อัพแมนมาปิ๊งรัก - When I see You again ตอนที่ 1
ภายในโรงเรียนประจำหมู่บ้านภูล่าน อันซี เด็กสาวหน้าตาน่ารักสดใส สวมชุดนักเรียนขี่จักรยานมาตามถนนเลียบริมทะเล เพื่อนนักเรียนต่างร้องทักทายกันอย่างสนิทสนมรักใคร่ ไม่ขาดสาย บ่งบอกได้ว่าเธอป๊อปปูล่าร์เพียงใด
“มอนิ่งอันซี”
“มอนิ่งจ้ะ”
“อันซี”
“มอนิ่งจ้ะ”
“มอนิ่งอันซี”
เพื่อนชายร้องทัก อันซีโยนขวดนมให้
“อ่ะ นม”
“ขอบใจ”
ต่างกันลิบลับกับ ยิ่วเชียน เด็กเนิร์ดสวมแว่น กำลังเดินอ่านหนังสือมาตามทาง ถูกนักเรียนชายเกเรต่างพากันร้องแหย่ และแกล้งเดินชน
“อ๊าก”
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย”
เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งขี่จักรยานมาทางด้านหลัง แล้วฉวยหนังสือของยิ่วเชียนปาทิ้งลงพื้น
“หยุดอ่านหนังสือได้แล้วไอ้เด็กเนิร์ด ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย”
อีกคนผสมโรง “ไอ้ขี้เหร่”
กลุ่มนักเรียนชายหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน เห็นเป็นเรื่องตลก
“ดีมาก ไม่ต้องอ่านแล้วไอ้เด็กเนิร์ดไอ้ปัญญาอ่อน”
ด้านอันซีขี่จักรยานร้องทักอาจารย์ไปตามทาง
“มอนิ่งค่ะอาจารย์”
“มอนิ่งอันซี นี่ห้ามขี่จักรยานในโรงเรียนนะ”
“หนูทราบแล้วค่ะอาจารย์”
อันซีหยอกล้อกับอาจารย์อย่างน่ารัก ก่อนจะขี่จักรยานต่อไป
ยิ่วเชียนยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง เขานั่งรถผ่านแมกไม้อันสวยงาม จากนั้นก็เดินทางผ่านป่าโปร่งไปเรื่อยๆ แม้จะลำบากโดนกิ่งไม้เกี่ยวหน้า หรือตกหลุมโคลนจนบาดเจ็บ ก็ยังคงย่ำเดินต่อไปจนถึงทะเลสาบนางฟ้า เขาตะโกนก้องด้วยความดีใจ
“โอว์ เย่”
ยิ่วเชียนนำขวดแก้วเล็กๆ ไปตักน้ำใส่
“ในที่สุด ฉันก็ตามหาเจอแล้ว”
จากนั้นยิ่วเชียนรีบมาหาอันซีที่บ้านของเธอด้วยความตื่นเต้น เขายืนรออยู่สักครู่ใหญ่ อันซีจึงออกจากบ้านมาพบด้วยอาการหงุดหงิดหน้างอ ยิ่วเชียนไม่ถือสายื่นขวดน้ำในมือให้
“ฉันให้เธอ”
“อะไร”
“น้ำตานางฟ้าไง”
“เฮ่อ แล้วไงล่ะ”
“เธอเคยพูดว่า...”
อันซีสวนขึ้น “ฉันรู้ว่าเคยพูดอะไร ฉันแค่พูดนายก็เชื่อเหรอ ใครพูดนายก็เชื่อสินะ ใครบอกให้นายไปเอาล่ะ ใครบอกให้นายรอเหรอ เรื่องโง่ๆ อย่างนี้นายก็ทำได้ คำพูดปัญญาอ่อนนายก็เชื่อ นายสมองเสื่อมรึไง โลกนี้ไม่มีคำว่าชั่วนิรันดร์ แม้แต่คำพูดของพ่อแม่ยังหลอกกันได้ คำพูดของฉันนายก็เชื่อ ทำไมนายโง่อย่างนี้ ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ห๊ะ”
อันซีคว้าขวดใบนั้นจากมือยิ่วเชียนมาขว้างทิ้งโดยไม่ไยดี
ขวดแตกกระจาย ท่ามกลางความงุนงงและเสียใจของยิ่วเชียน แม้อันซีจะตกใจกับการกระทำของตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมกล่าวคำใดๆ อีก นอกจากนั้นยังผละจากชายหนุ่มออกมา แล้วได้บ่นบ้ากับตัวเอง
“โง่จริงๆ มีตา แต่ไม่รู้จักมองคนให้เป็น สมน้ำหน้า”
ยิ่วเชียนได้แต่ยืนหน้าเศร้ามองหญิงสาวเดินจากไป เขาพึมพำอย่างน้อยใจออกมาว่า
“คำพูดของเธอ ฉันเชื่อทุกอย่างนี่ สมัยก่อน ผมมักจะถูกหลอกเสมอ เพราะว่ารักครั้งแรกในชีวิตผม เป็นเพียงเรื่องราวที่หลอกตัวเอง คิดคนเดียว แอบรักอยู่คนเดียว จากนั้นผมก็ต้องเสียใจคนเดียว”
จากเด็กเนิร์ดใส่แว่นดูไม่จืดเมื่อวันนั้น วันนี้ยิ่วเชียนกลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อรุ่นใหม่ไฟแรง เขากำลังเจรจาเซ็นสัญญาการค้าอยู่ภายในห้องประชุม
ถันตงหยิบปากกามา พยายามดึงปลอกปากกาอยู่หลายครั้งกว่าจะดึงออก ยิ่วเชียนสังเกตอากัปกริยานั้นอย่างแปลกใจ ในขณะที่คู่เจรจาหลายคนต่างลุ้นตัวโก่งให้ยิ่วเชียนลงนาม แต่ยิ่วเชียนกลับถามขึ้น
“สิ่งที่พวกคุณต้องการ คืออะไรกันแน่”
เวลาเดียวกันนั้น หมิงเย่ นักธุรกิจสาวมั่น ซีอีโอบริษัทโอเชี่ยน ซึ่งเป็นเจ้านายของยิ่วเชียน กำลังนั่งให้สัมภาษณ์กับพิธีกรรายการทีวีอยู่ภายในตึกเดียวกัน
