บาปบรรพกาล ตอนที่ 13
รูปถ่ายขาวดำของปริกวางอยู่บนขาตั้งข้างโลง ในศาลาสวดศพของวัดแถวบ้านพรหมบดินทร์ บรรยากาศเศร้าสร้อย เงียบเหงา ออกไปทางวังเวง เนื่องเพราะมีผู้คนมาร่วมงานบางตา จวงเอาแต่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างโลง
น้อยคอยจุดธูปให้คนมาไหว้ศพ เฟื่องกับสร้อยคอยดูแลความเรียบร้อยในงาน ส่วนทวนยืนรับแขกอยู่ข้างหน้าศาลา
ภาวิดากับภาณุกรพากันเดินเข้ามาในงาน ทวนยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณคุณหญิงกับคุณชายนะครับ ที่เป็นเจ้าภาพงานศพให้นังปริก”
“ยังไงนังปริกก็เป็นคนของฉัน ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“ขาดเหลืออะไรก็บอกฉันได้ล่ะ”
“แค่นี้ก็เป็นบุญของนังปริกแล้วครับ ขอบคุณครับ”
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์เดินเข้ามา ทวนยกมือไหว้เฉพาะรามนรินทร์
“เสียใจด้วยนะจ๊ะ”
ทวนไม่ตอบรับกลับมองรสสุคนธ์อย่างเคืองแค้น
“เราไปจุดธูปไหว้น้าปริกกันเหอะครับ”
รามนรินทร์เห็นท่าไม่ดีรีบชวนรสสุคนธ์ไปไหว้ศพ ทวนมองตามรสสุคนธ์ขบกรามอย่างอาฆาตแค้น
น้อยส่งธูปให้รามนรินทร์กับรสสุคนธ์ จวงเหลือบสายตามามองจิกรสสุคนธ์
“ถ้ารสทำอะไรล่วงเกิน ขออโหสิกรรมต่อกันเถอะนะคะ”
“ขอน่ะขอได้ แต่มันจะฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ ยิ่งนังปริกมันตายโหงแบบนี้ ระวังมันจะเอาคุณไปอยู่เป็นเพื่อน”
จวงมองรสสุคนธ์อย่างอาฆาตแค้นเดินหุนหันออกไป ปักใจว่าเป็นคนทำให้น้องตาย ทวนเดินตามไปคุยด้วย
จวงเดินมาหยิบมีดในโรงครัววัด มองมีดในมือครุ่นคิดบางอย่าง ทวนดึงแขนไว้
“ใจเย็นๆ สิพี่”
“ฉันละชังน้ำหน้ามันจริงๆ ถ้าคุณๆ ไม่อยู่ ป่านนี้ฉันเชือดมันกลางงานศพไปแล้ว”
“เอาน่า มันได้ตายสมใจพี่แน่ แต่ก่อนจะตายมันจะต้องทรมานให้ถึงที่สุด”
จวงสนใจ “แกจะทำอะไรไอ้ทวน”
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด เดี๋ยวพี่ก็รู้”
“ดี ทำอะไรก็อย่าให้คุณหญิงเดือดร้อนล่ะ เข้าใจมั้ย”
ทวนกับจวงพากันมองรสสุคนธ์แล้วยิ้มเหี้ยม
ขณะที่อุณนิษานอนพักฟื้นอยู่บนเตียงคนไข้ จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามาจับแขนหมับ อุณนิษาสะดุ้งเฮือกร้องเสียงหลงพร้อมกับปัดมืออย่างหวาดผวา
“อย่า ฉันกลัวแล้วๆ”
“นิษา นี่แม่เอง”
อุณนิษาเหลียวมามองเห็นแขไขยืนอยู่ข้างเตียง ด้านหลังเป็นอธิวัฒน์แล้วจีรนันท์ยืนอยู่
“คุณแม่ ทำไมนิษาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”
“แม่ต่างหากที่ต้องถาม มันเกิดอะไรขึ้นกันตาวัฒน์”
“จีจี้ก็ไม่ทราบค่ะ พอเข้าไปก็เห็นนิษานอนสลบอยู่ข้างสระว่ายน้ำ ดีนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก”
อุณนิษานึกได้ “แล้วพี่รามไม่มาด้วยเหรอคะ”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนายราม” อธิวัฒน์ทำหน้าเซ็งโลก
อุณนิษาค้อนควัก “บ้า นิษาไม่เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้นหรอกนะ”
แขไขจ้องหน้าอุณนิษาค้นความจริง “งั้นลูกเป็นอะไร”
“นิษา เป็นลมน่ะค่ะ”
“งั้นก็พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวแม่จะไปงานศพนังปริกหน่อย”
อุณนิษาได้ยินชื่อปริกก็ผวา รีบดึงแขนแขไขไว้
“อย่าไปนะคะ คืนนี้คุณแม่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนนิษาหน่อยนะคะ”
แขไขเห็นอาการลูกสาวก็พยักหน้าตกลง อุณนิษาโล่งใจ ล้มตัวลงนอน
อธิวัฒน์กับจีรนันท์พากันมองอุณนิษาอย่างสงสัย
ภาณุกรอยู่ที่ห้องทำงาน ใช้แท็บเล็ตเช็คภาพกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งตามจุดต่างๆ แล้วถอนหายใจเฮือก
เฟื่องอยู่ด้วยบอกว่า “น่าเสียดายจังเลยนะคะ ถ้าติดกล้องวงจรปิดเร็วกว่านี้ เราก็คงรู้ตัวคนร้ายแล้ว”
“คนร้ายมันอยู่ใกล้ตัวเรานี่ล่ะ เดี๋ยวมันก็จะปรากฏตัวอีกแน่”
เฟื่องสะดุดหู “คุณชายพูดเหมือนกับว่ารู้ตัวคนร้ายแล้ว คุณชายสงสัยใครเหรอคะ”
“ฉันยังไม่อยากปรักปรำใคร ไว้ให้ฉันได้หลักฐานให้แน่นหนากว่านี้ก่อน ฉันจะไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลแน่”
พร้อมกับว่าภาณุกรก็ดึงลิ้นชักออกมา เผยให้เห็นสร้อยข้อมือของอุณนิษาอยู่ในนั้น
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกหลานคนมีชาติตระกูลดีอย่างหนูนิษา จะเป็นฆาตกรได้”
ภาณุกรได้แต่คิดอยู่ในใจ มองสร้อยข้อมือเพชรเส้นนั้นสีหน้าเครียด
รสสุคนธ์ค่อยๆ ย่องลงจากบันไดหน้าเรือนไม้หอม เดินตรงมาที่สระบัว บรรยากาศเงียบสงัด วังเวงชวนขนลุก สาวผู้เห็นผีเป็นว่าเล่น หันซ้ายแลขวามองหาผีปริก
“วิญญาณน้าปริกอยู่มั้ยนะ”
รสสุคนธ์เดินมาหยุดตรงริมสระบัว มองลงไปบริเวณที่เคยมีศพปริกอยู่
“น้าปริก น้าปริกอยู่หรือเปล่าคะ”
น้ำในสระบัวเห็นพรายน้ำผุดขึ้นมา มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ก้นสระ รสสุคนธ์ขยับตัวก้มไปดูด้วยความสาระแนปนอยากรู้อยากเห็น
ปริกเหลือบตามองขึ้นไปบนฝั่ง แล้วพุ่งตัวว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ หวังจะกระชากคอรสสุคนธ์ลงมาฆ่า
จู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามาจับไหล่รสสุคนธ์ไว้
“ว้าย”
รสสุคนธ์สะดุ้งเฮือก ด้วยความตกใจจึงกระแทกศอกใส่เข้าที่ท้อง โดนแผลที่ถูกแทงของรามนรินทร์เต็มๆ จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย”
รสสุคนธ์หันกลับไปเห็นเป็นรามนรินทร์ก็ตกใจ
“คุณราม”
รามนรินทร์ต้องถอดเสื้อเปลือยอก โชว์ความอ้วนพีต่อหน้ารสสุคนธ์ เห็นผ้าปิดแผลมีเลือดซึมออกมา
“คุณเจ็บหรือเปล่าคะ”
“เจ็บสิครับ สงสัยแผลผมคงปริแน่ๆ”
“ฉันขอโทษนะ มาค่ะ เดี๋ยวฉันทำแผลให้”
รสสุคนธ์แกะผ้าปิดแผลออกแล้วทำแผลให้รามนรินทร์จากนั้นก็ติดผ้าปิดแผลอันใหม่ให้
รามนรินทร์มองรสสุคนธ์ก็ยิ้มหวานให้ พอได้โอกาสก็หอมแก้มรสสุคนธ์ฟอดใหญ่
