คุณผีที่รัก ตอนที่ 6
ชายคนหนึ่ง ท่าทางใจดี กำลังขนกล่องลังขึ้นท้ายกระบะ น้ำมนต์กับพีระเดินตามผีลุงผีป้ามาที่อีกด้าน หยุดยืนมองดู ผีป้าชี้ไป
“นั่น พ่อหนุ่มคนนั้นขับรถเข้าไปส่งของในกรุงทุกคืน มันใจดี พวกเอ็งไปขอมันติดรถกลับบ้านนะ มันให้แน่ๆ”
น้ำมนต์หันมาถามพีระ
“พวกเขาว่าอะไร”
“เขาบอกให้เราไปขออาศัยรถพี่คนนั้นเข้ากลับบ้าน...ขอบคุณนะครับป้า ลุง”
พวกผีลุงป้ายิ้มแย้ม เป็นผีที่น่ารัก
“ไปดีมาดีนะพ่อหนุ่ม...แล้วถ้ามีข่าวดีกันเมื่อไหร่ก็มาบอกพวกเราด้วยล่ะ” ผีป้ายิ้มแย้ม
พีระชะงัก
“หือ”
“นังหนูนั่นคงจะยังเรียนหนังสืออยู่สินะ” ผีป้าเน้น “ห้ามชิงสุกก่อนห่ามนะเว้ย เรียนให้จบ แล้วจะทำอะไรก็ค่อยทำ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ” พีระรีบแย้ง
น้ำมนต์งงๆ
“พวกเขาพูดอะไร”
“เธอสองคนต้องอดทนมากๆนะ มีอะไรก็ช่วยๆกัน ไม่ต้องกลัวว่าคนกับผีจะรักกันไม่ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเชื่อมั่น” ผีป้าให้กำลังใจ
พวกผีลุงผีป้าเข้ามารุมล้อมอวยพรให้พีระกับน้ำมนต์งงๆ ผีลุงกับผีป้าอวยพร
“ขอให้รักกันนานๆ / ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร / ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
น้ำมนต์ไม่รู้เรื่องว่าพวกผีพูดอะไร ยิ้มรับไปตามมารยาท เพราะสัมผัสได้ว่าพวกผีไม่ได้มาร้าย แต่ไม่รู้ว่ามาดีเรื่องอะไร
“พวกเขาพูดอะไร บอกฉันหน่อยสิ”
“เขาอยากให้เราแต่งงานกัน”
“หา...”
น้ำมนต์อึ้ง มองไป พวกผีลุงผีป้าก็ยิ้มแย้มให้ พยักหน้าว่าใช่ตามนั้น น้ำมนต์งง เขิน เดินหนีไปที่รถ
อัฐชัยลงจากรถบริเวณหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ จะเดินตามหาน้ำมนต์ให้เจอ พิมพ์ดาวตามมา
“แกจะเดินตามหาน้ำมนต์เนี่ยนะ ชาตินี้แกคงจะเจอหรอก”
“เรื่องของฉัน ถ้าแกไม่ช่วยก็หุบปากไป”
พิมพ์ดาววิ่งไปขวางหน้า
“กลับไปรอที่บ้านเถอะ”
“ไม่ ถ้าแกอยากกลับแกก็กลับไปก่อน”
อัฐชัยจะไป พิมพ์ดาวดึงแขนไว้
“ก็แกพาฉันมา แกก็ต้องพาฉันกลับไปส่งด้วยสิ จะให้ฉันกลับคนเดียวได้ยังไง แล้วนี่มันก็ดึกแล้ว จะเอารถที่ไหนกลับ”
อัฐชัยยื่นกุญแจรถให้
“เอารถฉันไป”
“ฉันกลับไม่เป็น”
“งั้นก็หุบปาก แล้วไปรอที่รถ”
“ฉันจะกลับบ้าน”
อัฐชัยเหลืออด ตะคอก
“เฮ้ย หยุดโวยวายเอาแต่ใจได้มั้ย ตั้งแต่มานี่ แกยังไม่ได้ช่วยฉันทำประโยชน์อะไรเลย เอาแต่โวยวายอยู่ได้ น่ารำคาญ”
“แล้วฉันอยากมามั้ยล่ะ ใครลากฉันมา แล้วก็มาพูดกับฉันอย่างนี้เหรอ ฉันช่วยแกเพราะอยากให้แกมีความสุข แต่แกมาด่าฉันอย่างนี้ได้ยังไง ทุเรศ”
พิมพ์ดาวโกรธ งอน หันเดินหนีแยกไปคนเดียว อัฐชัยตะโกนตาม
“นี่ แกอย่ามางอนน่า ฉันไม่ง้อแกหรอกนะ”
พิมพ์ดาวเดินไปไม่หยุด อัฐชัยหมั่นไส้ ลังเล จะง้อหรือไม่ง้อ แล้วก็ตัดสินใจหันเดินไปตามหาน้ำมนต์ต่อ ไม่ง้อ
พีระนั่งซึมอยู่ ที่ท้ายกระบะขณะที่รถกำลังวิ่งน้ำมนต์เหล่มอง
“คิดไรอยู่”
พีระไม่สนใจ ไม่ตอบอะไร
“นี่ เห็นซึมมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถแล้ว เป็นอะไร”
“กำลังเครียดเรื่องที่ลุงป้า พวกนั้นบอกว่า ผมกับคุณเหมาะสมกัน...อึ๋ย ขนลุก”
“ช่างกล้า...ฉันสิจะต้องพูดอย่างนั้น แหวะ นี่ อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออก มีเรื่องเครียดอะไร บอกได้นะ”
“ไม่มีอะไร”
“หุ้ย...ลีลา...พระเอก” น้ำมนต์ขัดใจ
น้ำมนต์ล้มตัวลงไปนอนกับพื้นกระบะ มองท้องฟ้า ตะลึงกับภาพดวงดาวที่เต็มฟ้า ส่งเสียงร้องออกมา
“ว้าว...นี่ ลงมานอนสิ เร็วๆ”
น้ำมนต์เซ้าซี้ พีระล้มตัวลงมานอนด้วยข้างๆกัน มองดาว
“ดูสิ สวยป่ะ”
“อื้อ...” พีระตอบห้วนๆ
“อื้อ...สั้นๆแค่เนี้ย ถ้าสวย ต้องครางออกมาสิ...ว้าว”
พีระจำใจทำตาม เยอะเกินจริง
“ว้าว...พอใจยัง”
“จริงใจหน่อยได้มั้ย ไม่ใช่รู้สึกร้อย แต่แสดงออกล้าน คนเขาจะหาว่านายสตรอเบอร์รี่...รู้สึกสวยมากแค่ไหนก็แสดงออกมาแค่นั้น อย่างนี้...ว้าว”
“ว้าว...”
พีระยังไม่สมจริงอยู่ น้ำมนต์ชักสีหน้า
“แอคติ้งอย่างนี้ ไปเล่นละครไม่ได้นะนาย”
พีระยิ้มๆ น้ำมนต์ยิ้มออกมา แล้วน้ำมนต์ก็เปลี่ยนอารมณ์มาถามจริงจัง
“เป็นไร จะเล่าให้ฟังได้ยัง”
พีระเครียด หันมามองหน้าน้ำมนต์ ชั่งใจ จะเล่าดีมั้ย
“ขอบใจนะ”
“หือ...”
“ขอบใจที่เป็นห่วงผม แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอก เอาเป็นว่า ผมจะช่วยคุณให้ทำละครเวทีสำเร็จ และช่วยตามหาคนที่เป็นต้นเหตุให้แม่คุณเสียชีวิตให้เจอ”
“ขอบใจ ฉันรู้ว่าปัญหาของตัวฉันมันก็ไม่น้อย แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่าจะช่วยนายตามหาร่างให้เจอเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณเหมือนกัน”
น้ำมนต์กับพีระมองตากันหวานๆ ยิ้มๆให้กัน น้ำมนต์เขิน เบือนหน้าหนี เสมองดาว
“ว้าว...สวยจัง”
พีระมองน้ำมนต์ ยิ้มๆ แล้วมองดาวด้วย
“ว้าวว สวยจริงๆ”
น้ำมนต์หันมาเหล่มอง
“ใช้ได้ แอคติ้งดีขึ้นแล้ว ไปเล่นละครได้”
พีระกับน้ำมนต์หัวเราะให้กัน
อัฐชัยเดินกลับมาที่รถของตัวเอง แต่ไม่เจอพิมพ์ดาว มองหาไปรอบๆ
“ยัยดาวหายไปไหน...สงสัยจะหารถกลับกรุงเทพไปแล้ว ไหนบอกกลับไม่ได้ ยัยนี่”
แต่แล้วอัฐชัยชะงัก เห็นบางอย่างในรถตรงที่นั่งข้างคนขับ รีบไปเปิดประตูดู พบว่าเป็นกระเป๋าถือส่วนตัวของพิมพ์ดาว ที่มีทุกอย่างอยู่ในนั้น
“อ้าว กระเป๋ายัยดาว แล้วยัยนั่นเอาเงินที่ไหนกลับกรุงเทพ”
อัฐชัยชักเป็นห่วงขึ้นมา
พีระกับน้ำมนต์เดินกลับเข้ามาในบ้าน
“ข้าวต้มกับแจ๊วน่าจะหลับไปแล้ว”
น้ำมนต์จะเดินเข้าบ้านไป แต่ชะงัก หันมามองพีระ ที่ลงไปนั่งที่โต๊ะดินเนอร์ที่ข้าวต้มจัดเอาไว้ให้ พีระสีหน้าโหวงๆว่างเปล่าๆ
“เป็นไรอีก”
“คุณไปพักเถอะ ผมเป็นผี ผมไม่ง่วงหรอก”
น้ำมนต์เข้ามานั่งด้วย
“ฉันทำให้นายเครียดใช่มั้ย”
“หือ...เกี่ยวไรกับคุณ”
“เพราะฉันปัญหาเยอะไง เดี๋ยวเรื่องน้อง เดี๋ยวเรื่องเรียน ไม่ได้มีเวลาช่วยนายตามหาร่างเต็มที่ นายเลยกลัวจะไม่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ใช่มั้ย”
“ผมก็ไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรอยู่...แต่ที่แน่ๆ ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก”
“พีระ...ถ้าสมมติว่า นายกลับเข้าร่างไม่ได้ จะทำยังไง”
“ก็ไม่ทำอะไร เป็นผีต่อไปอย่างสมบูรณ์”
“นายจะเสียใจมากมั้ย”
“เสียใจมั้ย...อื้ม ไม่รู้สิ...ผมจะเสียใจกับอะไร ผมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ขนาดเห็นรูปพ่อตัวเอง ผมยังไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วจะให้ผมเสียใจกับอะไร”
“เดี๋ยวความทรงจำนายก็กลับมา ใจเย็นๆน่า”
“เฮ้ย ไม่ต้องปลอบ ผมโอเค ผมแค่ไม่แน่ใจแล้วว่าอยากให้ความทรงจำกลับมามั้ย”
“อ้าว ทำไม”
“คนตาย พอวิญญาณออกจากร่างแล้ว ทุกอย่างจะเป็นศูนย์ จดจำอะไรไม่ได้ ผมเข้าใจแล้ว มันมีเหตุผลที่วิญญาณจะต้องจำอะไรไม่ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดจากความทรงจำ”
“เจ็บปวดจากความทรงจำ”
“ถ้าผมจำทุกอย่างได้ ผมอาจจะเสียใจมากกว่านี้ อาจจะทรมานมากกว่านี้ แต่นี่ ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บ ไม่ทรมาน สบายๆ ความทรงจำของผมตอนนี้ถ้าจะมี ก็มีแต่คุณนี่แหละ”
น้ำมนต์อึ้งไป
“แล้ว...ฉันจะเป็นความทรงจำที่ทำให้นายเจ็บมั้ย”
“ไม่รู้สิ...ก็คงนิดนึงมั้ง แล้วคุณล่ะ ถ้าเกิดผมไปผุดไปเกิด ผมจะเป็นความทรงจำที่ทำให้คุณเจ็บมั้ย”
น้ำมนต์อึ้ง เหวอ ไม่เคยทบทวนเรื่องนี้ ลึกๆก็เสียใจ แต่เสไปพูดติดตลก
“ก็คง...จะมีบ้าง”
“จริงอ่ะ”
“แต่ฉันจะเสียใจว่าทำไมถึงไม่เตะนายให้มากกว่านี้ต่างหาก ผีกวนประสาทอย่างนาย ฉันก็ต้องคิดอย่างนี้แหละ”
พีระยิ้ม เพราะลึกๆรู้ว่าน้ำมนต์พูดกลบเกลื่อนความรู้สึก
“หรา”
“เออ...”
น้ำมนต์เขิน เดินหนีไป แต่พีระตามมาคว้าตัว
“น้ำมนต์ ผมถามตรงๆ คุณอยากให้ผมกลับเข้าร่างได้มั้ย”
“มันเรื่องของนาย เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เกี่ยวสิ ก็คุณ เป็นความทรงจำเดียวของผมตอนนี้ ถ้าผมจะอยากฟื้นขึ้นมา ผมก็ต้องอยากฟื้นมาเจอคุณ”
พีระจริงใจ มองตารักใคร่ น้ำมนต์อึ้งเหวอ ไม่ทันตั้งตัว
“ผมอยากฟื้นมาเจอคุณนะ”
น้ำมนต์ตาโต
น้ำมนต์กลับเข้ามาในห้องนอน ข้าวต้มหลับสนิทอยู่ น้ำมนต์ยืนพิงประตู ตั้งสติในความมืด ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พีระพูดออกมา เธอนึกถึงสิ่งที่พีระพูดกับเธอ
“เกี่ยวสิ ก็คุณ เป็นความทรงจำเดียวของผมตอนนี้ ถ้าผมจะอยากฟื้นขึ้นมา ผมก็ต้องอยากฟื้นมาเจอคุณ”
พีระจริงใจ มองตารักใคร่ น้ำมนต์อึ้งเหวอ ไม่ทันตั้งตัว
“ผมอยากฟื้นมาเจอคุณนะ”
น้ำมนต์สับสน ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง
“เราเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
พีระนั่งอยู่ที่เดิม มองดอกไม้ รู้สึกดีกับน้ำมนต์ แต่แล้วก็สับสน ไม่แน่ใจ
“เราเป็นอะไรของเรา พูดอะไรออกไป...เราเป็นผีนะเว้ย ผี ผี มีความรู้สึกได้ไงวะ”
พีระเซ็ง แต่รู้สึกดี เผลอยิ้มออกมา
ริมถนนอยุธยา พิมพ์ดาวเดินเดินปึงปังมาตามทาง งอนอัฐชัย
“ฉันทำทุกอย่างเพื่อแกคนเดียว ยังมีหน้ามาว่าฉันอีก แย่ที่สุด คอยดู ฉันจะไม่ช่วยอะไรนายอีกแล้ว น้ำมนต์จะรักไม่รักแกก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน” พิมพ์ดาวชะงัก มองไป ไม่รู้ไปทางไหน “แล้ว..เราจะไปไหนเนี่ย เงินก็ไม่มี จะกลับยังไงอ่ะ..เมื่อยก็เมื่อย”
พิมพ์ดาวเซ็ง ท้อใจ ทรุดลงนั่งยองๆพักเหนื่อย สักพัก มีมอเตอร์ไซค์วัยรุ่นแว้นแล่นมาจอดคันหนึ่ง วัยรุ่นชายสองคนนั่งมา แซวพิมพ์ดาว
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
พิมพ์ดาวชะงัก ลุกยืน ระมัดระวังตัว แต่ตั้งสติ ทำใจดีสู้เสือ
“จะไปไหน ไปหาใคร พวกเราพาไปได้นะครับ”
“เอ่อ..รู้จัก..สารวัตรพิทักษ์พงษ์ ที่ดูแลพื้นที่นี้หรือเปล่า..พอดีนัดเขาไว้ให้มารับตรงนี้”
“รอตำรวจอยู่เหรอ..เอ่อ...”