“เคล็ดลับของความสำเร็จ นั่นก็คือต้องสามารถมองอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้งอย่างรวดเร็ว เพราะระหว่างการเจรจาต่อรองของเรามักจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ่อยๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญอาจไม่สำคัญก็ได้ ดังนั้น เราต้องมองอีกฝ่ายในครั้งแรกให้ชัดเจนอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร”
ในขณะที่ภายในห้องประชุม คู่เจรจาการค้าเริ่มไม่พอใจยิ่วเชียน ต่างลุกขึ้นถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ตกลงจะซื้อหรือไม่ซื้อ”
“ไหนคุยกันแล้วไงว่าจะซื้อแล็ปท็อปของเรา”
“คุณกำลังลังเลอะไร”
“คุณคิดว่าเราล้อเล่นอยู่เรอะคุณจะเอายังไงกันแน่”
“คุณพูดจาไม่รักษาคำพูด”
ถันตงรีบพูดต่อว่ายิ่วเชียน “แค่สี่พันล้านถูกมากเลยนะ”
“เมื่อกี้ตอนคุณเปิดฝาปากกาติดใช่มั้ย ปากกาของตัวเอง แต่จู่ๆ กลับไม่ทราบวิธีใช้”
ยิ่วเชียนตอกกลับ
เวลาเดียวกันนั้นหมิงเย่ยังคงให้สัมภาษณ์ต่อไป พลางถามกลับพิธีกร
“ไม่ต้องมาก แค่มองครั้งแรกก็รู้แล้ว ช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องกังวลใจเหรอคะ ระหว่างที่เราคุยกัน คุณมองโทรศัพท์สองครั้งแล้ว สีหน้าที่มองโทรศัพท์ ดูท่าทางคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่”
“ฮิๆ คุณนี่เก่งจริงๆ ตกลงเคล็ดลับของคุณคืออะไรคะ”
หมิงเย่หัวเราะ
“เคล็ดลับเหรอ สิ่งสำคัญคือการมุ่งเน้น ฟังดูเหมือนจะง่ายมาก แต่มีคนมากมายที่ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ทุกคนคงประสบความสำเร็จกันหมด”
ขณะที่ยิ่วเชียนพูดกับที่ประชุมต่อไปว่า
“การแถลงข่าวครั้งนี้ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าต้องการประกาศความสูญเสียการซื้อขายโน้ตบุ๊ค เพื่อช่วยเหลือราคาหุ้นของบริษัทก็ตามใจ”
ยิ่วเชียนมองไปที่ผู้ร่วมประชุมสาวคนหนึ่ง มีบัตรบางอย่างคล้องคออยู่ พลางบอก
“ครั้งก่อนคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณคงเป็นผู้สื่อข่าวสินะ
หญิงสาวที่ร่วมประชุมรีบเอาเสื้อปิดบัตรคล้องคอไว้ ยิ่วเชียนพูดต่อทันที
“การซื้อกิจการครั้งนี้ ระงับชั่วคราว”
ยิ่วเชียนลุกออกจากห้องประชุมทันที ต้าอี๋ซึ่งเป็นผู้ติดตามรีบตามออกไป ถันตงรีบวิ่งตามยิ่วเชียนไป
“คุณเซี่ย คุณเซี่ย เรื่องราคาก็คุยกันแล้ว ตอนนี้คุณกลับเปลี่ยนใจได้ยังไงกัน”
“เราสามารถซื้อได้ ในราคาแค่สองพันล้าน”
ยิ่วเชียนพูดจบก็เดินออกไปทันที ถันตงมองตามด้วยความไม่พอใจ พออยู่ตามลำพังในลิฟต์ ต้าอี๋หันมาถามยิ่วเชียนอย่างงงๆ
“ซีอีโอบอกว่าโปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จไม่ใช่เหรอครับ เรื่องราคาต่อรองกันได้ จู่ๆ เรากลับไปอย่างนี้มันจะดีเหรอครับ”
“ต้องดีแน่นอน ฮิ”
ยิ่วเซียนหันมายิ้มให้ต้าอี๋อย่างขบขัน
หมิงเย่ยังคงนั่งให้สัมภาษณ์ต่อ
“การเริ่มต้นใหม่ที่ดี สามารถควบคุมคนจำนวนมากได้ ประเด็นสำคัญคือ เราต้องเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจตลอดเวลา อย่าไปสนใจกับเวลาที่เราเสียไปในอดีต คิดซะว่า มีแพ้ก็ต้องมีชนะ ไม่ต้องการอะไร ฮิๆ ก็สามารถเจรจาต่อรองกันได้”
เวลาเดียวกันนั้น ถันตงวิ่งตามยิ่วเชียนออกมาผ่านห้องกระจกที่หมิงเย่ให้สัมภาษณ์อยู่
“คุณเซี่ยๆ”
หมิงเย่ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
“การมองคนให้ทะลุ สามารถฝึกอบรมได้ แต่ว่ามีหลายคนในโลกนี้ ที่คุณไม่สามารถมองทะลุได้”
“คุณหมายถึงคนที่มีความคิดลึกซึ้งใช่มั้ยคะ”
“เช่นพ่อ แม่ สามี ภรรยา ลูกๆ ก็เป็นคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา และเป็นคนที่พวกเราให้ความสนใจกับพวกเขามากที่สุด คุณรู้มั้ยว่าเพราะอะไร”
“เพราะอะไรคะ”
“เฮ่อ เพราะความห่วงใยทำให้วุ่นวายไงล่ะ”
“แล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เหรอคะ”
“ได้สิคะ งั้นคุณก็ไม่ต้องมีความรักและไม่มีแฟนยังไงล่ะ” หมิงเย่หัวเราะ
“ฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
“วันนี้ต้องขอบคุณคุณโจวหมิงเย่ ซีอีโอของบริษัทโอเชี่ยนที่ยอมรับการสัมภาษณ์จากเรา ขอบคุณค่ะ”
“ยินดีค่ะๆ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หมิงเย่เดินออกมาจากตัวตึกที่ให้สัมภาษณ์ เจอกับของยิ่วเชียนและถันตง ถันตงหันไปทักทาย