“คุณราม คนฉวยโอกาส” รสสุคนธ์มองค้อน ท่าทีขวยเขิน
“ผมให้รางวัลคนทำดีต่างหากครับ” รามนรินทร์มองสบตาลึกซึ้ง
รสสุคนธ์ตาโต หน้าแดง ทุบตีชายหนุ่มแก้เขิน รามนรินทร์รีบรวบตัวรสสุคนธ์มากอดไว้
“อ๊ะๆ อย่านะครับ ถ้าคุณทำผมเจ็บอีก คราวนี้ ผมจะหอมคุณเป็นการลงโทษ อยากลองอีกซักฟอดมั้ย”
“อย่านะ ฉันไม่ตีแล้ว คุณปล่อยฉันสิ”
“ผมยังไม่อยากปล่อยนิครับ ขออยู่แบบนี้ไปอีกนิดหนึ่งนะ”
รามนรินทร์สวมกอดรสสุคนธ์จนแน่น อีกฝ่ายหน้าแดงจัด ค่อยๆ ซบลงบนอกอวบๆ ของรามนรินทร์
เวลาเดียวกันนี้ ชายฉกรรจ์ 3 คน พากันย่องเข้ามาที่ประตูด้านหลังบ้านพรหมบดินทร์โดยไม่ได้นัดหมาย
ชาย 2 เห็นอีกสองคนก็แปลกใจทักขึ้น “เฮ้ย เอ็งจะมาที่นี่อีกทำไมวะ”
“ข้าก็จะมาเอาค่าจ้างสิวะ” ชาย 1 ว่า
ชาย 3 ทักท้วง “แต่น้าปริกตายไปแล้วนะโว้ย เอ็งจะมาค่าจ้างกับใคร”
ชาย 1 บอกว่า “ก็นังคนสวยคนนั้นไงวะ เสียดายถ้าไอ้หน้าจืดนั่นไม่โผล่มาป่านนี้ข้ากับพวกเอ็งคงได้ขึ้นสวรรค์กันแล้ว”
“เออว่ะ งั้นจะรออะไรวะ จัดไปเลย”
สิ้นคำ ชาย 2 ชาย1 ควักอุปกรณ์มาสะเดาะกุญแจประตูรั้วหลังบ้านออกมา
แต่ยังไม่ทันทำอะไร จู่ๆ ประตูรั้วก็เปิดออกอย่างช้าๆ ทั้ง 3 คนชะงัก
ชาย 1 บอกเพื่อนงงๆ “เฮ้ย ไม่ได้ล็อกนี่หวา”
ชายชั่วทั้งสามรีบพากันก้าวเข้าบ้านพรหมบดินทร์ทันที พอมันเข้ากันมาได้หมด ประตูรั้วก็ปิดดังตึง ชายสองคนแรกมองชาย3 ตาขวาง ชาย 3 รีบปฏิเสธ
“ข้าเปล่านะ มันปิดเอง”
ชาย 1 ไม่เชื่อ “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยเอ็ง ไป...เดี๋ยวคนตื่นก็ซวยกันพอดี”
ทั้งสามรีบเดินออกไป โดยไม่รู้ว่าพวกมันเข้ามาได้เพราะอิทธิฤทธิ์ของผีอีปริก ที่ยืนขึงตามองอยู่พร้อมฉีกยิ้มแสยะอันน่ากลัวตามไป
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
ชายชั่วชะตาขาดทั้ง 3 คน พากันเดินลัดเลาะไปทางเรือนไม้หอม ผ่านความมืดเงียบสงบจนมาถึงสระบัว จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ของใครคนหนึ่งดังขึ้น ทั้งสามพากันชะงัก
ชาย 3 มองหาที่มาพร้อมถามคนอื่น “เอ็งได้ยินมั้ยวะ”
ชาย2 พยักหน้า “เออ...เต็มๆ สองหูเลย”
“ใครมาร้องไห้วะ” ชาย 1 มองไปที่ริมสระบัว “นั่นมีคนอยู่ตรงโน้น”
ชาย1 เห็นใครคนนั้นนั่งหันหลังเอาเท้าแช่น้ำเล่นอยู่ท่าน้ำริมสระบัว ชายคนดังกล่าวยิ้มกระหยิ่ม บอกเพื่อนแล้วปรี่เข้าไปหาทันที
“ผู้หญิงซะด้วย ขาวเนียนสเป็กข้าเลย คนนี้ข้าขอนะโว้ย” ว่าไงจ๊ะน้องสาว...มานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอจ๊ะ
“มานั่งรอพี่นั่นล่ะจ้า”
ที่แท้เป็นผีปริกนั่งหันหลังให้อยู่ ตอบเสียงหวานโดยยังไม่หันหน้ามาหา
“เสียงหวานจัง ไหนหันหน้ามาให้พี่ดูหน่อยสิจ๊ะว่าจะหวานแค่ไหน”
ปริกหันมาหาช้าๆ ชาย 1 ตะลึงตาค้างกับสภาพที่เห็น หัวของปริกแบะจากรอยเสียมฟาด แถมใบหน้าเละเต็มไปด้วยคราบเลือด โคลนตมเลอะเต็มเสื้อผ้า
“ผะ..ผี”
ชาย1 ขยับจะหนี แต่ไม่ทันเพราะปริกจิกตัวไว้โดยเร็ว แล้วกระชากชาย1โยนตกลงไปในสระบัวดังตูมชาย 2 กับชาย 3 เห็นท่าไม่ดีใส่เกียร์จะหนี แต่ปริกโผล่พรวดขึ้นมาขวางหน้าไว้
“พวกมึงทำให้กูต้องตาย มึงอย่าอยู่เลย”
ปริกยื่นมือออกไปบีบคอชาย2 กับชาย3 ทั้งคู่พากันดิ้นหายใจไม่ออก
ปริกค่อยๆ ยกมือขึ้น เท้าของชาย2 และชาย3 ลอยขึ้นจากพื้นดิน ทั้งคู่ตัวเกร็งกำลังจะหมดลม
ระหว่างนี้ชาย 1 ตะกายขึ้นมาจากสระได้ หันไปคว้าเสียมขึ้นมาฟาดใส่หลังปริกอย่างแรง
ผีปริกเซล้มลง คอหัก ร่างชายทั้งสองร่วงลงพื้น หอบหายใจ แฮ่กๆ ชายทั้งสามเห็นสภาพปริกก็แทบช็อก
ปริกค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วใช้มือดันคอที่หักหมุนกลับเข้าที่
พวกมันแหกปากร้องพร้อมกัน “ผีหลอก”
ชายทั้งสามพากันวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีสุดชีวิต ปริกเด้งตัวลุกขึ้นยืนจังก้าหัวเราะชอบใจ
รุ่งเช้า ห้องโถงบ้านพรหมบดินทร์ ได้ให้การต้อนรับเจ้าหน้าตำรวจอีกครั้ง
รามนรินทร์ รสสุคนธ์ ภาวิดา ภาณุกร จวง เฟื่อง และ น้อยนั่งฟังตำรวจ 1 ที่มาแจ้งความคืบหน้าเรื่องคดีอยู่
“ทางเราจับตัวคนร้ายที่ทำร้ายคุณรสสุคนธ์ได้แล้ว ผมอยากเชิญคุณรสสุคนธ์กับคุณรามนรินทร์ชี้ตัวที่สถานีตำรวจด้วยครับ”
รสสุคนธ์แปลกใจมาก “ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมจับตัวได้เร็วจังเลยคะ”
“คนร้ายพากันเข้ามามอบตัวเองครับ”
รามนรินทร์งงไม่ต่างกัน “แล้วพวกนั้นสารภาพว่าไงครับ”
“ทั้งสามคนยืนยันว่าปริกจ้างวานให้กระทำการทั้งหมดครับ”
จวงปฏิเสธสวนออกมาทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องจริง
“ไม่จริง นังปริกถูกใส่ความ คุณหญิงต้องให้ความเป็นธรรมกับนังปริกนะคะ”
“คุณตำรวจ นังปริกเป็นแค่คนใช้ มันจะไปจ้างคนมาทำร้ายแม่รสสุคนธ์ทำไม”
“ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ที่ผมรู้ ทั้งสามคนให้การว่าไม่ได้เป็นคนฆ่านางปริกครับ”
คำพูดของตำรวจทำให้ภาวิดาชะงักกึก จวงเองก็ต้องนิ่งเงียบไม่กล้าออกความเห็นอีกเดี๋ยวจะเข้าตัว
เฟื่องเป็นคนถามขึ้นว่า “อ้าว ถ้าพวกมันไม่ได้ทำแล้วใครทำล่ะคะ”
“บางทีฆาตกรอาจเป็นคนบงการน้าปริกอีกทอดก็ได้นะครับ” รามนรินทร์ออกความเห็น
“คุณรามหมายถึงใครคะ” น้อยถามขึ้น
“จะใครซะอีก ก็คนที่เกลียดหนูรสไง”
ท้ายคำพูดนั้นภาณุกรหันไปมองภาวิดาเขม็ง รสสุคนธ์ รามนรินทร์ น้อยและเฟื่องมองตาม
“นี่ อย่ามากล่าวหาฉันนะ ฉันไม่รู้เรื่อง”
ภาวิดาร้อนตัวรีบร้อนตัวโวยวายใส่ทันที
ภาวิดายืนกำมือแน่น อยู่ที่มุมพักผ่อนในศาลาริมน้ำ แค้นใจที่ถูกหาว่าเป็นฆาตกร
“เจ็บใจชะมัด สุดท้ายก็ทำอะไรมันไม่ได้ แถมฉันยังต้องกลายเป็นคนร้ายในสายตาทุกคนอีก”
“วันนี้อาจเป็นวันของมัน แต่พรุ่งนี้ต้องเป็นวันของเราค่ะ คุณหญิงอย่าคิดมากเลยนะคะ เดี๋ยวจวงจะหาวิธีกำจัดมันให้เอง”