พวกแว้นได้ยินว่ารู้จักกับตำรวจก็กลัวๆไม่กล้าทำอะไร มีรถเก๋งอีกคันแล่นมาจอด ล้ำไปด้านหน้าเล็กน้อย มีชายคนหนึ่งเปิดประตูลงมา
“มีอะไรหรือเปล่า”
พวกแว้นผงะ ขี่รถออกไป พิมพ์ดาวโล่งอก
“น้อง เป็นผู้หญิงมาเดินอะไรคนเดียวแถวนี้ ไม่รู้หรือไงว่าแถวนี้ไม่ปลอดภัย..จะไปไหน ขึ้นรถพี่ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ”
ชายคนนั้นจับมือพิมพ์ดาว
“ไม่ต้องกลัว พี่ใจดี” ชายคนนั้นดึงตัว เอาอีกมือโอบเอว จะพาขึ้นรถ
พิมพ์ดาวตกใจ ชักมือออก
“ไม่ค่ะ”
พิมพ์ดาวผละถอยหนี ชายตามจับมือจับเอวมากขึ้น
“สวยๆอย่างนี้ให้เดินตามลำพังไม่ได้หรอก ไปกับพี่ดีกว่า”
“ปล่อยนะ”
ทันใด พวกแว้นขี่รถกลับมาจอด
“ว่าแล้ว คิดจะชุบมือเปิบเหรอ น้องสาวคนนี้พวกฉันเจอก่อนเว้ย..ไปกับพี่”
แว้นเข้าไปดึงตัวพิมพ์ดาว แต่ชายขับรถชกหน้าทันที
“สวยๆอย่างนี้ให้พวกแกไปก็เสียของดิวะ”
แว้นผวาเข้าไปชกกับชายขับรถอีก พิมพ์ดาวผละออกมา รีบจะวิ่งหนี แต่แว้นอีกคนมาดัก
“จะไปไหนจ้ะคนสวย”
“หลบไป”
พิมพ์ดาวจะหนี แต่ถูกล็อกตัวเอาไว้ จะลากไป พิมพ์ดาวร้องให้คนช่วยโวยวาย ทันใด อัฐชัยที่วิ่งตามพิมพ์ดาวมาถึงพอดี กระชากแล้วชกอย่างแรง..เปรี้ยง! แว้นคนนั้นลงไปกอง
“ดาว หนี”
แว้นคนแรกผละเข้ามาหาอัฐชัย แต่อัฐชัยกระโดดเข้าถีบอย่างแรง แล้วต่อด้วยชกชายขับรถคว่ำหมด อัฐชัยวิ่งไปคว้ามือพิมพ์ดาว
“บอกให้หนีไง...ไป”
อัฐชัยลากพิมพ์ดาววิ่งหนี พวกแว้นและชายขับรถตั้งหลักได้รีบวิ่งตาม
อัฐชัยจูงพิมพ์ดาววิ่งๆ พวกแว้นและชายขับรถวิ่งไล่ตามอย่างแค้นอัฐชัย จะเอาคืน พิมพ์ดาววิ่งมาแล้วล้ม เสียหลัก
“โอ๊ย”
อัฐชัยรีบมาดูแล
“ดาว ไหวมั้ย”
“เจ็บ”
มีเสียงพวกแว้นดังมาว่า “ไปทางนั้นๆ” อัฐชัยกับพิมพ์ดาวตกใจ
พวกแว้นและชายขับรถตามมา แต่ไม่พบอัฐชัยกับพิมพ์ดาวแล้ว มองหาไม่เจอ หงุดหงิด ชี้ชวนกันไปหาอีกด้าน
“มันหายไปไหนแล้ววะ”
“เพราะแก ถ้าแกไม่มาขัดจังหวะ พวกฉันมีความสุขไปแล้ว..ไปบ้าเอ๊ย”
แว้นพุ่งเข้าไปต่อยชายขับรถ ชายขับรถสู้ สามคนชกกันนัวเนีย แบบกอดปล้ำกันกลม ลงไปดิ้นกันพื้นไปมา ผลัดกันอยู่บน บริเวณซอกอิฐโบราณสถาน อัฐชัยกอดพิมพ์ดาวเอาไว้ให้เงียบ อย่าส่งเสียง นิ่งๆสงบๆ อัฐชัยกอดในลักษณะปกป้อง คอยสังเกตดูท่าทีพวกแว้นตลอด ในขณะที่พิมพ์ดาวแอบมองอัฐชัยที่ปกป้องตนอยู่ รู้สึกดี เขิน
อัฐชัยยังกอดพิมพ์ดาวในท่าเดิม ในมุมเดิม แต่ไม่มีเสียงโวยวายของพวกแว้นดังมาแล้ว
“เงียบแล้ว พวกมันไปแล้ว”
อัฐชัยเหลือบมองออกไป ไม่พบพวกแว้นแล้ว
“ปล่อยได้ยัง”
อัฐชัยเอามือที่โอบอยู่ออก
“หวงเนื้อหวงตัว คิดว่าอยากกอดตาย”
ดาวฉุนที่อัฐชัยยังพูดไม่เข้าหู ผลักอัฐชัยออก แล้วจะเดินกะเผลกหนีไปอีก
“อะไรของแก จะไปไหน”
“เรื่องของฉัน”
“เลิกหาเรื่องให้ฉันลำบากซะทีได้มั้ย”
พิมพ์ดาวชะงัก ข้องใจ
“ฉันเหรอทำให้แกลำบาก”
“ฉันลากแกมานี่ก็จริง แต่ถ้าแกไม่งี่เง่า ก็ไม่เกิดเรื่องอย่างนี้..แล้วที่คนพวกนั้นของขึ้น ก็เพราะแกไปทำอะไรเขาก่อนใช่มั้ยล่ะ..อ๋อ แกใช้มารยาหลอกให้คนพวกนั้นไปส่งที่กรุงเทพ จนเขาตีกันเองล่ะสิ”
“ทุเรศ แกจะมองฉันให้มันดีๆบ้างเป็นมั้ย”
“นี่มองด้วยสายตาคนสนิทเลย ขอบอก”
“ถ้าแกสนิทฉันก็ต้องรู้ด้วยว่าฉันสวย ฉันเป็นดาวคณะ เป็นนางเอกละครเวที มีแต่คนอยากเป็นแฟนฉัน ผู้ชายที่ไหนก็เห็นความสวยของฉัน ไอ้บ้าพวกนั้นยังเห็นเลย..มีแต่คนสนิทอย่างแกนี่แหละที่ไม่เคยเห็น”
“แกสวย”
“เออ”
พิมพ์ดาวงอน น้อยใจ เดินกะเผลกหนีไป แต่อัฐชัยคว้าตัว
“จะไปไหน”
“ปล่อย”
พิมพ์ดาวสะบัด เสียหลักจะล้ม อัฐชัยคว้าเอาไว้
ทั้งสองคนใกล้ชิดกัน ตกในภวังค์ อัฐชัยจ้องตา เห็นความสวยของพิมพ์ดาว แต่แล้วพิมพ์ดาวได้สติ รีบผลักออก เดินกะเผลกหนีไป
พิมพ์ดาวเดินกะเผลกหนีมา อัฐชัยเดินตามง้อ
“เดินเข้าไปๆ ขาไม่เจ็บหรือไง ระวังพรุ่งนี้ขาบวมเป็นช้างไม่รู้ด้วยนะ..โอเคๆ ฉันขอโทษที่พาแกมาลำบาก ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง หยุดเดินเถอะ จะเดินให้เท้าบวมหรือไง”
“แกไปตามหาน้ำมนต์เถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
พิมพ์ดาวเดินต่อไป อัฐชัยเซ็ง รำคาญความดื้อ เข้าไปอุ้มพิมพ์ดาวขึ้นมาเลย
“เฮ้ย”
“ฉันขอโทษแล้ว เห็นความสวยของแกแล้วด้วย จะเอาอะไรอีก”
“แกก็อย่างนี้ทุกที ทำเหมือนฉันเป็นกระโถน จะด่าจะทำอะไรก็ได้ พอ! ฉันจะไม่ทนให้แกโขกสับอีกแล้ว..ปล่อยฉันลง”
อัฐชัยยังอุ้มอยู่
“โอเคๆ ฉันจะไม่ด่าแกแล้วก็ได้ แต่แกห้ามโกรธและต้องให้อภัยฉัน เพราะถ้าไม่มีแก ก็ไม่มีใครช่วยฉันจีบน้ำมนต์แล้ว นะๆ”
“ไม่ ปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย จนกว่าแกจะหายโกรธ นะๆ ฉันสาบานเลยจะไม่ด่าว่าแกอีกแล้ว”
“ได้ ฉันไม่โกรธก็ได้ แต่ต่อไปห้ามแกโขกสับฉันอีก”
“ตกลง”
“ฉันจะเป็นคนโขกสับแกเอง”
“หา...”
“จะตกลงมั้ย”
“ตกลง”
อัฐชัยเสียงอ่อย เผลอตัวจะวางพิมพ์ดาวลง แต่พิมพ์ดาวรีบแหว
“อย่าปล่อย นี่คือการโขกสับเบื้องต้น..อุ้มฉันไปที่รถ”
“หา...”
“จะไม่ทนก็ได้นะ”
อัฐชัยจ๋อย
อัฐชัยอุ้มพิมพ์ดาวเดินกลับไปที่รถ พิมพ์ดาวชี้นิ้วสั่งให้เดินนิ่มๆอย่ากระแทก เดินช้าหน่อยเพราะเร็วไปมึนหัว พิมพ์ดาวหัวเราะสะใจที่ได้แกล้ง สักพัก อัฐชัยที่จ๋อยๆเพราะถูกกดขี่ก็แกล้งอุ้มเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาให้พิมพ์ดาววี้ดว้าย ทั้งสองหัวเราะกันสนุก
วันใหม่...แจ๊วจิ้มไส้กรอกป้อนให้ข้าวต้ม ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างสำราญใจอยู่
น้ำมนต์เดินมาหา
“ข้าวต้ม..ถ้ากินเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องกิน..แจ๊ว ไปทำงานของเธอเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แจ๊วเต็มใจป้อน”
“แจ๊ว”
แจ๊วไม่ยอมขยับตามคำสั่ง น้ำมนต์ชักสงสัย
“เราไปบังคับอะไรพี่เขา”
“วันหยุดทั้งที ทำไมต้องบ่นด้วย..เค้าไม่ได้บังคับซะหน่อย จริงป่ะ”
“ใช่ค่ะๆ แจ๊วเต็มใจป้อนค่ะ คุณน้ำมนต์ไม่ต้องห่วง แจ๊วยินดีทำทุกอย่างให้น้องข้าวต้มสบายใจ เพราะแจ๊วไม่อยากให้น้องข้าวต้มโมโหแล้วก็แสดงอิทธิฤทธิ์อีก แจ๊วกลัว”
“แสดงอิทธิฤทธิ์อะไร” น้ำมนต์งง
“คุณเป็นพี่น้องกัน ต้องรู้อยู่แล้ว ว่าน้องข้าวต้มมีพลังอะไรที่ซ่อนอยู่”
“พี่แจ๊ว อย่าให้ขาดตอนสิ” ข้าวต้มอ้าปากรอ
“ค่ะๆ”
น้ำมนต์ไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากจะยุ่งด้วย
“ตามใจๆ” น้ำมนต์หันมองไปรอบๆ แต่ไม่เจอพีระ “ข้าวต้ม เห็น..เขามั้ย”
“เขาไหน”
“ก็..คนที่รู้ว่าใคร”
“แฟนพี่น่ะหรา”
“เขาอยู่ไหน”
“คิดถึงหรา”
“จะบอกไม่บอก”
“กระวนกระวายหรา”
น้ำมนต์หมั่นไส้ เดินไปแย่งจานไส้กรอกมาจากแจ๊ว
“ไม่ต้องกิน”
น้ำมนต์กินเข้าไปเสียเอง แล้วเอาไส้กรอกทั้งจานเดินออกไปเลย ข้าวต้มบ่นอุบที่โดนแย่งของกิน
“อ้าว คนขี้ขโมย” ทำท่าจะโวยวาย “แล้วเค้าจะกินอะไร”
แจ๊วรีบปลอบข้าวต้ม
“อย่าค่ะ อย่าโมโห ควบคุมพลังจิตเอาไว้นะคะ เดี๋ยวพี่แจ๊ว จะรีบไปซื้อมาให้ใหม่นะคะๆ”
แจ๊วลนลานๆ ข้าวต้มยิ้มสนุก
น้ำมนต์เดินถือไส้กรอกออกมาด้านนอก มองหาไปรอบๆ แต่ไม่เจอพีระ
“นายพีระหายไปไหนของเขา”
ระหว่างนั้น แจ๊ววิ่งเตลิดออกมา รีบวิ่งออกไปหาซื้อของกินให้ข้าวต้ม แจ๊วตะโกน
“พี่จะรีบไปซื้อรีบกลับมานะคะ”
แจ๊ววิ่งเตลิดออกไปจากบ้าน น้ำมนต์มองอาการของแจ๊วอย่างแปลกใจ
“อะไรของเขา..” น้ำมนต์ มองหาพีระต่อ “ช่างเถอะ นายพีระจะไปตาย หรือไปผุดไปเกิดใหม่ที่ไหนก็เรื่องของเขา”
น้ำมนต์จิ้มไส้กรอกกิน ปากเคี้ยว แต่ในใจห่วงพีระ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
พีระนั่งเครียดอยู่ที่ร้านกาแฟเจ๊แมว กำลังทบทวนถึงเรื่องความทรงจำ เริ่มไม่แน่ใจว่าควรรู้หรือไม่ควร คิดไม่ตก ถอนหายใจยาว
“เฮ้อ....เฮ้อ...”
พีระจถอนหายใจอีกรอบ แต่มีเสียงคนถอนหายใจดังมาก่อน พีระเลยเงยหน้ามอง พบว่าแมนสรวงนั่งเท้าคางทำท่าล้อเลียนอยู่ตรงข้าม
“จะถอนหายใจทิ้งอีกนานมั้ย เฮ้อ...นายเหลือเวลาตามหาร่างอีกแค่ 23 วันเท่านั้นนะ เฮ้อ....” แมนสรวงบ่น
“ฉันไม่แน่ใจว่าอยากจะกลับเข้าร่าง แล้วก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้หรือเปล่า”
“ทำไม”
“ความทรงจำคือความทุกข์ ถ้าไม่มีอะไรให้จำก็ไม่มีอะไรให้ทุกข์”
“อย่ามาปรัชญา ฉันไม่เข้าใจ”
มีลูกค้าชาย 2 คนเดินหัวเราะร่าเริงเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ โดยไม่เห็นพีระกับแมนสรวง
“เจ๊แมวคนสวย เหมือนเดิมสอง”
“จ้า”
เจ๊แมวเดินยิ้มแฉ่งเข้ามา ถือไม้ตีแมลงวันมา ตีหัวทั้งสองคน เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! งอแงตามหลังมาด้วย
“โหย ไรอะเจ๊”
“คิดว่าคนอย่างเจ๊แมวจะลืมอะไรง่ายๆเหรอ..แก...เก้าสิบสองบาท...แก...ร้อยยี่สิบ”
งอแงชี้ตามแม่
“น้า...โอเลี้ยงห้า ปาท่องโก๋สิบเจ็ด..น้า..โอเลี้ยงเจ็ด ปาท่องโก๋สิบห้า”
“เรื่องเงินทอง ตายไปฉันก็จำได้” เจ๊แมวตวาดแว๊ด
“จะจ่ายตอนนี้หรือจะให้แม่เป็นผีไปทวงเงินพวกน้า” งอแงขู่
เจ๊แมวสะดุ้ง หันมาสอนลูก
“ลูกงอแง..พูดอย่างนี้มันดูเหมือนแช่งแม่..ไม่ดีนะคะ”
“โบราณถือใช่มั้ยคะ”
“แม่ถือค่ะ”
ลูกค้าจ๋อยๆบ่นๆว่าจำแม่นไปควักเงิน ปลิ้นกระเป๋ากางเกงออกมาจ่าย
“นายดูดิ สองคนนี้ ตอนที่เดินเข้ามา เขาร่าเริงใช่มั้ย เพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาจำไม่ได้ว่าติดหนี้เจ๊แมวอยู่ แต่พอเจ๊แมวมาบอกให้จำได้เท่านั้นแหละ ดูหน้าดิ เครียดมั้ย..เห็นมั้ยว่า ความทรงจำคือความทุกข์”
“เฮ้ย นายเอาชีวิตนายไปเทียบกับพวกชักดาบค่าโอเลี้ยงเนี่ยนะ” แมนสรวงเซ็ง
พีระเดินหนีมา แมนสรวงไล่ตาม พีระเดินไม่หยุด
“สองคนนั้นไม่ได้สุขเพราะลืม หรือทุกข์เพราะจำได้ แต่ทุกข์เพราะไปโกงคนอื่นไว้”
พีระเดินไม่หยุด อยู่ๆแมนสรวงโผล่แว่บมาดักหน้า..ปึง!
“คนที่คิดไม่ดีทำสิ่งผิด ถึงจะสุข ก็สุขแค่ช่วงแรก สุดท้ายก็ต้องทุกข์”
พีระกลับหันหลัง แต่แมนสรวงโผล่แว่บมาดักหน้าอีก..ปึง!
“มีแต่คนที่คิดดีทำดีเท่านั้น ถึงจะมีความสุขแท้จริง”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าก่อนจะมาเร่ร่อนอย่างนี้ ฉันทำดีหรือไม่ดีไว้”
“ไม่รู้ก็ต้องกลับไปให้รู้..ถ้าทำดีอยู่แล้ว ก็รักษาความดีต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่ นาย ก็แค่กลับตัวและแก้ไข แค่นี้เอง”
พีระเหล่มอง จ้องจับผิด
“ถามจริง..ที่พูดเพราะเป็นห่วงฉัน..หรือกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ไปเกิดกันแน่”
“เฮ้ย..” แมนสรวงอยากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก ได้แต่อมคำพูดไว้จนแก้มตุ่ย
“ถ้านายช่วยให้ฉันกลับเข้าร่างได้ นายก็จะได้ไปผุดไปเกิด.. นายห่วงฉันจริงๆหรือแค่อยากไปเกิด”
แมนสรวงตอบไม่ถูก เลยหันหน้าหนี แต่พีระโผล่แว่บมาดักหน้า..ปึง! พีระกลายเป็นฝ่ายไล่
“นายอยากไปเกิดใช่มั้ย”
“มันก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
แมนสรวงหันกลับหลัง แต่พีระโผล่มาดักหน้าไว้อีก..ปึง!!