“เอ๊ะ ประธานโจว ประธานโจว โอเชี่ยนกรุ๊ป มีผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนที่เก่งมาก เพราะคุณไม่มีข้อบกพร่องเลย ได้ข่าวว่าคุณเซี่ยเป็นเด็กปั้นของคุณ การซื้อขายครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของผม”
หมิงเย่หัวเราะ
“อย่าพูดอย่างนี้สิ ฉันเชื่อว่า การร่วมมือครั้งนี้ของเรา จะประสบความสำเร็จ”
ถันตงจับมือกับหมิงเย่ พลางหันมาพูดกับยิ่วเชียน
“เหรอครับ คุณเซี่ย ผมหวังว่าจะได้เห็นอนาคตของคุณไร้ขีดจำกัด”
ยิ่วเชียนยิ้มนิดๆ
อ่านต่อหน้า 2
อัพแมนมาปิ๊งรัก - When I see You again ตอนที่ 1 (ต่อ)
หมิงเย่กับยิ่วเซียนมาทานอาหารกันที่ร้านอาหารหรู จากนั้นหมิงเย่ก็เริ่มพูดขึ้น
“ยินดีด้วยนะ ที่โปรเจ็กต์ใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ”
“ตอนแรก ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอผมมองการเปิดฝาปากกาของเขา ดูเหมือนกังวลมาก แสดงว่า เขาไม่ค่อยมั่นใจกับการเซ็นสัญญาครั้งนี้ บวกกับในงาน มีผู้สื่อข่าวมาด้วย เธอเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ คณะกรรมการของบริษัทต่างลุกขึ้น เพราะรู้ว่าตอนนี้ราคาหุ้นตก แต่ว่าพนักงานที่รับเงินเดือนกลับไม่รู้สึกอะไร”
“เพราะอย่างนี้นี่เอง เธอถึงได้รู้ว่าเขาเป็นผู้สื่อข่าว”
“ใช่ครับ ผมยืนยันได้ว่า การซื้อขายโน้ตบุ๊คของพวกเขาสูญเสียเป็นอย่างมาก จึงได้รีบร้อนมาหาเราเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขาย และเปิดแถลงข่าว เพราะต้องการที่จะบอกข่าวดีเรื่องขายแล็ปท็อป และอัพราคาหุ้นของบริษัท”
“มา ทำได้ดีมาก”
หมิงเย่ยกแก้วไวน์ชวนดื่ม
“ขอบคุณครับ”
“เคสนี้ เธอคุยมาตั้งนานแล้ว คงเหนื่อยมากสินะ หลังจากนี้ ฉันจะมอบงานทั้งหมดในบริษัทให้อีกคนมารับผิดชอบ”
“ผมเชื่อว่า”
“จะได้ถือโอกาสนี้ ไปเที่ยวในชนบทด้วย บริษัทกำลังจะไปลงทุนที่นั่น เวลาเธอไปดูงานที่นั่น จะได้พักผ่อนไปด้วย ข้อมูลทั้งหมด ฉันส่งให้เธอแล้ว”
“หมู่บ้านภูล่านเหรอ”
ระหว่างนั้นมีโทรศัพท์เข้ามา ยิ่วเชียนมองเบอร์นิดหนึ่งแล้วกดทิ้ง
“มีปัญหาอะไรมั้ย”
“ไม่มีครับ”
ยิ่วเชียนกลับมาบ้าน เห็นไป๋คัง ยังไม่นอน และยืนมองออกไปด้านนอกตัวตึก
“คุณปู่ ยังไม่นอนเหรอครับ”
“ฉันกำลังดูทะเล นั่นเป็นทิศทางของทะเล”
“คุณปู่อยากกลับหมู่บ้านภูล่านใช่มั้ยครับ”
“สิบปีก่อน แกบอกว่าไม่อยากกลับไปไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าคุณปู่อยากกลับไป ผมจะไปเป็นเพื่อน ผมหยุดงานสองอาทิตย์ คุณปู่กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดและแวะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าด้วย”
“จริงนะ”
“ครับ”
ไป๋คังยิ้มมีความสุข ยืนเคียงคู่หลานชายมองออกไปไกลๆ
ณ ชายทะเลหมู่บ้านภูล่านอันสวยงาม มีร้านขายเบียร์ตั้งอยู่ริมหาด เหม่ยหวินพนักงานสาวขายเบียร์ ร้องขึ้น
“ฤดูร้อนดื่มอะไรชื่นใจที่สุด”
อันซีซึ่งเป็นพนักขายและพนักงานทุกคนตอบพร้อมกัน
"ดื่มเบียร์”
จื้อหลิงร้องตะโกนต่อ
“อารมณ์ไม่ดีต้องดื่มอะไร”
ทั้งสามสาวตอบพร้อมกัน
“ดื่มเบียร์”
“วันนี้เราจะทำอะไร” อันซีพูดต่อ
“ดื่มเบียร์”
“ใครจะดื่มเบียร์บ้าง”
อันซีร้องถาม กลุ่มลูกค้าต่างขานรับ
“ผมๆๆ”
“ฉันๆๆ”
“ขอบคุณๆ”
“คุณต้องการเท่าไร” อันซีถามอีก
จื้อหลิงถือแก้วเบียร์เดินเสิร์ฟ
“มาแล้วค่ะๆ”
“คุณต้องการเพิ่มอีกมั้ย” อันซีร้องถาม
“ผมขอถ่ายรูปกับคุณได้มั้ย”
“ได้สิ เร็วค่ะ”
อันซียิ้มแป้นถ่ายรูปกับลูกค้า เหม่ยเหวินเล่นกับลูกค้า
“โชว์กำปั้นหน่อย 20”
“ไม่ใช่”
จื้อหลิงถือเบียร์มาเสิร์ฟ
“เบียร์มาแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ดื่มเบียร์มั้ยคะ” จื้อหลิงร้องถาม
“เถ้าแก่แก้วเปล่า” อันซีร้องบอกเจ้าของร้าน
“วันนี้ขายดีมาก”
“ระวังๆ”
อันซีร้องบอกเพื่อนที่ถือขวดเบียร์มาเก็บ เหม่ยเหวินรีบถาม
“ไหนๆ ฉันดูเวลากี่โมงแล้ว บ่ายสองแล้วคนมารับช่วงต่อน่าจะมาแล้วนะ”
