บาปบรรพกาล ตอนที่ 5
ในขณะเดียวกันนั้น ภาวิดานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น จู่ๆ มีลมพัดวูบเข้ามาในนั้น แรงจนทำให้ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกล่น ประมุขพรหมบดินทร์จอมเหวี่ยงมองด้วยสีหน้าฉุนเฉียวประสมประหลาดใจ
“อะไรกันเนี่ย”
จวงและปริกเข้ามาเห็น พากันผวา
“นังแม้นมาศอาละวาดอีกแล้วค่ะ คุณหญิง” จวงรายงาน
ปริกเสริม “เฮี้ยนขึ้นทุกวัน”
ภาวิดาหันมามองสองบ่าวคู่ใจใบหน้าเรียบเฉย บอกเสียงเข้ม
“แกสองคนกลัวอะไรนักหนา ก็แค่ลมพัดธรรมดา ไม่เห็นมีอะไร”
จวงกับปริกมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหญิงไม่กลัวเอาซะเลย
รามนรินทร์อยู่ที่โถงกลางของบ้าน มองออกไปเห็นพายุกระหน่ำแต่ไม่มีฝน ก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“จู่ๆ มีพายุได้ยังไง”
ทวนโผล่เข้ามารีบบอกด้วยเสียงหวาดกลัว
“ผีแม้นมาศอาละวาดหนักครับ คุณราม”
รามนรินทร์ไม่เชื่อเรื่องผี แต่เป็นห่วงรสสุคนธ์จะออกไปดู
“ไร้สาระอีกแล้ว น้าทวน พายุมาทางเรือนไม้หอม เดี๋ยวผมจะออกไปดูสักหน่อย คุณรสกับน้อยอยู่กันแค่ผู้หญิงสองคน จะเป็นอะไรมั้ย”
ภาวิดาเดินออกมาได้ยินพอดี รีบสั่งห้ามลูกชาย
“อย่านะตาราม แกจะไปที่นั่นทำไม แค่ลมพายุ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับแก”
“พายุแรงอย่างนี้ ผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกครับ คุณแม่”
รามนรินทร์ไม่ฟัง เดินออกไปด้านนอกทันที
“อย่าไปนะ ตาราม”
ภาวิดาได้แต่อึดอัดขัดใจที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง หันมาสั่งจวงกับปริก
“แกสองคนไปตามคุณรามเดี๋ยวนี้ ส่วนทวนอยู่เป็นเพื่อนฉันที่นี่”
ทวนอมยิ้มไม่ต้องไป “ครับ คุณหญิง”
จวงกับปริกก็ได้แต่มองหน้ากัน ทำอะไรไม่ได้ แม้แอบกลัวผีแม้นมาศ แต่จำใจไป
ตามทางเดินจากเรือนใหญ่ไปยังเรือนไม้หอม ลมพัดกระหน่ำไม่หยุดหย่อน รามนรินทร์ไม่กลัว เดินฝ่าพายุออกไปที่เรือนไม้หอม
บริเวณด้านหน้าเรือนไม้หอม มืดครึ้ม พายุยังพัดอยู่แต่รสสุคนธ์กลับไม่กลัวอันตรายเดินร้องเรียกหาแม้นมาศ
“ย่าเล็กขา...อยู่ไหนคะ ออกมาหารสเถอะค่ะ ย่าเล็ก”
รามนรินทร์ฝ่าพายุมาถึง เห็นและได้ยินว่ารสสุคนธ์ร้องเรียกแม้นมาศก็รีบเข้าไปหา ถามด้วยความฉงน
“คุณรส เรียกหาย่าแม้นมาศหรือครับ”
รสสุคนธ์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนถามรามนรินทร์
“คุณรามมาที่นี่ทำไมคะ แล้วคุณเชื่อเรื่องผีด้วยเหรอ”
พายุพัดกิ่งไม้ลอยมาใส่จะโดนรสสุคนธ์อยู่แล้ว รามนรินทร์ตรงเข้าไปดึงมือเธอให้หลบทันอย่างเฉียดฉิวแล้วรีบพาเข้าไปด้านในเรือนไม้หอม
“อยู่ตรงนี้อันตราย เราเข้าไปคุยกันด้านในเรือนนะครับ”
รสสุคนธ์ยอมตามรามนรินทร์เข้าไปด้านใน
ปริกจูงมือจวงพากันฝ่าพายุเดินไปเรือนไม้หอม
“พี่จวง แขวนพระบ้างหรือเปล่า”
“เปล่า แกจะถามทำไม รีบๆ เดินไปสิ”
“ก็เอาไว้อุ่นใจ กันผีหลอกไง”
ผีแม้นมาศใบหน้าเป็นเน่าหนอน โผล่พรวดออกมาดักหน้าสองพี่น้องทันควัน ตวาดถาม
“มาทำไม”
ปริกเข่าอ่อน ขาขยับไม่ออก จวงเองแม้จะกลัวแต่ทำใจดีต่อรองกับผี
“คุณแม้นมาศ เห็นแก่ที่จวงเคยรับใช้คุณ อย่าทำอะไรเราเลยนะคะ เราแค่มาตามคุณรามตามคำสั่งคุณหญิง”
แม้นมาศไม่สนใจ ชี้นิ้วตะเพิดให้สองพี่น้องกลับไป
“อย่าเสือก ออกไปให้พ้นเรือนกู เดี๋ยวนี้”
ปริกโกยแน่บนำหน้าจวงไปโดยไม่คิดชีวิต
“ไปจ้ะ ไปแล้ว”
“ฉันก็ไปจ้า” จวงแล่นตามน้องไปแทบไม่ทัน
ผีแม้นมาศหัวเราะเสียงลั่นสาแก่ใจ แล้วเอามือกอบเรียกพายุใหญ่พัดกระหน่ำทั่วบริเวณเรือนไม้หอมและบ้านพรหมบดินทร์ตกอยู่ในวังวนของพายุและความมืดครึ้ม หลอนสุดๆ
รามนรินทร์จูงมือรสสุคนธ์เข้ามาที่โถงกลางในเรือนไม้หอม รสสุคนธ์ดึงมือออกจากการจับของรามนรินทร์แล้วขอบคุณเบาๆ เขินๆ
“ในนี้ไม่มีพายุแล้ว ขอบคุณค่ะ”
“คุณรสไม่เป็นอะไรแน่นะครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ว่าแต่คุณรามยังไม่ได้ตอบเลยว่า เชื่อเรื่องผีด้วยเหรอคะ”
“บอกตามตรง ผมไม่เชื่อเรื่องผีหรืออะไรที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ลบหลู่คนตายหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นครับ”
“ตอบได้เป็นกลางมากเลยค่ะ”
รามนรินทร์ยิ้มมองรสสุคนธ์ด้วยสายตาห่วงใย
“พอดีผมเห็นว่ามีพายุ ห่วงว่าคุณรสอยู่กับน้อย ผู้หญิงสองคนจะเป็นอันตราย ก็ขอมาดูให้เห็นกับตาว่าทุกอย่างโอเค”
“ค่ะ ทุกอย่างโอเค ขอบคุณมาก คุณรามกลับเรือนใหญ่ได้เลยค่ะ”
รามนรินทร์อมยิ้มรู้ทันว่าถูกรสสุคนธ์ไล่อ้อมๆ
“ครับ บ้านผมไกลมาก ผมจะรีบกลับครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มให้กับรามนรินทร์ อบอุ่นในใจที่เขาคอยห่วงใย
ในห้องพระบ้านพรหมบดินทร์ ภาณุกรอยู่ในนั้น กำลังก้มลงกราบพระ แล้วภาวนาแผ่เมตตาให้แม้นมาศ
“คุณเล็ก ฉันขอร้อง อย่าทำร้ายคนในบ้านนี้เลยนะครับ”
พลันลมพายุที่กำลังพัดโหมอยู่ หยุดทันทีเหมือนมีสวิตช์เปิดปิด
ภาณุกรลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทุกอย่างเงียบสงบ ก็พูดขึ้นว่า
“ขอบคุณที่เชื่อกันนะครับ”
แม้นมาศสวยยืนอยู่ด้านนอก มองเข้ามาในห้องพระ เข้าไปในบ้านพรหมบดินทร์ไม่ได้ เพราะมีผีบ้านผีเรือนคุ้มครอง รอบๆ ตัวพายุหยุดแล้ว ความมืดครึ้มลดน้อยลง
ฝ่ายน้อยเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเตรียมจะไป
“อ้าว ได้กระเป๋าเสื้อผ้าแล้ว ไปได้แล้วน้อย”
“แต่พายุ...กับเสียงหัวเราะ” น้อยเสียวสยอง
เฟื่องมองไปนอกหน้าต่าง ทุกอย่างสงบ
“พายุมันไปแล้วล่ะ เสียงหัวเราะอะไรนั่น เราอาจจะหูแว่วไปเอง”
น้อยมองหน้าเฟื่องที่รู้ดีว่าไม่จริง แต่ก็จำใจต้องไปเรือนไม้หอม
“งั้นน้อยไปเรือนไม้หอมนะ”
เฟื่องแม้จะกลัวผีแม้นมาศแต่ก็อดห่วงหลานไม่ได้ บวกกับตัวเองก็ไม่ได้หวังร้ายอะไรกับแม้นมาศ
“ยายจะไปส่งที่หน้าเรือน”
สองยายหลานพากันออกจากห้องไป
รามนรินทร์กลับไปแล้ว รสสุคนธ์กลับมาห้องนอนหลังจากพายุสงบ เธอเห็นแม้นมาศนั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้อง
“ย่าเล็ก...มาร้องไห้อยู่ที่นี่เอง”
แม้นมาศยิ่งร้องไห้คร่ำครวญหนัก เมื่อรสสุคนธ์เข้ามาใกล้ พร้อมพูดย้ำเสียงเข้ม
“ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ เธออย่าไปเชื่อพวกคนบาป พวกมันฆ่าฉันแล้วยังใส่ร้ายฉันอีก ฉันต้องแก้แค้น”
รสสุคนธ์เข้าไปใกล้ๆ แม้นมาศแล้วพูดปลอบ
“รสเชื่อย่าเล็กแล้วค่ะ รสถึงจะอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อสืบหาความจริงไงคะ”
แม้นมาศถอนสะอื้นหันมามองหน้า ถามรสสุคนธ์ว่า
