บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 4
ทุกคนเดินตามพันลือมาเป็นพรวน พันลือนั้นหน้าตึงเปรี๊ยะโกรธถึงขีดสุดเหมือนถูกหยามศักดิ์ศรี
“ใจเย็นก่อนพันลือ” เทศพยายามทัดทาน ไม่อยากให้มีเรื่อง
พันลือเลือดขึ้นหน้า ไม่สนใจฟังแล้ว พอถึงหน้าห้องก็จับลูกบิดจะเปิดประตูเข้าไป พบพบว่าประตูถูกล็อค พันลือก็ยิ่งโมโห เคาะประตูตะโกนเรียกเสียงดัง
“มาลา เปิดประตูหน่อย”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ พันลือเริ่มทุบประตูด้วยความโมโห
“มาลา ได้ยินไหม เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้”
ในที่สุดประตูก็เปิดออก โดยมาลาเป็นคนเปิดให้
“มันอยู่นี่ใช่ไหม”
พันลือพรวดเข้าไปในห้องทันที
พันลือเดินผ่านมาลาเข้ามาในห้อง คนอื่นๆ ตามเข้ามา ปกป้องยืนนิ่งอยู่
พันลือถามแทบเป็นตวาด “แกมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาหามาลา”
พันลือเดินเข้าไปยืนจ้องหน้าปกป้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แกไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับมาลาอีกแล้ว”
“งานแต่งงานยังไม่ได้เริ่ม แกห้ามฉันไม่ได้หรอก”
“ห้ามไม่ได้งั้นเหรอ ฉันจะทำให้ดูว่าฉันห้ามได้ไหม”
พันลือปล่อยหมัดซัดเข้าใส่หน้าทันที ปกป้องเซถลาล้มลง พันลือจะตามไปซ้ำ เทศรีบเข้าไปขวาง
“อย่านะพันลือ อย่าไปทำอะไรเขา”
บัวผันเข้ามาหาเตือนสติอีกแรง “วันนี้เป็นวันมงคลของเธอ อย่าให้มีเรื่องร้ายๆ เลย อีกเดี๋ยวงานแต่งงานของเธอกับมาลาก็จะเริ่มแล้ว”
พันลือพยายามระงับโทสะ ข่มความโกรธ ระหว่างนั้นปกป้องก็ลุกขึ้น พันลือหันไปมองมาลาเป็นเชิงตัดพ้อ มาลาเดินเข้ามาหาพันลือกุมมือเขาไว้
“แม่พูดถูก วันนี้เป็นวันดีของเรา อย่าให้ใครมาทำลายมันเลย”
มาลาหันไปมองปกป้อง เหมือนเป็นอากาศธาตุ ไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับเธออีกแล้ว ปกป้องมองตะลึง ไม่อยากเชื่อ
“พ่อ แม่ พาเขาไปให้ไกลๆ มาลากับพี่พันลือ จะไปเข้าพิธีแล้ว” มาลาตัดเยื่อใย
เทศเข้ามาจับตัวปกป้อง “ไป ไปข้างนอก” แล้วดึงตัวปกป้องออกจากห้อง บัวผันตามไปด่า
“ไม่รู้จะมาทำไม ทุกคนเกลียดเธอ รู้ไว้ด้วย”
เมื่อปกป้องถูกพาตัวพ้นห้องไปแล้ว พันลือหันมามองมาลา
“ไม่ต้องห่วงนะพี่ ยังไงฉันก็จะเป็นเมียของพี่คนเดียวเท่านั้น”
พันลือกุมมือมาลาไว้ มาลัยมองท่าทีทั้งสองคน เห็นพันลือยิ้มปลื้มมีความสุข ส่วนมาลาพูดสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มด้วย
มาลัยกับพันลือเดินกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงเตรียมเข้าพิธีรดน้ำสังข์
“มาลัยก็ผิดด้วยแหละ ไม่ควรปล่อยให้พี่มาลาอยู่คนเดียว แต่พี่ไม่ต้องห่วงแล้ว เราให้มาลีช่วยเฝ้าแบบนั้น”
“น่าจะอัดมันให้หนักกว่านั้น กล้ามาได้ยังไง”
“เดี๋ยวสูทสวยๆ ก็ขาดซะก่อน”
“พี่พูดจริงๆ นะ คิดดูซีว่ามาลาจะรู้สึกยังไง”
มาลัยอึ้งไปนิด “พี่มาลาเขาเข้มแข็ง เขาทำอะไรพี่มาลาไม่ได้หรอก”
ระหว่างที่สองคนคุยกันอยู่นั้น ก้องภพก็เดินเข้ามาในห้องนั้น ชายหนุ่มหยุดมองมาลัย จนมาลัยหันมาเห็นก็คุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าใคร ก้องภพยิ้มให้ แถมโบกมือทัก มาลัยเพียบพยักหน้ารับ
จังหวะนี้เอง ดาวรายก็ก้าวเข้ามาในห้อง มาลัยชะงักทันที ถามพันลือขึ้นโยที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่คู่ปรับหัวใจไม่วางตา
“พี่เชิญมันด้วยเหรอ”
“ใคร” พันลือมองตามสายตามาลัยไป พอเห็นเป็นดาวรายก็ชะงัก “เปล่า”
“งั้นก็คงมาตามว่าที่สามี”
“ฝากรับแขกด้วยนะ”
พันลือพยักพเยิดไปทางก้องภพ ส่วนเขาเดินเข้าไปหาดาวราย มาลัยเห็นพันลือพูดอะไรกับดาวรายคำสองคำ จากนั้นสองคนก็พากันเดินออกไปทางหนึ่ง
มาลัยมัวแต่มองตามพันลือกับดาวรายไป จึงไม่ทันสังเกตว่าก้องภพมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้ว
“สวัสดี”
มาลัยสะดุ้ง “อุ๊ย”
ก้องภพยิ้มให้ แล้วถอยหลังห่างออกมานิดๆ
“งานยังไม่เริ่มนะคะ ต้องอีกซักครู่”
ก้องภพหัวเราะเบาๆ “จำไม่ได้จริงๆ ด้วย”
“คะ” มาลัยงงอยู่อย่างนั้น คิดไม่ออก
“ตอนแรกพี่ก็เกือบจำมาลัยไม่ได้ สวยขึ้นตั้งเยอะ” มาลัยยังพยายามคิดอยู่ว่าใครกัน สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายเฉลยว่า “พี่ก้องภพไง ลูกแม่อิ่มกับพ่ออ่ำ”
มาลัยยิ้มกว้าง “อ๋อ หลานครูบานชื่น”
ก้องภพยิ้มรับ “ใช่ พี่รู้ว่ามาลาจะแต่งงาน พี่พลาดไม่ได้อยู่แล้ว”
“พี่เปลี่ยนไปมากเลย เอ่อ...แบบ เป็นผู้ใหญ่”
“แสดงว่าแก่” ก้องภพว่า
“ไม่ใช่ หมายถึงดูภูมิฐานมากเลย หล่อขึ้นเยอะด้วย”
ก้องภพเขิน “ไม่ขนาดนั้นมั้ง พี่ยังจำครั้งสุดท้ายก่อนพี่จะย้ายไปได้ ที่พี่ขี่จักรยานรับมาลัยกลับจากโรงเรียน แล้วฝนตกกลางทาง เราเปียกโชกด้วยกันทั้งคู่”
“ใช่ๆจำได้ ตอนนั้นมาลาอยู่ ม.1 พี่จบ ม.6” มาลัยจำได้ยิ้มให้ก้องภพ
ก้องภพมองมาลัยอย่างพิเคราะห์ “มาลัยสวยขึ้นมากจริงๆ นะ เหมือนอย่างที่พี่เคยคิดไว้เลย”
มาลัยอึ้ง เขินนิดๆ ที่เขาเล่นชมกันต่อหน้า “แล้วพี่มากับใครคะ ครอบครัวพี่ล่ะ”
“พ่อกับแม่มาไม่ไหว ฝากซองมาแทน”
“มาลัยหมายถึง...แฟนพี่ ลูกๆ”
ก้องภพขำ “โอ๋ย พี่ยังโสด ทุกวันนี้อยู่คนเดียว”
“เหรอคะ”
มาลัยนิ่งไปลูบน้องตัวเองเบาๆ ขณะยิ้มหวานให้ก้องภพ
ทางฝ่ายพันลือกับดาวราย มายืนหลบคุยกันอยู่ตรงมุมลับตาคน
“อย่าบอกนะว่ามางานแต่งงานพี่”
“แสดงว่าเจอพี่ป้องแล้วล่ะซี”
“มันแสบมากเลย แอบไปหาเมียพี่ถึงในห้องพัก”
“ว่าที่เมีย” พันลือโบกมือห้ามไม่อยากให้พูดถึงมาลาไม่ดี “แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่าเขามาทำไม”
“ไม่ทันได้ถาม อัดมันไปหมัดนึงก่อน”
ดาวรายส่ายหน้าเอือมๆ “ทั้งๆ ที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวเนี่ยนะ”
พันลือเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เธอเหอะ ปล่อยมันออกมาได้ยังไง พี่นึกว่าเธอจับมันอยู่มือแล้ว”
“ตอนแรกก็ใช่ เขาถึงทิ้งนังมาลาไง แต่ยามันหมด เลยเอาไม่อยู่”
“ทำไมไม่ไปเอามาเพิ่มล่ะ”
“หมอไปอินเดียสองเดือน”
พันลือหงุดหงิดแถมเซ็งด้วย “ปัดโธ่เอ๊ย แล้วตอนที่ไม่มียา เธอไม่มีปัญญามัดใจมันเลยหรือไง”
“ก็ทำทุกอย่างแล้ว แต่คนมันหัวแข็ง”
“รีบไปเอายามาเลย ป่านนี้หมอกลับมาแล้ว แล้วกรุณาดูแลมันด้วย อย่าให้มันมายุ่งกับมาลาอีก”
“พี่ก็ดูแลอย่าให้นังนั่นมายั่วผัวดาวก็แล้วกัน”
“เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“มันก็ไม่แน่ ผู้หญิงน่ะ ไม่ลืมผู้ชายคนแรกที่เสียตัวให้หรอก”
พันลืออึ้ง นิ่งงันไป
มาลัยกับก้องภพออกมาจากห้องรดน้ำ มายืนคุยกันที่หน้าห้อง มีแขกจำนวนหนึ่งคุยกัยอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“แล้วตอนนี้พี่ก้องทำงานอะไรอยู่ละคะ”
“พี่ขายเครื่องจักร บริษัทที่พี่ทำงานเขานำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศน่ะ พี่ก็เป็นคนหาลูกค้าให้เจ้านาย”
“แล้วยังอยู่คนเดียวด้วย จะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนน้า”
“นั่นซี นึกอยากหาคนมาช่วยใช้เงินอยู่เหมือนกัน แต่กลัวสาวเขาจะไม่สน”
