สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 8
พันกรเดินเข้าไปในโรงแรมที่พักของเสี่ยเป้และทอม มองไปรอบๆ แล้วเดินเลี่ยงไปทางที่นั่งล็อบบี้เพื่อซุ่มดู
เสี่ยเป้ ทอม เดินมากับหญิงสาวหน้าตาสวยกลุ่มหนึ่ง แล้วพากันเข้าไปนั่งที่ล็อบบี้อีกด้านหนึ่ง พันกรใช้มือถือแอบถ่ายภาพเสี่ยเป้ ทอม และกลุ่มหญิงสาวไว้ เขาเห็นผู้หญิงในกลุ่มลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ จึงรีบเดินตามไป แล้วรอจนผู้หญิงเดินกลับออกมา แกล้งเดินเฉี่ยวจนเสียหลัก และเข้าไปประคองพร้อมทั้งขอโทษ
“ขอโทษครับ เดินชนคุณคนสวยซะได้ ผมนี่แย่จริงๆ”
หญิงสาวเห็นพันกรหน้าตาดีก็ไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ผมเห็นคุณมาเป็นกลุ่มๆ สวยๆ แบบนี้จะไปประกวดนางงามเวทีไหนกันเหรอครับ”
หญิงสาวเขินที่มีชายหนุ่มชมว่าสวย
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่จะไปคัดตัวถ่ายแบบไปเมืองนอกค่ะ”
พันกรแน่ใจว่าหญิงสาวกลุ่มนี้ต้องเป็นผู้หญิงที่กำลังถูกเสี่ยเป้กับทอมหลอกแน่ๆ เขายิ้มให้ หญิงสาวเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเสี่ยเป้ พันกรรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ กดฟังเสียงที่แอบอัดไว้
“แค่จะไปคัดตัวถ่ายแบบไปเมืองนอกค่ะ”
“งานนี้แกไม่รอดแน่ ไอ้เสี่ยเป้”
พันกรรีบกลับไปนั่งสังเกตการณ์เสี่ยเป้กับทอมต่อที่ล็อบบี้ เขานั่งรอนานจนเผลองีบหลับไป ตื่นมาก็ไม่เห็นเสี่ยเป้กับทอมแล้ว รีบเดินไปถามพนักงานในเคาน์เตอร์
“เห็นผู้หญิงสวยกลุ่มใหญ่ๆ ที่นั่งตรงล็อบบี้เมื่อสักครู่นี้มั้ยครับ พอดีผมมารอรับน้องสาว”
“กลับขึ้นที่พักกันหมดแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
พันกรโล่งอกที่รู้ว่าเสี่ยเป้ ทอม และกลุ่มหญิงสาวยังอยู่ในโรงแรม เดินกลับไปนั่งเฝ้าที่เดิม
เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง พันกรเห็นว่ามีกลุ่มนักกีฬาวอลเลย์บอล และนักฟุตบอลหญิงส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เดินผ่านหน้าไป สงสัยว่าจะไปแข่งกีฬาอะไรกัน เขาแกล้งเลียบๆ เคียงๆ เดินเข้าไปถามนักกีฬาสาว
“ไปแข่งกีฬาอะไรกันเหรอครับ”
“กีฬาชาวดอยค่ะ”
นักกีฬาสาวอีกคนแย่งตอบ
“ไม่ใช่นะเธอ กีฬาสาวดอยต่างหาก”
คนอื่นเลยแข่งกันตอบพันกรว่า ชาวดอยบ้าง สาวดอยบ้างจนพันกรงง
“พอๆๆ ครับ จะสาวดอย สอยดาว สาวเดือนที่ไหนก็ตามสบายครับ ขอให้ชนะทุกคนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นักกีฬาสาวพากันเดินไปขึ้นรถตู้ที่รออยู่ด้านหน้าโรงแรม พันกรมองขำๆ เดินกลับมาในล็อบบี้โรงแรม เสี่ยเป้กับทอมใส่ชุดโค้ชนักกีฬากำลังจะเดินออกจากโรงแรม พันกรกับเสี่ยเป้เผชิญหน้ากันอย่างจัง เสี่ยเป้แกล้งถามเยาะๆ
“อยากไปเชียร์สาวๆ แข่งกีฬามั้ย ผู้กอง”
“ไปมั้ย”
เสี่ยเป้กับทอมต่างหัวเราะลั่น สะใจที่พันกรทำอะไรไม่ได้ พันกรรู้ทันทีว่าโดนเสี่ยเป้ตบตาพาผู้หญิงปลอมเป็นนักกีฬา เริ่มหัวเสียแต่จำต้องเก็บอาการ
“เจ้าเล่ห์นักนะ เสี่ย”
เสี่ยเป้เดินเข้าไปชิดตัวพันกรพร้อมพูดรอดไรฟันด้วยเสียงกระซิบ
“คุณมานั่งแอบดูแอบถ่ายรูปผมอยู่ตั้งนานแล้ว อย่าคิดว่าผมโง่สิครับ ผมกินข้าวไม่ได้กินหญ้า”
พันกรจ้องหน้าเสี่ยเป้เพราะรู้ว่ายังทำอะไรไม่ได้ เสี่ยเป้แกล้งเดินชนไหล่พันกรแล้วหันหน้ากลับมา
“เส้นสายผมเยอะ คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก คุณตำรวจ”
พันกรมองตามเสี่ยเป้เดินออกไปกับทอมอย่างโกรธแค้น เสี่ยเป้กับทอมเดินไปขึ้นรถตู้ที่รออยู่ รถก็เคลื่อนตัวออกไป พันกรรีบเดินตามออกมา เสี่ยเป้ลดกระจกรถลงมาแล้วโบกมือให้พันกร พันกรรีบไปที่รถที่เช่ามา เพื่อจะตามเสี่ยเป้ไป แต่เห็นรถยางแบนทั้งสี่เส้น ก็รู้ว่าเป็นฝีมือเสี่ยเป้แน่ เขาได้แต่โมโหตัวเองที่พลาดซ้ำ ปล่อยให้เสี่ยเป้หลุดมือไปอีกแล้ว
“โธ่เว้ย ไอ้เสี่ยเป้ รอบจัดจริงนะแก”
พันกร ประภาพรรณ ปทุมวดี บุหงา และดวงแก้วรวมตัวกันที่ล็อบบี้โรงแรม มีกระเป๋าเดินทางกองรวมอยู่หลายไป ทุกคนเตรียมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ คนขับรถเดินเข้ามารายงาน
“รถตู้พร้อมแล้วครับ คุณๆ”
ปทุมวดีหันไปสั่งการ
“ขนกระเป๋าไปใส่รถตู้สิจ๊ะ ระวังด้วยล่ะ พอส่งพวกฉันที่สนามบินแล้ว ขับรถกลับกรุงเทพดีๆ ล่ะ
“ครับ คุณหญิง”
คนขับรถไปประจำที่ พาทุกคนออกไปจากรีสอร์ตเพื่อไปสนามบิน น้ำแอบซุ่มมองทุกคนแล้วถ่ายรูปรถตู้ไว้
ในห้องนั่งเล่นภายในบ้าน พันกรนั่งหน้าเครียดคิดถึงเรื่องเสี่ยเป้ ที่เขาพลาดอีกรอบ และนึกถึงเรื่องที่เขากับบุหงานอนอยู่บนเตียงด้วยกัน จนประภาพรรณมึนตึงกับเขา พันกรยิ่งเครียดเพิ่มขึ้น ตัดสินใจลุกออกไปทำงาน ประภาพรรณเดินถือเครื่องดื่มร้อนๆ เข้ามา ตั้งใจเอามาให้พันกร แต่เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
ตอนเช้า ประภาพรรณตื่นตอนเช้ามาเห็นเตียงว่างเปล่า แสดงว่าพันกรไม่ได้กลับบ้านมานอน เธอถอนหายใจหนัก เป็นห่วงสามี
ปทุมวดี ปรีชาชาญ บุหงา ดวงแก้ว นั่งกินข้าวเช้ากัน ประภาพรรณเข้ามานั่งที่โต๊ะเงียบๆ
“ตากรล่ะ หนูมิว”
“เมื่อคืนไม่ได้กลับค่ะ คงมีงานด่วน”
ปทุมวดีวางเพลิงย่อยๆ ทันที
“งานด่วนอะไร แบบนี้เขาเรียกว่า โรคเบื่อเมียต่างหาก”
“ทะเลาะกันหรือเปล่า” ปรีชาชาญถามขึ้น
“คงไปทำอะไรให้ตากรไม่พอใจ เลยไม่อยากเห็นหน้ามากกว่า” ปทุมวดีชิงตอบ
บุหงา ดวงแก้ว สบตาแอบขำสะใจ ประภาพรรณเบื่อที่จะต่อปากต่อคำด้วย รวบช้อน
“มิวขอตัวก่อนนะคะ”
“มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันนะ ผัวเมียก็เหมือนลิ้นกับฟัน หนูมิวต้องหนักแน่น ต้องอดทนนะ”
ปรีชาชาญชำเลืองไปทาง บุหงา ดวงแก้ว ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
ประภาพรรณเดินกลับไปที่ห้อง ปทุมวดีมองปรีชาชาญ ไม่พอใจที่คอยให้ท้ายประภาพรรณ
พันกรนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงาน สภาพทรุดโทรมจากการอดนอน บนบอร์ดมีภาพข้อมูลของเสี่ยเป้ติดเต็มไปหมด เขาเดินดูรูปต่างๆ วนไปมาอย่างครุ่นคิด เอกราชเปิดประตูเข้ามา แปลกใจและเป็นห่วงที่เห็นพันกรดูโทรมมาก
“ผู้กอง พักสักหน่อยดีมั้ยครับ”
“ผมไม่เป็นไร”
“แล้วผู้กองจะเอายังไงกับเสี่ยเป้ต่อดีครับ”
พันกรถอนหายใจ มองภาพข้อมูลที่ติดอยู่เต็มบอร์ด
“วิธีเดิมๆ มันไม่เวิร์ค เราต้องเปลี่ยนแผน”
“ยังไงครับ”
“เราต้องหาสายสืบผู้หญิงเป็นนางนกต่อเข้าไปคลุกวงในช่วยสืบหาข่าวแบบใกล้ชิดติดตัวเสี่ยเป้ หลอกมันให้ตายใจ พอมันไม่สงสัย ก็จะเผลอคายความลับมา ทีนี้พอเราได้หลักฐาน ก็รวบมันซะ”
เอกราชเห็นด้วยกับพันกร
“เอาแบบที่ทั้งสวย ทั้งเก่ง ฉลาดทันคนด้วยนะ”
“มิ...”
