วันทำงานวันหนึ่ง ...
ขณะที่เรายังคงสาละวนกับการที่ “มีอะไรให้ทำตั้งเยอะ” จนเหนื่อยล้า วันลาพักร้อน 3 วันที่เหลือก็ยังไม่ถูกใช้
คิดอยู่ในหัวแบบฉับพลันว่า “อยากไปมุกดาหาร ข้ามไปยังสะหวันเขต” โดยที่ไม่รู้ว่า จะไปทำไม
กระทั่งมีโอกาสได้ใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด วัตถุประสงค์ไม่ได้เน้นเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่จะหาพล็อตมาเขียนบทความ หรือถ้ามีจังหวะดี ๆ ก็อาจจะได้ข่าวมาสักชิ้นหนึ่ง
(อ่านประกอบ : ประมวลภาพ คนโคราชตื่น “เทอร์มินอล 21” เปิดตัววันแรก)
หลังออกจาก จ.นครราชสีมา ตอนบ่ายสองโมงครึ่ง พยายามโทร. หาเพื่อนและรุ่นน้องที่อยู่แถบอีสาน อย่างขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ปรากฏว่าแต่ละคนมีภารกิจเหมือนกันหมด
ผลที่สุด เมื่อไม่ได้มาเจอเพื่อน ความคิดที่ว่าจะไปมุกดาหารก็แล่นอยู่ในหัวฉับพลัน จึงค้นหาข้อมูลว่า จากขอนแก่นจะไปมุกดาหารยังไง ก็พบคำตอบว่า มีรถตู้อยู่ที่ บขส.เก่า
17.00 น. รถตู้มาถึงสถานีขนส่งปรับอากาศขอนแก่น ข้ามถนนนั่งรถสองแถวสาย 8 เพื่อไปลง บขส. เก่า บริเวณถนนประชาสโมสร ก่อนถึงสี่แยกสามเหลี่ยมขอนแก่น
รถตู้จากขอนแก่นไปมุกดาหาร จะอยู่ที่เดียวกับรถตู้ไปกาฬสินธุ์ ค่าโดยสาร 240 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
แต่พอเอาเข้าจริงต้องรอเติมก๊าซที่ อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม แล้วก๊าซหมด ต้องรอรถก๊าซเกือบชั่วโมง ก่อนมุ่งหน้าผ่านกาฬสินธุ์ สมเด็จ กุฉินารายน์ คำชะอี อย่างรวดเร็ว
แม้ถนนจะได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก แต่สภาพถนนยังเป็นสองช่องจราจรสวนทาง แถมมืดมากด้วย
มาถึง บขส. มุกดาหาร 4 ทุ่มพอดี แม้จะเป็นเมืองที่มีสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แต่พอเอาเข้าจริงๆ หลังสี่ทุ่มเมืองมุกดาหารเงียบมาก
เราสะพายกระเป๋าไปพร้อมกับความหวาดกลัว เมื่อได้ยินเสียงเด็กแว้นร่อนเครื่องเสียงดังเต็มไปหมด
กระทั่งมาถึงสี่แยกเมืองใหม่ เดินเลี้ยวซ้าย เริ่มที่จะมีร้านอาหาร ร้านข้ามต้ม ในใจตอนนั้นไม่ได้นึกหิว แต่นึกอยากหาที่หลับที่นอน และด้วยความที่อยากได้ที่พักใกล้แม่น้ำโขง จึงเดินเข้าไปในตัวเมือง เบ็ดเสร็จรวมกันราว 3 กิโลเมตร
เกือบ 5 ทุ่ม เราเดินเท้ามาถึงตลาดอินโดจีน พยายามเปิดกูเกิลหาโรงแรมที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขงที่สุด กระทั่งพบโรงแรมที่มีชื่อว่า “ริเวอร์ฟร้อนท์ โฮเต็ล“ อยู่เลยตลาดอินโดจีนมาทางทิศใต้เล็กน้อย
ทีแรกเราหาไม่เจอ เดินเท้าไปเจอสุนัขเห่าไป กระทั่งถามกลุ่มวัยรุ่นที่มากินเหล้าริมเขื่อน เขาชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่งซึ่งปิดไฟมืด บอกว่า “โรงแรมอยู่ตรงนั้น” เราจึงเดินเท้าเข้าไป