“นายอยากไปเกิด”
“แล้วไง..ถ้าฉันอยากไปเกิด ฉันผิดเหรอ นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องวนเวียนทำหน้าที่ยมทูตมานานแค่ไหนแล้ว”
“นานแค่ไหนล่ะ ห้าหรือสิบปี”
“หนึ่งร้อยปี”
พีระอึ้ง
แมนสรวงทำหน้าที่นำส่งวิญญาณต่างๆมากหน้าหลายตา ที่ผ่านมาแมนสรวงวาดมือในท่าส่งวิญญาณซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำๆ เต็มไปด้วยความซ้ำซาก น่าเบื่อ
“ฉันทำหน้าที่ยมทูตมาหนึ่งร้อยปี..วิญญาณที่ฉันนำส่งข้ามภพให้กลับไปเกิดใหม่ มีมากจนนายจินตนาการไม่ออกเลย..บางดวงวิญญาณ ส่งซ้ำแล้วซ้ำอีก..นายเข้าใจความรู้สึกของฉันมั้ย..ฉันต้องส่งดวงวิญญาณให้ไปเกิดใหม่ซ้ำๆ”
แมนสรวงทำท่าส่งวิญญาณซ้ำๆ กวาดมือไปมา ดูเผินๆอย่างกับเชียร์ลีดเดอร์
“ซ้ำๆ”
“พอแล้ว” พีระเห็นแล้วปวดหัว รีบร้องห้าม
“ฉันส่งพวกเขาไปเกิดใหม่ได้ แต่ฉันส่งตัวเองไม่ได้ จนครบร้อยปี และนายคือเคสแรกหลังจากครบร้อยปี”
“ซวยจริงๆ”
“ฉันสิที่ต้องพูด ต้องมาเจอผีเกรียนๆอย่างนาย”
“ตอนมีชีวิต นายไปทำบาปกรรมอะไรไว้ถึงต้องชดใช้นานขนาดนี้”
“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันมีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าพลาด ฉันต้องรอไปอีกร้อยปีถึงจะมีโอกาสอีกครั้ง เข้าใจมั้ย”
“อ้าวๆ นายกำลังเอาชะตากรรมตัวเองมากดดันฉันนี่หว่า”
แมนสรวงถลึงตา หน้าดุ ขยับยื่นหน้าเข้ามากดดันใกล้ๆ
“ฉันเหรอกดดัน ฉันจะไปทำงั้นทำไม ฉันไม่เคยกดดัน”
พีระหงอ หัวหด
“เนี่ย เรียกกดดัน”
“ฉันให้สิทธิ์นายตัดสินใจตามสบาย”
“เนี่ย ไม่เรียกว่าตามสบาย”
พีระเครียด เอาไงดี แต่แล้วอยู่ๆเจี๊ยบขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาจอด พูดโทรศัพท์
“น้ำมนต์ครับ พี่เจี๊ยบมีข้อมูลของนายพีท พีระเพิ่มเติมครับ..อยากให้พี่ไปหาอ๊ะป่าว อยากใช่ม้า ง้อสิ ขอร้องสิ..ถ้าไม่ไปเลิกคบ...โอเค พี่จะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
เจี๊ยบวางสาย รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปทันที พีระอึ้ง แมนสรวงหันมาจ้องพีระ ทำท่าสบายๆแต่โคตรกดดัน
“ฉันจะไม่ก้าวก่ายความคิดนาย แต่นายจะไปใช่มั้ย”
น้ำมนต์เดินออกมาเจี๊ยบ ถามทันที
“พี่รู้อะไรเพิ่มเติมมาคะพี่เจี๊ยบ”
“เพียบ ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับคดีที่นายพีท พีระหายตัวไป..อยากรู้หรือเปล่าว่าตำรวจให้น้ำหนักกับประเด็นอะไรมากที่สุด”
ข้าวต้มวิ่งออกมา
“เดี๋ยวๆ เค้าฟังด้วย อ่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับพี่พีระว่ามาเลย”
“ว่าไงคะพี่เจี๊ยบ”
“ประเด็นก็คือ...แค่กๆ คอแห้งจัง”
“ข้าวต้ม” น้ำมนต์หันไปเรียก
“ครับๆ”
ข้าวต้มรีบไปเอาน้ำมาป้อนให้
“ประเด็นที่ตำรวจให้น้ำหนักก็คือ..โอย ร้อนจัง”
“ข้าวต้ม” น้ำมนต์พยักหน้า
ข้าวต้มรีบหยิบนิตยสารมาพัดๆให้
“ประเด็นก็คือ..แหม่ เมื่อยจัง”
“โอ๊ย”
น้ำมนต์ ข้าวต้มร้องออกมาพร้อมกัน ข้าวต้มเมื่อยแขน หยุดพัด
“ไม่ไหวแล้วนะ”
“เจี๊ยบก็แค่ อยากให้น้องน้ำมนต์พูดดีๆกับเจี๊ยบบ้าง เอ็นดูเจี๊ยบบ้าง”
น้ำมนต์เดินเข้าไป เกาคางแล้วลูบหัวเจี๊ยบเหมือนลูบหัวหมา เจี๊ยบเคลิ้มไปด้วย
“เอ็นดูพอยัง”
เจี๊ยบทีแรกเคลิ้ม แล้วได้สติ
“เฮ้ย...เจี๊ยบไม่ใช่หมานะครับ”
“จะพูดได้ยังว่ารู้อะไรมา”
แล้วน้ำมนต์กับข้าวต้มก็แยกเขี้ยวขู่เจี๊ยบ
“แฮ่...”
เจี๊ยบกลัว ยอมพูด
“คดีนายพีท ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้..คือ..คือ...”
“โอ๊ยยย จะบิ้วท์อีกนานมั้ย คืออะไรพูดมา”
“คือ”
“พี่พีระ” ข้าวต้มโพล่งขึ้นมา
“แฮ่...”
น้ำมนต์กับเจี๊ยบหันมาดุ
“พี่พีระจริงๆ”
ข้าวต้มชี้ไป น้ำมนต์หันมองไป พีระยืนอยู่จริงๆ สีหน้าแน่วแน่ ฮึกเหิม ตัดสินใจมาแล้วว่าเป็นไงเป็นกัน
“ผมขอฟังด้วยคนสิ”
น้ำมนต์รู้สึกดีขึ้นที่พีระกลับมา เจี๊ยบมองอย่างงงๆ ไหนคือพีระ
เจ๊แมวขายกาแฟ ขณะที่งอแงตรวจเช็กสมุดบัญชี
“งอแงขา นมอุ่มๆค่ะ..แหม่ เห็นอย่างนี้แล้วอยากจะให้เป็นวันหยุดทุกวันเลย ลูกจะได้อยู่ช่วยแม่ทำบัญชีลูกหนี้”
“อีกไม่กี่วันก็สอบเสร็จแล้วค่ะ ปิดเทอมงอแงจะช่วยแม่เต็มที่เลยค่ะ”
ทันใดอัฐชัยวิ่งเข้ามา แทบจะชนเอากับเคาน์เตอร์ เจ๊แมวกับงอแงตกใจ
“สวัสดีครับน้าแมว น้องงอแง พิมพ์ดาวอยู่..”
พูดไม่ทันขาดคำ พิมพ์ดาวออกมา
“นายมาสายไปห้านาที”
“ก็รถมันติด”
“อ้างเหรอ..ถ้าอ้างอย่างนี้ ก็ไม่ต้องมาขอให้ฉันช่วยอะไรอีก”
“โอเคๆ ฉันผิดจริงๆ พอใจยัง”
พิมพ์ดาวชี้กองหนังสือที่ตั้งอยู่แล้วที่โต๊ะ
“เอ้า เอาหนังสือไปใส่รถ ฉันจะเอาไปคืนห้องสมุด”
“เดี๋ยวนะ มันไม่โขกสับฉันมากไปเหรอ”
“มากไปงั้นเหรอ งั้นก็ไม่ต้องทำ ฉันจะได้รู้ว่านายเป็นคนไม่รักษาคำพูด ฉันก็ไม่ช่วยอะไรนายอีก เราจบกัน”
"เออๆ”
อัฐชัยยอมตามใจพิมพ์ดาว รีบไปหอบกองหนังสือให้ แล้วรีบออกไป พิมพ์ดาวกำลังจะตาม แต่เจ๊แมวกับงอแงที่แอบมองอยู่ตลอด รีบมาขวาง ยิ้มๆแซวๆ
“ยัยดาวๆ พ่อหนุ่มรถสปอร์ตคนนั้นยอมให้แกใช้ขนาดนี้..ตกลงเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”
“ใช่มั้ยๆ” งอแงถามย้ำ
“ไม่ใช่ค่ะ ที่เขาต้องยอมดาว เพราะเขาอยากให้ดาวช่วยเขาจีบน้ำมนต์ แค่นั้น”
“แต่สายตาที่พี่มอง มันมีความสุข กุ๊กกิ๊ก ครุคริงุงิมากๆ..พี่รักเขาใช่มั้ย”
“ใช่มั้ยๆ” เจ๊แมวถามย้ำ
พิมพ์ดาวไม่อยากตอบ เดินหนี แต่เจ๊แมวกับงอแงก็ยังตามมาดักหน้า
“ใช่มั้ยๆ”
“ไม่ใช่”
“ไม่เชื่อ” เจ๊แมวกับงอแงร้องออกมาพร้อมกัน
“แม่จะไปบอกเขา”
“ไม่ได้นะ” พิมพ์ดาวรีบคว้าตัวเจ๊แมวไว้
“งอแงจะไปบอกเอง”
“ไม่ได้”
พิมมพ์ดาวรีบคว้ามืองอแงอีก ขวางหน้าทั้งคู่ สั่งห้ามเด็ดขาด
“อย่าพูดอะไรให้เพื่อนต้องมองหน้ากันไม่ติดได้มั้ย”
อัฐชัยเดินกลับเข้ามาพอดี
“เรียบร้อยแล้ว จะไปได้ยัง”
เจ๊แมวกับงอแงพยายามจะบอกอัฐชัยให้ได้
“พ่อรูปหล่อ น้ามีเรื่องจะบอก คือ..”
พิมพ์ดาวรีบห้าม ขัดเจน ขึงขัง
“หยุดเลย หยุด” พิมพ์ดาวหันไปพาอัฐชัยไป “ไป..เราไปกันได้แล้ว”
อัฐชัยงงๆ พิมพ์ดาวรีบดันตัวให้แยกออกไป เจ๊แมวกับงอแงมองตาม ยิ้มกันคิกคัก
“เราไม่พูดก็ได้ แต่เราจะช่วยทำให้พี่เขาสมหวังเนอะลูกงอแงของแม่”
“ใช่ค่ะ แม่แมวของลูก”
เจ๊แมวกับงอแงประสานมือกัน
พีระ น้ำมนต์ ข้าวต้ม ตั้งใจฟัง เจี๊ยบเดินกลับไปกลับมา วางท่าราวกับเป็นนักสืบเชอร์ล็อกโฮล์ม
“ตำรวจให้ข้อมูลว่า นายพีท พีระหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“หายตัวไป” พีระ น้ำมนต์ร้องออกมาพร้อมกัน
“ตำรวจบอกว่า..พบรถเก๋งที่จดทะเบียนในชื่อของคุณธีระศิลป์ พ่อของเขา ตกลงไปในบึงน้ำ แต่ไม่พบร่างนายพีทที่เป็นคนขับ ตำรวจได้ค้นหารัศมีสองกิโลรอบบริเวณนั้นแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยอะไรเลย ไม่พบแม้กระทั่งศพ ก็เลยไม่มีใครรู้ว่า เขายังอยู่หรือตายไปแล้ว”
“ยังอยู่ แค่นี้ตำรวจก็ไม่รู้” ข้าวต้มบ่น
“มันต้องมีใครที่เอาร่างกายของผมไปดูแล เพราะถ้าไม่มีใครดูแล..ตอนนี้ผมก็ต้องตายไปแล้ว” พีระออกความเห็น
“ใครล่ะ” น้ำมนต์สงสย
“อาจจะเป็นคนที่คิดฆ่าผมก็ได้”
น้ำมนต์หันไปถามเจี๊ยบ
“พี่เจี๊ยบ แล้วตำรวจคิดว่าไง ร่างกายของนายพีทอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร พอจะมีเบาะแสอะไรหรือเปล่า”
“เรื่องนี้แหละที่ยังเป็นปริศนา..พี่เจี๊ยบลงพื้นที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ จากชาวบ้าน และสื่อออนไลน์ทุกอย่างมาแล้ว..มีประเด็นที่น่าจะเป็นไปได้ 3 ประเด็น..ประเด็นแรก นายพีท พีระไม่ได้หายตัวไปไหน แต่แท้จริงแล้ว ยังอยู่ในบ้านหลังนั้นนั่นเอง”
“อยู่ในบ้าน หมายความว่าไง”
“อยู่ในบ้าน ก็แปลว่าไม่ได้อยู่นอกบ้านไง” ข้าวต้มขัดขึ้นมา
“ข้าวต้ม” น้ำมนต์เซ็ง
เจี๊ยบอธิบายต่อ
“พี่เจี๊ยบหมายความว่า..หลังจากนายพีทตะเกียกตะกายออกมาจากรถที่จมน้ำได้ เขาก็ถูกจับตัวไป แล้วเอาไปขังไว้ในบ้านหลังนั้น”
เจี๊ยบเล่าให้ทุกคนฟัง....พระจันทร์เต็มดวง มีฟ้าผ่า เห็นเป็นแสงเป็นเส้นที่ชัดเจน น่ากลัว..เปรี้ยง!
บ้านธีระศิลป์ กลางคืน บรรยากาศวังเวง ชายคนหนึ่งถือตะเกียงเดินลงบันไดมาชั้นใต้ดินในความมืด ระหว่างนั้นมีเสียงครวญครางฮือๆดังมาตลอด สลับกับเสียงเหล็กครูดกับพื้นเบาๆ เขาเดินมาหยุดที่ผนังด้านหนึ่ง ซึ่งมีม่านทึบเก่าๆแขวนอยู่ เขากระชากม่านนั้นออก เห็นประตูเหล็กที่ตรงกลางเป็นช่องซี่กรงแข็งแรงแน่นหนา พีระโผล่เข้ามาเกาะซี่กรง เขย่า
“ปล่อยฉันออกไป ปล่อยช้าน”
สภาพใบหน้าของพีระอิดโรย ซีดผอม แก้มตอบ หนวดเคราเฟิ้ม หน้าโทรมมากๆ ที่ข้อมือมีห่วงเหล็กล็อกเอาไว้อยู่ ชายคนนั้นยื่นจานข้าวให้ แต่พีระปัดกระเด็น
“ปล่อยช้าน”
พีระเขย่าๆและครวญครางไม่หยุด
พีระกับน้ำมนต์ตกใจกับเรื่องเล่าของเจี๊ยบ ข้าวต้มถึงกับกอดขาเจี๊ยบไว้
“พีระถูกขังในห้องลับ”
“ใช่ ใครบางคนจะต้องแค้นนายพีท พีระ จึงขังเขาเอาไว้ ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ค่อยๆทรมานทีละนิดๆจนหมดลมหายใจ”
ข้าวต้มกอดขาเจี๊ยบ ขย้ำ
“น่ากลัวที่สุดเลย น่ากลัวๆ”
“เบาๆ พี่เจ็บ”
“ผมว่าไม่น่าใช่นะ มีเหตุผลอื่นอีกมั้ย” พีระส่ายหน้า
น้ำมนต์ถามอีก
“แล้วมีประเด็นไหนที่น่าจะใช่อีกพี่เจี๊ยบ”
“ข้อสันนิษฐานก็คือ..นายพีทพีระถูกใครบางคนลักพาตัวไป”
เจี๊ยบเล่าให้ทุกคนฟัง....พระจันทร์เต็มดวง มีฟ้าผ่า เห็นเป็นแสงเป็นเส้นที่ชัดเจน น่ากลัว..เปรี้ยง!