ภาวิดาห้ามไว้ “ไม่ต้อง อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันระลึกร้อยปีตระกูลแล้ว ฉันไม่อยากให้งานเสีย”
“ค่ะ จวงจะทนเพื่อคุณหญิง ถึงแม้ว่าจวงอยากจะฆ่ามันแทบตาย”
“ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับแกหรอกจวง เอางี้ เดี๋ยวแกรีบไปจองคิวพระเลย พอมันออกไปจากบ้าน ฉันจะได้บุญใหญ่ให้พระทำพิธีล้างเสนียดจัญไรไปจากบ้านฉันด้วย”
“ได้ค่ะ จวงจะได้จองศาลาเผื่อให้มันด้วย”
จวงเดินออกไป ภาวิดามองตาม ด้วยสีหน้าอันกลัดกลุ้ม ถอนหายใจเฮือก
“เมื่อไรบ้านฉันจะกลับมาสงบเหมือนเดิมซะที”
รสสุคนธ์ น้อยและเฟื่องพากันเดินกลับมาที่เรือนไม้หอม
“ในที่สุดคุณรสก็หลุดจากข้อกล่าวหาซะที”
“น่าเสียดายที่จับตัวคนบงการมาลงโทษไม่ได้”
“ยังไงคนจ้องทำร้ายคุณรสยังอยู่ คุณรสต้องระวังตัวนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงยาย เดี๋ยวน้อยจะปกป้องคุณรสเอง”
เฟื่องหมั่นไส้ “แหม...ทำเป็นปากเก่ง สารรูปอย่างเอ็งจะไปสู้ใครได้วะ”
“งั้นให้เป็นหน้าที่ผมดีมั้ยครับ”
เสียงรามนรินทร์ที่แอบดักรอรสสุคนธ์อยู่ดังขึ้น พร้อมๆ กับก้าวออกมาหาสามคน
“คุณราม คุณมาทำอะไรตรงนี้คะ”
“ผมมาดูแลความปลอดภัยคุณไงครับ”
รามนรินทร์ยิ้มหวานมาให้ รสสุคนธ์หน้าแดง รีบพูดกลบเกลื่อนแซวรามนรินทร์แทน
“คุณห่วงตัวเองก่อนเหอะค่ะ แผลยังหายไม่ดีเดี๋ยวจะมาเป็นภาระฉันเปล่าๆ”
“ถึงผมจะเจ็บแต่ผมก็แข็งแรงพอที่จะปกป้องคุณนะ ไม่เชื่อลองดูมั้ยล่ะ”
ไม่เท่านั้นรามนรินทร์ยังรวบตัวรสสุคนธ์มากอดต่อหน้าสองคนอีกด้วย รสสุคนธ์ตกใจ
“คุณราม คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันสิ นมเฟื่องกับน้อยก็อยู่นะ อายเค้า”
“นมครับ ผมขอตัวคุณรสแป๊บหนึ่งนะครับ”
“ค่ะ เชิญคุณรามตามสบายเลยค่ะ”
น้อยเห็นทั้งคู่กอดกันก็ยืนบิด ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ฟิน จิ้นสุดๆ
“ฟินอ่ะยาย ฉันว่าแถวนี้ไม่น่าจะมีคนร้ายแล้วล่ะ แต่มีคนรักแทน”
“นังนี่ แล้วเอ็งจะยืนอยู่ให้เกะกะคุณๆ เค้าทำไม ไป”
เฟื่องลากน้อยออกไปเลย ปล่อยให้รามนรินทร์อยู่กับรสสุคนธ์กอดกันอยู่อย่างนั้น
ในเวลาต่อมาน้อยกับเฟื่องกำลังช่วยกันเอารูปแม้นมาศกับภาณุทัตมาติดเชือกเป็นโมบายสำหรับห้อยตกแต่งเรือน รามนรินทร์เห็นก็ถามด้วยความสงสัย
“น่ารักดีนะครับ คุณจะใช้รูปพวกนี้ตกแต่งเรือนไม้หอมเหรอครับ”
“ค่ะ คนที่มางานร้อยปีตระกูลจะได้เห็นรักแท้ของคุณชายภาณุทัตกับย่าเล็ก แม้ตัวจะตายจากกันแต่รักของพวกท่านจะอยู่ชั่วนิจนิรันดร์”
“คุณรสเนี่ยโรแมนติกจังเลยนะคะ ถ้าคุณชายยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงปลื้มแย่เลย”
สิ้นคำพูดของน้อย จู่ๆ ก็มีลมพัดวูบเข้ามา รูปภาพที่วางอยู่ปลิวตามแรงลม ลอยคว้างในอากาศ
“แกว่าไงนะ ใครตาย”
แม้นมาศแผดเสียง แสดงตัวออกมา แต่ไม่มีใครเห็นเว้นแต่รสสุคนธ์ ซึ่งหันไปมองเห็นแม้นมาศยืนจ้องภาพภาณุทัตที่ลอยอยู่ในอากาศ
เอ่ยขึ้นเป็นเชิงปรามเบาๆ ว่า “ย่าเล็ก”
แม้นมาศสะบัดมือ เกิดเป็นลมพัดข้าวของแถวนั้นลอยไปกระแทกน้อยกับเฟื่อง
“ว้าย นี่มันลมอะไรกันคะ” เฟื่องร้องลั่น
รสสุคนธ์ร้องห้าม “อย่านะคะย่าเล็ก”
แม้นมาศหยุดมือ หันขวับมามองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ แล้วพุ่งหายตัวขึ้นไปบนบ้าน
“คุณรสเมื่อกี้คุณคุยกับใคร” รามนรินทร์ถามขึ้น
“เอ่อ...รสอุทานอะไรบางอย่างน่ะค่ะ น้อยเดี๋ยวเก็บของเหอะนะ วันนี้ไม่ต้องทำแล้ว”
รสสุคนธ์ขยับไปช่วยน้อยกับเฟื่องเก็บรูปภาพที่ตกเกลื่อน รามนรินทร์มองรสสุคนธ์ด้วยความสงสัย
แม้นมาศนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับ จ้องรสสุคนธ์ที่กำลังก้าวเข้ามาในห้อง
“บอกความจริงฉันมาแม่รส คุณชายภาณุทัตเสียแล้วจริงๆ เหรอ”
“จริงค่ะ คุณชายทัตเสียหลังจากย่าเล็กเสีย 1 ปี”
“ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อ ไม่จริง.....”
แม้นมาศไม่อาจยอมรับได้ จึงกรีดร้อง ร่ำไห้ เสียงดังโหยหวนไปทั่วเรือน ดวงตาขาวโพลน ผมสยายดูน่ากลัวสุดจะประมาณ
เสียงหวีดร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวของผีแม้นมาศ มีผลทำให้หน้าต่าง ประตูบ้าน ที่เปิดอยู่เหมือนถูกลมกระชากปิด เปิด เสียงดังปึงปังอย่างรุนแรง
รามนรินทร์ น้อย และ เฟื่อง ที่พากันเดินขึ้นเรือนตามรสสุคนธ์มา ต่างสะดุ้งผวาตกใจทั้งแถบ แม้นมาศออกจากห้องเห็นสามคนพอดี จึงหันจ้องไปแจกันดอกไม้แถวนั้น ตวัดสายตาไปที่รามนรินทร์ รสสุคนธ์ออกมาเห็นแจกันลอยหวือไปหารามนรินทร์ จึงถลามาดึงเขาออก
“คุณรามระวัง”
แจกันเฉี่ยวหัวรามนรินทร์ไปกระแทกฝาบ้านแตกกระจายเสียงดัง
“คุณรส นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” รามนรินทร์อึ้ง แปลกใจมาก
สาวผู้เห็นผีอธิบายไม่ได้เหลียวมองไปขอร้องย่าเล็ก แม้นมาศคุมแค้นแล้วพุ่งตัวสลายหายวับไป
“เอ่อ...คุณรามคุณกลับไปก่อนนะคะ”
“แต่ว่า…”
“นะคะฉันขอล่ะ”
“งั้นผมกลับนะครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
รามนรินทร์จำใจเดินลงบันไดไป รสสุคนธ์หันไปสั่งน้อยกับเฟื่อง
“น้อย เดี๋ยวคืนนี้ไม่ต้องมานอนเฝ้าฉันนะ เธอกลับไปนอนห้องตัวเองเถอะ”
เฟื่องเป็นห่วง “แน่ใจนะคะคุณรสอยู่คนเดียวได้”
“ไปเถอะค่ะ รสอยู่ได้”
น้อยกับเฟื่องพากันเดินลงบันไดไป เจอรามนรินทร์ที่ยืนรออยู่ตรงชานบันไดเรือน
“เดี๋ยวนมเฟื่องกับน้อยไปคุยกับผมที่ห้องทำงานหน่อยนะครับ”
รามนรินทร์ชะเง้อคอมองขึ้นไปยังชั้นบนของเรือน ด้วยความเป็นห่วงรสสุคนธ์ ก่อนจะตัดใจเดินนำน้อยกับเฟื่องกลับเรือนใหญ่ไป
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
รามนรินทร์อยู่ที่ห้องทำงานภาณุกรแล้ว กำลังสอบถามถึงเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่เกิดขึ้น กับน้อยและเฟื่อง
“น้อย เหตุการณ์แบบเมื่อกี้เกิดขึ้นบ่อยมั้ย”
“เออ...คือว่า...”
