รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2
ตำรวจท้องที่เพิ่งมาถึง พวกเขารีบกรูมาดึงตัวคู่กรณีออกจากกัน คิมหันต์ยอมให้ตำรวจควบคุมตัวไปโรงพักโดยดี
ไม่นานถัดมา อาณัติก้าวเข้ามาสมทบในห้องสอบสวน เบื้องหน้าเขาคือ ชุมสาย และ มุกริน พลางเอ่ยปากต่อว่าเสียงดังชัดเจน
“ใช้ไม่ได้จริงๆเลย พวกคุณเนี่ย ผมต้องพูดตรงๆ อย่างนี้แหละ เพราะมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้นเลย การทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินส่วน บุคคลกันอย่างนี้ มันเป็นการก่อคดีใหม่ มันไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นโจทก์ใครเป็นจำเลยในคดีเดิม ไม่เกี่ยวเลย เพราะฉะนั้นจะมาสร้างคดีความให้มันซ้อนกันเข้าไปอีกทำไม ผมบอกเลยนะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถือหางเข้าข้างใคร มากกว่าใคร เราว่าไปตามเหตุผลและหลักความจริง”
อาณัติหันไปพูดใส่หน้าชุมสายเป็นการเฉพาะ
“เพื่อนคุณอาจเป็นโจทก์ในคดีนึง แต่ก็เป็นจำเลยในอีกคดีได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นช่วยเตือนคนของคุณหน่อยได้มั้ย ความจริงพวกคุณก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” แล้วหันมาทางมุกริน “ฝ่ายนึงก็คู่หมั้นคุณ อีกฝ่ายก็พี่ชายคุณ”
ทนายบรรเจิดเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง เขาตรงเข้าไปหาท่านรองอาณัติ
“ขออนุญาตครับ ผมบรรเจิด ทนายความของคุณธาดา”
“ผมทราบครับ”
“ลูกความผมตกลงใจแล้วว่า จะไม่ขอเอาความเรื่องทำร้ายร่างกายกัน”
อาณัติพยักหน้า “งั้น ก็ดี”
“ส่วนเรื่องรถ ที่เสียหาย...”
ชุมสายแทรกขึ้นว่า “นายคิมหันต์ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดครับ”
อาณัติเหมือนจะโล่งอก “ดี เดี๋ยวผมให้ร้อยเวรลงบันทึกประจำวัน เปรียบเทียบปรับ แล้วก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไปได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของคู่กรณี ผมจะปล่อยออกไปทีละคน ไม่พร้อมกันนะครับ”
มุกรินและชุมสายพยักหน้ารับคำ
ทนายบรรเจิดกระเถิบเข้าใกล้ท่านรองอาณัติ
“เอ้อ ส่วนคุณธาดา ลูกความของผมน่ะ ผมขอฝากไว้ที่นี่ซักคืนก่อนได้มั้ยครับ เพื่อความปลอดภัยเหมือนกัน”
อาณัติแปลกใจ “ว่าไงนะ”
“พรุ่งนี้เช้า ผมจะทำเรื่องขอถอนประกัน”
มุกรินก็แปลกใจ “ทำไมคะ”
“ให้แกอยู่ในเรือนจำจะปลอดภัยกว่าออกมาข้างนอกครับ รอออกมาทีเดียวตอนชนะคดีเลยดีกว่า เชื่อผมซี่” บรรเจิดบอก
ห้องคุมขังผู้ต้องหา บนโรงพักแห่งนี้ มีสองห้องอยู่ติดกัน ธาดาและคิมหันต์ถูกแยกให้อยู่คนละห้อง
ดาบตำรวจเดินไปไขกุญแจห้องคิมหันต์ พอคิมหันต์เดินออกจากห้องขังผ่านหน้าห้องธาดา เขาหันไปมองจ้องธาดา สายตาแข็งกร้าว
ธาดาด่าออกไป “มองเหี้ยอะไร”
“ก็รู้นี่ ไม่เห็นต้องถาม”
คิมหันต์เดินออกไปดาบเดินตาม ธาดาตะโกนโวยวายดังลั่น ตามหลังไปงงๆ
“เฮ้ย แล้วผมล่ะดาบ ทำไมไม่ปล่อยผมด้วยล่ะ ปล่อยไอ้เหี้ยนั่นไปคนเดียวได้ไง มันชกผม ทำรถผมพังนะ ต้องปล่อยผมซี่ ไม่ใช่ปล่อยมัน ดาบ ได้ยินมั้ยดาบ”
ทนายบรรเจิดยืนคุยอยู่กับมุกรินบริเวณโถงกลางบนโรงพัก
“คุณมุกรินกลับบ้านได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปทำความเข้าใจกับพี่ชายคุณเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องกังวลนะครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ที่ต้องทำให้คุณธาดา สะดวกสบายและปลอดภัยที่สุด เสธ.ท่านกำชับมา”
มุกรินสะดุดหู สีหน้าฉงน “เสธ.”
“ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพน่ะครับ ท่านเอ็นดูพี่ชายคุณ”
ทนายบรรเจิดเดินกลับเข้าไปยังบริเวณห้องคุมขัง
ขณะคิมหันต์และชุมสายเดินสวนออกมา คิมหันต์ตรงไปยืนข้างๆ มุกริน ทั้งคู่ต่างหายใจลึกๆ สักพัก
“มุก”
มุกรินมองหน้าคิมหันต์ รอฟังประโยคต่อไป
“ผมไปส่งมุกที่บ้านเอง”
คิมหันต์เดินนำลงโรงพัก ตรงไปยังรถของตน มุกรินค่อยๆ เดินตามไป ในที่สุด
รถซึ่งคิมหันต์ขับแล่นไปบนถนนหลวง ยามราตรีกาล สายตาคิมหันต์มองตรงไปเบื้องหน้า นิ่งตั้งแต่ออกพ้นมาจากโรงพักจนเวลานี้ มุกรินเองก็เอาแต่มองออกไปนอกรถ นิ่งเช่นกัน
ทั้งคู่ต่างไม่มีเรื่องที่จะเอ่ยปากพูดกัน
เดาได้ไม่ยากว่า เสียงเพลงแห่งความรัก ความระทมทุกข์ ได้ทำหน้าที่แทนบทสนทนาในใจของเขาและเธอ สองคนที่รักกันมากที่สุด และอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกัน
รถคิมหันต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมุกริน ทั้งคู่ยังนั่งนิ่ง ไม่พูดจากันสักคำ มุกรินตัดสินใจเอ่ยปากออกมาก่อนว่า
“เข้าไปในบ้านมุกก่อนมั้ย”
คิมหันต์ไม่ตอบ เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือมุกรินอย่างนุ่มนวล มุกรินรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ดูเหมือนน้ำตาจะค่อยๆ เอ่อออกมานิดๆ
“เราไม่มีอะไรจะพูดกันแล้วเหรอ” หญิงสาวถามคนรักเสียงเบาหวิว
คิมหันต์มองหน้ามุกริน นิ่งๆ เต็มๆ ตา
“มันจะเป็นอย่างนี้อีกนานมั้ย คิม”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
สุดท้ายคิมหันต์ตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ มุกรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินตรงเข้าบ้าน
รูปคู่คิมหันต์ มุกริน ตั้งประดับอยู่ทั้งบนหลังโต๊ะ และตู้โชว์ใบเก๋ ทั่วห้องรับแขก คิมหันต์ยืนมองรูปเหล่านี้อยู่สักระยะหนึ่งแล้ว มุกรินยืนนิ่งๆ อยู่ด้านหลังเขา
“เปลี่ยนเสื้อมั้ย เสื้อคิมอยู่ที่นี่ตั้งสองสามตัว มุกหยิบให้นะ”
มุกรินขยับตัวจะเดินขึ้นบันไดไป
“ผมไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้เลยนะมุก”
“มุกรู้ค่ะ”
“มุกรู้ไม่ทั้งหมดเท่าที่ผมรู้สึกหรอก ผมคือคนที่สูญเสีย ผมเสียพี่สาวไปทั้งคน มุกจะให้ผม...”
มุกรินสวนออกมา “คิมไม่ต้องพูดหรอกค่ะ...มุกเข้าใจ”
“เข้าใจไม่เหมือนรู้สึกเองหรอกมุก เพราะเราอยู่กันคนละฝั่ง เราสูญเสียไม่เท่ากันนะมุก”
“เท่ากันสิคิม เพราะมุกไม่เคยอยู่ตรงข้ามกับคิม มุกอยู่ข้างเดียวกับคิมเสมอ สุขเราก็สุขด้วยกัน ทุกข์เราก็ทุกข์ด้วยกัน เราเคยเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เราเคยเป็น”
“เรายังเป็นอยู่ค่ะ คิม”
“ถ้าคนที่ฆ่าพี่มลจะไม่ใช่พี่ชายคุณ และไม่ได้เกิดขึ้นในวันครบรอบวันหมั้นของเรา”
มุกรินนิ่งงันไป
“ถ้าคืนนั้นผมอยู่กรุงเทพฯ พี่มลคงเรียกให้ผมไปหา แล้วเรื่องนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น”
มุกรินยังคงนิ่งอยู่ ส่วนคิมหันต์พรั่งพรูอารมณ์ออกมามากยิ่งขึ้น
“เขาวางแผนไว้หมดแล้ว นายธาดามันวางแผนไว้แล้วว่าจะฆ่าพี่มลวันนี้”
มุกรินตกใจนิดๆ “คิม”“ทำไมมุกต้องเป็นน้องสาวมันด้วย...ทำไม”
มุกรินจับไหล่ทั้งสองข้างของคิมหันต์ เธอพยายามดึงรั้งให้เขาหันมามองหน้าเธอ เพื่อลดอาการคุ้มคลั่ง
“มันเป็นกรรมค่ะ ไม่มีใครฝืนกฏแห่งกรรมได้นะคิม และถ้าพี่ใหญ่ทำผิดจริงเขาก็ต้องรับผลกรรมนั้นในที่สุด”
“มุกยอมรับมันได้ใช่มั้ย”
“ค่ะ แต่ถ้าพี่ใหญ่ไม่ได้ทำ คิมก็ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน” เธอบอก
“ไม่มีทาง มุกก็รู้ว่า เป็นเขา...มันต้องเป็นเขา”
คิมหันต์เปลี่ยนอิริยาบถ มุกรินหายใจลึกๆ ก่อนตัดสินใจพูด
“มุกได้พูดกับพี่มลด้วยค่ะ วันนั้น”
คิมหันต์พลิกหน้ามามองมุกรินอย่างสนใจ
“ตอนไหน”
“ตอนเช้ามืด พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ เขาโทร.หาพี่มล แล้วก็ทะเลาะกันดัง พี่ใหญ่ส่งโทรศัพท์ให้มุกช่วยพูดด้วย”
“แล้วพี่มลว่าไง”
“เงียบค่ะ พี่มลไม่ได้พูดอะไร เขาคงกำลังโกรธพี่ใหญ่อยู่”
“หรือไม่ก็ตายไปก่อนหน้านั้นแล้ว” คิมหันว่า
