เปิดใจ "ปั้นจั่น -ปรมะ" กับบทบาทสุดท้าทาย
สะสมของคนตาย เพื่อเห็นคนรักที่ตายกลายเป็น "ผี”
เป็นไงมาไงถึงได้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Eyes Diary คนเห็นผี
"สวัสดีครับผม ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย ในเรื่อง The Eyes Diary ผมรับบทเป็น น็อต ครับ ผมได้มาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะว่าหลายคนอาจจะรู้จักผมในเรื่อง It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก ของพี่กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของผม หลังจากนั้นผมก็ได้มีโอกาสไปร่วมงานประกาศรางวัลต่างๆ ก็ได้เจอพี่มะเดี่ยวได้มีโอกาสคุยกันบ้าง เลยไปแคสท์ครับ ยิ่งพอรู้ว่าเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว ผมก็ดีใจแล้วครับ เอาจริงๆเรื่องนี้ผมตกลงรับเล่นตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านบทด้วยซ้ำนะ เพราะว่างานของพี่เขาส่วนใหญ่จะสะท้อนเรื่องราวของวัยรุ่นได้อย่างลงตัว ให้แง่คิดต่างๆ เป็นเรื่องของความรักด้วย อย่างรักแห่งสยาม หรือถ้าเป็นแนวโหดๆ ก็ 13 เกมสยอง ผมคิดว่าขนาดย้อนเวลาไปหนังพี่มะเดี่ยวยังเจ๋ง ยังสยองขนาดนี้ แล้วเรามาร่วมงานกับเขามันจะออกมาเป็นยังไง พี่เขาค่อนข้างให้ความเชื่อมั่นในตัวเรา ในตัวนักแสดงมากพอสมควร ทำให้ผมประหม่าเหมือนกัน ได้อ่านบทก็รู้ว่ามันน่าจะสนุกมาก และพล็อตเรื่องก็เป็นหนังผีด้วย ซึ่งผมไม่เคยเล่นหนังผีมาก่อน หรือเวลาที่เขามาชวนไปออกรายการผีผมก็จะไม่ไป เพราะผมเป็นคนที่กลัวผีมาก แต่ว่าเรื่องนี้ผมรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่หนังผีธรรมดาๆ คือเป็นหนังผีที่มีแง่มุมให้ได้คิดให้อะไรกับคนดู เพราะว่าเท่าที่คุยกับพี่มะเดี่ยวมันมีเรื่องของความรักเข้าไปผสมด้วย"
ต้องมีการเตรียมตัวก่อนถ่ายทำอย่างไรบ้าง
"เวลาอ่านบทก็จะทำความเข้าใจให้รู้เรื่องราวทั้งหมด ให้รู้จักตัวละครว่ามีความสัมพันธ์ มีเบื้องลึกเบื้องหลังยังไง ก็มาศึกษา มาตีความทุกอย่าง แต่ว่าเราเป็นคนที่มีจินตนาการไม่เก่ง ยังไม่เห็นภาพรวม จนกว่าจะได้เห็นสถานที่จริงหรือได้ไปถ่ายทำจริงๆ รู้แต่ว่าตัวละครต้องการแบบนี้นะ จนกระทั่งได้ไปถ่ายทำก็เลยเห็นภาพมากขึ้น มันทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ"
ทราบมาว่าต้องแสดงเป็นตัวละครที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็นคนรักที่เสียชีวิต ถึงขนาดสะสมของคนตายเพื่อที่จะได้เห็นผี และเป็นตัวละครที่หม่น ดำดิ่งในความมืดทางความรู้สึกที่สุด เท่าที่เคยแสดงมาเลย
"น็อตจะเป็นคนที่ร่าเริงตามประสาเด็กหอ มีมอเตอร์ไซค์คู่ใจเอาไว้รับสาว ตื่นเช้าไปเรียน ตกเย็นก็มาสังสรรค์ น็อตมีแฟนที่รักกันมากชื่อ ปลา (โฟกัส จีระกุล) ซึ่งเขาก็จะนิสัยผู้หญิงๆ ขี้งอน เอาแต่ใจบ้าง ก็เป็นปกติของวัยรุ่นที่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน ก็จะทะเลาะกัน เพราะด้วยความที่น็อตเป็นคนไม่ค่อยแสดงออก อาจจะแสดงออกผิดวิธีด้วยซ้ำแค่คิดต่างมุมก็เป็นเรื่องแล้ว