มนต์รักอสูร ตอนที่ 1
มันเป็นวันที่แสนสดใส บรรยากาศในไร่แห่งนี้งดงามกว่าวันไหนๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนอุ่นตอนเช้า ที่สาดไปทั้งส่วนที่เป็นไร่องุ่น ไร่กาแฟ และบ้านพักผู้เป็นเจ้าของ แม้กระทั่งเรือนคนงาน
มองออกไปจากเรือนหลังใหญ่ แลเห็นฝูงอัลปาก้ากำลังและเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งเขียวขจี
ภายในห้องนอนของเทิดกับพริมที่เพิ่งผ่านงานแต่งมาหมาดๆ พริมเดินออกมาจากห้อง เจ้าสาวป้ายแดงแต่งตัวสวยงาม หันกลับมายิ้มให้เทิด
“เทิดคะ” เทิดเดินตามออกมา พริมจับมือเขามากุม “ไปกันดีกว่าค่ะ”
พริมจูงมือเทิด เดิน วิ่ง ไล่หยอกล้อกันในไร่ด้วยสีหน้ามีความสุข
ไม่นานต่อมาพริมเดินเข้าไปเล่นกับอัลปาก้า มีเทิดยืนยิ้มมองอยู่ไม่ไกลนัก
เทิดยังคงยืนทอดสายตามองดูพริมที่เวลานี้เดินเล่นไปตามทางแนวไร่องุ่นอย่างเพลิดเพลิน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พระอาทิตย์ทอดตัวคล้อยลอยต่ำจนตกดินไป ในแสงสีอันโรแมนติก พริมกับเทิดนั่งดินเนอร์กันอยู่สองต่อสองตรงระเบียงสวย เทิดคอยตักป้อนอาหารให้ ดูแลพริมอย่างดี
หลังมื้อค่ำ เทิดอุ้มพริมเข้ามาในห้องนอน สวมกอดคนรักจากด้านหลัง พริมยิ้มชื่นสุขใจ
“พริมมีความสุขที่สุดเลยค่ะเทิด”
เทิดกอดพริมแน่น พริมหลับตาพริ้ม มองผ่านหน้าต่างด้านหลังสองคน เห็นบรรยากาศไร่กว้างยามค่ำคืน
“ผมก็เหมือนกัน”
จู่ๆ พริมก็ผละตัว ละออกจากอ้อมกอดเทิด หันมายิ้มหวานให้ เทิดยื่นมือไปจะคว้าตัวพริม
ทว่าร่างของพริมกลับค่อยๆ จางหายไป มีเพียงเทิดยืนอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในห้อง กลางบรรยากาศแสนเหงา ที่ห่อหุ้มร่างบึกบึนของเขาไว้
“พริม…”
เย็นวันหนึ่ง ร่างบึกบึนของชายคนนั้นเดินเร็วรี่เข้ามาในไร่ พวกคนงานกำลังเลิกงาน เดินมาเห็นเขา ทุกคนต่างโค้งให้ด้วยท่าทียำเกรง
ชายคนดังกล่าวเดินดุ่มเข้าไปด้านในไร่ ลัดเลาะไปตามแนวไร่องุ่นที่ออกผลสะพรั่ง พร้อมให้เก็บเกี่ยวแล้ว
ทันใดนั้น เสียงผันก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขา
“คุณเทิด แย่แล้วครับคุณเทิด”
ผันรีบร้อนเข้ามาหา
เทิดถามกลับเสียงเรียบ “มีอะไร”
“ยามรายงานว่า เห็นคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวฝายครับ”
เทิดหันกลับมาหาผันช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึม แววตาแข็งกร้าว หนวดเคราเฟิ้ม พูดกับผันด้วยน้ำเสียงดุดัน
“พาฉันไป เร็ว”
ผันออกตัวนำไปที่ฝาย เทิดตามไปทันที
พูนลูกพี่ใหญ่ยืนสั่งการลูกน้องอีก 2 คนให้เร่งระเบิดฝาย ทั้งหมดใส่ชุดดำอำพรางตัวและปกปิดใบหน้า
“เร่งมือหน่อยซิวะ”
ลูกน้อง 1 ท้วง “อย่าเร่งนักซิพี่“
พูนเหลียวไปเห็นแสงไฟจากรถของเทิดแล่นใกล้เข้ามา ก็ร้องบอกสมุน
“เฮ้ย พวกมันรู้ตัวแล้ว เผ่นโว้ย!”
พูนและพวกลูกน้องรีบหนีหายไปในความมืดก่อนที่เทิดจะมาถึง
เทิด ผันและลูกน้องอีก 3 คน รีบลงจากรถ เทิดจะไปตรวจดูที่ฝาย ถูกผันห้าม
“ระวังครับคุณเทิด อันตราย”
“จริงของแก มันอันตราย” เทิดเหมือนจะเห็นด้วย เขาหันไปสั่งลูกน้อง “ทุกคนถอยไปให้หมด ฉันเอง”
ผันตกใจเข้าขวางผู้เป็นนายไว้ “อย่าครับคุณเทิด”
“คิดว่าฉันกลัวตายเหรอ หลีกไปผัน”
เทิดบ้าบิ่น ไม่กลัวตาย เดินลุยเข้าไปสำรวจฝายคนเดียว ผันได้แต่มองเป็นห่วง ลูกน้อง 3 คนที่มาด้วยก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าขัดคำสั่งเทิด
พูนกับลูกน้อง 2 คนซุ่มดูอยู่
“ไอ้เทิดมันหูตาไวจริงๆ ยังไม่ทันเรียบร้อยมันดันโผล่มาซะก่อน!”