เอกราชเกือบโพล่งชื่อประภาพรรณออกไป แต่คิดว่หญิงสาวคงไม่รับงานสายลับแบบนี้อีกแล้ว
“ว่าไงนะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมจะลองหาดู แล้วจะรีบรายงานผู้กองนะครับ”
ประภาพรรณหน้าเบื่อๆ เศร้าๆ นั่งคนแก้วกาแฟอย่างซังกะตาย อยู่ในร้านของนิโรบล
“นี่ มิวคิดอะไรมาก คุณกรเขารักมิวจะตาย”
“ก็ไม่อยากคิดหรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้ คุณแพนก็ให้ท่าเหลือเกิน ยังมีคุณดวงแก้ว คุณแม่สามีอีก ตัวชงเลย”
“มิวต้องหนักแน่นนะ”
“ใครๆ ก็บอกให้หนักแน่น มิวแน่นคับอกไปหมดแล้ว ถ้าสักวันคุณกรใจอ่อน มิวคงถูกเฉดหัวออกจากบ้าน”
นิโรบลจับมือเพื่อนพยายามให้กำลังใจ ประภาพรรณฝืนยิ้ม
“มิวคิดว่าคุณกรเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
“อือ ก็ไม่หรอก แต่มันหลายครั้งแล้วนะ น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อนเลย”
“จะกี่ครั้งก็ชั่งมัน หัวใจคุณกรไม่ใช่หินสักหน่อย มิวต้องอดทน ต้องเชื่อใจ แล้วต้องให้อภัย เขาถึงจะเรียกว่ารักแท้”
“จะพยายามละกัน”
“ดีมาก สู้ๆ”
เอกราชเดินเข้ามาหากาแฟกินในร้าน เห็นประภาพรรณนั่งอยู่กับนิโรบลก็ดีใจ รีบเดินไปหา
“สวัสดีสาวๆ”
สองสาวมองหน้ากันงงๆ ว่าเอกราชมาได้อย่างไร เอกราชมองทั้งคู่อย่างเข้าใจ
“ไม่ต้องงง ผ่านมาแถวนี้อยากหากาแฟกินสักแก้วแค่นี้แหละ ไม่ซับซ้อน พี่ขอกาแฟดำร้อนนะ ไม่ใส่น้ำตาล
“จัดไปค่ะ”
นิโรบลลุกไปจัดการเรื่องกาแฟให้เอกราชที่เคาน์เตอร์ เอกราชสังเกตว่าประภาพรรณดูเครียด แต่นึกไม่ออกว่าจะเครียดเรื่องอะไร
“ไม่สบายกาย หรือ มีอะไรไม่สบายใจ”
“ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี”
ประภาพรรณไม่ค่อยอยากคุยกับเอกราชเพราะกังวลเรื่องของพันกร มองไปทางนิโรบล ทำไม้ทำมือบอกให้เพื่อนรู้ว่าจะขอตัวกลับก่อน นิโรบลพยักหน้ารับรู้ ประภาพรรณลุกขึ้น
“ไปก่อนนะพี่”
ประภาพรรณเดินเกี่ยวขาเก้าอี้ สะดุดขาตัวเอง จนเซจะล้มลง เอกราชรีบมาประคองไว้ไม่ให้ล้ม ประภาพรรณเลยต้องกอดเอกราชไว้ด้วยความตกใจ พันกรเดินเข้ามาในร้าน เห็นทั้งสองกอดกันอยู่ เขาเดินเข้าไปดึงมือภรรยา จูงออกจากร้านด้วยความโกรธ
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณกรเข้าใจนะ”
เอกราชจะเดินตามพันกรกับประภาพรรณออกไป แต่นิโรบลเข้ามาดึงไว้
“ไม่ต้องตามหรอกพี่ ให้เขาเคลียร์กันเอง”
“แต่ผู้กองเข้าใจพี่กับมิวผิดนะ”
“เออน่า เรื่องของคนสองคน ไม่ควรมีมือที่สาม”
เอกราชหันมามองนิโรบล พยายามจะมองว่าหญิงสาวปิดบังอะไรไว้
“นิด พี่ดูมิวไม่มีความสุขเลย มิวกับผู้กองทะเลาะกันเหรอ”
นิโรบลชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องที่ประภาพรรณไม่สบายใจให้เอกราชฟังดีหรือไม่ เอกราชจับสีหน้าได้
“พูดมาเถอะ เผื่อมีอะไรให้พี่ช่วยได้”
“คือ มิวไม่ค่อยสบายใจเรื่องที่บ้าน เรื่องคุณหญิงปทุมวดี แม่สามีน่ะ เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้ามิว จริงๆ เกลียดเลยล่ะ”
“แล้วไงต่อ”
“แล้วยังมีคุณแพน ชื่อจริง บุหงา ณ น่านฟ้า เจ้าทางเหนืออะไรเนี่ยเข้ามาแจม จ้องปากมันจะจับคุณพันกรเป็นผัวให้ได้ มิวเลยเครียดสองเด้ง”
“แล้ว คุณหญิงปทุมวดีก็ถือหางคุณแพนนั่นด้วย ใช่มั้ย”
“ประมาณนั้น”
“พี่เป็นห่วงมิว อยากดูแลมิวเหมือนเมื่อก่อน”
“แต่นิดว่า”
วันรุ่งขึ้น เอกราชเดินเข้ามาในห้องพันกรโดยไม่เคาะประตู แล้วถือวิสาสะนั่งที่เก้าอี้เหมือนทุกครั้ง พันกรมองหน้าเอกราช แล้วอดนึงถึงตอนที่เอกราชกอดประภาพรรณไม่ได้ จึงถามออกไปห้วนๆ
“มีข่าวอะไรเพิ่มเหรอ”
เอกราชจับน้ำเสียงความไม่เป็นมิตรของพันกรได้ นึกโกรธขึ้นมา เลยตอบไปห้วนเหมือนกัน
“ข่าวยังไม่มีครับ ถ้ามีแล้วจะบอก”
ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครกลัวใคร
“เรื่องสายผู้หญิงที่จะเอามาหลอกเสี่ยเป้ หาได้รึยัง”
“ยังครับ”
เอกราชนึกถึงประภาพรรณที่ถูกพันกรทำร้ายจิตใจเรื่องบุหงา เลยหมั่นไส้
“อ้อ มีคนหนึ่ง แต่ต้องรอให้เลิกกับสามีก่อน ก็คงอีกไม่นาน เพราะตอนนี้กำลังจะโดนสามีทิ้งไปหาหญิงอื่น เป็นถึงเจ้าซะด้วย ที่สำคัญคุญแม่สามีจัดฉาก หามาให้”
พันกรรู้ทันทีว่าหมายถึงเขากับประภาพรรณ จ้องหน้าเอกราชแต่พูดอะไรไม่ออก เพราะรู้ว่าสิ่งที่เอกราชพูด แม่ของเขาทำจริงๆ เอกราชจ้องพันกรกลับอย่างไม่กลัวเกรงก่อนจะเดินเปิดประตูแล้วปิดอย่างแรง ออกไป แล้วหยิบโทรศัพท์โทรหานิโรบล
“นิด มิวยังอยู่ที่ร้านมั้ย”
เอกราชมาจอดรถที่หน้าบ้านพันกร เดินลงจากรถมาส่งประภาพรรณ
“ขอบคุณที่พี่เอกมาส่ง แต่มิวขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะคะ”
“ทำไมล่ะมิว”
“พี่แกล้งโง่รึไงเนี่ย ก็มิวไม่อยากให้คนบ้านนี้เข้าใจผิด ไม่อยากมีปัญหาหยุมหยิมกวนใจอะ”
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ พี่แค่มาส่งน้องสาว”
“ส่งก็ไม่ได้ อย่าทำให้มิวอึดอัดใจมากกว่านี้เลย”
“พี่โทรหาได้มั้ย”
“อย่าเลยพี่”
ปทุมวดีเดินเล่นในสวนใกล้กับประตูใหญ่หน้าบ้าน เห็นประภาพรรณคุยอยู่กับผู้ชาย ประภาพรรณเดินเข้ามาบ้านโดยไม่ทันเห็นปทุมวดี แต่ก็มีเสียงตะโกนตามหลังมา
