหารเดินมาถึงหน้าบ้านพัก เห็นชยพลเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่ม้านั่ง เดินเข้าไปหา
“หิวหรือยัง อาหารเย็นมาแล้ว”
ชยพลลุกขึ้นนั่ง สองคนวางถุงอาหารลงที่โต๊ะสนามใกล้ๆ กัน
“เป็นไงพล เคลียร์กันได้หรือยัง”
“เคลียร์อะไรกันล่ะพี่ ตั้งแต่มาถึงได้คุยกัน 5 ประโยคมั้ง แล้วผมก็มานั่งเล่นอยู่ตรงนี้ จนถึงเดี๋ยวนี้แหละ”
ปานวาดชะงัก “อ้าว แล้วป่านไปไหนล่ะคะ”
“เขาขังตัวเองอยู่ในบ้านน่ะครับ”
“ปอลองไปคุยกับเขาดูซี ให้ออกมากินข้าวด้วยกัน” ชลกรว่า
“ปอว่าเขาน่าจะกำลังโกรธปอ ถ้าเจอกันตอนนี้มีหวังโลกแตกแน่”
“พี่สองคนทานกันก่อนก็ได้ ของป่านเดี๋ยวเขาหิวๆ ก็คงจะออกมาทานเอง” ชยพลว่า
“เรากินกันมาแล้ว เอางี้ เราจะไปเดินเล่นทางโน่น ฝากนายดูแลน้องป่านด้วยก็แล้วกัน”
“เอางั้นก็ได้ แต่ไม่รู้เขาจะยอมให้ดูแลหรือเปล่านะ”

ชลกรกับปานวาดเดินจูงมือกันออกไป ชยพลมองตาม อดนึกอิจฉาพี่ไม่ได้


อ่านต่อหน้า 3

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 16 (ต่อ)

ด้านปานดาวขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นนานสองนาน เวลานี้นั่งอยู่กับเก้าอี้ หญิงสาวลูบท้องตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกหิว น้ำดื่มถูกเทดื่มแก้หิวจนหมดไปทั้งสองขวดแล้ว

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงชยพลดังเข้ามา
“คุณป่าน หลับอยู่หรือเปล่า”
ปานดาวเพียงมองไปที่ประตู แต่ไม่ตอบชยพล
ชยพลยืนอยู่ที่ประตู
“มีอาหารค่ำมาแล้วนะ เปิดประตูหน่อย ผมจะเอาอาหารเข้าไปให้”
ปานดาวลูบท้องอีก แต่ยังไม่ยอมลุกไปเปิดประตูให้
“ถ้ายังไม่หิวก็ไม่เป็นไร ผมวางอาหารไว้บนโต๊ะข้างนอกนี่นะ หิวเมื่อไหร่ก็ออกมากินละกัน”
ชยพลรออีกครู่หนึ่ง รู้ว่าปานดาวไม่ตอบตัวเองแน่ เลยเดินออกไป
หิวจริงอะไรจริง ปานดาวลืมตัวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจะดื่ม แต่น้ำหมดแก้วไปแล้ว วางแก้วแล้วต้องนั่งกดท้องตัวเองไป

อีกฟากพันลือกลับเข้ามาในบ้าน ตะโกนเรียกหาเมียเสียงดังลั่นบ้าน
“มาลาอยู่ไหน”
มาลาออกมาจากหลังบ้าน
“มีอะไร ตะโกนซะดัง”
“เปล่าหรอก กลัวไม่ได้ยิน ว่าพี่กลับมาแล้ว เออ มาลา”
มาลากำลังจะเดินไป หยุดหันมา
“รู้ไหม ลูกเราที่ไปทะเลน่ะ ไปที่ไหนกัน”
“ทำไมเหรอ”
“ก็อยากรู้ไว้ ถ้าดีเผื่อวันหลังพี่จะได้พามาลาไปพักผ่อนไง”
มาลายิ้มขำ “จริงนะ”
“จ้ะ จริงซี แล้วตกลงเขาไปที่ไหนกัน”
“ปราณบุรี”
พันลือชะงักอึ้งไป ที่เดียวกันแน่
“เขาว่าบรรยากาศดี สงบเงียบ” พันลือเงียบไป นิ่งคิดบางอย่างอยู่ “พี่ พี่พันลือ ได้ยินหรือเปล่า”
“หา อะไร”
“คิดอะไรอยู่”
“ก็คิดถึงที่ๆ ลูกไปนี่แหละ ไม่มีอะไร”
มาลายังแปลกใจไม่หาย “แปลก มากินข้าวเถอะพี่ ค่ำแล้ว”
มาลากลับเข้าครัวไป พันลือยิ่งเครียดเป็นห่วงเรื่องลูก

ประตูห้องพักค่อยๆ เปิดแง้มออก เห็นปานดาวโผล่หน้าออกมา เหลียวมองสำรวจไปทั่วๆ บริเวณหน้าบ้านพัก ไม่มีใครอยู่แถวนั้น สายตาปานดาวไปหยุดที่โต๊ะหน้าบ้านมีกล่องอาหารวางอยู่ 3 กล่อง และน้ำดื่มอีกหลายขวด
ปานดาวย่องออกมาจากในห้องช้าๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอก็เดินลิ่วไปที่โต๊ะทันที เปิดกล่องอาหารดู มีข้าวผัดกล่องใหญ่สำหรับทาน 2 ที่ ส่วนอีกสองกล่องใหญ่เป็นอาหารทะเลปิ้งย่าง ทั้งกุ้ง และปลาหมึกน่ากิน
ปานดาวลงมือกินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยเพราะหิ้วท้องกิ่วมาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว ปานดาวตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวตุ้ยๆ หยิบปลาหมึกจิ้มน้ำจิ้มเข้าปากตามลงไป เคี้ยวหยับๆ ฝืดคอก็ยกขวดน้ำขึ้นมาดื่มให้ทานคล่องคอขึ้น

เสียงคลื่นซัดสาดผืนทรายเป็นระลอกๆ โดยไม่รู้เหนื่อย ชยพลเดินเล่นมาเรื่อยๆ ตามชายหาดแห่งนี้ เขาหยุดยืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าไกล คิดกังวลเรื่องของเขากับปานดาวว่าจะลงเอยอย่างไร ชยพลจมอยู่กับความคิดอย่างนั้นนิ่งนาน ก่อนจะเหลียวมองไปทางบ้านพัก ตัดสินใจเดินกลับไปที่บ้านพัก