“แล้วเธอไม่กลัวฉันเหรอ ใครๆ ก็กลัวฉันทั้งนั้น”
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 5 (ต่อ)
รามนรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน พบภาณุกรยืนทอดสายตามองดวงจันทร์บนฟ้าอยู่ตรงระเบียงริมสระ จึงเดินออกไปหา
“อ้าว ผมคิดว่าน้ากรนอนแล้วซะอีก”
“ก็กำลังจะนอน แต่ดูเหมือนจู่ๆ ก็มีพายุ”
“ใช่ครับ แต่ตอนนี้สงบแล้ว แปลกมาก”
ภาณุกรมองรามนรินทร์ สงสัยเหมือนกัน
“รามเองก็เหมือนจะออกไปนอกบ้านมา”
“ครับ ผมไปเรือนไม้หอมมา”
ภาณุกรแอบยิ้ม พอจะดูออกว่านับวันรามนรินทร์ก็มีใจให้รสสุคนธ์
“น้าขอบใจนะที่ราม ดูแลหนูรสอย่างดีแทนน้า”
รามนรินทร์หลบตาวูบ กลัวน้าจับได้ พูดแก้เก้อแถไป
“เราเป็นเจ้าของบ้าน ก็ต้องดูแลลูกบ้านทุกคน ดึกแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ภาณุกรยิ้มให้แทนคำตอบ แล้วเงยหน้ามองดวงจันทร์อีกรอบก่อนเดินไปนอนเช่นกัน
ด้านแม้นมาศยืนเหม่อมองดวงจันทร์ในห้องนอน รสสุคนธ์มองดวงจันทร์ด้วยแล้วตอบ
“รสไม่ปฏิเสธหรอกนะคะที่ตกใจแล้วก็แอบกลัวที่ต้องอยู่กับย่าเล็กมาตั้งสองคืน แต่ย่าเป็นย่าของรส ตอนนี้รสก็รู้ความจริงแล้ว รสเชื่อว่าย่าจะไม่ทำร้ายรสใช่มั้ยคะ”
แม้นมาศหันมามองหน้ารสสุคนธ์แล้วยิ้มให้อย่างเยือกเย็น
“ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำร้ายเธอนี่”
รสสุคนธ์มองหน้าแม้นมาศแล้วถามด้วยแววตาห่วงใย
“รสอยากให้ย่าเล่าเหตุการณ์วันนั้น ย่าตายได้ยังไง”
แม้นมาศส่ายหน้าก่อนตอบ
“ฉันจำไม่ได้ รู้ตัวอีกที ฉันก็ตาย มันทรมานมากเลยนะ”
รสสุคนธ์พยายามซัก เพื่อเก็บข้อมูล “งั้นเล่าตรงที่ย่าพอจำได้ก็ได้ค่ะ”
แม้นมาศหน้าเศร้า ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ตามที่ตัวเองจำได้
แม้นมาศจำได้แม่นว่า คืนนั้นเป็นคืนดวงจันทร์เต็มดวง เรือนไม้หอมสว่างจ้า เรือนหอร้างมีสระบัวอยู่ติดกับเรือน บรรยากาศดูหลอนๆ
“ช่วยด้วย”
ตรงกลางสระบัวแลเห็นน้ำกระเพื่อมเป็นวง ร่างของแม้นมาศในชุดเจ้าสาวสมัยนิยมเมื่อ 30 ปีก่อน ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากก้นสระ ร่างนั่นลอยนิ่งเหมือนศพคนตายที่ลอยขึ้นอืด แต่แล้วร่างนั้นก็กระตุกขยับไปมา เหมือนคนพยายามดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่
แม้นมาศแหวกว่ายเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ผ่านกอดอกบัวกอแล้วกอเล่า ว่ายตรงไปที่บ้าน พร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ดูหลอนๆ เยือกเย็นโหยหวนชวนเสียวสันหลัง
“ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย”
แม้นมาศพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากสระบัวอย่างยากลำบาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตม
แม้นมาศสะอื้นไห้เดินโซเซเข้าไปในบ้าน รอยน้ำเปียกเป็นทางตามทุกย่างก้าว
แม้นมาศอยู่ในสภาพเปียกปอนเดินเข้ามาในบ้านที่มืด เธอตัวสั่นเพราะความหนาว
“ทำไมบ้านมืดแบบนี้ ทุกคนหายไปไหนหมด มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย แล้วคุณชายล่ะ”
แม้นมาศมองรอบเรือนไม้หอมเห็นบ้านเงียบก็แปลกใจ
“คุณชาย” แม้นมาศเดินไปช้าๆ กวาดสายตามองหาภาณุทัตทุกซอกทุกมุม “คุณชาย...คุณชายภาณุทัต”
แม้นมาศวิ่งเข้าออกห้องต่างๆ เข้าห้องนั้นโผล่ห้องนี้ ร้องหาภาณุทัตด้วยความร้อนรนแต่ก็ไม่พบ ทุกอย่างอยู่ในความว่างเปล่ากับความมืดอันน่าสะพรึง แม้นมาศสะอื้นไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาม ท่ามบรรยากาศวังเวง
“คุณชาย คุณอยู่ที่ไหน”
แม้นมาศวิ่งขึ้นไปบนชั้นบน
“คุณชายทัต ออกมาหาฉันสิ คุณชาย”
แม้นมาศหาจนทั่วแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของภาณุทัต
“ทำไมคุณถึงไม่ออกมาหาฉัน คุณชาย ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน”
แม้นมาศเดินสะอื้นไห้มาหยุดยืนตรงหน้ากระจก จากใบหน้าแสนสวยค่อยๆ กลายเป็นซีดขาว แล้วค่อยเริ่มเน่าขึ้นเรื่อยๆ จนหน้าเละจำเค้าเดิมไม่ได้ แม้นมาศเห็นหน้าตัวเองแล้วหวีดร้องเสียงหลงรับไม่ได้
“ไม่...ไม่จริง...”
แม้นมาศหวีดร้องแล้ววิ่งเตลิดทะลุฝาบ้านหายสลายไป
ร่างของแม้นมาศมาโผล่ขึ้นที่กลางสระบัว สะอื้นไห้ น้ำตาไหลริน คร่ำครวญ
“นานเท่าไรแล้วที่ฉันอยู่ที่นี่ นานเท่าไรแล้วที่ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดาย นานเท่าไรแล้วที่ฉันตาย พวกแกต้องชดใช้...ต้องชดใช้!”
แม้นมาศกรีดร้องน้ำเสียงโหยหวน หันขวับมามองตาขาวโพลนใบหน้าเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น
แววตาแม้นมาศเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ร่ำไห้คิดถึงคุณชายภาณุทัต
“ฉันตามหาคุณชายทัตเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นกันเลย จน 30 ปีแล้ว ฉันเสียใจแล้วก็โดดเดี่ยวมากเลย รู้มั้ย”
รสสุคนธ์มองแม้นมาศอย่างสงสารจับใจ
“รสเข้าใจค่ะ ย่าเล็ก”
“พวกคนชั่วจะต้องชดใช้”
รสสุคนธ์บอกแม้นมาศด้วยเสียงจริงจัง
“รสเชื่อว่าฆาตกรจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ ค่ะ”
“ก็แค่ฆ่าพวกพรหมบดินทร์ให้หมด”
รสสุคนธ์ห้าม “ไม่ได้นะคะ ย่าเล็กรอมา 30 ปีแล้ว อย่าเพิ่งใจร้อน รสขอเวลาไขปริศนานี้อีกนิดนะคะ”
แม้นมาศพยักหน้าดูสงบลง
เฟื่องพาน้อยมาส่งที่หน้าเรือนไม้หอม สองยายหลานแลเห็นไฟที่ชั้นบนบ้านยังเปิดสว่างอยู่
“คุณรสคงรออยู่ รีบเข้าไปหาเธอสิ น้อย”
น้อยมองเข้าไปบนเรือนไม้อย่างหวาดๆ แต่สุดท้ายก็ทำใจดีสู้ผี
“อะไรจะเกิดก็เกิด ยายกลับไปเรือนใหญ่เหอะ เดินดีๆ ล่ะ ทางยิ่งมืดๆ อยู่”
เฟื่องพยักหน้าแล้วฉายไฟฉาย เดินจากไป
“เออ ยายไปละ”
น้อยสูดลมหายใจแล้วเดินเข้าไปด้านในเรือนไม้หอม ร้องเรียกชื่อรสสุคนธ์ดับความกลัว
“คุณรสคะ คุณรสสุคนธ์ น้อยมาแล้วค่ะ”
รสสุคนธ์อยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงเรียกนั้น
“เสียงน้อยนี่”
เธอเดินออกจากห้องนอนไป แม้นมาศยังคงนั่งซึมมองจันทร์อยู่ในมุมมืดใบหน้าเศร้าสร้อย
น้อยกำลังจะขึ้นบันไดชั้นบนไปนั้น รสสุคนธ์ชะโงกหน้าจากหัวบันได น้อยเงยหน้ามองขึ้นไปมองในแสงสลัวลางแล้วต้องตกใจ
“ว้าย...ผะ” น้อยจะหลุดคำว่าผีออกมา พอเห็นหน้ารสสุคนธ์ชัดๆ ก็หยุดปากไว้ทัน
รสสุคนธ์เปิดสวิทช์ไฟตรงหัวบันได
“ฉันเองน้อย ขวัญอ่อนไปได้”
น้อยรีบก้าวเดินขึ้นบันไดไปสมทบกับรสสุคนธ์ที่ด้านบนโดยไว
“แหม ก็คุณมาเงียบๆ แล้วที่นี่ก้อ”
รสสุคนธ์ยิ้มกลบเกลื่อน ด้วยไม่อยากให้น้อยต้องกลัวผีย่าเล็กมากจนเกินไป
“ก็ฉันอยู่คนเดียว จะให้เปิดเพลงก่อนมาหรือไงจ๊ะ”