ทั้งสองนิ่งไปอีกพักหนึ่ง มุกรินกระเถิบเข้าไปใกล้คู่หมั้นบอกเขาด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
“เราลองไม่พูดเรื่องนี้กันมั้ยคิม”
“เผื่อพี่มลจะฟื้นขึ้นมาเหรอ” คิมหันต์อดแดกดันไม่ได้
“เผื่อว่าความสัมพันธ์เราจะกลับมาเหมือนเดิม”
มุกรินค่อยๆ ถอดเสื้อชายคนรักออก คิมหันต์กอดมุกรินไว้ แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ในห้อง ทั้งคู่ต่างถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่นให้กันและกัน
“นานมั้ยคะ กว่าเรื่องนี้จะจบ” มุกรินถาม
“กว่าจะขึ้นศาลก็เกือบสองเดือน เราคงต้องเลื่อนงานแต่งงานของเรา”
“ค่ะ” มุกรินยอมรับโดยดี
“เราอยู่ห่างๆ กันซักพัก ดีมั้ยมุก”
“หืม…”
“เราจะได้ไม่ผิดใจกันระหว่างการพิจารณาคดี”
“ห่างแค่ไหนเหรอ”
“ผมจะไปอเมริกา ไปที่ที่เราเคยเจอกันครั้งแรก”
“ซานฟราน...” มุกรินจำได้ เขากับเธอเจอกัน และตกหลุมรักกันและกันที่ซานฟรานซิสโก อเมริกา
“อืม มุกจะได้ทำงานโดยไม่ต้องกังวลกับความรู้สึกของผม เรากลับมาเจอกันอีกทีตอนขึ้นศาลเลย”
“กลับมาแล้ว คิมยังจะรักมุกเหมือนเดิมมั้ย”
“ผมสัญญา”
“มุกคงคิดถึงคิมมาก”
“ผมก็เหมือนกัน”
สองหนุ่มสาวประทับริมฝีปากเข้าหากันอย่างนุ่มนวล มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง
เช้าวันนี้ ขณะพักตราเดินลงบันไดบ้านมา เจ้าหล่อนอยู่ในอาภรณ์หรู และสัมภาระพร้อมเดินทางไปต่างประเทศ เห็นนายพลโทนอกราชการผู้บิดานั่งดื่มกาแฟอยู่ไม่ไกล เลขาสาวคอยบริการท่านอยู่ใกล้ๆ
“ท่าทางเหมือนจะเดินทางไกลนะเรา”
“ไปอีกซีกโลกนึงค่ะ”
“หนีใคร ถึงได้ไปไกลขนาดนั้น”
“ไม่ได้หนีค่ะ ไล่ตามต่างหาก”
“อย่าบอกนะว่า วิ่งตามผู้ชาย” อรรถเหน็บ
“ค่ะ…เขากำลังต้องการการเยียวยา และนั่นคือหน้าที่ของพักตราค่ะ คุณพ่อ”
“กลับเมื่อไหร่”
“ยังไม่รู้ค่ะ คงก่อนขึ้นศาล แล้วพักตร์จะซื้อของมาฝากนะคะพ่อ”
พักตรากอดและหอมบิดาสองที ก่อนหันตัวเดินตามสาวใช้ที่มาช่วยขนกระเป๋าออกไป
อีกฟาก จอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะในห้องทำงานชุมสาย เปิดโปรแกรมแชท ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
ปรากฏเป็นชื่อและรูปของคู่สนทนาระหว่างคิมหันต์และชุมสาย ตัวหนังสือกำลังพิมพ์ลงไปในช่องสนทนาว่า
“update คดีหน่อยเพื่อน“
ชุมสายนั่งพิมพ์ข้อความบนคอมพิวเตอร์ของเขากลางห้องทำงาน เสียงชุมสายอ่านทวนข้อความที่พิมพ์ดังขึ้นในใจ
“เรื่องคดีตอนนี้ต้องถือว่า คืบหน้าไปค่อนข้างเร็ว เราได้พยานทั้งหมด 4 ปาก ยังไม่นับหมอที่ผ่าชันสูตรศพ กับเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริง น่าจะเป็นคุณกับฝ่ายเรา”
โดยก่อนหน้านี้ ที่ห้องสอบปากคำบนโรงพัก สน.ท้องที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบปากคำถวิล
“ส่วนพยานทั้งสี่ อยู่ในระหว่างการสอบปากคำเพื่อทำสำนวนส่งฟ้องศาล ก็จะมีป้าหวิน และก็ลุงไหว”
นายไสวนั่งอยู่เบื้องหน้าเจ้าหน้าที่สอบสวน
“คนใช้ในบ้านทั้งสองคน จะเป็นพยานเรื่องที่นายธาดาชอบมาไถเงินพี่มลบ่อยๆ เมื่อไม่ได้เงิน ก็จะโกรธและแสดงอารมณ์รุนแรงอยู่เสมอๆ”
ถัดมาที่ห้องประชุม สำนักงานทนายความ กิ่งแก้วเพื่อนสนิทของวิมลรัตน์ เดินเข้ามาในห้องประชุม ซึ่งทนายชุมสาย อัยการประสงค์ และทีมงานรอต้อนรับอยู่ในนั้น
“อีกสองคนคือ เจ๊กิ่งแก้ว เพื่อนสนิทพี่มล ซึ่งจะให้การยืนยันได้ในเรื่องที่นายธาดาแอบเลี้ยงเด็กสาวๆ และปอกลอกเงินพี่มลเป็นประจำ”
ยังมีกบพนักงานขายร้านมอลลี่ เดินเข้ามายังสำนักงานกฎหมายแห่งนี้อีกคน
“และคุณกบ พนักงานของร้าน Molly ก็จะให้การเรื่องที่ นายธาดาติดการพนันและมีปากมีเสียงเรื่องหนี้สินถึงกับลงไม้ลงมือกับพี่มลอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นมูลเหตุจูงใจที่เชื่อได้ว่า นายธาดาเป็นผู้กระทำการรุนแรงกับภรรยาตัวเองจนถึงแก่ชีวิต”
คิมหันต์อยู่ในห้องพักที่ซานฟรานซิสโก เวลาที่นั่นเป็นตอนกลางดึก คิมหันต์นั่งอ่านข้อความทางโน้ตบุค
เขาพิมพ์ข้อความสนทนาโต้ตอบกลับไปยังชุมสาย เสียงคิมหันต์อ่านทวนข้อความดังขึ้นในใจ