ชยพลกลับจากชายหาดเดินมาถึงบ้านพัก มองไปยังโต๊ะซึ่งชลกรกับปานวาดวางกล่องอาหารไว้ให้ เห็นทุกกล่องถูกเปิดออก ชยพลเดินมาดูใกล้ๆ พบว่าอาหารในกล่องถูกกินจนหมด ยกเว้นกล่องข้าวผัดที่มีข้าวเหลืออยู่ครึ่งกล่อง
ห่างออกไปเห็นปานดาวนั่งพุงกางรับลมทะเลอยู่ที่ม้านั่ง ท่าทางนางอิ่มแปล้ ชยพลถามยิ้มๆ
“อิ่มไหม”
ปานดาวหันมามองชยพลนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าบอก “อิ่มมาก”
ชยพลมองกล่องอาหารบนโต๊ะ “ก็คุณเล่นกินซะหมดเกลี้ยงเลย”
“ใครบอก ข้าวยังเหลืออยู่เลย แต่กุ้งกับปลาหมึกสดมาก ฉันก็เลยจัดการหมด”
ชยพลน้ำลายสอ ปานดาวเห็นอาการ
“คุณกินหรือยัง”
ชยพลนิ่งอยู่ ยังไม่ตอบ
“ยังเหรอ”
ชยพลยักไหล่ยิ้มนิดๆ “ไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันก็นึกว่าคุณกินแล้ว ถึงได้กินซะหมด”
“ผมเห็นมันมีเยอะ ไม่นึกว่า...คุณจะกินเก่งขนาดนั้น แต่จริงๆ นะ ผมสบายมาก มื้อเย็นผมอดบ่อยๆ ถึงได้หุ่นดีขนาดนี้” พร้อมกับว่าชยพลกางมือโชว์แมน
ปานดาวอดรู้สึกผิดไม่ได้ ที่กินคนเดียวหมด เดินไปดูข้าวผัด เอาช้อนใหม่มาจัดให้น่าทานชยพลมอง
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ว่ากินของเหลือ ฉันว่าข้าวผัดนี่ก็พอทานได้อยู่นะ”
ชยพลยิ้มแต้ที่ปานดาวดูเป็นห่วงตน รีบมานั่งกินข้าวไม่อิดออด
“อืม อร่อยมาก เป็นข้าวผัดที่อร่อยที่สุดเลย”
ปานดาวเบะปากหมั่นไส้ แต่ชยพลยิ้มกว้าง

พันลือหลบออกมาทางหลังบ้านมาลา พูดสายอยู่กับดาวราย
“พี่รู้แล้วว่าลูกชายพี่ไปที่ไหน”
ดาวรายออกมาคุยสายที่หน้าบ้าน
“ที่ไหน”
“ปราณบุรี ที่เดียวกับที่ลูกเธอไป”
ดาวรายอึ้งไปนิดๆ “หมายความว่าไง ที่เดียวกัน ก็แค่อำเภอเดียวกัน”
“แต่พี่ไม่คิดว่าจะแค่นั้น”
“อย่าบอกนะว่าเขานัดไปหากันที่นั่น อย่างที่พี่จินตนาการไว้น่ะ”
“พี่ว่ามันแน่นอนอยู่แล้ว”
ดาวรายชักเริ่มเครียดขึ้นมา “แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ รีบตามไปเลยไหม”
“ตามไปยังไง เขาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“แล้วพี่จะปล่อยให้พี่น้องมันได้กันเหรอ” ดาวราวโมโห
พันลือยัวะ “พูดอะไรน่ะดาวราย ลูกเราคงไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า เราต้องช่วยกันภาวนา ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจไม่ให้พวกเขาทำอะไรผิดๆ”
ดาวราวหมั่นไส้ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงช่วยพี่หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะบาปที่พี่ทำมันหนักเหลือเกินไงล่ะ ถ้าพี่ไม่ฉุดฉันไปวันนั้น ก็คงไม่ต้องมาวุ่นวายแบบนี้ บาปพี่น่ะมันกำลังมาตกที่ลูก”
พันลืออึ้งไป จริงๆ เขาก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน

ชลกรกับปานดาวเล่นน้ำอยู่ในทะเลใกล้ๆ กับชายหาด สองคนวักน้ำสาดใส่กันไปมา
“อยากเปียกใช่ไหม นี่แน่ะ เปียกหรือยัง” ปานวาดวักน้ำใส่ชลกร
“มันต้องเปียกด้วยกันซี” ชลกรวักน้ำใส่ปานวาดคืน
สองคนวักน้ำสาดใส่กันจนปานวาดเริ่มสู้ไม่ได้
“โอ๊ย เดี๋ยวก่อน มันเข้าตา แสบตา”
ชลกรหยุดเล่น เดินลุยน้ำเข้ามาใกล้ๆ ปานวาด
“ไหน ดูซิ”
ชลกรจะดูตาให้ปานวาด แต่แล้วจู่ๆ ปานวาดก็ฉวยโอกาสนั้นยกมือขึ้นมา แล้วกดหัวชลกรลงไปในน้ำทันที ชลกรตะเกียกตะกายเป็นที่ชุลมุน ปานวาดกดหัวชลกรอยู่ หัวเราะไปด้วย
สักครู่หนึ่งชลกรจึงยกมือขึ้นมาแล้วกดบ่าปานวาดลงไปในน้ำ ชลกรโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ แต่ปานวาดไม่ยอมกดบ่าชลกรลงไปในน้ำอีกครั้ง
ชลกรรวบตัวปานวาดมากอดไว้แน่น ปานวาดเลยทำอะไรชลกรไม่ได้อีก ชลกรกอดปานวาดอยู่อย่างนั้น ใบหน้าของสองคนอยู่ใกล้กันแค่คืบ จนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน ตาสบตา ชลกรค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหมายจะจูบปานวาดซึ่งหลับตารอรับรสจูบ ปากของทั้งสองคนใกล้จะแตะกันเข้าไปทุกทีๆ
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของชลกรก็ดังขัดจังหวะขึ้น สองคนต่างชะงัก เก้อเขินกันทั้งคู่ มองไปบนชายหาด กระเป๋าของปานวาดวางอยู่บนนั้น รองเท้าของทั้งสองคนวางเคียงกัน โทรศัพท์ชลกรมีแสงสว่างวาบเป็นระยะ

ชลกรเดินขึ้นมาดูโทรศัพท์ ปานวาดตามขึ้นมา ชลกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พ่อผมโทร.มา”
ปานวาดเองก็อดแปลกใจไม่ได้ ชลกรกดรับสาย
“สวัสดีครับพ่อ”
พันลือโทร.มาจากหลังบ้าน พยายามตั้งสติพูดดีๆ กับลูกชาย อย่างแนบเนียนที่สุด
“ไงลูก จะไปเที่ยวไม่เห็นบอกพ่อเลย จะได้ไปกันทั้งครอบครัว”
“อ๋อ พอดีต้องรีบออกมาน่ะครับ พ่อก็ไม่อยู่ ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร แล้วที่ลูกไปพักนี่มันเป็นอะไร โรงแรม หรือรีสอร์ต”
“เป็นบ้านพักครับ”
“แม่เขาบอกอยู่ที่ปราณใช่ไหม ชื่อบ้านพักอะไรนะ”
ชลกรอึ้งๆ ยังไม่ตอบ