เฟื่องหมั่นไส้ “เอ้า อ้ำอึ้งอะไร ตอบคุณรามไปสิ”
“พูดมา ฉันอนุญาต”
“เรียกว่าเป็นประจำเลยดีกว่าค่ะ น้อยเจอจนชินแล้ว”
รามนรินทร์อดตกใจไม่ได้ “อะไรกัน เกิดเรื่องน่ากลัวในบ้านขนาดนั้นทำไมไม่มาบอกฉัน แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร”
“ต้นเหตุก็ผีคุณแม้นมาศไงคะ” เฟื่องหยิกแขนน้อยอย่างแรง “โอ๊ย”
รามนรินทร์หน้าเครียด “ผีอีกแล้วเหรอ”
“นังน้อยมันก็ชอบพูดเพ้อเจ้อ คุณรามอย่าไปฟังมันเลยนะคะ”
“ผมคงไม่สน ไม่ได้หรอกครับ น้อยต่อจากนี้ไปถ้าเกิดเรื่องแบบอีก ให้ถ่ายคลิปแล้วส่งมาให้ฉันด่วน เข้าใจมั้ย”
“โอเคค่ะ น้อยจะถ่ายช็อตเด็ดๆ.มาให้เอง”
น้อยยิ้มทะเล้น เฟื่องขึงตาใส่หลาน รามนรินทร์ครุ่นคิดตรึกตรองว่า เกิดจากฝีมือผีจริงๆ หรือนี่
รอบๆ เรือนไม้หอมค่ำคืนนี้ วังเวงปนหลอน ทั้งเสียงสะอื้นไห้ของแม้นมาศและเสียงปริกคร่ำครวญดังสอดประสานประสมกันยิ่งชวนหลอนหนัก รสสุคนธ์เปิดหน้าต่างห้องนอนโผล่หน้าชะเง้อออกไปดูทางสระบัวด้วยความเป็นห่วง อดที่จะตำหนิความสาระแนของตัวเองไม่ได้
“โอ๊ย ปากหนอปาก ไม่น่าหลุดปากเลย สงสัยคืนนี้คงไม่ได้นอนกันพอดี”
รสสุคนธ์เดินไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอน เสียงสะอื้นไห้ยังดังเข้ามาเป็นระลอก แม้ว่าจะเอาหมอนปิดหูแต่ก็เสียงก็ยังได้ยินต่อเนื่อง สุดท้ายรสสุคนธ์เด้งตัวขึ้นมา
“เอาน่า เป็นไงเป็นกัน”
รสสุคนธ์ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
รสสุคนธ์เดินออกจากเรือนไม้หอมมาที่สระบัว เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ก็นึกว่าเป็นแม้นมาศ
“ย่าเล็ก รสขอนั่งเป็นเพื่อนนะคะ”
รสสุคนธ์ขยับตัวลงไปนั่งข้างๆ หันไปมองแต่ผมเผ้าก็ปิดหน้าปริกไว้จึงทำให้เห็นหน้าไม่ชัด
“ย่าเล็ก อย่าเสียใจไปเลยนะคะ คุณชายทัตท่านก็ไปสบายแล้ว ปล่อยวางเถอะค่ะ ถ้าย่าเล็กยังมีบ่วงอยู่แบบนี้ วิญญาณของย่าเล็กจะไปสู่สุคติไม่ได้นะคะ”
“กูจะไม่ไปไหน จนกว่ามึงจะตาย”
ปริกเหลียวขวับมาหนา ใบหน้าเละด้วยน้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้ม รสสุคนธ์ผงะหงาย ขยับหนี
“น้าปริก”
“นังรส เพราะมึง...กูถึงต้องตาย”
“รสเปล่านะ รสไม่ได้ฆ่าน้าปริก น้าปริกลองคิดดีๆ สิคะ”
ปริกชะงัก แล้วหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตาย
เป็นเพราะอุณนิษาเอาเสียมฟาดปริกแล้วจับหัวกดน้ำในสระบัว
ผีป้ายแดงปวดหัวร้องออกมาอย่างทรมาน
“โอ๊ย ปวดหัว...ปวดเหลือเกิน”
“น้าปริกจำคนที่ฆ่าน้าได้ใช่มั้ยคะ”
รสสุคนธ์ทำใจดีสู้ผีตามนิสัยสาระแน อยากรู้ว่าฆาตกรคือใครเต็มกลืน ปริกหยุดร้องแล้วเหลือบตาขึ้นมามองรสสุคนธ์ พยักหน้าแทนคำตอบ
รสสุคนธ์ลุ้นสุดขีด “ใครเป็นคนฆ่าน้าปริกคะ”
ปริกอ้าปากทำท่าทางเหมือนจะเอ่ยชื่อคนฆ่า แต่แล้วกลับยื่นมือออกมาบีบคอคนเห็นผีอย่างรวดเร็ว
รสสุคนธ์พยายามดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ปริกกัดฟันกรอดๆ บีบเค้นคอรสสุคนธ์แน่นขึ้นๆ แล้วดันตัวให้ล้มลงไปกับพื้น
“มึงตาย...ตาย”
ปริกลากหัวรสสุคนธ์กดลงไปในสระ รสสุคนธ์หายใจไม่ออกกำลังจะขาดใจรอมร่อ ผีแม้นมาศปรากฏตัวขึ้นมา คำรามลั่น
“ปล่อยหลานกูเดี๋ยวนี้”
“ไม่ กูไม่ปล่อย”
“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่มั้ย”
แม้นมาศลอยวูบมายืนใกล้ๆ แล้วจิกหัวปริกกระชากอย่างแรง ปริกร้องลั่นต้องยอมปล่อยมือ
รสสุคนธ์รีบคลานหนีตาย แม้นมาศตบปริกไม่ยั้ง ผีป้ายแดงได้แต่ยกมือขึ้นป้องกันด้วยความกลัว
“โอ๊ย กลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
“ไป ไสหัวไปอยู่ที่ของมึง”
แม้นมาศยกตีนถีบสุดแรงผี ปริกตกน้ำตูม วิญญาณผีตายโหงหน้าใหม่ค่อยๆ จมหายไป
รสสุคนธ์กลับขึ้นห้องนอน พนมมือก้มกราบแม้นมาศขอโทษอย่างสำนึกผิด
“รสขอโทษนะคะที่ไม่เคยบอกเรื่องคุณชายภาณุทัตให้ย่าเล็กฟังเลย ยกโทษให้รสนะคะ”
“ฉันรู้ว่าเธอทำไปเพราะความหวังดี อยากให้ฉันได้ไปผุดไปเกิด ฉันยกโทษให้เธอ”
“ขอบคุณค่ะ ย่าเล็กใจดีที่สุดเลย”
“ไม่ต้องมาปากหวานใส่ฉัน ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่าไปถามเอาความอะไรกับนังปริก เป็นไงล่ะเกือบเอาชีวิตไม่รอด เชื่อแล้วหรือยัง” แม้นมาศมองหมั่นไส้ความสู้รู้สาระของหลานสาว
“เชื่อแล้วค่ะ รสไม่กล้าแล้ว”
เสียงปริกร้องคร่ำครวญดังเข้ามา “ฮือๆ ๆ คุณฆ่าฉันทำไม ฆ่าฉันทำไม”
“อีนี่พูดไม่ขาดคำก็แหกปากอีกแล้ว เธอก็นอนซะนะ เดี๋ยวจะไปทำให้มันสงบปากสงบคำเอง”
“ขอบคุณนะคะที่คอยปกป้องรส”
รสสุคนธ์ยิ้มขอบคุณแล้วล้มตัวลงไปนอน แม้นมาศพยักหน้ารับรู้ มองรสสุคนธ์หลับตาแล้วก็ค่อยๆ หายตัววับไป
ที่บ้านสวนร้าง บรรยากาศดูวังเวง หมอกควันลอยคลุ้ง รสสุคนธ์เดินเข้ามายืนมองด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ...ทำไมฉันมาที่นี่”
รสสุคนธ์เดินเข้าไปในบ้านเรียกหาตาดำ
“ตาดำคะ ตาดำอยู่หรือเปล่าคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ รสสุคนธ์หันหลังกลับ แต่แล้วก็มีเงาร่างผู้หญิงคนหนึ่ง เดินตัดหน้าไป รสสุคนธ์ชะงัก
“นั่นใคร เดี๋ยวรอก่อน”
ผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด แถมเดินเร็วหลุดไปทางหลังบ้าน รสสุคนธ์รีบสาวเท้าตามไป
รสสุคนธ์เดินแกมวิ่งตามหลังมาติดๆ เห็นหญิงคนนั้นวิ่งหนีไปทางต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังบ้าน
“หยุดนะ...หยุด”
หญิงคนนั้นหยุดกึก ยืนหันหลังให้ไม่ยอมหันหน้ามามอง รสสุคนธ์ขยับเข้าไปใกล้ๆ มองด้วยความสงสัย ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวแปลกๆ เหมือนหลุดออกมาจากเมื่อ 30 ปีก่อน
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันอยู่ที่นี่”
“คุณเป็นญาติของตาดำเหรอคะ”
“เปล่า”
“อ้าว แล้วคุณเป็นใครล่ะ หันหน้ามาคุยกันดีๆ ได้มั้ย”
วาดค่อยๆ หันหน้ามาหารสสุคนธ์ ใบหน้าเละ หัวมีรอยทุบเลือดอาบ
“คุณเป็น...” รสสุคนธ์ผู้เห็นผีเป็นอาจิณต์ชะงัก นางพูดไม่ออก
วาดชี้นิ้วไปที่พื้นดินตรงจุดที่ยืนอยู่กับรสสุคนธ์
“ฉันอยู่ตรงนี้มาสามสิบปีแล้ว”
รสสุคนธ์ตามนิ้ว จู่ๆ พื้นดินบริเวณรสสุคนธ์อยู่ก็ทรุดลงเป็นหลุม
“ว้าย”
ร่างรสสุคนธ์ตกลงไปในหลุม หน้าไปชิดกับศพเน่าสลายเหลือแต่โครงกระดูกตรงก้นหลุม สาวเห็นผีผงะมองซากศพที่อยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างใกล้ชิด แทบช็อก
ไม่เท่านั้น ศพยังหันหน้ามาหารสสุคนธ์แล้วร้องไห้อ้อนวอนให้ช่วยด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวด
“ช่วยด้วย พาฉันออกไปจากที่นี่ที ฉันอยากกลับบ้าน”
ศพยังขยับมือมาจับตัวรสสุคนธ์ไว้ รสสุคนธ์หวีดร้องสุดเสียง
“อ๊าย...”