“ดีมากเพื่อน เดินหน้าต่อไป ศาลนัดไต่สวนวันไหนรีบบอกมา ฉันจะกลับไปวันนั้นแหละ”
ชุมสายพิมพ์ข้อความโต้ตอบคิมหันต์
“แกจะไม่ถามถึงคู่หมั้นบ้างเหรอ”
คิมหันต์พิมพ์ข้อความโต้ตอบชุมสาย
“แกก็บอกมาเลยดี้ ไม่เห็นต้องให้ถาม”
ก่อนหน้านี้ มุกรินไปเยี่ยมธาดาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ทั้งสองพี่น้องยกหูโทรศัพท์พูดคุย ไต่ถามสารทุกข์ซึ่งกันและกันผ่านกระจกและกรงกั้นแน่นหนา
“คุณมุกเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร พี่ชายเธอจะทำความผิดยังไงก็ตาม แต่เธอก็ทำหน้าที่น้องสาวอย่างดีเยี่ยมเธอแบ่งเวลา ไปเยี่ยมพี่ชายแทบจะทุกวัน”
มุกรินยังตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง โดยไม่สนบรรดาพนักงานอื่นๆ แอบซุบซิบนินทาเธอเสมอ
“ส่วนงานที่บริษัทก็ ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ใครจะซุบซิบนินทาเรื่องพี่ชายเธออย่างไร เธอก็ไม่หวั่นไหว”
ปรารภเดินเข้าไปดูแลมุกรินอย่างใกล้ชิด
“ดูเหมือนว่าผู้จัดการบริษัท จะเอ็นดูเธอเป็นพิเศษด้วยนะ”
คิมหันต์กะชุมสายพิมพ์ข้อความตอบโต้กันไปมาว่า
“ฉันไม่ไว้ใจ ไอ้พ่อหม้ายคนนั้น ฝากแกดูให้หน่อย”
“แกก็รีบกับมาดูเองสิวะ”
“เราตกลงกันไว้ว่า จะเจอกันวันขึ้นศาลเลย”
“ทางนู้นโอเคนะ ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”
“ไม่มี นอกจาก พักตรา”
“ห๊ะ”
“เธอตามหาฉันจนเจอ แกคงไม่ได้ให้ที่อยู่ฉันไปใช่มั้ย”
ชุมสายรีบพิมพ์ข้อความ
“บ้า ฉันจะให้ไปทำไม แกจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีนะเว้ย”
“รู้…นี่ก็กำลังหาทางหนีอยู่ แล้วเจอกันเว้ย”
คิมหันต์ปิดคอมพิวเตอร์ หันไปทางพักตราที่เดินเข้ามาหา หล่อนถือถ้วยกาแฟมาวางให้
“พักตร์กลับห้องก่อน พรุ่งนี้เราไปเดินเล่นแถวGolden Gate กัน อย่านอนดึกนักนะ คิม”
พักตราเดินออกไปจากห้อง คิมหันต์มองเหม่อไปนอกหน้าต่าง ส่งใจไปผ่านขอบฟ้า ไปหาเธอที่กรุงเทพมหานคร
เช้าตรู่วันหนึ่ง มุกรินนอนหลับอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มของเธอ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มุกรินค่อยๆ เอื้อมมือรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...พักตรา”
“ฉันโท.รมาปลุกรึเปล่า...โทษทีนะ วันนี้เธอไม่ไปศาลเหรอ”
“ไปสิ”
พักตราเดินพูดสายมาตามทางเดินอาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินสุวรรณภูมิ
“งั้นวันนี้เธอก็จะได้พบกับคู่หมั้นเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน ใช่มั้ย”
มุกรินแปลกใจ
“เอ้อ…”
“สงสัยใช่มั้ยว่าทำไมฉันรู้ ฉันใส่ใจเรื่องของเพื่อนเสมอจ้ะ ยิ่งไปกว่านั้น บังเอิญฉันไปเที่ยวที่ซานฟรานมา และก็บังเอิญเจอคู่หมั้นของเธอ กำลังเหงา ฉันก็เลยช่วยดูแลสภาพจิตใจของเขาให้ดีขึ้นจ้ะ”
“เหรอ”
พักตราเดินจนมาทันกับคิมหันต์ที่ด้านหน้าอาคาร ซึ่งเขากำลังก้าวขึ้นรถแท็กซี่สนามบิน คิมหันต์โบกมือให้พักตรา ก่อนแท๊กซี่จะเคลื่อนออกไป ทิ้งให้พักตรายืนพูดโทรศัพท์เพียงลำพังริมถนนนั้น
“แล้วก็บังเอิญฉันกลับมาเมืองไทยวันนี้ วันเดียวกับเขา ไฟล้ท์เดียวกับเขาอีกต่างหาก ฉันก็เลยรีบโทร.มาบอกเธอเผื่อว่าเธอไปได้ยินจากปากคนอื่น เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ไปละ แล้วเจอกันนะ อ้อ ขอให้ทุกอย่างที่ศาลวันนี้ ราบรื่นนะมุกริน”
มุกรินวางโทรศัพท์ลงข้างตัว สีหน้าดูออกว่าเริ่มหวั่นไหวกับท่าทีและคำพูดของพักตรา
คิมหันต์พาตัวเองมาอยู่ในห้องนอนพี่สาว และมาหยุดยืนอยู่หน้าอ่างอาบน้ำ สถานที่เกิดเหตุ เขายืนมองรูปวิมลรัตน์ที่ถืออยู่ในมือ บอกกล่าวพี่สาวในใจ
“วันนี้ศาลนัดสืบพยาน เป็นนัดแรกนะ พี่มล คาดว่า คงไม่นานนักคดีก็จะจบ”
ขณะเดียวกันบริเวณทางเดินด้านหลังศาลอาญา เจ้าหน้าที่ศาล เดินนำธาดาขึ้นบันไดหลัง ตรงไปยังห้องพิจารณาคดี
“และอีกไม่นาน ไอ้ฆาตกรก็จะต้องได้รับโทษของมัน...อย่างสาสม”
ชุมสาย อัยการประสงค์ และคิมหันต์ เดินไปตามทางเดินในศาล
“พวกเราทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่มล”