เสียงโทรศัพท์เครื่องของปานวาดดังขึ้น ปานวาดหยิบมาดู แล้วหันมาทำท่าจะพูดบอกชลกร อีกฝ่ายทำนิ้วจุ๊ปาก แล้วชี้ที่โทรศัพท์ บอกไม่มีเสียงว่า “อย่าพูดดัง เดี๋ยวพ่อได้ยิน”
ปานวาดจึงชี้ที่โทรศัพท์ตัวเอง แล้วทำปากพูดคำว่า “แม่” โดยไม่มีเสียง แล้วเดินห่างออกไปเพื่อรับสาย ชลกรเองก็แยกไปอีกทาง
“ว่าไงคะแม่”
ดาวรายโทร.หาลูกจากที่บ้าน พยายามข่มอารมณ์โกรธ พูดกับลูกดีๆ
“ทำอะไรอยู่ลูก”
“เมื่อกี้เล่นน้ำทะเลอยู่ค่ะ”
“เล่นอยู่กับน้องเหรอ”
“อ๋อ ค่ะ”
สองคู่สี่คนคุยกันด้วยเรื่องราวเดียวกัน
พันลือเห็นลูกชายเงียบไปนานก็ร้องเรียก
“ฮัลโหลๆ ยังอยู่หรือเปล่า”
“อยู่ครับ พอดีย้ายที่นิดหน่อย สัญญาณมันขาดๆ น่ะครับ”
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าบ้านพักชื่ออะไร”
“เอ่อ ผมจำไม่ได้อ่ะครับ ที่สำนักพิมพ์เขาติดต่อให้”
ดาวรายถามลูกว่า “อะไร ไปพักยังไง ไม่รู้ชื่อที่พัก”
“ปอไม่ได้เป็นคนจองที่พักน่ะค่ะ”
พันลือถามว่า “แล้วตกลงลูกไปกันแค่สองคนเหรอ มีใครอยู่ด้วยอีกหรือเปล่า”
ปานวาดก็ตอบคำถามเดียวกันนี้ของแม่ว่า “สงสัยพวกมันคงเบี้ยวแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้มีแค่ปอกับป่านสองคน”
“ไม่น่ากลัวเหรอ” ดาวรายถาม
ชลกรตอบพ่อว่า “โธ่พ่อ ชาวบ้านที่นี่รักสงบครับ เรื่องปล้นจี้ไม่มีหรอก อีกอย่างพวกผมก็ผู้ชาย”
“เจ้าพลอยู่แถวนั้นหรือเปล่า ขอพ่อคุยด้วยหน่อย”
ปานวาดรีบบอกแม่ว่า “ป่านเหรอคะ เดี๋ยวนะคะ”
ปานวาดหันไปมองชลกร แล้วทำท่าบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง ชลกรเองก็ทำท่าตอบมาว่าเขาเองก็แย่เหมือนกัน
ชลกรบอกพ่อไปว่า “เมื่อกี้ยังอยู่แถวนี้เลยครับ หายไปไหนแล้วไม่รู้”
“แม่จะคุยกับป่านเรื่องอะไรเหรอคะ ฝากปอไว้ก็ได้เดี๋ยวปอบอกให้ น้องอยู่ไกล” ปานวาดบอก
“ก็ไม่มีอะไรหรอก อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
“พลมันก็โอเคครับ ท่าทางสบายใจขึ้นเยอะ”
“ไปตามป่านมาเถอะ แม่อยากคุยกับเขาหน่อย” ดาวรายจะคุยกับปานดาวให้ได้
เช่นเดียวกับพันลือยืนยันจะคุยกับชยพล ชลกรตัดบทไปว่า
“ไว้จะให้มันโทร.กลับก็แล้วกันครับ”
“แล้วจะอยู่กี่วัน วันไหนจะกลับ”
ชลกรบอกว่า “อาจจะอีก 2 วันครับ ต้องดูอีกที”
ดาวรายหงุดหงิดกับคำตอบ “เอาให้แน่ จะกลับวันไหน พ่อเขาเป็นห่วง”
“บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงค่ะ ปอกับป่านดูแลตัวเองได้ เอ่อ แม่คะ แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วค่อยคุยกันใหม่ สวัสดีค่ะ”
“เดี๋ยวซีลูก”
ปานวาดกดวางสายไปเลย
“ฮัลโหลๆ สัญญาณไม่ค่อยดี ผมวางสายก่อนนะครับพ่อ”
ชลกรกดวางสายเหมือนกัน
“อะไรของมัน ไอ้ลูกคนนี้”
พันลือกับดาวรายหัวเสียพอกันกัน

ส่วนปานวาดเดินมาหาชลกรเครียดกันทั้งคู่
“แบบนี้ไม่เอาอีกแล้วนะ กลัวพลาดจังเลย”
“ผมก็ไม่เก่งหรอกนะ เรื่องโกหกเนี่ย”

ด้านชยพลจัดการข้าวที่เหลือจนเกลี้ยง ยกน้ำขึ้นดื่ม ปานดาวลุกขึ้นยืน จะเดินกลับเข้าบ้านพักชยพลเข้ามาขวาง
“คุยกันก่อนซิป่าน”
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ แค่หน้าคุณ ฉันยังไม่อยากจะมอง”
“คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“ใช่ ทำไมฉันต้องโกหกคุณ”
“เพราะคุณไม่กล้ายอมรับความรู้สึกจริงๆ ที่มีต่อผมไง”
ปานดาวหัวเราะหึๆ “ตลก”
“ผมรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณก็มีใจให้ผม แต่เพราะผมทำเรื่องไม่ถูกต้องกับคุณ มันเลยทำให้คุณคิดว่าถ้าคุณยอมรับผม ก็เหมือนกับคุณต้องสูญเสียศักดิศรีลูกผู้หญิงไป”
“พอเหอะ” ปานดาวตัดบท
ชยพลเซ้าซี้ขอโทษอีก “ผมอยากบอกคุณว่า ผมรู้ตัวแล้วว่าผมเลวแค่ไหน คุณมีค่าเกินกว่าที่ผมจะทำเลวๆแบบนั้น ผมอยากให้คุณให้อภัยผม อยากให้เราได้เริ่มต้นกันใหม่ แล้วต่อจากนี้ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดอีก ผมจะทำให้คุณมีแต่ความสุข ยกโทษให้ผมนะ”
ปานดาวนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกัน
“จะบอกให้นะ ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับคุณ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ฉันก็คิดว่าคุณมันเป็นพวกหลงตัวเอง หยิ่งยโส ฉันจำเป็นต้องทำดีกับคุณ เพราะมันคือธุรกิจ คุณเป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่ง เรื่องเลวๆ ที่คุณทำกับฉัน ก็อย่างที่ฉันบอก ฉันคิดซะว่าให้ทาน แต่จะไม่มีคำว่าให้อภัย ฉันอาจจะอโหสิให้คุณ ในเวลาที่คุณใกล้ตาย เพื่อไม่ให้เราต้องมีกรรมผูกพันกันไปชาติอื่นๆ ต่อไป พอจะเข้าใจฉันมากขึ้นหรือยัง”
ปานดาวจะเดินเลี่ยงไป ชยพลคว้าแขนไว้ แล้วดึงร่างปานดาวเข้ามากอดไว้
“จะทำอะไร ปล่อยนะ”
“ผมไม่เชื่อที่คุณพูดซักคำ ผมรักคุณ แล้วผมรู้ว่าคุณก็รักผม”
“ปล่อยฉัน”
“ไม่ จนกว่าคุณจะยอมรับความจริง”
ระหว่างนั้น ปานวาดกับชลกรเดินกลับมาใกล้จะถึงบ้านทั้งสองเห็นชยพลกอดปานดาว จึงพากันหลบหลังพุ่มไม้ แล้วแอบมองดูเหตุการณ์
ชยพลยังกอดปานดาวที่ดิ้นหนีเอาไว้
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ผมจะปล่อย ถ้าคุณบอกว่าคุณรักผม”
“ฉันไม่รักคุณ”
“คุณรักผม”
“ฉันเกลียดคุณ”
โดยที่ปานดาวไม่ทันตั้งตัว ชยพลก็จูบปากปานดาวทันที เบื้องแรกปานดาวดิ้นขัดขืน แต่แล้วก็หยุดนิ่ง ไปยอมให้ชยพลจูบ สักครู่หนึ่งชยพลจึงถอนริมฝีปากออก
ชลกรกับปานวาดต่างก็อึ้งกับภาพที่เห็น ปานวาดเผลอกอดแขนชลกรจนแน่น พอรู้ตัวจึงปล่อยมือ
ชยพลกับปานดาว สองคนมองตากันนิ่งๆ ชยพลปล่อยแขนที่กอดปานดาวไว้ ทันใดนั้น ปานดาวก็ตบหน้าชยพลอย่างแรง
ปานวาดกับชลกรสะดุ้ง
ปานดาวเดินหนีกลับเข้าห้องพักไป พร้อมกับปิดประตูดังปัง
ชลกรกับปานวาดออกจากที่ซ่อนเดินเข้ามาที่หน้าบ้าน ชยพลหันไปมอง จากอาการของสองคน ชยพลพอจะรู้ว่าทั้งสองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
“เดี๋ยวปอไปคุยให้” ปานวาดเดินไปที่ห้องพัก