“จะสวมเขาให้ผัว ก็ไปหาที่ทำให้มันไกลๆ หน่อย”
ประภาพรรณหันมาตามเสียงของปทุมวดี
“อย่ามาทำเรื่องสกปรกในบ้านฉัน”
ประภาพรรณถอนหายใจหนัก อึดอัดใจ
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ที่โต๊ะอาหารเย็น ปรีชาชาญ ปทุมวดี พันกร ประภาพรรณ นั่งกันอยู่พร้อมหน้า ปทุมวดีมองลูกสะใภ้อย่างหมั่นไส้
“ตากร รู้มั้ยว่าแกกำลังถูกสวมเขา”
พันกร ปรีชาชาญมองปทุมวดีด้วยความสงสัย
“เมื่อตอนเย็น เมียแกมันให้ชายชู้มาส่งถึงหน้าบ้าน ไม่รู้ไปไหนกันมานะ แต่ดูอาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน”
ประภาพรรณหยุดกิน
“แล้วยังมานั่งลอยหน้ากินข้าวกับสามีตัวเองอย่างไม่ละอายใจ”
“คุณแม่สามีเข้าใจผิดนะคะ”
“ผิดยังไง ก็เห็นกับตา ถ้าหล่อนจะมีชู้ ฉันก็ขอตากรคืนด้วย ตากรจะได้แต่งงานใหม่กับหนูแพนผู้เพียบพร้อม ไม่ใช่คนสำส่อนอย่างเธอ”
“คุณหญิง”
“คุณแม่สามีนี่ก็แปลก วันๆ ไม่ทำอะไร คอยแต่จะจ้องจับผิดลูกสะใภ้ ยุให้ผัวเมียเขาเลิกกันอยู่ได้ มันฟินนักรึไงคะ”
“ตากร เมียแกมันกำลังว่าแม่ มันว่าแม่เสือกนะ”
ประภาพรรณขยับจะพูดอะไรต่อ
“มิว พอได้แล้ว”
“คุณกร”
“พอทั้งคู่นั่นแหละ ทั้งคุณหญิง ทั้งหนูมิว”
ปรีชาชาญถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายที่ปทุมวดีกับประภาพรรณทะเลาะกันตลอด ประภาพรรณมองพันกรที่ทำหน้าเฉยเมย ตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะกินข้าวด้วยความอึดอัดใจ พันกรเดินตามภรรยาออกมาที่สวนหน้าบ้าน เห็นหญิงสาวเดินพูดโทรศัพท์อยู่ ก็หน้าบึ้ง เข้าใจว่าเธอต้องคุยกับเอกราชแน่
“ไอ้เอกราช เนี่ยยังคุยกันไม่เลิกใช่มั้ย”
พันกรเดินไปหาประภาพรรณเพื่อจะเข้าไปต่อว่า แต่ต้องเบาฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงประภาพรรณกำลังโมโห
“ตอนนี้ทุกคนในบ้านเข้าใจผิดกันหมดแล้ว หาว่ามิวเป็นชู้กับพี่”
“แต่เราไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาคิดนะ”
“เขาก็พูดตามที่เขาเห็นไง“
“มิวก็อธิบายไปซิ”
“พี่เลิกยุ่งกับมิวเถอะ มิวดูแลตัวเองได้”
พันกรเดินเข้ามาใกล้อีก
“ทำตัวให้สมกับที่มิวนับถือพี่เป็นพี่ชายด้วย ตอนนี้มิวมีสามีและรักสามีมาก มิวรักคุณกร มิวไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด พี่เข้าใจรึยัง”
เอกราชเศร้า วางสายเนือยๆ พันกรเดินเข้ามาโอบประภาพรรณตั้งใจง้อ ประภาพรรณตกใจ
“อุ๊ย คุณกร”
“ผมขอโทษนะมิว”
“ขอโทษอะไรคะ”
“ขอโทษเรื่องที่ไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจมิวไงครับ”
ประภาพรรณแอบยิ้มที่พันกรตามมาง้อ แต่ก็ยังตั้งแง่นิดๆ
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“ยกโทษให้สามีนะจ๊ะ เมียจ๋า”
“มิวรักคุณกรมากขนาดนี้ จะไปมีใครที่ไหนได้ เชื่อใจรึยังล่ะ”
พันกรพยักหน้าเขินๆ แล้วยื่นนิ้วก้อยมาง้อขอคืนดี สายตาเต็มไปด้วยความรักความจริงใจ
“เชื่อแล้วครับ เราดีกันนะ นะ นะ”
“มิวก็ไม่เคยโกรธคุณกรสักหน่อย”
พันกรหอมแก้มประภาพรรณทีเผลอแล้วกอดไว้ พร้อมสารภาพความรู้สึกในใจ
“แล้วผมก็ต้องขอบคุณมิวที่รักแล้วก็เชื่อใจผม ไม่โกรธผมเรื่องของคุณแพน เมียผมแมนมาก รู้มั้ยครับ”
“มิวเนี่ยนะ แมน แมนตรงไหน ผู้หญิงแท้ๆ”
พันกรมองสบตาแบบเจ้าชู้ แล้วก็ตรงเข้าไปกอด ระดมหอมภรรยาไม่หยุดอีกรอบ
“คืนนี้ต้องเรียกความทรงจำสักหน่อยว่า ผู้หญิงแท้เป็นไง”
“คนบ้า”
“บ้าก็บ้ารักเมียสิเอ๊า”
พันกรกอดประภาพรรณไว้อย่างนั้น หญิงสาวยิ้มมีความสุขที่คืนดีกันได้ ปทุมวดีเห็นเต็มสองตาว่าสามีภรรยาเคลียร์กันได้แล้ว ก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้านอย่างขัดใจ
เสริมบุญ กับน้ำ นั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารตามสั่งแบบบ้านๆ ลูกน้องของเสริมบุญเดินเข้ามาหา แต่จ้องน้ำตาเป็นมัน จนเสริมบุญต้องตบหัวเตือน
“เฮ้ยๆๆ จ้องให้มันน้อยๆ หน่อย”
“ลุงก็ ของสวยๆ งามๆ ใครๆ ก็อยากจ้อง”
“อย่าลีลา เอ็งมีอะไรก็ว่ามา”
ลูกน้องยื่นซองให้เสริมบุญ เสริมบุญหยิบออกมาเป็นรูปถ่ายบ้านพันกรด้านนอก รูปประภาพรรณเดินในสนาม รูปพันกรขับรถเข้ามาในบ้าน
“แม่เจ้าโว้ย บ้านหรือคฤหาสน์วะเนี่ย”
“ขอค่าเสียเวลาด้วย ลุง”
เสริมบุญยิ้มอารมณ์ดีแล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้ลูกน้อง
“เอาไป งกนัก”
ลูกน้องนับเงินอย่างพอใจ ก่อนจะกลับออกไปก็มองหน้าน้ำหื่นๆ
“ไปซ้อนมอไซกะพี่ปะจ๊ะ”
“เฮ้ย จะไหนไปก็ไป เดี๋ยวกูถีบเลย”
น้ำแสยะยิ้มอย่างรังเกียจ แล้วขยับไปดูรูปที่เสริมบุญได้มา
“บ้านใครอะลุง ใหญ่เบ้อเริ่มเลย”
เสริมบุญหยิบรูปบ้านพันกรและรูปของประภาพรรณมาดูอีกครั้ง ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ขุมทรัพย์ไงนังน้ำ เราจะรวยแล้วนะโว้ย”
น้ำมองรูปบ้านพันกร รูปพันกรและประภาพรรณอย่างใช้ความคิด
หน้าประตูบ้านใหญ่ สมหมายรีบรายงานประภาพรรณที่เดินออกมา
“คุณมิวครับ มีคนมาขอพบ บอกว่าเป็นคุณลุงของคุณมิวครับ”
“ลุง”
ประภาพรรณสงสัยว่าเป็นใคร เดินออกไปหาที่หน้าบ้านใหญ่ แล้วตกใจที่เจอเสริมบุญ แต่ก็ยกมือไหว้