ที่แท้รสสุคนธ์ฝันร้าย นางนอนหลับอยู่บนเตียง หวีดร้องลั่น ยกมือป่ายปัดไปมาในอากาศ เหมือนกำลังพยายามจะปัดอะไรออกจากตัว
“ไม่...ออกไป ออกไป”
แม้นมาศเข้ามาเห็นพอดี รีบปลุกเรียกสติ
“แม่รส แม่รส ตื่นสิแม่รส”
รสสุคนธ์สะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย ตัวสั่น หายใจหอบ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความกลัว
“ย่าเล็ก”
รสสุคนธ์สะอื้นไห้โผเข้าไปกอดแม้นมาศด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน ฉันจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเธอเด็ดขาด ไหนเล่าให้ฉันฟังสิ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น”
“รส ฝันร้ายค่ะ รสฝันว่าไปเจอศพคนถูกฝังอยู่ที่บ้านสวนท้ายบ้านพรหมบดินทร์”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเป็นศพใคร”
“ไม่ทราบค่ะ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าตายมาสามสิบปีแล้ว เค้าขอให้รสช่วยพาเค้ากลับบ้านด้วยค่ะ”
แม้นมาศนิ่งคิด “งั้นนี่ก็เป็นฝันบอกเหตุ”
“หมายความว่าเมื่อสามสิบปีก่อนนอกจากย่าเล็กแล้วยังมีคนตายอีกคนเหรอคะ”
“ใช่ แล้วคนๆ นั้น อาจจะเป็นคนในครอบครัวเรา”
รสสุคนธ์ชะงัก รู้ทันทีว่าแม้นมาศกำลังพูดถึงใคร
“คนที่จู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย คนที่เธอกำลังตามหา”
“ย่าวาด”
เป็นใครไปไม่ได้แล้ว รสสุคนธ์อุทานออกมาเสียงเบาหวิว แล้วอึ้งไป น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดรวดร้าวจนพูดอะไรไม่ออก แม้นมาศดึงหลานมากอดแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
รสสุคนธ์ตื่นแต่เช้า พาตัวเองเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงจุดที่ฝันว่าเจอศพย่าวาด พร้อมกับย่อตัวลงนั่งแล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปแตะดินแถวนั้น น้ำตาไหลริน สะอื้นไห้ออกมาอีก
“ย่าวาดขา ย่าอยู่ที่นี่เหรอคะ ย่าไม่ต้องกลัวนะคะ รสจะพาย่ากลับบ้านเอง”
ระหว่างนี้ตาดำถือมีดพร้าเดินลากลำไม้ไผ่เข้ามา เห็นรสสุคนธ์มีท่าทางแปลกๆ ก็เข้าไปดู
“นังหนู เอ็งกำลังทำอะไร”
รสสุคนธ์สะดุ้งเฮือก หันมาเห็นตาดำถือมีดก็ตกใจ รีบปาดเช็ดน้ำตา
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าแล้วร้องไห้ทำไม เอ็งมีอะไรปกปิดข้าหรือเปล่า”
ตาดำขยับเข้าไปหาใกล้ๆ รสสุคนธ์กลัวคิดว่าจะเข้ามาทำร้าย
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ พอฝุ่นเข้าตา ตารสก็เลยเจ็บน่ะค่ะ รสขอตัวกลับบ้านไปหยอดตาก่อนนะคะ”
รสสุคนธ์รีบเดินหนีโดยเร็วด้วยความกลัว
“ท่าทางมีพิรุธ หรือว่าแม่รสจะไปรู้อะไรมา”
ตาดำมองตามไปด้วยความสงสัย
รามนรินทร์เดินเข้ามาในศาลาริมน้ำ เห็นรสสุคนธ์เดินกระวนกระวายใจรออยู่ก็เข้าไปทัก
“คุณรสมาหาผมแต่เช้า...มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาคุณรามค่ะ คือว่า...”
รามนรินทร์ชะงักมองรสสุคนธ์ที่ทำหน้าจริงจังด้วยความแปลกใจ
รสสุคนธ์เล่าความฝันให้รามนรินทร์ฟัง อีกฝ่ายกลั้นยิ้มเห็นเป็นเรื่องขำๆ
“คุณราม มันไม่ตลกนะคะ”
“มันก็แค่ความฝันเอง คุณอย่าเก็บไปคิดมากสิครับ”
“ฉันคิดน้อยไปด้วยซ้ำ คุณย่าฉันหายตัวไปนานตั้ง 30 ปี นี่เป็นเบาะแสเดียวที่ฉันมี แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง ตระกูลพรหมบดินทร์จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้”
“ตกลงครับ งั้นเราไปพิสูจน์กัน”
ไม่นานต่อมา รามนรินทร์ กับรสสุคนธ์ยืนคุมคนงานขุดดินตรงใต้ต้นไม้หลังบ้านสวนของตาดำ บริเวณจุดที่นางฝันว่ามีศพย่าฝังอยู่ คนงานขุดจนเป็นหลุมลึก แต่จังหวะหนึ่งคนงานดันไปชนกระถางต้นว่านหล่นแตก ตาดำที่ยืนมองอย่างไม่พอใจอยู่แล้วก็ชักโมโห เริ่มโวยวาย
“เฮ้ยๆ กระถางว่านข้าพังหมด ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน คนพวกนี้เอ็งมาขุดดินที่บ้านข้าทำไม”
“คุณรสสงสัยว่าที่ตรงนี้มีศพฝังอยู่ครับ” รามนรินทร์อธิบายดีๆ
ตาดำฉุน “เหลวไหล นี่มันบ้านคนไม่ใช่ป่าช้าจะมีศพฝังอยู่ได้ยัง”
ระหว่างนี้จอบคนงานขุดไปโดนอะไรบางอย่างเข้า ตนงานมองลงไปดูเป็นเศษผ้าเก่าๆ ขาดๆ
“เจอแล้วครับ”
รามนรินทร์ รสสุคนธ์และตาดำเข้าไปยืนมองดู คนงานใช้จอบงัดของขึ้นมาบนปากหลุม เผยเห็นเป็นหัวกะโหลกคนกลิ้งโค่โล่ออกมาจากเศษผ้าเปื้อนดินนั้น ทุกคนพากันฮือฮา
“ศพ...มีศพอยู่จริงๆ ด้วย” รามนรินทร์อึ้งไป
รสสุคนธ์หันมาเอาเรื่องตาดำ “ว่าไงคะ คุณตาจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
รามนรินทร์กับรสสุคนธ์พากันมองจ้องตาดำ ด้วยความสงสัยเคลือบแคลง
“ข้า...ข้าไม่รู้เรื่อง...ศพมันมาอยู่นี่ได้ไง ข้าไม่รู้จริงๆ”
ตาดำหน้าซีดเผือด ตัวสั่นสะท้าน ทำอะไรไม่ถูก
ตาดำยืนกรานเสียงแข็งกับรามนรินทร์และรสสุคนธ์
“ข้าไม่ได้ทำนะ ศพนั่นเป็นของใครข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ พวกเอ็งสองคนต้องเชื่อข้านะ”
“ผมก็อยากเชื่อนะครับ แต่ดูจากสภาพศพแล้วศพนี้น่าจะถูกฝังอยู่ที่นี่มานานแล้ว คุณตาจะบอกไม่รู้ไม่เห็นมันไม่ได้นะครับ”
“บอกความจริงพวกเรามาเถอะค่ะ พวกเราช่วยคุณตาได้นะคะ”
ตาดำน้ำตาคลอมองรสสุคนธ์กับรามนรินทร์ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเสียใจและผิดหวัง
“ใช่สิ ข้ามันก็แค่คนจนๆ คนหนึ่ง พอมีเรื่องไม่ดีพวกเอ็งตัดสินว่าข้าเป็นคนผิด ถ้าพวกเอ็งไม่เชื่อก็ให้ตำรวจมาจับข้าเลย ข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น”
ตาดำนั่งลง พร้อมจะให้ตำรวจมาจับตัวตามที่พูด
รสสุคนธ์กับรามนรินทร์พากันมองหน้ากัน เครียดไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี
ตำรวจท้องที่นำสายกั้นห้ามเข้ามากั้นรอบบริเวณบ้านสวนไว้ ผู้คนละแวกนั้นรู้ข่าวต่างพากันมามุง ดูด้วยความอยากรู้ จวง สร้อย และน้อยพากันแหวกคนเข้ามา ถามน้อยที่มาถึงก่อน
“ถอยๆ ตำรวจมาทำอะไรวะนังน้อย”
“ถ้าฉันรู้ฉันคงไม่มายืนคอยืดคอยาวกับน้าจวงหรอก”
จวงฉุน “อ้าว อีนี่ ถามดีๆ วอนโดนตบซะละ”
“อ๊ะๆ ตบฉันต่อหน้าตำรวจระวังโดนจับนะน้า”
น้อยกระโดดออกห่าง พร้อมกับยิ้มทะเล้นกวนๆ มาให้
“ฝากไว้ก่อนเหอะเอ็ง”
สร้อยคันปากอยากจะด่าแต่ตาเหลือบไปเห็นรสสุคนธ์เข้าก่อน
“เฮ้ยๆ จวง นั่นคุณรสกับคุณรามนิ”
“ข้าว่าแล้ว แม่นี่ไปไหนที่นั่นฉิบหายหมด สงสัยมีคนตายอีกแน่ๆ”
จวงฟันธง มองเข้าไปข้างในเห็นรามนรินทร์กับรสสุคนธ์กำลังยืนให้ปากคำกับตำรวจอยู่
รามนรินทร์กับรสสุคนธ์ยืนคุยกับตำรวจ เห็นด้านหลังบ้านเจ้าหน้าที่กำลังถ่ายรูปศพที่อยู่ในหลุม
เจ้าหน้าที่นิติเวชช่วยกันลำเลียงกระดูกชิ้นส่วนขึ้นมาจากหลุมใส่เปลหรือกล่องหลักฐาน