สองหนุ่มได้แต่มองตามไป ชยพลรู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ

อ่านต่อหน้า 4

บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 16 (ต่อ)

ปานวาดมาเคาะประตูห้องเรียกน้องสาว

“ป่าน พี่เองนะ เปิดประตูหน่อย”
ประตูเปิดออก ให้ปานวาดเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูลง ปานดาวแบมือออกมาทันที ปานวาดงงๆอยู่
“ขอกุญแจรถป่านคืนด้วย”
“จะเอาไปทำไม”
“ป่านจะกลับบ้าน”
“กลับตอนนี้ไม่ได้หรอก มันดึกแล้ว แล้วท่าทางป่านก็กำลังอารมณ์ไม่ดี”
“จะให้ป่านอารมณ์ดีได้ยังไง ในเมื่อป่านถูกพี่แท้ๆ หลอกให้มาเจอกับผู้ชายที่ทำร้ายป่าน” ปานดาวตัดพ้อต่อว่า
ปานวาดอึ้งไป
“พี่ปอทำแบบนี้กับป่านได้ยังไง หลอกให้ป่านมาเจอเขา แล้วยังเอากุญแจรถป่านไปด้วย”
“พี่แค่อยากให้พลกับป่านได้ปรับความเข้าใจกัน”
“ทำไมป่านต้องปรับความเข้าใจกับเขาด้วย”
“เพราะป่านไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง ได้ทำตามความรู้สึกที่แท้จริงของป่านน่ะซิ”
“รู้สึกทุกคนจะรู้จักป่าน มากกว่าที่ป่านรู้จักตัวเองอีกนะ” ปานดาวประชด
“ไม่หรอก ป่านเองก็รู้ดีว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ป่านปิดกั้นที่จะยอมรับมัน เพราะสิ่งที่เขาทำกับป่านต่างหาก”
ปานดาวนิ่งงันไป
“ถ้าป่านไม่พอใจที่พี่ทำ พี่ก็ขอโทษ แต่อยากจะบอกว่าทุกอย่างที่ทำเพราะพี่หวังดี บางอย่างเราก็ไม่มีเวลาที่จะรอมันไปเรื่อยๆ พี่ภาคีก็รออยู่อีกด้านนึง ป่านต้องตอบตัวเองได้แล้ว ว่าป่านจะเอายังไงกับเขา สำหรับพี่ พี่คิดว่าพี่ภาคีต้องทำอะไรอีกเยอะ เพื่อให้ป่านยอมรับ เริ่มคิดกับมันอย่างจริงจังได้แล้ว การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะป่าน”
ปานดาวนิ่งไม่พูดอะไร ปานวาดเดินออกจากห้องไป
ปานดาวมองตามปานวาดไป แล้วนั่งลงใคร่ครวญครุ่นคิด แต่ยังหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้
ไม่นานนัก ปานวาดเดินออกจากห้อง เข้ามาสมทบกับสองหนุ่ม หันมาทางชยพล
“พี่พูดให้ไปบ้างแล้วนะ แต่ไม่รู้จะได้ผลไหม เขายังดื้อเหมือนเดิม”
“ขอบคุณครับ”
ชลกรยิ้มเชิงขอบคุณปานวาด มองหน้าน้องเห็นอีกฝ่ายหน้าหมองไม่สบายใจนัก

ฟากดาวรายเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้าน ท่าทางกระวนกระวายใจหนัก บ่นบ้ากับตัวเอง
“ทำไมถึงไม่ให้พูดกับน้อง ต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆเลย เรื่องของตัวเองก็แย่อยู่แล้ว ยังจะสร้างเรื่องให้น้องอีก”
ดาวรายหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น จนปัฐวีเดินเข้าบ้านมา ใบหน้าค่อนข้างแดงเมาพอกึ่มๆ ดูออกว่าเขาไปดื่มมา เจอหน้าแม่ก็ยกมือไหว้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำ พูดเสียงอู้อี้ๆ
“หวัดดีครับแม่”
ดาวรายแปลกใจ มองลูกชายคนโตสีหน้าฉงน
“ลูกไปทำอะไรมา”
“ก็ไปเฝ้าโฮมสเตย์ให้พ่อกับแม่ไงครับ”
“ไม่ใช่ ที่หน้าแดงขนาดนั้นเนี่ย ลูกดื่มมาด้วยใช่ไหม”
“แค่เบียร์นิดหน่อยน่ะครับ”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นดื่มเหล้าเบียร์ เครียดเรื่องอะไร” ดาวรายงุนงง จนนึกได้ “เรื่องลูกนังมาลัยใช่มั๊ย ลืมมันไปได้แล้ว”
“ก็นี่ไงครับ ผมถึงดื่ม เคยคิดว่า ดื่มแล้วมันจะทำให้ลืม มันไม่จริงเลย มันทำให้ผมยิ่งเจ็บต่างหาก”
ปัฐวีเดินเซขึ้นบันไดไป ดาวรายมองตาม สงสารแต่ก็หงุดหงิดลูกชาย