“พี่ชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ มาลัยจะได้ช่วยหาให้”
“ถ้าพี่บอกว่า พี่ชอบแบบ...แบบมาลัยล่ะ”
มาลัยอึ้งไปนิด แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ “อย่างมาลัยนี่ เอาชนะใจยากนะพี่”
“อะไรที่ได้มายาก ก็แสดงว่าต้องมีค่ามาก”
มาลัยช้อนสายตามองมา ก้องภพยิ้มเขินๆ ให้
ระหว่างนี้มาลัยมองออกไปอีกมุม ของหน้าโรงแรม แลเห็นบัวผันกับเทศยืนคุยกับปกป้องอยู่ ท่าทางเหมือนบัวผันกำลังต่อว่าอะไรปกป้องอยู่ มาลัยคิดอะไรขึ้นมาในใจ แล้วหันมาทางก้องภพทำเป็นเพิ่งมองไปเห็น
“เอ๊ะ นั่นพี่ป้องญาติพี่นี่”
ก้องภพมองตาม “เออ ใช่”
“ไปทักทายเขาหน่อยไหมคะ”
พร้อมกับว่ามาลัยเดินนำไป ก้องภพตามไปด้วย
บัวผันกับเทศยืนต่อว่าต่อขานปกป้องอยู่ตรงบันไดหนีไฟของโรงแรม
“ลูกสาวฉันกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัว แกทำให้เขาเป็นทุกข์มานานแล้ว ยังคิดจะมาทำลายชีวิตเขาอีกเหรอ” เทศว่า
บัวผันกล่าวเสริม “ฉันรู้ว่าพวกบ้านเธอเกลียดครอบครัวฉันที่ทำให้พี่ชายเธอตาย แต่เราก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เราอยากขอโทษ แต่บ้านเธอก็ไม่ยอมรับ เลิกแค้นกันซักทีเถิด”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ลุงกับป้าเข้าใจผิด ผมรักมาลาจริงๆ”
“รักภาษาอะไรวะ มันท้องแกก็ไม่รับผิดชอบ ถูกรถชนปางตาย แว่บเดียวก็ไม่เคยมาดู” เทศมีอารมณ์กรุ่นๆ
“ผมรู้ครับว่าผมผิด แต่ผม...”
ปกป้องพยายามอธิบาย แต่ยังพูดไม่จบ เสียงมาลัยดังขัดจังหวะเข้ามา
“พ่อแม่ ดูซีใครมา”
ทั้งบัวผัน เทศ และปกป้องต่างชะงัก เหลียวมองไปทางเสียง เห็นมาลัยเดินจูงแขนก้องภพเข้ามาหา
ก้องภพไหว้ทักทายสองผู้ใหญ่ “สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” แล้วหันไปทักปกป้อง “ว่าไงป้อง”
บัวผันกับเทศงง ปกป้องก็อึ้งๆ เมื่อเห็นมาลัยมีท่าทางสนิทสนมกับก้องภพมากขนาดนั้น
“จำได้ไหมคะ พี่ก้องภพ ลูกน้าอิ่มน้ำอ่ำไงคะ” มาลัยยิ้มแย้ม บัวผันกับเทศพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังงงๆ “พี่เขามาร่วมงานแต่งพี่มาลา”
พร้อมกับว่ามาลัยสอดแขนเข้าไปคล้องแขนก้องภพ พูดคุยอย่างร่าเริงทำเอาก้องภพเขินหนัก ปกป้องก็ยิ่งอึ้ง ด้วยรู้ตัวดีว่าทำอะไรกับมาลัยไว้
“พี่ป้องก็ใจดำจัง ไม่เคยพูดถึงพี่ก้องภพให้ฟังเลย ปล่อยให้มาลัยคิดถึงพี่เขาอยู่ฝ่ายเดียว” มาลัยหันมาจ๊ะจ๋ากับบัวผันและเทศ “พ่อแม่รู้ไหม พี่ก้องภพเขาไปทำงานบริษัทญี่ปุ่น เงินเดือนหลายหมื่นเลยนะ”
ก้องภพเขินอยู่อย่างนั้น “นิดหน่อยน่ะครับ เอ่อ แล้วนี่งานจะเริ่มหรือยังครับ เห็นแขกรออยู่ข้างในเยอะแล้ว ป้องเข้าไปด้วยกันซี”
“เอ่อ นายป้องเขา...” เทศพูดไม่ทันจบคำ มาลัยบอกแทนว่า
“พี่ป้องเขาติดงานน่ะค่ะ แค่แวะเอาซองมาให้” มาลัยไม่มองหน้าปกป้องเลย หันไปชวนบัวผันและเทศ “เราเข้าไปข้างในกันเถอะนะคะ”
มาลัยควงแขนก้องภพกลับเข้าไปในโรงแรม บัวผันกับเทศงงๆ บัวผันตามเข้าไป เทศหันมาทางปกป้องโบกมือไล่
“ไปได้แล้วแกน่ะ” แล้วตามเข้าไปในงาน
ปกป้องยืนเคว้งคว้างอยู่ลำพัง หน้าตาโศกตรมหมองเศร้า คิดว่ามาลาคงไม่มีทางให้อภัยตนแน่แล้ว และถ้ายิ่งรู้เรื่องมาลัยเข้าไปอีก มาลาอาจเกลียดเค้าไปตลอดชีวิต
มาลัยควงแขนก้องภพเข้ามาในห้องรดน้ำ บัวผันกับเทศตามเข้ามาด้วยกัน
ภายในห้อง มาลายืนอยู่กับมาลี กำนันมากและขิม พ่อ แม่ ของพันลือก็รออยู่แล้ว พร้อมด้วยแขกผู้ใหญ่และแขกอื่นๆหลายสิบคน ทุกสายตาต่างมองมายังคู่มาลัยกับก้องภพ ด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป ตามจริตใครมัน
มาลาแปลกใจมากที่เห็นน้องสาวออกอาการสนิทสนมกับฝ่ายชายขนาดนั้นราวกับเป็นแฟนกัน มาลีก็งงจนต้องกระซิบถามว่าก้องภพเป็นใคร มาลาพูดบอกเบาๆ คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ซุบซิบไปมา เทศรับรู้สายตาตำหนิ และเสียงนินทานั้น เดินเข้ามาหาลูกสาว
“มาลัย ขอคุยด้วยหน่อย”
มาลัยขอตัวจากก้องภพ ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ มาลัยปล่อยแขนจากก้องภพ เดินตามพ่อไป เทศพามาลัยเดินห่างออกมาจากทุกคนแล้วจึงพูดเอ็ดพอได้ยินสองคน
“แกทำอะไรของแก เห็นไหม คนมองกันใหญ่แล้ว”
มาลัยดูไม่ยี่หระ “ก็ดี ยิ่งมองยิ่งดี”
“พูดยังกับไม่รู้ว่านายก้องภพน่ะเป็นใคร มันเป็นหลานครูบานชื่น ศัตรูของเรา”
“ก็เพราะรู้น่ะซีคะ หนูถึงได้ทำแบบนั้น”
เทศงง “ฉันไม่เข้าใจว่ะ แกจะไปทำดีกับมันทำไม”
“เพราะมาลัยเกลียดพวกมันน่ะซีคะ ถึงทำแบบนี้ พ่อไม่ต้องห่วงหรอก มาลัยรู้ว่ากำลังทำอะไร มาลัยจะทำมากกว่าที่พ่อเห็นอีก อีกไม่นานพ่อก็จะรู้”
มาลัยเดินกลับไปหาก้องภพทันที พอถึงก็บอกกับเขาว่า
“เดี๋ยวพิธีก็คงจะเริ่มแล้ว มาลัยต้องขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนนะคะ”
“ได้เลยครับ”
“เสร็จงานแล้วมาลัยจะมาคุยด้วยใหม่ เราสองคนมีอะไรต้องคุยกันอีกเยอะเลย ต้องมารำลึกความหลังกันซักหน่อย” มาลัยยิ้มนิดๆ แตะแขนก้องภพส่งสายตายั่วยวนหว่านเสน่ห์สุดชีวิต “คุยทั้งคืนก็คงไม่หมด”
ก้องภพเคลิ้ม ยิ้มกว้างสุขใจ มาลัยแยกออกไปหามาลากับมาลี
เทศกลับมาหาบัวผันทีรอฟังผลอยู่
“มาลัยมันว่ายังไง”
“มันบอกจะทำอะไรมากกว่าที่เราเห็นอีก”
บัวผันคาใจและนึกสงสัยสิ่งที่ลูกสาวจะทำ
กำนันมากกับขิมเดินมาหาพอดี
“นี่มันได้ฤกษ์แล้วนะ พันลือมันไปไหนก็ไม่รู้ เห็นบ้างไหม”
“เดี๋ยวก็คงมา เขาห่วงเรื่องฤกษ์อยู่”
บัวผันหันไปเห็นพยักหน้าบอก
“นั่นไง มาแล้ว”
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 4 (ต่อ)
พันลือเดินเข้ามาจากอีกทาง จัดเสื้อผ้าชุดสูทจนเรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปหามาลา มาลัยเดินนำพาพันลือกับมาลาไปที่ตั่งรดน้ำสังข์
พิธีรดน้ำอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้น แขกในงานที่ได้รับเชิญให้รดน้ำบ่าวสาวทยอยเข้ามาเตรียมตัว เสียงเพลงรักหวานๆ ดังคลอซึ้งๆ
พันลือกับมาลาเข้าไปนั่งที่ตั่ง กำนันมากเป็นคนสวมสายมงคลให้พันลือกับมาลา ได้มาลัยกับมาลีซึ่งเป็นเพื่อนเจ้าสาวคอยช่วยอยู่
แขกผู้ใหญ่เริ่มทยอยเข้ามารดน้ำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว อำนวยชัยให้พรให้รักกันนานๆ
ในระหว่างนี้ พันลือยิ้มปลื้มสุขล้นออกมาตลอดเวลา ขณะที่มาลามีสีหน้าเรียบๆ จนเมื่อหันไปเห็นพันลือมองมาพร้อมรอยยิ้ม มาลาก็ยิ้มตอบบางๆ โดยที่พันลือนั้นไม่ได้ติดใจอะไร คิดเพียงว่ามาลายังคงเครียดจากการที่ปกป้องบุกเข้าไปหาในวันนี้
แต่สำหรับมาลา ในใจกำลังคิดหนักว่าจากนี้ ชีวิตเธอกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอต้องตัดใจลืมความทรงจำเก่าๆ แล้วมอบหัวใจให้กับชายที่อยู่ข้างๆ เธอคนเดียวเท่านั้น
ทางด้านดาวรายออกมายืนอยู่ที่ด้านข้างของโรงแรม รออยู่ครู่หนึ่งจึงมีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอดเทียบ คนขับรถถอดหมวกกันน็อคออก เผยให้เห็นว่าเป็นลูกศิษย์ของหมอเสน่ห์ เขาลงรถเดินตรงมาหาดาวราย
“พี่ดาวใช่ไหมครับ”
“ใช่”
ลูกศิษย์หมอล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบขวดยาเสน่ห์ออกมาสองขวด