จนทำให้เกิดเรื่องราวทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน และด้วยความอารมณ์ร้อนทำอะไรแบบไม่ทันคิด ก็เลยเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนกระทั่งปลาเสียชีวิต หลังจากนั้นน็อตก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เก็บตัว พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเจอผี ไม่ว่าจะไปทำงานเป็นจิตอาสามูลนิธิเก็บศพกับ จอห์น (แจ๊ค กิตติศักดิ์) เพื่อหวังว่าจะได้สื่อสารกับวิญญาณ โดยเริ่มเก็บเอาข้าวของคนตายมาสะสมมาเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อนๆ ที่เคยอยู่บ้านเช่าด้วยกันก็เลยหนีหมด มีแค่ มดตะ( เมโกะ) ที่คอยอยู่ข้างๆน็อต อาจจะเป็นเพราะว่าน็อต กับมดตะอาจมีประสบการณ์ และเคยผ่านเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่คล้ายๆกัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการที่แต่ละคนจะต้องเผชิญกับประสบการณ์การเห็นผีที่แตกต่างกันไปแต่ละคน"
ความท้าทายของการแสดงหนังเรื่อง The Eyes Diary คนเห็นผี
"จริงๆ ผมกังวลตลอดเวลาที่ถ่ายทำนะ แต่ว่าไม่ได้บอกใคร แต่ผมจะใช้การถามพี่มะเดี่ยวมากกว่าว่าต้องการอะไร แล้วสิ่งที่เราแสดงออกไปมันดีพอรึเปล่า สิ่งที่หนักใจที่สุด คือผมเป็นคนที่กลัวผีมาก แต่ก็ไม่เคยเจอผี แล้วในเรื่องมันมีซีนที่เราต้องเจอผีด้วย ก็เลยจินตนาการไม่ออกว่าเจอผีจะต้องตกใจระดับไหน มันจะมีรีแอคชั่นยังไงเมื่อเห็นผีอยู่ตรงหน้า มันจะช็อค มันจะตัวแข็ง มันจะตะโกนโวยวาย หรือว่าจะทำอะไร ซึ่งพี่มะเดี่ยวก็มีวิธีช่วยเหลือในการแอ็คติ้งที่ดีเลย อย่างเช่นซีนที่เราต้องเจอจอห์นโผล่มา คือเขากำลังเล่าเรื่องผีกันอยู่ แล้วจอห์นโผล่มา ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นแล้วต้องตกใจ ซึ่งผมตกใจไม่ออก พี่มะเดี่ยวก็บอกให้หลับตาไว้นะ แล้วพอแอ็คชั่นเขาก็เปลี่ยนเป็นพี่ทีมงานคนอื่นมายืนแทน มันก็เลยได้ผลการตกใจจริงๆ มันยาก เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทุกอย่างมันต้องสด แล้วถ้ามีอะไรอยู่ข้างในมันก็จะไม่จริง แล้วตอนที่น็อตต้องร้องไห้ เหมือนจะเป็นบ้าจะจิตๆ หน่อยๆ ระเบิดอารมณ์ก็มี"
เสน่ห์ในความเป็นหนังโรแมนติก ที่สอดแทรกอยู่ในบรรยากาศของความสยองขวัญของเรื่องนี้
"แตกต่างจากหนังผีทั่วไป เพราะว่ามันไม่ได้สักแต่ว่าจะทำให้คนดูตกใจ แต่มันมีเรื่องราวของความรักด้วย และผมก็รู้สึกอินกับตัวละครปลาจริงๆ มันก็จะเป็นอะไรที่ลงตัว จนถึงขั้นผมติดรอยยิ้มของโฟกัสกลับไปที่บ้าน เหมือนหลงเสน่ห์รอยยิ้มนั้นจริงๆ เวลากลับมากรุงเทพก็อยากจะให้ถึงวันที่มีคิวถ่ายเร็วๆ จะได้ไปเห็นรอยยิ้มนั้นอีก ส่วนเรื่องสถานที่และการถ่ายทำก็ค่อนข้างอินมากพอสมควร เพราะว่าแต่ละสถานที่มันมีเรื่องราว อย่างบ้านน็อตเองที่อยู่ประจำ ต้องยกนิ้วให้กับทีมอาร์ตที่หาบ้านได้สวยมีสไตล์ และมีกลิ่นอายของความหลังเยอะมากๆ ในเรื่องของรายละเอียดก็ทำออกมาได้ดี เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปที่มุมไหนเราจะเห็นรูปแฟนเก่าของเราติดอยู่เต็มห้องไปหมดเลย จะเห็นภาพเขา เห็นความทรงจำที่มีความสุขอยู่ในนั้นตลอดเวลา แล้วมันทำให้เราคิดถึง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว"