รถเก๋งของพีระขับมาจอดข้างทาง แล้วจอด พีระรีบลงจากรถมา วิ่งไปข้างทาง เพราะปวดฉี่มาก พีระรีบปลดกางเกง กำลังปลดทุกข์ แล้วอยู่ๆก็มีแสงสว่างสีขาวส่องมาจากบนฟ้า สว่างจ้าไปทั่วบริเวณนั้น พร้อมกับลมแรงมากๆ
พีระเงยหน้าขึ้นไปดู พบลำแสงสีฟ้าส่องลงมารับตัวเขา พีระตกใจ ช็อก กับภาพที่เห็น พีระหายตัวแว่บไป
ทุกคนตกใจ
“ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัว”
“ใช่ มีชาวบ้านคนนึงบอกว่าเห็นแสงสว่างแปลกๆในคืนนั้น เป็นไปได้ว่าจะถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป” เจี๊ยบยืนยัน
น้ำมนต์ พีระถอนใจเฮือก
“เหลวไหล”
เจี๊ยบจ๋อย หงอย
“ก็..มีชาวบ้านเขาบอกพี่มา..พี่ก็เอามาถ่ายทอดเฉยๆ”
“ใช้วิจารณญาณหน่อยมั้ยคะ ว่าอันไหนน่าจะใช่หรือไม่ใช่..เสียเวลา” น้ำมนต์บ่น
“สรุปว่ามีข้อมูลอะไรมากกว่าร่างกายของผมหายสาบสูญไปเฉยๆมั้ย” พีระเซ็ง
“แล้วอีกประเด็นคืออะไร” ข้าวต้มถาม
“ประเด็นสุดท้าย ตำรวจให้น้ำหนักมากที่สุด..เขาถูกฆาตกรรม”
พีระทำเป็นตื่นเต้น
“ฮ้า ฆาตกรรม อันนี้รู้นานแล้ว..ไม่มีอะไรใหม่กว่านี้แล้วใช่มั้ย”
พีระจะออกไป
“โดยคนใกล้ชิด”
พีระชะงัก หันกลับมาฟังทันที
“ฆาตกรรมโดยคนใกล้ชิด” น้ำมนต์ถามย้ำ
“ใช่ และฆาตกรคนนั้น อาจจะเอาศพของนายพีทเก็บไว้ หรืออำพรางคดีด้วยการเผาทำลาย หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงน้ำ”
น้ำมนต์รีบมาอุดหูข้าวต้ม
“หยุดพูดได้แล้วพี่เจี๊ยบ แล้วบอกฉันมาว่าตำรวจสงสัยว่าเป็นฝีมือใคร”
รูปถ่ายของลุงสนถูกยื่นมาวางที่โต๊ะ เมสินีคือคนที่ยื่นรูปนั้นให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับพีระเพิ่มเติม โดยมี ละไม เข้ามาเสิร์ฟน้ำแล้วนั่งกอดกล่องทิชชู่รอรับใช้ข้างๆ
“นี่คะ ลุงสน คนขับรถประจำตัวของคุณธีระศิลป์..เป็นคนที่คุณธีระศิลป์ไว้วางใจมากที่สุด..คุณธีระศิลป์ไล่แกออกจากงาน เพราะจับได้ว่าแกขโมยเงินและของมีค่าในบ้านเอาไปขาย..แล้วหลังจากนั้นก็..เกิดอุบัติเหตุกับคุณธี..แล้วแกก็หายตัวไป แล้วพอตาพีทกลับมางานศพพ่อตัวเอง ก็.. ก็...ฮือๆ”
เมสินีร้องไห้โฮ ละไมถือกล่องทิชชู่ ดึงทิชชู่ส่งให้
“ทิชชู่ค่ะคุณเม..โถ พูดถึงคุณพีททีไร น้ำตามาทุกที ฮึ่บค่ะ ฮึ่บ”
ละไมลูบหลังให้ เมสินีทำท่าสะเทือนใจมาก แกล้งทำท่าสะดุ้งฮึ่บขึ้นมา แล้วพูดต่อ
“แล้วตาพีทก็มาประสบชะตากรรมเหมือนพ่อเขาอีก จะเป็นใครไม่ได้นอกจากลุงสนนี่แหละ”
“แต่ที่อยู่ที่คุณเมเคยให้มา มันไม่ใช่ที่อยู่จริงครับ..เราไปสอบถามมาแล้ว ไม่มีใครรู้จักลุงสนเลย”
เมสินีทำทีว่าตกใจที่ถูกหลอก
“งั้นเขาก็คงให้ที่อยู่ปลอมกับเมมาตั้งแต่แรก โถ ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ ถ้ามีเจตนาดีจะให้ที่อยู่ปลอมทำไม..เขาคงจะใช้ประโยชน์จากการที่คุณธีระศิลป์รักและไว้ใจ มาทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้..ทั้งคุณธี..ทั้งลูกพีท..คือเหยื่อของเขา..ทำไม..ทำไมเรื่องอย่างนี้ต้องมาเกิดกับคนดีๆด้วย..โลกใบนี้ไม่มีความยุติธรรม ฮือๆ”
“ฮึ่บค่ะ ฮึ่บ” ละไมรีบบอก
“ฮึ่บ โฮๆ”
เมสินีร้องห่มร้องไห้ตบตาตำรวจ
พีระเตะกระสอบทราย น้ำมนต์เดินมามอง
“เป็นอะไรของนาย”
พีระเตะไป คิดทบทวนไป
“คนใกล้ชิด..คนรถของพ่อฆ่าผม..เขาแค้นพ่อ ก็เลยพาลมาฆ่าผมด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“เฮ้ยๆ มโนแล้ว..ตำรวจแค่กำลังตามหาคนขับรถที่หายตัวไป แต่ยังไม่ได้สรุปเลยว่าเขาคือฆาตกร..อย่าเพิ่งสร้างดราม่าให้ตัวเองได้มั้ย”
“ใครดราม่า ผมเครียดจริง”
“แล้วนายจะเอาไงต่อ จะให้พี่เจี๊ยบช่วยสืบต่อหรือจะไม่สืบแล้ว”
“ทำไมถามอย่างนี้”
“ก็ถ้านายจะพอแค่นี้ ฉันก็เข้าใจนะ..ความจริงบางเรื่อง รู้แล้วทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรดีขึ้นมา งั้นก็ไม่รู้จะดีกว่า”
“เหมือนที่คุณไม่อยากรู้ว่าใครคือคนที่ทำให้แม่คุณตายใช่มั้ย”
“อื้อ”
พีระบอกอย่างชัดเจน เด็ดขาด
“สืบต่อ ผมอยากรู้เรื่องของผมให้ถึงที่สุด”
“จริง?”
“ผมจะตามหาร่างของผมให้เจอ ผมจะฟื้นขึ้นมาแก้ไขปัญหาทุกอย่าง คนที่ทำผิดคิดร้ายกับผมและพ่อจะต้องได้รับกรรมของเขา”
“นายไม่กลัวเหรอ”
“กลัวสิ แต่คนเราจะให้ความกลัวมีอำนาจเหนือความถูกต้องไม่ได้ ถ้าผมเอาแต่กลัว ผมก็จะต้องอยู่อย่างนี้ เป็นผีไปตลอด จะไม่มีโอกาสได้แก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ไม่มีโอกาสได้ทำความดีที่เป็นประโยชน์ต่อโลก และผมก็จะไม่มีโอกาสได้มีความรักด้วย”
น้ำมนต์อึ้ง เขิน พีระคว้ามือมากุม มองตา ราวกับจะสารภาพรัก
“น้ำมนต์..ผม...มีเรื่องจะบอก”
น้ำมนต์ตื่นเต้น คิดไปเอง
“อย่านะ..อย่าพูด..”
“ผมคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว..ถ้าวันนี้ผมไม่ได้บอกคุณ ผมคงอกแตกตาย ..ผมอยากบอกคุณว่า..”น้ำมนต์ตื่นเต้น คิดไปเอง เริ่มโวยวาย
“อย่า..อย่าพูดอะไรบ้าๆนะ..คนกับผีจะรักกันได้ยังไง”
“หือ”
น้ำมนต์ยังไม่รู้ตัว
“ฉันไม่พร้อม ถึงพร้อมมันก็เป็นไปไม่ได้ คนกับผีรักกันไม่ได้”
“น้ำมนต์” พีระเรียกให้ได้สติ “ผมแค่จะบอกว่าผมอยากให้คุณเผชิญกับความจริงเรื่องแม่ของคุณเหมือนกัน”
“ไม่ได้จะบอกรัก”
“อะไรเอ่ย มโน”
น้ำมนต์เหวอ หน้าแตก หันหน้าเดินหนีทันที พีระขำๆ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
น้ำมนต์เดินหนีมาด้วยความอาย พีระรีบตามมาขวาง
“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องอาย ผมไม่ถือ..ผมรู้ว่าผมมีเสน่ห์มาก ฮะๆ”
“ไม่ต้องมาแซวฉันเลย”
“ไปบอกข้าวต้มดีกว่า” พีระแกล้งตะโกน “ข้าวต้ม...”
“นี่”
“ผมจะบอกทุกคนเลย”
“ลองดูสิ ฉันจะ..จะเอาผ้ายันต์มาแปะหัวหน้าให้ไหม้เลย..ฉันยังเก็บไว้อยู่นะ”
น้ำมนต์จะไปเอามา แต่พีระคว้ามือ
“ไม่พูดก็ได้ แต่คุณต้องรับปากผม”
“อะไร”
“คุณช่วยผมสืบเรื่องตัวผม ผมช่วยคุณสืบเรื่องแม่คุณ..โอเค๊”
“ก็..”
“ถ้าไม่โอเค ผมจะบอกคนอื่นเรื่องที่คุณมโนว่าผมจะสารภาพรักคุณ”
“โอเค”
พีระยิ้มออก น้ำมนต์จะดึงมือออก แต่พีระยังยื้อไว้
“เดี๋ยว..”
“อะไรอีก”
“คุณรู้มั้ยว่าความเครียด อารมณ์บูดบึ้ง มันทำให้สมองไม่ทำงาน”
พีระดีดนิ้ว โทรศัพท์มือถือเล่นเพลงเองอัตโนมัติ มีเสียงเพลงดังขึ้น เป็นเพลงฟังสนุกๆ
“คุณควรจะพักผ่อนสมองบ้าง สบายๆ สนุกๆ หัวเราะ และมีความสุข”
“จะบอกว่า..ไอ้ที่เครียดมาตลอดน่ะคือนายจ้ะ”
“ผมก็เครียด คุณก็เครียด งั้นเราก็มาคลายเครียดด้วยกัน”
พีระเต้นยั่วๆกระแซะๆให้น้ำมนต์เต้นด้วย
“ฉันไม่เต้นกับนายหรอก”
“อย่าฟอร์มน่า”
พีระจับมือน้ำมนต์ดึงมาเต้นด้วย เข้าไปเต้น กระแซะๆ น้ำมนต์ที่ทำปากแข็ง แต่แล้วก็เล่นด้วย เอาด้วย สนุกไปด้วยกัน ทั้งสองคนหัวเราะกันสนุกสนาน แจ๊ววิ่งถือไส้กรอกกลับเข้ามาในบ้าน
“หวังว่าน้องข้าวต้มจะยังไม่โมโหหิว”
แต่แล้วแจ๊วก็ชะงัก เพราะภาพที่แจ๊วเห็นคือน้ำมนต์กำลังเต้นอยู่คนเดียวอย่างสนุกสนาน แจ๊วมองอย่างงงๆ ท่าจะบ้า เป็นอะไรมากรึเปล่า อยู่ๆน้ำมนต์ก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“นึกออกแล้ว”
“อะไร” พีระงง
“ละครเวที...ฉันรู้แล้วว่าจะให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ฉันรู้แล้ว ฉันนึกออกแล้ว ฉันคิดออกแล้ว”
น้ำมนต์ดีใจ เผลอโดดกอดพีระ แต่แล้วสักพัก ทั้งคู่ก็รู้สึกตัว
“บอกได้มั้ยว่าจะให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร”
น้ำมนต์ยิ้ม แล้วตอบคำถามด้วยการชี้นิ้วไปที่พีระ ซึ่งยืนงงไปเลยว่าเกี่ยวอะไรกับเขา
ในห้องเรียน...น้ำมนต์นำเสนอเรื่องย่อของละครเวทีให้ไตปลาฟัง
“เรื่องราวของชายที่น่าสงสารคนนึง ที่ตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นวิญญาณ..”
น้ำมนต์ใช้เพื่อนๆเป็นพร๊อพประกอบการเล่า ดึงอัฐชัยมารับบทพระเอก น้ำมนต์พูดอะไร อัฐชัยก็แสดงตาม
“ฮ้า ฉันคือใครนะ” อัฐชัยทำท่างงๆ
“เขาไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร มาจากไหน ตายได้อย่างไร เขาจำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง” น้ำมนต์บรรยาย
“ฉันจำไม่ได้เลย” อัฐชัยทำท่าเอ๋อหนัก
น้ำมนต์ดึงพิมพ์ดาวออกมา
“ส่วนเธอ นางทาสผู้อาภัพในความรัก”
พิมพ์ดาวงงกับบทตัวเอง แต่รีบทรุดลงไปกองกับพื้น ตีหน้าเศร้า
“เศร้า ฮือๆ”
“เธอเป็นที่รักของท่านเจ้าคุณสิงหชัยชาญ แต่บุญเธอน้อยนัก ท่านเจ้าคุณด่วนตายไปเป็นผีเสียก่อน แล้วยังจำไม่ได้อีกว่าตัวเองคือท่านเจ้าคุณ..จนกระทั่ง นังบ่าวไพร่ขี้เม้าท์..”
น้ำมนต์ดึงลูกโป่งออกมา ลูกโป่งรีบแอคติ้งทำท่าเม้าท์
“ฉันเป็นไพร่”
น้ำมนต์พยักหน้าตอบ
“นังไพร่ขี้เม้าท์ เม้าท์จนได้เรื่อง..จนผีท่านเจ้าคุณสิงหชัยชาญเข้าใจผิด คิดว่านางทาสเป็นคนวางแผนฆาตกรรมตัวเอง..ท่านเจ้าคุณจึงโกรธมาก จากรักกลายเป็นแค้น..”
“พอ”
อยู่ๆไตปลาสั่งเบรก น้ำมนต์ชะงัก ทุกคนลุ้นผลว่าไตปลาจะว่ายังไง
“ทำไมคะ มันไม่สนุกเหรอคะ” น้ำมนต์หน้าเสีย
ไตปลาปากสั่น ตัวสั่น กำหมัดแน่น
“นางทาสกับผีท่านเจ้าคุณ ..นี่เหรอละครเวทีที่พวกเธอจะทำ..จะให้ฉันพูดยังไง..มัน..มัน...โอ๊ย...”
ไตปลาพูดไม่ออก อยู่ๆก็วิ่งพรวดพราดออกไป ทุกคนงง
“พี่ไตปลา”
ไตปลาวิ่งแจ้นลงบันไดอย่างรวดเร็ว พวกน้ำมนต์วิ่งไล่ตามมาเพราะคิดว่าไตปลาไม่พอใจ
“พี่ไตปลา เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
ไตปลาวิ่งออกมาจากตัวตึก พวกน้ำมนต์ไล่ตาม
“ขอโอกาสให้พวกเราอีกครั้งนะคะพี่ไตปลา”
ไตปลาวิ่งออกไป ท่าทางฮึดฮัดฉุนเฉียวสุดขีด วิ่งฝ่าเข้าไปในสนามบอลที่มีกลุ่มนักศึกษากำลังเตะบอลกันอยู่ วิ่งๆ ไม่สนใจใครเลย เจอบอลที่กลิ้งมาขวางหน้าก็เตะทิ้งทันที พวกนักบอลชะงักหมด ยืนมองว่าไอ้บ้านี่มาจากไหน แล้วไตปลาก็สไลด์ตัวไปกับพื้นหญ้า ราวกับนักบอลที่ยิงเข้าประตู พวกน้ำมนต์วิ่งตามมามอง แล้วอยู่ๆไตปลาก็ตะโกนออกมา
“มันสุดยอด”
ไตปลาชอบไอเดียละครมาก ถึงคลั่ง
“ความรักของนางทาสกับผีท่านเจ้าคุณ มันสุดยอดมาก ทั้งขำขันและขื่นขมในคราวเดียวกัน มันคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความโรแมนติกและความเป็นชีวิตของมนุษย์ นี่มันมหัศจรรย์ของวงการละครเวทีชัดๆ ...สุดยอด”
แล้วไตปลาก็วิ่งไปกอดนักบอลคนนั้นทีคนนี้ที พร้อมตะโกนว่า
“ฉันจะกำกับเรื่องนี้ๆ”
พวกนักบอลยืนทำหน้าเซ็งสุดๆ พวกน้ำมนต์ดีใจโดดกอดกัน
“สำเร็จแล้วๆ”
ด้านหน้าบ้านธีระศิลป์
มีป้ายติดใหม่ว่า “บ้านภาคภูมิใจ” เมสินีเดินพุ่งออกมาจากในบ้าน ท่าทางอารมณ์เสีย ไม่พอใจมาก มาหยุดยืนรอที่หน้าบ้าน ละไมตามหลังมา มีรถเก๋งคันนึงแล่นเข้ามาจอด
“คุณเมอย่ายอมนะคะ บ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัว จะให้คนนอกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาเดินเพ่นพ่านในบ้านไม่ได้ ละไมไม่ยอม ละไมจะไม่ขอกวาดฝุ่นจากรอยเท้าใครถ้าไม่ใช่คุณเม”
“คิดว่าฉันอยากให้เขามาหรือไง”
คนที่ขับรถเปิดประตูลงมา เป็นยุทธ
“สวัสดีครับคุณเม”
ประตูด้านหลังของรถก็เปิดออกซ้ายและขวาพร้อมกัน อาจารย์เทพกับเกี๊ยงลงมาจากคนละข้าง
“นี่น่ะเหรอครับบ้านคุณเมสินี”
เมสินีสีหน้าไม่พอใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ ละไมหน้าแหย
“ให้หมอผีเข้าบ้าน ถ้าเขามาทำเสน่ห์ใส่ละไมจะทำยังไง”
อาจารย์เทพเดินชูธงสำรวจบริเวณบ้านธีระศิลป์ ชูธงไปทางนั้นทีทางนี้ที ราวกับจับสัญญาณวิญญาณ โดยมีเกี๊ยงถือขันน้ำมนต์ตามประกบตลอด เมสินี ยุทธ ละไมเดินตามหลัง
“อาจารย์เทพเลยต้องเริ่มต้นจากบ้านคุณพีท เพราะที่นี่อาจจะมีวิญญาณคุณพีทสิงอยู่ก็เป็นได้” ยุทธกระซิบบอกเมทินีเบาๆ
“ฉันให้เวลาแค่สิบนาที แล้วให้พวกเขาออกไป เข้าใจมั้ย” เมทินีหันไปสั่งละไม “แกดูให้ดีๆ อย่าให้ของในบ้านฉันหาย เข้าใจมั้ย”
เมสินีจะเดินแยกไปพัก แต่อยู่ๆอาจารย์เทพหันมาทัก
“กำลังจะขึ้นห้องนอนใช่มั้ยครับ ผมขออนุญาตตรวจห้องนอนคุณด้วย”
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ใช่สามีเข้าห้องนอน”
เกี๊ยงอธิบาย
“จารย์เทพจำเป็นจะต้องสำรวจทุกซอกทุกมุมของบ้านครับ มันจำเป็นมากถ้าคุณอยากจะให้จารย์เทพตามหาวิญญาณคุณพีทให้เจอ”
“อย่ายอมนะคะคุณเม อย่ายอม” ละไมรีบบอก
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับพี่สาวคนสวย” เกี๊ยงหันมาทำตาหวาน
“คนสวยเหรอ” เกี๊ยงขยิบตาให้ ละไมขวยเขิน หันมาพูดกับเมสินี “ยอมเถอะค่ะคุณเม”
อาจารย์เทพเดินขึ้นบันไดนำไป เมสินีฮึดฮัด จะห้าม แต่ยุทธปรามไว้ก่อน
“ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ..นะ..”