“พี่ลือให้เอายามาให้พี่”
ดาวรายเปิดกระเป๋าตังค์ หยิบเงินออกมาหนึ่งพันบาทส่งให้ลูกศิษย์หมอ แล้วรับยาสองขวดนั้นมา พร้อมกับนามบัตรที่ลูกศิษย์ให้มา
“หมอจะกลับสิ้นเดือน ถ้าพี่อยากได้ยาอีกก็โทร.มาหาผมเลย เบอร์อยู่ในนามบัตรนั่นแล้ว”
ดาวรายอ่านดูนามบัตร “ขอบใจนะ”
ลูกศิษย์หมอกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ตรถขี่ออกไปเลย ดาวรายเก็บยาเสน่ห์ใส่กระเป๋าถือยิ้มสมใจ
รถปกป้องจอดอยู่ในลานจอดรถของโรงแรม ปกป้องนั่งนิ่งอยู่ในที่นั่งคนขับมองเหม่อไปข้างหน้า คิดอะไรอยู่ จู่ๆ ดาวรายโผล่หน้าเข้ามามองที่กระจกด้านข้างคนขับ แล้วเคาะเรียก ปกป้องเอื้อมมือไปดึงล็อคขึ้น ดาวรายเปิดประตูเข้ามานั่ง ปิดประตูรถทันที
“พี่คิดยังไงถึงมาที่นี่”
ปกป้องนั่งนิ่งไม่ตอบอะไร
“พี่ก็รู้ว่าพวกเขาเกลียดพี่มากแค่ไหน ยังจะมาให้เขาด่าว่าอีก ยิ่งกับพี่พันลือ เขาสั่งลูกน้องคำเดียว พี่ถูกเอาไปโยนทิ้งกลางอ่าวได้เลย รู้ไหม”
ปกป้องหงุดหงิดใส่ “จะพูดทำไม”
“พูดเพื่อให้พี่รู้ตัวไง ดาวรู้นะว่าพี่มาที่นี่ เพราะไม่ต้องการให้นังมาลาแต่งงานกับพี่พันลือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนี้เขาเริ่มรดน้ำกันแล้ว สองคนเขาเป็นผัวเมียกันแล้ว พี่หมดสิทธิ์คิดถึงนังมาลาแล้ว ตอนนี้ พี่น่ะ เหลือดาวคนเดียวแล้ว”
ดาวรายเอื้อมมือไปกุมมือปกป้องไว้
“มีดาวคนเดียวเท่านั้นแหละที่รักพี่ แล้วก็จริงใจกับพี่ ดาวเท่านั้น ที่จะทำให้พี่มีความสุข”
ปกป้องหันมามองดาวราย ในใจยังสับสนอยู่อย่างเก่า ดาวรายยิ้มให้แรงใจ
“กลับบ้านพี่กันเถอะ ดาวจะทำเป็ดตุ๋นมะนาวดองที่พี่ชอบให้ทาน แล้วเราจะได้คุยเรื่องงานแต่งงานของเรากัน”
ปกป้องมองหน้าดาวราย ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน เพียงแต่อยากไปให้พ้นๆ จากที่นี่ สตาร์ตเครื่อง
ดาวรายตบเบาๆ ที่กระเป๋าถือขณะรถปกป้องเคลื่อนตัวออกไป
หลังงานแต่งมาลากับพันลือ หลายวันมานี้ มาลัยทำตามที่ประกาศกับพ่อเอาไว้ โดยพาตัวเองมาอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งของตัวเมืองสมุทรปราการกับก้องภพ ซึ่งนั่งกินอาหารอย่างมีความสุข ขณะที่มาลัยดูนิ่งๆ จนก้องภพจับอาการได้
“วันนี้น้องมาลัยเป็นอะไรไป ไม่ค่อยคุยเลย เมื่ออาทิตย์ก่อนก็ยังทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ เที่ยวเล่นสนุกสนานกันอยู่เลย”
มาลัยตอบสีหน้ายังนิ่งๆ “ไม่มีอะไรหรอก”
“พี่รู้สึกไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรที่ไม่ถูกใจน้องมาลัย”
“ไม่เกี่ยวกับพี่ก้องหรอกค่ะ พี่ก้องดีต่อมาลัยมาก มันเป็นปัญหาของมาลัยเอง”
“บอกให้พี่รู้เถอะ พี่จะได้ช่วยคิด”
มาลัยทอดถอนใจ ทำทีเป็นหนักใจ “เรื่องของครอบครัวมาลัย กับครอบครัวครูบานชื่นน่ะค่ะ เราบาดหมางกันตั้งแต่พี่ปองตาย พี่ก้องเป็นญาติกับครอบครัวครู ครอบครัวพี่ก้องก็อาจจะมองมาลัยเป็นศัตรูไปด้วย ถ้าเราคบหากัน มาลัยกลัวพี่ก้องจะเดือดร้อน มาลัย เลยไม่สบายใจ”
ก้องภพหัวเราะออกมา “ปัดโธ่ นึกว่าเรื่องอะไร จะบอกให้นะ พ่อแม่พี่อาจจะเคยคิดแบบนั้น แต่พี่เคลียร์หมดแล้ว เขาเข้าใจแล้ว จริงๆ น้าบานชื่นกับน้าเช้าก็มากเกินไป มันเป็นอุบัติเหตุ จะมาโทษครอบครัวมาลัยได้ยังไง”
มาลัยโล่งใจ “หมายความว่า พ่อแม่พี่ กับพี่ ไม่นึกเกลียดมาลัยใช่ไหมคะ”
“ไม่อยู่แล้ว โดยเฉพาะพี่ นอกจากจะไม่เกลียดแล้ว พี่น่ะ ยังรักมาลัยมากที่สุด”
มาลัยมองก้องภพตาหวานซึ้ง ยิ้มออกมา “มาลัยเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย มาลัยทุกข์ใจเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว”
“ถ้าบอกพี่แต่แรก ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์แล้ว”
ก้องภพยิ้มตอบ สองคนมองตากันหวานฉ่ำ
ตอนค่ำวันนี้รถของก้องภพแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเทศกับบัวผัน บ้านทั้งหลังปิดไฟมืด มาลัยกับก้องภพลงมาจากรถ
“ทำไมบ้านมืดจัง” ก้องภพปรารภเมื่อมองเข้าไปในเรือน
“พ่อแม่กับมาลีไปทำบุญบ้านญาติที่นครนายกน่ะค่ะ”
“งั้นมาลัยก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวน่ะซี”
มาลัยเหลือบมองก้องภพแว่บหนึ่ง โดยยังไม่แสดงท่าทีอะไร “ค่ะ พี่ก้องไปพักทานน้ำในบ้านก่อนนะคะ”
“ได้ซี”
มาลัยนำก้องภพเดินเข้าบ้านไป
สักครู่ต่อมา มาลัยวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าก้องภพ
“พี่ก้องพักให้หายเหนื่อยก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับ”
“ครับ”
“เอ่อ...มาลัยขออาบน้ำอาบท่าก่อนนะคะ รอไหวไหม”
“อ๋อ ได้เลย พี่ไม่รีบ”
มาลัยยิ้มให้ แล้วเดินไปทางหลังบ้าน
ก้องภพยกแก้วน้ำขึ้นจิบ แล้ววางแก้วลงที่โต๊ะ
เวลาผ่านไป แก้วน้ำถูกก้องภพดื่มจนหมดแก้วแล้ว
ไม่นานนัก มาลัยก็เดินออกมาจากทางหลังบ้านในชุดนอน เสื้อและกางเกงแนบเนื้อเซ็กซี่ ผมมาลัยยังเปียกๆ อยู่ ยิ่งทำให้ดูเย้ายวนสายตา
“พี่ก้องเบื่อแย่เลย”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก”
มาลัยเดินมาหยุดตรงหน้าก้องภพ เขาขยับลุกขึ้น
“มาลัยเรียบร้อยแล้ว พี่คงต้องขอตัว”
ก้องภพทำท่าจะเดินไป แต่มาลัยคว้าแขนก้องภพไว้
“เดี๋ยวค่ะพี่”
ก้องภพชะงัก มาลัยยังคงจับแขนเขาไว้ไม่ปล่อย
“มาลัยต้องสารภาพ ตั้งแต่เกิดมามาลัยไม่เคยอยู่บ้านคนเดียวเลย มาลัย...เอ่อ...กลัวผีค่ะ พี่ก้องอยู่ค้างเป็นเพื่อนมาลัยได้ไหมคะ”
ก้องภพอึ้งไปครู่หนึ่ง “ค้างที่นี่เหรอ”
มาลัยพยักหน้า
“พี่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”
“ใช้เสื้อผ้าของพ่อก่อนก็ได้ค่ะ”
“งั้นก็โอเค”
“มาลัยจะไปเอาเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูมาให้นะคะ พี่ก้องจะได้อาบน้ำ”
มาลัยเดินกลับออกไปทางหลังบ้านอีกครั้ง ทันทีที่หันหลังให้ มาลัยก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ฝ่ายก้องภพยังทำอะไรไม่ถูกอยู่ ได้แต่กลืนน้ำลายฝืดคอ
ประตูห้องนอนมาลัยเปิดเข้าไป มาลัยเดินนำเข้ามาในห้องก่อน
“เข้ามาค่ะ”
มาลัยขยับตัวออก ให้ก้องภพซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงแพรของเทศเข้ามาในห้อง ก้องภพนั้นยังมีท่าทีประหม่าไม่หาย
“พี่ว่าพี่นอนข้างล่างไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่ามาลัยกลัวผี ทุกวันมาลัยนอนกับมาลี ไม่เคยนอนคนเดียว”
“แต่ว่า คนอื่นรู้มันจะไม่ดี” ก้องภพกังวลไม่หาย
“เราอยู่กันแค่สองคน คนอื่นจะมารู้อะไรล่ะคะ หรือว่า...พี่รังเกียจ”
ก้องภพตกใจรีบบอก “โอ๊ย ไม่จ้ะ ตกลงพี่จะนอนเป็นเพื่อนมาลัยในห้องนี้” เขามองไปรอบๆ “มีเสื่อไหม ปูที่พื้นนี่ก็ได้”
เวลาผ่านไปอีกหน่อย มาลัยปูที่นอนที่พื้นห้องให้ก้องภพเสร็จเรียบร้อย
“เรียบร้อย นอนได้แล้ว”
ก้องภพยิ้มให้ แล้วลงไปนั่งบนที่นอน มาลัยเดินไปปิดไฟภายในห้องมืดสลัวลง เจ้าของห้องเดินไปนั่งลงที่เตียงแล้วเอนตัวลงนอน ก้องภพก็นอนลงด้วย
ทั้งสองอยู่เงียบๆ ในความมืดไปครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้น ก็มีเสียงตุ๊กแกร้องดังเข้ามา
“ตุ๊กแก!”