“พะ ลุงเสริมบุญ”
เสริมบุญกระหยิ่มยิ้มย่องว่าหาประภาพรรณเจอจนได้
“ใช่ ข้าเอง ตัวเป็นๆ เลย”
“ลุง ลุงหาฉันเจอได้ยังไง”
“ข้าก็มีวิธีของข้า นังน้ำสวัสดีพี่มิวซะ”
“สวัสดีค่ะ พี่มิว”
ประภาพรรณพยักหน้ารับไหว้ มองหน้าน้ำ สรุปว่าคงเป็นเด็กที่เสริมบุญเลี้ยงไว้ให้ช่วยทำงานต้มตุ๋นรุ่นใหม่นั่นเอง
“ไม่เจอกันนาน สบายดีมั้ย”
“ลุงมีอะไรก็ว่ามาเลย”
เสริมบุญยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วบอกจุดประสงค์ทันที
“งั้นข้าก็ไม่เกรงใจ ข้าอยากจะมาขอเงินเอ็งใช้สักแสน เอาไปต่อทุนธุรกิจน่ะ”
ประภาพรรณพาเสริมบุญกับน้ำมาคุยในสวน หลังรู้จุดประสงค์ของเสริมบุญว่ามาไถเงิน
“ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำงานอะไร อาศัยช่วยทำงานบ้านแลกข้าวเขากินไปวันๆ ลุงขอผิดคนแล้วล่ะ”
“ถุย นังอกตัญญู เสียแรงข้าเลี้ยงมา อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าตอนนี้เอ็งเป็นลูกสะใภ้เศรษฐี พ่อผัวเป็นรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจพันล้าน แม่ผัวเป็นคุณหญิง ผัวก็เป็นนายตำรวจยศผู้กอง อย่ามาหลอกข้าว่าไม่มีเงินนะ นังมิว”
“ข้อมูลแน่นเหมือนเดิมนะลุง สมกับเป็นนักต้มตุ๋นตัวพ่อ แต่ข้อมูลที่ลุงรู้มา ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงอะไร เพราะฉันก็แค่คนอาศัยเขา ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านหรือทรัพย์สินอะไรที่ลุงโลภคิดจะมาขู่”
ประภาพรรณยังเห็นแก่บุญคุณที่เสริมบุญเคยเก็บตัวเองมาเลี้ยงดู เลยหยิบเงินส่งให้สามพันบาท
“ฉันให้ลุงได้แค่นี้แหละ เงินเก็บของฉัน ลุงรีบกลับไปเหอะ เดี๋ยวฉันเปิดประตูบ้านให้”
เสริมบุญแสยะยิ้ม ปัด ไม่ยอมรับเงินแค่สามพันบาท
“ข้าไม่ใช่ขอทาน”
เสริมบุญหรี่ตาเจ้าเล่ห์ ขยับเข้ามาใกล้ๆ
“ถ้าวันนี้ไม่ได้เงินแสน ข้าก็จะไปบอกทุกคนในบ้านว่าเอ็งเคยเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เป็นพวกต้มตุ๋นตัวแม่ ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้น เอ็งก็น่าจะนึกภาพออกนะ”
ประภาพรรณเก็บเงิน ยิ้มเชื่อมั่น ไม่ได้กลัวว่าใครจะรู้อดีตตัวเองเพราะไม่เคยคิดจะปิดบัง
“ลุงฟังฉันให้ดีๆ นะ ยังไงฉันก็ไม่มีเงินให้ ลุงจะกลับไปดีๆ หรือจะให้ฉันเรียกตำรวจมาเชิญออกไป”
น้ำเห็นว่าประภาพรรณเอาจริงแน่นอนเลยรีบบอกเสริมบุญ
“เรากลับกันเถอะ ลุงเสริม”
เสริมบุญไม่ได้อยากกลับแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการไถเงินประภาพรรณอย่างไรดี
“เออ ฝากไว้ก่อน นังมิว”
เสริมบุญกับน้ำยอมกลับออกไป ประภาพรรณส่ายหน้าระอา เดินไปส่งที่ประตูบ้านใหญ่ แต่คนเจ้าเล่ห์รอบจัดอย่างเสริมบุญแกล้งหันมาทำหน้าเศร้า เล่นละครหลอกอีก
“งั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของแม่ เอ็งละกัน ที่ข้ามาก็เพราะอยากได้เงินไปช่วยนังปราง แม่เอ็งตอนนี้มันกำลังลำบากมาก เป็นตายเท่ากัน”
“ปราง แม่ใคร ลุงเอาอะไรมาพูด”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ วะ แม่เอ็งมันชื่อปราง”
“ลุงอย่ามามั่ว ไหนเคยเล่าว่าเก็บฉันมาจากถังขยะไง”
“ก็ตอนนั้นข้าโกรธที่เอ็งดื้อดึงไม่ทำตามคำสั่ง จริงๆ แล้วเมื่อก่อนนังปรางก็ทำงานอยู่กับข้านี่แหละ พอมันท้องไม่มีพ่อ คลอดเอ็งแล้วมันก็หนีไป ปล่อยให้ข้าเลี้ยงมาจนโต”
เสริมบุญเห็นประภาพรรณอึ้งไป รีบเล่นละครต่อ
“เอ็งไม่คิดจะช่วยแม่เลยหรือไงวะ นังคนใจดำ”
ประภาพรรณมองเสริมบุญอย่างชั่งใจว่าสิ่งที่เสริมบุญพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ประภาพรรณรีบร้อนเดินเข้ามาในร้านกาแฟ นิโรบลเดินเข้าไปหา
“จู่ๆ คนที่ชื่อปราง โผล่มาเป็นแม่มิวได้ยังไงกัน”
“มิวก็ไม่รู้ แต่ถ้ามิวมีแม่จริงๆ ลุงเสริมก็ขู่ว่าแม่กำลังลำบากมาก”
“คำพูดของคนอย่างลุงเสริม เชื่อได้ที่ไหนกัน”
“มิวก็ไม่อยากเชื่อที่ลุงเสริมพูดหรอกนิด”
เอกราชเปิดประตูเข้าร้านมา
“มิวคิดถูกแล้วที่ไม่เชื่อ”
ประภาพรรณเห็นหน้าเอกราชก็มองหน้านิโรบล ที่รีบกระซิบบอกประภาพรรณ กลัวเพื่อนโกรธที่ตามเอกราชมา
“คนที่จะรู้เรื่องในอดีตของพวกเราดี ก็มีแต่พี่เอกนะมิว”
ประภาพรรณพยักหน้าเข้าใจความปรารถนาดีของนิโรบล ทั้งสามนั่งคุยกัน
“พี่ขอโทษเรื่องคุณพันกรนะ พี่ไม่อยากให้มิวต้องทะเลาะกับเขาเพราะพี่ พี่จะหาเวลาอธิบายให้ผู้กองฟังเอง”
“พี่เข้าใจก็ดี”
“แต่เรื่องลุงเสริม พี่ต้องขอเกี่ยวด้วยนะ พี่ไม่เชื่อที่ลุงเสริมบอก”
“นิดก็ไม่เชื่อ”
“พี่ไม่ไว้ใจคนอย่างลุงเสริม แกหลอกได้ทุกคนอยู่แล้ว คนที่ชื่อปราง แกจะไปเอามาจากไหนก็ได้”สองสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับเอกราช
“ถ้าลุงเสริมมาไถเงินมิวอีก โทรบอกพี่ พี่จัดการเอง”
“ได้ค่ะ”
โทรศัพท์มือถือประภาพรรณดังขึ้น เธอรีบรับสาย
“ค่ะ คุณกร”
“มิวอยู่ร้านกาแฟนิดใช่มั้ย”
“ค่ะ มิวคุยกับนิด กับพี่เอก”
ประภาพรรณรีบเอามือปิดปาก โมโหตัวเองที่หลุดปากชื่อเอกราชให้พันกรได้ยินแล้วไม่สบายใจอีก พันกรโมโหมากที่เอกราชตื้อมิวไม่เลิก