“แต่ยังขายเบียร์ไม่หมดเลยฉันจะช่วยเถ้าแก่ขายต่ออีกหน่อย” อันซีบอก
“จริงเหรอ”
“เธอกลับไปช่วยหยาลู่ก่อน”
“เอางั้นเหรอ” เหม่ยเหวินย้ำถาม
“นั่นสิ เธอคนเดียวไหวเหรอ” จื้อหลิงถามอย่างเป็นห่วง
“กลับก่อนเถอะ ไม่เป็นไร” อันซีย้ำบอก
“งั้นเรากลับก่อนนะ”
“แล้วเจอกัน บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย”
จื้อหลิงกับเหม่ยเหวินพากันออกไป อันซีหันมาถามเถ้าแก่
“เถ้าแก่มีอะไรให้ช่วยอีกมั้ยคะ”
“วันนี้ไม่เลวนะเธอ นั่งพักได้แล้ว”
โทรศัพท์ของอันซีมีเสียงเตือนว่า วันชำระหนี้ หญิงสาวคิดในใจ
“งานยุ่งจนลืมเวลาเลย วันนี้เป็นวันใช้หนี้ให้เจียนไห่โค่ ทำยังไงดี”
เถ้าแก่หันมาบอก
“เงินเดือนอยู่ในกล่อง หยิบเอาเองนะ”
“เถ้าแก่”
“หืม”
“ฉันขอเบิกเงินล่วงหน้าหนึ่งเดือนได้มั้ยคะ ฉันเขียนสัญญาก็ได้ ฉันจะใช้คืนแน่นอน หรือไม่ ฉันจะมาทำงานก่อนหนึ่งชั่วโมง ไม่สิสองชั่วโมงเลย มาช่วยงานคุณ ได้โปรดเถอะน่า”
“อันซี ร้านเบียร์ของเรา ทุกคนทำงานเป็นพาร์ทไทม์ ทุกคนทำงานกี่ชั่วโมงก็ได้เท่านั้น ถ้าทุกคนเบิกเงินเดือนล่วงหน้าเหมือนเธอ ฉันคงไม่ต้องเปิดร้านขายเบียร์แล้ว”
“ได้โปรดเถอะค่ะเถ้าแก่”
ระหว่างนั้นลูกค้าเข้ามาหาเถ้าแก่
“เถ้าแก่โต๊ะโน้นราคาเท่าไหร่”
“โต๊ะนั้นใช่มั้ย”
“อืม”
“ห้าร้อย”
“นี่ครับห้าร้อย”
“ขอบคุณครับๆ”
“ไม่เป็นไรครับๆ”
“มาบ่อยๆ นะครับ”
“ได้ครับๆ”
เมื่อลูกค้าไปแล้ว อันซีก็หันมาอ้อนวอนเถ้าแก่ต่อ
“ได้โปรดเถอะ”
“เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ฉันไม่กล้ารับเธอทำงานแล้วนะ”
“ทำยังไงดี”
อันซีพึมพำกับตัวเอง
ยิ่วเชียนขับรถพาไป๋คังกลับมาที่หมู่บ้านภูล่าน ไป๋คังนั่งยิ้มมาตลอดทาง
“กลับบ้านแล้วๆ ในที่สุดก็ได้กลับบ้านแล้ว โธ่เอ๊ย ไม่รู้ว่าบ้านเก่ายังเหมือนเดิมอยู่มั้ย ยิ่วเชียน จอดข้างหน้าหน่อย ปู่อยากไปซื้อน้ำ”
ยิ่วเซียนจอดรถ
“ผมไปซื้อให้ครับ”
“ไม่ต้องๆๆ ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น ฉันไปซื้อเอง”
“ระวังด้วยนะครับ”
ไป๋คังลงจากรถไป ยิ่วเชียนนั่งอยู่ในรถ มองตามปู่ไปจนลับตา ระหว่างนั้นเขาเห็นอันซีเดินเลี้ยวผ่านมา ยิ่วเชียนเบิกตาโตด้วยความดีใจปนเศร้า เมื่อนึกถึงอดีตที่ทั้งสองจากกันไป อันซีเดินมาตามทางเจอสุนัขตัวหนึ่ง
“อาปู้ แกมาอยู่ที่นี่ได้ไง อาหยงปล่อยแกออกมาคนเดียวได้ไง งั้นเรากลับบ้านกันนะ กลับบ้านๆ”
อันซีอุ้มสุนัขกลับไป ท่ามกลางสายตาของยิ่วเชียนที่มองตามเธอ เขารีบออกมาจากรถเพื่อมองตามเธอต่อไป
ไป๋คังพายิ่วเชียนมาที่วัดแห่งหนึ่ง
“ยิ่วเชียน แกยังจำวัดนี้ได้มั้ย”
“ตอนพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุ คุณปู่พาผมมาที่นี่ เพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมรอดชีวิตมาได้ และอธิษฐานให้ผมเติบโตอย่างปลอดภัย”
ไป๋คังยิ้ม พลางมองไปรอบๆ วัดอย่างจะรำลึกถึงความหลัง จากนั้นทั้งสองพากันเดินมาที่บ้านเก่าของเพื่อน
“เอ๋ บ้านเก่าหลังนี้ยังอยู่ เหล่าหยาง เหล่าหยาง ว่างเปล่า แกกำลังรอฉันอยู่ใช่มั้ย ฉันกลับมาแล้ว”
ไป๋คังเดินสำรวจไปรอบๆ อย่างโหยหาอดีต แต่ก็พบเพียงความเงียบเหงา
“คุณปู่ คุณปู่ครับ”
“ต่อไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว เพื่อนเก่าต่างไปกันหมดแล้ว เราไม่มีคนรู้จักที่นี่แล้ว เพื่อนเก่าส่วนใหญ่จากไปหมดแล้ว พวกเขาจากไปฉันก็ไม่ได้มาส่ง ทุกคนจากไปหมดแล้ว” ไป๋คังสะอื้นไห้
ยิ่วเชียนถือถุงอาหารมา สองปู่หลานนั่งคุยกันมองบ้านเก่าของเพื่อน
“คุณปู่ กินอะไรหน่อยสิครับ นี่ปลาหมึกที่คุณปู่ชอบกิน และเป็นร้านที่คุณปู่ชอบกิน เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าของร้านคนใหม่แล้ว”
“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าชีวิตนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจความรู้สึก
อ่านต่อหน้า 3
อัพแมนมาปิ๊งรัก - When I see You again ตอนที่ 1 (ต่อ)
อันซีกลับถึงบ้าน ตรงไปเปิดตู้ไปรษณีย์ดู พบเพียงความว่างเปล่า
“ว่าแล้วเชียว”
อันซีเดินเข้ามาภายในบ้านพัก จื้อหลิงเห็น รีบร้องบอกเพื่อนๆ