มาลัยลุกนั่งทันที “โอ๊ย อะไรน่ะ”
ก้องภพลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรหรอก แค่ตุ๊กแกน่ะ”
เสียงตุ๊กแกร้องอีกครั้ง
มาลัยผวากลัว “มาลัยกลัว”
ก้องภพนั่งลงที่เตียงใกล้ๆ มาลัย
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่นี่แล้ว”
“มาลัยกลัวจัง พี่ก้อง พี่ขึ้นมานอนบนเตียงเหอะ”
ก้องภพลังเลชั่วขณะหนึ่ง “เอ่อ...ก็ได้”
มาลัยมองก้องภพแล้วเอนตัวลงนอน ก้องภพจึงนอนลงด้วย สองคนนอนเงียบๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง
มาลัยเอ่ยทำลายความเงียบนั้น “พี่ก้อง”
ก้องภพขานรับเสียงสั่นๆ “คะ..ครับ”
“พี่รักมาลัยจริงๆ นะ”
“พี่รักมาลัยมากที่สุด”
“พี่ก้อง”
“ครับ”
“ขอมาลัยกอดพี่หน่อยนะ”
“ได้ซี” ก้องภพเสียงสั่นใจเต้นโครมคราม
มาลัยสอดแขนเข้าไปกอดก้องภพอย่างอ่อนโยน ก้องภพพรมจูบเรือนผมของมาลัย เลื่อนไล้ลงไปจูบที่ริมฝีปากมาลัยอย่างดูดดื่ม ร่างสองร่างเบียดเสียดกันแทบเป็นเนื้อเดียวกัน
หลายวันผ่านไป ดาวรายกับปกป้องนั่งกินข้าวกันอยู่ที่ร้านขายของชำบ้านดาวราย
“เป็นไงคะ ต้มยำกุ้ง”
“น้องดาวทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ” ปกป้องซดน้ำต้มยำอย่างเอร็ดแอร่ม
ดาวรายยิ้มชื่น “พรุ่งนี้อยากกินอะไรล่ะคะ จะได้เตรียมไปตลาด”
“รู้ไหม พี่กลับมากินกลางวันที่บ้านทุกวัน จนที่โรงงานเริ่มแซวแล้ว”
ดาวรายทำเป็นหยิกแขนปกป้องแก้เขิน ปกป้องหัวเราะ
รถกระบะของหมวยแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เจ๊หมวยลงมาจากรถด้วยอาการหงุดหงิดสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“โอ๊ย อั๊วเบื่อจริงๆ”
ปกป้องไหว้ทัก “สวัสดีครับหม่าม้า”
“ไม่ต้องมาสวัสดีหรอก” หมวย
ดาวรายงง “ม้า พูดกับพี่เขาดีๆ ซี”
“ไม่พูดดีแล้ว ดูนี่” หมวยโยนการ์ดแต่งงานใบหนึ่งลงบนโต๊ะ
ดาวรายหยิบการ์ดขึ้นมา “ใครแต่งอีกล่ะ”
“ก็มาลัยน่ะซี”
ทั้งดาวรายและปกป้องอึ้งๆ กันไป
“ทำไมลูกสาวมันถึงขายดีนักวะ เดือนเดียวแต่งสองคนแล้ว นี่ถ้าคนเล็กเรียนจบม.ปลาย ก็สงสัยจะแต่งอีกคน ไม่เหมือนบ้านอั๊ว”
ดาวรายปรามแม่เบาๆ “ม้า”
“เออ ไม่พูดก็ได้ เพราะพูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม”
ปกป้องถามขึ้น “มาลัยแต่งเมื่อไหร่”
ดาวรายส่งการ์ดให้ดู “อาทิตย์หน้า”
ปกป้องบอกดาวรายเสียงหนักแน่น “งั้นวันมะรืนนี้เราแต่งกันเลย เตรียมงานทันไหมล่ะ” เขาหันมาทางหมวย “ว่าไงม้า”
หมวยยิ้มออก “อย่างนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย”
ดาวรายยิ้มแก้มแทบแตก ลุกเดินมากอดแขนปกป้อง ซบหน้าลงอิงกับท่อนแขนของปกป้อง
งานแต่งระหว่างดาวรายกับปกป้องจัดขึ้นตามประเพณีจีน ที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมในตัวเมืองสมุทรปราการ จัดเป็นโซฟายาวไว้หน้าห้องหนึ่งตัว และมีเก้าอี้เรียงเป็นแถวสำหรับแขกนั่ง ด้านข้างห้อง มีโต๊ะจัดเตรียมกาน้ำชาและถ้วยชา และถาดใส่เครื่องรับไหว้วางเอาไว้ ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวไหว้พ่อแม่และแขกผู้ใหญ่
ในห้อง มีแขกผู้ใหญ่ราวสิบกว่าคน รวมทั้งหมวย ลาน บานชื่น และเช้า ทุกคนอยู่ในชุดสากล พิธีกรเริ่มงานตามฤกษ์ดี
“ต่อไปจะเป็นพิธียกน้ำชานะครับ ขอเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาว”
มีคนเดินไปเปิดประตูห้องให้ ปกป้องกับดาวรายพากันเดินเข้ามาด้านใน สองคนอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวสไตล์จีนสากลดูหล่อสวยสมกันมากๆ
ทั้งคู่เดินเข้ามานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าโซฟายาวทำพิธียกน้ำชา มีช่างภาพคอยเก็บภาพงานแต่งทุกระยะ
“เชิญพ่อแม่เจ้าบ่าวรับน้ำชาครับ” พิธีกรบอก
บานชื่นกับเช้าลุกมานั่งที่โซฟา
เจ้าหน้าที่ยกถาดน้ำชามาให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวถือแก้วชาไว้
“ยกน้ำชาให้พ่อแม่เจ้าบ่าว”
ปกป้องและดาวรายยกน้ำชาให้บานชื่นกับเช้า สองคนจิบชาแล้วส่งคืนในถาดที่เจ้าหน้าที่รอรับ เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเอาถาดใส่ซองรับไหว้มาให้บานชื่นและเช้า ทั้งสองส่งซองนั้นให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วลุกขึ้นเดินออกมา เจ้าบ่าวเจ้าสาวส่งซองให้เจ้าหน้าที่เอาไปรวมไว้
“เชิญพ่อแม่เจ้าสาวรับน้ำชา”
หมวยกับลานเข้าไปนั่งที่โซฟายาว หมวยนั้นยิ้มแย้มตลอดเวลา
ปกป้องกับดาวรายยกน้ำชาให้หมวยกับลานเหมือนที่ยกให้พ่อแม่เจ้าบ่าว
พิธีดำเนินรายการไปอย่างเรียบร้อย แขกผู้ใหญ่ทยอยมารับน้ำชา
ดาวรายกับปกป้องหันมามองหน้ากัน และยิ้มให้กันเป็นระยะ
อาทิตย์ถัดมา ที่หน้าห้องจัดเลี้ยงโรงแรมเดิมที่จัดงานมาลากับพันลือ มีซุ้มดอกกุหลาบหน้างานเขียนตัวหนังสือกำกับว่า “มาลัย ก้องภพ”
มาลัยกับก้องภพในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่กลางซุ้ม มาลัยถือดอกไม้ช่อหนึ่งไว้ในมือด้วย ข้างๆ มาลัย เป็นอ่ำกับอิ่ม พ่อแม่ก้องภพยืนอยู่ ฝั่งก้องภพมีเช้ากับบานชื่นยืนอยู่บานชื่นนั้นออกอาการอึดอัดชัดแจ้ง ไม่ค่อยจะเห็นด้วยนักกับการแต่งครั้งนี้
ทุกคนมารวมตัวเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เสียงช่างภาพซึ่งตาแนบอยู่กับเลนส์ นิ้วแตะชัตเตอร์ร้องบอก
“พร้อมนะครับ เจ้าบ่าวเจ้าสาวชิดกันอีกหน่อยครับ”
ก้องภพขยับเข้ามาชิดมาลัยอีก สองคนยิ้มชื่นให้กัน ขณะที่บานชื่นและเช้า หน้าเครียดจัดอิหลักอิเหลื่อทั้งคู่ ช่างภาพเห็นจึงบอกกับบานชื่นและเช้าเป็นการเฉพาะ
“ครูครับ ลุงด้วย ยิ้มหน่อยครับ”
บานชื่นกับเช้าพยายามยิ้ม แต่ดูคล้ายแยกเขี้ยวมากกว่า
“นึง ส่อง ส้าม”
แสงแฟลชสว่างวาบ
“อีกครั้งครับ นึง ส่อง ส้าม”
แฟลชสว่างอีกพรึ่บ
“ขอบคุณครับ เชิญพ่อแม่เจ้าสาวครับ พี่น้องด้วย ฝ่ายเจ้าบ่าวอย่าเพิ่งไปไหนนะครับ”
อ่ำกับอิ่มเดินห่างออกมา บัวผันกับเทศเดินผ่านบานชื่นกับเช้าเข้าไป บัวผันกับเทศทำหน้าเหมือนยิ้มเยาะ มาลาเดินผ่านบานชื่นกับเช้าก็ยกมือไหว้ แต่สองคนไม่รับไหว้ มาลีกำลังจะยกมือไหว้ เลยไม่ไหว้ บัวผันกับเทศมายืนด้านมาลัย มาลากับมาลีอยู่ฝั่งก้องภพ