น้อยส่ายหน้า กลัวเป็นเสียงขิมหลอนๆ
“ไม่ต้องค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณรสไม่ไปกินข้าวเย็นที่โรงครัวคะ”
“ตอนบ่าย ฉันกินของว่างนมเฟื่องเยอะไป เลยอิ่ม ว่าแต่น้อยเลือกสิจ๊ะ จะนอนห้องไหน”
น้อยไม่ตอบแต่ถามกลับว่า
“คุณรสนอนที่ห้องไหนล่ะคะ”
รสสุคนธ์พาน้อยเข้ามาในห้องนอนตัวเอง
“ห้องนี้ไงจ๊ะ”
น้อยมองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ รสสุคนธ์พูดเสียงแทบกระซิบ
“ไหนๆ เราก็อยู่กันแค่นี้ น้อยขอปูผ้านอนที่หน้าเตียงคุณรสได้มั้ยคะ”
รสสุคนธ์นึกถึงตอนแม้นมาศขอนอนตรงนั้นเหมือนกัน
“จริงด้วย ฉันลืมไปเลย แล้วนี่เธอนอนที่ไหนล่ะ”
“อ๋อ เดี๋ยวฉันเอาผ้ามาปูนอนตรงพื้นนี่ละ”
“อุ๊ย อย่าเลย ฉันว่าเธอขึ้นมานอนกับฉันดีกว่า”
“มันจะดีเหรอ”
“ดีสิ..เตียงออกจากกว้าง นอนด้วยกันอบอุ่นดี ขึ้นมาสิ”
รสสุคนธ์ขยับที่นอนให้ พร้อมกับตบหมอบให้แม้นมาศขึ้นมานอนด้วยกัน
คิดแล้วรสสุคนธ์จึงอยากเว้นที่บนเตียงไว้ให้ย่าเล็ก เลยไม่ชวนน้อยนอนบนเตียง
“เอางั้นเหรอ”
“นะคะ มีอะไร จะได้ดูแลกันได้”
รสสุคนธ์มองไปยังแม้นมาศซึ่งยืนหลบมุมมืดอยู่ โดยที่น้อยไม่เห็น
“งั้นก็ตามใจจ้ะ”
น้อยยิ้มกว้างดีใจ ที่ไม่ต้องแยกห้องไปนอนคนเดียว
แม้นมาศยิ้มเยือกเย็นอยู่ในความมืดด้านหลังน้อย เคลื่อนตัววูบมาล้มตัวลงนอนข้างรสสุคนธ์ที่ไม่ว่าอะไร ก่อนหลับตาลงนอน
เรือนไม้หอมทั้งหลังเงียบสงบ แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดเป็นลำเข้ามาที่หน้าต่างห้องนอนรสสุคนธ์ เจ้าตัวแต่งตัวพร้อมจะไปทำงานแล้ว มองไปเห็นที่นอนเก็บไว้ที่พื้นหน้าเตียงอย่างเรียบร้อย ไร้เงาเจ้าตัว มีเพียงกระดาษโน้ตติดไว้ที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
“พอดีเห็นคุณรสนอนสบายๆ เลยขอไปเตรียมอาหารเช้าที่โรงครัวน่ะค่ะ”
รสสุคนธ์ยิ้มออกมาพลาง เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง เรียกหาแม้นมาศ
“ย่าเล็กคะ ย่าเล็กอยู่มั้ยคะ”
ทั่วห้องนอนไม่มีวี่แววแม้นมาศ รสสุคนธ์เลยหยิบกระเป๋าถือเปิดประตูห้องนอนออกไป
ขณะที่รสสุคนธ์เดินลงมาชั้นล่างมองหาแม้นมาศไปทั่ว รามนรินทร์ในชุดทำงานก็โผล่มาหาแต่เช้า มองฉงนว่ารสสุคนธ์หาใครอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณรส ว่าแต่มองหาใครอยู่หรือครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มทักทาย แล้วรีบกลบเกลื่อน
“สวัสดีค่ะ คุณรามมาแต่เช้า ฉันแค่มองหาน้อยน่ะค่ะ แต่คงไปโรงครัวแล้วมั้ง”
รามนรินทร์ได้โอกาสเลยออกปากชวน
“ดีเลยครับ ผมว่าจะมาชวนคุณรสเดินออกกำลังตอนเช้าไปโรงครัวพอดี ไปนะครับ”
รสสุคนธ์ยิ้มตอบ แล้วเดินตามรามนรินทร์ออกไป
ที่หน้าต่างชั้นบนของเรือนไม้หอมยามนี้ แม้นมาศในคราบมนุษย์ยืนมองสองคนที่เดินเคียงกันไปด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มดูมีเลศนัยบางประการ
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 5 (ต่อ)
น้อยพาตัวเองมาอยู่ที่โรงครัว เพื่อเตรียมอาหารเช้าให้รสสุคนธ์ตั้งแต่เช้า เฟื่องมองอาหารฝีมือหลานสาวเห็นหน้าตาดูน่ากินแล้วชมเปาะ
“หน้าตาน่ากินดีนี่ ดีแล้วล่ะ อยู่บ้านท่านก็ต้องตอบแทนบุญคุณ”
“ก็คุณรสเธอมีน้ำใจกับฉันด้วยนี่ยาย”
จวงกับปริกพากันเข้ามา ปริกเข้าไปกระแซะถามน้อย
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนใจกล้า ไปนอนที่เรือนโน้น” ปริกสยอง ไม่กล้าเอ่ยชื่อ “มาเหรอน้อย”
น้อยพยักหน้าแทนคำตอบ จวงรีบถามลองเชิง
“แล้วเป็นไงวะ ผมโกร๋นหมดหัวมั้ย”
น้อยมองหน้าจวงแล้วพูดเสียงเรียบๆ
“น้าจวงจะทักทำไมเนี่ย ดูสิว่าผมน้อยอยู่ครบมั้ย”
“ไม่มีอะไรก็ดี” จวงว่า
“แล้วคุณรสว่าไง” ปริกถาม
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่จ๊ะ คุณรสใจดีมาก”
“ก็ขอให้รอดปลอดภัยตลอดละกัน” จวงบอกประชดในที
น้อยมองหน้าทุกคน แล้วก็ตัดสินใจเฉยเสียดีกว่า
รามนรินทร์เดินคุยกับรสสุคนธ์ มาที่บ้านพรหมบดินทร์ ใครมาเห็นภาพสองหนุ่มสาวคงเข้าใจว่าเป็นคู่รักที่รักกันใหม่ๆ รามนรินทร์มองไปทางโรงครัว แล้วเดินนำรสสุคนธ์ไปทางนั้น สีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ในบรรยากาศยามเช้าแสนสดใส
ภาวิดายืนมองภาพนั้นอยู่อย่างแค้นใจ
“ไม่นะ ตาราม”
ทวนที่มานอนค้างด้วย เพิ่งตื่นนอน งัวเงียถามภาวิดา
“คุณราม ทำไมเหรอครับ”
ภาวิดาไม่ตอบทวน สีหน้าแววตาเหมือนรำลึกจดใจเรื่องราวในอดีตอยู่
เรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นที่มุมเดียวกันนี้ในบ้านพรหมบดินทร์ ภาวิดาแอบมองภาณุทัตเดินคุยอยู่กับแม้นมาศด้วยท่าทีสนิทสนม แววตารักใคร่กันปานจะกลืนกิน เธอได้แต่มองด้วยความไม่พอใจ เต้นเร่าๆ อยู่คนเดียว
“พี่ชายทัต ทำไมใฝ่ต่ำอย่างนี้”
ภาวิดานั่งรอที่โต๊ะอาหารสักครู่แล้ว แต่รามนรินทร์ยังไม่มา จวงเดินเข้ามารอรับใช้ ภาวิดามองเขม็ง
“คุณรามล่ะ”
“อยู่ที่โรงครัวค่ะคุณรามบอกว่าจะกินกับแม่รสที่ครัว นังน้อยก็อยู่ด้วยค่ะ”
ภาวิดาโกรธจัด โยนผ้าเช็ดมือทิ้งลงบนโต๊ะ
“ตารามนะตาราม ไม่รู้ไปหลงเสน่ห์อะไรมันนักหนา อีผู้หญิงตระกูลเกษมบริรักษ์เนี่ยมันมีอะไรดี ฉันจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด”
ผีแม้นมาศรับรู้ถ้อยคำนั้น นั่งห้อยขาอยู่ที่หน้าต่างเรือนไม้หอมอย่างอารมณ์ดี พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันสะใจสุดจะประมาณ
“ประวัติศาสตร์จะต้องซ้ำรอย คอยดู...ฮ่าฮ่าฮ่า”
น้อยกับเฟื่องช่วยกันยกสำรับกำลังจะเดินออกไป เห็นรามนรินทร์กับรสสุคนธ์เดินเข้ามาพอดี
“อ้าวคุณรส น้อยกำลังจะยกข้าวไปให้ที่เรือนอยู่พอดีเลย”
“ไม่ต้องยกไปหรอกน้อย เดี๋ยวฉันกินที่นี่ล่ะ มา ฉันช่วย”
รสสุคนธ์ช่วยน้อยจัดโต๊ะ เฟื่องตักข้าวใส่จาน
รามนรินทร์นมเฟื่อง...ผมขอฝากท้องด้วยนะครับ
เฟื่องได้ค่ะ รับประทานเยอะๆ นะคะ มื้อนี้ฝีมือยัยน้อยทำหมดเลยค่ะ
น้อยหวังว่าคงจะถูกปากคุณรามกับคุณรสนะคะ
เฟื่องตักข้าวให้รามนรินทร์ รสสุคนธ์ชวนยายหลาน
“นมเฟื่องกับน้อย มากินด้วยกันสิคะ”
น้อยขยับจะนั่ง แต่เฟื่องดึงไว้
“อุ๊ย ไม่ดีมั้งคะ คุณรสกับคุณรามกินกันเหอะค่ะ เดี๋ยวเฟื่องกับน้อยเข้าไปกินในครัว”
รามนรินทร์อ้อน “นานๆ ผมได้กินข้าวกับนมซะที นั่งกินด้วยนะครับนม”
“ก็ได้ค่ะ”
เฟื่องใจอ่อนยอมนั่ง น้อยยิ้มดีใจ รีบตักข้าวให้เฟื่องกับตัวเอง
รามนรินทร์ตักกับข้าวให้รสสุคนธ์ อีกฝ่ายหันมายิ้มขอบคุณ ไม่มีใครเห็นว่าที่หน้าต่างเรือนคนใช้ ปริกกำลังแอบถ่ายคลิปของรามนรินทร์กับรสสุคนธ์อยู่ พอได้ภาพสมใจปริกก็รีบหลบมุมแล้วส่งคลิปผ่านไลน์ไปให้จวงทันที