ฝ่ายดุจเดือนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน ตาคอยมองไปที่โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะตลอดๆ ลังเลว่าจะโทร.หาปัฐวีดีไหม จากท่าทีหมางเมินตอนเจอกันเมื่อครั้งก่อน
ที่สุด สไตลิสต์สาวก็หยิบโทรศัพท์มา เปิดไลน์ ส่งสติ๊กเกอร์หวัดดีไปทักทาย แล้วพิมพ์ข้อความไปถามเป็นชุด
“กลับเข้าบ้านหรือยัง”
“ตอบไลน์ดุจบ้างนะ แชทอยู่ข้างเดียว คล้ายๆ คนบ้ายังไงไม่รู้”
“วันนี้เหนื่อยไหม”
“ถ้าเหนื่อยก็ห้ามบ่นนะ จะไปช่วยแล้วไม่ยอมเอง”
“คราวหน้าห้ามปฏิเสธความช่วยเหลือเด็ดขาด”
ดุจเดือนส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะ555 ปิดท้าย

ปัฐวีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เสียงไลน์เข้าดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง หยิบโทรศัพท์มาดู มีข้อความไลน์จากดุจเดือน ส่งเข้ามาสิบกว่าข้อความ
ปัฐวีนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไล่อ่านข้อความเหล่านั้น ไปเรื่อยๆ จนถึงข้อความสุดท้าย
ระหว่างนี้มีข้อความไลน์จากดุจเดือนส่งมาอีกชุดใหญ่ หลังเห็นปฐวีเปิดอ่าน
“มุกแป๊ก” / “ขำหน่อยน่า ขำให้ดูแล้วมีรางวัลให้” / “รับรองรางวัลถูกใจแน่” / “คราวก่อนเกือบได้รางวัลแล้ว กรรมการมาห้ามซะก่อน” / “ถ้าอยากรู้ว่ารางวัลเป็นอะไร ต้องยิ้มให้ดูก่อน” / “เฉลยไม่ได้ มันเรต 18+” ดุจเดือนคั่นด้วยสติ๊กเกอร์หัวเราะน่ารักๆ อีกแบบ
ข้อความไลน์หายไปสักระยะหนึ่ง ปัฐวียังมองนิ่งอยู่ที่จอ จนมีข้อความใหม่ปรากฏขึ้น
“ปัฐโกรธดุจเรื่องอะไร” / “ถ้าไม่บอกแล้วดุจจะแก้ไขตัวเองได้ยังไง” / “ขอร้องเถอะ อย่าใจร้ายกับดุจเลยนะ”
ดุจเดือนส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้จ้ามาปิดท้าย
ปัฐวีสะท้อนใจนทนไม่ไหว ขว้างโทรศัพท์ทิ้งไปเลย ชายหนุ่มน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกินแล้ว และยิ่งรู้สึกแย่เมื่อคิดว่าเขากำลังทำร้ายจิตใจน้องสาวต่างมารดามากมายแค่ไหน
ส่วนที่อีกฟากหนึ่ง ดุจเดือนยังถือโทรศัพท์อยู่ในมือ ไม่ได้พิมพ์ไลน์แล้ว เมื่อมองขึ้นไปที่ใบหน้าจะพบว่าดุจเดือนน้ำตาไหลพราก และกำลังสะอื้นไห้อยู่เงียบๆ ร่างแบบบางสะท้านไปตามแรงสะอื้นของเธออย่างน่าเวทนา

ห้องพักของชลกรเป็นแบบเตียงคู่ ชลกรกับชยพลเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว ทั้งสองพี่น้องนอนคุยกันอยู่บนเตียง
“ผมว่าเมื่อกี้เกือบแล้วนะ”
“เกือบอะไร”
“เกือบเข้าใจกันได้ไง”
“แต่ที่ฉันเห็น ฉันว่านายเกือบถูกเขาฆ่ามากกว่า ไม่เจ็บหรือไง ถูกเขาตบน่ะ”
“เจ็บซิ” ชยพลยกมือลูบแก้มข้างที่ถูกตบ “แต่ก็คุ้ม”
“นึกยังไงถึงทำยังงั้น” พี่ชายถาม
“เราเถียงกัน แล้วผมก็เกิดอารมณ์พุ่งพล่านขึ้นมา ต้องการให้เขาหยุดเถียง”
“ด้วยการใช้ปากของนายปิดปากเขา”
“มาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ยังนึกโมโหตัวเอง กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว”
“ใช่ นายทำให้มันแย่ลงไปมากเลย สิ่งที่นายทำมันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิงรู้ตัวไหม”
ชยพลรับเสี่ยงอ่อยๆ “รู้”
ชลกรถอนใจ “ไม่รู้ปอเขาคุยอะไรกับน้องป่าน เขาก็ไม่ยอมบอกพี่ด้วย ก็ได้แต่ขอให้มันพอจะช่วยได้บ้าง”
ชยพลเองก็วาดหวังไว้เช่นนั้น ขณะมองเหม่อไปบนเพดาน

ในห้องพักสองสาว มืดสลัวรางปิดไฟนอนแล้ว ปานวาดหลับไปแล้ว ส่วนปานดาวนอนตะแคงลืมตา มองไปยังช่อดอกไม้ของชยพลบนโต๊ะ อยู่อย่างนั้น คงอีกนานเจ้าหล่อนจะหลบตาลงได้

รุ่งเช้า ชยพลหลับอุตุอยู่บนเตียง แสงอาทิตย์ส่องสว่างสาดมาที่เตียงกระทบใบหน้าหล่อเหลาของเขา และอีกสักครู่ก็รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น ชยพลลุกขึ้นนั่งบนเตียงท่าทีง่วงงุน เหลียวมองไปยังเตียงชลกร พบว่าเตียงพี่ชายเก็บเรียบร้อยแล้ว และชลกรไม่ได้อยู่ในห้อง

ชยพลทำธุระเสร็จ เดินออกมาจากห้องพัก เหลียวมองไปทั่วๆ แต่ไม่เห็นมีใคร จึงเดินมาหยุดที่หน้าห้องพักสองปาน เคาะประตูเรียก
“คุณป่าน พี่ปอ นี่ผมเองนะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
ชยพลลองบิดลูกบิดประตูดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก จึงเปิดออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ชยพลมองไปรอบๆ ห้อง แปลกใจที่ไม่มีใครอยู่ เตียงถูกเก็บเรียบร้อย
“ไปไหนกันหมดเนี่ย”
ชยพลมองเลยไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ที่มีพนักเก้าอี้บังอยู่ เห็นชายริบบิ้นดอกไม้จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อพบว่าช่อดอกไม้ของตัวเองยังอยู่ก็ยิ้มบางๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมาจากถังขยะ แต่อย่างน้อยปานดาวก็ไม่โยนมันกลับลงไป