“ยิ้มนะครับ นึง ส่อง ส้าม”
แฟลชสว่างวาบขึ้น ช่างภาพขอถ่ายอีกครั้ง จนผ่านไปด้วยดี
“เชิญผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวถ่ายร่วมกับฝ่ายเจ้าสาวครับ”
อ่ำกับอิ่มเข้าไปยืนข้างก้องภพ
ช่างภาพหันไปมองบานชื่น พยักหน้าเชิญให้เข้าไป
“ฉันพอแล้ว เบื่อ” บานชื่นบอก
“ฉันด้วย”
บานชื่นกับเช้าก็เดินออกไปจากบริเวณนั้น
มาลัยไม่สน “ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายได้เลย”
ช่างภาพเริ่มถ่ายภาพสองครอบครัว ทุกคนยิ้มมีความสุข
ภาพนิ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวถ่ายคู่กันทยอยเข้ามาอีกสองสามภาพ
แล้วก้องภพก็แยกไป มาลัยหันหลัง แล้วโยนช่อดอกไม้มาด้านหลัง สาวๆเข้ามาแย่งกันรับ เพื่อนมาลัยคนหนึ่งได้ไป มาลัยหันมายิ้มดูมีความสุข ก้องภพกลับมายืนข้างๆมาลัย ดูมีความสุขเหมือนกัน
มาลัยเหลียวมองไปทางบานชื่นกับเช้าที่ยืนหน้าหงิกอยู่ แล้วยิ้มร้ายออกมา สะใจสมใจที่ได้แก้แค้นปกป้อง แต่พอก้องภพมายืนข้างๆ ยิ้มให้
มาลัยก็ยิ้มชื่นเหมือนมีความสุขกลบเกลื่อนไป
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 4 (ต่อ)
บ้านของก้องภพกับมาลัย เป็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่พอควร ทั้งคู่ครองรักกันอยู่ที่บ้านหลังนี้ 7 เดือนมาแล้ว
เย็นนี้ก้องภพกลับจากทำงานขับรถเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน เปิดประตูก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าเอกสาร
ประตูบ้านเปิดออก เห็นมาลัยเดินท้องโย้ออกจากบ้านมารับผัว อายุครรภ์น่าจะเก้าเดือนแล้วเพราะท้องก่อนแต่ง!
ก้องภพเดินมาหาหอมแก้มเมียฟอด แล้วย่อตัวลงจูบที่ท้องมาลัย ยิ้มร่าพูดกับลูกในท้องที่คิดว่าเป็นผลงานของตน
“ว่าไงลูกพ่อ พ่อกลับบ้านแล้วนะ”
มาลัยยิ้มขำๆ จังหวะที่ก้องภพลุกขึ้นนั้น ใบหน้ายิ้มแย้มของมาลัยก็เปลี่ยนไป มีอาการเหมือนคนเจ็บแปล่บจุกเสียดเป็นห้วงๆ ก้องภพเห็น
“มาลัย เป็นอะไร”
“มาลัยคิดว่า...” มาลัยพยักหน้าเป็นเชิงบอก
ก้องภพตกใจแปลกใจระคนกัน “จริงเหรอ ทำไมเร็วจัง”
“ไปโรงพยาบาลเถอะพี่”
“ต้องเอาอะไรไปบ้าง พี่ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย”
“แค่กระเป๋าถือมาลัย อยู่บนโต๊ะ บัตรโรงพยาบาลอยู่ในนั้น”
ก้องภพตื่นเต้นจะวิ่งไปแล้วนึกอะไรได้ หันมาพูดกับลูกในท้องมาลัยว่า “อย่าเพิ่งออกมานะลูก รอพ่อแป๊บ”
ก้องภพวิ่งตื้อเข้าบ้านไป ส่วนมาลัยใช้มือจับกรอบประตูไว้ พยายามทนเจ็บ
มาลัยอยู่บนเตียงในห้องคลอดแล้ว กำลังออกแรงเบ่งตามคำแนะนำของหมอและพยาบาลที่คอยช่วยอยู่
“เบ่งเลยค่ะ เบ่ง”
มาลัยเบ่งสุดแรง หมอช่วยประคองหัวเด็กอยู่
“เบ่งอีกค่ะ หัวออกมาแล้ว”
มาลัยเบ่งเต็มแรง จนเด็กคลอดออกมา
“ออกมาแล้วค่ะ”
มาลัยเจ็บปวดไปทั้งกาย เหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ เสียงเด็กร้องจ้าดังเข้ามา
“ได้ลูกสาวนะคะ”
มาลัยหลับตาลง ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้า
มาลัยหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้น สักครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ก้องภพเดินเข้ามายืนข้างเตียง
“ตื่นแล้วเหรอ”
ก้องภพจับมือมาลัยกุมไว้
“พี่ก้อง” มาลัยบีบมือก้องภพถาม “ลูกเป็นไงบ้าง”
“ลูกเราสมบูรณ์ดีมากเลยจ้ะ หนักสองโลครึ่ง จริงๆ คลอดก่อนกำหนด ไม่น่าจะสมบูรณ์ขนาดนี้”
คำพูดนั้นแทงใจนัก มาลัยอึ้งไป “ก็กินยาบำรุงตลอด”
“ก็ดีแล้วละ พี่ก็กังวลว่าเพิ่ง 7 เดือนเอง กลัวลูกจะไม่แข็งแรง พยาบาลบอกว่าให้มาลัยพักอีกวันนึง พรุ่งนี้ถึงจะพาลูกมาให้ แต่พี่ไปแอบดูแกมาแล้วล่ะ แกสวยมากเลย สวยเหมือนแม่”
มาลัยยิ้มเนือยๆ แต่ยังไม่ได้พูดอะไร
“นี่ แล้วรู้อะไรไหม จมูกลูกเหมือนพี่ด้วย ได้ทั้งพ่อทั้งแม่เลย”
มาลัยอึ้งไปอีก ยิ้มรับบางๆ
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดเข้ามาโดยมาลาซึ่งเวลานี้ท้องได้เจ็ดเดือน เดินเข้ามาพร้อมกับมาลี
“สวัสดีค่ะพี่ก้อง”
มาลากับมาลีไหว้ทักทาย ก้องภพรับไหว้
“เชิญตามสบายนะ เพิ่งตื่นพอดี”
ก้องภพปลีกตัวออกจากห้องไป ให้สามสาวคุยกัน
มาลากับมาลีเดินมาที่ข้างเตียงมาลัย ยืนอยู่คนละฝั่ง มาลายิ้มเย้า
“ดูซิ แต่งหลังพี่แท้ๆ ดันคลอดก่อนพี่”
มาลัยอึ้งอีกรอบ “เขาคงอยากเป็นหลานคนโต”
“หลานหน้ากลมเลยค่ะ น่าฟัดจริงๆ” มาลียิ้มระรื่น
“พี่ยังไม่ได้เห็นเขาเลย พรุ่งนี้แน่ะ ถึงจะเจอกัน” มาลัยหันมาทางมาลา “แล้วพี่ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
มาลาจับท้องตัวเองลูบเบาๆ “ตอนที่มาลัยคลอด เขาดิ้นแรงเลย เหมือนจะรู้ว่าน้องมาเกิดแล้ว พี่ยังคิดอยากให้เขาคลอดออกมาพร้อมๆ กันเลย จะได้หมดห่วง”
“คลอดปกติน่ะดีแล้ว รออีกสองเดือนเอง” มาลัยว่า
มาลีนึกบางอย่างได้ “รู้สึกอาจจะคลอดใกล้ๆ กับลูกพี่ป้องด้วยนะ”
“ลูกดาวรายน่ะเหรอ”
“เห็นบอกตอนนี้ท้องได้เจ็ดเดือนเหมือนกัน” มาลีบอก
“ก็แต่งใกล้ๆ กัน ท้องใกล้ๆ กัน มันก็ไม่ผิดปกติอะไร” มาลัยว่า
“คงขำดีนะ ถ้าโตขึ้นแล้วพวกเขาเป็นเพื่อนกัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่เป็นศัตรูกัน”
คำพูดซื่อๆ ของมาลี ทำเอาทั้งมาลัยและมาลาต่างก็นิ่งไป
“ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกันหรอก”
“แต่เราก็ต้องไม่ให้อภัยคนเลวง่ายๆ”
มาลามองมาลัย คิดเพียงว่าน้องยังคงเกลียดปกป้องแทนเธอ
เช้าวันหนึ่ง ในอีก 2 เดือนต่อมา พันลือเดินเข้ามาในโถงโรงพยาบาลด้วยท่าทางตื่นเต้น ตรงไปถามทางเจ้าหน้าที่ตรงเค้าน์เตอร์ เจ้าหน้าที่ชี้บอกทาง พันลือเดินเร็วรี่ไปตามทางนั้น
พันลือเดินมาจนถึงห้องคลอด แล้วเดินผ่านห้องคลอดไป จะเป็นห้องเด็กอ่อน ที่พยาบาลจะเอาเด็กแรกคลอดที่ล้างตัวแล้วมาพักไว้ พอเดินเข้ามา ก็ต้องชะงัก