พูนมองลุ้น จนเห็นเทิดมาหยุดยืนตรงจุดที่พวกมันวางระเบิดพอดี พูนยิ้มชั่วออกมา
“โชคดีอะไรอย่างนี้วะ ไอ้เทิดมันมาตายถึงที่”
พูนยิ้มเหี้ยม กดรีโมทระเบิดในมือ
เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังตูม เทิดอยู่ไม่ไกลจากจุดระเบิด ร่างโดนแรงระเบิดกระเด็นตกน้ำไป ผันและลูกน้องที่อยู่ห่างจากเทิดไม่มากต่างล้มกลิ้งล้มหงายไปตามแรงระเบิด
พอควันจาง ผันได้สติรีบมองหานายด้วยความเป็นห่วง
“คุณเทิด”
พูนสบโอกาสสั่งลูกน้องยิงสกัด
“ยิงมันเลย”
พูนและพวกลูกน้องสองคน ยิงใส่ผันกับคนงาน 3 คน ผันและคนงานหาที่กำบังและยิงสู้ ผันใจคอไม่ดีห่วงเทิดแต่เข้าไปช่วยไม่ได้
ร่างอันหมดสติของเทิด ค่อยๆ จมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ สำนึกสุดท้ายเขานึกถึงแต่พริม
นับตั้งแต่หลังวันแต่งงาน ที่พริมยืนดูวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าในที่ดินอันว่างเปล่าก่อนที่จะสร้างเป็นไร่
“สวยจังเลยค่ะเทิด”
ตามด้วยภาพสามคนพ่อ แม่ลูก เทิด พริมและนันท์ พากันไปปิกนิกอยู่ในสวนสวย นันท์วิ่งเล่นแล้ววิ่งมากอดพริม
เทิดถือกล้องในมือร้องบอกเมียกะลูกว่า “ยิ้มหน่อยครับ”
ภาพในเลนส์กล้องที่เทิดถ่ายหยุดนิ่ง เป็นภาพที่พริมสวมกอดนันท์แนบแน่น แม่ลูกถ่ายรูปด้วยกันอย่างมีความสุข
อีกเหตุการณ์ เป็นตอนรถที่พริมนั่งมาเกิดอุบัติเหตุ รถระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เทิดช่วยพริมออกมาจากซากรถโอบกอดเธอไว้เต็มอ้อมแขน
พริมบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักออกมาตามร่างกายดูน่ากลัว โดยเฉพาะที่แผลบริเวณหน้าผาก ลมหายใจรวยรินและสิ้นใจตายคาอ้อมกอดสามี
เทิดร้องลั่น “พริม”
เทิดยังคงหลับตาและจมน้ำอยู่
“รอผมด้วยนะพริม ผมกำลังจะไปหาคุณแล้ว”
ในมโนนึกของเทิด เขาเห็นพริมดำน้ำลงมาช่วย
“เทิดคะ ยังไม่ถึงเวลาของคุณ คุณยังตายไม่ได้ คุณต้องอยู่ต่อไปเพื่อลูกของเรา”
ร่างเทิดหลับตานิ่งลอยอยู่ใต้ผืนน้ำ ลืมตาโพลงขึ้นมา หน้าตาอึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออก
ขณะเดียวกันผันและลูกน้อง ยิงสู้กับพวกพูน จนพูนเห็นท่าไม่ดี
“พวกมันมีมากกว่าพวกเรา” ลูกน้อง 1 ว่า
พูนสั่งคนที่เหลือ “ถอยโว้ย”
พูนและลูกน้องรีบหนีไปขึ้นมอเตอร์ไซค์และขับหนีไปโดยเร็ว
ผันสั่งลูกน้อง “ตามมันไป จับตัวมันมาให้ได้”
ลูกน้อง 2 คนขับรถกระบะตามพูนกับสมุนไป
ผันนึกเป็นห่วงเทิด รีบวิ่งไปยังจุดที่ระเบิด
เทิดโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำ ผันกำลังมองหาอยู่พอดี ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ
“คุณเทิด” ผันรีบหันไปสั่งลูกน้องอีกคนที่มาด้วยกัน “ช่วยคุณเทิดเร็ว”
ผันกับลูกน้องลุยน้ำลงไปช่วยกันดึงเทิดขึ้นจากน้ำ
เทิดสำลักน้ำพรวด
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับคุณเทิด”
“ฉันไม่เป็นไร จับคนร้ายได้รึเปล่า”
“คนของเราตามมันไปแล้วครับ”
เทิดรีบลุก
“ฉันจะไปลากคอพวกมันเอง”
เทิดโผเผออกไป
ผันตกใจ “คุณเทิด”
ผันกับลูกน้องรีบตามไป
เทิดเดินลุยมาตามทางบนสันฝาย ผันและลูกน้องตามมาติดๆ ระหว่างนี้รถภูฤทธิ์แล่นเข้ามาจอด ภูฤทธิ์กับลูกน้องได้ยินเสียงระเบิดและเสียงยิงกันจึงรีบร้อนลงจากรถมาดู เทิดเห็นภูฤทธิ์ก็โกรธมาก
“ไอ้ภูฤทธิ์”
เทิดพุ่งเข้าชกภูฤทธิ์ทันที ภูฤทธิ์ไม่ทันตั้งตัวโดนชกล้มลง
“รีบมาดูผลงานเลยนะ”
เทิดจะซ้ำ คนงานของภูฤทธิ์ปกป้องเจ้านาย จะทำร้ายเทิด ผันและลูกน้องเข้ามาขวางปกป้องนาย ผันรีบห้ามเทิด
“อย่าครับคุณเทิด”
ภูฤทธิ์สั่งคนของตัวเองว่า “ไม่ต้อง”
คนงานลูกน้องภูฤทธิ์ชะงัก
“คุณชกผมทำไม”
“ฉันอยากจะฆ่าแกด้วยซ้ำ”
ภูฤทธิ์เอือม แต่ยังพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมได้ยินเสียงระเบิด”
“มีคนระเบิดฝายแต่เรารู้ตัวก่อน มันเลยทำไม่สำเร็จ แค่เสียหายเล็กน้อย”
ภูฤทธิ์ฟังแล้วตกใจ “ถึงกับระเบิดฝายเลยเหรอ”
“ไม่ต้องเสแสร้ง ฉันรู้ว่าฝีมือแก”
“ผมจะทำทำไม ในเมื่อผมต้องใช้น้ำจากฝายเหมือนกัน”
“เพราะแกไม่ได้ตั้งใจระเบิดฝายไง แต่แกคิดจะฆ่าฉัน เหมือนที่พริมต้องมารับเคราะห์แทนฉัน ฉันไม่ยอมตายง่ายๆ จนกว่าจะลากคอแกเข้าคุกโทษฐานที่แกฆ่าพริม”
ภูฤทธิ์โมโห ไม่ยอม
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าเที่ยวปรักปรำคนอื่น”
เทิดมองภูฤทธิ์ด้วยความเจ็บปวด แค้นใจมาก
“ฉันต้องหาหลักฐานเอาผิดแกให้ได้ ทุกเรื่องที่แกทำ”
เทิดจ้องหน้าภูฤทธิ์ บอกคนของตัวเอง “ปล่อยเว้ย” ก่อนจะหันไปสั่งผัน “ให้คนงานซ่อมฝายให้เรียบร้อย” เขาปรายตามอง พูดประชดภูฤทธิ์ “แต่ระวังด้วยนะ แถวนี้หมาลอบกัดมันเยอะ”