ความหลอนที่แตกต่าง
"เรื่องมุมภาพมันก็แตกต่างแล้ว คือมี Drone (กล้องถ่ายทำที่ติดอุปกรณ์คล้ายเครื่องบินบังคับวิทยุสำหรับถ่ายภาพทางอากาศ) เข้ามาใช้ในการถ่ายทำฉากต่างๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ใหม่มากๆ คือผมเคยเห็นนะ แต่ไม่เคยเห็นมุมภาพแบบนี้ทำให้รู้สึกว่ามันเจ๋ง อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเร็วๆ สำหรับมุมของคนดูผมว่ามันตื่นเต้นนะ อย่างเช่น ผีตัวขาดครึ่งท่อน ผีตายทั้งกลม หรือผีไฟไหม้ แล้วด้วยสถานที่ถ่ายทำมันอันตรายแล้วก็ค่อนข้างเสี่ยงด้วย พอออกมาเป็นภาพมันก็น่ากลัว"
ว่ากันว่าในแต่ละโลเกชั่นทุกสถานที่ถ่ายทำล้วนแล้วแต่ชวนให้เกิดอาการขนลุก
"ทุกโลเกชั่นที่เป็นสถานที่จริงหมด มีเรื่องราวหมด แต่ที่ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผม ผมยกให้บ้านน็อตน่ากลัวที่สุด ไม่รู้ทีมงานรู้หรือเปล่า แต่เวลาทุกคนกินข้าวกันข้างนอก แล้วบ้านมันถูกปล่อยให้ว่างเนี่ย ผมไม่เคยไปเข้าห้องน้ำที่ในบ้านเลย เพราะเคยจะเข้าห้องน้ำครั้งหนึ่ง แล้วพอเดินเข้าไปรู้สึกว่ามันแปลกๆ ออกมาดีกว่า คือบ้านมันมีการออกแบบที่สวยนะ เป็นบ้านที่เท่ห์ มีห้องใต้หลังคา มีบันไดขึ้นไป มองลงมาเห็นทั้งห้องรับแขก ห้องครัว ห้องกินข้าว แต่ผมเข้าไปแล้วผมรู้สึกเย็นยะเยือก เหมือนรู้สึกว่ามันมีเหลี่ยมมุมที่มีใครแอบมองดูผมอยู่จากข้างบนแล้วมองนิ่งๆลงมาอะไรอย่างงี้ พูดแล้วยังขนลุกเลย"
เพิ่มดีกรีความหลอนสยองจากของคนตาย
"ของต่างๆ มันจะมี Symbolic มันจะมีเรื่องราวของมันอยู่ และที่สำคัญคือของที่ทีมงานเขาไปหามามันเป็นของเก่าที่เราไม่รู้ว่าประวัติที่มามันเป็นอย่างไร แต่ว่าเป็นของที่ผ่านเรื่องราวมาแล้ว มันจะมีความขลังในตัวของมัน ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตัวละครหรือว่าเรื่องราวที่มันจะดำเนินไป แต่ว่ามันใช้ของในการบอกเล่าเรื่องราวด้วย แล้วในการสื่อถึงตัวละครแต่ละตัว มันก็เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะว่าตัวน็อต กับปลาเองก็มีของที่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงกันอยู่เหมือนกัน"
ว่ากันว่าทีมออกแบบงานสร้าง และฝ่ายอาร์ตทำการบ้านกันหนักมาก
"ทีมงานเซ็ททุกอย่างได้เหมือนจริงมาก จนผมเห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้เหมือนกัน อย่างฉากกู้ศพในภาพยนตร์ แล้วเราก็ไปถามกู้ภัยว่าพี่มันเป็นอย่างนี้จริงๆเหรอ เขาก็บอกเป็นอย่างนี้เลย ไส้ ตับ ม้าม เศษเนื้อถูกครูดไป บางกรณีหนักกว่านี้อีก กระจายกว่านี้ อย่างบางทีต้องไปนั่งหาลูกตาในพงหญ้า ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมอาร์ตก็ช่างละเอียดเหลือเกิน"
เป็นหนังผีที่มีทั้งในส่วนของอารมณ์โรแมนติก และสยองขวัญที่นักแสดงต้องมีฉากที่ต้องเล่นกับอารมณ์ทางการแสดงเยอะทีเดียวด้วย