เสียงไลน์ในมือถือดังขึ้น จวงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแล้วต้องตาโต
“คุณหญิงคะ ดูนี่สิคะ”
จวงเปิดคลิปรามนรินทร์กินข้าวกับรสสุคนธ์ มีน้อยและเฟื่องร่วมโต๊ะ ให้ภาวิดาดู
“ดูสิคะ พวกมันรวมหัวกันคิดจะจับคุณราม ขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังคุณหญิงคงได้ลูกสะใภ้เป็นหลานนังแม้นมาศแน่ๆ ค่ะ”
“ฮึ คิดจะมาเป็นลูกสะใภ้ฉัน มันไม่ง่ายหรอก คอยดูเหอะ ฉันจะทำให้มันเจ็บปวดยิ่งกว่าที่ย่ามันโดน”
ภาวิดาคุมแค้นขบกรามแน่นกัดฟันกรอด วาดแผนการร้ายบางอย่างในหัว
ในที่รสสุคนธ์พิมพ์รายละเอียดการจัดงานระลึกร้อยปีตระกูลพรหมบดินทร์ในโน้ตบุ๊กอย่างขะมักเขม้นอยู่นั้น ภาณุกรเดินนำน้อยเข้ามาหาที่ห้องทำงาน
“หนูรส เป็นไงบ้าง เตรียมงานถึงไหนแล้ว”
“รสกำลังเขียนโครงการอยู่ค่ะ เหลือรายละเอียดงานอีกนิดหน่อย อีกซักสองวันรสจะนำเสนอให้คุณชายอ่านนะคะ”
ภาณุกรเยื้อนยิ้มพอใจ “แล้วฉันจะรออ่าน”
น้อยยกกาแฟมาเสิร์ฟให้
“กาแฟค่ะคุณชาย”
ภาณุกรรับไปดื่ม มองน้อยอย่างเอ็นดู “เออ...แล้วนี่ไปสมัครงานที่ไหนบ้างแล้วหรือยัง”
“น้อยก็ส่งใบสมัครไปหลายที่แล้วค่ะ แต่เขายังไม่เรียกสัมภาษณ์เลย”
ภาณุกรเอ็ดด้วยท่าทีเอ็นดู “ถ้าเราไม่เลือกงานเดี๋ยวมันก็ได้เองล่ะ ดูอย่างหนูรสสิ สู้งานไม่บ่นไม่เกี่ยงซะงาน”
“แหม จบมหา’ลัยทั้งที น้อยก็อยากทำงานให้ตรงสายนี่คะคุณชาย”
น้อยอ้อนประจบเข้าไปบีบนวดขาให้ ภาณุกรรู้ทัน
“ไม่ต้องมาประจบเลย ตอนนี้ว่างๆ เราก็มาช่วยหนูรสไปก่อน ไว้ได้งานค่อยว่ากันอีกที”
รสสุคนธ์ยิ้มขำ “แล้วน้อยจบอะไรมาเหรอจ๊ะ”
“จบนิเทศฯ ค่ะ”
รสสุคนธ์สนใจ “งั้นน้อยก็ถ่ายรูปได้สิ”
“ค่ะ เห็นแบบนี้วิชาโฟโต้น้อยได้เอนะคะ คุณรสอยากได้ช่างภาพเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ น้อยอยากมาช่วยฉันมั้ย”
“ยินดีค่ะ ว่าแต่...” น้อยหันมาทางภาณุกร “งานนี้น้อยจะได้ค่าแรงมั้ยคะ คุณชาย”
ภาณุกรยิ้มเอ็นดู “หัวหมอนะเรา เดี๋ยวฉันบอกตารามตั้งงบเบิกให้”
“เย้...งั้นคุณรสจะให้น้อยถ่ายภาพอะไรสั่งมาได้เลยค่ะ”
น้อยกระดี๊กระด๊าใหญ่ รีบเข้าไปคุยงานกับรสสุคนธ์ รสสุคนธ์อธิบายงานให้ฟัง ภาณุกรยิ้มพอใจที่สองสาวดูสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
ทวนแต่งตัวหล่อฉีดน้ำหอมฟุ้งผิวปากอารมณ์ดีเดินออกมาจากห้อง ปริกหันไปเห็นก็ถามด้วยความสงสัย
“แต่งตัวซะหล่อเลยนะพี่ทวน จะไปเที่ยวไหนเหรอ ฉันไปด้วยซิ”
“ไม่ได้โว้ย ฉันจะไปธุระกับคุณหญิง”
“แหม..แค่ขับรถให้คุณหญิงทำไมต้องแต่งหล่อด้วย” ปริกมองค้อน
“มันเป็นเรื่องหน้าตาทางสังคม ขืนฉันแต่งตัวโทรมออกไปข้างนอกก็ไม่ให้เกียรติคุณหญิงสิวะ นี่ข้าทำเพราะหน้าที่นะโว้ย ไปละ เดี๋ยวคุณหญิงรอ”
ปริกขวางหน้าไว้ “เดี๋ยวๆ แล้วนี่พี่จะพาคุณหญิงไปไหน”
“จุ้น แกไม่รู้ซะเรื่องได้มั้ย”
ทวนไม่ตอบเดินหนีออกไป ปริกมองตามอย่างเซ็งๆ
“ตกลงคุณหญิงจะไปไหนวะ”
ภาวิดาแต่งตัวสวมงามสมวัย เดินออกมาเห็นทวนยืนรออยู่ที่รถแล้ว พยักหน้าพึงพอใจที่เห็นทวนแต่งตัวหล่อเรียบร้อย
“แต่งตัวรู้กาลเทศะดีนี่”
“ผมไม่กล้าทำให้คุณหญิงขายหน้าหรอกครับ เชิญครับคุณหญิง”
ทวนเปิดประตูพร้อมกับส่งตาหวานให้ ภาวิดาส่งยิ้มตอบชู้รักหุ่นล่ำ แล้วเชิดหน้าขึ้นไปนั่งบนรถ ทวนรีบวิ่งไปประจำที่คนขับ ขยับกระจกมองหลังพร้อมกับส่งตาหวานให้กับภาวิดาอีกครั้ง
“มองอะไรอยู่ได้”
“วันนี้คุณหญิงสวยเป็นพิเศษนะครับ”
ภาวิดาเขิน “ไม่ต้องมาปากหวาน รีบไปได้แล้วเดี๋ยวรถติด”
ทวนขยิบตาให้คุณหญิงสุดที่รัก แล้วขับรถออกไป
พอรถภาวิดาแล่นออกไปไม่นาน รถของอธิวัฒน์ก็แล่นเข้ามาจอด โดยที่กระจกมองหลังเห็นสร้อยพระพวงโตแขวนอยู่
“อีนังผีร้าย แค่นี้แกก็ทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว”
อธิวัฒน์พนมมือไหว้แล้วเอาสร้อยมาสวมคอ ใส่ไว้ในเสื้อ ชายโฉดกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วลงรถเดินตรงไปทางเรือนไม้หอมทันที
อธิวัฒน์เดินผ่านสระบัวตรงมาทางเรือนไม้หอม แต่แล้วลมก็พัดเข้ามาใส่วูบใหญ่ บรรยากาศดูชวนสยอง อธิวัฒน์ชะงักหยุดหันมองอย่างระแวดระวัง ลุ้นว่าผีจะโผล่มาทางไหน
มีความเคลื่อนไหวในสระบัว ผีแม้นมาศโผล่หน้ามาแค่ตาจ้องอธิวัฒน์ตาเขม็ง ครั้นพออธิวัฒน์มองลงไปในสระบัวแต่ก็ไม่เห็นอะไร ทุกอย่างดูปกติ
อธิวัฒน์ขยับจะไปต่อ แต่แล้วก็มีแมวดำตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้มองตาเขม็ง อธิวัฒน์สะดุ้งตกใจกลัว
“เฮ้ย” พอเห็นเป็นแมวดำก็โมโห “ไอ้แมวบ้า ไปไกลๆ เลย”
อธิวัฒน์เงื้อตีนจะเตะ แมวกระโจนหนีไป
อธิวัฒน์เสียฟอร์มรีบวางมาดแล้วเดินตรงไปที่เรือนไม้หอม
“ไอ้นี่...ไม่รู้จักเข็ด”
ผีแม้นมาศจ้องตาวาว ก่อนจะมุดหายลงไปในสายน้ำ
อธิวัฒน์เดินเข้ามาหยุดที่หน้าบันไดเรือนไม้หอม แต่คราวนี้อธิวัฒน์ก็ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อมองขึ้นไปที่หน้าต่างเรือนเห็นเงาใครบางคนเดินอยู่บนนั้น อธิวัฒน์ขยับเข้าไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น เป็นจังหวะที่ตาดำหันขวับมามองพอดิบพอดี
อธิวัฒน์เห็นใบหน้าเหมือนผีของตาดำก็สะดุ้งเฮือกตกใจสุดขีด
“เฮ้ย”
อธิวัฒน์เสียหลักล้มลง พอลุกขึ้นมามองอีกครั้ง แต่คราวนี้ตาดำก็ไม่อยู่แล้ว
“หายไปไหนแล้ว”
อธิวัฒน์เดินกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นบันไดไปบนเรือนไม้หอม
อธิวัฒน์เดินเข้าไปสำรวจในโถงบ้าน แต่ก็ไม่มีวี่แววใครอยู่ บรรยากาศดูวังเวงพิกล
“น้องรส...น้องรสครับ”
อธิวัฒน์มองหารสสุคนธ์ แต่จู่ๆ แม้นมาศในคราบมนุษย์ก็โผล่พรวดออกมาจากทางข้างหลัง ทำเอาอธิวัฒน์ถึงกับสะดุ้ง
“คุณรสไม่อยู่”
“โธ่ ฉันตกใจหมด เธอเป็นคนใช้ที่บ้านนี้เหรอ”
อธิวัฒน์มองสำรวจเรือนร่างหน้าตาแม้นมาศ ก็ทำตาเจ้าชู้ใส่ทันที
“ค่ะ แล้วคุณเป็นใคร มาหาคุณรสทำไม” แม้นมาศสมอ้าง
“อ๋อ ฉันอธิวัฒน์ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ น้องรสน่ะ” อธิวัฒน์โกหกหน้าตาย
“งั้นคุณนั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปตามคุณรสให้”
แม้นมาศขยับตัวจะออกไป แต่อธิวัฒน์ถลาเข้ามาขวางทางจนตัวแทบจะชิดกัน
“เดี๋ยวสิ ฉันคอแห้งขอน้ำดื่มซักแก้วสิ”
“ได้ค่ะ รอซักครู่นะคะ”
แม้นมาศเดินไปรินน้ำลอยดอกมะลิจากเหยือกที่ตั้งอยู่ใส่แก้วน้ำ อธิวัฒน์มองตาบั้นท้ายแม้นมาศแล้วยิ้มหื่น
ใบหน้าแม้นมาศจากสาวสวยกลายเป็นหน้าผียิ้มเจ้าเล่ห์ และน้ำในเหยือก ที่แท้เป็นน้ำเน่าสีสนิม แถมมะลิก็กลายเป็นตะปูนับสิบตัวอยู่เต็มแก้ว