“ครับ”
เทิดเดินหนีไป ภูฤทธิ์กลุ้มที่เทิดเข้าใจตนผิดอีกแล้ว
ทรงยศอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน ตบโต๊ะปัง ตวาดลูกน้องด้วยความโมโห
“แค่ระเบิดฝายยังพลาด พวกแกนี่มันไม่ได้เรื่อง”
“ขอโทษครับคุณทรงยศ ไอ้เทิดมันดวงแข็งจริงๆ ระเบิดยังทำอะไรมันไม่ได้ ผมนี่โคตรเจ็บใจเลย” พูนว่า
“ฉันเจ็บยิ่งกว่าแกอีก ทำไมวะ กว่าจะได้ไร่มันถึงได้ยากเย็นแบบนี้แต่ยังไงเราก็ต้องบีบมันไปแบบนี้จนกว่าจะยอมขายไร่ ฉันไม่มีวันยอมให้กองเงินกองทองตรงหน้าหายไปเด็ดขาด”
“คุณทรงยศแน่ใจเหรอครับว่าในไร่ของมันมีแร่ทองคำอยู่“
“แน่ใจซิวะ ฉันตกลงกับนายทุนญี่ปุ่นไว้แล้วด้วย กวาดที่แถบนี้มาเป็นของฉันได้หมดเมื่อไร ก็จะทำเหมืองทองคำทันที แล้วฉันก็จะรวยมหาศาล”
ทรงยศนัยน์ตาวาววาบด้วยความโลภ เมื่อคิดถึงเงินจำนวนมากที่จะได้อยู่รอมร่อ
อีกฟาก เทิดโวยวายเอากับลูกน้องคนสนิทอยู่ในห้องทำงาน
“ทำไมจับคนร้ายไม่ได้”
“คนของเราตามพวกมันไป แต่พวกมันชำนาญทางมาก หนีไปได้ครับ” ผันว่า
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง” เทิดคิดปราดเดียว รีบสั่งผัน “เพิ่มเวรยามทั้งกลางวันกลางคืน กำชับคนงานของเราให้ระวังตัว แล้วช่วยกันสอดส่องดูแลในไร่ทุกตารางนิ้ว”
“ครับ“
เทิดเจ็บใจที่จับคนร้ายไม่ได้ จู่ๆ เสียงนันท์โวยวายดังลั่นเข้ามา
“ไม่! นันท์ไม่ไป”
เทิดและผันชะงักเหลียวไปทางเสียง เทิดเป็นห่วงลูกชายคนเดียว
“นันท์”
อ่านต่อหน้า 2
มนต์รักอสูร ตอนที่ 1 (ต่อ)
ผันรีบเร่งมาจากอีกทาง อ้อย ชมพู่ พร้อมกับป้าแหวว แม่บ้านของไร่อยู่กับนันท์ตรงลานน้ำพุหน้าเรือนใหญ่ โดยที่นันท์นั่งกอดเข่าแข็งขืนไม่ยอมลุกไปไหน
เทิดรีบร้อนเข้ามาหาลูก มีหอมตามมา
“เกิดอะไรขึ้น”
อ้อยตกใจ “คุณเทิด”
“เอ่อ คุณนันท์ไม่ยอมกลับเข้าไปนอนค่ะ คือ…” แหววจะอธิบาย
เทิดเดินเข้าไปหานันท์ พูดเสียงดุ
“นันท์ มันดึกแล้วออกมาทำอะไรที่นี่”
นันท์ก้มหน้า ดูกลัวๆ พูดเสียงเบา
“นันท์…นันท์ออกมารอพ่อ”
“รอทำไม นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
“นันท์ได้ยินพ่อออกไปข้างนอก คนเดินกันเสียงดังเต็มไปหมดเลย นันท์กลัว”
“กลัวอะไร”
“กลัวพ่อไม่กลับมา…เหมือนแม่”
คำพูดพาซื่อของลูกชายทำเอาเทิดชะงัก นิ่งงันไปชั่วขณะ
“ก็เลยดื้อไม่ยอมฟังป้า ฟังพวกพี่เขางั้นสิ ทำไมดื้อแบบนี้นันท์”
“ทำไม นันท์ออกมารอพ่อไม่ได้เหรอ” เด็กชายย้อนถาม
“นันท์ก็รู้ว่ามันอันตราย แล้วนันท์ยังจะฝืนออกมานั่งแบบนี้ทำไม”
“ก็นันท์อยากเจอพ่อ”
เทิดตัดบทว่า “แต่พ่อต้องทำงาน นี่มันก็ดึกแล้วด้วย ไป กลับเข้าไปในห้อง”
“นันท์ไปไม่ นันท์จะอยู่กับพ่อ”
เทิดดึงแขนนันท์ “นันท์ ลุก”
“ไม่ไป! นันท์จะอยู่กับพ่อ”
เทิดทั้งดึงทั้งลากแต่นันท์ก็ไม่ลุก จนเทิดโมโหตะโกนใส่
“ดี! ไม่อยากนอนก็ตามใจ ถ้าดื้อนักก็นั่งมันอยู่ทั้งคืนนี่แหละ”
จากนั้นเทิดก็เดินหนีเข้าบ้านไป นันท์ร้องไห้จ้า ป้าแหววรีบเข้าไปกอดปลอบ อ้อยกับหอมเข้าไปหานันท์กอดปลอบกันใหญ่
“ไม่เป็นไรนะคุณนันท์ ไม่ต้องร้องนะคะ“
“ฮือ นันท์คิดถึงแม่...”
ผัน อ้อย หอม แหววและชมพู่ต่างสงสารนันท์
ผัน แหวว หอม และชมพู่ ยังไม่ไปนอน ทุกคนนั่งอยู่เป็นเพื่อนนันท์จนเด็กชายหลับไป ผันเห็นจึงลุกเดินมาสะกิดอ้อยที่นั่งสัปหงกอยู่ อ้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“อ้อย”
“จ้ะพ่อ”
“คุณนันท์หลับแล้วนั่น”
อ้อยหันไปสะกิดป้าแหววกับชมพู่ที่แอบงีบไปเหมือนกัน
“ป้า ชมพู่”
แหววตกใจที่นันท์หลับไปแล้ว
“ตายแล้วคุณนันท์”
ผันส่ายหัว “ไม่ได้เรื่องเล้ย แต่ละคน ไปเข้าไปบ้าน เดี๋ยวฉันช่วยอุ้มคุณนันท์กลับห้อง”
ทุกคนลุกขึ้นปักเศษดินตามตัว อ้อยเกาแขนยิกๆ เพราะโดนยุงกัด ผันไปอุ้มนันท์จะเดินเข้าบ้าน แต่พอหันไปปรากฏว่าเทิดมายืนอยู่
“คุณเทิด”
เทิดมองนันท์ที่หลับไปแล้ว
“ส่งนันท์มานี่”
“ครับ”
“เดี๋ยวฉันพานันท์ไปเอง”
ผันงงๆ แต่ก็ส่งนันท์ให้เทิด เทิดอุ้มลูกกลับเข้าไปในบ้าน ทุกคนมองตาม
“โธ่ คุณเทิดของอ้อย…”
แหววถอนใจเฮือก “เฮ้อ ตั้งแต่คุณพริมเสีย คุณเทิดกับคุณนันท์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย”
“ฉันอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมจัง” ชมพู่ว่า
หอมพนมมือท่วมศีรษะ
“เจ้าประคู้ณ ขอให้มีปาฏิหาริย์ทำให้บ้านกลับไปสงบสุขเหมือนเดิมทีเถ๊อะ”
“งมงายน่าไอ้หอม จะมีปาฏิหาริย์ได้ไง” ผันส่ายหัว
“แหม เผื่อมีเจ้าหญิงขี่ม้าขาวมาช่วยไงน้าผัน” หอมยิ้มร่า