มุกรินนั่งอยู่ริมระเบียงศาล เธอหันมองไปยังคิมหันต์ ซึ่งมองมาที่มุกรินเช่นกัน
คิมหันต์เดินมายืนเบื้องหน้ามุกริน มุกรินเป็นฝ่ายยิ้มบางๆ ให้คิมหันต์
“คิม…สบายดีมั้ย”
“พักตราตามไปหาผมถึงซานฟราน”
“เหรอคะ”
“ผมบอกคุณให้รู้ไว้ เผื่อคุณได้ยินจากคนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผมผิด”
คิมหันต์จับมือมุกรินมากุม
“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันนะ มุก”
จากนั้นคิมหันต์จึงเดินเข้าห้องพิจารณาคดีไป
องค์คณะผู้พิพากษาก้าวเดินขึ้นบัลลังก์ คิมหันต์ยืนขึ้น พร้อมๆ กับทุกคนในห้องพิจารณาคดี
คิมหันต์บอกกล่าวพี่สาวอยู่ในใจว่า
“ไม่ว่าดวงวิญญาณของพี่มลจะสถิตย์อยู่ณ ภพใด ขอให้รู้ด้วยว่าน้องชายคนนี้ คิดถึงพี่ และยังคงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ทุกอย่าง คนผิดต้องได้รับโทษครับพี่มล”
คิมหันต์จ้องมองธาดา ซึ่งเหลือบมองมายังเขาเช่นกัน
จากหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีนักข่าวทีวีดิจิตอล แทบทุกสำนัก ยืนถือไมโครโฟนรายงานข่าวกับกล้องโทรทัศน์ นักข่าวสาว ช่อง 7 เฮชดี คนเก่าที่เกาะติดข่าวชิ้นนี้ ยืนรายงานสดจากที่นั่น
“เช้าวันนี้ที่ศาลอาญา ผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณา คดีฆาตกรรมเจ๊มล หรือคุณวิมลรัต์ คุรุรัตน์ เจ้าของห้าง Molly เจ้าแม่แห่งวงการสินค้าแบรนด์เนม โดยในวันนี้เป็นการนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ช่วงเช้าจะมีนายแพทย์ผู้ผ่าศพชันสูตร และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ให้การเป็นพยานในคดี”
นักข่าวยิ้มหวานพอประมาณให้กล้อง
ในห้องพิจารณาคดี นายแพทย์ผู้ทำการผ่าศพกำลังขึ้นให้การ
“สภาพศพอยู่ในลักษณะขึ้นอืด บวมไปทั้งร่าง จึงไม่สามารถตรวจสอบระบบอื่นภายในร่างกายและไม่สามารถระบุเวลาตายได้ที่แน่นอนได้ แต่เราพอจะมองเห็นรอยช้ำบริเวณรอบคอ และลักษณะแผลที่ศีรษะด้านหลัง เป็นการกระทบของแข็ง จนกระโหลกยุบ”
ถัดมาเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานยืนให้ปากคำประจำที่พยานในห้องพิจารณาคดีฆ่านางวิมลรัตน์
“สภาพที่เกิดเหตุ ตรวจพบร่องรอยการต่อสู้ มีข้าวของในห้องถูกขว้างปา แตกกระจาย ไม่พบรอยนิ้วมือผู้อื่น นอกจากสามีและภรรยาเท่านั้น และมีรอยกระสุนปืนจำนวน 5นัด ที่บริเวณผนังห้องและเก้าอี้”
จอทีวีในห้องทำงานปรารภ เห็นภาพนักข่าวคนนั้นรายงานข่าวต่อเนื่อง
“ส่วนพยานอีกสี่ปาก ที่ทางฝ่ายโจทก์เตรียมไว้ ถ้าให้การไม่ทันเวลา ศาลจะนัดอีกครั้ง เราจะรายงานให้ทราบทันทีที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม”
ปรารภนั่งจ้องมองทีวีอย่างสนใจ
พักตรานั่งอยู่หน้าจอทีวีกลางโถงบ้าน ดูรายงานข่าวเดียวกันนี้อยู่ จนเห็นพลโทอรรถเดินลงบันไดมา ในชุดออกกำลังกาย
“พ่อว่าพักตร์ควรจะไปศาลมั้ย”
“ไปทำไม”
“ไปให้กำลังใจไงคะ”
“ให้กำลังใจฝ่ายไหนล่ะ มันก็เพื่อนกันทั้งสองข้างไม่ใช่เหรอ”
“ข้างหนึ่งอาจจะเป็นเพื่อน ใช่ แต่อีกข้างหนึ่งแฟนเก่าค่ะ และพักตร์กำลังอยากจะเปลี่ยนให้เขาเป็นแฟนใหม่”
“เหลวไหลน่าลูก”
อรรถเดินหนีลูกสาวไปยังห้องออกกำลังกาย
เหตุการณ์ที่ห้องพิจารณาคดี อัยการประสงค์เดินเข้ามาเบื้องหน้าพยาน ไสว ที่นั่งประหม่าอยู่ในที่นั่ง
“นายไสว สาวทอง อาชีพ”
“เป็นคนสวนครับ”
องค์คณะผู้พิพากษาอยู่บนบัลลังก์สองคน มีผู้ช่วยประกบอีกข้างละหนึ่งคน ตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ศาล ฝ่ายโจทก์ และ ฝ่ายจำเลย ถูกต้องตามลักษณะจริง คิมหันต์นั่งข้างๆ ชุมสายซึ่งเป็นโจทก์ร่วม
บริเวณรอบนอกมีผู้สนใจในคดีนี้นั่งฟังเต็มห้อง
“เป็นคนสวนมากี่ปีแล้ว”
“สิบปี”
“ใกล้ชิดกับคุณวิมลรัตน์มั้ย”
“ใกล้ชิดครับ”
“คุณวิมลรัตน์เป็นคนยังไง”
“เป็นคนดี ใจดี เป็นกันเองกับลูกน้อง กับคนงาน ใครขออะไรก็ให้ ปีใหม่ทีนึง แกแจกเงินคนงานเป็นหมื่นๆ เลยครับ”
คิมหันต์นั่งฟังนิ่งคำถามและบางคำตอบทำเอาใจเขากระตุกวูบ ด้วยความคิดถึงพี่สาว
“พยานรู้จักจำเลยมั้ย”
“รู้จักครับ”
“เป็นใคร”
“เป็นสามีคุณมล”