“แย่แล้วๆ รีบเก็บเร็วอันซีกลับมาแล้ว”
“ฉันเห็นแล้ว คิดว่าทำอย่างนี้ก็ไม่ต้องใช้หนี้เหรอ”
อันซีบอกอย่างเคืองๆ เหม่ยเหวินต้องรีบพูดขึ้น
“โธ่อันซี เธอเป็นเจ้าของบ้านพักทำไมชอบเดินประตูหลังล่ะ”
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านพักยังต้องไปทำงานเลย ขืนอยู่แบบนี้ต่อไป พวกเราต้องอดตายกันหมดแน่”
“นี่ ฉันจะบอกพวกเธอนะ ใกล้พักร้อนแล้วชีวิตที่ยากลำบากกำลังจะผ่านไปแล้ว เอ๊ะ”
ระหว่างนั้นไฟดวงหนึ่งก็ดับพรึ่บ
“พี่เหม่ยเหวิน พี่นี่ปากอีกามากเลยนะ”
อันซีต่อว่าก่อนจะปีนบันไดจะขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟ
“ระวังด้วย” จื้อหลิงเตือน
“ระวังนะ” เหม่ยเหวินเตือนอีกคน
หยาลู่เพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเปิดประตูเข้ามาพอดี ตกใจรีบบอก
“นี่ อันซี เธอรีบลงมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันเปลี่ยนให้”
“ดีๆ ให้เขาเปลี่ยนให้เถอะ” เหม่ยเหวินรีบบอก
“มาได้จังหวะพอดี นายช่วยเปลี่ยนให้หน่อย” อันซีรีบลงจากบันได
“ได้”
“นายก็ระวังด้วยล่ะ” เหม่ยเหวินเตือน
“ระวังตัวด้วยนะ” จื้อหลิงพูดย้ำ
“เปลี่ยนแล้วส่งให้ฉันฉันมีหลอดไฟใหม่” เหม่ยเหวินบอก
อันซีดูหยาลู่เปลี่ยนหลอดไฟ
“หยาลู่ นายช่วยดูให้ฉันหน่อยว่าที่โรงเรียนมีงานพิเศษให้ทำมั้ย”
“งานพิเศษเหรอ”
“ไม่งั้นเดือนนี้เย่จือไห่ของเราคงไม่รอดแน่”
พลันจื้อหลิงร้องขึ้น
“สว่างแล้วๆ”
“เก่งมากเลย” เหม่ยเหวินชื่นชม
“แสงสว่างแห่งความหวัง เก่งมากเลย”
อันซีเอ่ยปากชมเชย
ระหว่างนั้นผู้ใหญ่บ้านหญิงเปิดประตูบ้านพักเข้ามาหากลุ่มของอันซี
“สปอนเซอร์คนใหม่มาแล้วๆ”
“จริงเหรอ” จื้อหลิงแปลกใจ
“สปอนเซอร์อะไร” อันซีงงๆ
“ฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์ บอกว่าปีนี้การประกวดของหมู่บ้านภูล่านของเรามีสปอนเซอร์สนับสนุนอย่างเป็นทางการแล้ว”
“สปอนเซอร์อย่างเป็นทางการเหรอ” อันซีทวนคำ
“สปอนเซอร์มา การประกวดก็ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ผู้เข้าชมมากขึ้น ธุรกิจของห้องพักก็ต้องดีขึ้นด้วย”
จื้อหลิงฝันหวาน อันซีรีบบอก
“เสี่ยวหลิง ยัยหน้าเงิน เธอพูดได้ดีมาก”
“ฉันต้องรีบไปหาคนติดโปสเตอร์แล้ว นี่ อันนี้รบกวนพวกเธอด้วยนะ”
ผู้ใหญ่บ้านบอกเสร็จก็เดินออกไป
“ไม่มีปัญหาๆ” จื้อหลิงรับคำ
“บ๊ายบาย” อันซีโบกมือลา
“โชคดีนะ ผู้ใหญ่บ้านคนนี้แปลกจริงๆ ดูเขาไม่ได้หน้าตาสวยกว่าฉัน อายุก็ไม่ต่างกันมาก ทำไมเขาถึงได้กระฉับกระเฉงอย่างนี้” เหม่ยเหวินตั้งข้อสังเกต
“เพราะเขาติดโปสเตอร์บ่อยๆ ไง ไปติดโปสเตอร์” อันซีสรุป
“จริงด้วยๆ ไปติดโปสเตอร์ทำงานหาเงิน” เหม่ยเหวินบอกกับทุกคน
ทุกคนกำลังจะออกไปช่วยกันติดโปสเตอร์ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงแตรรถดังอยู่หน้าบ้าน ทุกคนหันไปมองแล้วอุทานพร้อมกัน
“เจียนไห่โค่”
ต้าหูกับเสี่ยวหู สองลูกน้องบ๊องๆ ของไห่โค่ ยืนตะโกนอยู่หน้าบ้าน
“ว่าที่เจ้าสาวของลูกพี่ไห่โค่”
“รบกวนออกมาด้วยครับ”
“เชิญออกมาครับ”
“รีบออกมาเร็ว”
อันซีเดินหน้าตาเอาเรื่องออกมาหน้าบ้าน เหม่ยเหวินรีบเตือน
“อันซี อย่าอารมณ์ร้อนนะ”
ไห่โค่นั่งอยู่ในรถ พลางเรียกลูกน้อง
“ต้าหู”
ต้าหูรีบหยิบช่อดอกไม้ออกมาจากรถแล้วเปิดประตูให้ไห่โค่
“ลูกพี่”
ไห่โค่ก้าวลงมาจากรถในมาดเจ้าพ่อตลกๆ ยืนประจันหน้ากับอันซีและพวก พลางถอดแว่นดำออกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หญิงสาว
“อันตูตู วันนี้เธอก็ยังสวยและน่ารักเหมือนทุกวัน นี่ดอกไม้ที่ฉันเลือกให้เธอเป็นพิเศษ ดูสิ เข้ากับชุดของฉันมาก”
ไห่โค่หยิบกุหลาบดอกหนึ่งจากช่อใหญ่ส่งให้อันซี อันซีเงื้อมือจะตบ แต่หยาลู่กับเหม่ยเหวินห้ามไว้ อันซีพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
“เจียนไห่โค่”
เสี่ยวหูฟังอันซีพูดแล้วรีบขัดขึ้น
“นี่ๆๆ บอกกี่ครั้งแล้วอย่าเรียกลูกพี่ของเราอย่างนี้ ต้องเรียกว่าไห่โค่ฮันนี่สิ”
อันซีทำหน้าสะอิดสะเอียน ไห่โค่ส่งดอกกุหลาบให้
“มาจ้ะ รับไว้สิ ดมหน่อยสิ เธอหนึ่งดอกฉันหนึ่งดอก ลองดมดูสิ”