“เอกราช อีกแล้วเหรอ”
รองวิเชียรกำลังก้มอ่านเอกสารบนโต๊ะ ภายในห้องทำงาน พันกรเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา หน้าตาไม่สบายใจ เพราะไม่อยากร่วมงานกับเอกราชอีก
“ผมมีเรื่องปรึกษาครับ ท่านรอง”
“เรื่องอะไร”
“ผมขอเปลี่ยนตัวสายสืบเอกราชครับ”
“ขอเหตุผลด้วยว่าทำไมต้องปลี่ยน”
“ไม่สนิทใจที่จะร่วมงานด้วยครับ”
รองวิเชียรขำๆ กับท่าทีของพันกรที่ดูจริงจังกับเรื่องนี้มาก
“อะไรคือไม่สนิทใจ”
“ไม่สนิทใจคือ คือ”
รองวิเชียรเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน ตั้งใจรอฟัง แต่พันกรก็ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรเพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
“สายลับที่รู้เรื่องของเสี่ยเป้ดีมันมีไม่มากนะ ถ้าเหตุผลไม่ชัดเจน ผมคงอนุญาตไม่ได้”
พันกรจำต้องถอย เดินออกจากห้องรองวิเชียร จะกลับเข้าไปในห้องทำงาน เอกราชเดินมาดักไว้พร้อมบอกด้วยเสียงและแววตาจริงจัง
“ท่านรองบอกผมแล้ว ผมขออนุญาตเคลียร์กับผู้กองนะครับ”
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 8 (ต่อ)
พันกรผายมือไปทางห้องทำงานตัวเอง
“ว่ามา”
“เรื่องของมิว ผู้กองกำลังเข้าใจผิด ผมกับมิวรู้จักกันมานานมาก”
“แล้ว”
“ผมถึงรู้ว่ามิวคิดกับผมแค่พี่ชายไง แต่ผมก็ยังอดเป็นห่วงมิวไม่ได้ เวลาน้องสาวมีเรื่องไม่สบายใจ พี่ชายก็ไม่ควรนิ่งเฉย จริงมั้ยครับ”
“แต่ตอนนี้น้องสาวมีสามีแล้ว พี่ชายอยู่เฉยๆ ก็น่าจะเหมาะกว่าไม่ใช่รึ”
“โอเค. ถ้าที่ผ่านมา ผมล้ำเส้นไป ผมขอโทษ แต่ผมอยากให้ผู้กองเข้าใจผม และที่สำคัญผู้กองต้องเชื่อใจมิวด้วย”
เจอไม้นี้ พันกรอารมณ์ดีขึ้น ความหวงภรรยาก็ลดลง
“ก็ ใช่ ผมเชื่อใจมิวอยู่แล้ว”
เอกราชยื่นมือให้พันกรจับ
“งั้นเคลียร์นะครับ”
พันกรลีลานิดหน่อยแต่ก็จับมือกับเอกราช
“ผมจะเชื่อคำพูดของลูกผู้ชายแบบคุณสักครั้งละกัน”
เอกราชพยักหน้าให้พันกรอย่างโล่งอก
แต้วพาปรางเข้ามาหาปทุมวดีที่นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก แล้วแต้วก็ออกไป ปรางยกมือไหว้ปทุมวดีอย่างนอบน้อม นั่งลงด้วยอาการเจียมตัวมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ปทุมวดีมองสำรวจปรางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เธอว่าเธอเป็นแม่ของมิวเหรอ”
“ค่ะ หนูชื่อปราง เป็นแม่ของมิวค่ะ”
น้อยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ปราง ได้ยินชัดที่ปรางบอก เธอรีๆ รอๆ อยากรู้ว่าปรางจะพูดอะไรต่อ
“แกออกไปได้แล้ว นังน้อย”
น้อยจำใจต้องออกไป บุหงากับดวงแก้วมาแอบดูว่าปรางเป็นใคร มาพบปทุมวดีด้วยเรื่องอะไร น้อยเดินผ่านมา สองแม่ลูกรีบหลบมุมให้น้อยไปแล้วหันไปแอบดูต่อ ปทุมวดีถามปรางเสียงเข้ม
“แล้วเธอมีธุระอะไรกับฉันไม่ทราบ”
ปรางตีหน้าเศร้าเริ่มเล่าความเท็จ
“หนูอยากมาขอความกรุณาคุณหญิง หนูอยากจะพามิวกลับไปอยู่ด้วยน่ะค่ะ”
ปทุมวดีได้ยินสิ่งที่ปรางบอกแอบยิ้มในหน้า พอใจที่จู่ๆ เหมือนสวรรค์ช่วยให้มีคนมาพาประภาพรรณออกไปจากพันกรโดยไม่ต้องลงแรงหาทางไล่อีก แต่ก็ยังเชิดหน้า ทำเป็นไม่สนใจ
“แล้วมิวรู้มั้ยว่าเธอมาหาฉัน”
“ไม่ค่ะ เพราะมิวไม่เคยที่จะสนใจ ไม่เคยคิดจะดูแลแม่คนนี้”
ปรางแกล้งร้องไห้เอาฝ่ามือขึ้นซบหน้าให้น่าสงสาร
“ตอนนี้หนูกำลังมีปัญหาเป็นหนี้นอกระบบ ถ้าไม่รีบหาเงินไปให้พวกมัน พวกมันขู่จะฆ่าหนูทิ้งค่ะ”
ปทุมวดีตกใจที่ปรางถูกขู่ฆ่า ตกหลุมพราง ถามออกไปทันที
“แล้วเธอเป็นหนี้เยอะมั้ย”
ปรางทำท่าคิดคำนวณตัวเลขว่าจะโกหกเท่าไรดี ไม่ให้มากไปหรือน้อยไป
“ก็ สองแสนค่ะ แต่หนูไม่ได้จะมารบกวนอะไรคุณหญิงนะคะ หนูแค่อยากจะให้มิวไปช่วยทำงานหาเงินใช้หนี้ เลยจะมาขออนุญาตคุณหญิงน่ะค่ะ”
ปทุมวดียิ้มเจ้าเล่ห์ คิดหาทางกำจัดประภาพรรณให้พ้นจากบ้านได้ทันที
“ได้ซิ ฉันจะบอกมิวให้กลับไปอยู่ด้วย แล้วฉันยังจะให้เงินเธอสักก้อน ไปทำทุน”
ปรางดีใจ ไม่คิดว่าแผนหลอกเอาเงินปทุมวดีจะง่ายดาย
“เป็นบุญของมิวจริงๆ ที่มีแม่สามีประเสริฐอย่างคุณหญิง”
ปทุมวดีคลี่พัดเชิดหน้าที่มีคนเยินยอตัวเอง ในขณะที่บุหงากับดวงแก้วพากันมาหลบมุมคุยกัน สองแม่ลูกดูออกทันทีว่าปรางมาหลอกปทุมวดี รู้สึกขัดใจที่จู่ๆ บ่อเงินบ่อทองของตัวเองมีคนอื่นมาช่วยขุด
“มันเป็นใคร จู่ๆ มาขุดบ่อเงินบ่อทองตัดหน้าพวกเราเฉยเลย ยัยคุณหญิงเนี่ยก็โง่ได้โล่จริงๆ”
“ถ้ามันไม่โง่ มันจะถูกเราหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหรอแม่ก็”
สองแม่ลูกพากันหัวเราะชื่นชมในความฉลาดของตัวเอง
“แต่เราก็ไม่ควรให้คนอื่นมาแบ่งหน้าเค้กไปง่ายๆ นะ นังแพน”
บุหงาหน้าเครียด เห็นด้วยกับดวงแก้ว
น้อยหน้าตาตื่นวิ่งมาหาประภาพรรณในครัว
“คุณมิวคะ คุณมิว”
“มีอะไรน้อย หน้าตาตื่นเชียว”
“ก็ ก็ คุณแม่คุณมิวมานั่งคุยอยู่กับคุณหญิงที่ห้องรับแขกค่ะ”
ประภาพรรณตกใจ คิดว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ
“แม่เหรอ”
พอคิดได้ว่าต้องเป็นฝีมือเสริมบุญแน่ ประภาพรรณเลยรีบถลาวิ่งออกไปแอบดูที่ห้องรับแขก เห็นปทุมวดีกำลังเซ็นเช็คเงินสดยื่นให้ปราง