"คือในตัวบทเองมันครบทุกอย่างแล้ว เพียงแค่เราเว้นคำพูดให้ดี น้ำหนักเสียง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าผมทำได้สมบูรณ์หรือเปล่า แต่คำพูดมันก็ไม่เท่ากับความรู้สึกข้างในของตัวละครหรอก ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำได้ดี คือตอนที่ผมบิ้วท์น้องในตอนแรก ตอนที่ยังไม่เข้าบทมากกว่า พอบิ้วท์เสร็จเขาก็สั่งแอ็คชั่นเลย คราวนี้อารมณ์มันก็เริ่มมา ผมก็พูดไดอะล็อกของตัวน็อต ใส่มดตะ(เมโกะ)ไป แล้วผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เหมือนห้องนั้นมีแค่เราสองคน แล้วเล่นไปก็รู้สึกกลัวตัวเองไปด้วย คนที่ทำร้ายคนอีกคนให้เกือบจะเป็นบ้าได้ แค่คำพูดหรือประโยคที่พูดออกไป และฉากที่ประทับใจมากที่สุด ก็คือฉากที่เล่นกับเมโกะ คือต้องการเจอคนที่เราเคยรัก เพียงแต่น็อตยอมรับความจริง แต่มดตะหลอกความรู้สึกตัวเอง ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง การกลับมาที่บ้านครั้งนี้ ก็คือการที่น็อตจะมาทำให้มดตะรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดเธอหลอกตัวเองอยู่ ฉากนี้ก็จะเห็นน็อตใจร้ายมากๆ ด้วยการใช้คำพูดในการที่จะทำให้มดตะเสียใจมากๆ จนกระทั่งระเบิดอารมณ์ข้างในส่วนลึกออกมา ซึ่งตัวน็อตก็จะเป็นคนที่รู้แบรคกราวด์ชีวิตเขา ก็เลยพาเขามาปลดชนวนในที่ๆ เขาไม่อยากกลับมาที่สุด เป็นที่ๆ เขาเสียใจที่สุด ที่ๆ เขาสูญเสียทุกอย่างไป ก็ต้องบอกว่าเมโกะเก่งมาก เขาหยุดตัวเองได้ แล้วเขาก็กลับมาในความเป็นจริงได้ทันทีหลังจากที่ผู้กำกับบอกคัท แต่ตอนที่ผมบิ้วท์น้องผมก็ใช้คำที่สะเทือนอารมณ์ไปเหมือนกัน ยังไงก็ต้องขอโทษน้องเมโกะด้วย"
ประสบการณ์ผีๆ ในกองถ่ายหนังผี
"ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เขาเจอกัน รู้สึกมีพลังบางอย่าง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เมโกะเห็นคนแก่ เราก็รู้สึกว่านีเป็นน็อตเปล่าเนี่ย ไม่เห็นอะไรเลย แจ็คเจอรอยนิ้วมืออยู่บนท้อง ส่วนผมคือไม่มีเวลานึกถึงผีเลยครับ ถ่ายเช้ายันเช้า กลับบ้านก็ร่างแหลกแล้ว ไม่มีเวลากลัวผีเลยจริงๆ แล้วที่สำคัญคือพอจบภาพยนตร์เรื่องนี้ไป ผมไปค้างตามสถานที่ต่างๆ เวลาผมไปทำงาน ที่มืด ที่เปลี่ยว ที่เขาว่ามี ผมกลัวผีน้อยลงไปเลย เพราะเหมือนผมไปเจอที่หลอนมาแล้ว มันน่ากลัวมากจริงๆ เลยกลายเป็นว่าไม่กลัวความมืดแล้ว"
ฝากผลงานภาพยนตร์
"ฝากเรื่อง The Eyes Diary คนเห็นผี ด้วยนะครับ 30 ตุลาคมนี้ได้ดูพร้อมๆ กันครับ เรื่องนี้เราตั้งใจทำงานกันมากๆ แล้วเป็นหนังเรื่องที่สองของผม แล้วทุกครั้งที่ทำงานก็พยายามใส่ใจลงไปให้มากที่สุด แล้วก็ทุ่มเทกับมัน หวังว่าคนดูจะได้ Message ที่ผู้กำกับต้องการ แล้วหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้แง่คิดกับคนดูไม่มากก็น้อยนะครับ ได้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความรัก แล้วผมว่าเรื่องนี้มันมีธรรมะแฝงอยู่เหมือนกัน อย่างเรื่องการปล่อยวาง ยังไงก็ต้องไปติดตามกันดู แล้วจะได้เห็นมุมมองการกำกับภาพใหม่ๆ ของพี่มะเดี่ยว การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เหมือนเป็นกำไรของคนดู"