อันซีจะปาดอกไม้ทิ้ง แต่เหม่ยเหวินรีบห้ามไว้
“ดมหน่อยสิบางทีอาจจะหอมก็ได้ ฉันลองดมแล้ว ฮิๆๆ”
อันซีพยายามสะกดอารมณ์อีกครั้ง
“ขอบคุณมาก ไห่โค่”
“ไม่เป็นไร”
“เฮ่อ ไห่โค่ คืออย่างนี้นะ นายก็รู้ว่า ฤดูนี้เงียบมากๆ แล้วฝนก็ตกตลอด แขกเลยไม่ค่อยมาเที่ยวกัน บ้านพักก็เลยค่อนข้างเงียบเหงา ดังนั้น”
เสี่ยวหูรีบพูดแทรกขึ้น
“ว่าที่พี่สะใภ้พูดอย่างนี้ก็ไม่มีความหมายหรอก เงียบแล้วก็ไม่ต้องใช้หนี้เหรอ”
“ตอนนั้นเพราะพ่อของลูกพี่เราสงสารเลยให้พ่อเธอยืมยี่สิบล้านเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศนี้” ต้าหูพูดย้ำ
“ถ้ามีจิตสำนึกคงคืนตั้งแต่แรกแล้วล่ะ” เสี่ยวหูย้ำอีก
“จะรอให้ลูกพี่ใหญ่ของเราจากไปก่อนแล้วค่อยมาทวงหนี้เธอรึไงล่ะ เดือนละแค่หนึ่งแสนแต่เธอขาดส่งมาสิบเดือนแล้ว ฉันจะช่วยคำนวณให้เธอ นอกจากเงินที่ค้างสิบเดือนแล้ว เธอยังเป็นหนี้เราอีกเก้าล้านหยวน” ต้าหูแจง
“นี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจติดค้างพวกนายนะ แค่ให้เวลาฉันหน่อย แม้ต้องขึ้นเขาลงห้วยฉันต้องหามาคืนนายให้ได้”
“ฉันจะปล่อยให้เธอขึ้นเขาลงห้วยได้ไงล่ะ เธอต้องการเวลาฉันให้ได้แน่นอน” ไห่โค่บอก
“จริงนะ”
“อืม แต่คืนนี้ต้องไปโรงแรมกับฉัน”
จื้อหลิงเดือด
“หะ นี่ๆๆ ไปโรงแรมทำไม”
เสี่ยวหูรีบขัด
“เธอยุ่งอะไรด้วย”
ไห่โค่หันมาดุ “เฮ้ย นายพูดอะไร ฉันบอกแล้วว่าอย่าพูดไม่ดีกับคนที่นี่ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย”
“ครับ”
ไห่โค่เดินเข้ามาหยิกแก้มจื้อหลิงอย่างหมั่นไส้
“น้องสาว เรื่องของผู้ใหญ่เธอไม่เข้าใจหรอก”
“นี่”
“ถึงฉันหน้าเด็กกว่าเธอแต่ก็แก่กว่า ฉันแค่อยากพาอันตูตูของฉันไปทานข้าวเท่านั้น”
“เอ๊ะ แต่ว่าเมื่อกี้แกบอกว่าไปโรงแรม” เหม่ยเหวินท้วง
“ร้านอาหารในโรงแรมไง ทำไมเหรอ” ไห่โค่แก้ตัว
“อ้อ”
“ว่าไงมีปัญหาอะไรมั้ย พวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ความรักที่ฉันให้อันตูตู เป็นรักที่บริสุทธิ์ จริงมั้ยอันตูตู จุ๊บๆ แค่ไปทานข้าวกับฉันมื้อเดียว ฉันจะเลื่อนเวลาให้เธอหนึ่งเดือน ไม่งั้น”
“ไม่งั้นนายจะทำไม” อันซีรีบถาม
“ฉันจะทวงหนี้ของฉันคืน รื้อถอนบ้านพัก นอกจากว่า เธอจะชำระหนี้เก้าล้านหมดทีเดียว อย่าบีบบังคับฉัน เฮ่อ คืนนี้สองทุ่ม แต่งตัวสวยๆ นะ อย่าลืมมาหาฉันที่ห้องส่วนตัวในโรงแรมล่ะ ฉันจะรอเธอ บ๊ายบาย”
ไห่โค่เดินไปแล้วหันกลับมาอีก อันซีแปลกใจถามขึ้น
“มีอะไรอีกล่ะ”
“อันตูตู ยิ้มหน่อยสิ เธอยิ้มน่ารักมากนะ ฉันใจละลายเลย บ๊ายบาย ฉันจะรอนะ”
ไห่โค่เดินกลับไป เหม่ยเหวินพูดขึ้น
“น้ำมันหมูเหรอ ลงกระทะแล้วละลาย”
ไห่โค่หันมามองหน้า เหม่ยเหวินรีบแก้ตัว
“ฉันหมายถึงคืนนี้เราใช้น้ำมันหมูผัดคะน้ากันเถอะรสชาติมันดีกว่า”
“บ๊ายบาย”
ไห่โค่โบกมือลากลับไปขึ้นรถ
อันซีและพวกนั่งประชุมกันอย่างอย่างเคร่งเครียด หย่าลู่ถามขึ้น
“เธอจะไปจริงเหรอ”
“แค่ไปกินข้าวมื้อเดียวเองน่า”
“ไอ้เจียงไห่โค่ถึงมันจะชอบยิ้ม แต่ว่า มันไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”
จื้อหลิงเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ คนเลวที่เลวที่สุดก็คือคนอย่างเขานี่แหละ เลวเข้าไปถึงกระดูกดำเลยแหละ นี่ๆ”
อันซีเดินหนีไป เหม่ยเหวินวิ่งไปดักหน้าบันไดทางขึ้นห้อง
“ถ้างั้นฉันไปเอง หรือจะให้ฉันใช้ท่ายั่วยวน แบบนี้ฉันก็พอไหวนะ”
เหม่ยเหวินทำท่ายั่วยวนตลกๆ อันซีส่ายหน้าเซ็งแล้วหนีขึ้นบันไดไป เพื่อนๆ ตามไปถึงหน้าห้อง แต่อันซีปิดประตูไปเสียก่อน หยาลู่ร้องตะโกน
“นี่ อันซีอย่าทำอย่างนี้สิ”
เหม่ยเหวินคิดอะไรได้
“นี่ๆ ทุกคนๆ ฉันมีวิธีแล้ว มานี่ๆ”
เหม่ยเหวินกระซิบบอกเพื่อนๆ ที่หน้าห้อง ในขณะที่อันซีอยู่ในห้องอย่างเศร้าซึม ก่อนให้กำลังใจตัวเอง
“เฮ่อ ร้องไห้ไม่ได้ ต้องสู้ ร้องไห้ไม่โอเคเลยนะ”
อ่านต่อหน้า 4
อัพแมนมาปิ๊งรัก - When I see You again ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่โรงแรม เสี่ยวหู ต้าหู ฮัมเพลงไป ตกแต่งสถานที่ไป เพื่อจะใช้เป็นสถานที่ต้อนรับอันซี ไห่โค่เดินเข้ามาตะคอกให้ลูกน้องหยุดร้อง แล้วตัวเองก็ถือลูกโป่งไปนั่งที่โต๊ะฮัมเพลงอย่างครึ้มอกครึ้มใจซะเอง