“คนนี้เหรอ ปราง แม่”
ประภาพรรณเห็นปรางทำตาลุกวาวเมื่อเห็นจำนวนเงินบนเช็ค รู้ทันทีว่าไม่ใช่แม่แน่นอน
“สิบแปดมงกุฎ ไอ้ลุงเสริม”
ประภาพรรณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเอกราช
“พี่เอก พวกมันลงมือกันแล้ว”
ปรางรีบเดินออกมาหน้าบ้าน ยิ้มสะใจกอดกระเป๋าถือแน่น
“อีคุณหญิงโง่”
ปรางตกใจที่เห็นบุหงา ดวงแก้วเดินมาดักหน้า เอามือกางขวางทางไว้
“อะไร พวกคุณมาขวางฉันทำไม”
“ฉันรู้นะว่าแกกุเรื่องเป็นแม่นังมิว มาหลอกเอาเงินคุณหญิงป้า”
“ถ้าแกไม่อยากถูกตำรวจจับ รีบเอาเงินไปคืนคุณพี่หญิงซะ”
ปรางแสยะยิ้ม มองสองแม่ลูกหัวจรดเท้า ไล่สายตาไปที่เครื่องประดับต่างๆ ที่ดวงแก้วใส่ ก็ดูออกว่าเป็นของปลอม
“อุ๊ยตาย สร้อยนั่นน่ะ เส้นละร้อยเก้าเก้าสินะ ฉันก็มีเส้นหนึ่ง”
ปรางขยับเข้าไปประชิดตัวทำท่าจะเอาเรื่อง จนบุหงา ดวงแก้วตกใจทำอะไรไม่ถูก
“พวกแกก็สิบแปดมงกุฎเหมือนกัน กำลังหลอกคุณหญิงหน้าโง่เหมือนกับฉัน เพราะฉะนั้น อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากถูกแฉกลับ”
“นี่แก”
บุหงา ดวงแก้ว โกรธที่ปรางรู้ทัน ได้แต่กัดฟันกรอด เพราะทำอะไรไม่ได้
เสริมบุญเอาเช็คเงินสดที่ได้จากปรางไปเก็บไว้ในที่ซ่อนของปลอม แล้วกลับมานั่งคุยกับปรางที่หลอกเอาเงินปทุมวดีมาให้
“สะใจโว้ย อีคุณหญิงหน้าโง่”
“ถ้ารู้ว่าง่ายแบบนี้ น่าจะขอไปเยอะๆ นะพี่เสริม”
เสริมบุญกับปรางหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เอกราชและตำรวจกรูกันเข้ามาในบ้าน ปรางหันไปเห็นก่อน รีบทรุดลงไปนั่งที่พื้น
“ตำรวจ”
เสริมบุญตกใจที่เห็นเอกราช
“เฮ้ยๆๆ อะไรกันวะ ไอ้เอก”
“ลุงถูกจับแล้ว ข้อหาฉ้อโกงทรัพย์คุณหญิงปทุมวดี”
“แกมีหลักฐานอะไร จะมาจับข้า”
พันกรมองหน้าเสริมบุญแล้วชี้ที่ปราง ซึ่งพยายามหลบตา
“ก็เช็คเงินสดที่ลุงให้ผู้หญิงคนนี้ ไปหลอกแม่ผมมาไง”
ปรางกลัวความผิด รีบปัดเพื่อเอาตัวรอด
“ใช่ๆ ฉันโดนบังคับให้ทำ อย่าจับฉันนะ”
ประภาพรรณเดินตามเข้ามา
“แม่กำละมอที่ลุงเมคขึ้น ถูกจับได้แล้ว”
“นังมิว นังอกตัญญู”
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะลุง ฉันไม่ทำชั่วตอบแทนคนชั่วต่างหาก”
“เออ ถ้าไม่มีหลักฐาน ผมจะฟ้องนะ คุณตำรวจ”
พันกรสั่งลูกน้อง
“ค้นให้ทั่ว”
ตำรวจพากันไปค้นในบ้านเสริมบุญ แต่ไม่เจอเช็คที่จะใช้เป็นหลักฐาน พันกรหน้าเครียดแอบสบตาประภาพรรณ เอกราชคิดไม่ออกว่าเสริมบุญเอาเช็คไปซ่อนที่ไหน เสริมบุญหัวเราะเยาะพวกตำรวจ
“จับข้าไม่ได้หรอกโว้ย ไหนล่ะ หลักฐาน”
น้ำเดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง ในมือถือเช็คของกลางที่ตำรวจกำลังหาอยู่
“พวกคุณหาไอ้นี่ใช่ไหมคะ”
น้ำพาพันกร เอกราชไปดูที่ซ่อนของปลอม พระปลอมต่างๆ ที่เสริมบุญเตรียมเอาไว้หลอกขาย เอกราชหันมาพูดใส่เสริมบุญ
“งานนี้ติดคุกหัวโตแน่ลุง ของกลางเพียบ”
ปรางดิ้นอีกรอบ ไม่อยากติดคุก
“พวกคุณได้หลักฐานแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ฉันถูกไอ้เสริมมันบังคับ”
“นังปราง มึงแหละตัวดี คิดจะเอาตัวรอดคนเดียวรึไง”
“ไม่ต้องเถียงกัน โดนหนักทั้งคู่นั่นแหละ”
ตำรวจคุมตัวเสริมบุญกับปรางออกไปนอกบ้าน เสริมบุญโกรธน้ำที่ทรยศ
“อีนังน้ำ อีงูพิษ กูไม่น่าเลี้ยงมึงมาเลย”
น้ำมองเสริมบุญสะใจ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเล่นละครให้ดูน่าสงสาร
“ก็น้ำไม่อยากเป็นพวกต้มตุ๋นนี่คะ ลุงเสริมบังคับให้น้ำทำ ถ้าน้ำ ไม่ทำ ลุงก็ตีก็ทำร้าย ให้อดข้าว น้ำกลัวค่ะ ฮือ ฮือ”
น้ำทำท่าหวาดกลัวมากมาย ประภาพรรณเห็นก็เวทนา
“ไม่ต้องร้องไห้ พี่เข้าใจน้ำนะจ๊ะ”
น้ำยิ่งร้องไห้แล้วโผเข้ากอดประภาพรรณซึ่งกอดตอบด้วยความสงสาร พันกร เอกราชมองน้ำอย่างเห็นใจ แต่น้ำแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
พันกรนั่งอยู่กับรองวิเชียรในห้องทำงานของรองวิเชียรเอง
“ทำดีมาก ผู้กองพันกร”
“ขอบคุณครับ”
“ถึงจะเป็นแก๊งต้มตุ๋นเล็กๆ แต่ก็ตามจับกันมานานแล้ว บางทีอาจจะสามารถขยายผลไปหาแก๊งระดับชาติของเสี่ยเป้ก็ได้”
“ครับ ผมจะรีบสืบต่อยอด แล้วจัดการกับเสี่ยเป้ให้เร็วที่สุดครับ”
รองวิเชียรยิ้มพอใจที่พันกรมุ่งมั่นจะจับเสี่ยเป้ให้ได้
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ราตรีวิ่งเข้ามาหาปทุมวดีในห้องรับแขกด้วยความตื่นเต้น ปรีชาชาญก็นั่งอยู่ด้วย
“คุณพี่ เห็นตัวเองในทีวีหรือยังคะ”
ปทุมวดีหัวเราะคิกคัก ด้วยความเขิน
“เห็นแล้วค่ะ คุณน้อง”
“ออกข่าวกันใหญ่โต ว่าคุณพี่เป็นแม่พระเลยนะคะ”
ปทุมวดีหัวเราะอย่างพอใจที่ถูกเยินยอ
“แหม คุณพี่ก็แค่ทำหน้าที่พลเมืองดี”
ราตรีชะโงกหน้าเข้ามาถามกระซิบกระซาบ
“แล้วจริงรึเปล่าคะที่คุณพี่ยอมทุ่มเงินหลายแสน เป็นเหยื่อล่อพวกสิบแปดมงกุฎ จนตำรวจมีหลักฐานตามไปจับได้ยกแก๊ง”
ปทุมวดีตอบเสียงดัง ไม่เก็บอาการอีกต่อไป แล้วหัวเราะร่าอารมณ์ดี
“ก็ ประมาณนั้นล่ะค่ะคุณน้อง”
ปรีชาชาญหันมาแซว
“โดนชมทั้งวันจนตัวจะลอยไปถึงเพดานบ้านอยู่แล้ว”