เช้าวันใหม่ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งมาตามทาง น้ำผึ้งเป็นคนขับ ด้านหลังมีตะกร้าใส่ดอกไม้อยู่เต็ม น้ำผึ้งจอดที่ร้านดอกไม้ร้านหนึ่งแถวไร่ หอบดอกไม้ลงไปด้วย
“ดอกไม้จากไร่คุณภูมาส่งแล้วค่า”
ป้าเจ้าของร้านเดินออกมาหาน้ำผึ้ง
“อ้าวผึ้ง มาพอดี ขอบใจมากจ้ะ”
“ค่ะ ผึ้งไปก่อนนะคะ”
น้ำผึ้งกลับไปที่มอเตอร์ไซค์อีแก่ของตนท่าทางรีบๆ ป้าร้องถามว่า
“จะรีบไปไหนอีกน่ะ”
“ไปทำงานค่ะ”
ป้าเจ้าของร้านงง “ทำงาน”
น้ำผึ้งยิ้มก่อนจะสตาร์ตรถ แล้วขับออกไป ป้าเจ้าของร้านมองตามอย่างทึ่งๆ
“ทำงานอะไรเยอะแยะจริงเด็กคนนี้”
น้ำผึ้งขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ลานจอดรถคุณครูภายในโรงเรียน สาวเจ้ามองดูนาฬิกาข้อมือ เห็นใกล้จะถึงเวลาสอนแล้ว เลยรีบคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองหยิบเสื้อคลุมดีๆ ออกมาใส่แบบทุลักทุเล
ขณะเดินไปก็หยิบกระดาษทิชชู่มาซับหน้าไปด้วย เดินมาสักพักก็คว้ารองเท้าออกมาจากกระเป๋าแล้วเปลี่ยนจากผ้าใบเป็นคัชชู เอามือจัดเสื้อให้เข้าที่ จัดทรงผมรีบๆ ตรงนั้นเลย แล้วรีบร้อนเดินเข้าไปในอาคารเรียน
ภายในห้องเรียนชั้นประถมของครูน้ำผึ้งเวลานี้ นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มๆ ฝึกพูดคุยภาษาอังกฤษกัน
ครูน้ำผึ้งคนสวย เก่งและใจดี คอยเดินดู ให้คำแนะนำแต่ละกลุ่ม ทุกคนตั้งใจเรียน มีเด็กชายธวัชคนเดียวไม่ตั้งใจเรียน แถมเล่นดีดหนังยางแกล้งเพื่อน น้ำผึ้งสังเกตเห็น ขณะที่ธวัชกำลังง้างหนังยางจะยิงใส่เพื่อนอีก น้ำผึ้งมายืนขวางหน้าตอนไหนไม่รู้ เล่นเอาธวัชตกใจ
“ธวัช...ทำไมไม่ตั้งใจฝึกพูดเหมือนเพื่อนๆ คะ”
ธวัชหน้าเจื่อน
“ผมไม่อยากเรียน ไม่รู้จะเรียนทำไมนักหนา“
“รู้มั้ยคะว่าการเรียนหนังสือมีความสำคัญยังไง”
“ไม่รู้ครับ”
น้ำผึ้งหันไปหานักเรียนในห้อง “นักเรียนรู้มั้ยคะว่าเราเรียนหนังสือเพื่ออะไร”
เด็กๆ ช่วยกันตอบ “จะได้สอบได้คะแนนสูงๆ ครับ” อีกคนตอบว่า “โตขึ้นจะได้ไม่ลำบากค่ะ”
“ทุกคนเก่งมากค่ะ เมื่อนักเรียนโตเป็นผู้ใหญ่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองและดูแลพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ต้องใช้ความรู้ทั้งนั้น เป็นครูก็ต้องมีความรู้ไปสอนนักเรียน พ่อแม่ของธวัชทำงานอะไรคะ”
“เปิดร้านขายของครับ”
“ขายของก็ต้องใช้ความรู้ อย่างคิดเงินลูกค้าก็ต้องรู้วิชาเลข ถ้าขายของให้ชาวต่างชาติ ก็ต้องพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ เห็นมั้ยคะว่าการเรียนหนังสือมีประโยชน์”
“เข้าใจแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะตั้งใจเรียนครับ”
“เมื่อกี้ธวัชแกล้งเพื่อน ควรจะทำยังไงคะ”
ธวัชหันไปบอกกับเพื่อนๆ ว่า “เราขอโทษนะ”
น้ำผึ้งยิ้มให้ธวัชอย่างมีเมตตา ภารโรงเข้ามารายงานหน้าตาตื่น
“ครูผึ้งครับ แม่ของครูติดต่อครูไม่ได้ครับ”
“ฉันปิดเสียงมือถือไว้เวลาสอนหนังสือค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
“พ่อของครูอยู่โรงพยาบาลครับ”
“พ่อ” น้ำผึ้งตกใจ จนหน้าถอดสี เป็นห่วงพ่อมาก
วันนอนร้องโอดโอยอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำจังหวัด
“โอ๊ย เจ็บๆๆ”
น้ำผึ้งรีบร้อนเข้ามา เห็นวันเข้าเฝือกแขนและนอนร้องโอดโอยก็ตกใจ หมอและลำยองยืนอยู่ข้างเตียง
“พ่อ” น้ำผึ้งสงสารพ่อ หันมาทางหมอ “พ่อฉันเป็นไงบ้างคะคุณหมอ”
“คนไข้หกล้ม กระดูกแขนร้าว หมอเข้าเฝือกให้แล้ว แต่ว่า...”
น้ำผึ้งใจคอไม่ดี “แต่อะไรคะ”
“คนไข้มีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ขาชาไม่มีแรง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ”
น้ำผึ้งกังวลมาก “แล้วต้องผ่าตัดมั้ยคะ”
“เบื้องต้นหมอให้ยาและทำกายภาพก่อน ถ้าดีขึ้นก็ไม่ต้องผ่า”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
หมอออกไป น้ำผึ้งโล่งอกที่พ่อปลอดภัย
น้ำผึ้งและลำยองประคองวันเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกน้องหน้าโหดของเสี่ยทรงยศ สองคนเดินตาม ตรงเข้ามาหา น้ำผึ้ง ลำยองและวันหันมาเห็นต่างก็ตกใจ
“ผมยังไม่มีเงินเลย ช่วงนี้ผมไม่สบาย ทำงานไม่ไหว ช่วยบอกคุณยศขอเวลาหน่อยเถอะ”
“เชิญครูน้ำผึ้งไปคุยกับคุณทรงยศเองดีกว่า”
ลูกน้อง 1 ยิ้มมีเลศนัย ขณะมาจับตัวน้ำผึ้ง แต่น้ำผึ้งดิ้นรนขัดขืน
พอวันกับลำยองจะช่วย ดึงตัวน้ำผึ้งคืนมา กลับถูกลูกน้องอีกคนจับตัวไว้
“ปล่อยนะ ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
วันอ้อนวอนดีๆ “ปล่อยลูกผมเถอะ อย่าทำอะไรน้ำผึ้งเลย ถ้ามีเมื่อไรผมจะรีบคืนให้ทันที”
ลูกน้อง 1 ขู่ “ครูอย่าดื้อสิครับ จะได้ไม่มีใครเจ็บตัว”
“ปล่อยฉัน!”