เมื่อมองไปที่เก้าอี้นั่งรอข้างห้องเด็กอ่อน เห็นปกป้องนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ปกป้องรับรู้เงยหน้าขึ้นมา มอง พอเห็นพันลือก็ชะงักเหมือนกัน
พันลือไม่ทักปกป้อง หันมองไปที่กระจกห้องพักเด็ก แล้วเดินไปดูเด็ก
ในห้องพักเด็ก มีเด็กทารกอยู่ 2-3 คน
ปกป้องเอ่ยขึ้นเหมือนชวนคุย “เดี๋ยวพยาบาลเข้ามาก็ลองถามดู บอกชื่อแม่”
พันลือเหลือบมองปกป้องแว่บเดียว ไม่พูดด้วย
สักครู่หนึ่ง พยาบาลเข้ามาในห้องเด็กอ่อน พร้อมกับอุ้มเด็กมาด้วย
พันลือเดินไปที่อินเตอร์คอมกดปุ่มบอกชื่อแม่เด็กไป
“นางมาลาครับ”
พยาบาลดูป้ายที่ข้อเท้าเด็ก แล้วเดินมาพูดที่อินเตอร์คอม “นางดาวรายค่ะ”
พันลือชะงัก ปกป้องรีบลุกเดินมาที่กระจกยิ้มมองดูลูก แล้วยกมือให้ พยาบาลวางทารกน้อยไว้ที่เตียงติดกับกระจก แล้วพูดที่อินเตอร์คอม
“ลูกชายค่ะ”
ปกป้องเคาะกระจกทักลูกชายเบาๆ “ไงลูก นี่พ่อเองนะ ได้ยินป่าว”
พันลือเหลือบมองปกป้อง อดที่จะยินดีด้วยไม่ได้ ด้วยความเป็นพ่อมือใหม่เหมือนกัน
“น่ารักดี”
ปกป้องหันมาท้วงทันที “เฮ้ ต้องบอกน่าเกลียดน่าชังซี เดี๋ยวผีจะมาเอาไป”
“อืม น่าเกลียดดี” พันลือแก้ให้
พยาบาลอีกคนเข้ามาในห้องเด็กอ่อน พร้อมกับอุ้มเด็กเข้ามาด้วย
พันลือบอก “นางมาลาครับ”
พยาบาล 2 พยักหน้ารับ แล้วเอาเด็กมาวางที่เตียงติดกับกระจกอีกเตียง แล้วมาพูดอินเตอร์คอม
“ผู้ชายค่ะ”
“อ้วนบึ้ก ตัวแดงน่าเกลียดมาก”
ปกป้องหันมามองพันลือ
“ผีจะได้ไม่มาเอา”
ปกป้องยิ้มให้ แล้วหันไปเคาะกระจกคุยกับลูกสาว ส่วนพันลือก็คุยกับลูกชายของตัวเองไป
เวลาผ่านไปอีกสามเดือน
เย็นวันหนึ่งมาลาอุ้มลูกชายวัยสามเดือนซึ่งกำลังร้องไห้โยเย พยายามโอ๋ให้เงียบ สักพักจึงเห็นพันลือเข้ามาในบ้าน ท่าทางหงุดหงิด เหมือนรำคาญเสียงร้องลูก
“ร้องนานหรือยังเนี่ย”
“เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว”
พันลือบ่น “ปล่อยให้ลูกร้องนานๆ ได้ไง”
“คงท้องอืดน่ะ เพิ่งลองให้กินนมชงก็แบบนี้แหละ”
“งั้นก็ให้นมแม่ไปซี จะเปลี่ยนทำไม”
“สามเดือนกว่าแล้ว กินแต่นมแม่ไปข้างนอกมันไม่สะดวก”
“แล้วมาลาจะออกไปไหน พี่ให้เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านอย่างเดียว ชอบแอบออกไปข้างนอกเรื่อย”
“ไม่ได้แอบหรอก ฉันก็ต้องไปเยี่ยมน้อง เยี่ยมพ่อแม่บ้าง พี่เป็นอะไรกลับมาก็มาอารมณ์เสียใส่ฉัน”
เด็กเงียบลง เหมือนอารมณ์พันลือก็สงบลงไปได้บ้าง
“ถามตรงๆ ออกไปเจอไอ้ป้องบ้างหรือเปล่า”
มาลาอึ้ง “ไม่เคยเจอ”
“แล้วทำไมดาวรายถึงได้พูดไปทั่วตลาด”
“พูดว่าอะไร”
“บอกว่ามาลาไปยุ่งกับผัวมัน”
มาลาโมโห “จะบ้าเหรอ ตั้งแต่มาอยู่กับพี่ ฉันก็ไม่เคยเจอเขา”
“งั้นก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
พันลือจะเดินออกไป มาลาทัดทาน
“จะไปไหน ไม่ต้องไปหรอก”
“ไม่ได้ พี่จะไปถามดาวมันว่าต้องการอะไรแน่ ถึงมาพูดให้มาลาเสียหาย พี่เบื่อ เดินไปที่ไหนคนก็มอง แล้วก็ซุบซิบกัน”
พันลือเดินหุนหันออกจากบ้านไป มาลามองตามด้วยความเป็นห่วง
รถกระบะของพันลือแล่นมาตามทางลัดระหว่างสวนผลไม้บ้านบางน้ำผึ้ง อันเป็นทางลัดทะลุไปออกตลาดได้ พันลือมีท่าทีหงุดหงิดไม่หาย ขณะมองไปข้างหน้า เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง และมีใครบางคนกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างรถ พอรถแล่นเข้าไปใกล้ จึงเห็นว่าใครคนนั้นคือดาวราย
พันลือจอดรถเลยมอเตอร์ไซค์ของดาวรายมาหน่อย แล้วลงรถเดินเข้าไปหา
“รถเป็นอะไร”
ดาวรายเห็นเป็นพันลือ ก็ลุกขึ้นยืน “ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็ดับ”
พันลือแดกดัน “สงสัยเป็นเพราะกรรม”
ดาวรายฉุนกึก “พูดเรื่องอะไร”
“ก็เป็นกรรมที่เธอปากเสียไปเที่ยวพูดใส่ร้ายคนอื่นไง”
ดาวรายอึ้งไป รู้ทันทีว่าพันลือพูดเรื่องอะไร “ฉันไม่ได้ว่าอะไรพี่ซักหน่อย”
“แต่ว่าเมียฉัน มันก็เหมือนว่าฉัน”
ดาวรายหมั่นไส้ “รักมากเลยซีนะ ของเหลือเดนเนี่ย”
พันลือยัวะ “นี่ อย่าปากเสีย”
ดาวรายไม่เลิก “มันมีค่าอะไรนัก ก็แค่น้ำใต้ศอกพี่ป้อง”
“แล้วเธอล่ะ ผัวไม่นอนด้วยหรือไง ถึงได้เที่ยวใส่ร้ายคนอื่นน่ะ ยาหมดอีกแล้วซี ทำไมไม่มีปัญญาใช้อย่างอื่นมัดใจผัววะ”
“ฉันเอาเขาไม่อยู่ เพราะเมียพี่คอยแต่จะหาโอกาสมายั่วเขาน่ะซี เขาไม่ยอมลืมมันซักที”
“เธอเพ้อไปเองแล้ว มาลาน่ะเขาไม่ได้เจอไอ้ป้องเลย ตั้งแต่แต่งงาน”
ดาวรายเหยียดยิ้ม “พี่ก็เชื่อมัน”
“เชื่อซี มาลาเขาเป็นคนดี ฉันเตือนไว้เลยนะ เลิกพูดให้ร้ายเมียฉันได้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่ๆ”
“ฉันไม่เลิก ฉันจะโพนทะนาไปเรื่อยว่าเมียพี่จะแย่งผัวฉัน จนกว่าพี่จะพามันหนีไปอยู่ที่อื่น”
พันลือยัวะ “ไม่ยอมเลิกจริงๆ ใช่ไหม”
ดาวรายลอยหน้าพูดใส่ “ใช่ ฉันไม่เลิก”
“คงอดอยากจริงๆ ใช่ไหม ได้เลย ฉันจะแก้อยากให้เอง”
พันลือเข้าไปคว้าแขนดาวรายอย่างรุนแรง
“จะทำอะไร”
พันลือมองไปทางหนึ่ง เห็นกระท่อมเก็บผลไม้และเครื่องมือทำสวนอยู่ไม่ไกลนัก ลากตัวดาวรายไปทางนั้น ดาวรายพยายามดีดดิ้น ขัดขืนสุดกำลัง ร้องโวยวายเสียงดังลั่น
“ปล่อยนะ จะทำอะไรฉัน ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
พันลือหันมา แล้วตบหน้าดาวรายไปฉาดใหญ่ ดาวรายหมดสติไปเลย
พันลืออุ้มร่างไร้สติของมาลาขึ้นพาดบ่า พาเดินไปที่กระท่อม เปิดประตูเข้าไป วางมาลาลงบนแคร่มุมกระท่อม แล้วกลับออกมาปิดประตูลง
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในกระท่อมนั้น นอกจากสองชายหญิง ซึ่งต่างมีครอบครัว มีลูกเต้ากันแล้วทั้งคู่
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 4 (ต่อ)
เทศกับบัวผันแบ่งที่ดินให้ลูกสาวกับลูกเขย มาลาและพันลือ ขายที่ดินทั้งของมาลาและของพันลือ จากนั้นย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่บางพลี พันลือตั้งบริษัท เปิดโรงงานบรรจุภัณฑ์ บริษัทเจริญเติบโตมาจนถึงปี พ.ศ. 2559 นี้