“โถคุณพี่ปรีชาขา ทำดีก็ต้องชมซิคะ แล้วเด็กผู้หญิงที่ถูกหลอกมา โดนบังคับให้ทำงาน คุณพี่ไม่คิดจะช่วยเหรอคะ”
“ก็ คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าจะช่วยยังไงดี น่าเวทนา”
ปทุมวดีทำท่าเหมือนนางงามรักเด็ก แล้วกลอกตาไปมา หวังจะได้หน้าอีก ก่อนหันไปสั่งการแต้ว
“แต้ว ไปเรียกนัง เอ๊ย คุณมิวมาพบฉันหน่อย”
“ได้ค่ะ คุณหญิง”
ประภาพรรณพาปทุมวดีกับราตรีมาที่บ้านเสริมบุญเพื่อช่วยน้ำ ปทุมวดี ราตรีเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณแม่สามี คุณหญิงราตรีนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้ค่ะ”
ปทุมวดีกับราตรีตัดสินใจเดินไปนั่ง ประภาพรรณกำลังจะเดินไปหาว่ามีใครอยู่หรือไม่ ก็เห็นน้ำหิ้วกระเป๋าเตรียมตัวจะออกไปจากบ้าน
“น้ำ จะไปไหน”
น้ำทำหน้าเศร้าๆ หางตาเห็นแล้วว่าประภาพรรณมากับใคร เธอเล่นละครให้น่าสงสารต่อ
“น้ำก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกันค่ะ แต่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว น้ำอยากหางานทำ อยากมีชีวิตใหม่”
ประภาพรรณเข้าไปกอด ปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วงนะ ทุกอย่างจะดีขึ้น เมื่อก่อนพี่ก็เคยถูกหลอกเหมือนกัน นี่คุณหญิงอยากจะพาน้ำไปอยู่ด้วยนะจ๊ะ”
น้ำเผลอดีใจ
“เหรอคะ”
ปทุมวดีกับราตรีเห็นว่าน้ำมองมา เลยเรียกให้เข้าไปหา น้ำนั่งลงที่พื้นบ้าน ทำตัวเรียบร้อยอ่อนหวาน ปทุมวดีมองพอใจแล้วบอกจุดประสงค์ด้วยเสียงเมตตาใจดี
“ฉันจะพาหนูไปจากที่นี่ ไปอยู่ที่บ้านฉันชั่วคราวก่อน จะเรียน จะทำงานหรือจะไปต่อยังไง ค่อยๆ คิดกันดีมั้ยจ๊ะ”
น้ำมองปทุมวดีกับราตรีอย่างขอบคุณ แล้วก้มลงกราบที่ตักด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบพระคุณมากค่ะ คุณหญิง”
ราตรีใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้อย่างฉับไว ราวกับนักข่าวสาว
“เดี๋ยวน้องส่งข่าวให้เพื่อนที่เป็นบอกอ หนังสือพิมพ์เองค่ะ”
ปทุมวดีหัวเราะชอบใจ
“จะดีเหรอคะ คุณน้องราตรี เดี๋ยวใครจะหาว่าพี่หญิงทำดีเอาหน้า”
ปทุมวดีปากไม่ตรงกับใจ พูดเสร็จก็มาโพสต์ท่าลูบหัวน้ำแล้วมองกล้องยิ้มแย้ม ราตรีรีบกดถ่ายภาพ
“ถ่ายอีกรูปดีมั้ยคะ คุณน้องราตรี จะได้มีหลายๆ รูปให้เลือก”
ปทุมวดีวางท่ากอดน้ำ แววตาเห็นใจรักใคร่มากมาย แล้วโพสต์ท่าให้ราตรีถ่ายอีกสองสามช็อต ประภาพรรณมองสองคุณหญิงอย่างอึ้งๆ
ประภาพรรณพาน้ำเข้ามาที่บ้านพันกร น้ำยกมือไหว้ปทุมวดี ปรีชาชาญ ประภาพรรณสะกิดให้น้ำไหว้บุหงากับดวงแก้วด้วย สองแม่ลูกเชิดหน้ารับไหว้ตามมารยาท มองด้วยหางตา แสดงชัดว่าไม่ชอบน้ำ
“ตามสบายนะหนูน้ำ ต้องการอะไรยังไงก็บอกแม่ เอ๊ยหนูมิว ได้เลย”
“พ่อฝากมิวเป็นธุระหน่อยนะลูก”
“ค่ะ คุณพ่อ”
ประภาพรรณพาน้ำออกไปจากห้องนั่งเล่น บุหงากับดวงแก้วไม่ค่อยพอใจ แต่จำต้องยิ้มเหมือนไม่มีอะไร
ประภาพรรณพาน้ำมาที่ห้องครัว เจอป้าบัวเผื่อน ป้าม้วน แต้ว น้อย เดช สมหมายและกล้า
“ฉันฝากน้ำกับทุกคนด้วยนะจ๊ะ ค่อยๆ แนะนำตัวกันไป”
“สวัสดีค่ะ ป้าแล้วก็พี่ๆ น้ำหนีร้อนมาพึ่งเย็น ฝากตัวด้วยนะคะ”
กล้า เดช สมหมายยิ้มกรุ้มกริ่มที่จะมีสาวๆ เข้ามาอยู่ในบ้าน ผิดกับป้าม้วนกับแต้วที่ไม่คอยพอใจ
“พี่กล้านะจ๊ะ มีอะไรให้ช่วยบอกพี่ได้”
แต้วรีบปรามกล้า แววตาหวงๆ
“น้อยๆ หน่อยพี่กล้า เรื่องเก่าๆ ของเรายังไม่เคลียร์นะ”
กล้าไม่พูดต่อ ไม่อยากมีเรื่องกับแต้ว เดชกับสมหมายต้อนรับอย่างดี
“เราก็อยู่กันอย่างพี่น้อง ตามสบายนะ”
“กันเอง”
น้ำยกมือไหว้ทุกคนแทบจะรอบวงอีกรอบ ป้าบัวเผื่อนดูจะพอใจน้ำ
“น้อย พาน้ำไปดูห้องพักแล้วกลับมาหาป้า เดี๋ยวจะหาข้าวให้กิน”
“ตามมาทางนี้สิ”
น้อยกำลังจะพาน้ำเดินไป แต่น้ำหันมายกมือไหว้ประภาพรรณก่อนไป
“ขอบคุณพี่มิวมากนะคะ”
“ไม่เป็นไร อยู่ให้สบายใจนะ มีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้”
ประภาพรรณยิ้มๆ แล้วก็เดินกลับออกไป ป้าม้วนพูดกับแต้ว มองน้ำอย่างสงสัย
“คนใช้ล้นบ้านขนาดนี้ ไม่รู้คุณหญิงคิดอะไร จะรับมาให้เปลืองข้าวสุกทำไมวะ”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าถิ่น ก็ต้องเจอนังแต้วจัดให้”
บุหงานั่งชันเข่าอยู่มุมหนึ่งของห้อง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงแก้วมาส์คหน้าเสร็จแล้ว เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นลูกสาวนั่งหน้าเครียดก็นึกสงสัย
“ทำไมนั่งหน้าเครียดขนาดนั้นวะ นังแพน เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวหมดหรอก มานี่มา เดี๋ยวฉันมาส์คหน้าให้”
ดวงแก้วเดินไปจูงบุหงามานอนหนุนตัก กุลีกุจอแกะมาส์คอันใหม่เตรียมจะมาส์คหน้าให้ลูกสาว
“จะไม่ให้เครียดได้ยังไงล่ะแม่ นังคุณหญิงดันไปเอาเก็บเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยแบบนี้”
“เออ จริงของแก ฉันเนี่ยนะไม่ชอบขี้หน้ายัยเด็กน้ำ เนิ้มอะไรนี่เล้ย”
“ท่าทางหงิมๆ ติ๋มๆ ไม่มีอะไรแบบนี้ อาจจะร้ายกว่าที่เห็นก็ได้”
สองแม่ลูกมองหน้ากันเครียด รู้สึกขัดใจที่ปทุมวดีพาน้ำมาอยู่ด้วย ดวงแก้วปะแผ่นมาส์คหน้าให้บุหงาอย่างใจลอย รู้สึกไม่ถูกชะตากับน้ำเหมือนกัน