ธาดา นั่งฟังนิ่งข้างทีมทนายจำเลย
ประสงค์ซักต่อ “เป็นสามีมานานรึยัง”
“ประมาณสามปี”
“สามปีที่จำเลยเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้กับก่อนหน้านั้น บรรยากาศในบ้านต่างกันหรือไม่ต่างกัน”
“ต่างครับ”
“ต่างยังไง”
ไสว เหลียวมามองธาดา พบว่าธาดาจ้องไสวตาเขม็ง คิมหันต์หันไปจ้องธาดา ส่วนมุกริน มองมาที่คิมหันต์
“คุณมลอารมณ์เสียบ่อยกว่าเมื่อก่อน และก็มีเรื่องทะเลาะกันบ่อยมากขึ้น”
“ส่วนใหญ่ทะเลาะเรื่องอะไร”
“คุณธาดาขอเงินคุณมล”
“แล้วคุณมลให้มั้ย”
“ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง...ถ้าวันไหนไม่ให้ก็จะทะเลาะกัน”
“ทะเลาะกันเบาๆ แค่เถียงกัน หรือว่าแรงกว่านั้น”
ระหว่างนี้ธาดายื่นหน้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับทนายบรรเจิด
“มีทั้งสองแบบ แต่หลังๆ ชักจะแรงขึ้นเรื่อยๆ”
“แรงขนาดไหน”
“คุณธาดาขู่ว่า ถ้าไม่ให้ตังค์ จะฆ่าให้ตาย”
หมู่มวลในห้องครางฮือ
“หมดคำถามครับ”
อัยการประสงค์กลับไปนั่งประจำที่ฝ่ายโจทก์
ผู้พิพากษาอ้าปากพูดเสียงดังฟังชัดไปทั้งห้องว่า
“เชิญทนายจำเลยซักค้านได้”
ทนายบรรเจิดลุกจากที่นั่ง มายืนโชว์ทรงผมสีดอกเลาเบื้องหน้านายไสว ถามทวนข้อมูลพยาน
“นายไสว สาวทอง อายุ 53 ปี”
“ครับ”
“ความจำยังดีอยู่นะ”
“ก็…ดี ครับ”
“วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 วันเกิดเหตุ นายไสวอยู่ที่บ้านรึเปล่า”
“ไม่อยู่ครับ ผมกลับร้อยเอ็ดตั้งแต่วันที่สิบสอง”
“หมดคำถามครับ”
บรรเจิดกลับไปนั่งประจำที่ ยิ้มและตบไหล่ธาดาเบาๆ
คิมหันต์ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆหูชุมสาย
“ทำไมมันถามนิดเดียว”
“ไม่รู้ว่ะ”
พักตราและอรรถ อยู่ในห้องออกกำลังกายในคฤหาสน์ ทั้งสองกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งคนละตัวข้างๆกัน
“พ่อว่านายธาดาจะรอดมั้ย”
“รอดหรือไม่รอด มีผลกับหนูมั้ยล่ะ”
“ก็อาจจะมีนิดหน่อย พักตร์จะได้เลือกแผนเดินเกมได้ถูก”
“อย่าเล่นเกมให้มันมากนักนะลูก ความรักมันเป็นเรื่องของอารมณ์และหัวใจ ไม่ใช่แผนการ”
“เหอะน่า พ่อ…ตกลงพ่อว่าพี่ชายยายมุกจะรอดมั้ย”
“อยู่ที่ทนาย พ่อรู้แต่ว่านายบรรเจิดเป็นทนายที่เก่งมาก เขี้ยวลากดินเลยหละ”
ส่วนที่ห้องพิจารณาคดี ทนายบรรเจิดก้าวเข้ามาเบื้องหน้าพยาน นางถวิล เขาอ่านเอกสารสำนวนสอบปากคำในมือ
“นางถวิล สาวทอง เป็นภรรยานายไสว เบิกความว่า จำเลยคือนายธาดา ลงมือทุบตีภรรยา คือคุณวิมลรัตน์ผู้ตาย อยู่บ่อยๆ ตอนที่มีอารมณ์ พยานคงหมายถึง ตอนโกรธ ตอนโมโห ใช่มั้ย”
“ตอนไม่ได้ดั่งใจ” ถวิลบอก
“นั่นหละ คุณบอกเรื่องนี้กับใครบ้างมั้ย”
“ไม่ได้บอก”
“ทำไมล่ะ”
ถวิลอึกอัก พูดไม่ออก
“เอ้อ…ไม่กล้า”
“กลัวอะไร”
“กลัวคุณมลว่า”
“กลัวเขาจะว่า เขาจะว่าว่าอะไร”
ถวิลหันไปมองคิมหันต์ท่าทีเหมือนลังเล คิมหันต์มองถวิลเหมือนให้กำลังใจ
“คุณมลบอกว่า เรื่องในบ้านห้ามเอาไปพูดข้างนอกเป็นอันขาด”
“ถ้าพูดแล้วจะเป็นยังไง”
ถวิล หายใจลึกๆ ก่อนตัดสินใจตอบ
ชุมสายกระซิบกับอัยการประสงค์
ถวิลบอกออกมาว่า “ไล่ออก”
บรรเจิดพยักหน้า ประชดในที “อืม เนี่ยนะเจ้านายที่ใจดีกับลูกน้อง”
อัยการลุกขึ้นยืนแสดงการคัดค้าน
“ค้านครับ ทนายใช้สำนวนประชด เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับผู้ตาย”
ผู้พิพากษากำชับ “ทนายอย่าประชดอีกนะ”
บรรเจิดยิ้มรับคำ เขาซักค้านต่อไปอย่างสนุกสนาน
“พยานช่วยบอกหน่อยซิว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่เอาไปพูดนอกบ้านไม่ได้”
ถวิลมีอาการอึกอักอย่างเห็นได้ชัด
“คิดนาน แสดงว่ามีเยอะ”
คิมหันต์เริ่มมีอาการไม่พอใจทนายมากขึ้น มุกรินมองมายังคิมหันต์ด้วยความเป็นห่วง
“คือ…”
“หรือว่าเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากจนพยานพูดออกมาไม่ได้”
อัยการแทรกขึ้น “ค้านครับ”
บรรเจิดรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว โดยไม่รอคำวินิจฉัยของผู้พิพากษา
“เรื่องเหล้ารึเปล่า เรื่องที่คุณวิมลรัตน์เป็นผู้หญิงขี้เมา ที่เมาแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ ใช่รึเปล่า”