โดยบ้านหลังใหม่ของมาลากับพันลือ เป็นบ้านหลังใหญ่ และดูโอ่อ่าสมฐานะ ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองอำเภอบางพลี
แต่ไม่ว่าจะย้ายมาอยู่บ้านหลังใหญ่เพียงไหน อดีตสาวชาวสวน มาลา ก็ยังคงจับเสียมจับจอบลงมือทำสวนครัวอยู่เสมอ แม้วันนี้มาลาจะอายุล่วงเข้าห้าสิบปีแล้ว
สักครู่หนึ่ง พันลือในวัยเดียวกัน ยังคงแต่งตัวสบายๆ เหมือนสมัยหนุ่ม แต่ห้อยสร้อยทองเส้นใหญ่ พร้อมกับพระเครื่องหลายองค์ พันลือเดินออกมาจากข้างบ้าน หยุดมองเมื่อเห็นมาลากำลังทำแปลงผักสวนครัวไว้กินอยู่อย่างขมักเขม้น
“อีกแล้วแม่ ทำไมพูดไม่เชื่อกันซักที” พันลือเดินเข้ามาหา “ต้องมาทำเองให้เหนื่อยทำไม”
“เหนื่อยที่ไหน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้า แล้วยังได้ออกกำลังกายอีก”
“แล้วจะจ้างคนสวนไว้ทำไม แม่มาทำงานเลอะๆ เทอะๆ แบบนี้เอง รู้ไหมพวกมันแอบหัวเราะ ไม่ต้องเหนื่อยมัน”
“ก็มีงานอื่นให้เขาทำอีกตั้งเยอะแยะ บ้านเนื้อที่เป็นไร่ ยังโรงงานอีก เถอะน่า ให้มาลาได้ภูมิใจผลงานของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เหรอ”
“พี่ไม่ได้โบกปูนบ้านนี้เอง พี่ยังภูมิใจได้เลย”
มาลาขำ “โอ๊ะ เบื่อคุยกับคนเจ้าปัญหาแล้ว”
พร้อมกับว่ามาลาลุกขึ้น พันลือประคอง รักมาก
“ก็แค่ห่วงว่าแม่จะป่วยไปเท่านั้นแหละ”
มาลาค้อนก่อนผละเดินไปทางข้างบ้าน พันลือเดินตามไป
มาลาเก็บเครื่องมือเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในบ้าน จากทางประตูหลัง พันลือตามมา มาลาเดินไปล้างมือที่ซิงค์ในครัว
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดของชยพล ลูกชายคนโตของทั้งคู่ดังเข้ามา
“แล้วมันเสียตั้งแต่กี่โมง”
มาลากับพันลือหันไปมองตามเสียง
เห็นชยพลเดินพูดโทรศัพท์ลงบันไดมาในโถงบ้าน ชายหนุ่มรูปงามสวมกางเกงเข้ารูปทรงเนี้ยบ เสื้อเชิ้ตแขนยาวผูกไทด์ มืออีกข้างหิ้วกระเป๋าเอกสาร
“ตีสอง ทำไมไม่ตามวิศวกรมาดูล่ะ...เพิ่งติดต่อได้เมื่อกี้ แล้วจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่...ไม่รู้ได้ยังไง คุณลองคำนวณดูซี สินค้าส่งไม่ทันวันนี้ เราจะเสียหายเท่าไหร่...ผมกำลังจะออกจากบ้านเดี๋ยวนี้แหละ บอกวิศวกรรีบแก้ปัญหาด้วยล่ะ”
รอจนชยพลกดวางสาย พันลือจึงถามลูกชายขึ้น
“เครื่องจักรเสียเหรอ”
“ครับ เนี่ยหยุดงานไปสี่ห้าชั่วโมงแล้ว วันนี้ส่งของไม่ได้แน่”
“เครียดไป ก็ไม่ทำให้เครื่องทำงานปกติหรอก” มาลาว่า
“ผมเครียดให้พ่อกับแม่นะครับ โรงงานนี้มันของพ่อ ถ้าเสียหายก็เงินของพ่อ”
“นั่นยิ่งไม่ต้องเครียด พ่อเขารวยพอแล้ว” มาลาเย้า
พันลือหัวเราะ “มีด้วยเหรอ ใครที่รวยพอแล้ว”
“แล้วจะกินอะไรก่อนไหม แม่จะจัดให้”
“ไม่ทันแล้วครับ เดี๋ยวสั่งพิซซ่ากินเอา”
พร้อมกับว่าชยพลจะเดินออกไป มาลาเรียกไว้
“เดี๋ยวลูก แล้วพูดกับลูกน้องดีๆ นะ อย่าไปใช้อารมณ์กับเขา”
“ครับ โคนันทวิศาล แม่บอกหลายครั้งแล้ว ไปนะครับ”
ชยพลเดินออกจากบ้านไป
มาลาบ่นเอากับสามี “คิดถูกหรือเปล่า ลูกเพิ่งเรียนจบกลับมาก็ให้มาเป็นผู้จัดการโรงงานเนี่ย”
“อ้าว งั้นจะส่งไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาทำไม หมดไปเท่าไหร่แล้ว ต้องใช้ให้คุ้มซี”
พันลือหัวเราะ มาลาค้อนให้สามีวงหนึ่ง
“พูดเล่นน่า เขาอาสาจะทำให้พี่เอง พี่ก็อยากให้เขาทำตัวให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าลอยไปลอยมา ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเจ้ากรพี่ชาย”
“กรเขาก็มีงานทำ” มาลาแก้ให้ลูกคนเล็ก
“ไอ้ที่ตระเวนไปถ่ายรูปทั่วประเทศ แต่ผลงานแทบไม่เคยเห็นนั่นน่ะนะ” พันลือส่ายหน้าเอือมๆ “แล้วนี่ดูซี สายป่านนี้แล้วยังไม่ตื่น”
มาลาเหลียวมองขึ้นไปยังชั้นบน รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน
ไม่นานนัก มาลาพาตัวเองมาหยุดที่ประตูห้องนอนชลกร เคาะเรียกลูกชาย
“ลูกชล ลูกชล ตื่นหรือยังลูก สายแล้วนะ ไปทำงานหรือเปล่า”
ชลกรนั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะทำงานในห้องนอน โน้ตบุ้คเปิดค้างอยู่ตรงหน้า เสียงมาลาเรียกดังเข้ามา
“ลูกชล ว่าไงลูก ตื่นหรือยัง”
ชลกรรู้สึกตัวตื่นขึ้น แล้วลุกขึ้นนั่ง ยังงัวเงียอยู่ จะเห็นชลกรอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ชลกรลุกขึ้น เดินไปที่ประตู เปิดประตูออก มาลายืนอยู่หน้าห้อง
มาลาเห็นสภาพของชลกรแล้วตกใจ “อะไรเนี่ย ลูกยังไม่ได้นอนเลยเหรอ”
“จริงๆ ก็นอนไปหน่อยแล้วล่ะครับ” เขาหันไปมองที่โต๊ะทำงาน “ที่นั่น”
“แบบนี้ไม่ได้นะลูก เดี๋ยวลูกจะป่วยเอา”
“วันนี้ผมต้องเอารูปบทความใหม่ไปพรีเซ้นต์กับบก.น่ะครับ ยังไม่ค่อยเรียบร้อยดีเลย นี่กี่โมงแล้วครับเนี่ย”
“เก้าโมงเช้า”
ชลกรถอนใจ “บก.นัดผมสิบเอ็ดโมง ทำอะไรไม่ทันแล้ว”
“จะทำอะไรอีก ไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นเถอะ เดี๋ยวแม่จะทำมื้อเช้าให้ อยากกินอะไร”
“ง่ายๆ ก็ได้ครับ ข้าวไข่เจียวละกัน”
มาลาพยักหน้ารับเอาคำ ลูกชายสองคนช่างต่างกันเหลือเกิน แล้วเดินออกไปจากห้อง
ชลกรกลับไปนั่งที่โต๊ะ เสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับโน้ตบุ้คเซฟข้อมูลเอาไปบริษัท
โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ของพันลือ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี ธุรกิจเจริญและเติบโตตามวันเวลาและประสบการณ์ร่วม 20 ปี ที่ผ่านมา ตอนนี้พันลือวางมือให้ ชยพล ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกมาบริหารงานแทนได้ไม่นานในตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน
เครื่องจักรตัวสำคัญภายในโรงงานเสีย ชยพลกำลังยืนเฉ่งวิศวกรอยู่ในนั้น มีช่างประจำเครื่องยืนอยู่ห่างๆ
“ผมสั่งไว้แล้วใช่ไหม ที่โรงงานจะต้องมีวิศวกรคนนึงประจำอยู่ตลอด ทำไมเมื่อคืนไม่มีใครอยู่”
“ผมออกจากที่นี่เกือบเที่ยงคืน ตรวจดูแล้วตอนนั้นทุกอย่างปกติดี”
ชยพลโมโหขึ้นมา “แล้วตอนนี้มันเป็นยังไง เราต้องหยุดผลิตไปหกเจ็ดชั่วโมงแล้ว เสียหายไปกี่ล้านรู้ไหม”