ที่ก้นหลุมตรงส่วนด้านหัวกะโหลกเห็นอะไรบางอย่างที่มีความแวววาวตกอยู่ในดิน
เจ้าหน้าที่มีของตกอยู่ด้วยครับ
เจ้าหน้าที่ใช้มืองัดของชิ้นนั้นออกมา มันคือสร้อยทองพร้อมจี้ล็อกเก็ตเกรอะไปด้วยดิน รามนรินทร์ รสสุคนธ์รีบเข้าไปดู มองลุ้นๆ รสสุคนธ์หยิบมือถือมาถ่ายรูปไว้
“คุณครับ ถ่ายรูปไม่ได้นะครับ กรุณาลบภาพด้วยครับ”
รสสุคนธ์อึ้งหันมองรามนรินทร์ให้ช่วย รามนรินทร์รีบออกหน้า
“เอ่อ ขอเถอะครับ พอดีที่ดินตรงนี้เป็นเขตบ้านผม บางทีสร้อยเส้นนี้อาจเป็นของคนรู้จักพ่อแม่ผมก็ได้ครับ”
“ผมจะยกเว้นให้ก็ได้ครับ ว่าแต่บ้านหลังนี้ปกติมีใครอยู่มั้ยครับ”
รามนรินทร์ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย น้ำเสียงเฉียบคมดูไม่มีพิรุธ
“ไม่มีครับ บ้านนี้เป็นบ้านร้าง ไม่มีใครอยู่ครับ”
รสสุคนธ์ได้ยินรามนรินทร์โกหกตำรวจก็มองเขาอย่างแปลกใจ
ขณะที่สองคนเดินกลับบ้านพรหมบดินทร์ด้วยกัน รสสุคนธ์หันไปถามรามนรินทร์ด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณถึงไม่บอกตำรวจเรื่องตาดำล่ะคะ”
“ผมสงสารแกน่ะสิครับ ถ้าคุณแม่รู้เรื่องที่มีคนมาเช่าที่ราคาถูกอยู่ ตาดำคงจะต้องถูกไล่ออกจากที่แน่ๆ แล้วอีกอย่างผมเชื่อนะครับว่าตาดำบริสุทธิ์”
“ฉันก็คิดเหมือนคุณค่ะ คนอย่างตาดำภายนอกดูน่ากลัวก็จริง แต่จริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยน ไม่น่าจะฆ่าใครได้”
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อครับ”
“ฉันจะส่งภาพสร้อยล็อกเก็ตนี้ให้ย่าดู บางทีท่านอาจจะรู้ตัวเจ้าของสร้อยเส้นก็ได้”
“งั้นส่งรูปมาให้ผมด้วยนะครับ ผมจะลองไปถามคุณแม่กับคุณน้ากรดูอีกแรง”
“ได้ค่ะ”
รสสุคนธ์ใช้มือถือส่งรูปสร้อยที่ถ่ายไว้เข้ามือถือของรามนรินทร์
พอรามนรินทร์กับรสสุคนธ์เดินเข้ามาในโถงบ้าน ก็ต้องชะงักเมื่อเห็น ภาณุกร ภาวิดา แขไขและจวง นั่งคุยกันอยู่ในนั้นแล้ว ภาวิดาขึงตาใส่รสสุคนธ์ ก่อนจะถามลูกชายว่า
“นังจวงมันบอกว่ารามไปเจอศพคนตายในที่ดินเราจริงหรือเปล่า”
“จริงครับ”
“ตายจริง แล้วไปเจอศพที่ไหน”
“บ้านสวนร้างท้ายบ้านพรหมบดินทร์ค่ะ” รสสุคนธ์เสริม
“บ้านนั่นมันปิดร้างมาตั้งนานแล้ว เธอไปยุ่งย่ามอะไรแถวนั้น”
จวงสาระแนขึ้นว่า “นั่นสิคะ พักหลังๆ จวงเห็นคุณรสชอบแอบหายไปบ่อยๆ ที่แท้ก็แอบไปขุดหาศพนี่เอง”
แขไขแดกดัน “ชาติก่อนเธอเกิดเป็นสัปเหร่อหรือไง ไปไหนก็มีแต่คนตาย”
“หญิงแขพูดเกินไปแล้วนะ”
ภาณุกรปรามและตำหนิแขไขในที ภาวิดารีบออกโรงป้องแขไข
“หรือว่ามันไม่จริง ตั้งแต่แม่นี่มาอยู่ที่บ้านเรา คนในบ้านก็พากันล้มตายทีละคน นรกส่งเธอมาเกิดแท้ๆ เลย”
“คุณแม่” รามนรินทร์เหนื่อยใจนัก
รสสุคนธ์อึ้งพูดไม่ออก ภาวิดากับจวงจ้องรสสุคนธ์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ระหว่างนี้รถอุณนิษาแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนใหญ่ อุณนิษาเหลือบมองไปที่กระจกข้างก็ชะงักกึก เมื่อเห็นผีปริกยืนถลึงตาอาฆาตแค้นมาให้จากด้านท้ายรถ
อุณนิษาตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก จนจีรนันท์ที่นั่งมาด้วยหันมาเรียกด้วยความสงสัย
“นิษา...นิษา”
อุณนิษาสะดุ้งหันไปมองอีกทีปริกก็ไม่อยู่แล้ว
“อะไรจีจี้ ฉันตกใจหมด”
“ฉันเห็นเธอหน้าซีดๆ โอเคหรือเปล่า”
“ฉันสบายดี รีบไปกันเหอะ เดี๋ยวคุณแม่กับคุณหญิงป้าจะรอ”
สองสาวรีบลงจากรถ อุณนิษาอดมองไปที่ท้ายรถไม่ได้ แต่ไม่เห็นอะไรก็เดินเข้าเรือนใหญ่ไป
รสสุคนธ์เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ขณะหันไปพูดกับภาวิดาด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ กลั้นอารมณ์เต็มที่
“ค่ะ ดิฉันอาจเป็นตัวกาลกิณีอย่างที่คุณหญิงพูด”
ภาวิดากับจวงพากันยิ้มหยันสะใจ ที่รสสุคนธ์ออกปากด่าตัวเอง จนรสสุคนธ์บอกต่อว่า
“แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ศพที่ถูกฝังตายมาหลายปีแล้วค่ะ”
ภาวิดาได้ยินถึงกับลมแทบใส่ จวงรีบเข้าไปประคอง
“อะไรนะ ตายมาตั้งหลายปีแล้ว โอ๊ย นี่บ้านฉันกลายเป็นสุสานตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
ภาณุกรสนใจ “แล้วรู้หรือเปล่าว่าเป็นศพใคร”
“ไม่ทราบครับ ตำรวจกำลังหาหลักฐานพิสูจน์ตัวตนอยู่” รามนรินทร์บอก
“แต่เราเจอหลักฐานชิ้นหนึ่งตกอยู่ที่ศพด้วยค่ะ”
อุณนิษากับจีรนันท์เดินเข้ามาได้ยินคำที่รสสุคนธ์พูดพอดี อุณนิษาชะงักกึกรีบดึงจีรนันท์ไว้
“เดี๋ยวจีจี้อย่าพึ่งเข้าไป”
จีรนันท์งง “ทำไม มีอะไรเหรอ”
“เงียบก่อนน่า ฉันจะฟังนังรสมันพูด”
อุณนิษาแอบดูและคอยเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้
จีรนันท์มองท่าทีนั้นด้วยความสงสัย
“หลักฐานอะไร ไหนเอามาให้คุณหญิงพี่กับฉันดูซิ” แขไขเอ่ยขึ้น
รามนรินทร์เปิดรูปสร้อยล็อกเก็ตในมือถือตัวเองโชว์ให้ทุกคนดู
“นี่ค่ะ ตำรวจเจอสร้อยนี่ในที่เกิดเหตุด้วย”
ภาณุกรรับไปดู แล้วส่งต่อให้ภาวิดากับแขไขดู จวงชะโงกหน้าสาระแนมาดูด้วย สามคนมองดูรูปในมือถือแล้วหน้าเครียดลง
ประสาวัวสันหลังหวะ อุณนิษาเห็นก็เกิดความกลัวขึ้นมา คิดว่าสร้อยที่ว่าคือสร้อยข้อมือที่ตัวเองทำหายไปตอนฆ่าปริก
“สร้อย...หรือว่า...”
อุณนิษานึกไปถึงตอนจับหัวปริกกดน้ำ แล้วปริกดิ้นรนเอาชีวิตรอด มือป่ายปะไปมาโดนสร้อยข้อมืออุณนิษาหลุดร่วงลงไปในกอบัว”
อุณนิษาหน้าซีดซวนเซแทบยืนไม่ติดที่ จวงหันไปเห็นสองสาวแอบยืนอยู่จึงบอกภาวิดา
“คุณนิษามาค่ะคุณหญิง”
แขไขมองตาม “อ้าวนิษา ไปยืนทำอะไรตรงนั้นล่ะ เข้ามากราบคุณหญิงป้าสิลูก”
อุณนิษากระอึกกระอัก “เอ่อ...สวัสดีค่ะ พอดีนิษานึกถึงได้ว่าลืมของ นิษาลาก่อนนะคะ”
“งั้นจีจี้ก็ลาด้วยค่ะ นิษา...รอด้วย”
อุณนิษาเผ่นออกไปทันที จีรนันท์หน้าเหวอรีบวิ่งตาม
ภาวิดางง “หญิงแข หนูนิษาเป็นอะไร”
แขไขหน้าเจื่อนไป “ช่วงนี้ลูกนิษาไม่ค่อยสบายค่ะ แขต้องขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ”
ภาณุกรมองตามอุณนิษาดูออกว่ามีพิรุธ
“ราม เดี๋ยวส่งรูปนี้เข้าเครื่องน้าด้วยนะ
ภาณุกรรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามอุณนิษาออกไป
อุณนิษากับจีรนันท์รีบร้อนขึ้นรถ อุณนิษาสตาร์ทเครื่องแต่สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด ยิ่งเมื่อหันไปมองที่กระจกหลังก็เห็นปริกเอาหน้าแนบกระจกเกาะอยู่บนกระโปรงท้ายรถ ก็ลนลานหน้าซีดเผือด รีบสตาร์ตรถอีกอย่างร้อนรน แต่รถดันสตาร์ตไม่ติดอยู่ดี
“ติดสิ...ติด”
ปริกคลานจากท้ายรถขึ้นไปหลังคา แล้วโผล่หัวพรวดลงมาทางกระจกหน้ารถ ขึงตาขาวโพลนคำรามใส่
“คุณฆ่าฉันทำไม คุณฆ่าฉันทำไม
“แอร๊ย...” อุณนิษาหวีดร้องลั่น จีรนันท์ตกใจเขย่าตัวเรียกสติ
“คุณนิษาเป็นไร”
“ฉันเห็น...”