ลูกน้องเสี่ยทรงยศจะจับตัวน้ำผึ้งไปขึ้นรถ ภูฤทธิ์เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี
“ปล่อยครูน้ำผึ้ง”
ลูกน้องไม่ฟัง แถมกวนตีนกลับ “ทำไมต้องทำตามแกด้วยวะ ไม่ใช่เจ้านายซะหน่อย”
ไม่เท่านั้นพวกมันจะเข้ามารุมทำร้าย ภูฤทธิ์ถีบคนหนึ่งล้ม อีกคนรีบมารุม ภูฤทธิ์โดนชก แต่ก็ชกสวนกลับอย่างไม่ยอม
“หยุดนะ อย่าทำคุณภู”
น้ำผึ้งคว้าไม้ใกล้มือ ไปช่วยฟาดตีลูกน้องพัลวัน
พวกลูกน้องเสี่ยสู้ภูฤทธิ์ไม่ได้
“ไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับคุณน้ำผึ้งอีก”
รอจนพวกลูกน้องเสี่ยหนีไป ลำยองร้องเรียกลูกสาว
“ผึ้ง”
น้ำผึ้งรีบไปหาลำยองกับวัน พ่อแม่กอดน้ำผึ้งด้วยความเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 3
มนต์รักอสูร ตอนที่ 1 (ต่อ)
น้ำผึ้งทายาให้ภูฤทธิ์ตรงบริเวณหน้า และตามแขนที่โดนชกโดนตี
“เจ็บมากมั้ยคะ คุณภูต้องมาเจ็บตัวเพราะผึ้งแท้ๆ”
“แผลแค่นี้เล็กน้อยครับ”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยผึ้ง ไม่งั้นผึ้งคงแย่แน่”
“คุณผึ้งไปเป็นหนี้นายทรงยศตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้เหรอว่าไอ้นี่มันหน้าเลือด”
“พ่อกู้เงินมาทำนาค่ะ แต่น้ำน้อยนาเลยล่ม ไม่มีเงินใช้คืน ลำพังเงินเดือนครูก็ทำได้แค่ส่งดอกเบี้ยแต่ละเดือนเท่านั้นค่ะ”
ภูฤทธิ์ฟังแล้วสงสาร
“เรื่องหนี้ผมจะจัดการให้เอง คุณมีเมื่อไรค่อยคืน”
น้ำผึ้งเกรงใจ “อย่าเลยค่ะ รบกวนคุณเกินไป ฉันไม่สบายใจ”
“ถึงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผมอีกเหรอ”
ท่าทีน้ำผึ้ง อึดอัดลำบากใจมาก
ภูฤทธิ์จึงหาทางออกให้ว่า “งั้นคุณมาทำงานกับผม จะได้มีรายได้เพิ่มพอใช้หนี้”
“แต่ว่า...”
“ผมไม่ได้ขอให้คุณลาออกหรอก ทำงานวันเสาร์วันเดียวเท่านั้น ผมกำลังต้องการคนทำบัญชี”
น้ำผึ้งกังวล “แต่ฉันไม่เคยทำบัญชี”
ภูฤทธิ์ยิ้มบอกว่า “แค่บัญชีเล็กๆ น้อยๆ ครับ สอนกันได้ไม่ยาก”
น้ำผึ้งโล่งอก ยิ้มดีใจ
“ขอบคุณค่ะ คุณดีกับฉันจริงๆ“
ภูฤทธิ์เห็นน้ำผึ้งยิ้มได้ ก็พลอยมีความสุขไปด้วย
นักเรียนหญิงคนหนึ่งอ่านบทกลอนวันแม่ ที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนี้ จัดงานวันแม่ บรรดานักเรียนต่างมากับแม่ บางคนพ่อมาด้วย บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นสนุกสนาน และอบอุ่น
นันท์นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียน นักเรียนคนอื่นมีแม่มาด้วย
หอมกับอ้อยยืนอยู่หลังห้อง อ้อยพยายามโบกไม้โบกมือให้คุณหนู นันท์มองด้วยความรำคาญ
“เอาละครับนักเรียน ครูให้ทุกคนทำการ์ดวันแม่เอาไว้ คราวนี้เอาการ์ดที่ทำมาให้คุณแม่เลยครับ”
นักเรียนคนอื่นๆ หยิบการ์ดที่ทำ นำไปให้แม่ของตัวเองตามที่ครูประจำชั้นบอก ส่วนนันท์นั่งนิ่ง หอมกับอ้อยเดินเข้ามาหานันท์
“เอามาให้พี่อ้อยก็ได้นะคะคุณนันท์”
นันท์อารมณ์เสียใส่ “อย่ายุ่งน่ะ”
เพื่อนนักเรียนที่ไม่ถูกกับนันท์ พากันเข้ามาล้อนันท์
“อ้าว ไม่ได้ทำการ์ดให้แม่เหรอ อ๋อถึงทำไปก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร นี่ไงให้คนใช้ที่บ้านแกดิฮ่าฮ่า ไม่มีแม่ต้องเอาคนใช้มาเป็นแม่ ลูกไม่มีแม่ ลูกไม่มีแม่”
นันท์โกรธกำหมัดแน่น สุดท้ายทนไม่ไหวต่อยเพื่อนนักเรียนปากเสียคนนั้นจนล้มลง ปากแตก แม่เด็กกรี๊ดลั่น พ่อเด็กผลักนันท์จนล้มลง
“ทำอะไร ไอ้เด็กอันธพาล”
หอมกับอ้อยตกใจสุดๆ วิ่งเข้าไปหาคุณหนู
อ้อยร้องลั่น “ว้าย คุณนันท์”
ไม่นานต่อมา เด็กชายนันท์ยืนนิ่งอยู่ในห้องพักครูใหญ่ พ่อและแม่ของเด็กที่มีเรื่องกับนันท์ไม่ยอม จะเอาเรื่องนันท์ให้ได้
“ผมไม่ยอมนะครับครูใหญ่ เป็นอันธพาลตั้งแต่เด็กแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“ใช่ค่ะ ดูซิเนี่ยลูกชายฉันปากแตกเลือดออกซะขนาดนี้ ครูใหญ่ต้องจัดการนะคะ”
ครูประจำชั้นพยายามพูดช่วยนันท์
“ผมว่าเราน่าจะฟังความจากเด็กก่อนนะครับ”
พ่อเด็กไม่ยอม “ก็ลูกผมบอกไปแล้วไงว่าไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันมาหาเรื่อง แล้วก็ต่อยลูกผม ครูจะเอาอะไรอีก”