วิศวกรก้มหน้านิ่ง
“แล้วเจอจุดเสียหรือยัง”
“เจอแล้วครับ กำลังสั่งอะไหล่อยู่”
“สั่งอะไหล่ หมายความว่าคุณให้ลูกน้องคุณซ่อมไม่ได้”
“ต้องเปลี่ยนอะไหล่อย่างเดียวครับ”
“แล้วมันพังได้ยังไง ไอ้อะไหล่เนี่ย เพราะคุณไม่ได้ดูแลมันให้ดีพอใช่ไหม”
“มันเสื่อมไปตามอายุน่ะครับ”
“เสื่อมตามอายุ ทำไมพวกช่างมันถึงได้พูดเหมือนกันหมดทุกคนวะ”
วิศวกรเหลือบมองชยพล เริ่มรู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน
ชยพลมองมา เห็นสีหน้าของวิศวกรก็พอจะรับรู้ได้
“เอาเป็นว่าผมขอร้องคุณละกัน ถ้าโรงงานเสียหาย เราทุกคนก็เสียหายไปด้วย ช่วยตามอะไหล่ให้ได้เร็วที่สุด แล้วก็รีบเปลี่ยนมันซะ ให้เครื่องจักรเริ่มทำงานทันที” เขานิ่งไปอีกนิด ใจจริงไม่อยากพูดประโยคขอร้องแบบนี้เลย “ช่วยผมได้ไหม”
วิศวกรใจชื้น รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“ได้ครับ ผมจะทำเต็มที่”
“ขอบคุณมาก”
วิศวกรเดินกลับไปดูเครื่อง ระหว่างนี้เสียงมือถือชยพลดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูที่จอโทรศัพท์เป็นใบหน้าหญิงสาวสวยพร้อมชื่อที่เมมไว้ว่า “Wanda”
ชยพลเดินห่างออกมา ส่ายหัวบ่นงึมงำเบาๆ “โคนันทวิศาล”
ก่อนจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“สวัสดีครับแวนด้า ที่เรานัดกันไว้น่ะเหรอ ไม่ลืมหรอกครับ พอดีที่โรงงานของพ่อมีปัญหานิดหน่อย...ผู้จัดการก็ต้องแก้ปัญหาซีครับ...ได้ครับ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง...แล้วเจอกันครับ จุ๊บๆ”
ชยพลเดินออกมาจากอาคารโรงงาน ตรงไปยังลานจอดรถ พอไปถึงกลับพบว่ามีรถคันหนึ่งจอดปิดท้ายรถเขาอยู่ ชยพลหยุดมองรถคันนั้นอย่างหัวเสีย
“รถใครวะ”
แม้จะพยายามเข็นรถคันนั้นออกไป แต่ปรากฏว่าเข็นไม่ไป ชยพลจึงเดินมาก้มส่องผ่านกระจกรถมองเข้าไปดูในรถแล้วต้องหัวเสียมากขึ้น
“บ้าเอ๊ย ใส่เบรกมือไว้อีก”
ชยพลมองหา รปภ. แล้วกวักมือเรียก
“เฮ้ คุณ”
รปภ.1 วิ่งเข้ามาหา หยุดทำความเคารพ
“รถใครเนี่ย”
รปภ.1 มองรถแล้วบอกว่า “ไม่ทราบครับ”
ชยพลฉุนกึก “ไม่รู้ได้ยังไง ไม่ได้ดูเลยเหรอ ใครจะเข้าจะออก”
“ผมเพิ่งมาเข้าเวรครับ เห็นรถคันนี้จอดอยู่ก่อนแล้ว” รปภ.ว่า
“แล้วมีใครรู้บ้างว่านี่รถใคร ดันมาจอดขวางรถผม แล้วขึ้นเบรกมือไว้อีก”
“เดี๋ยวผมจะไปถามให้ครับ”
รปภ.1 จะเดินไป
ชยพลเรียกไว้ “เดี๋ยว ไม่ต้องหรอก เรามีแม่แรงตะเข้ใช่ไหม”
“มีครับ”
“ไปเอามา แล้วหาเพื่อนมาอีก 2-3 คน”
รปภ.รับคำ แล้ววิ่งตื้อออกไป
เวลาผ่านไป แม่แรงตะเข้ถูกสอดเข้าไปใต้ท้องรถจากทางด้านหลัง รปภ.1โยกแม่แรงขึ้น ท้ายรถคันดังกล่าวถูกยกขึ้นจนล้อหลังลอย ข้างๆ รถ มีรปภ.อีกคน ยืนอยู่กับชยพล
“ช่วยกันเข็นออกไป”
รปภ.อีกคนเข้ามาช่วยเข็นรถให้ รถคันนั้นเคลื่อนออกไป
“เข็นไปไว้ไหนดีครับ”
ชยพลมองรถ แล้วหันมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่ถนนหน้าโรงงาน
ที่ชุดรับแขกในห้องฝ่ายบุคคล ปานดาวกำลังคุยอยู่กับหัวหน้าฝ่ายบุคคล บนโต๊ะมีเอกสารจำนวนหนึ่งวางอยู่ เป็นโบรชัวร์ บ้านเตยหอม โฮมสเตย์ของเธอที่เพิ่งเปิดให้บริการ
“โฮมสเตย์ของเรารับรองผู้บริหารโรงงานของคุณ 20 คนได้สบายเลยค่ะ เรามีทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ หรือจะให้จัดห้องพักรวมสำหรับสี่ห้าคนก็ได้ แล้วก็ยังมีห้องประชุมเล็ก ห้องอาหารรวม แล้วก็มีลานสันทนาการกลางแจ้ง สำหรับผู้เข้าพักทำกิจกรรมร่วมกันด้วย”
“เรื่องอาหาร สองวันแรกคงต้องให้คุณจัดให้ทั้งสามมื้อ พร้อมอาหารว่าง ส่วนวันสุดท้ายจัดเฉพาะมื้อเช้า”
“ได้ค่ะ” ระหว่างฝ่ายบุคคลอธิบายปานดาวจดลงไปในสมุดบันทึกตลอด
“เรื่องห้องพัก คงมีห้องเดี่ยวห้องนึง ห้องคู่ 3 ห้อง แล้วก็ห้องรวม 3 ห้อง เราคงใช้ทั้งห้องประชุม ห้องอาหาร แล้วก็ลานสันทนาการสำหรับงานกลางคืน คุณทำใบเสนอราคามาให้ผม แล้วผมจะได้เอาไปคุยกับเจ้านาย ได้ผลยังไงจะรีบโทร.ไปหา”
“พรุ่งนี้จะทำมาให้ค่ะ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดเข้ามา เป็น รปภ.1 เข้ามาในห้อง
“ขออนุญาตครับ”
ฝ่ายบุคคลหันไปมอง “มีอะไร”
“ในนี้มีใครเป็นเจ้าของรถสีขาวนี้ไหมครับ”
ปานดาวหันมาบอก “ของดิฉันค่ะ”
รปภ.1โล่งใจ “เจอซักที คุณไปจอดรถขวางรถเจ้านาย แล้วใส่เบรกมือไว้ด้วยน่ะครับ ท่านโมโหมากเลย”
“จริงเหรอ” ฝ่ายบุคคลตกใจรีบบอกกับปานดาว “เรื่องใหญ่นะเนี่ย” แล้วหันมาถามรปภ. “แล้วทำยังไง”
“พวกผมย้ายออกให้แล้วครับ แต่ต้องมาตามหาเจ้าของ เพราะว่า ควรจะไปจัดการรถคุณด้วย”
ปานดาวทะแม่งๆ หู ลุกขึ้นสีหน้างุนงง “ยังไงเหรอคะ”
ปานดาวเดินออกมาที่หน้าตึก มีหัวหน้าฝ่ายบุคคลกับ รปภ.1 ตามออกมาด้วย
“ไม่ได้ตั้งใจจะใส่เบรกมือหรอกค่ะ เป็นเพราะรีบ เลยทำไปด้วยความเคยชิน”
ปานดาวเดินมาหยุดมองไปที่ลานจอดรถ ปรากฎว่ารถของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
“รถไปไหนล่ะ”
รปภ.1 ชี้ไปที่ถนนหน้าโรงงาน “อยู่โน่นครับ”
ปานดาวมองตามไป แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นรถยนต์ของเธอจอดอยู่กลางถนน แถมรถราติดขัดไปหมด เพราะต้องคอยขับเลี่ยงหลบรถของตน
“แล้วทำไมเอารถดิฉันไปไว้อย่างนั้น”
“เจ้านายสั่งครับ ก็อย่างที่ผมบอก ท่านโมโหมาก” รปภ.1บอกย้ำ
ปานดาวฉุนนิดๆ หันมาต่อว่าเอากับหัวหน้าฝ่ายบุคคล “เจ้านายคุณเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย”
“จริงๆ เขาเป็นลูกชายเถ้าแก่น่ะครับ เพิ่งมารับช่วงดูแลโรงงาน เขาเป็นแบบนี้แหละ ขี้โมโห ผมว่าคุณรีบเอารถคุณออกจากถนนดีกว่า”
ปานดาวหงุดหงิด “ไม่น่าทำขนาดนี้”
“ยังไงเรื่องนี้ ผมว่าอย่าให้เขารู้ว่าเป็นรถคุณก็ดีนะครับ” ปานดาวหันมามองสีหน้าฉงนฉงาย ฝ่ายบุคคลอธิบายว่า “ไม่งั้นโครงการที่เราคุยกันเมื่อกี้ มีหวังได้ยกเลิกแน่”
ปานดาวอึ้งที่ต้องมาเจอคนเจ้าอารมณ์ และขี้โมโหขนาดนี้ หญิงสาวรีบเดินไปยังรถบนถนนหน้าโรงงาน นึกโมโหและไม่ชอบขี้หน้าลูกชายเถ้าแก่ขึ้นมาครามครัน
อ่านต่อตอนที่ 5