อุณนิษาชะงักมองไปหน้ารถแต่ไม่เห็นอะไรแล้ว จีรนันท์มองตามอย่างสงสัย
จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่ง เคาะกระจกรถข้างคนขับ อุณนิษาสะดุ้งเฮือกตกใจ สองสาวหันไปมองเห็นเป็นภาณุกร ยิ้มนิ่มนิ่งมาดผู้ดีมาให้
อุณนิษากดเลื่อนกระจกด้านคนขับลง
“จะรีบไปไหนเหรอจ๊ะหนูนิษา ไม่อยากดูรูปหลักฐานก่อนเหรอ”
“นั่นสินิษา ฉันอยากเห็นอะ เราลงไปดูกันเถอะ” จีรนันท์ว่า
“ไม่ค่ะ นิษาไม่เห็นอยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วนิษากลับก่อนนะคะ”
อุณนิษาจะกดเลื่อนกระจกปิด แต่ภาณุกรใช้มือกันไว้
“แต่น้าว่านิษาควรจะดูหน่อยนะ บางทีหนูอาจจะรู้จักคนที่เป็นเจ้าของสร้อยก็ได้”
ภาณุกรเพียงพูดหยั่งเชิงประเมินดูท่าที
อุณนิษาหน้าซีดมือไม้เริ่มสั่น กลัวจับใจว่าความลับที่เป็นคนฆ่าปริกจะแตก
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
ถัดจากนั้นสองสาวเข้ามานั่งในห้องทำงานภาณุกร อุณนิษารวบรวมความกล้าถามขึ้น
“ไหนล่ะคะสร้อยที่คุณชายน้าพูดถึง”
ภาณุกรค่อยๆ เลื่อนลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา เผยให้เห็นสร้อยข้อมือของอุณนิษาอยู่ข้างใน
“ใจเย็นสิ เดี๋ยวนิษาก็ได้เห็น”
อุณนิษามองลุ้น แต่แล้วภาณุกรกลับหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเปิดรูปสร้อยล็อกเก็ตให้อุณนิษาดู
“หนูนิษาเคยเห็นสร้อยล็อกเก็ตนี่มั้ย”
อุณนิษามองสร้อยล็อกเก็ตในโทรศัพท์มือถือแล้วโล่งใจ
“ของเก่าดูไร้รสนิยมแบบนี้นิษาจะเคยเห็นได้ไงคะ”
จีรนันท์ยื่นหน้ามาดูด้วย “นั่นสิ สร้อยล็อกเก็ตเชยๆ แบบนี้เค้าเลิกฮิตนานแล้วล่ะค่ะ”
“แล้วนี่พี่รามกับรสสคุนธ์ไปเจอสร้อยที่ศพนังปริกเหรอคะ” อุณนิษาชวนคุย
“เปล่า ว่าแต่ทำไมหนูนิษาถึงคิดว่ามันอยู่ที่ศพปริกล่ะ”
อุณนิษาชะงักกึก “เอ่อ...เห็นพูดถึงคนตาย นิษาก็เดาเอาน่ะค่ะ”
อุณนิษาหน้าซีดรีบหลบตาพัลวัน ภาณุกรเริ่มสงสัยในตัวอุณนิษามากขึ้น แต่ต้องเก็บงำเอาไว้ก่อน
ภายในห้องรับแขกบ้านพรหมบดินทร์ รามนรินทร์ใช้นิ้วขยายรูปล็อกเก็ตในมือถือดูอย่างพินิจพิเคราะห์ ภาวิดากับแขไขเห็นก็ถามขึ้น
“ราม นี่เรายังไม่เลิกดูสร้อยคอผีอีกเหรอ”
“ผมอยากรู้นี่ครับว่าเจ้าของสร้อยนี้เป็นใคร
“คนตายไปแล้วอยากไปรู้จักทำไม น้าว่าเรามาสนใจคนเป็นก่อนดีกว่ามั้ย”
รามนรินทร์แปลกใจ “คุณหญิงน้าหมายถึงใครครับ”
“ก็ยัยนิษาไง วันก่อนเป็นลมล้มฟุบอยู่ที่ข้างสระน้ำจนเกือบจมน้ำตาย”
ภาวิดาตกใจ “ตายจริง เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แล้วทำไมหญิงแขถึงไม่โทร.บอกพี่ พี่กับตารามจะได้ไปเยี่ยมหนูนิษา”
“แขเห็นว่าคุณพี่กำลังยุ่งๆ เรื่องงานศพนังปริกก็เลยเกรงใจน่ะค่ะ”
“เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ทีหลังไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรบอกพี่ได้ จวง...หนูนิษากลับไปยัง”
“ยังค่ะ จวงเห็นคุยอยู่กับคุณชายกรที่ห้องทำงาน”
“ดี ราม ลูกไปเทคแคร์น้องหน่อยสิ ตอนรามเจ็บน้องเค้าก็มาดูแลเรา ถึงเวลาที่รามต้องดูแลน้องคืนแล้วนะ”
“ได้ครับ”
รามนรินทร์จำใจต้องรับปาก ภาวิดากับแขไขหันมายิ้มให้กัน
เฟื่องกับสร้อยยกของว่างมาให้รามนรินทร์ อุณนิษาและจีรนันท์ที่ศาลาริมน้ำ
“น้ำบัวหลวงแก้หน้ามืดวิงเวียนค่ะ”
“ขอบคุณครับนมเฟื่อง เห็นคุณนิษาหน้ามืดเป็นลม พี่เลยให้นมเฟื่องต้มมาให้คุณนิษาโดยเฉพาะเลยนะ ลองดื่มดูสิ”
“ขอบคุณค่ะ แค่พี่รามเป็นห่วงนิษา นิษาก็รู้สึกดีขึ้นเป็นกองแล้วล่ะค่ะ”
“แค่รู้สึกมันไม่ทำให้หายหรอก จีจี้ว่าคุณรามน่าจะป้อนคุณนิษานะคะ คุณนิษาจะได้หายไวๆ เร็วสิคะ”
จีรนันท์คะยั้นคะยอเป็นการใหญ่ รามนรินทร์จำใจถือแก้วน้ำยกให้อุณนิษาดื่มตามแรงเชียร์
รสสุคนธ์กับน้อยยืนมองอยู่มุมหนึ่ง น้อยค้อนลมค้อนแล้งแถวนั้น มองอย่างหมั่นไส้
“น้ำแก้วเดียวกินเองก็ไม่ได้ สงสัยจะเป็นง่อย”
“อย่าไปสนใจพวกเค้าเลย เราไปทำงานกันต่อเถอะ”
รสสุคนธ์กับน้อยขยับจะเดินออกไป จีรนันท์หันมาเห็นจึงเรียกไว้ อยากให้รสสุคนธ์มาเห็นภาพบาดตาใกล้ๆ
“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะรสสุคนธ์ มากินของว่างด้วยกันสิ”
รามนรินทร์กับรสสุคนธ์สบตากัน อุณนิษาแกล้งทำเป็นเวียนหัว ออเซาะรามนรินทร์ยกใหญ่
“โอ๊ย พี่ราม นิษาเป็นอะไรก็ไม่รู้ เวียนหัวจังเลย”
“ทำใจดีๆ ไว้นะนิษา”
รสสุคนธ์เห็นก็เจ็บใจจี๊ด รีบเดินหนีกลับ
“แหวะ เห็นแล้วเลี่ยน”
น้อยสะบัดหน้าใส่แล้วเดินตามรสสุคนธ์ไป อุณนิษากับจีรนันท์ลอบยิ้มให้กันอย่างสะใจ
รสสุคนธ์เดินหน้ามุ่ยขึ้นเรือนไม้หอมมานั่งหน้าบูดอยู่คนเดียวในห้องโถง แอบหึงรามนรินทร์โดยไม่รู้ตัว แม้นมาศปรากฏตัวขึ้นเห็นท่าทีหลานสาวก็เดินเข้าแซว
“แม่รส...งอนตารามมาเหรอ”
“เปล่านะคะ รสกับคุณรามไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมรสต้องงอนคุณรามด้วย”
แม้นมาศยิ้มรู้ทัน “ไม่งอนก็ไม่งอน แล้วนี่เจอศพมั้ย”
“เจอค่ะ ตำรวจเจอสร้อยล็อกเก็ตนี่ที่ศพค่ะ”
รสสุคนธ์เปิดภาพสร้อยล็อกเก็ตในมือถือให้ผีย่าดู
“ย่าเล็กเคยเห็นมั้ยคะ”
แม้นมาศมองจ้องสร้อยล็อกเก็ตอย่างพินิจพิเคราะห์
จนชะงัก สะดุดตาภาพของวาดที่ดูเลือนๆ ในล็อกเก็ต บอกออกมาอย่างมั่นใจ
“สร้อยนี่ไม่ผิดแน่ นี่เป็นสร้อยของพี่วาด พี่สะใภ้ฉัน”
“แน่ใจนะคะย่าเล็ก”
“ฉันมั่นใจเต็มร้อย สร้อยนี่ฉันกับคุณชายทัตเป็นคนเลือกเอง”
แม้นมาศหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
ที่บ้านพรหมบดินทร์เมื่อครั้งอดีต ภาณุทัตเปิดกล่องกำมะยี่ให้แม้นมาศดู ข้างในเป็นสร้อยทองจี้ล็อกเก็ตสองเส้น
“นี่จ้ะ สร้อยล็อกเก็ตที่น้องเล็กสั่งทำพิเศษเป็นของขวัญให้พี่ชายกับพี่สะใภ้”
“สวยจังเลยค่ะ ขอบคุณคุณชายนะคะที่ช่วยเป็นธุระให้”
แม้นมาศซึ่งสวมแหวนไพลินอยู่ หยิบล็อกเก็ตมาเปิดดู เผยให้เห็นว่าข้างในเป็นภาพของแม้นเมืองกับวาด
“ญาติของน้องเล็กก็เหมือนญาติพี่ พี่เต็มใจช่วยจ้ะ เป็นไงถูกใจมั้ย”
“ถูกใจมากเลยค่ะ พี่เมืองกับพี่วาดต้องชอบแน่ๆ”
แม้นมาศมองสร้อยล็อกเก็ตแล้วยิ้มพรายชอบอกชอบใจ มองขอบคุณคนรัก
ไม่นานหลังจากนั้น แม้นมาศพาตัวเองมาอยู่ในบรรยากาศสงบร่มรื่นของบ้านเกษมบริรักษ์ แม้นเมืองเอาสร้อยล็อกเก็ตคล้องคอให้กับคู่หมั้น วาดยิ้มชื่นดีใจ แม้นศรี กับมิ่งเมืองก็อยู่ด้วย
แม้นเมืองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ขอบใจนะเล็กที่ทำของขวัญให้ฉันกับแม่วาด”
“ตั้งแต่พ่อแม่เสีย ก็มีพวกพี่นี่ล่ะดูแลฉัน ฉันก็ต้องตอบแทนสิจ้ะ พี่ชอบมั้ย”