ในขณะที่เหม่ยเหวินกับหยาลู่พากันมาที่โรงแรมที่ไห่โค่นัดกับอันซี เหม่ยเหวินทำท่าทางบอกให้หยาลู่รีบถือกระดาษสีฟ้าไปที่เคาน์เตอร์ของโรงแรม
“แผนเดิมๆ”
หยาลู่เดินเข้าไปหาพนักงานของโรงแรม กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ผมเป็นผู้ช่วยของคุณเจียงครับ ถ้าคุณอันมาแล้ว รบกวนฝากการ์ดใบนี้ให้เธอด้วย”
ระหว่างนั้นเหม่ยเหวินรีบเรียกหยาลู่ออกมาแล้วพาไปหลบเนื่องจากเห็นอันซีเดินมาที่เคาน์เตอร์โรงแรม ในขณะที่อันซีไปบอกกับพนักงานโรงแรม
“สวัสดีค่ะ ฉันแซ่อัน ไม่ทราบว่า”
“เอ่อ เมื่อกี้มีผู้ชายแซ่เจียง ฝากการ์ดไว้ให้คุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
อันซีรับกระดาษมาอ่าน
“วันนี้ไม่ทานข้าว เจอกันที่สระว่ายน้ำ”
อันซีแปลกใจ ก่อนจะเดินไปตามที่นัดหมาย
เหม่ยเหวินกับหยาลู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันที่แผนสำเร็จ
อันซีเดินไปที่สระว่ายน้ำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนพยายามตัดใจเดินก้มหน้าต่อไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งหันหลังเปลือยท่อนบนอยู่ริมสระว่ายน้ำ
และหลังวอร์มร่างกายเสร็จ ก็ถอดผ้าขนหนูสีขาวออก เหลือแต่กางเกงว่ายน้ำสีดำตัวจิ๋ว แล้วกระโดดลงน้ำไป อันซีหน้าแดงรีบเอามือปิดตา แต่ก็แอบเผยอนิ้วมอง
“ทำไมต้องแก้ผ้าด้วย ไหโค่ ฉันอันซีไง ฉันมาแล้ว”
อันซีเปิดตามองชายคนที่เธอคิดว่าเป็นไห่โค่ซึ่งกำลังว่ายน้ำก้มหน้าอยู่
“ไห่โค่ เรารู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ เงินเก้าล้าน ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ เอ่อ นายก็รู้ว่าช่วงนี้ธุรกิจไม่ค่อยดี นายให้เวลาฉันหน่อยได้มั้ย ถ้ามีเวลา ฉันจะรีบหาเงินมาคืนให้นายโดยเร็วดีมั้ย เจียงไห่โค่ นายนัดฉันที่โรงแรมไม่ใช่เหรอ แล้วเปลี่ยนมาเจอที่สระว่ายน้ำทำไม นายขึ้นมาก่อนเซ่”
ชายคนนั้นยังคงว่ายน้ำต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของอันซี แต่เธอก็ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดชายคนนั้นซึ่งก็คือยิ่วเชียน ต้องหยุดว่ายน้ำ แล้วหันมามองหญิงสาว ซึ่งเอามือปิดหน้าอยู่เพราะกระดากอายที่จะเห็นผู้ชายใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น
“เธอ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
อันซียังคงปิดหน้าไม่มองหน้าชายคนที่เธอคิดว่าเป็นไห่โค่
“ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนฉันหยาบคายกับนายเกินไป ฉันขอโทษ ต่อไป ฉันจะอ่อนโยนกว่านี้ดีมั้ย เพื่อเงินเก้าล้าน นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
ยิ่วเชียนขึ้นจากน้ำเดินไปหยุดที่ด้านหลังของอันซี หญิงสาวตัดสินใจหันหลังไปดู แต่พอหางตาเห็นว่าเป็นชายใส่ชุดว่ายน้ำก็เอามือปิดตาอีก
“เพื่อเงินเก้าล้าน นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
อันซีแอบมองซิคแพ็คของชายคนนั้น โดยไม่ได้มองหน้า แล้วแอบตื่นเตา
“หะ โธ่เอ๊ยนายใส่เสื้อผ้าก่อนได้มั้ย เฮ่อ ฮิๆ คิดไม่ถึงว่านายจะแอบไปฝึกร่างกายมาอย่างดีขนาดนี้”
ยิ่วเชียนหน้าเคร่งขรึมก่อนพูดขึ้น
“แค่มีเงิน เธอจะยอมทำทุกอย่างเหรอ”
อันซียังคงพูดทั้งที่ปิดหน้าอยู่
“แน่นอนสิ ฉันรู้ว่า เงินเก้าล้านไมใช่หาง่ายๆ เลยนะ นี่ นายจะไปไหน จะให้ฉันนวดให้เหรอ โธ่เอ๊ย ว่ายน้ำนายคงเหนื่อยมากสินะ ฉันช่วยนวดให้นะ”
ยิ่วเชียนหันหลังไปมอง เขาตกใจที่อันซีเข้ามานวดหลังให้ ในขณะที่อันซีก็ทำหน้าจำยอม
“เธอทำอะไร”
ยิ่วเชียนถามเสียงเขียว หันมามองหน้าหญิงสาวอย่างสุดทน อันซีตกใจที่ไม่ใช่ไห่โค่
“หะ คุณเจียงไห่โค่ล่ะ”
อันซีมองหน้ายิ่วเชียนแต่จำเขาไม่ได้
“เจียงไห่โค่อะไร อ้อ เธอราคาถูกขนาดนี้เชียวเหรอ”
ยิ่วเชียนหันหลังจะหยิบเสื้อผ้ากลับไป อันซีรีบคว้าข้อมือเขาไว้ด้วยความโกรธ
“ราคาถูกเหรอ นี่ นายเป็นใคร พูดให้ชัดเจนนะ ฉันราคาถูกอะไรกัน”