ที่ชายหาดริมทะเลห่างจากบ้านพักออกไป ปานดาวเดินเล่นอยู่ที่นั่น หญิงสาวครุ่นคิดถึงคำพูดขอโทษจากชยพล
“ผมรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณก็มีใจให้ผม แต่เพราะผมทำเรื่องไม่ถูกต้องกับคุณ มันเลยทำให้คุณคิดว่าถ้าคุณยอมรับผม ก็เหมือนกับคุณต้องสูญเสียศักดิศรีลูกผู้หญิงไป”
“ผมอยากบอกคุณว่า ผมรู้ตัวแล้วว่าผมเลวแค่ไหน คุณมีค่าเกินกว่าที่ผมจะทำเลวๆแบบนั้น ผมอยากให้คุณให้อภัยผม อยากให้เราได้เริ่มต้นกันใหม่ แล้วต่อจากนี้ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดอีก ผมจะทำให้คุณมีแต่ความสุข ยกโทษให้ผมนะ ปานดาวถอนใจ สับสน”
ตามมาติดๆ ด้วยคำพูดเตือนสติของพี่สาว
“ถ้าป่านไม่พอใจที่พี่ทำ พี่ก็ขอโทษ แต่อยากจะบอกว่าทุกอย่างที่ทำเพราะพี่หวังดี บางอย่างเราก็ไม่มีเวลาที่จะรอมันไปเรื่อยๆ พี่ภาคีก็รออยู่อีกด้านนึง ป่านต้องตอบตัวเองได้แล้ว ว่าป่านจะเอายังไงกับเขา สำหรับพี่ พี่คิดว่าพี่ภาคีต้องทำอะไรอีกเยอะเพื่อให้ป่านยอมรับ เริ่มคิดกับมันอย่างจริงจังได้แล้ว การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะป่าน”

ปานดาวหอบความเครียด ค่อยๆ พาตัวเองเดินลึกลงไปในทะเล

ชยพลเดินมาตามชายหาด สอดส่ายสายตามองหาคนอื่นๆ เมื่อมองไปที่ทะเลข้างหน้าก็ต้องชะงักเห็นปานดาวกำลังเดินลงไปในทะเลท่าทางไม่น่าไว้ใจ และตอนนี้น้ำทะเลเลยหัวเข่าปานดาวขึ้นมาแล้ว ชยพลตกใจ รีบวิ่งไปหาทันที
ปานดาวเดินลุยน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ จนน้ำสูงถึงระดับเอว ชยพลวิ่งมาถึงริมหาดตะโกนห้ามเสียงดังลั่น
“อย่านะคุณป่าน อย่าทำอย่างนั้น”
พร้อมกับว่าชยพลลุยน้ำตามลงไปในทะเล
เสียงคลื่นกลบเสียงของชยพล ทำให้ปานดาวยังคงไม่ได้ยินเธอยืนแช่น้ำทะเลนิ่งอยู่คล้ายคนตัดสินใจบางอย่าง ชยพลโผล่มาทางด้านหลัง แล้วกอดเอวปานดาวเอาไว้
“อย่าทำแบบนี้เลยครับ กลับขึ้นมาเถอะ”
ปานดาวตกใจพอๆ กับแปลกใจ “อะไรของคุณ”
ชยพลไม่ตอบกอดเอวปานดาวมั่น แล้วลากกลับขึ้นฝั่ง ปานดาวโมโหดิ้นหนีพัลวัน
“ปล่อยฉันนะ”
ชยพลกลับคิดว่าปานดาวต้องการจะเดินลงทะเล “ผมยอมให้คุณทำแบบนี้ไม่ได้”
สุดท้ายชยพลลากปานดาวขึ้นมาที่ริมหาด ปานดาวดิ้นหนี กลายเป็นว่าทั้งสองเสียหลักล้มลง ชยพลหมุนเอาตัวเองรับน้ำหนักปานดาวไว้ ทั้งคู่ต่างจ้องตากันอึ้งๆ กันไป ทำอะไรไม่ถูก จนถูกคลื่นซัดสาดน้ำทะเลใส่ทำให้ปานดาวรู้สึกตัว รีบเบี่ยงตัวออกลุกขึ้นนั่ง ชยพลลุกตาม แต่ยังนั่งอยู่ที่ชายหาดทั้งคู่
“คุณทำอะไรของคุณ”
“ผมไม่ยอมให้คุณฆ่าตัวตายหรอก”
ปานดาวงง “ฆ่าตัวตายอะไร ฉันแค่อยากลงไปเล่นน้ำ”
ชยพลหน้าแตกยับเยิน “เล่นน้ำเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซิ” ปานดาวลุกขึ้น เสื้อผ้าเนื้อตัวเลอะทรายเต็มไปหมด “ดูซิ เลอะเทอะหมดเลย”
ชยพลอึ้งๆ ปานดาวเดินลงล้างทรายในทะเล ชยพลตามมาวักน้ำล้างให้ ปานดาวชะงักหันไปมองค้อนตาคว่ำ
“อะไรอีกล่ะ”
“ช่วยคุณล้างทราย”
ปานดาวหงุดหงิดตวาดแว้ด “ไม่ต้อง”
“ไม่ช่วยก็ได้”
ชยพลเซ็งนิดๆ วักน้ำล้างตัวเองไป โดยไม่เห็นว่าปานดาวลอบยิ้มขำที่ได้แกล้งชยพล พอชยพลเงยหน้ามาเห็น จึงยิ้มตอบ ปานดาวรีบหันหนีไปทางอื่นโดยไว
พอล้างตัวเสร็จ ปานดาวเดินขึ้นจากน้ำ ชยพลรีบตามขึ้นมา
“เดี๋ยวซิครับ”
ชยพลตามมาจนทันปานดาว
“ตามมาทำไม ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่คิดฆ่าตัวตายแน่”
“รู้แล้วครับ เมื่อกี้ต้องขอโทษด้วย ผมใจเร็วไปหน่อย เพราะเป็นห่วงคุณ”
“ทีหลังก็ไม่ต้องมาห่วงฉัน”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมห้ามไม่ให้คิดอย่างนั้นไม่ได้”
ปานดาวหยุดหันมาหา ชยพลหยุดไม่ห่างจากปานดาวนัก
“ก็ได้ ฉันจะพูดกับคุณตรงๆนะ เมื่อคืนอาจยังพูดไม่หมด สำหรับฉัน คุณมันก็แค่ผู้ชายกะล่อนคนนึง ผู้ชายที่มีเมียแล้ว แต่ยังไม่พอใจ อยากจะมีกิ๊กหนึ่ง กิ๊กสอง กิ๊กสามไปเรื่อยๆ”
“ถ้าคุณหมายถึงแวนด้า ผมยอมรับว่าผมเคยมีสัมพันธ์กัน แต่ตลอดเวลา ผมก็รู้ว่าผมกับแวนด้าไปด้วยกันไม่ได้แน่ๆ ตอนนี้ ผมบอกเลิกกับเขาไปแล้ว ผมเหลือคุณคนเดียวเท่านั้น”
“น่าสงสารคุณแวนด้า แล้วถ้าวันนึงคุณรู้ว่าฉันกับคุณไปกันไม่ได้ ก็คงจะบอกเลิกฉันง่ายๆ แบบที่คุณทำกับเขาซินะ”
“ไม่มีทางครับ”
“ไม่ต้องซีเรียส ฉันก็พูดไปงั้นแหละ เพราะยังไงคุณก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ฉันจะเลือก”
“ไม่เลือกผม แต่ไปเลือกนายภาคีนั่น” ชยพลหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด
“ก็ใช่น่ะซิ พี่ภาคีเขาเป็นคนดี”
“ผมทำงานกับคนมาเยอะ คนอย่างนายภาคีน่ะ ก็แค่ดีแต่เปลือก”
“แต่คุณน่ะ แย่กว่านั้นอีก คุณไม่ใช่มีแค่เปลือก แต่ยังเป็นเปลือกเน่าๆ ด้วย”
ปานดาวจะเดินหนี ชยพลดึงแขนไว้ แล้วดึงรั้วตัวเธอเข้ามากอด
“อีกแล้วเหรอ” ปานดาวโมโห
“คราวนี้ผมจะทำให้ดีกว่าเมื่อคืน”
“อย่าบ้าน่า ปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะพูดพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง”
“พาสเวิร์ดอะไร”
“พูดตามผม...ฉันรักคุณ”
“บ้า”
“ฉันรักคุณ”
“ฉันเกลียดคุณ”
“งั้นผมก็จำเป็นต้อง...”
ชยพลจูบปานดาวอีกครั้ง ปานดาวอ่อนระทวยไปเลย คราวนี้ชยพลจูบดูดดื่ม นิ่งนานกว่าเดิม ก่อนจะถอนหน้าออกมา แต่ยังกอดปานดาวเอาไว้
“คราวนี้ผมไม่ปล่อยคุณตบแล้ว”
ปานดาวมองหน้าชยพลนิ่งไปครู่หนึ่งน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย ชยพลถึงกับอึ้งไปเลย
“ขอร้องเถอะ อย่าทำร้ายฉันอีกเลย”
ชยพลรู้ว่า ปานดาวพูดจากส่วนลึกของจิตใจตัวเองจริงๆ จึงค่อยๆ ปล่อยแขนที่กอดเธอไว้
พอเป็นอิสระ ปานดาวก็หันหน้าหนีเดินออกไปช้าๆ
ชยพลยืนนิ่ง ได้แต่มองตามไป ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