“ชอบสิ เล็กให้อะไรพี่ชอบหมดนั่นล่ะ” วาดยิ้มบอก
“สงสัยเล็กคงลืมพี่คนนี้แล้วมั้ง”
แม้นศรีแกล้งทำเป็นน้อยใจ แม้นมาศเข้าไปกอดพี่สาว
“เล็กจะลืมพี่ศรีได้ไงล่ะคะ นี่ค่ะ ของพี่ศรี”
แม้นมาศหยิบกล่องอีกใบส่งให้ แม้นศรีรับมาเปิดดูก็พบว่าในกล่องเป็นกำไลทองสวยงาม เด็กชายมิ่งเมืองเห็นก็ตาโตเป็นไข่ห่าน รีบเข้าไปอ้อนขอจากแม้นมาศบ้าง
“แล้วผมล่ะครับอาเล็ก ผมขอด้วยสิ”
“ไอ้มิ่ง เอ็งเป็นเด็กเป็นเล็กเอ็งจะเอาไปทำไมวะ”
“แหมพ่อ ฉันก็เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาสิ ผมพูดจริงๆ นะอาเล็ก”
แม้นมาศยิ้มขำ “จ้า อาเชื่อแล้ว งั้นอาให้เป็นเงินก็แล้วกันนะ”
แม้นมาศหยิบกระเป๋าตังค์มาจะหยิบเงินให้มิ่งเมืองแต่วาดดึงมือไว้
“ไม่ต้องเล็ก เล็กเก็บเงินไว้ใช้เหอะ อยู่บ้านโน้นเขาเป็นผู้ดีเก่า เล็กต้องรู้จักซื้อเสื้อผ้าแต่งตัวให้สมกับฐานะ เข้าใจใช่มั้ย”
“ค่ะ”
แม้นศรีเสริมขึ้นว่า “ชีวิตคู่มันอาจจะไม่ราบรื่นสวยงามเสมอไป เล็กต้องรู้จักให้อภัยคุณชายทัตนะ”
“ค่ะ”
“ถ้าพวกนั้นรังแกเล็ก ก็ให้อดทน แต่ถ้าทนไม่ได้กลับมาบ้านเรานะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเล็กเสมอ” แม้นเมืองบอก
“ค่ะ เล็กจะจำทุกคำสอนของพี่ๆ ให้ขึ้นใจ”
แม้นมาศพยักหน้ารับเอาคำสอน ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ สะอื้นเบาๆ ขณะก้มลงกราบพี่ๆ ทั้งสามคน แม้นเมือง แม้นศรีและวาดลูบหัวแม้นมาศอย่างอ่อนโยน มิ่งเมืองน้ำตาคลอ ซึ้งตาม
ฟังเรื่องเศร้าของคนในตระกูลแล้ว รสสุคนธ์แอบหลบมาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ท่าน้ำ รามนรินทร์เข้ามาเห็นก็ชะงัก
“คุณรส”
รสสุคนธ์หันไป รีบปาดเช็ดน้ำตาแล้วขยับจะเดินหลบไป รามนรินทร์ดึงแขนรั้งไว้
“เดี๋ยวสิครับ คุณร้องไห้ทำไม มีอะไรหรือเปล่า บอกผมได้นะ”
“บอกไป คุณก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ”
“นี่ใช่เรื่องศพเมื่อเช้าหรือเปล่าครับ คุณรู้ตัวตนที่แท้จริงของคนตายแล้วใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ...ศพนั่นเป็นศพย่าวาด ย่าใหญ่ของฉันเอง”
“งั้นที่คุณฝันก็เป็นเรื่องจริง”
รามนรินทร์อึ้งไป ไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น รสสุคนธ์เจ็บปวดน้ำตาคลอ
“ย่าวาดถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็น แถมยังถูกเอาศพไปฝังไว้ตั้งสามสิบปี วิญญาณของท่านต้องอยู่อย่างเดียวดายในหลุมนั้น คุณคิดดูสิคะว่าท่านจะเหงาและทรมานมากแค่ไหน”
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า งานแต่งงานที่ควรเป็นคืนแห่งความสุข กลับต้องพรากชีวิตคนในครอบครัวของคุณไปถึงสองชีวิต”
สองหนุ่มสาวนึกถึงเหตุการณ์เลวร้าย แม้นมาศถูกพบเป็นศพลอยอยู่ในสระบัวในคืนแต่งงาน และล่าสุด ศพวาดที่เหลือเพียงโครงกระดูกในหลุมดินหลังบ้านร้าง
“ไม่ใช่แค่สองค่ะ แต่เป็นสาม” รสสุคนธ์บอกด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวด
รามนรินทร์ตกใจ “ว่าไงนะครับ นี่ยังมีใครตายอีกเหรอครับ”
“อีกคนก็คือคุณปู่เมือง ปู่ของฉันเอง คืนนั้นจู่ๆ บ้านเกษมบริรักษ์ก็ไฟไหม้ คุณปู่ฉันหนีออกมาไม่ได้ท่านเลยเสียชีวิตในกองเพลิง”
ภาพเหตุการณ์ที่รสสุคนธ์ฟังจากแม้นศรีผุดซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ตอนเสาติดไฟหล่นใส่แม้นเมือง จนหนีไปไหนไม่ได้ แม้นเมืองร้องลั่นตายในกองเพลิง
รามนรินทร์ได้ยินก็อึ้ง มองรสสุคนธ์ที่กำลังร้องไห้ด้วยความสงสารจับใจ รามนรินทร์เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้รสสุคนธ์อย่างแผ่วเบา
“ผมเสียใจด้วยนะครับ ต่อไปนี้ ผมจะไม่ยอมให้คุณกับครอบครัวต้องสูญเสียอีกแล้ว สัญญา ผมจะต้องเอาตัวคนร้ายมารับโทษให้ได้”
“ไม่ว่าคนๆ นั้น อาจเป็นคุณแม่ของคุณเหรอคะ”
รสสุคนธ์ถามจี้ใจดำ รามนรินทร์ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก
แววตาทั้งคู่ดูออกว่าต่างก็เจ็บปวดพอๆ กัน
ขณะเดียวกัน จวงเปิดประตูกำลังจะเข้าห้อง แต่แล้วก็เห็นเงาใครบางคนเดินอยู่ในห้อง จึงหันไปหยิบไม้ขึ้นมาถือไว้
“ผีก็ผีเหอะ แม่จะฟาดไม่เลี้ยงเลย”
จวงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วง้างมือจะฟาด ทวนหันมาเห็นก็รีบจับไม้ห้ามไว้
“พี่จวง นี่ฉันเอง”
“ไอ้ทวน ข้าตกใจหมด แล้วนี่เอ็งมาทำไม ไม่กลัวคุณหญิงเห็นหรือไง”
“กลัว แต่เรื่องนังรสมันคอขาดบาดตายกว่า ฉันว่าเราปล่อยมันไว้ไม่ได้แล้ว”
“แล้วเอ็งจะทำยังไง”
“ฉันก็จะส่งมันไปอยู่กับปู่กับย่ามันน่ะสิ แต่งานนี้พี่จะต้องช่วยฉันอย่างนะ”
“เออ ขอให้มันไปให้พ้นบ้านนี้ เอ็งจะให้ข้าทำอะไรก็ว่ามา”
ทวนกระซิบแผนให้จวงฟัง
เฟื่องออกมารับลมตรงหน้าต่างห้อง เห็นสองคนกระซิบกระซาบกันจึงแอบยืนมองอย่างสงสัย
“ไอ้ทวนมันมาทำอะไร”
รสสุคนธ์ก้าวเข้ามาในห้องนอน ท่ามกลางความมืดสลัว สอดสายตามองหาพร้อมกับร้องเรียกหาผีวาด
“ย่าวาดคะ ย่าอยู่หรือเปล่าคะ”
ทุกอย่างเงียบ รสสุคนธ์ถอนหายใจ พอเปิดไฟแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นแม้นมาศนั่งอยู่บนเตียง
“ย่าเล็ก มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะคะ”
“ขวัญอ่อนจริงนะเรา ฉันตามหาจนทั่วแล้วนะ ไม่เห็นวิญญาณพี่วาดเลย สงสัยฉันกับพี่วาดคงสื่อสารกันไม่ได้”
“งั้นเราก็อดรู้สิคะว่าใครเป็นฆาตกร”
“มันก็ยังพอมีทางอยู่นะ”
รสสุคนธ์สนใจ “ทางไหนเหรอคะ”
“ก็เธอไงแม่รส พี่วาดมาเข้าฝันเธอได้ไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วย”
สาวผู้เห็นผี รีบขึ้นเตียงนอนพนมขึ้นพร้อมกับภาวนา
“ย่าวาดขา ถ้าย่าวาดได้ยินรส ย่าวาดช่วยมาเข้าฝันบอกรสถึงตัวฆาตกรทีนะคะ
น้อยอยู่ที่ครัวกำลังอุ่นนมร้อนให้รสสุคนธ์อยู่ เฟื่องเดินบ่นบ้าสอดสายตามองหาทวนเข้ามาในนั้น
“ไอ้ทวนมันหายหัวไปไหนแล้ว อ้าว นังน้อยดึกแล้วเอ็งจะกินอะไรอีก”
“น้อยเปล่ากินเองนะยาย น้อยอุ่นนมให้คุณรสจ้า ตอนเย็นน้อยเห็นคุณรสทานข้าวได้น้อย กลัวดึกๆ จะหิว”
“เออ เข้าท่านี่ ทำเสร็จแล้วก็อย่าลืมปิดไฟล่ะ”
“จ้า ฝันดีจ้ะยาย”
เฟื่องกลับห้องไป น้อยเทนมร้อนใส่แก้วแล้วเอากาไปล้าง จวงโผล่หน้าออกมามอง เห็นน้อยยืนหันหลังล้างกาอยู่ โดยวางแก้วนมไว้ที่โต๊ะ จึงรีบย่องเข้าไปแอบเทยานอนหลับใส่ลงไปในแก้วนมโดยเร็ว จวงยิ้มชั่วมองผลงานอย่างสาสมใจ
น้อยล้างกาแล้วเสร็จหันกลับมาก็ไม่เห็นจวงแล้ว รอจนน้อยยกแก้วนมเดินออกไป จวงจึงโผล่ออกมามองตามด้วยไปด้วยสีหน้าแววตาอันเหี้ยมเกรียม
“นังรสสุคนธ์ คืนนี้แกไม่รอดแน่”
อ่านต่อตอนที่ 14