แม้นมาศหันกลับมาเป็นสาวสวยพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้อธิวัฒน์
“น้ำลอยดอกมะลิหอมชื่นใจค่ะ”
อธิวัฒน์คว้ามือแม้นมาศหมับ กุมไว้แน่น แล้วดอมดมมือแม้นมาศอย่างชื่นใจ แม้นมาศทำทีเป็นเขิน ค่อยๆ ดึงมือออก
“ขอบใจจ้ะ หอม จริงๆ ด้วย”
อธิวัฒน์จะยกแก้วน้ำตะปูขึ้นดื่ม แม้นมาศมองลุ้น แต่แล้วดันมีเสียงโทรศัพท์เข้ามาก่อน อธิวัฒน์ชะงักวางแก้วไว้ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เห็นชื่อ “คุณหญิงน้า” โชว์หน้าจอ
“ขอตัวโทรศัพท์ก่อนนะจ๊ะ”
อธิวัฒน์รีบเดินหลบออกไปรับโทรศัพท์หน้าบ้าน แม้นมาศอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะ
แขไขกำลังรออธิวัฒน์รับสายอยู่ในบ้าน
“ฮาโหลครับ”
พออธิวัฒน์รับสายแขไขก็เฉ่งทันที
“ตาวัฒน์ แกหายหัวไปไหน ทำไมพึ่งรับสาย”
อธิวัฒน์หลบออกมายืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างเรือนไม้หอม
“ใจเย็นๆ ครับคุณหญิงน้า ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านพรหมบดินทร์แล้วครับ”
“จริงเหรอ งั้นแกก็รีบรวบหัวรวบหางมันซะล่ะ อย่าให้พลาดอีกเข้าใจมั้ย”
“ผมรับรอง วันนี้รสสุคนธ์เสร็จผมแน่”
อธิวัฒน์วางสายแล้วยิ้มชั่วออกมา โดยไม่เห็นว่าที่ข้างเรือนไม้หอมยามนี้ ตาดำโผล่ออกมาตรงนั้นมองเข่นเขี้ยวกัดฟันกรอด ได้ยินหมดทุกคำพูด
“ไอ้สารเลว”
อธิวัฒน์ชะงักกึกหันไป เห็นตาดำกำลังพุ่งเข้ามาหาก็ตกใจ ตาดำกระชากตัวอธิวัฒน์แล้วเหวี่ยงไปชนกับเสาบ้าน ตาดำเข้าไปบีบคออธิวัฒน์ต่อ
อธิวัฒน์สะบัดตัวออกด้วยความมึนตั้งตัวไม่ติด อีกอย่างตกใจคิดว่าตาดำเป็นผี อธิวัฒน์ถอดสร้อยพระออกจากคอเสื้อมาขู่
“อย่าเข้ามานะ ฉันมีพระ”
ตาดำไม่สนใจกระโดดเข้าใส่อธิวัฒน์ แล้วต่อยไม่ยั้ง อธิวัฒน์ได้แต่ยกมือปัดป้องเซล้มลง สร้อยพระกระเด็นหล่นพื้น
“โอ๊ย อย่า ฉันกลัวแล้ว”
“มึงจำเอาไว้ อย่าคิดทำชั่วในบ้านกู”
ตาดำกระทืบจนอธิวัฒน์แน่นิ่งสลบเหมือดอยู่ชานบันไดหน้าเรือน ตาดำแสยะยิ้มมองร่างอธิวัฒน์แล้วพุ่งหายไป
รถยนต์คันหรูของภาวิดาที่ทวนขับ แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านแขไข โดยที่แขไขส่องออกมาจากทางหน้าต่างเห็นรถจอดอยู่ก็ตกใจ
“ใครมา หรือว่าจะเป็นเจ้าหนี้”
แขไขหน้าซีด รีบมุดหัวหลบด้วยความกลัว
ฝ่ายทางภาวิดาไม่กล้าลงรถ ส่องกระจกมองไปรอบๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจ ทวนมาเปิดประตูรถภาวิดา
“เธอพาฉันมาถูกที่แน่นะทวน”
“บ้านนี้ล่ะครับ บ้านคุณหญิงแขไข”
ภาวิดาก้าวออกมาจากรถมองบ้านอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ตายจริง ทำไมหญิงแขถึงได้มาอยู่บ้านซอมซ่อแบบนี้ได้นะ”
แขไขค่อยๆ โผล่หน้ามามอง พอเห็นเป็นภาวิดาก็ตกใจ
“คุณหญิงพี่ดา”
แขไขรีบแจ้นมาต้อนรับพาภาวิดาเข้ามานั่งในห้องรับแขก
“คุณหญิงพี่ดา ทีหลังโทรบอกแขสิคะ แขจะได้ไปหา ไม่เห็นต้องมาถึงบ้านแขเลย”
“พี่ก็แค่อยากมาเยี่ยม เห็นว่าหญิงแขย้ายบ้านก็เลยแวะมาดูซะหน่อย แล้วนี่นึกยังไงเหรอหญิงแข อยู่วังดีๆ ไม่ชอบ ย้ายมาอยู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ทำไมกัน”
แขไขรีบแก้ตัวด้วยคำพูดอันสวยหรูสร้างภาพให้ดูดี
“ชีวิตคนเรามันไม่เที่ยงนะคะคุณหญิงพี่ดา ถึงจะอยู่ในวังใหญ่โตแต่มีแค่แขกับลูกกันสองคน มันก็เหงานะคะ แขก็เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็กๆ ถึงจะดูคับแคบไปหน่อยแต่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น สมัยนี้เขาเน้นอยู่อย่างสมถะ ใช้ชีวิตแนว Slow Life น่ะค่ะ”
“ถ้าเธอมีความสุขก็ดีไป พี่ไม่ขัดหรอก”
“ว่าแต่คุณหญิงพี่ดา มาหาแขมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“มีสิ ตอนนี้แม่รสสุคนธ์มันชักจะสนิทสนมกับตารามเกินงามแล้ว พี่ก็เลยอยากตัดไฟแต่ต้นลม”
แขไขตาโต “เอ๊ะ คุณหญิงพี่ดาอย่าบอกนะคะว่าจะให้ตารามหมั้นกับยัยนิษา”
“โอ๊ย เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เอาเรื่องเฉพาะหน้าก่อน พี่อยากขอหนูนิษาไปทำงานด้วย หญิงแขขัดข้องมั้ย”
“อุ๊ย ไม่ค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยยัยนิษาก็จะเป็นลูกสะใภ้คุณหญิงพี่ดาแล้ว แขต่างหากล่ะที่ต้องเป็นฝ่ายฝากฝังลูกสาว ว่าแต่คุณหญิงพี่ดาจะให้ยัยนิษาเริ่มงานวันไหนคะ”
“วันนี้เลยยิ่งดี พอดีพี่ใจร้อนน่ะ”
ภาวิดายิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนอะไรบางอย่างในใจแล้ว
ทวนขับรถแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมแกรนบดินทร์ ส่วนในรถเห็นอุณนิษานั่งเชิดหน้าอยู่เบาะหลังกับภาวิดา
พนักงานโรงแรมกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ ภาวิดากับอุณนิษาพากันก้าวออกมาอย่างนางพญา บรรดารปภ.กับพนักงานโรงแรมเห็นภาวิดาก็ตกใจรีบยกมือขึ้นไหว้กันสลอน
“เราไปกันเหอะหนูนิษา”
ภาวิดากับอุณนิษาพากันเดินเข้าไปในโรงแรม
พนักงานตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับมองตามด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะคิดได้รีบหยิบโทรศัพท์กดหานภาทันที
“ฮาโหล คุณนภา คุณหญิงภาวิดามาครับ”
นภาคุยสายด้วยสีหน้าตกใจ
“ขอบใจมาก” นภาวางสายแล้วครุ่นคิดหน้าเครียด “ร้อยวันพันปีคุณหญิงไม่เคยโผล่มา วันนี้มาทำไม หรือว่าจะมีเรื่อง...ต้องรีบเตือนคุณราม”
นภาขยับออกจากโต๊ะ แต่ก็ไม่ทัน เพราะ ภาวิดากับอุณนิษาเข้ามาถึงก่อน นภาเบรกแทบไม่ทัน
“สวัสดีค่ะ คุณหญิง”
นภายกมือไหว้อย่างนอบน้อม ภาวิดาเป้ปากรับพร้อมกับมองด้วยหางตา อุณนิษาเชิดหน้าใส่นภาขยับตัวจะเข้าห้อง แต่ถูกนภาขวางไว้
“เข้าไม่ได้ค่ะ”
อุณนิษาฉุน “ทำไมเข้าไม่ได้ เธอไม่รู้หรือไงว่าฉันมากับใคร”
“ทราบค่ะ นี่คุณหญิงภาวิดา มารดาของคุณรามนรินทร์ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โรงแรมแกรนด์บดินทร์”
“แม่มาหาลูกชายไม่ได้หรือไง หรือว่าเธอมีปัญหา”
“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ตอนนี้คุณรามกำลังประชุมทางสายกับลูกค้าอยู่ รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวนภาจะเข้าไปแจ้งให้ก่อน”
“คนอย่างฉันไม่เคยรอใคร ถอยไป”
เจอภาวิดายื่นคำขาดนภาถึงกับอึ้งไป อุณนิษาดันตัวนภาออกผลักประตูเปิดให้ภาวิดา
“เชิญค่ะคุณหญิงแม่”
ภาวิดาเดินเข้าห้องไป อุณนิษาหันมาเป้ปากใส่นภา เอาคืนนภาจากคราวก่อน
“รู้ซะบ้างใครเป็นใคร ระวังจะไม่มีเงาหัว...ไปเอากาแฟมาสิ ของฉันน้ำตาลช้อนเดียวไม่ใส่ครีม”
อุณนิษาสะบัดหน้าใส่แล้วเดินตามภาวิดาเข้าไป นภาค้อนควักได้แต่ทำปากขมุบขมิบด่าอุณนิษาลับหลัง