เมสินีเดินนำเข้ามาในห้อง อาจารย์เทพตามมา
“ดิฉันให้เวลาคุณสิบวินาทีเท่านั้น..รีบดู แล้วรีบออกไปด้วยนะคะ” เมทีนีดูเวลาแล้วนับถอยหลัง “..สิบ..เก้า..”
อาจารย์เทพเดินสำรวจรอบห้อง ใช้มือแตะวนจากผนังด้านตู้เสื้อผ้า วนมารอบ และไปจบที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยุดที่โต๊ะเครื่องแป้งสักพัก จากนั้นก็หันกลับมา
“เรียบร้อยแล้วครับ”
เมสินีแปลกใจที่เร็วมาก
เมสินีกับยุทธเดินออกมาส่งอาจารย์เทพที่หน้าบ้าน
“ไม่ต้องเอารถไปส่งหรอก เดี๋ยวฉันกลับเองได้” อาจารย์เทพหันมาบอก
“จะเอาอย่างนั้นเหรอ”
ยุทธลังเล เมสินีตัดบท
“งั้นก็ดีค่ะ แล้วเมื่อไหร่ดิฉันจะได้คำตอบว่าอาจารย์ตามหาวิญญาณนายพีทให้ดิฉันได้จริงๆ..ไม่ใช่หลอกเอาเงินไปวันๆ”
“เร็วๆนี้แหละครับ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมน่ะหมอผีตัวจริง ไม่เคยคิดหลอกเอาเงินของคุณฟรีๆ แต่อย่างอื่นไม่แน่”
“หือ”
“อย่างอื่นคือ..ใจไงครับ คุณจะยอมรับและไว้วางใจผมแน่”
“เอาวิญญาณนายพีทมาให้ฉันดูให้ได้อย่างปากเถอะ”
อาจารย์เทพยิ้มมีเลสนัย แล้วเดินแยกออกไป เกี๊ยงรีบตาม เมสินีไม่ค่อยถูกชะตานัก หันมาเอาเรื่องยุทธ
“ถ้าฉันถูกหลอก เธอต้องรับผิดชอบ”
เมทินีเข้าบ้านไป ยุทธจ๋อยหงอให้เมสินี ละไมหันมาจ้องหน้ายุท
“ถ้าคุณเมถูกหลอก..” ยุทธถลึงตาใส่ ละไมจ๋อย “ไม่มีอะไรค่ะ”
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงเดินออกมาด้านนอก
“จารย์เทพครับ จารย์มาเดินวนบ้านรอบนึง แล้วก็กลับ..แค่เนี้ยเหรอครับ..จารย์คิดจะทำอะไรอ่ะครับจารย์” เกี๊ยงรีบถามด้วยความสงสัย
“ใครว่าข้ามาแค่นี้ ข้าได้ของดีมาแล้วเว้ย”
“ของดี อะไรครับ”
“บอกไม่ได้ มันดีกับข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวกับเอ็ง หึๆ คืนนี้สนุกแน่คุณเมสินีคนสวย”
อาจารย์เทพหัวเราะอย่างสะใจ
พีระนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คิดถึงเหตุการณ์ที่น้ำมนต์เขินตอนหน้าแตกเพราะคิดว่าเขาจะบอกรัก และเหตุการณ์ที่เต้นด้วยกันสนุกสนาน แล้วน้ำมนต์เผลอตัวกอดเขา
พีระยิ้ม เขินตัวเอง เบือนหน้ามาอีกทาง ก็ต้องจ๊าก เพราะแมนสรวงยื่นจ่อหน้าอยู่ใกล้มากๆ
“เฮ้ย...มายืนทำบ้าไร จะมาแอบจูบฉันหรือไง บรึ๋ย”
แมนสรวงเหล่ตามองจับผิด
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คิดอะไรอยู่ คิดเรื่องของ..น้ำมนต์ใช่มั้ย”
“เฮ้ย ทำไม..” พีระนึกขึ้นได้ รีบกลับลำ “ไม่ใช่”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ ดูไม่ออกนะ..ฉันขอเตือนเลยนะ อย่าหาเรื่องให้ตัวเองจะดีกว่า”
“หาเรื่อง”
“นายก็รู้ว่ามันมีเหตุผลที่วิญญาณไม่ได้รับอนุญาตให้จำเรื่องราวในอดีตได้ เพราะความทรงจำจะสร้างปัญหา ทางที่ดีที่สุด คือ อย่าจำ อย่าสร้างความผูกพัน และ..อย่า มี ความ รัก”
“ทำไม..มีอะไรที่นายรู้ แต่ยังไม่บอกฉันหรือเปล่า”
“ฉันบอกไม่ได้ มันเป็นกฏ..แต่เชื่อฉันเถอะ”
“ก็บอกมาให้ชัดสิว่าทำไมถึงต้องห้าม”
“ไม่ได้ห้าม ฉันแค่เตือน”
“ความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่ก็เอาไปหมดแล้ว นี่ยังจะไม่ให้จำตอนเป็นผีอีกเหรอไอ้ยมทูตเผด็จการ”
“ฉันหวังดี”
พีระประชด ดื้อ
“ฉันจะจำทุกอย่างตอนนี้ พอวันที่ฉันกลับเข้าร่างได้ ฉันจะได้จำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะความบ้าอำนาจของนาย ฉันจะไม่มีวันลืมเลย”
“แทนที่จะเอาเวลามาจำเรื่องไร้สาระ ไปสืบหาร่างของนายดีกว่ามั้ย เหลือเวลาอีกแค่ 23 วันเท่านั้นนะ”
“รู้แล้ว ไม่ต้องมาบ้าอำนาจแถวนี้”
แมนสรวงขี้เกียจอธิบายแล้ว จะทำอะไรก็เชิญ
“เอ้า เตือนก็หาว่าบ้าอำนาจ งั้นก็โอเค จะทำอะไรก็ทำ ตามใจ ตามสบาย..เกิดอะไรขึ้น อย่ามาด่าฉันทีหลังก็แล้วกัน”
แมนสรวงหายตัวไปทันที
“อ้าว เฮ้ย อย่าเพิ่งหนีสิ กลับมาก่อน”
ข้าวต้มแอบมองพีระอยู่ เอียงคอมองอย่างฉงนว่าคุยกับใคร
“พี่พีระคุยกับใคร หรือจะมีผีอีกตัวที่เรามองไม่เห็น” ข้าวต้มเกาหัวงงๆ
“ถ้าฉันกลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่ ฉันจะไม่ทำบุญให้นายเลยสักนิดเดียว เราจะหาร่างจากไหน ใครที่น่าสงสัย..ตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้น”
พีระรีบเดินออกไป ข้าวต้มโผล่มามองว่าพีระจะไปไหน
“พี่พีจะไปไหน” ข้าวต้มรีบตามไปด้วย
พีระเดินออกจากบ้านมาตามทาง ข้าวต้มเดินสะกดรอยตามอยู่ห่างๆ
“พี่พีจะไปไหนอ่ะ”
พีระรู้สึกเหมือนมีคนตาม ชะงักหยุดนิ่ง ข้าวต้มรีบกระโจนหลบเข้าไปหลังเสาไฟที่มีถังขยะ ลังกระดาษกองๆอยู่ พีระหันกลับมามอง ไม่เห็นอะไร เดินต่อไป ข้าวต้มเดินตามต่อ
งอแงนับยอดเงินที่ตามเก็บมาได้ แล้วทำเครื่องหมายลงในสมุดหนี้ เจ๊แมวทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ สักพัก งอแงเงยหน้าขึ้นมา เห็นข้าวต้มกำลังเดินย่องอยู่คนเดียว จะไปไหนไม่รู้
“นายหมูอ้วนนี่” งอแงมองเอกสารลูกหนี้ในมือ เห็นเขียนว่า ข้าวต้ม 20 บาท “ฮ้า เป็นหนี้ตั้งยี่สิบบาท”
งอแงรีบเดินขึงขังเข้าไปหาข้าวต้ม
“ยี่สิบบาท จ่ายมา”
“ชู่ว์ๆ หลบไปก่อน” ข้าวต้มจะรีบตามพีระ
“ทำอะไรอยู่”
“ภารกิจลับ ที่สำคัญกว่าเงินเล็กๆน้อยที่เธออยากได้แน่นอน”
“มีอะไรสำคัญกว่าเงินอีกเหรอ”
“เยอะแยะ ..ถ้าอยากรู้ก็ตามมา”
“ฉันไม่ไป ฉันจะเอาเงิน”
“ว่าแล้ว ผู้หญิงอย่างเธอ นอกจากหาเงินแล้วทำอะไรอย่างอื่นเป็นบ้าง”
“ฉันทำเป็นนะ”
“ไปๆ ไปนั่งรอนับเงินอยู่บ้านไปๆ”
ข้าวต้มไล่อย่างไม่สนใจ แล้วรีบเดินตามพีระไปต่อ งอแงตัดสินใจตามข้าวต้มไปอีกคน
บนเวที ในหอประชุม...น้ำมนต์กับเพื่อนๆ ล้อมวงประชุมกัน
“มหาวิทยาลัยอนุญาตให้เราใช้หอประชุมแห่งนี้ในการซ้อมและจัดแสดงละครเวทีได้ฟรี แล้วก็ให้เงินสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่ไม่มาก เรายังต้องหาสปอนเซอร์จากภายนอกอีก..ซึ้งฉัน ในฐานะโปรดิวเซอร์ ฉันจะรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง” ลูกโป่งบอก
เอมี่เดินเข้ามาอย่างสวยสง่า
“โดยมีพี่เป็นผู้ช่วย”
“พี่เอมี่” ทกคนหันไปมอง
“เรื่องหาทุนขอสปอนเซอร์ไว้ใจพี่เถอะ พี่พอจะรู้จักไฮโซเซเล็บอยู่บ้าง พี่จัดการได้สบาย”
ลูกโป่งชี้น้ำมนต์
“ส่วนแก มีหน้าที่เดียวคือทำบทให้เสร็จ”
“อย่างเร่งด่วน” ทุกคนบอกพร้อมกัน
“ค่า..ทราบค่า..”
ลูกโป่งสั่งเสียงเครียด
“ทีมงานฝ่ายอื่นๆ ฉาก แสง เสียง เสื้อผ้า แต่งหน้า อุปกรณ์ประกอบ จะทำงานได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับบทแกด้วย”
“ค่า..ทราบค่า...”
“ดาว อัฐ แกสองคนไปช่วยกันประกาศรับสมัครและคัดเลือกนักแสดงมาให้ถูกต้องตามบท”
ทุกคนหันจ้องน้ำมนต์
“บท”
“ค่า..ทราบค่า...”
“อัฐจะประกาศรับสมัครนักแสดง และฝึกการแสดงเตรียมเอาไว้ก่อนแล้วกัน” อัฐชัยเสนอ
“แต่แกก็ต้องสรุปจำนวนนักแสดงคร่าวๆมาให้” พิมพ์ดาวหันไปสั่ง
“ค่า..ทราบค่า...”
“แล้วเรื่องพีอาร์ประชาสัมพันธ์ล่ะ จะเริ่มทำได้ก็ต้องมี...”
ทุกคนหันมาจ้องน้ำมนต์อีก น้ำมนต์จ๋อยหัวหด
“ค่า..ทราบค่า...ทราบแล้วค่าว่าทุกอย่างอยู่ที่อิฉันคนเดียวเลย อิฉันจะรีบที่สุดค่า...”
“แต่ตำแหน่งสำคัญที่ลืมไม่ได้..ฝ่ายเทคนิคพิเศษเกี่ยวกับผี..ผีพีระแฟนแก..จัดการให้ด้วย ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย” ลูกโป่งถาม
“เอ้าๆ แยกย้ายไปทำ..งาน...”
เอมี่สั่ง มือถือพิมพ์ดาวดังขัดขึ้นมาก่อน พิมพ์ดาวรีบหยิบมารับสาย
“ประชุมอยู่ค่ะ แม่มีอะไรด่วนหรือเปล่า”
เจ๊แมวพูดโทรอย่างร้อนใจอยู่ที่ร้านกาแฟ
“ดาว..แม่ไม่ได้ประมาทนะ แม่ขายกาแฟให้ลูกค้าวุ่นๆอยู่ ก็เห็นงอแงนั่งทำบัญชีอยู่ แต่พอแม่หันมาอีกที..ลูกงอแง..ลูกงอแงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“งอแงหายไป”
ทุกคนได้ยินไปด้วย ตกใจ
เจ๊แมวนั่งร้องไห้ เจี๊ยบพยายามปลอบใจ
“เจี๊ยบให้พรรคพวกวินช่วยขี่ตามหาแถวนี้ให้แล้ว ยังไงก็ต้องเจอน้องงอแงแน่ๆ เด็กตัวแค่นี้จะไปไหนได้ไกล”
เจ๊แมวหันมาดุ ตาขวาง
“พูดยังงี้หมายความว่าไง..คิดว่าลูกงอแงของเจ๊จะไปไม่ได้ไกลงั้นเหรอ..อย่ามาดูถูกลูกสาวเจ๊”
“อ้าว งั้นก็คงไปไกลมากแล้ว”
เจ๊แมวตกใจ ห่วง ใจเสีย
“ไปไกลแล้ว...งอแงลูกแม่ ฮือๆ”
“อ้าว อย่าร้องครับ..ผมพูดเล่น จริงๆคงไปไม่ได้ไกลหรอกครับ”
“อย่ามาดูถูกลูกสาวเจ๊” เจ๊แมวดุอีก
“อ้าว เจ๊อยากให้ไปไกลหรือไม่ไกลกันแน่”
พิมพ์ดาววิ่งเข้ามา น้ำมนต์และเพื่อนๆทุกคนวิ่งตามมาด้วย
“แม่...งอแงหายไปได้ยังไง ตอนไหน แล้วมีใครเห็นหน้างอแงเป็นครั้งสุดท้ายบ้าง”
“เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ทำไมลูกพูดจาเป็นลางร้ายอย่างนั้น” เจ๊แมวยิ่งร้อง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ครั้งสุดท้ายที่เห็นงอแง ใครเห็น”
“ก็แม่นี่แหละ”
“แล้วทำอะไร อยู่ที่ไหน”
“ก็ขายกาแฟ อยู่ที่ร้าน”
“หมายถึงงอแง” ทุกคนร้องถามพร้อมกัน
“ก็เห็นนั่งทำบัญชีตรงนี้ พอหันมาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว”
“มีใครโทรไปแจ้งตำรวจหรือยังคะ” เอมี่ถาม
“เธอจะแจ้งตำรวจมาจับฉันที่ทำลูกหายเหรอ” เจ๊แมวตกใจ
“ไม่ใช่”
ทุกคนถอนใจเหนื่อยๆ พิมพ์ดาวเตือน
“แม่คะ แม่ตั้งสติหน่อยนะคะ หายใจเข้าลึกๆ”
“ผมว่าเราแยกย้ายกันตามหาเถอะ” อัฐชัยออกความเห็น
แจ๊ววิ่งหน้าตื่นเข้ามาโวยวาย
“น้องข้าวต้ม มีใครเห็นน้องข้าวต้มบ้าง”
“ทำไม..ข้าวต้มไปไหน” น้ำมนต์ตกใจ
“พี่แจ๊วทอดไส้กรอกอยู่ในครัว..ออกมาอีกที ก็หาน้องข้าวต้มไม่เจอแล้ว”
“อะไรนะ ก็บอกแล้วไงว่าจะไปเสนองานที่มหาวิทยาลัยแป๊บเดียว ทำไมพี่ถึงไม่ดูข้าวต้มดีๆ” น้ำมนต์โวยวาย
“งอแงอยู่ไหน ฉันจะไปตามหาลูก เจ๊แมวลุกจะไป คว้าตัวเจี๊ยบ “แกไปขี่มอเตอร์ไซค์ให้ฉัน ไป”
“เบาๆ” เจี๊ยบร้องบอก
“ไปขี่รถให้ฉัน” เจ๊แมวพูดเสียงเบา
“หมายถึงดึงเบาๆ ระบบเจ๊กลับตาลปัตรหมดแล้ว”
“อย่าไป” พิมพ์ดาวจับแม่ไว้
น้ำมนต์ก็ต่อว่าแจ๊ว พิมพ์ดาวก็พยายามรั้งไม่ให้เจ๊แมวไปไหน วุ่นวาย เอมี่ขึ้นไปยืนบนโต๊ะ
“หยุดค่ะ...หยุด”
ทุกคนชะงัก
“ช่วยมีสติกันหน่อย..ปัญหาจะแก้ไม่ได้ ถ้าเราขาดสตินะคะ”
ทุกคนนิ่งค้าง มองเอมี่ตะลึง
“ว้าว อึ้งกันหมดเลย สุดยอดค่ะพี่เอมี่” ลูกโป่งชื่นชม
เอมี่ทำท่าว่าชนะเลิศ
“ต้องให้ฉันคุมสถานการณ์”
แต่แล้วน้ำมนต์กับเจ๊แมวก็โวยวายเช่นเดิม
“ข้าวต้ม”
“งอแงลูกแม่”
น้ำมนต์วิ่งแยกออกไป กลับบ้าน เจ๊แมวดื้อดึง จะจิกหัวเจี๊ยบออกไปให้ได้ แต่พิมพ์ดาวกับอัฐชัยช่วยรั้งตัวเอาไว้ พยายามแกะมือที่จิกหัวเจี๊ยบออก เจี๊ยบร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“คุมสถานการณ์สิคะพี่เอมี่ คุมสิๆ” ลูกโป่งร้องบอก
“หยุดค่ะ หยุด หยุด หยู๊ด”เอมี่พยายามจะห้าม แต่ไม่มีใครฟังอีกแล้ว
คุณผีที่รัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
น้ำมนต์วิ่งกลับมาที่บ้าน วิ่งตามหาข้าวต้มไปทั่วบ้าน
“ข้าวต้มๆ”
น้ำมนต์ออกมาด้านนอก คิดถึงพีระขึ้นมา เลยเรียกหาพีระ
“นายพีระ..นายอยู่หรือเปล่า..นายรู้ใช่มั้ยว่าข้าวต้มอยู่ไหน..นายพีระ”
น้ำมนต์พยายามเรียกซ้ำๆ จนเหนื่อย แต่พีระก็ไม่ออกมา
“นายอยู่ที่ไหน”
ด้านหลังของน้ำมนต์ แมนสรวงยืนกอดอกพิงเสาเก็กเท่อยู่ ท่าทางสบายๆ
“ฉันอยากช่วยนะ แต่มันไม่ใช่กิจของยมทูต และมันผิดกฎ..ซอรี่”
แมนสรวงจะเดินไป แต่อยู่ๆน้ำมนต์กลับคิดถึงยมทูตขึ้นมาได้
“ยมทูต”
แมนสรวงชะงัก จ๊าก
“เย้ย..”