“เธอเป็นคนพูดเอง ว่าแค่มีเงิน จะยอมทำทุกอย่างไม่ใช่เหรอ”
“ฉันหมายความว่า เอ๊ะรอเดี๋ยวๆ หยุดเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองหันมาเผชิญหน้ากัน ยิ่วเชียนจับข้อมือทั้งสองของอันซีไว้ หญิงสาวพยายามขัดขืน
“ฉันรู้แล้ว”
“ปล่อยฉันนะ”
“เมื่อกี้เธอว่าไงนะ เก้าล้านเหรอ”
“ปล่อยฉันนะ ไอ้โรคจิต โรคจิต อ๊า”
อันซีร้องเสียงหลงเมื่อพลาดตกลงสระน้ำไปพร้อมกับยิ่วเชียน ระหว่างนั้นหยาลู่เดินเข้ามาที่สระน้ำเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ในขณะที่อันซีโผล่ขึ้นมาจากน้ำก็ต่อว่ายิ่วเชียนด้วยความแค้น
“เฮ่อ เมื่อกี้นายทำร้ายฉัน ฉันจะตีนายให้ตายๆ”
“อันซี”
หยาลู่อุทานก่อนจะวิ่งโดดน้ำตามลงไป อันซีโมโหจัดพยายามจับยิ่วเชียนกดน้ำ
“ยัยบ้าเธอทำอะไรของเธอ”
“แกรังแกฉันแล้วยังแตะต้องตัวฉัน”
“ไม่ใช่นะ”
“ไอ้โรคจิต”
หยาลู่เข้ามาจับอันซีแยกออก
“อันซีพอแล้ว”
“เธอพูดบ้าอะไร” ยิ่วเชียนร้องบอก
“อันซีพอแล้ว”
“หยาลู่ นายอย่ามาขวางฉัน ฉันจะจัดการไอ้โรคจิตนี่ให้ตายเลย”
“พอแล้วอันซี”
อันซีฮึดฮัด
“อันซี”
ยิ่วเชียนเห็นหยาลู่พยายามปกป้องอันซีก็นึกโกรธปนน้อยใจ
“มีทั้งคนรวยมีทั้งคนปกป้อง เธอนี่ไม่เลวจริงๆ”
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย ฉันจะบอกนายนะ ต่อไปถ้ากระถางตกใส่นาย ฉันนี่แหละเป็นคนทำ”
“ฉันไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียว”
“นาย”
“พอแล้ว” หยาลู่ปราม
“เธอคือผู้หญิงประเภทที่ฉันรังเกียจที่สุด”
“ไม่เคยมีใครกล้าพูดอย่างนี้กับฉันมาก่อน”
“พอแล้วน่า อันซีไปได้แล้ว เธอไม่รู้จักเขา”
“ไอ้โรคจิต”
“ไม่ต้องพูดแล้ว อันซี ไป ช่างเถอะ”
“หยาลู่ฉันบอกให้นายปล่อยฉัน ไอ้โรคจิต”
“ระวัง”
หยาลู่พาอันซีขึ้นมาจากสระน้ำ ยิ่วเชียนตามขึ้นมา อันซีต่อว่าอีก
“นายมีตาหรือเปล่าเนี่ย ไม่รู้จักมองคนเลย นายทำแบบนี้ไม่ถูกนะ”
หยาลู่ไอติดๆ กัน จนอันซีเป็นห่วง
“เอ๊ะ หยาลู่ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรแค่สำลักน้ำนิดหน่อย”
“งั้นเรากลับเถอะ”
ทั้งสองเดินหันหลังให้ยิ่วเชียน และโดยไม่คาดคิด ยิ่วเชียนถือผ้าขนหนูเข้ามาคลุมไหล่ให้อันซี อันซีตกใจและแปลกใจจนต้องหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ยิ่วเชียนมองหญิงสายด้วยสายตาห่วงใยแว่บหนึ่งก่อนจะเดินหันหลังจากไป ทิ้งให้อันซีมองตามเขาไปด้วยความงุนงน สงสัย แต่ก็รู้สึกดี
หยาลู่ประคองอันซีซึ่งเนื้อตัวเปียกปอนเข้ามาหาเหม่ยเหวิน ซึ่งนั่งอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม อันซีเดินบ่นๆ เข้ามา
“ซวยจริงๆ เพราะเขาคนเดียวเลย”
อันซีเดินจามมาจะผ่านเหม่ยเหวินไป เหม่ยเหวินร้องขึ้น
“เอ๊ะๆๆ เป็นอะไร ฝนตกกะทันหันเหรอ”
“ไม่ต้องพูดแล้วน่า เมื่อกี้ฉันเจอไอ้โรคจิต คราวหน้าอย่าให้เจออีกนะ ฉันจะฆ่าให้ตายเลย”
“อ้อดีๆ งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”
“เอ๊ะไม่ได้ ฉันยังไม่เจอเจียงไห่โค่เลย”
เหม่ยเหวินรีบพูดสวน “เอ๊ะๆ โธ่เอ๊ย ไม่เจอก็แปลว่าไม่มีวาสนาต่อกัน กลับบ้านก่อนค่อยคุยกันเถอะเดี๋ยวเป็นหวัด ไปๆๆ”
“ไปเถอะ” หยาลู่ตัดบท
“นายหนาวมั้ย” อันซีถามอย่างห่วงใย
ทั้งสามจะเดินออกไป เผอิญผ่ายป้ายโฆษณาที่ตั้งไว้ เหม่ยเหวินเปรยเซ็งๆ
“เฮ้อ การประกวดอะไรกระจอกจริงๆ ยังสู้การประกวดทำอาหารของบ้านพักเราไม่ได้เลย ไม่มีความจริงใจเลย เงินรางวัลแค่หนึ่งหมื่น ดูถูกหมู่บ้านภูล่านของเราจริงๆ เลย”
อันซีตัดบท “เอาล่ะ กลับกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” หยาลู่ร้องบอก
“ห๊ะ” เหม่ยเหวินงงๆ
“ดูเหมือนเงินรางวัลจะมีศูนย์เพิ่มหนึ่งตัว”
“เธอตาฝาดไปหรือเปล่า” เหม่ยเหวินท้วง
“นี่ มีศูนย์ห้าตัวจริงๆ ด้วย” อันซีย้ำบอก
“ต้องมีคนเล่นซุกซนแน่ เอ๊ะลบไม่ออก หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่นแสน” เหม่ยเหวินลองไล่นับดู
“หนึ่งแสน”
ทั้งสามตาโตอุทานพร้อมกันด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด
อ่านต่อตอนที่ 2