นภายกกาแฟมาเสิร์ฟให้ภาวิดากับอุณนิษาที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องทำงานรามนรินทร์ พอเสิร์ฟเสร็จนภาก็ขยับไปยืนใกล้ๆ รอรับคำสั่งจากรามนรินทร์ผู้เป็นนาย
“วันนี้คุณแม่มาหาผมถึงที่ทำงาน มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ภาวิดากำลังจะพูดก็ชะงักเหลือบไปมองนภาที่ยืนเสนอหน้าหูผึ่งรอฟังอยู่ภาวิดาก็ทำตาเขียวใส่
“มายืนค้ำหัวอยู่ได้ ไร้มารยาท...จะไปไหนก็ไป”
รามนรินทร์พยักหน้าให้
“งั้นนภาลาค่ะคุณหญิง” นภาไหว้สวยงามประชดแล้วเดินบิดออกจากห้องไป
ภาวิดามมองตามตาขุ่น “แม่ล่ะเบื่อแม่เลขาใหญ่ของชายกรคนนี้จริงๆ หน้าตาไม่รับแขกแบบนี้ไม่รู้จะเอามานั่งหน้าห้องของรามทำไม”
“คุณนภาเธอเก่งนะครับ แถมคล่องงานอีกด้วย”
“แต่ยังไงก็ไม่เหมาะสม รามควรจะมีเลขาที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมมากกว่านี้”
รามนรินทร์ชะงักรู้ทันทีว่ามารดาต้องการจะพูดอะไร ภาวิดาหันมาทางอุณนิษา ที่ฉีกยิ้มส่งตาหวานให้รามนรินทร์อยู่
“ตั้งแต่วันนี้ไป หนูนิษาจะมาเป็นเลขาให้ราม รามคงไม่ขัดข้องใช่มั้ย”
“ไม่ครับ พี่ดีใจนะที่คุณนิษาจะมาช่วยงานพี่”
อุณนิษาเข้าไปนั่งกระแซะเกาะแขนรามนรินทร์ออดอ้อน ภาวิดายิ้มพอใจ
“นิษาฝากตัวด้วยนะคะพี่ราม”
“มีอะไรก็สอนน้องด้วยนะราม นิษาก็อย่าดื้อตั้งใจกับงานล่ะ”
“ค่ะ นิษาจะไม่ทำให้คุณหญิงแม่ผิดหวัง”
รามนรินทร์อึดอัดมากหน้าเครียดได้แต่ยิ้มรับ ปฏิเสธไม่ได้ จำยอมรับอุณนิษามาเป็นเลขา
ฝ่ายแม้นมาศเดินออกมาจากเรือนไม้หอมมองหาอธิวัฒน์ที่จู่ๆ ก็หายไป
“คุณวัฒน์คะ คุณวัฒน์ หายหัวไปไหนแล้ว”
แม้นมาศชะงักหันไปเห็นอธิวัฒน์สลบแน่นิ่งอยู่ก็แปลกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหมอนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้ได้ ฝีมือใครกันนะ”
แม้นมาศมองรอบๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววของใครอยู่ บรรยากาศดูสยอง
“ว่าแต่ ฉันจะทำยังไงกับแกดี”
แม้นมาศหันมามองร่างไร้สติของอธิวัฒน์อีกที แล้วแสยะยิ้มน่ากลัว
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 5 (ต่อ)
อีกฟาก รามนรินทร์เดินออกมาสั่งงานนภา
“คุณนภา เดี๋ยวช่วยให้คนจัดโต๊ะทำงานให้คุณนิษาด้วยนะ”
“คุณนิษาจะมาทำงานตำแหน่งอะไรคะ”
“หนูนิษาจะมาเป็นเลขาส่วนตัวของราม จากนี้ไปงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับรามทั้งหมดต้องผ่านหนูนิษาก่อน..เข้าใจมั้ยคุณเลขาส่วนกลาง” ภาวิดาจงใจแดกดันนภาตอนท้าย
“รับทราบค่ะคุณหญิง”
“พี่รามคะ พานิษาไปเดินทัวร์โรงแรมหน่อยสิคะ นิษาพร้อมจะทำงานแล้วค่ะ”
“แย่จัง เดี๋ยวพี่มีประชุมกับลูกค้าสำคัญด้วยสิ ใช่มั้ยคุณนภา”
นภางง ชะงักนิดๆ ก่อนที่จะรับมุกของรามนรินทร์ได้อย่างทันท่วงที
“ประชุม อ๋อ..ใช่ค่ะ มิสเตอร์อดัมรอคุณรามอยู่ที่ห้องประชุมแล้วค่ะ นี่ค่ะเอกสาร”
นภารีบหยิบแฟ้มมั่วๆ ส่งให้กับเจ้านาย รามนรินทร์ยิ้มนิดๆ เป็นการขอบคุณ
“พี่ต้องขอโทษด้วยนะคุณนิษา เดี๋ยวพี่ให้คุณนภาพาไปแทนละกัน คุณนภา เดี๋ยวจัดโต๊ะให้คุณนิษาเสร็จแล้ว ผมฝากคุณพาคุณนิษาไปเรียนรู้งานของโรงแรมด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะบอส นภาจะเป็นพี่เลี้ยงให้คุณนิษาอย่างดีเลยค่ะ”
รามนรินทร์หันมาทางคุณหญิงมารดา “คุณแม่ครับ ผมขอตัวไปประชุมก่อนนะครับ”
รามนรินทร์รีบจ้ำออกมาไปโดยไว อุณนิษามองตามด้วยความขัดใจ
“งั้นแม่กลับก่อนนะ หนูนิษาก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองนะลูก”
“นิษาจะทำหน้าที่เลขาที่ดีไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอนค่ะ”
ภาวิดากับอุณนิษายิ้มให้กันอย่างรู้กัน จากนั้นภาวิดาก็เดินอารมณ์ดีออกไป พอร่างคุณหญิงหลุดหัวมุมไปอุณนิษาก็หันขวับมาทำตาเขียวใส่นภา
“งั้นถ้าพร้อมเมื่อไรก็ไปตามฉันในห้องล่ะ”
อุณนิษาสะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป นภาเป้ปากใส่อย่างหมั่นไส้
“คิดจะมาเป็นเลขาคุณราม ต้องผ่านด่านอรหันต์ฉันไปก่อนย่ะ”
นภายิ้มร้ายปนเจ้าเล่ห์
น้อยถ่ายรูปเก็บบรรยากาศบ้านพรหมบดินทร์ ตามมุมต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยมีรสสุคนธ์กำกับ ระหว่างน้อยถ่าย รสสุคนธ์ก็คอยสอดสายตามองหาสิ่งที่ดูมีพิรุธ
น้อยถ่ายรูปมุมกว้างๆ หน้าบ้านพรหมบดินทร์ เอาภาพให้รสสุคนธ์ดู รสสุคนธ์พยักหน้าพอใจ ชี้บอกให้ถ่ายเจาะมุมแคบเฉพาะจุด น้อยถ่ายตามที่รสสุคนธ์สั่งอย่างไม่มีอิดออด
เสียงกดชัตเตอร์ดังแชะ ขึ้นที่ห้องรับแขก อันโอ่โถงสวยงาม น้อยถ่ายมุมกว้าง ในแสงสวย บรรยากาศงามตารสสุคนธ์ชี้ให้น้อยถ่ายเก็บพวกของเก่าๆ ที่ประดับตกแต่งในห้องรับแขกทั้งสวยงามเลอค่า
น้อยกับรสสุคนธ์มาถ่ายภาพมุมต่างๆ อีกในบ้าน รสสุคนธ์ไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัยเลย ภาณุกรกับเฟื่องยืนมองทั้งคู่อยู่ทางด้านหลัง ภาณุกรยิ้มพอใจที่รสสุคนธ์กับน้อยเข้ากันได้อย่างดี
“พอได้ทำงานที่ตัวเองชอบ แม่น้อยก็ขยันเลยนะคะ” เฟื่องสัพยอก
“ฉันถึงไม่อยากไปบังคับไง ลูกหลานน่ะเลี้ยงได้แต่ตัว เราจะไปบังคับให้เขาทำตามใจเราไม่ได้หรอก”
“แต่ขืนปล่อยให้แม่น้อยลอยชายอยู่แบบนี้ เฟื่องกลัวคุณหญิงดาจะไม่พอใจสิคะ”
“เรื่องคุณพี่เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง ฉันห่วงเรื่องหนูรสมากกว่า ยังไงฉันก็ฝากเฟื่องดูหนูรสด้วยนะ ฉันกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย”
ภาณุกรหน้าเครียด ความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ของภาณุกรไม่ได้กลัวรามนรินทร์กับรสสุคนธ์จะรักกัน แต่กลัวรสสุคนธ์จะต้องตายเหมือนแม้นมาศต่างหาก
“ได้ค่ะ เฟื่องจะคอยเป็นหูเป็นตาให้คุณชายเองค่ะ”
เฟื่องรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ภาณุกรมองรสสุคนธ์ยิ้มเอ็นดู แววตาเป็นกังวลไม่คลาย
รสสุคนธ์กับน้อยเข้ามาถ่ายรูปภายในห้องนอนคุณหญิงภาวิดาจากการอนุญาตของคุณชาย น้อยเดินหามุมถ่าย ส่วนรสสุคนธ์สบโอกาสก็เริ่มสอดสายตาสำรวจตามจุดต่างๆ ในห้อง พอน้อยถ่ายเสร็จก็เอารูปในกล้องให้รสสุคนธ์ดูภาพที่ถ่าย รสสุคนธ์พยักหน้าพอใจ
“โอเค.จ้ะ ฝีมือน้อยนี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย”
“เชื่อมือน้อยยังคะ แล้วคุณรสจะให้ถ่ายอะไรต่อคะ”
“บริเวณบ้านพอแค่นี้ล่ะจ้ะ เดี๋ยวเย็นๆ เราจะถ่ายพวกของใช้เก่าๆ ของเจ้าพระยาบดินทร์กันต่อ”
“ของเก่าแบบนั้นต้องใช้ด้วยเหรอคะ”
“ต้องใช้สิจ๊ะ ฉันถึงอยากถ่ายภาพเก็บไว้เวลาทำงาน ข้าวของเก่าจะได้ไม่ต้องเสียหาย”
“คุณรสเนี่ยรอบคอบจังเลยนะคะ”