หอมโต้ว่า “ลูกคุณมาล้อคุณนันท์ก่อนนะ”
“ล้อเล่นกันนิดๆ หน่อยๆ ถึงขั้นต้องต่อยกันเลยเหรอไง เด็กมันเกเรนิสัยไม่ดี ปล่อยให้อยู่กับคนใช้ สักวันจะกลายเป็นกุ๊ย”
หอมโกรธจะเอาเรื่องพ่อเด็ก
นันท์บอกออกไปว่า “พอได้แล้วพี่หอม”
หอมชะงัก หอมกับอ้อยมองพ่อแม่เด็กตาขวาง
ครูประจำชั้นท้วงว่า “ผมอยากให้เด็กอีกฝ่ายได้พูดบ้างครับ เพราะเรากำลังฟังความเพียงฝ่ายเดียว”
“นี่ครูหาว่าลูกผมพูดโกหกเหรอ ครูใหญ่ผมว่าไอ้งบสนามฟุตบอลที่เราคุยกันไว้คงต้องพักไว้ก่อนแล้วล่ะ”
ครูใหญ่ตกใจ
“พอเถอะครู เรื่องนี้ผมจะตัดสินเอง”
แม่เด็กเสริมว่า “ดีค่ะ ครูใหญ่ต้องจัดการลงโทษให้สาสมนะคะ เด็กแบบนี้พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
ครูใหญ่เดินไปหยิบไม้เรียว หอมกับอ้อยมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ครูใหญ่เดินไปหานันท์ที่ยืนนิ่งอยู่
“เธอผิดที่ใช้อารมณ์หาเรื่องชกต่อยกับเพื่อน ครูจะทำโทษเธอ โดยตีเธอ 3 ทีนะ เด็กชายนันท์ และครูจำหนังสือเตือนไปที่ผู้ปกครองเธอด้วย หันหลังไปแล้วยืนกอดอก”
นันท์ยืนพร้อมกอดอก ครูใหญ่ฟาดไปหนึ่งทีเต็มแรง นันท์เจ็บร้องไห้ พ่อแม่เด็กที่มีเรื่องกับนันท์มองดูอย่างสะใจ ศักดาสงสารนันท์แต่ช่วยอะไรไม่ได้
หอมกับอ้อยได้แต่มองสงสาร แต่ ช่วยนันท์ไม่ได้เช่นกัน
ครูใหญ่ตีนันท์จนครบสามที นันท์เจ็บจนน้ำตาร่วง แต่ไม่ร้องสักแอะ
เทิดอยู่ตรงลานหน้าบ้าน กำลังสั่งคนงาน มีผันยืนอยู่ด้วย นันท์เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน พร้อมหอมกับอ้อย ทั้งสามเห็นเทิดก็กลัวเทิดดุ รีบก้มหน้าก้มตาเดินหนีไม่กล้าทักทาย
เทิดสังเกตเห็นท่าทางทั้งสามผิดปกติ
“เดี๋ยว”
นันท์ หอมและอ้อยต่างชะงัก เทิดมองหน้านันท์ นันท์ก้มหน้าหลบหน้าหลบตา
เทิดสังเกตเห็นที่แขนลูกชายมีรอยเขียวช้ำจากการโดนพ่อเด็กผลัก
“ไปโดนอะไรมา”
นันท์เงียบ ไม่ตอบ หอมกับอ้อยอึกอัก กลัวเทิดจับใจ
เทิดมองจ้องลูกชาย “พ่อถามทำไมไม่ตอบ ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกใช่มั้ย”
นันท์มองพ่อด้วยความน้อยใจ
“พ่อให้นันท์ไปโรงเรียนเพื่อไปเรียนเอาความรู้ ไม่ได้ให้ไปก่อเรื่อง”
เด็กชายเสียใจประสมความน้อยใจ
“แล้วพ่อไม่ถามก่อนเหรอว่าทำไมนันท์ถึงมีเรื่องกับเพื่อน”
“พ่อรู้นิสัยนันท์ดี ทั้งดื้อด้าน เอาแต่ใจ แต่พ่อไม่นึกเลยว่านันท์จะมีนิสัยอันธพาลเป็นเด็กเกเรด้วย”
“พ่อไม่ฟัง ไม่ถามนันท์สักคำว่านันท์ต้องเจออะไรบ้าง พ่อไม่รักนันท์ ถ้าแม่ยังอยู่นันท์คงไม่โดนดุซ้ำเติมแบบนี้ นันท์เกลียดพ่อ”
นันท์วิ่งหนีเข้าบ้านไป หอมและอ้อยรีบตามคุณหนูไป
“คุณนันท์”
เทิดเครียด หน้าเศร้าลงชัดแจ้ง เพราะนันท์พูดแทงใจเรื่องพริม!
เทิดนั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะในห้องทำงาน สีหน้าเครียดเคร่ง หอมกับผันเดินเข้ามาหาท่าทีเกรงใจ
“นายครับ”
เทิดเงยหน้ามามองหอม
“อะไร”
“วันนี้คุณนันท์โดนตีตั้ง 3 ทีนะครับ”
เทิดถอนหายใจ
“คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ”
“แต่ที่คุณนันท์ต่อยเพื่อน เพราะถูกล้อนะครับ”
เทิดมองหอมอีก ด้วยแววตาสงสัย
“คุณนันท์ถูกล้อว่าไม่มีแม่ ต้องเอาคนใช้มาเป็นแม่แทน คุณนันท์คงรู้สึกเสียใจ เพราะวันนี้ใครๆ ก็มีแม่ไปโรงเรียนด้วยทั้งนั้น”
เทิดถอนหายใจหนักหน่วง พูดเหมือนบ่นกับตัวเอง
“แล้วโรงเรียนเขาพาแม่ไปทำไมวะ”
ผันได้ยิน จึงตอบเทิดว่า
“วันนี้เป็นวันแม่ครับนาย”
เทิดมองผัน รู้สึกอึ้ง
“แล้วยังไง”
ผันเดินเอาจดหมายเตือนของทางโรงเรียนเข้ามาให้เทิด
“โรงเรียนทำหนังสือเตือนมาถึงนายครับ เขาบอกในนั้นว่าโทษครั้งนี้ของคุณนันท์คง…ต้องให้ออกจากโรงเรียน”
เทิดอ่านปราดเดียวก็ลุกขึ้นโวยวาย
“อะไรวะ! เด็กมันทะเลาะกันแค่นี้ถึงกับให้ออกเลยรึไง มันต้องมีจดหมายมาเตือนก่อนสิ จะกี่ครั้งก็ว่าไป”
“ต้องสามครั้งครับ ถึงจะให้ออก” หอมว่า
“นั่นไง ไอ้โรงเรียนนี้มันงี่เง่า แค่ครั้งเดียวก็ไล่ออกแล้ว” เทิดโวยลั่น
“ครั้งนี้ครั้งที่สี่แล้วครับ”
เทิดชะงัก ฉงนฉงาย “ครั้งที่สี่?”