ตอนเช้า พันกร ประภาพรรณ ปทุมวดี ปรีชาชาญ บุหงาและดวงแก้วนั่งกินข้าวกันอยู่ ปทุมวดีอ่านหนังสือพิมพ์แล้วรู้สึกคอแห้ง กระแอมขึ้นมาหนักๆ
“คอแห้งจังเลย ใครก็ได้”
ปทุมวดีจะหันไปสั่งป้าม้วนและแต้ว แต่มีมือของใครคนหนึ่งยื่นแก้วน้ำเข้ามาเสียก่อน ปทุมวดีมองตามเห็นเป็นน้ำ
“น้ำผึ้งผสมมะนาวอุ่นๆ ช่วยอาการเจ็บคอได้ค่ะ คุณหญิง”
ปทุมวดีอึ้งตกใจ ว่าน้ำรู้ได้ยังไงว่าเธอเจ็บคอ ประภาพรรณ พันกร บุหงา ดวงแก้วและปรีชาชาญมองน้ำเป็นตาเดียวด้วยความทึ่ง น้ำตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนชักจะเขินๆ เลยก้มหน้าหลบสายตาทุกคน
“คือ น้ำเห็นคุณหญิงกระแอมมาสักพักหนึ่งแล้วน่ะค่ะก็เลย”
ปทุมวดีมองท่าทางอ่อนน้อมและการเอาใจใส่ของน้ำแล้วประทับใจมาก รับน้ำผึ้งผสมมะนาวของน้ำมาจิบอย่างอารมณ์ดี
“ขอบใจนะจ๊ะ”
ปรีชาชาญชื่นชม
“หนูน้ำนี่ช่างสังเกตและใส่ใจคนรอบข้างจริงๆ เลยนะ”
ป้าม้วนเห็นเจ้านายออกมาปากชมรีบเสนอหน้าเข้ามาชมน้ำด้วย ตามประสาคนสอพลอ
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ช่างใส่ใจ ช่างเอาอกเอาใจ”
ป้าม้วนปรายตาไปทางประภาพรรณ แต้วรีบรับลูก
“ใช่ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้นะคะ”
ป้าม้วนและแต้วหันมาตีมือกันอย่างถูกใจ พากันหัวเราะคิกคักที่พูดแขวะประภาพรรณได้
“พวกแกเองก็เหมือนกันนั่นแหละ นังม้วน นังแต้ว ถ้าฉันไม่สั่ง ก็ไม่ทำ”
ป้าม้วนและแต้วหน้าเจื่อนที่ถูกปทุมวดีต่อว่า แผนการเอาหน้าเที่ยวนี้กลับไม่เป็นผล ประภาพรรณลอบส่งสายตายิ้มเยาะใส่ป้าม้วนและแต้ว ทั้งสองเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้ มองปทุมวดีจ๋อยๆ ปรีชาชาญหยิบแก้วกาแฟของตัวเองจะดื่ม แต่ปรากฏว่ากาแฟหมด น้ำรอจังหวะอยู่แล้วรีบถาม
“คุณท่านจะรับกาแฟเพิ่มใช่มั้ยคะ”
น้ำไม่รอช้า กระวีกระวาดไปหยิบกาแฟมาเติมให้ปรีชาชาญ ปทุมวดีมองปลื้ม เอ็นดูน้ำมาก กาแฟในแก้วของพันกรก็หมดเช่นกัน น้ำรู้ดีว่าควรเอาใจประภาพรรณ มองสบตาประภาพรรณเหมือนจะบอกว่ากาแฟพันกรหมด
“คุณกรจะรับกาแฟเพิ่มมั้ยคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณนะครับที่รัก”
พันกรทำตาหวานกับประภาพรรณ น้ำอมยิ้มไปกับท่าทางหวานๆ ของทั้งคู่ บุหงากับดวงแก้วหันมาเบ้ปากใส่ประภาพรรณ แล้วหันไปค้อนน้ำด้วยความหมั่นไส้และริษยา
ปทุมวดีเดินเข้าไปนั่งที่เบาะหลังของรถ บุหงากับดวงแก้วขึ้นรถ จำต้องนั่งด้านหลัง เดชเดินมาเปิดประตูข้างคนขับให้น้ำ แต่น้ำยืนนิ่ง ลังเลไม่กล้าตัดสินใจ ประภาพรรณเดินออกมา ปทุมวดีเร่ง
“หนูน้ำรีบขึ้นรถสิจ๊ะ เดี๋ยวคุณหญิงอมราจะรอนาน เราเป็นเด็กไม่ควรให้ผู้ใหญ่รอ มันเสียมารยาท”
น้ำรู้สึกไม่มั่นใจ เลยถามปทุมวดีด้วยหน้าตาใสซื่อ
“แต่คุณหญิงคะ น้ำขอพาพี่มิวไปด้วยได้มั้ยคะ”
ปทุมวดีอึ้งตกใจกับคำขอของน้ำมาก ประภาพรรณเดินเข้ามาไม่พูดอะไร บุหงาและดวงแก้วเริ่มหงุดหงิดที่ต้องร่วมทางไปกับน้ำ ทำให้สองคนต้องนั่งเบียดที่เบาะหลังกับปทุมวดี
“นี่เธอจะเอานัง แม่มิวไปด้วยทำไมกันยะ”
“ใช่ แค่เธอมาเพิ่มอีกคน รถก็เต็ม ฉันกับแม่ต้องยอมนั่งเบียดคุณหญิงป้าที่ด้านหลังเนี่ย เห็นมั้ย”
น้ำได้ยินสองแม่ลูกคัดค้านก็หน้าเสีย พูดความกังวลของตัวเองออกมา
“แต่ถ้าจะให้น้ำไปคนเดียว น้ำก็กลัวทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป แล้วคุณหญิงกับคุณๆ จะเสียหน้านะคะ” ปทุมวดี บุหงาและดวงแก้วเลิ่กลั่ก เพราะที่น้ำพูดก็มีเหตุผล
“อย่างน้อยถ้ามีพี่มิวไปเป็นเพื่อน น้ำจะได้มั่นใจมากขึ้นไงล่ะคะ”
พวกปทุมวดีมองหน้ากันเครียด
“ก็ได้ ฉันให้เธอพาแม่มิวไปด้วยก็ได้”
บุหงาและดวงแก้วตกใจกับการตัดสินใจของปทุมวดีมาก ประภาพรรณยืนดูอยู่นานแล้วยิ้มหวานพูดขัดขึ้นทำเอาสองแม่ลูกอึ้ง
“คุณแพนกับคุณดวงแก้วก็ให้นายกล้าไปส่งสิคะ หรือถ้าจะเบียดๆ ไปรถคันเดียวกันก็ได้นะคะ มิวไม่ถือ”
ประภาพรรณตั้งท่าจะเข้าไปนั่งเบียดปทุมวดี บุหงาและดวงแก้วทนไม่ไหว โวยวายออกมา
“โอ๊ย พอ”
“หยุด”
ประภาพรรณเลิกคิ้วมองสองแม่ลูกอย่างกวนประสาท สองแม่ลูกหน้าง้ำ เจ็บใจ
“คุณพี่หญิงคะ น้องขอแยกคันไปแล้วกันนะคะ”
บุหงาและดวงแก้วยอมแพ้ เปิดประตูรถอีกด้านเดินเชิดลงไปด้วยความเจ็บใจ ประภาพรรณยักไหล่ใส่
“ขอบคุณมากนะคะคุณหญิง พี่มิวคะ ไปกันเถอะค่ะ”
น้ำไหว้ขอบคุณปทุมวดีอย่างซาบซึ้ง แล้วหันไปฉีกยิ้มหวานให้ประภาพรรณก่อนเดินขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ประภาพรรณเข้าไปนั่งเบาะหลังกับปทุมวดี ปทุมวดีเขยิบหนีไปนั่งติดประตูอีกด้านอย่างรังเกียจ เดชอมยิ้ม ขึ้นขับรถออกไป บุหงาและดวงแก้วมองตามรถของปทุมวดีออกไปด้วยความเจ็บใจ
“เห็นมั้ยล่ะ แม่ คิดแล้วไม่มีผิด”
กล้าขับรถเข้ามาจอดเทียบ มองบุหงาละดวงแก้วยิ้มๆ รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่สองแม่ลูกถูกประภาพรรณแกล้ง
“ยิ้มอะไรของแก ไอ้กล้า”
“เปล๊า แล้วตกลงจะไปสมาคมกันมั้ยครับ คุณดวงแก้ว คุณหนูแพน”
สองแม่ลูกมองกล้าค้อนๆ แล้วขึ้นไปนั่งบนรถ กล้าขับพาออกไป
จบตอนที่ 8