“ความจริงแล้วฉันกลัวโดนคุณหญิงเฉ่งมากกว่าน่ะ” รสสุคนธ์ว่า
“งั้นเรารีบออกจากห้องกันเหอะค่ะ เดี๋ยวคุณหญิงรู้ว่ามาวุ่นวายในห้องท่าน พวกเราโดนเชือดแน่ๆ”
น้อยกับรสสุคนธ์ยิ้มขำๆ ก่อนจะพากันจรลีออกจากห้องไป
สองสาวพากันเดินลงบันไดมาจากชั้นบนของบ้าน
“เออ จริงสิน้อย แล้วห้องของคุณชายภาณุทัตล่ะ อยู่ไหน”
“เท่าที่น้อยทราบห้องนั้นคุณหญิงทำเป็นห้องคุณรามไปแล้วค่ะ”
รสสุคนธ์ผิดหวัง “อ้าวเหรอจ๊ะ แล้วในบ้านนี้มีใครพอรู้เรื่องเมื่อ 30 ปีก่อนบ้างจ๊ะ”
น้อยกระซิบ “เรื่องคุณชายกับคุณแม้นมาศเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ คือจัดงานครบรอบ 100 ปีตระกูลทั้งที ฉันก็เลยอยากระลึกถึงความรักของคุณชายทัตกับคุณย่าเล็กด้วย น้อยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
น้อยยิ้มแหยๆ หน้าเหยเก “เรื่องนั้นน้อยไม่ทราบหรอกค่ะ คุณรสต้องไปถามยายเฟื่องแล้วล่ะค่ะ”
เฟื่องนั่งคุยอยู่กับรสสุคนธ์ที่ศาลาท่าน้ำ เฟื่องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เรื่องคุณชายภาณุทัตกับคุณแม้นมาศ เฟื่องไม่ทราบจริงๆ ค่ะ”
ระหว่างนี้แม้นมาศในร่างโปรงใสปรากฏตัวออกมาฟังด้วย พอได้ยินก็ถึงกับตกใจไม่แพ้กับรสสุคนธ์เช่นกัน
รสสุคนธ์ผิดหวัง “อ้าว แล้วนมเฟื่องไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้ตั้งแต่แรกเหรอจ๊ะ”
“เปล่าค่ะ เฟื่องเข้ามาอยู่ตอนคุณรามเกิด ตอนนั้นก็หลังจากเหตุการณ์นั้นมาแล้ว 5 ปี”
“งั้นยังเหลือคนใช้เก่าแก่ที่อยู่ก่อนนมเฟื่องมั้ยจ๊ะ”
“มีค่ะ ก็ จวง ทวน ปริก สามพี่น้องนั่นไงคะ ส่วนคนอื่นก็ลาออก ไม่ก็แก่ตายกันไปหมดแล้ว”
“เหรอจ๊ะ”
รสสุคนธ์รู้สึกมีความหวังขึ้นมา พอหันไปเห็นแม้นมาศยืนฟังอยู่ด้วยก็ตกใจ อุทานออกมาเป็นเชิงปราม
“ย่าเล็ก อย่าทำอะไรนะคะ”
แต่สายเกินไปแล้วแม้นมาศพุ่งตัวหายวับออกไป เฟื่องหันมองตามรสสุคนธ์ด้วยความแปลกใจ
“คุณรสคุยกับใครเหรอคะ”
“อ๋อเปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
รสสุคนธ์หน้าเครียด รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี
ตรงมุมหนึ่งข้างศาลา ปริกซุกตัวแอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้น ได้ยินหมดทุกอย่าง
“หน็อย คิดจะมาสืบเรื่องย่านี้เอง เรื่องนี้ต้องถึงหูพี่จวงแน่”
ปริกรีบคลานออกไปทันที
พอได้ฟังจวงกระแทกมีดฟันลงไปบนเขียงด้วยความโกรธ แล้วหันมองตาขวางใส่ปริกที่มารายงานข่าว
“มันมีปัญญาสืบได้ก็ให้มันสืบไป แต่แกจำไว้อย่างนะนังปริก แกอย่าได้ปากโป้งเล่าอะไรให้มันฟังเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“จ้ะ ฉันไม่พูดหรอก ขืนพูดฉันก็โดนคุณหญิงไล่ออกสิ ว่าแต่พี่เหอะ พี่จะปล่อยให้มันวุ่นวายแบบนี้เหรอ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าทำแน่ พวกจุ้นจ้านอย่างมัน อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุขเลย”
จวงฉีกชั่วออกมาเต็มหน้า
ทวนยืนพิงรถคุณหญิงคุยโทรศัพท์กับจวงอยู่ มาดอย่างเท่
“ได้ เดี๋ยวฉันเรียนคุณหญิงให้”
ทวนวางสาย เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาวิดาเดินออกมาจากโรงแรมได้ยินพอดี ก็ถามเสียงเขียวใส่ทันที
“คุยกับใคร”
“อ๋อ พี่จวงโทร.มารายงานเรื่องคุณรสสุคนธ์ครับ”
“รสสุคนธ์อีกแล้ว แม่นั่นสร้างเรื่องอะไรอีก”
“คุณรสสุคนธ์กำลังสืบเรื่องเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีก่อนครับ”
ภาวิดาฉุนกึก “ความอัปยศที่นังแม้นมาศก่อไว้กับตระกูลพรหมบดินทร์กำลังจะถูกลืมเลือนไปแล้วเชียว..แม่นั่นจะฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาอีกทำไมกัน”
“บางทีเธออาจทำเพื่อแกล้งคุณหญิงก็ได้นะครับ”
“เลว สันดานเหมือนกับย่ามันไม่มีผิด ฉันล่ะเกลียดโคตรเหง้าคนตระกูลนี้จริงๆ”
ภาวิดาโกรธจนตัวสั่น ทวนเข้าไปจับมือภาวิดาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน
“ใจเย็นๆ สิครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณหญิงไปเที่ยวให้ผ่อนคลายนะครับ”
ภาวิดาสะบัดมือออกอย่างฉุนเฉียว “ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีคำว่าแต่ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครขัดใจ”
“ขอโทษครับ ผมไม่กล้าขัดใจคุณหญิงของผมหรอกครับ”
ทวนเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม ภาวิดาขึ้นรถกระแทกก้นลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ทวนถอนหายใจ รีบวิ่งไปประจำที่ขับรถออกไป
พนักงานโรงแรมพากันยกโต๊ะทำงานกับเก้าอี้มาจัดมุมให้อุณนิษาที่หน้าห้องทำงาน โดยมีนภาเป็นตัวตั้งตัวตี
อุณนิษาเดินออกมาจากห้องรามนรินทร์ เดินเข้าไปประจันหน้านภาถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“นี่โต๊ะทำงานฉันใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วทำไมมาตั้งไว้ตรงนี้ ไม่เอาไปข้างใน”
“เลขาก็ต้องอยู่หน้าห้องสิคะ หน้าที่ของเลขาคือด่านปราการแรกของเจ้านาย เวลาใครไปใครมาจะได้กรองคนได้ถูก ขืนเข้าไปนั่งในห้องกับนาย...มันก็ไม่ใช่เลขาแล้วนะคะ”
“เรื่องนั้นเธอก็ทำหน้าที่ไปสิ ส่วนฉันจะเป็นปราการด่านสุดท้ายของพี่รามเอง ขนโต๊ะเก้าอี้เข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้”
พนักงานโรงแรมพากันกลัว รีบขนโต๊ะเก้าอี้เข้าห้องทันที
อุณนิษายิ้มเหนือใส่นภาอย่างผู้ชนะ นภาสะบัดหน้ากลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง
ทวนขับรถเข้ามาจอดในโรงรถ ปริกรออยู่รีบเข้ามาเปิดประตูให้ ภาวิดาลงจากรถหันไปเห็นรถของอธิวัฒน์จอดอยู่ก็แปลกใจ
“นั่นรถใคร”
“เอ๊ะ คุ้นๆ เหมือนจะเป็นรถคุณอธิวัฒน์ พี่ชายคุณนิษานะคะ”
“อ้าว แล้วตอนนี้ตาวัฒน์อยู่ไหนล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
ภาวิดามองตำหนิ “อะไรกัน มีแขกมาบ้านแต่ไม่มีใครรู้เลยเหรอว่าเขาหายไปไหน”
“บางทีคุณอธิวัฒน์อาจไม่ได้มาหาคุณหญิงก็ได้นะครับ”
“ไม่ได้มาฉัน แล้วจะมาหาใคร”
จวงเดินเข้ามาได้ยิน ก็ใส่ไฟรสสุคนธ์ทันที
“ก็มาหาแม่รสสุคนธ์ไงคะคุณหญิง ท่าทางคุณอธิวัฒน์เหมือนชอบแม่นั่นอยู่เลยนะคะ”
ภาวิดาได้ยินก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที
“เสน่ห์แรงจริงๆ พอเจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ชวนผู้ชายเข้าบ้าน แม่นี่มันเลวเหมือนย่ามันไม่มีผิด”
มีลมเย็นวูบใหญ่พัดแรงเข้ามาปะทะใบหน้าภาวิดาจังๆ
เป็นฝีมือแม้นมาศจากใบหน้าสวยเปลี่ยนเป็นผีร้ายจ้องไปทางบ้านพรหมบดินทร์ตาเขม็ง
“ไม่จริง แกนั่นล่ะเลว...เลว.....”