ในวันที่เดินทาง พนักงานโรงแรมบอกกับเราว่า ยังเหลือห้องพัก (นับว่าโชคดีที่เราเดินทางวันธรรมดา) ห้องธรรมดาถูกที่สุดอยู่ที่ 850 บาท ห้องซูพีเรียอยู่ที่ 1,250 บาท พร้อมอาหารเช้า
ในใจคิดว่า ราคาสูงไป ตอนตกรถที่ลำปางเสียอย่างมากคืนละ 700 บาท
แต่ตอนนั้นก็ห้าทุ่มแล้ว ถ้าจะเดินเท้าหาโรงแรมอีกร่างกายคงรับไม่ไหว จึงคิดในใจว่า เอาละวะ พักที่นี่นั่นแหละ
พนักงานเปิดห้องพักชั้น 4 ฝั่งเลขคี่ มองไปทางซ้ายเจออาคารบังอยู่ ไม่เห็นวิวแม่น้ำโขง โดยเฉพาะพระจันทร์เต็มดวง ด้านหน้าระเบียงจะเป็นวัดศรีสุมังค์วนาราม
แต่ก็คิดในใจว่า ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน
คืนนั้นเราทำได้แค่เพียง ออกไปซื้อข้าว ซื้อขนมมากิน นั่งทำงานในห้องพัก กระทั่งประมาณตี 3 ถึงได้หลับไป
นาฬิกาปลุก 6 โมงเช้าดังขึ้น เปิดหน้าต่างริมระเบียง พบว่าท้องฟ้าในยามพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นนั่นสวยมาก ตัดกับต้นตาล หอแก้วมุกดาหาร และวิวภูเขาอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ซึ่งอยู่ตรงหน้าเรา
แต่ด้วยความเพลีย ไม่อยากออกจากห้อง จึงเข้าไปนอนต่อ
กระทั่งเวลาประมาณ 8 โมงเช้า จึงตื่นขึ้นมาเพื่อไปทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารบริเวณชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้
เมื่อขึ้นไปข้างบน ปรากฏว่ามีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ต่างนั่งรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ แต่สิ่งหนึ่งที่อะเมซิ่งที่สุดก็คือ เราได้เห็นวิวแม่น้ำโขงโดยที่ท้องฟ้ามีแต่ดวงอาทิตย์สาดแสง ไม่มีก้อนเมฆสักก้อนบดบัง
มองไปทางซ้าย จะเห็นอาคารของเมืองสะหวันเขตที่อยู่ไกล ๆ ถัดออกไปก็จะเห็นสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ลมหนาวพัดมาให้เราได้ชื่นปอดกันเป็นระยะ เสียดายที่กล้องโทรศัพท์มือถือไม่สามารถเก็บรายละเอียดความงามได้อย่างคมชัด
นึกในใจว่า ... ที่พักหลักร้อยหลักพัน แต่วิวหลักล้านชัดๆ
ทีแรกนึกในใจว่า เราจะข้ามไปฝั่งลาวดีหรือไม่ เพราะหอบสัมภาระจำนวนมาก แต่ใจหนึ่งคิดว่า ไหน ๆ เราก็มาถึงชายแดนลาวแล้ว เราก็ไม่อยากจะพลาดข้ามไปเปิดหูเปิดตา สัมผัสวิถีชีวิตบ้านเมืองของเขา
ที่สุดแล้ว เราจึงตัดสินใจเช็กเอาท์ โดยฝากกระเป๋าไว้ที่พนักงานโรงแรม แจ้งว่าจะไปธุระ ประมาณเย็น ๆ จะกลับมาเอา พกแต่โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ และหนังสือเดินทางเท่านั้น
เดินออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ก็ถึงท่าเรือมุกดาหาร ข้ามฟากไปยังสะหวันเขต ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่นี่คิดค่าตั๋ว 50 บาท โดยต้องไปขอใบตรวจคนเข้าเมือง กรอกทั้งบัตรขาออกและบัตรขาเข้า ยื่นไปกับหนังสือเดินทาง
เรือที่นี่จะเป็นเรือแบบมีที่นั่ง ด้านในเรือนอกจากชาวไทยและชาวลาว (เนื่องจากชาวต่างชาติอื่น ๆ กำหนดให้เข้า-ออกผ่านสะพานมิตรภาพเท่านั้น) ยังมีสินค้าจากไทยทั้งของกินของใช้ข้ามไปยังฝั่งลาวด้วย
เราใช้เวลาเดินทางข้ามไปยังฝั่งสะหวันเขตประมาณ 40 นาที จะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง นำหนังสือเดินทางยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมชำระเงิน 50 บาท จึงประทับตราให้เข้าเมืองได้เป็นเวลา 30 วัน
ด้านหน้าอาคาร ในช่วงเดือนธันวาคมจะมีป้ายสีแดง ๆ พร้อมกับธงชาติลาวและธงสัญลักษณ์สีแดง รูปเคียวสีเหลือง ขึ้นข้อความว่า “น้ำใจวันชาติ 2 ธันวา หมั้นยืน” ซึ่งช่วงที่ไปจะเป็นช่วงวันชาติลาวพอดี
ออกจากอาคาร จะพบคนขับรถสกายแลปยืนอยู่จำนวนมาก เขาเสนอให้เราเหมารถเที่ยว แต่เราคงไม่มีเวลาและงบในกระเป๋ามากพอ จึงขอให้เขาไปส่งที่ร้านกาแฟดาวคอฟฟี่ เพราะเราก็อยากที่จะกินกาแฟลาว
ปรากฏว่าคนขับสกายแลปไปส่งที่ร้านมัคคิอาโต้ (Macchiato) ซึ่งอยู่ทางออกไปสะพานมิตรภาพแทน แถมคิดค่ารถตั้งร้อยนึง ถามอีกว่าจะให้รอไหม ก็ตอบปฏิเสธไป
ภายหลังมาดูในกูเกิลแมป ร้านกาแฟดาวอยู่แค่อีกถนนเส้นหนึ่ง เดินเท้าไปก็ถึงเท่านั้นเอง
คนเราจะฉลาดพอ ก็ต่อเมื่อเรา “เสียค่าโง่ก่อน“ ถึงจะรู้ตัวเอง ...
ร้านมัคคิอาโต้ จัดได้ว่าเป็นร้านกาแฟหรูในสะหวันเขต ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นระดับคนมีสตางค์ ราคากาแฟที่นี่ตกอยู่ประมาณ 20,000 กีบ (89 บาท) อาหารอย่างแซนด์วิชประมาณ 40,000 กีบ (176 บาท) เบ็ดเสร็จหมดไปสองร้อยกว่าบาท
อ่อ ... ที่นี่รับเงินไทย และเงินอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะทอนให้เป็นเงินกีบลาวเท่านั้น
หลังเช็กบิลแล้ว เราเดินไปยังตลาดสิงคโปร์ ผ่านสถานีขนส่งผู้โดยสารสะหวันเขตซึ่งอยู่ใกล้กัน ทีนี้เรารู้แล้วว่าจะกลับทางไหน ก็ไปเดินตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ มีทั้งอาหารสดและอาหารแห้งคล้ายตลาดในบ้านเรา
สินค้าที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นสินค้าไทย นับยี่ห้อได้เลย ตั้งแต่เสื้อผ้า อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง นอกนั้นอาจจะมีของมาจากจีนและเวียดนามเข้ามาบ้าง แต่คนส่วนใหญ่นิยมสั่งสินค้าไทยมาจำหน่ายมากกว่า
ทางการลาวมีการติดป้ายรณรงค์ว่า “อยู่เมืองลาวใช้แต่เงินกีบ” ซึ่งเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว แต่ตอนนั้นหิวน้ำมากเลยถามแม่ค้าว่า “ที่นี่รับเงินบาทไหม” เมื่อตอบว่ารับจึงยื่นแบงก์ยี่สิบ ปรากฏว่าน้ำดื่มขวดนี้ 20 บาทพอดี