“ค้านครับ...ทนายกำลังชักจูงให้พยานไขว้เขว”
ผู้พิพากษาสองท่านกำลังหันหน้าปรึกษากัน
“หรือเรื่องผู้ชาย นางวิมลรัตน์ แอบคบผู้ชายอื่นอีกใช่มั้ย”
คำซักนี้ ทำเอาคิมหันต์เหลืออด เขาลุกพรวดพราดขึ้นตะโกนลั่นกลางศาล
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ หยุดล่วงเกินพี่มลได้แล้ว”
บรรเจิดเหลียวมา ย้อนถามเสียงเรียบ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม”
“จะหยุดหรือไม่หยุด” คิมหันต์คุมแค้น
“ไม่หยุดครับ”
คิมหันต์ขยับตัวจะกระโจนเข้าไปหาบรรเจิด ชุมสายต้องรีบดึงรั้งเพื่อนไว้
ผู้พิพากษาพูดเสียงดังลั่น แทบเป็นตะโกน
“หยุดทุกคนนั่นหละ นี่ต่อหน้าศาลนะ ในเขตอำนาจศาล ทำอะไรให้รู้จักเคารพและเกรงใจศาลด้วย ศาลกำลังพิจารณาการซักค้านของทนายอยู่ ฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิ์จะลุกพรวดพราดตามอำเภอใจอย่างนี้ ถ้ามีพฤติกรรมอย่างนี้อีกศาล จะเชิญออกนอกห้องนะ แล้วทนายจำเลยก็ควรจะหลีกเลี่ยงคำถามที่เสียดสีหรือแฝงนัย เยาะเย้ยถากถางกันด้วย”
ทั้งสองฝ่ายคำนับรับคำ
ผู้พิพากษาบอกเสียงเข้ม “เชิญซักค้านต่อ”
“คำถามสุดท้าย วันที่14 กุมภาพันธ์ วันเกิดเหตุ พยานอยู่ที่ไหน”
ถวิลบอก “อยู่จังหวัดร้อยเอ็ดกับสามี”
“ขอบคุณ”
ทนายบรรเจิด คำนับศาล แล้วเดินเฉียดผ่านหน้าคิมหันต์อย่างจงใจ พร้อมกับกระซิบถ้อยคำเบาๆ แต่ชัดเจนว่า
“อย่าคิดทำอย่างนี้กับฉันอีกนะ ไอ้หนู ไม่ได้กินหรอก”
คิมหันต์ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เขาพุ่งเข้าไปกระชากบรรเจิดมาบีบคอ จนล้มกลิ้งลงไปกับพื้น
ผู้คนในห้องพิจารณาคดี ลุกขึ้นยืน ตกใจทั้งแถบ
“แล้วมึงเก่งนักเหรอ พูดจาแดกดันให้ร้ายคนตายอย่างเนี้ย เก่งนักเหรอ เก่งนักใช่มั้ย”
ผู้พิพากษาเรียกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลกรูกันเข้ามาแยกคู่กรณีออกจากกัน ผู้พิพากษายกค้อนทุบปัง สั่งพักการพิจารณาคดีทันที
นักข่าวช่อง 6 เฮชดี กำลังยืนรายงานข่าว ด้านหลังเป็นบันไดหน้าศาลอาญา
“ช่วงบ่ายที่ผ่านมามีความวุ่นวายเกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดีฆาตกรรมเจ๊มล หรือคุณวิมลรัตน์ คุรุรัตน์ เจ้าของห้าง Molly เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ ฝ่ายโจทก์ โดยนายคิมหันต์ น้องชายผู้ตาย ได้ลุกขึ้นทำร้ายทนายจำเลย จนศาลต้องสั่งเลื่อนการสืบพยานโจทก์เป็นสัปดาห์หน้า"
อ่านต่อหน้า 2
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ปรารภนั่งจ้องจอทีวีอยู่ในห้องทำงาน ที่บริษัทฟาสต์ แทร็ก อย่างสนใจ เสียงนักข่าวสาวในทีวีรายงานให้ได้ยินต่อเนื่องว่า
“ความวุ่นวายเลยเถิดมาถึงหน้าศาลอาญา เมื่อนักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ความเห็นของทนายบรรเจิด ทนายจำเลยในคดีนี้”
เหตุการณ์ที่หน้าศาลอาญา ทนายบรรเจิดยืนให้สัมภาษ์นักข่าวไมค์รวมอยู่
“ตั้งแต่เป็นทนายมาสามสิบปี ไม่มีคดีไหนที่ฝ่ายโจทก์ ป่าเถื่อน กักขฬะ ใช้ความรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันกลางศาล อันนี้มันบ่งบอกพื้นฐานนิสัยของคนในตระกูลนี้ได้เป็นอย่างดี”
นักข่าวเผือก 1 ซัก “จะดำเนินการเอาผิดเรื่องนี้มั้ยครับ”
“ไม่อยากไปตอแยด้วย..เดี๋ยวถึงตอนพวกเขาแพ้คดีจะมาทำร้ายผมมากกว่านี้ ผมก็แย่สิ แต่สังคมก็ต้องช่วยกันปกป้องคนดี คนบริสุทธิ์นะครับ ไม่ใช่ไปอุ้มชูไอ้พวกคนพาลชอบใส่ร้ายผู้อื่นอย่างนี้”
ระหว่างนี้คิมหันต์กำลังเดินลงบันไดศาลมาทางด้านหลัง ชุมสายและมุกริน เดินตามมาใกล้ๆ กัน จู่ๆ คิมหันต์ก็พุ่งกระโจนเข้ามากระชากคอบรรเจิดอีกครั้ง
“แกว่าใคร แกว่าใครพาล แกนั่นแหละไอ้ทนายเลว คิดจะทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก ไอ้ชั่ว”
ชุมสายและมุกรินรีบเข้าไปแยกคิมหันต์อย่างทุลักทุเล
“ดูสิครับ ดู น้องๆ นักข่าว ดูมันทำสิครับ ไอ้นิสัยอย่างนี้ละครับ โทษคนอื่นตลอด คิดเอาเองตลอดว่าคนนั้นผิดคนโน้นผิด ไอ้คนแบบนี้เนี่ย เราจะเชื่อถืออะไรได้”
“เชื่อได้มากกว่ามึงก็แล้วกัน”