“ยมทูตที่ดูแลนายพีระ..อยู่แถวนี้ใช่มั้ย”
“รู้ได้ไง ..ไม่ได้อยู่...”
“อย่าโกหก”
แมนสรวงสะอึก หยุดพูดไปทันที
“เป็นยมทูตพูดโกหกไม่ได้..ถ้าคุณอยู่แถวนี้และได้ยินฉันพูด ก็ออกมาบอกฉันว่าพีระและข้าวต้มอยู่ที่ไหน”
แมนสรวงอึกอัก เพราะบอกไม่ได้
“เข้าใจมั้ยว่า พูดไม่ได้ มันผิดกฎ”
“ออกมาเดี๋ยวนี้”
น้ำมนต์มองไม่เห็น แต่ท่าทีจริงจัง เอาเรื่องมาก แมนสรวงหนักใจ
ด้านหน้าสถานีพราวด์ดิจิตัล...หน้าประตูทางเข้าหลักของสถานี ผู้คนเดินผ่านไปมา มียามยืนทำหน้าที่ และมีผีเฝ้าประตูตัวเดิมยืนอยู่ด้วย ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง บริเวณหลังรถยนต์คันหนึ่ง พีระยื่นหน้าโผล่มาแอบมองสังเกตการณ์
“เมสินี..ผู้หญิงคนนี้ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเราแน่ หรือไม่ก็อาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับคนขับรถคนสนิทของพ่อ..แต่..เราจะเข้าไปยังไง..ไอ้ผีเฝ้าประตูไม่คิดจะลากิจลาป่วยหรือเมียคลอดบ้างเลยหรือไง”
แต่แล้วอยู่ๆผีเฝ้าประตูก็หันขวับมา พีระตกใจรีบหลบ
“เข้าไปไม่ได้ ฉันก็จะรออยู่อย่างนี้จนเมสินีออกมา”
เสียงข้าวต้มดังเข้ามา พีระยังไม่ทันมอง
“พี่พูดกะใครอ่ะ”
“พูดคนเดียว”
“พี่พูดคนเดียวเหรอ บ้าหรือเปล่า”
พีระหันมาเห็น
“เฮ้ย...ข้าวต้ม”
อยู่ๆมีเสียงงอแงดังมาจากด้านหลังของพีระอีก
“พูดคนเดียวได้ด้วยเหรอ บ้าหรือเปล่า”
“เค้าพูดกับพี่พีระ” ข้าวต้มหันไปบอก
“พูดกับใคร” พีระชะงัก เสียววาบว่าจะมีใครมาอีก “ไม่ได้พาใครมาด้วย..ใช่มั้ย” พีระหันขวับกลับไป “งอแง”
“ พีระไหน ไม่เห็นมี อย่ามาหลอก” งอแงไม่เห็นพีระ
พีระอึ้งที่เห็นเด็กตามมา หน้าซีด ซวยแล้ว
“ตามมาทำม๊าย”
น้ำมนต์เดินไปรอบๆบ้าน ตะโกนหายมทูต
“คุณยมทูต ฉันรู้ว่าคุณได้ยิน ถ้าคุณยังมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง ก็บอกฉันมาว่าข้าวต้มกับนายพีระอยู่ที่ไหน คุณยมทูต”
“ฉันรู้ ฉันได้ยิน ฉันเป็นคนดีด้วย แต่ฉันช่วยไม่ได้” แมนสรวงบอกเซ็งๆ
“น้องชายฉันทั้งคนนะ ฉันมีน้องชายคนเดียว ถ้ามีอันตรายเกิดกับข้าวต้ม ฉัน จะทำยังไง..สงสารฉันเถอะ” น้ำมนต์พยายามอ้อนวอน
“สงสาร เห็นใจ อยากช่วยมาก แต่ถ้าช่วย ฉันก็จะมีความผิด..สงสารฉันเถอะ”
น้ำมนต์คุกเข่า
“ฉันไหว้ล่ะ แล้วฉันจะสวดมนต์ จะนั่งสมาธิ กินมังสวิรัติ ถือศีลแปด แล้วอุทิศผลบุญทั้งหมดให้คุณคนเดียว”
แมนสรวงเด็ดขาด
“ต่อให้เธอออกบวชตลอดชีวิต ฉันก็ช่วยเธอไม่ได้”
อยู่ๆเอมี่เดินตามเข้ามา
“เจอข้าวต้มหรือยังน้ำมนต์”
แมนสรวงเห็นเอมี่ ดีใจลืมตัว ปรากฏตัวทันที
“คุณเอมี่”
เอมี่กับน้ำมนต์หันมาตามเสียง เห็นแมนสรวงปรากฏกายยืนอยู่
“นาย”
แมนสรวงตกใจ ที่ถูกมองเห็น
“เฮ้ย นี่มองเห็นผมเหรอ..” แมนสรวงเพิ่งนึกได้ว่าเผลอปรากฏกาย “เวรแล้วมั้ยล่ะ”
“ด่าใครเวร” เอมี่ไม่พอใจ
น้ำมนต์จ้องแมนสรวง ปะติดปะต่อ รู้ได้ทันที
“คุณ..คุณคือ..ฮ้า....”
พีระพยายามผลักไสให้ข้าวต้มกับงอแงกลับไป
“พาเพื่อนสะกดรอยตามพี่มาได้ยังไง รู้มั้ยว่ามันอันตราย ไปๆ พางอแงกลับบ้านไปเลย ไป”
“ไม่กลับ เค้าอยากรู้ว่าพี่แอบมาทำอะไรคนเดียว แอบนัดกิ๊กมาเจอใช่มั้ย”
“ไม่ใช่” พีระพยายามดุนหลัง “ไปๆ”
“ไม่ไปๆ”
“เธอคุยกับใคร พีระไหน” งอแงงง
“นี่ไง พี่พีระ เป็นแฟนกับพี่น้ำมนต์ แต่งอแงไม่เห็นหรอกเพราะพี่พีระเป็นผี”
“ผี..อย่ามาล้อเล่นนะ” งอแงชักกลัว
“พูดจริงๆ ยืนอยู่นั่น”
“ว้าย... แง๊ๆ”
งอแงกระเด้งออกเพราะกลัว จนร้องเท้าหลุด แล้วร้องไห้ออกมา ส่งเสียงดัง
“อ้าว เฮ้ย จะไปหลอกให้เขากลัวทำไม..งอแงเงียบนะๆ”
พีระเผลอหยิบรองเท้างอแงมา
“เอ้า รองเท้าหลุดแล้ว มาใส่ก่อ..น..”
แต่แล้วพีระชะงัก เพราะงอแงจ้องรองเท้าที่ลอยได้ต่อหน้าต่อตา งอแงตาถลน พีระรีบทิ้งรองเท้าทันที งอแงตาถลน
“ทำไมลอยได้..กรี๊ด”
“พี่ไปหลอกงอแงทำไม” ข้าวต้มเซ็ง
“ไม่ได้หลอก แต่ลืม” พีระไม่รู้ทำยังไง ไล่ “ไปๆ พาเพื่อนกลับไป ไปๆ”
แต่แล้วอยู่ๆรถที่ทั้งหมดใช้เป็นกำบังก็เลื่อนออกไปซะงั้น พีระผงะ หันกลับไปอีกที ทำไมมันโล่งโจ่ง
“จะออกรถทำไมไม่บอกกันก่อน”
พีระเงยไปสบตากับผีเฝ้าประตูที่มองมาเห็นพอดี..ตึ่ง! และแค่เสี้ยววินาที ผีเฝ้าประตูก็โผล่มายืนประชิดตรงหน้าพีระทันที..ปึ่ง!!
“แกอีกแล้ว”
พีระผงะ ทำไรไม่ถูก งอแงวิ่งหนีออกไป
“งอแง...พี่พี..เป็นอะไร ทำไมไม่ตามไปง้องอแง” ข้าวต้มโวย
“ไม่เห็นเขาเหรอ”
ข้าวต้มไม่เห็นผีเฝ้าประตู
“เขาไหน ไม่เห็นมีอะไร”
“เราเห็นแต่พี่คนเดียว แต่ไม่เห็นผีอื่นๆเลยใช่มั้ย..ถ้างั้นก็..หนี”
พีระผลักผีเฝ้าประตูออก แล้วคว้าข้าวต้มวิ่งหนีไปทันที ผีเฝ้าประตูมองตาม สายตาเหี้ยม
เอมี่คว้าท่อนไม้มา จะไล่ตี แมนสรวงกระเด้งหลบ ร้องห้าม
“อย่า”
“นายมาแอบทำอะไรที่นี่ หรือว่าเป็นโรคจิต มาแอบดูน้ำมนต์..ฉันคิดไว้ไม่มีผิด พวกหน้าตี๋มักมีปมทางจิต นายเจอดีแน่”
แมนสรวงถอยหลบ
“เดี๋ยวๆ..ผม..ผมไม่ได้ตั้งใจจะโผล่มาที่นี่”
“ไม่ตั้งใจ ฉันขอร้องตั้งนาน ไม่ออกมา..แต่พี่เอมี่มาปุ๊บ โผล่มาเลยเหรอคะ..มันแปลว่าอะไร” น้ำมนต์โวยวาย
“ก็..ก็ผมลืมตัว ไม่คิดว่าจะเจอ...”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน คิดจะโทษฉัน” เอมี่แว๊ดใส่
“เปล่าครับๆ”
“คุณกับพี่เอมี่รู้จักกันมาก่อน แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณลืมตัวโผล่มาให้พี่เอมี่เห็น..ทำบ่อยๆ มีความผิดมั้ยนะ” น้ำมนต์ขู่อ้อมๆ
แมนสรวงตาโต รู้ว่ากำลังโดนขู่อ้อมๆอยู่
“จะบอกได้ยังว่าข้าวต้มอยู่ไหน”
“บอกไม่ได้ มันผิดกฎ”
“แน่ใจ”
“อื้อ”
น้ำมนต์หันไปหาเอมี่
“พี่เอมี่คะ เขาเป็นโรคจิต จัดการเลยค่ะ”
“ได้” เอมี่ชูไม้ท่อนยาวขึ้นมา
“เฮ้ย...โอเคๆ ผมว่าคุณควรไปเสนอรายการใหม่นะ รีบไปเสนอรายการตอนนี้เลย ไปๆ”
“เสนอรายการ...ฮ้า สถานีพราวด์ดิจิตัล”
น้ำมนต์รีบวิ่งออกไป เอมี่ยังคงจะเอาเรื่องแมนสรวง
“นายหลอกอะไรน้ำมนต์”
เอมี่ไล่ตี แมนสรวงกระโดดหนีๆ
พีระมาหยุดที่โทรศัพท์สาธารณะ กำลังรอสายอยู่ ระแวงคนที่ผ่านไปมากลัวว่าจะเห็น ขณะที่ข้าวต้มกับงอแงอยู่อีกด้านหนึ่ง ห่างออกไป แต่ข้าวต้มหันมามองพีระตลอด แล้วเดินเข้ามาหา
“โทรหาใคร”
พีระไม่ตอบ น้ำมนต์รับสายพอดี
“ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก มารับน้องชายของเธอด้วยที่สถานีพราวด์..ไม่ต้องถามมาก แค่รีบมาก็พอ แค่นี้นะ”
พีระวางสาย ข้าวต้มเดินมาจ้องหน้า
“จะให้พี่น้ำมนต์มารับเหรอ เค้าไม่กลับ จนกว่าจะเห็นหน้ากิ๊กของพี่”
“กิ๊กอะไร ไม่ได้มีกิ๊ก”
“เค้าไม่เชื่อ”
ข้าวต้มดึงตัวพีระเอาไว้ งอแงเห็นข้าวต้มพูดคนเดียว กลัวอีก
“ข้าวต้มพูดกับใคร”
“ไปปลอบเพื่อนเราโน่น ร้องไห้อีกแล้ว ไปๆ”
พีระชะงักไปเมื่อเห็น เมสินีเดินออกมาจากในตัวอาคารตรงไปที่ลานจอดรถ
“เมสินี”
พีระรีบตามไป แต่ข้าวต้มจะตามไปด้วย
“เดี๋ยว”
พีระหันมาสั่งเด็ดขาด
“หยุด รอพี่เธอมารับที่นี่ หรือเธอจะทิ้งงอแงให้อยู่คนเดียว เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า”
“ฮึ่ย”
ข้าวต้มชะงัก ไม่กล้าทิ้งงอแง พีระรีบวิ่งตามเมสินีไป
“เมื่อกี้คุยกับผีอีกแล้วใช่มั้ย แง๊ๆ”
ข้าวต้มรีบไปปลอบงอแง
เมสินีเดินมาที่รถ กดรีโมทแล้วรีบเปิดประตูหลังโยนเอกสารเข้าไปเก็บ ระหว่างนั้น พีระที่ตามมา อาศัยจังหวะที่เมสินีเปิดประตูรถ รีบขึ้นไปนั่งทันที พอดีกับเมสินีปิดประตู เมสินีอ้อมมานั่งที่คนขับ ท่าทางสบาย มองผ่านกระจกมองหลังไป ไม่มีอะไรผิดปกติ พีระนั่งอยู่ด้านหลัง สีหน้าเครียดแค้น อยากรู้ความจริง รถของเมสินีแล่นออกไป
เมสินีขับรถออกมา เปิดเพลงฟังสบายๆ พีระนั่งแค้นอยู่ด้านหลัง รถมาติดไฟแดงพอดี มือถือของเมสินีดังขึ้นมา เธอกดรับสาย
“ฉันกำลังจะกลับบ้าน ถ้าคืนนี้เธออยากจะมาก็มา”
ระหว่างพูดโทร รถคันที่มาจอดติดไฟแดงข้างๆ เปิดหน้าต่างลงมาเพื่อขยับกระจกมองข้างให้เข้าที่ เมสินีหันไปเห็นว่าหน้าตาดี ดูมีชาติตระกูลดี รู้สึกถูกชะตา
“เธอไม่ต้องมาดีกว่า ฉันเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เหนื่อย อยากพัก..เธออยากมา ..แป๊บเดียวก็ไม่ได้ นั่นเป็นปัญหาของเธอ แค่นี้นะ”
เมสินีรีบวางสาย แล้วรีบเปิดหน้าต่าง ยิ้มหวาน ทำทีว่าจะขยับกระจกมองข้างบ้าง แล้วหันไปสบตาบังเอิญ ชายหนุ่มรถคันข้างๆหันมามองเมสินี กำลังยิ้มตอบ แต่แล้วก็ผงะ เพราะเห็นว่ามีพีระนั่งอยู่ด้านหลัง ตาขวาง ไม่เป็นมิตร
“เฮ้ย”
ชายหนุ่มตกใจ รีบปิดหน้าต่างทันที เมสินีงง หันมาจับหน้าตาสำรวจตัวเอง
“อ้าว ตกใจอะไร..หน้าฉันสวยขนาดนี้ อีตาบ้า..หรือจะมีรอยย่น” เมทินีหันไปส่องกระจกมองหลัง “ก็ไม่เห็นมี”
แต่แล้วเมสินีผงะ เห็นพีระนั่งที่เบาะหลัง ตกใจ รีบหันขวับมาดู แต่ไม่เจออะไร เมสินีงง เริ่มหวั่นๆ
น้ำมนต์วิ่งเข้ามาที่บริเวณหน้าสถานีพราวด์ พยายามมองหาไปรอบๆ จนกระทั่งเจอต้นข้าวกำลังปลอบงอแงอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง
“ข้าวต้ม” น้ำมนต์ตกใจที่เห็นงอแงด้วย “นั่น งอแง”
น้ำมนต์รีบวิ่งไปหา กอดเด็กๆ
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้..ใครพามา..ข้าวต้มแกล้งเพื่อนเหรอ”
“เค้าเปล่านะ งอแงตามมาเอง”
“ก็ข้าวต้มมาดูถูกหนูอ่า”
“เปล่าซะหน่อย”
“พอๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน..แล้วทำไมถึงมาที่นี่ มีเรื่องอะไร”
“พี่พีแอบนัดกิ๊กมาเจอกัน เค้าเลยสะกดรอยตามมา..เค้าจะไม่ยอมให้พี่พีหักอกพี่สาวเค้าได้”
งอแงกลัวผี ร้องไห้อีก
“ทำไมต้องหลอกผีเค้าด้วย แง๊”
น้ำมนต์ปิดปากงอแง ไม่ให้ขัดจังหวะ
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
รถของเมสินีแล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน ละไมรีบแจ้นออกมาต้อนรับ
เมสินีโยนกุญแจให้ละไมจัดการต่อ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ละไมรีบไปหยิบเอกสารในรถ โดยไม่เห็นว่าพีระยังนั่งอยู่ในรถ ละไมชะงัก รู้สึกแปลกๆ
“ทำไม..แปลกๆ..อยู่ๆก็ขนลุก”
ละไมไม่คิดอะไร หยิบเอกสารเสร็จ กำลังจะหยิบกระเป๋าเมสินี แต่พีระจับเอาไว้ ละไมแปลกใจ ทำไมยกไม่ได้
“ติดอะไร ก็ไม่ได้ติดอะไร”
ละไมดึงอีก พีระดึงแกล้งไว้ แล้วปล่อย จนละไมเซแซ่ดถอยหลังไป รีบเข้าบ้านไป พีระลงจากรถ มองไปที่บ้าน
“บ้านของเมสินี..ไม่สิ ต้องเป็นบ้านของพ่อ..บ้านของเราต่างหาก”