เคยมีประสบการณ์ตอนไปเวียดนาม ที่ตลาดเบนถั่นในนครโฮจิมินห์รับเงินบาทไทย 20 บาท และ 100 บาท เหรียญไม่รับ ก็เลยแตกเศษเงินมาเยอะเพื่อให้สะดวกใช้จ่าย
ขอพูดถึงสัญญาณโทรศัพท์มือถือ พบว่า หากเราไม่ได้ใช้บริการโรมมิ่ง สัญญาณเอไอเอสจะหายตั้งแต่ออกจากท่าเรือสะหวันเขต ส่วนดีแทคยังพอมีสัญญาณอยู่บ้าง ส่วนทรูนิ่งสนิท
ขณะที่นั่งสกายแลป หน้าจอเครื่องที่ใช้เอไอเอสจับสัญญาณเครือข่าย ETL ของลาว นึกในใจว่าเน็ตรั่วหรือไม่ จึงโทรไปถามคอลล์เซ็นเตอร์
สบายใจนิดนึงว่าตราบใดที่ไม่ได้เปิดบริการโรมมิ่ง จะไม่มีเน็ตรั่ว ต่อให้เครื่องจับสัญญาณก็ตาม
ช่วงนั้นเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว จำต้องรีบกลับมุกดาหาร จึงเดินไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารสะหวันเขต
ที่นี่เป็นจุดต่อรถสำคัญสำหรับคนที่จะไปยังเมืองต่าง ๆ รวมทั้งมีรถบัสไปยังเมืองเว้ ประเทศเวียดนามอีกด้วย แต่รถออกตอน 9 โมงเช้า
ค่าโดยสารจากสะหวันเขตข้ามกลับไปยังมุกดาหารคิด 50 บาท พร้อมกับตั๋วสีชมพู และต้องเสียเงินอีก 50 บาท ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองลาว ก่อนประทับตราขาออกในหนังสือเดินทาง
ระหว่างรอผู้โดยสารคนอื่นยื่นเอกสารขาออกเมือง เรารีบวิ่งไปยังดิวตี้ฟรีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพื่อซื้อกาแฟและชายี่ห้อดาว
ดิวตี้ฟรีที่นี่เงียบเหงา อาจเป็นเพราะเรามาถึงที่นี่ในช่วงบ่ายก็ได้ แต่ตอนนั้นได้แต่รีบซื้อแล้วรีบไปเพราะกลัวจะตกรถ
ถ้าจะไปเยี่ยมชมอาณาจักรกาแฟดาว หรือช้อปผลิตภัณฑ์ของดาวคอฟฟี่จริง ๆ ต้องไปแถวจำปาสัก ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับอุบลราชธานี บริเวณช่องเม็ก ซึ่งที่ตั้งร้านกาแฟดาวอยู่เลยสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
การมาเยือนมุกดาหาร และสะหวันเขตในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้เราได้เห็นว่า แม้จะเป็นทางผ่านของเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก แต่ความเป็นสังคมชนบท ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างต้องรอวันพัฒนา
หวังไว้ในใจว่า ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เมืองสะหวันเขตอาจจะมีอะไรดี ๆ เข้ามาพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้
...
สวัสดีปีใหม่ ปี 2016 แก่คุณผู้อ่านทุกท่าน ขอขอบคุณที่ติดตามบทความของเรามาโดยตลอด ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่มีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต มีความสุขสมหวังทุกประการทั้งวันนี้และตลอดไป