“ครับ จริงๆ ทางโรงเรียนทำจดหมายเตือนมาตลอด แต่นายไม่ได้อ่านเลย จนฉบับนี้…”
ผันพูดแล้วก้มหน้างุด กลัวจะโดนเจ้านายโวยใส่อีก แต่เทิดกลับนิ่ง
“มีอะไรทำก็ไป ออกไปได้แล้วทั้งสองคนเลย”
เทิดไล่ทั้งคู่ออกจากห้อง ผันกับหอมรีบเผ่นออกไปโดยไว
อ่านต่อหน้า 4
มนต์รักอสูร ตอนที่ 1 (ต่อ)
อีกฟาก น้ำผึ้งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น ลำยองเข้ามานั่งคุยด้วย
“คุณภูฤทธิ์กลับแล้วเหรอลูก”
“ค่ะแม่”
ลำยองยิ้มเย้า แซวลูก “ลูกสาวแม่นี่เสน่ห์แรงไม่เบาเหมือนกันนะ”
น้ำผึ้งอาย “แม่ หมายความว่าไงคะเนี่ย”
“เขาเป็นคนดี มีน้ำใจช่วยเหลือเรา ถ้าลูกจะรับเขาไว้พิจารณา แม่ว่าก็ไม่เสียหายนะ”
“แม่เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว คุณภูเป็นเพื่อนผึ้งค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
ลำยองขำ “จ้า แม่คนใจแข็ง แม่รู้ว่าในใจลูกมีแต่ศักดาคนเดียวเท่านั้น ว่าแต่เจ้าตัวเขารู้บ้างรึเปล่าว่าลูกแม่แอบชอบเขามาตั้งนานแล้ว”
น้ำผึ้งยิ่งอาย “ผึ้งไม่กล้าบอกหรอกค่ะ”
“คนที่ชอบก็ไม่แสดงออกให้เขารู้ คนที่มาชอบก็ไม่สนใจ แล้วเมื่อไรแม่จะได้อุ้มหลานล่ะเนี่ย”
น้ำผึ้งเขินอายเป็นการใหญ่ “แม่อย่าล้อผึ้งสิคะ”
ลำยองหัวเราะขำลูกสาว
ทางด้านเทิดเดินมาหยุดที่หน้าห้องลูกชาย มองผ่านประตูที่เปิดแง้มอยู่ ดูอ้อยทายาตรงจุดที่ถูกตีให้นันท์ซึ่งนอนอยู่บนเตียง สักครู่อ้อยหันมาเห็นเทิดก็ยิ้มหวานให้ เทิดจุ๊ปากไม่ให้เสียงดัง
อ้อยพูดบอกเบาๆ “คุณนันท์เพิ่งหลับไปค่ะ
“ทำไมวันนี้หลับเร็ว”
“ไม่ทราบค่ะ แกคง...เหนื่อยๆ เรื่องที่โรงเรียน”
เทิดมองนันท์เหมือนไม่พอใจ แล้วก็เดินฮึดฮัดหนีไป อ้อยมองตาม
“ไปที่ห้องนั้นอีกแล้ว…”
อ้อยหันหลังกลับเข้ามาห่มผ้าให้นันท์ แล้วจึงเก็บของออกไป
พอประตูปิดพร้อมๆ กับที่ไฟในห้องดับลง จึงพบว่าที่จริงแล้วเด็กชายนันท์นอนร้องไห้อยู่เงียบๆ โดยไม่มีเสียงลอดออกมา
ตอนเช้าอีกวัน ที่โรงเรียนซึ่งน้ำผึ้งไปรับจ้างสอน บรรดาเด็กนักเรียนนั่งอ่านหนังสือรอครูน้ำผึ้งอยู่ในห้อง บางคนเล่นสนุกกัน ครูใหญ่ผ่านมาเห็น ก็เดินเข้ามาหยุดหน้าชั้นเรียนด้วยความตกใจ
“ครูน้ำผึ้งหายไปไหน”
เด็กๆ ส่ายหน้าไม่รู้ สักครู่หนึ่ง น้ำผึ้งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ผมเผ้ายุ่งเหยิง
“ขอโทษค่ะ”
ครูใหญ่หันไปมอง
“อ้าวครู นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว เด็กๆ รออยู่เลย”
น้ำผึ้งรีบวางข้าวของ แล้วก็เริ่มการสอนของวันนั้น
ครูใหญ่มองครูน้ำผึ้งอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะเดินออกไป
เวลาผ่านไป เลิกเรียนแล้ว นักเรียนทยอยกันกลับบ้าน น้ำผึ้งยืนส่งนักเรียนกลับบ้านเสร็จ จึงเดินมาหาครูใหญ่ในห้องพัก
“อ้าว ครูน้ำผึ้ง เหนื่อยหน่อยนะวันนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะครูใหญ่ น้ำผึ้งเต็มใจอยู่แล้ว”
ครูใหญ่มองเด็กๆ “ดีนะที่มีครูน้ำผึ้งมาช่วย ผมก็เบาแรงลงไปเยอะ”
“ขอบคุณมากค่ะครูใหญ่ ผึ้งชอบเป็นครูอยู่แล้ว ได้สอนเด็กๆ แบบนี้ก็มีความสุขดี ถ้าผึ้งได้บรรจุเร็วๆ ก็คงดี ได้ทำงานที่รักด้วยได้ช่วยที่บ้านด้วย”
ครูใหญ่หน้าเจื่อนไปตอนได้ยินคำว่าบรรจุ พูดเป็นเชิงถามว่า
“แล้วโรงเรียนอื่นที่ครูน้ำผึ้งไปช่วยสอนเขาว่ายังไงบ้าง ใกล้ได้บรรจุหรือยัง”
น้ำผึ้งอึกอัก “ยังค่ะ ที่อื่นอัตราจะเต็มหมด ตอนนี้เลยยังบรรจุไม่ได้ ผึ้งก็รอของที่นี่ไปก่อนค่ะ”
ครูใหญ่อึดอัดแต่ต้องบอกออกไปอ้อมๆ “อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ แต่ทางเราเองอัตราก็เต็มเหมือนกัน ผมล่ะอยากได้ครูเข้ามาเพิ่มเพราะเด็กเองเยอะขึ้นทุกปี จะตัดสินใจเองก็ไม่ได้ ต้องแล้วแต่ทางผู้บริหาร”
ลึกๆ น้ำผึ้งเศร้าเรื่องไม่ได้บรรจุสักที แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ผึ้งเข้าใจค่ะครูใหญ่ ตอนนี้ทำอะไรได้เลยทำไปก่อน เรื่องสอนที่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าครูใหญ่มีอะไรให้ช่วย เรียกผึ้งได้ทันทีเลยนะคะ”
ครูใหญ่พยักหน้า หยิบซองเงินออกมา
“เออ แล้วนี่เงินค่าสอนของวันนี้ ขอบใจอีกรอบนะครู”
ครูใหญ่ให้เงินก่อนจะเดินออกไป น้ำผึ้งมองซองเงินแล้วทอดถอนใจ
น้ำผึ้งกลับมาที่บ้านสีหน้าเศร้าสร้อย ดูเหนื่อยล้าโรยแรง ลำยองเข้าไปถามไถ่อย่างห่วงใย
“เป็นไงบ้างผึ้ง เหนื่อยไหมลูก”
น้ำผึ้งฝืนยิ้ม “ผึ้งไม่เหนื่อยหรอกแม่” พลางหยิบซองเงิน “เอ้อนี่จ้ะ เงินค่าสอนของวันนี้ แม่เก็บไว้นะ ไว้เป็นค่ายาพ่อ”