พีระจะเข้าไปด้านในตัวบ้าน แต่ทันทีที่ถึงประตู ก็ต้องผงะ ชนกับพลังที่มองไม่เห็น จนต้องเซถอยออกมา พีระมองตัวบ้าน เห็นพลังงานที่เกิดจากยันต์หมอผี ปกคลุมตัวบ้านเอาไว้
“ผ้ายันต์..ผ้ายันต์อีกแล้ว เดี๋ยวนี้คนเราไม่ให้พระคุ้มครองแล้วใช่มั้ย ที่ไหนๆก็มีแต่ผ้ายันต์ปลุกเสก ยันต์อาคม..น่ายันจริงๆ”
พีระเซ็งเข้าไปไม่ได้
เมสินีเข้ามาด้านใน นั่งลงพักเหนื่อย ละไมรีบหอบข้าวของเข้ามาวาง แล้วจะรีบหยิบน้ำดื่มที่เตรียมเอาไว้รออยู่แล้วมาเสิร์ฟ
“น้ำเย็นๆค่ะคุณเม”
เมสินีดื่มน้ำ แล้วจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง
“เอ่อ คุณเมคะ..ละไมมีเรื่องขอถามนิดนึงได้มั้ยคะ”
“อะไร”
“วันนี้..คุณเมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แปลกๆ แบบไม่เคยเป็นมาก่อนมั้ยคะ”
“ไม่..ทำไม”
“ความรู้สึก ไม่เป็นตัวของตัวเอง วูบๆ สติสตังไม่ค่อยจะมี เบลอๆ เหมือนถูกมนต์สะกดจิตอะไรอย่างนี้ เป็นมั้ยคะ”
“ไม่..ทำไม”
“คือ ละไม..รู้สึกอ่ะค่ะ..ตั้งแต่ที่คุณเมให้หมอผีคนนั้นเข้ามาที่บ้าน ละไมรู้สึก วูบๆวาบๆไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงก็ไม่รู้..ละไมต้องโดนทำเสน่ห์แน่ๆเลยค่ะ”
“แกไม่ได้โดนทำเสน่ห์หรอก ฉันรู้”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรคะ”
“แกอยากมีผัว”
เมสินีพูดจบเดินขึ้นห้องไปเลย ละไมอึ้ง
“เราเหรออยากมีผัว บ้า ไม่จริงซะหน่อย บ้าๆ”
แต่แล้วละไมผงะ เพราะมองผ่านประตูกระจกออกไปด้านนอกตัวบ้าน เห็นพีระยืนจ้องอยู่ ละไมสะดุ้ง “เฮ้ย” แล้วรีบขยี้ตามองอีกที แต่ไม่เห็นอะไรแล้ว
“ตะกี้มีผู้ชายยืนอยู่ตรงนั้น..หรือว่า..เราจะอยากมีผัวจริงๆ บ้าๆ กุลสตรีอย่างเราไม่เคยคิดเรื่องผู้ชาย บ้าๆ”
ละไมแยกไปทำงาน พีระยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
เอมี่นั่งดมยาดม เฮือกๆ แมนสรวงหัวเราะ
“หึๆ คิดจะตีผม ตั้งแต่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืด ยังตีไม่โดน..ทีนี้คงรู้แล้วนะครับว่า จะตีเด็ก ต้องฟิตกว่านี้”
“นี่...ไอ้เด็กปากเสีย ไอ้หัวเกาลัด”
“ผมไปนะครับ ถ้าอยากตาม อ่ะ” แมนสรวงยื่นท่อนไม้ให้ “ไม้เท้า เอาไว้ค้ำเดินกลับบ้าน”
เอมี่โมโห ลุกยืน แต่แล้วหกล้มลงไปร้องโอ๊ย
“คุณเอมี่”
แมนสรวงรีบเข้าไปประคอง แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแผนเอมี่ เอมี่จับล็อกคอ บิดหูของแมนสรวงทันที
“หึๆ เรื่องแรงฉันไม่เถียง แต่เรื่องมารยา เด็กอย่างเธอยังอ่อนหัดนัก นี่แน่ะ”
เอมี่บิดหู แมนสรวงร้องลั่น
“โอ๊ยๆ”
“ถึงฉันจะแก่ แต่ก็แก่อย่างมีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม”
แมนสรวงดึงตัวเองออกมาได้ เจ็บหูแทบหลุด
“จะเอาอีกมั้ย”
“หนอย เอาความหวังดีของผมมาเป็นเหยื่อ คุณมัน..
อยู่ๆ มีเสียงน้ำมนต์ดังแว่ว แว่บเข้ามา “คุณยมทูต..คุณยมทูต”
“เรียกทำไมอีก”
เสียงน้ำมนต์ดังแว่วมาอีก
“ออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ฉันเอาเรื่องของคุณไปแฉ”
“อะไรอีก อย่ามาขู่ฉัน”
เสียงน้ำมนต์ดังมาอีก “หนึ่ง..สอง..”
“เฮ้ย ผมต้องไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะครับญาติผู้ใหญ่ของผม”
แมนสรวงวิ่งแจ้นออกไปทันที
“ฉันไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่นาย ตาบ้า” เอมี่โวยลั่น
ด้านหนึ่งของ สถานีพราวด์ น้ำมนต์กำลังคุกเข่าพนมมือ
“จะไม่มาจริงๆใช่มั้ย..ได้..ฉันจะตั้งจิตอธิษฐาน แล้วแฉพฤติกรรมคุณให้กับผู้เป็นใหญ่ที่เป็นเจ้านายของคุณ รู้ว่าคุณมีพฤติกรรมยังไง”
น้ำมนต์พนมมือ หลับตาจริงจัง แล้วอยู่ๆมีจิ้งจกตกลงมาใส่กระพุ่มมือนั้น น้ำมนต์ร้องจ๊ากๆ ลุกดีดดิ้น โวยวายๆ แมนสรวงยืนอยู่ตรงนั้น
“เธอจะเอาอะไรจากฉันอีก”
“ฝีมือคุณใช่มั้ยคุณยมทูต”
แมนสรวงชี้หน้า ดักคอ
“ทำไม เธอกล้าข่มขู่ได้แม้กระทั่งยมทูต ทำไมฉันจะลงโทษเธอบ้างไม่ได้”
“นายพีระอยู่ไหน”
“ฉันไม่...”
น้ำมนต์ดักคอ
“ฉันรู้ว่าคุณรู้ คุณคือผู้ดูแลเขา”
“เรียกฉันมาเพื่อถามเรื่องแค่นี้ คิดว่าฉันเป็นวินมอเตอร์ไซค์หรือไง อยากจะเรียกตอนไหนก็โบก”
แมนสรวงเดินหนี น้ำมนต์ตาม
“ข้าวต้มบอกว่าพีระวิ่งตามเมสินีไป คุณต้องพาฉันไปหาเขา ก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ๆ..คุณคิดสิ พีระไม่ไว้ใจเมสินีแต่แรกแล้ว เขามั่นใจว่าเมสินีมีส่วนรู้เห็นในการตายของเขา ถ้าเกิดเขาตบะแตก ห้ามใจตัวเองไม่ได้ แล้วเผลอลงมือฆ่าเมสินีขึ้นมา จะทำยังไง”
“ถ้ามันทำอย่างนั้น มันก็จะไม่ได้กลับไปมีชีวิตอีก..เฮ้ย ฉันก็ซวยไปด้วยน่ะสิ”
แมนสรวงยกมือ มีเศษกระดาษโผล่มาในมือ
“เอ้า นายพีระอยู่ที่นี่ รีบไป”
“ฉันมีอีกเรื่องจะขอคุณ”
น้ำมนต์ตบมือข้าวต้มกับงอแงวิ่งออกมา
“พาเด็กๆไปส่งที่บ้านให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
น้ำมนต์วิ่งไปเลย
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ”
ข้าวต้มกับงอแงมามองพิจารณาสำรวจแมนสรวงหัวจรด เหล่มองๆ แมนสรวงชะงัก เหล่กลับ
“มองไรไม่ทราบ”
“พี่น้ำมนต์คิดยังไงฝากให้คนแบบนี้ไปส่งเราที่บ้าน..เฮอะ เท่ตาย”
แมนสรวงเซ็ง
พีระเดินเดินมาหยุดที่บริเวณป้าย “บ้านภาคภูมิใจ”
“บ้านภาคภูมิใจ..นามสกุลภาคภูมิใจบรรหาร..ที่มาของชื่อสถานีโทรทัศน์พราวด์ดิจิตัล..นี่เหรอบ้านของเรา”
พีระมองภาพรวมของบ้านอีกครั้ง รอความทรงจำให้แวบขึ้นมา แต่ไม่มี
“แวบสิ แวบๆ แวบภาพอะไรหน่อยสิ..” พีระเซ็งตัวเอง “อะไร..ถ้านี่บ้านเรา ทำไมไม่คุ้น..จำอะไรไม่ได้เลย”
พีระหงุดหงิดตัวเอง พอหันกลับหลังมา ก็เจอน้ำมนต์ยืนอยู่
“เฮ้ย น้ำมนต์” พีระตกใจ
“เออ ฉันเอง..ตกใจยังกับฉันเป็นผี นายนั่นแหละผี รู้ไว้ด้วย..มาทำอะไรที่บ้านคุณเมสินี”
“คุณตามมาได้ไง ใครบอก”
“ฉันรู้ได้แล้วกัน..คิดจะทำอะไร จะแอบมาฆ่าคุณเมสินีตอนเขาหลับเหรอ”
“บ้า ผมเป็นผีหน้าตาดี จิตใจผมก็ดีตามหน้าตานะครับ..ผมก็แค่จะสะกดรอยเมสินี ตามไปเรื่อยๆ เฝ้าไปจนกว่าจะได้เรื่อง..เพราะที่เรารู้ตอนนี้ คือ เมสินีรู้จักผมแน่ๆ และเขาจะต้องมีความลับที่ซ่อนอยู่ เมสินีอาจจะรู้จักคนขับรถของพ่อ หรือเผลอๆเมสินีนี่แหละที่เป็นคนเอาร่างกายผมไปซ่อนไว้”
“แล้วทำไมถึงไม่บอกฉัน ทำไมมาคนเดียว”
“ก็..ผมเห็นคุณต้องไปเสนอบทละครเวที ไม่อยากรบกวน”
“นิสัย..ก็ไหนตกลงกันว่า นายช่วยฉัน ฉันช่วยนายไง ทำอย่างนี้จะเรียกว่าช่วยกันได้ยังไง”
“อยากช่วยผมหรา” พีระยิ้มแฉ่ง
“ไม่ตลก”
“เป็นห่วงผมอ่ะดิ อยากช่วยให้ผมได้กลับเข้าร่างเร็วๆ จะได้มาเจอคุณเร็วๆอ่ะดิ ใช่มะๆ”
“ฉันด่านายอยู่นะ ยังจะมาระรื่น ไม่สำนึกอีก”
“โอเค สำนึกก็ได้” พีระทำหน้าสำนึกผิด หน้างอ แก้มป่อง “พอยัง”
“อย่างนี้เรียกสำนึกแล้วเหรอ”
พีระทำสำนึกผิดมากขึ้น สะอื้นฮักๆ มีน้ำตา
“สำนึกแล้วจริงๆ ฮือๆ ผมผิดไปแล้ว ให้อภัยผมเถอะนะ”
“ไปเลย ฉันจะไม่ห่วงนายแล้ว”
น้ำมนต์เซ็ง จะหันหนี แต่พีระคว้าตัวน้ำมนต์ ดึงมาใกล้ชิด น้ำมนต์ให้หันกลับมา
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม”
พีระพูดอย่างจริงใจ น้ำมนต์อึ้ง หายโกรธ แล้วพีระก็จบด้วยทำหน้าสำนึกผิดอีกด้วยการทำแก้มป่อง
“สำนึกผิดแล้ว”
แต่น้ำมนต์หมั่นไส้ แกล้งคืนด้วยการตบแก้มป่องๆนั้น แบบเบาๆแกล้งๆ น้ำมนต์ขำ
“โห เล่นตบเลยเหรอ”
“สม” น้ำมนต์ขำมาก
ทั้งสองคนหัวเราะ ขำกันและกัน แต่อยู่ๆพีระมองไปด้านหนึ่ง แล้วชะงัก
“เป็นอะไร”
น้ำมนต์พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีร่างโปร่งใสของวิญญาณหญิงสาวลอยผ่านมาข้างๆ น้ำมนต์ยืนทื่อ ตัวแข็งนิ่ง ให้วิญญาณนั้นผ่านไป แล้วจึงมองตาม เธอเห็นวิญญาณนั้นแบบเลือนลาง โปร่งแสงๆ เป็นวิญญาณหญิงสาวที่มีผมยาวปกคลุมหน้าตามิด เดินในลักษณะที่ดูเหมือนลอยผ่านไป ผ่านพีระกับน้ำมนต์ไปแบบไม่ได้สนใจ แค่จะมาทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่สนใจสิ่งอื่นใด วิญญาณหญิงสาวนั้นลอยเข้ามาตามทาง แล้วก็ลอยเข้าไปในรั้วบ้านของธีระศิลป์ น้ำมนต์ปากสั่น
“นั่น..ที่ฉันเห็น...ใช่..ใช่มั้ย”
“ลอยขนาดนั้นจะไม่ใช่ได้ไง”
“ผีอื่นๆบางทีฉันก็เห็น บางทีก็ไม่เห็น หรือเห็นแบบขาดๆหายๆ..มีแต่นายนี่แหละที่เห็นเต็มๆตลอดเวลา”
“ดวงเราสมพงษ์กันไงจ้ะ”
“อี๋”
อยู่ๆพีระก็เดินทะลุรั้วบ้านเข้าไปด้านใน
“เฮ้ย จะไปไหน”
“ผมจะเข้าไปดู คุณรอที่นี่แหละ”
พีระรีบไป น้ำมนต์เข้าไม่ได้ รอ
วิญญาณสาวลอยเข้ามาในบริเวณบ้าน ตรงไปที่ตัวอาคาร แล้วก็ทะลุหายเข้าไป พีระวิ่งตามมา แต่เข้าไม่ได้ รีบวิ่งอ้อมไปด้านข้าง พยายามมองผ่านประตูกระจกเข้าไป เห็นวิญญาณผีสาวลอยขึ้นไปชั้นบน
"ขึ้นไปชั้นบนทำไม” พีระแปลกใจมาก"
ละไมนั่งเล่นมือถือถ่ายรูปตัวเองส่ง คิกคัก วิญญาณสาวลอยเข้ามาตามทางในบ้าน ลอยผ่านละไมไป
วิญญาณสาวลอยมาจนกระทั่งมาถึงห้องนอนของเมสินี ตรงไปที่เตียง เมสินีนอนหลับอยู่ มีถุงสมุนไพรวางโป๊ะบนตา เปิดเพลงบรรเลงคลาสสิคเบาๆกล่อมการนอน ใบหน้าอิ่มเอม นอนฝันดี ไม่รู้ชะตากรรม วิญญาณผีสาวยืนจ้องเหี้ยมๆ
พีระกลับมารายงานกับน้ำมนต์
“ทำไมนายเข้าไปไม่ได้ ไม่ได้เรื่องเลย”
“ก็ถ้าบ้านนี้ให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง วิญญาณบริสุทธิ์อย่างผมก็เข้าไปได้ แต่นี่เขาให้ไสยศาสตร์หมอผีคุ้มครอง ผมเข้าไม่ได้”
“แล้วทำไมผีตัวนั้นเข้าได้ ทำไมผ้ายันต์ไม่กันผีตัวนั้น”
“จริงด้วย..ท่าทีของวิญญาณผู้หญิงตัวนั้นก็แปลก”
น้ำมนต์พยักหน้าเห็นด้วย
“เหมือนได้รับคำสั่งมา..ให้มาทำภารกิจ..อะไรที่ไม่ใช่ภารกิจก็ไม่สนใจ”
“มันถึงไม่สนใจผมและคุณเลย”
อยู่ๆน้ำมนต์ผงะ เพราะวิญญาณสาวกลับออกมา
“มันออกมาแล้ว”
วิญญาณผีสาวลอยผ่านประตูบ้านออกมา แล้วสักพัก ประตูบ้านก็เปิดออก เมสินีในชุดนอน เดินออกมาจากบ้าน รองเท้าไม่สวม เดินออกมาในลักษณะแววตาเลื่อนลอย ไร้สติ
“คุณเมสินี”
วิญญาณสาวเดินนำ เมสินีเดินตามหลัง ละไมตามออกมา
“คุณเมจะไปไหนคะ คุณเม”
แต่เมสินีไม่ตอบ ละไมก็ไม่คิดจะตามไป หยุดหน้าประตู
“แหม รู้นะจะไปหาใคร..อะไรจะมาคึกกลางดึกอย่างนี้ ชุดเชิดก็ไม่คิดจะเปลี่ยน”
พีระกับน้ำมนต์แปลกใจ
“วิญญาณตัวนั้นมาพาเมสินีไป”
“ไปไหน” น้ำมนต์สงสัย
วิญญาณผีสาวนำเมสินีไปถึงที่รถ ผีสาวเข้าไปในนั่งรถก่อน เมสินีตามไปขึ้นนั่งในรถ สต๊าร์ทรถ เปิดไฟหน้า ละไมตกใจ
“ว้ายๆ” ละไมรีบล้วงรีโมทเปิดประตูรั้วมากด แล้วโบกมืออวยพร “ขอให้มีความสุขถึงอกถึงใจนะค๊า...”