รถปานดาวแล่นมาจอดใกล้หน้าบ้านพัก ปานวาดลงจากฝั่งคนขับ ส่วนชลกรลงไปเปิดประตูเบาะหลัง หิ้วถุงอาหารออกมา สองคนเดินมาที่หน้าบ้าน เห็นชยพลนั่งแกร่วหน้าบูดอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
“หิวแย่เลยซี เอานี่ โจ๊กกับน้ำเต้าหู้”
ชลกรวางอาหารลงบนโต๊ะ
“ป่านล่ะคะ”
“อยู่ในห้องครับ”
ปานวาดเดินไปตามน้องสาว
ชลกรมองน้อง “ก่อวีรกรรมอะไรอีกหรือเปล่า หน้าบูดแต่เช้า”
“ผมพลาดอีกแล้วพี่”
ชลกรส่ายหัว ถอนใจเบื่อๆ

ปานวาดเข้ามาในห้องพัก ปานดาวกำลังเก็บกระเป๋าอยู่ ได้ยินเสียงประตูเปิดจึงหันมามอง
“เช้าแล้วนะ คงจะกลับได้แล้ว”
“พี่กำลังจะมาบอกว่า พี่อยากอยู่อีกคืน”
“พี่จะอยู่กับแฟนพี่ก็ได้ แต่ป่านจะกลับ”
“นานๆ เราจะได้มาพักผ่อนนะป่าน อย่าเพิ่งรีบกลับเลย”
“ถ้าอยากให้ป่านอยู่ พี่ก็ไปไล่พี่น้องสองคนนั่นให้เขากลับไปก่อนซี”
ปานวาดพยายามโน้มน้าว “แล้วให้เราผู้หญิงอยู่กันสองคนเนี่ยนะ น่ากลัวออก”
“กลัวอะไร ป่านว่าน้องของแฟนพี่นั่นแหละ น่ากลัวที่สุด ตกลงจะเอายังไง”
ปานวาดคิดว่าฝืนอยู่ไปคงไม่ดีแน่ รังแต่จะผิดใจกับน้อง
“กลับก็กลับ แต่ขอกินข้าวเช้ากันก่อนก็แล้วกัน พี่ซื้อมาแล้ว”

ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีชามโจ๊กและแก้วใส่น้ำเต้าหู้ของใครมัน บรรยากาศอึมครึมมาก ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย โดยเฉพาะปานดาว กับชยพล ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบ ชลกรกับปานวาดสบตากัน พอจะรับรู้ถึงความมึนตึงดังกล่าว ชลกรกับปานวาดพยายามชวนคุยสร้างบรรยากาศ
“นี่ โจ๊กร้านนี้เขาคุยว่าอร่อยกว่าโจ๊กหัวหินอีกนะ”
“แม่ค้าเขาบอกโจ๊กเยาวราชแท้ ใครเคยไปกินบ้างล่ะ สูตรเดียวกันหรือเปล่า”
สองคนรอคำตอบ แต่ทั้งชยพลและปานดาว ต่างก็ยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไร
“โจ๊กเยาวราชผมไม่เคยกิน แต่ที่ผมชอบต้องนี่ จุ้ยก้วย”
“มันคืออะไร”
“ไม่เคยกินเหรอ อร่อยมากเลยนะ”
ปานวาดชวนปานดาวคุย “ป่านรู้จักไหม อะไรนะ”
ชลกรตอบว่า “จุ้ยก้วย”
ปานดาวไม่แม้แต่พยักหน้าหรือส่ายหน้า
ชลกรต้องตอบแทน “เขาเอาแป้งมาทำเป็นถ้วยสีขาวๆ กินกับหัวไชโป๊วสับ ใส่กระเทียมเจียว กับซีอิ๊วไง”
“ฟังแล้วไม่เห็นจะน่าอร่อยเลย”
“อร่อยนะ วันหลังผมจะซื้อไปให้ปอลองกินละกัน”
“โอเค สัญญานะ”
สองคนคุยไปหัวเราะไป แต่ทั้งปานดาวและชยพล ก็กินโจ๊กเนือยๆ ชลกรกับปานวาดมองหน้ากันถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน

หลังมื้อเช้าสุดกร่อยนั้น ชลกรเก็บเสื้อผ้าจากตู้มาพับเก็บใส่กระเป๋า
“เตรียมเสื้อผ้ามาเยอะแยะ ไม่ได้ใช้เลย อย่างน้อยก็น่าจะค้างอีกซักคืน”
ชยพลยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก เห็นปานดาวเดินออกจากห้อง เอากระเป๋าไปที่รถ
“ฝากเก็บของผมด้วยนะ ผมจะไปคุยกับป่านหน่อย”
ชยพลก็ออกจากห้องไป

ปานดาวหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาที่ท้ายรถ ไขกุญแจเปิดกระโปรงหลัง พอหันมายกกระเป๋า ปรากฏว่ามือของชยพลเข้ามาจับกระเป๋ายกช่วยก่อน
“ให้ผมช่วยนะ”
ปานดาวถอยออกมา “ตามใจ”
ชยพลยกกระเป๋าใส่ในกระโปงหลัง ปานดาวมองไปทางบ้านพัก หงุดหงิดพี่สาว
“ช้าจริง พี่ปอเนี่ย”
“เรื่องเมื่อเช้า ผมขอโทษนะ ผมทำผิดพลาดอีกแล้ว”
“แล้วนี่คิดจะทำอีกเป็นครั้งที่สามไหม”
“ไม่แล้วครับ”
“ก็ดี”
“คุณป่านผมอยากให้คุณเข้าใจ ทุกอย่างที่ผมทำ เพราะผมรักคุณ”
ปานดาวขัดหูเหมือนจะรำคาญนิดๆ “พูดอยู่เรื่อย เข้าใจความหมายของคำๆ นี้ไหม”
“ผมไม่ใช่กวีที่จะบรรยายความหมายให้ฟังแล้วลึกซึ้ง แต่ผมรู้ว่าผมยอมสละได้ทุกอย่างเพื่อคุณ แม้แต่ชีวิตของผม”
ปานดาวอึ้งไปเลย “อย่าเลย ฉันไม่มีค่าขนาดนั้นหรอก”
“สำหรับผม คุณมีค่ามากพอ”
ปานดาวนิ่งงันไป ไม่โต้ตอบแล้วเมินหน้าไปทางอื่น
“ถ้านายภาคีมาสู่ขอคุณจริงๆ คุณจะยอมแต่งงานกับเขาหรือเปล่า”
ปานดาวเหลือบมองชยพลแว่บหนึ่ง “ฉันยังไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะปฏิเสธเขาเลย”
“แต่ผมมี”
สองคนมองสบตากันจังๆ
แต่ก่อนที่สองคนจะพูดอะไรต่อ ชลกรกับปานวาดก็หิ้วกระเป๋าออกมา ชลกรถือกระเป๋ามาสองใบ
“เฮ้ย พล มาเอาของนายไป”
ชยพลมองปานดาวอีกแว่บหนึ่ง จึงแยกไปรับกระเป๋าจากพี่ชาย
ชลกรหันไปช่วยยกกระเป๋าให้ปานวาดด้วย ปานวาดยิ้มขอบคุณ
ปานดาวอดมองพี่สาวกับชลกรที่หวานใส่กันไม่เลิก ก่อนจะปิดกระโปรงรถ ปานวาดนั่งฝั่งคนขับ ปานดาวนั่งข้างๆ
ชยพลหิ้วกระเป๋าไปที่รถ
รถปานดาวถอยออก แล้ววิ่งออกไปก่อนช้าๆ ชลกรโบกมือให้ปานวาด อีกฝ่ายโบกมือตอบ ชยพลได้แต่มองตามปานดาวตาละห้อย โดยที่ปานดาวไม่ได้สนใจมองเขาเลย

รถชยพลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึก ชลกรลงจากรถมาก่อนน้อง เดินไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่กระโปรงหลังทั้งสองใบ ทันทีที่กระโปรงหลังรถปิดลงก็เห็นพันลือยืนจ้องอยู่แล้ว
“ทำไมกลับเร็วนักล่ะ ไหนว่าจะไป 2-3 วัน”
“คิดถึงพ่อเลยรีบกลับมาไงครับ” ชลกรว่า
“ไม่ต้องเลย ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วยล่ะซี”
“พ่อพูดเรื่องอะไร” ชลกรทำไก๋
“ฉันรู้นะ พวกแกไปกับลูกสาวปกป้องใช่ไหม”
ชลกรเตรียมรับไว้แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “เราไปกันแค่สองคนเท่านั้นครับ ถามพลก็ได้”
ชยพลฟังอยู่รีบบอก
“ถ้ามีผู้หญิงไปด้วย ผมไม่กลับมาง่ายๆหรอกพ่อ” ชยพลสำทับด้วยเสียงหัวเราะหื่น
ชลกรกับชยพลพากันลากกระเป๋าเข้าบ้านไป พันลือมองตามไป ไม่เชื่อที่ลูกพูด

ชยพลกับชลกรลากกระเป๋าขึ้นบันไดมา ชยพลหยุดถามพี่ชายก่อนเข้าห้องตัวเอง
“เรื่องของพี่กับพี่ปอลงตัวขนาดนี้ ทำไมไม่บอกพ่อไปเลยว่าเขาไปด้วย”
“พ่อไม่เห็นด้วยเรื่องพี่กับปอ ถ้าพูดไปก็ทะเลาะกันอีก พี่เบื่อ แล้วอีกอย่าง ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจด้วย”
“ลูกชายที่แสนดี สำหรับผมนะ ผมไม่ยอมให้ใครมาขวางความรักของผมหรอก”
ชลกรหัวเราะหึๆ แล้วทั้งสองก็แยกเข้าไปห้องใครห้องมัน
ประตูห้องนอนของมาลาค่อยๆ เปิดออก มาลาเดินออกมาได้ยินทุกอย่างที่ลูกคุยกัน
มาลาเหลียวมองไปที่ประตูห้องชลกรบอกกับตัวเองว่า “แล้วแม่จะช่วยลูกเอง”

ปานวาดกับปานดาวลากกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในโถงบันได ติดห้องรับแขก ดาวรายออกมาจากทางหลังบ้าน
“กลับมากันแล้วเหรอ”
“ค่ะแม่”
“รู้ไหมว่าทำให้แม่เป็นห่วงแค่ไหน น่าจะโทร.มาหาแม่หน่อย” ดาวรายบ่น
“มันรีบๆ น่ะค่ะ”
“รีบ หรือกลัวจะรู้ว่าลูกชายนังมาลามันไปด้วย”
สองสาวชะงักนิดๆ ปานวาดตั้งรับ ปฏิเสธเสียงแข็ง
“พูดอะไรอ่ะแม่”
“ก็จริงใช่ไหมล่ะ เมื่อคืนถึงคุยกับแม่ไม่กี่คำก็รีบตัดบท”
“ตอนนั้นปอรีบไปหาป่าน ปอไปกับป่านแค่สองคน ตอนแรกคิดว่าเพื่อนของปอจะไปเจอที่นั่น มันดันเบี้ยวปอ ปอก็เลยกลับมานี่ไง ไม่เชื่อก็ถามป่านซิคะ”
ดาวรายหันมาทางปานดาว “จริงหรือเปล่าป่าน”
ปานดาวหยุดนิดหน่อย มองปอ แล้วหันมาบอกดาวราย “ค่ะ เราไปกันแค่สองคน”
“แม่น่ะ มโนมากไปแล้ว อย่าเที่ยวไปพูดกับชาวบ้านนะแม่ พวกเราเสียหาย”
ปานวาดเดินขึ้นบันไดไป ปานดาวรีบตามไปด้วย

ดาวรายมองตาม อย่างขัดเคืองใจ และ ไม่มีทางเชื่อ แต่ในเมื่อลูกๆ ไม่ยอมรับ ก็ไม่รู้จะทำยังไง

อ่านต่อตอนที่ 17
กำลังโหลดความคิดเห็น