วิญญาณแค้นหวีดร้องเสียงดังเกรี้ยวกราดโหยหวน ลมพัดกระแทกหน้าต่างประตูที่เปิดอยู่ปิดเปิดปึงปัง เรือนไม้หอมทั้งหลังถูกปิดตายทันที
ภาวิดาขยับจะเดินเข้าบ้าน เสียงหวีดร้องหลอนๆ ของแม้นมาศดังเข้ามา ปริกสะดุ้งกระโดดเข้าไปเกาะแขนจวง จวงกับทวนรู้สึกหวั่นๆ แต่ภาวิดากลับไม่กลัวเกรง
“ผะ..ผี เสียงผีหรือเปล่าพี่จวง” ปริกผวา
“ปากเสียเดี๋ยวก็โดนหรอก”
ภาวิดาจิกตาใส่ปริกเขม็ง
“เพ้อเจ้ออยู่ได้ ไปสิ รีบไปตามตาวัฒน์กลับมา ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงในบ้านฉันได้หรอกนะ”
“ค่ะ พี่ทวนไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ นะๆ”
“เออๆ เอ็งนี่กลัวขึ้นสมองจริงๆ”
ปริกกลัวรีบดันทวนให้เดินนำออกไปทางเรือนไม้หอม
“นี่ก็จะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวจวงจะให้นังสร้อยตั้งสำรับให้นะคะ”
ภาวิดากับจวงพากันเดินเข้าตึกใหญ่ไป
ทวนเดินนำปริกเข้ามาที่เรือนไม้หอม ยิ่งใกล้บรรยากาศก็ยิ่งชวนขนลุก ทวนจะเข้าบ้านแต่ประตูบ้านปิดอยู่ จึงเคาะประตูเรียกรสสุคนธ์
“คุณรส คุณรสอยู่มั้ยครับ”
เงียบ ไม่มีเสียงรสสุคนธ์ตอบรับ ทวนเดินไปชะเง้อมองรอบเรือน แต่หน้าต่างก็ปิดเช่นกัน
ที่ด้านหลังปริกเหมือนมีคนเดินเข้ามา แต่พอหันกลับไปมองแต่ไม่มีใคร ปริกผวาขยับเข้าไปหาทวน
“พี่ทวน ฉันว่ากลับเหอะ สงสัยคุณรสไม่อยู่หรอก”
“ไม่อยู่นี่แล้วจะไปอยู่ไหน คุณรสครับ...คุณรส”
เสียงของอธิวัฒน์ดังขึ้นมา “ชะ...ช่วย...ด้วย”
ปริกสะดุ้งโหยง “ว้าย...เสียงใคร”
“เสียงมาจากทางนี้”
ทวนเดินไปดูตามเสียงก็ต้องตกใจเมื่อพบร่างอธิวัฒน์นอนโอดโอยอยู่ที่พื้นข้างบ้าน
“คุณอธิวัฒน์ นังปริกมาช่วยกันหน่อย”
สองคนเข้าไปช่วยอธิวัฒน์ แต่แล้วอธิวัฒน์ก็ลืมตาโพลงดีดตัวเด้งขึ้นมาบีบคอทวนกับปริกคนละมือ
“โอ๊ย...คุณอธิวัฒน์ คุณจะทำอะไร” ปริกดิ้นหนีด้วยความตกใจ
อธิวัฒน์ถามเสียงดังลั่น “บอกมา...ใครฆ่าฉัน...พวกแกฆ่าฉันใช่มั้ย”
“โอ๊ย พวกเราเปล่านะ..เราไม่ได้ฆ่าคุณ”
มีใบหน้าผีแม้นมาศซ้อนขึ้นมาจากหน้าอธิวัฒน์ ถลึงตาขาวโพลนใส่
“โกหก พวกแกต้องตาย”
แม้นมาศออกแรงบีบคอปริกกับทวนแน่น สองคนพยายามดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงของแม้นมาศในร่างอธิวัฒน์ไม่ได้ ทั้งคู่เริ่มหายใจไม่ออก กำลังจะขาดใจตาย
มือทวนคลำไปโดนสร้อยพระเข้า ทวนหยิบสร้อยพระขึ้นมายื่นใส่หน้าอธิวัฒน์ สร้อยพระส่องแสงวาวจ้าวาบใส่หน้าอธิวัฒน์อย่างจัง
“อ๊าย...”
แม้นมาศกรีดร้องดังลั่นวิญญาณกระเด็นหลุดลอยออกมาจากร่างอธิวัฒน์ทันควัน ร่างอธิวัฒน์ฟุบล้มลง ทวนกับปริกพากันผงะเมื่อเห็นแม้นมาศใบหน้าเละยืนตาขวางอยู่เบื้องหน้า
“พวกแกตาย”
สองคนแหกปากพร้อมๆ กัน “ผะ..ผีหลอก”
ทวนกับปริกตาเหลือก พากันกึ่งคลานกึ่งวิ่งหนีออกไปสุดชีวิต ทิ้งให้อธิวัฒน์นอนสลบอยู่ที่เดิม ประตูเรือนไม้หอมกระชากเปิดออก แม้นมาศเดินโซเซกลับเข้าเรือนไม้หอมไป
ภาวิดา ภาณุกรนั่งกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว บนโต๊ะมีอาหารหรูน่ากินมากมาย ภาณุกรมองฉงนที่เห็นมีการจัดจานข้าวไว้เพิ่มอีก 1 ที่
“ทำไมถึงจัดจานข้าวเพิ่ม วันนี้เรามีแขกเหรอครับคุณพี่”
“ก็ตาอธิวัฒน์ไง ถ้าชายกรหิวกินก่อนเลยก็ได้นะ”
“ผมจะเสียมารยาทกินก่อนแขกได้ไงล่ะครับ แล้วนี่อธิวัฒน์ไปไหนซะล่ะ”
“เรื่องนั้นชายกรก็น่าจะถามคนโปรดของชายกรดูเอาเองเถอะ”
“หนูรสมาเกี่ยวอะไรด้วยครับ”
รสสุคนธ์กับน้อยพากันเดินเข้ามาได้ยินพอดีก็ชะงัก
“มีอะไรกับรสเหรอคะ”
“หนูรสเห็นอธิวัฒน์หรือเปล่า”
รสสุคนธ์แปลกใจ “คุณอธิวัฒน์มาเหรอคะ”
“นี่ตาวัฒน์ไม่ได้อยู่กับเธอเหรอ”
“เปล่านะคะ วันนี้คุณรสกับน้อยทำงานอยู่ด้วยกันทั้งวัน น้อยยังไม่เห็นมีใครมาหาคุณรสเลยค่ะ”
“นังน้อย คุณหญิงไม่ได้ถามแก แกไม่ต้องมาสอด” จวงด่า
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วรสขอตัวก่อนนะคะ ไปกันเหอะน้อย”
รสสุคนธ์กับน้อยพากันเดินออกไป ภาวิดามองตามรสสุคนธ์อย่างหมั่นไส้
“ไม่ต้องรอแล้ว จวงตักข้าว”
จวงรีบกุลีกุจอตักข้าวให้ภาวิดากับภาณุกร ภาวิดาครุ่นคิด รู้สึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
รสสุคนธ์กับน้อยพากันเข้ามาในครัวก็แปลกใจเมื่อพบรามนรินทร์กำลังนั่งคอยกินข้าวอยู่
“คุณราม คุณมาทำอะไรคะ”
“ผมก็มากินข้าวสิ นั่งเร็วๆ คุณ จะได้กินพร้อมกันเลย”
เฟื่องตักข้าวใส่จานให้รามนรินทร์ น้อยเข้าไปช่วย
“ยายนั่งเหอะ เดี๋ยวฉันทำเอง”
“ทำไมเพิ่งมากันคะ คุณรามมารอตั้งนานแล้ว”
“รออะไรกันนม ผมก็พึ่งมาถึงได้ซักพักเองนะ ไม่ได้นานซะหน่อย”
รามนรินทร์เขี่ยข้าวแก้เก้อ เฟื่องกับน้อยพากันแอบยิ้มรู้ทัน
“อืม...แล้วเรื่องงานไปถึงไหนแล้ว”
“ฉันรวบรวมข้อมูลเกือบครบแล้วค่ะ ขาดอยู่อย่างเดียว”
“ขาดอะไรเหรอครับ บอกผมได้ เดี๋ยวผมหามาให้”
ทางฝ่ายจวงเดินมาที่เรือนคนใช้ มองหาทวนกับปริก ไม่เจอจึงตะโกนเรียกหา
“ไอ้ทวน อีปริก” เงียบไม่มีเสียงขานตอบจวงก็เลยบ่นบ้าออกมา “พวกมันหายหัวไปไหนวะ”
จวงเห็นเงาตะคุ่มๆ ลักษณะเหมือนคนเอาผ้าคลุมโปงผ่านหลังไปก็ชะงัก หันกลับไปมองก็เห็นร่างนั้นวิ่งหายเข้าไปในห้อง พร้อมกับพากันครางเสียงหลอกๆ หลอนๆ พิกล
“เสียงอะไรวะ”
จวงหันไปหยิบไม้ขึ้นมากระชับในมือ แล้วขยับเดินเข้าไปดูอยากรู้ เห็นคนสองคนกำลังคลุมโปงนั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง
“ใครวะ..โผล่หัวออกมา ไม่งั้นแม่ฟาดจริงๆ ด้วย”
จวงง้างมือจะฟาดไม้ ปริกกับทวนรีบดึงผ้าออก
“อย่าพี่จวง...นี่พวกฉันเอง”
อธิวัฒน์เริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครางด้วยความเจ็บปวดทั่วกาย
“โอ๊ย นี่ฉันมานอนที่นี่ได้ไง”
อธิวัฒน์ชะงัก คิดทบทวนถึงเรื่องก่อนหน้านั้น จำได้แค่ว่าถูกตาดำเข้ามาทำร้ายจนเขาสลบไป
“ฝากไว้ก่อนเหอะ ไอ้ผีบ้า”
อธิวัฒน์เจ็บใจ ขยับตัวจะออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อผีแม้นมาศปรากฏตัวเข้ามาขวางหน้าไว้ อธิวัฒน์ตาเหลือกขยับหนี แต่แม้นมาศไวกว่า รุกเข้าประชิดบีบคออธิวัฒน์แล้วเหวี่ยงกระแทกกับเสาบ้านจนอธิวัฒน์จุกลุกไม่ขึ้น
แม้นมาศจิกหัวอธิวัฒน์กระชากอย่างแรง พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าอธิวัฒน์ในระยะประชิด
“จำเอาไว้ ถ้าแกมาวุ่นวายกับรสสุคนธ์อีก...แกตาย”
แม้นมาศผลักหัวอธิวัฒน์หงายหลังไป
อธิวัฒน์ประคองสังขารตัวเองขึ้นมาเดินโซเซออกไปอย่างหมดสภาพ
แม้นมาศยิ้มเหี้ยมมองตาม ด้วยแววตาอันน่ากลัวสุดจะประมาณ
อ่านต่อตอนที่ 6