ประตูรั้วเปิดอัตโนมัติ รถเมสินีค่อยเคลื่อน
“จะไปแล้ว เอาไงดีๆ”
“ต้องตามไป”
“ตามไปยังไง แถวนี้ไม่มีรถสักคัน”
พีระลังเล แล้วตัดสินใจ
“ผมไปเอง คุณกลับบ้านไป”
“อะไรนะ”
รถของเมสินีแล่นผ่านรั้วบ้านพอดี พีระกระโจนเข้าไปในรถ พีระเข้ามาในเบาะหลัง แต่เมสินีกับวิญญาณผีสาวก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจ
“เฮ้ย นายจะไปคนเดียวได้ยังไง ถ้ามีอันตรายใครจะช่วยนาย”
น้ำมนต์ฮึดฮัด อยากตามไปช่วย
เมสินีขับรถไป ไม่มีสติ เลื่อนลอย วิญญาณผีสาวนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่ขยับ ไม่รับรู้สิ่งใดๆ มีเพียงพีระที่ขยับ ชะโงกหน้ามองเมสินีทีผีสาวที แปลกใจ
เจ๊แมวนั่งกินข้าวไป ร้องไห้ไป ตักข้าวเข้าปากที ร้องไห้โฮที
“ฮือๆ งอแงลูกแม่ ฮือๆ”
ทุกคนเป็นห่วง กลุ้มใจแทน ไม่รู้จะช่วยยังไง
“ถ้าคืนนี้ยังไม่เจอ พรุ่งนี้เราไปแจ้งความกันนะคะ” เอมี่บอก
“แจ้งความ..นี่เธอจะแจ้งความจับฉันให้ได้เลยใช่มั้ย ทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้”
เอมี่ไม่รู้จะอธิบายยังไง อยู่ๆข้าวต้มกับงอแงวิ่งเข้ามา
“แม่”
“งอแง”
เจ๊แมวรีบกอดงอแง ข้าวต้มตามเข้ามา พวกผู้ใหญ่รุมซักข้าวต้มกับงอแงว่าไปไหนมา แมนสรวงตามมาท้ายสุด ยืนมองห่างๆ ไม่ปรากฏกายให้ใครเห็น
“เฮ้อ ทำไมเราจะต้องมาวุ่นวายกับเรื่องของคนพวกนี้ด้วย..พอๆ ขอไปพักบ้าง ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว”
แมนสรวงกำลังจะหายไป แต่อยู่ๆเสียงน้ำมนต์ดังมาอีก
“คุณยมทูต คุณอยู่ไหน”
แมนสรวงชะงัก ราวกับได้ยินเสียงสยองขวัญมาก
“ไม่นะ อย่าเรียก ไม่ไปหาแล้ว ไม่เอาแล้ว”
“มาหาฉันเดี๋ยวนี้”
“ม่าย”
รถของเมสินีแล่นเข้ามาจอดหน้าสำนักอาจารย์เทพ เมสินีเปิดประตูลงมา วิญญาณผีสาวยืนรออยู่แล้ว ลอยนำเมสินีเข้าไปด้านใน พีระตามลงมา อึ้งๆ เมื่อเห็นว่าเป็นที่ไหน
“สำนักหมอผีอาจารย์เทพ”
อาจารย์เทพนั่งอยู่ที่บริเวณทำพิธี พนมมือบริกรรมคาถา ยกกำเทียนให้น้ำตาเทียนหยดลงไปบนพานเงินที่มีเส้นผมของเมสินีวางอยู่บนนั้น ผีสาวลอยเข้ามา เมสินีตามมา
“ขอโทษที่ต้องรบกวนกลางดึกนะครับคุณเมสินี พอดีเส้นผมของคุณติดมือผมมา ผมก็เลยลองวิชานิดหน่อย แล้วมันบังเอิญได้ผล หึๆ มานี่สิ มานั่งข้างๆผม...ไปไหนก็ไป”
อาจารย์เทพหันไปสั่ง ผีสาวเดินมานั่งลงข้างๆอีกด้าน
“ไปไหนก็ไป แปลว่า ไปที่อื่น ไปไกลๆ ไปให้พ้นหูพ้นตา ไป”
ผีสาวเบือนหน้าราวกับเชิดใส่นิดๆ แล้วก็หายตัวไป
“ขับรถมาเหนื่อยมั้ย..เหนื่อยเหรอ งั้นนวดให้พี่เทพหน่อยสิ” อาจารย์เทพสั่ง
“ค่ะ”
เมสินีนวดให้อาจารย์เทพอย่างว่าง่าย
“ทั้งสวยทั้งรวยอย่างนี้ ถ้าเรารักกัน ทุกๆอย่างของคุณเมก็จะต้องเป็นของพี่เทพด้วยเหมือนกันใช่มั้ย”
“ค่ะ” เมทินีตอบรับ
ด้านนอกพีระด้อมๆมองๆ
“ไอ้หมอผีต้องทำคุณไสยพาเมสินีมาทำเรื่องสกปรกแน่..เอาไงดี..ถ้าเราเข้าไป ไอ้หมอผีต้องเล่นเรา หรือจะรอข้างนอก”
แต่แล้วเกี๊ยงเดินกลับเข้ามาจากด้านนอก เห็นหลังของพีระ
“นั่นใคร จะทำอะไร”
พีระตกใจหันกลับมา เกี๊ยงตาโต
“เฮ้ย แก”
“ซวยแล้ว”
“กล้าบุกมาเองเลยเหรอ..ดี ฉันเพิ่งฝึกอาคมใหม่มา จะได้ลองซะเลย..ฉันจะใช้อาคมตรึงแกให้ขยับไปไหนไม่ได้” เกี๊ยงพนมมือท่องคาถาพึมพำๆ “เพี๊ยง”
เกี๊ยงลืมตามามอง ก็พบว่าพีระหายไปแล้ว
“อ้าว หายไปไหน”
พีระสะกิดไหล่
“อยู่นี่”
เกี๊ยงหันมา พีระอยู่ด้านหลัง เงื้อหมัดรอ
“โอม เพี๊ยง”
พีระต่อยเกี๊ยงเต็มๆหมัด เกี๊ยงกระเด็น
อาจารย์เทพยิ้มแย้มมีความสุข
“ในนี้อากาศร๊อนร้อน ถอดเสื้อสิจ้ะ”
“ค่ะ”
เมสินีขยับเข้าไปหา อาจารย์เทพ จะจับถอดเสื้อให้
“ไม่ใช่ๆ ไม่ต้องมาถอดให้พี่เทพ ถอดของตัวเอง ถอดออกนะ”
“ค่ะ”
เมสินีกำลังจะถอดเสื้อตัวเอง แต่อยู่ๆเกี๊ยงวิ่งพรวดพราดเข้ามา
“จารย์เทพ...จารย์” เกี๊ยงชะงักที่เห็นเมสินี “เฮ้ย...อะไรเนี่ย..อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ที่จารย์ให้เงินผมไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพราะจารย์จะชู้ปี้ดู้วับนี่เอง”
“แล้วแกจะกลับมาทำไม ออกไป” อาจารย์เทพหันมาทางเมสินี “ถอดต่อเลยจ้ะ”
“มีเรื่องใหญ่แล้วจารย์” เกี๊ยงโวยวาย
“เว้ย...ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใช่ตอนนี้ ออกไป”
“ผีพีระอยู่ที่นี่”
“หา..”
“มันอยู่ข้างนอก เกี๊ยงเพิ่งจะถูกมันต่อยมาเนี่ย”
อาจารย์เทพรีบเดินออกไปดู เกี๊ยงตาม แต่ไม่พบอะไร
“ไหน มันอยู่ไหน แกคิดหลอกฉันเหรอไอ้เกี๊ยง”
“ตะกี้มันยังชกเกี๊ยงอยู่เลย”
แต่อยู่ๆพีระโผล่มายืนด้านหลัง
“ตะกี้ชก ตอนนี้ขอถีบ”
พีระถีบอาจารย์เทพชนเกี๊ยงแล้วคว่ำไปด้วยกันหมด..โครม!
“ไอ้หมอผีบ้ากาม ฉันรู้ว่าแกคิดวิตถารกับเมสินี..คนอย่างแกมันต่ำทั้งจิตใจต่ำทั้งวิธีการ..ฉันจะให้บทเรียนแกอย่างสาสม”
“แกจะให้บทเรียนอะไรฉัน คิดว่าฉันจะยอมให้แกมากร่างในสำนักฉันได้เหรอไอ้ผีกระจอก” อาจารย์เทพไม่พอใจ
“งัดอาคมของแกมาเลย ส่วนฉัน มีแค่เจ๊เมคนเดียวพอ..ดูๆไปแล้ว เจ๊คนนี้ท่าทางจะมีอานุภาพทำลายล้างไม่น้อยแน่ๆ”
“แกจะทำอะไร”
พีระเตะพานที่รองเส้นผมของเมสินีคว่ำกระจาย เมสินีผวาเฮือก ได้สติ กระพริบตาปริบๆพยายามตั้งสติ มองไปรอบๆ มองตัวเองที่ยังอยู่ในชุดนอน ตกใจ
“นี่มันอะไร ที่นี่..ฮ้า ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้น”
“หมอผีใช้อาคมเรียกคุณมาหาที่นี่เพราะเขาหวังจะเคลมคุณน่ะสิครับ”
พีระหันไปบอก เมสินีไม่ได้ยินแต่โวยวาย
“อาจารย์เทพ คุณจะทำอะไรฉัน”
“เปล่านะๆ ผมไม่ได้..”
“คุณใช้อาคมกับฉันใช่มั้ย เลว!” เมสินีเข้าไปตบเต็มแรง “ไอ้หมอผีชั่ว คอยดู ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด เอาเรื่องตามกฏหมายไม่ได้ ก็จะใช้กฎของฉันนี่แหละทำลายสำนักของแกให้พินาศ”
เมสินีน้อตหลุด รู้สึกยังไม่สาแก่ใจ พุ่งเข้าไปรื้อทำลายทรัพย์สินในบริเวณนั้น ผลักให้คว่ำ เตะให้กระจายทั้งหมด
“นั่นของแพง อย่า...”
เกี๊ยงผวาเข้าไปจะจับตัวเมสินี แต่ก็ถูกเมสินีเอาขันเงินมาฟาด..เปรี้ยง! พีระมองเมสินีอาละวาด อย่างสนุก สะใจ
“โอ้ ว้าว อานุภาพทำลายล้างสูงกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย เต็มที่เลยฮะเจ๊เม กวาดล้างโลกเน่าๆของหมอผีให้เหี้ยนเตียนเลยฮะ ฮ่าๆ”
อาจารย์เทพฉุนเช่นกัน เข้าไปคว้ามือเมสินี แล้วเหวี่ยงให้กระเด็น
“หยุดบ้าซะที ไม่อย่างนั้นผมจะเสกควายทั้งตัวเข้าท้องคุณเดี๋ยวนี้”
พีระหันไปบอกเกี๊ยง
“จารย์แกจะเสกแกเข้าท้องเจ๊เมว่ะ ฮะๆ”
อาจารย์เทพด่าพีระ
“แกก็หุบปาก”
เมสินีกระชากมือออก แล้วตบอาจารย์เทพอีกที..เพี๊ยะ!
“ฉันจะแจ้งตำรวจ และจะทำทุกทางเพื่อให้แกพินาศ ถ้าแกไม่ตาย ฉันจะไม่หยุด แกคอยดู”
เมสินีผลักเกี๊ยง ผลักอาจารย์เทพที่ขวางทางแล้วรีบวิ่งไปคว้าเชิงเทียน แล้วแหกปาก บ้าคลั่ง วิ่งพรวดพราดวิ่งออกไป พีระอึ้งไปกับท่าทีที่ราวกับจะฆ่าคนได้จริงๆของเมสินี
เมสินีวิ่งออกมา ทุบทำลายข้าวของระหว่างทาง เหวี่ยงให้กระจาย อาจารย์เทพกับเกี๊ยงรีบตามออกมา
“คุณเมสินี คุณหยุดบ้าซะที”
“ฉันไม่หยุด”
เกี๊ยงจะเข้ามาจากอีกด้าน เมสินีชูเชิงเทียน
“เข้ามาสิ เข้ามาๆ”
เมสินีเหวี่ยงเชิงเทียนขู่ เกี๊ยงต้องถอยไปรวมกับอาจารย์เทพ
“คุณเป็นบ้าแล้วหรือไง”
“แกว่าฉันบ้าอีกเหรอ”
อาจารย์เทพคว้าแก้วน้ำมนต์ขึ้นมา บริกรรมคาถาลงไป เมสินีผงะ
“แกจะทำอะไร”
อยู่ๆอาจารย์เทพก็เอาน้ำสาดใส่เมสินี
“น้ำอะไร แกเสกของใส่ฉันเหรอ แกเสกควายธนูเข้าท้องฉันใช่มั้ย ไอ้หมอผีสารเลว” เมทินีนึกวิธีแก้ “อ้วก ต้องทำให้อ้วกควายออกมา” เมทินีรีบล้วงคอให้อ้วก
“ผมไม่ได้เสกควาย แต่ผมอยากให้คุณหยุดบ้า แล้วดูสิ่งที่ผมจะให้ดู”
“ฉันไม่ดูของๆแกหรอก ไอ้หนอนบุ้ง”
“หนอนบุ้ง ฮะๆ”
อยู่ๆเมสินีได้ยินเสียงพีระหัวเราะ หันขวับไปมอง
“หัวเราะบ้าอะไร”
เมสินีอึ้งที่มองเห็นพีระ หน้าตาคุ้นๆ พีระก็ชะงัก หันมามองเมสินีเต็มๆตา
“นายพีท”
“คุณเห็นผม..” พีระตกใจ
“เข้าใจหรือยังว่าผมเรียกคุณมาทำไม..ผมอยากให้คุณมาเห็นวิญญาณนายพีระกับตาคุณเอง..คุณจะได้เชื่อซะทีว่าผมน่ะตัวจริง” อาจารย์เทพหาความดีเข้าตัว
“คุณไม่ได้เสกควายเข้าท้องฉัน แต่..” เมทินีตะลึง
“ผมเปิดเนตรให้คุณมองเห็นวิญญาณได้”
“งั้นแสดงว่านายพีทตายแล้วจริง..นายพีทตายแล้ว อร๊าย นายพีทตายแล้ว”
เมสินีดีใจมาก อาจารย์เทพกับเกี๊ยงหันมาจ้องพีระ
“ทีนี้ก็ตาแกแล้ว ไอ้พีระ”
พีระผงะ เมื่อรู้ว่ามีภัยมาถึงตน
จบตอนที่ 6