ลำยองรับซองเงินไป อดสงสารลูกไม่ได้
“ไม่เก็บไว้กับตัวบ้างล่ะผึ้ง ทำงานมาแทบตายก็ให้แม่หมด”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ ผึ้งเต็มใจ ว่าแต่พ่อเถอะเป็นไงบ้าง”
“นอนอยู่ในบ้านโน่นล่ะ เดี๋ยวแม่เอายาเอาข้าวไปให้”
“อาการพ่อเป็นยังไงบ้างจ๊ะแม่”
“ก็ทรงๆ เหมือนเดิม”
น้ำผึ้งเอากระเป๋าไปวางบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวลงนั่งพัก ลำยองเดินตามมาบ่นๆ
“ห่วงแต่คนอื่น ตัวเราน่ะหัดดูแลซะบ้างสิผึ้ง”
“ไม่ได้หรอกแม่ ก็พ่อยังไม่สบายอยู่แบบนี้ ไหนจะหนี้พวกเสี่ยทรงยศอีก ต่อให้เหนื่อยกว่านี้ผึ้งก็จะหาเงินมาจ่ายทั้งหมดให้ได้”
“งั้นนั่งรอแม่อยู่นี่นะ เดี๋ยวแม่เอายาไปให้พ่อก่อน แล้วเดี๋ยวเรากินข้าวกัน”
น้ำผึ้งพยักหน้าให้ ลำยองเดินเข้าไปในห้องครัว
ถัดมา ลำยองถือถาดอาหารและยาเดินเข้าไปหาผัว วันมองหาน้ำผึ้งพลางถาม
“เมื่อกี้ได้ยินเสียง ผึ้งมันกลับมาแล้วเรอะ”
ลำยองวางถาดอาหาร “มาแล้วล่ะพ่อ ดูเหนื่อยๆ ไงไม่รู้”
วันมองดูแขนที่ต้องดามเฝือกของตัวเอง แล้วทำหน้าเบื่อ
“ทำไมมันต้องวิ่งรอกทำงานมากมายด้วย ถ้าไม่ไหวก็ไปกู้มาเพิ่ม เอามาหมุนจ่ายไปก่อน ไม่ก็ยืมนายภูฤทธิ์อะไรนั่นก่อนก็ได้”
ลำยองกำลังจะตักอาหารให้ผัวฉุนกึก กระแทกช้อนลงใส่จานทันที
“นี่พ่อพูดอะไรออกมา”
“อะไรเล่า” วันหงุดหงิด
“พ่อไม่เห็นหรือไงว่าผึ้งมันทำงานเยอะขนาดไหน มันเที่ยววิ่งไปรับจ้างคนนั้นทีคนนี้ที กลับมาก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะใครล่ะพ่อ”
วันฟังแล้วอึ้ง “โธ่ แม่…”
“แล้วพ่อยังจะให้มันไปกู้เพิ่ม ไม่มีวัน แค่นี้ลูกมันก็เหนื่อยหาเงินมารับผิดชอบหนี้ที่มันไม่ได้ก่อตั้งมากมายแล้ว พอกันที พ่อน่ะแค่รักษาตัวให้มันหายก็พอ อย่างสร้างเรื่องอะไรมากกว่านี้เลย
วันเงียบไป พูดไม่ออก ลำยองน้ำตาคลอ
ลำยองออกมาจากห้องของวัน เดินไปที่โซฟาห้องนั่งเล่น พบว่าน้ำผึ้งเพลียจนเผลอหลับไประหว่างรอ ลำยองลูบหัวทั้งสงสารทั้งเห็นใจลูก
“ผึ้งเอ๊ย”
น้ำผึ้งหลับสนิทไม่รู้เรื่องใดๆ
รุ่งเช้า วันนี้น้ำผึ้งออกจากบ้านแต่เช้าเช่นเคย หญิงสาวคว้ากระเป๋ามาสะพายเฉียงกับลำตัว กุญแจรถมอเตอร์ไซค์ พลางไหว้แม่
“ผึ้งไปไร่คุณภูก่อนนะคะแม่”
“ขับรถดีๆ นะลูก”
“ค่ะ ผึ้งไปนะคะ”
น้ำผึ้งยิ้มให้แม่แล้วขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องขับรถออกจากบ้านไป
น้ำผึ้งขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาตามถนนมุ่งหน้าไปยังไร่ของภูฤทธิ์อย่างสบายใจ ระหว่างนี้เทิดขับรถมาด้วยความเร็วสูง แรงราวกับจะบินจากทางด้านหลัง ฝุ่นตลบมาแต่ไกล
น้ำผึ้งเห็นจากกระจกส่องหลังว่ารถเทิดขับมาเร็ว กลัวจะถูกชน หญิงสาวจึงรีบหักหลบ แต่เสียหลักรถไถลลงข้างทาง
“ว้าย”
รถเกือบล้ม ข้าวของในกระเป๋าสะพายหล่นกระจายเกลื่อน แต่น้ำผึ้งไม่เป็นไรมาก เทิดไม่ทันมอง ขับรถผ่านไปเลย
น้ำผึ้งโมโห “ขับรถยังไงเนี่ย! โอ๊ย!”
น้ำผึ้งเก็บของที่หล่นออกจากกระเป๋า โทรศัพท์มือถือหน้าจอแตก ใช้งานไม่ได้
“พังเลย”
น้ำผึ้งโกรธ ตัดสินใจขับตามรถเทิดไป
น้ำผึ้งเร่งเครื่องขับรถมาปาดหน้าเทิดไว้ จนเทิดต้องบีบแตรลั่น เบรกแทบไม่ทัน และเกือบชนน้ำผึ้ง
เทิดลงจากรถอย่างหัวเสีย ตรงมาเอาเรื่องครูสาว
“ขับรถยังไงของคุณ อยากตายรึไง”
“คุณขับรถเบียดฉันตกข้างทางเมื่อกี้!”
“เหรอ ผมไม่ทันเห็น ก็แค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ คุณก็ไม่ตายซะหน่อย ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
น้ำผึ้งเดือดปุดๆ “นี่ต้องรอให้ฉันตายก่อน คุณถึงจะสำนึกผิดเหรอ”
“ผมรีบ ไม่มีเวลามาเถียงกับคุณ จะเอาเท่าไรก็บอกมา”
“นี่คุณคิดว่าฉันอยากได้เงินคุณงั้นเหรอ”
เทิดมองหยัน “ลงทุนขี่รถปาดหน้าแบบนี้ ไม่อยากได้เงินแล้วอยากได้อะไร ไม่ต้องพูดมากจะเอาเท่าไรก็บอกมา ผมรีบ!”
น้ำผึ้งโกรธมาก “ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ ฉันไม่อยากได้เงินของคุณสักบาท!”
“คุณนี่พูดวกไปวนมา เข้าใจยาก คนยิ่งรีบๆ อยู่ ถ้าไม่อยากได้เงินก็จบ ผมไปละ”
เทิดขึ้นรถกระแทกประตูปิดเสียงดังปัง โดยไม่แยแส
น้ำผึ้งถึงกับอึ้ง “นี่คุณ!”
เทิดบีบแตรไล่อย่างไร้มารยาท เมื่อเห็นน้ำผึ้งไม่ยอมขยับรถ ก็ขับเบี่ยงหนีไปเอง
น้ำผึ้งทำได้เพียงคุมแค้น มองค้อนหนุ่มใหญ่เจ้าอารมณ์ พร้อมกับบ่นบ้าตามหลังไป
“คนบ้า ขอโทษซักคำก็ไม่มี!”
ครูสาวแสนดี ไม่คิดแม้สักน้อยว่า ชะตาชีวิตของเธอ จะต้องไปข้องเกี่ยวกับอีตา คนบ้า ไม่นานนี้
อ่านต่อตอนที่ 2