“คิมพอแล้ว คิม ไอ้คิม หยุด”
คิมหันต์สงบลงได้ เมื่อชุมสายเอาจริงเอาจังขึ้น
ชุมสายหันไปหาทนายบรรเจิด
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”
บรรเจิดส่ายหน้า ไม่ตอบ เขาหันไปหามุกริน
“คุณมุกรินอย่าลืมที่เราตกลงกันนะครับ เพื่อคุณธาดาพี่ชายของคุณ คุณคือไพ่ใบสุดท้ายไม้ตายของผม”
ทนายบรรเจิด เดินยิ้มชั่วจากไป คิมหันต์มองหน้ามุกริน นิ่ง
นักข่าวคนเก่ายืนรายงานข่าวสดจากที่เดิม หน้าศาลอาญา
“คงต้องรอดูกันนะครับว่า สัปดาห์หน้าตามเวลาที่ศาลนัดครั้งต่อไป ยังจะมีความวุ่นวายอย่างนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และคดีนี้จะจบลงตรงไหน ไม้ตายของทนายจำเลยคืออะไร ติดตามได้ทางรายการ เจาะ เกาะ ติด เนติลักษณ์ ถ่ายภาพ เนติพงษ์ รายงาน จากหน้าศาลอาญา”
จอทีวีในห้องโถงบ้านนายพลอรรถ เห็นเป็นภาพนักข่าวคนนั้นรายงานข่าวจบพอดี พักตรานั่งจ้องจอทีวีอย่างสนใจ หล่อนคิดปราดเดียวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.ออก
“ฮัลโหลคุณชุมสายเหรอคะ พักตรานะคะ อยู่ที่ไหนกันเอ่ย”
บ่ายคล้อยจวนค่ำ ทุกคนอยู่ในห้องอาหารวีไอพีส่วนตัว ภายในภัตตาคารจีนหรู คิมหันต์ ประสงค์ มุกริน นั่งล้อมรอบโต๊ะกลมกลางห้อง มีความเครียดปกคลุมบรรยากาศในห้องนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม
“ผมผิดหวังในตัวคุณจริงๆ เลย คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่กลับทำตัวยิ่งกว่าเด็กอีกเด็กที่วุฒิภาวะไม่เท่าคุณ เขายังไม่กล้าทำอย่างนี้เลย เพราะเขายังมีสามัญสำนึกโดยพื้นฐานว่าอะไรควรอะไรไม่ควร...นี่คุณก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปหมด คุณปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำพา จนผลที่ออกมา มันมีแต่เสียกับเสีย คุณเข้าใจมั้ย”
ทุกคนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก พนักงานเสิร์ฟสาวเดินหน้าแฉล้มยิ้มเข้ามาในห้อง
“สั่งอาหารก่อนมั้ยคะ”
ประสงค์เสียงขุ่น “ไม่…ยัง…พร้อมจะสั่งเมื่อไหร่แล้วผมเรียกเอง”
พนักงานเดินหน้าเหี่ยวออกไป
ชุมสายเดินเข้ามาในนั้น พร้อมโทรศัพท์มือถือในมือ
“คุณพักตราโทร.มาถามว่าอยู่ที่ไหนกัน”
มุกรินเงยหน้ามองชุมสาย แปลกใจนิดๆ
“แล้วแกว่าไง”
“ก็ ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงว่ะ...”
คิมหันต์ยักไหล่ ไม่สนใจ ชุมสายขยับตัวลงนั่ง ประสงค์เริ่มพูดต่อ ท่าทางเขายังมีความกังวลอยู่ไม่น้อย
“ผมจะบอกให้นะ ดูจากแนวทางการสู้คดีของเขาเนี่ยะ เราเหนื่อยแน่...รับรอง”
“ผมไม่เข้าใจ เหนื่อยยังไง ก็เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นฆาตกรรม เป็นการจงใจฆ่าชัดๆ” คิมหันต์ท้วงท่าทางฉุนเฉียว
“เห็นๆ อยู่น่ะ ใครเห็น มีใครเห็นกับตาบ้างมั้ย ทั้งหมดมันเป็นความรู้สึก และฝ่ายนู้นเขากำลังจะบอกศาลว่า ความรู้สึกไม่ใช่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ มันคือการคาดเดา และคุณก็คือตัวอย่างของการคิดเอาเอง เดาเอาเอง และใช้อารมณ์ตัดสินตามความเชื่อของตัวเอง”
ประสงค์ขยับตัวลุกขึ้น
“ใครจะกินอะไรก็สั่งเอานะ ผมไปห้องน้ำก่อน”
ประสงค์เดินออกไปจากห้อง คิมหันต์มองที่มุกริน สักครู่จึงเอ่ยปากออกมา
“มุก บอกผมได้มั้ย ไพ่ใบสุดท้าย ไม้ตายของเขาคืออะไร”
“มุกก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้ หรือ ไม่ยอมบอกผม”
“คิม…มุกจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร” มุกรินน้อยใจ
“ก็เพื่อพี่ชายคุณไง”
สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างอึ้ง พักตราเดินเข้ามาพอดี
“สวัสดีทุกคน...กำลังเครียดเลยละซี”
“มาถึงเร็วจังครับ” ชุมสายทัก
“เก่งมั้ยล่ะคะ” พักตรายิ้มระรื่น พลางหันมาทางมุกริน “มุก เธอก็เครียดไม่แพ้คนอื่นเลยนะ”
“คุณพักตราครับ พวกเรากำลังคุยกันเรื่องคดี ผมว่าคุณไม่ควร...”
พักตราขัดขึ้น
“พักตร์ไม่ยุ่ง ไม่กวนหรอกค่ะ แค่มาให้กำลังใจด้วยความเป็นห่วงค่ะ เราก็เพื่อนกันทั้งนั้นนี่นา ใช่มั้ยมุก”
ประสงค์เดินกลับเข้ามาในห้อง พักตราไหว้ทัก
“สวัสดีค่ะคุณอา เมื่อกี้พักตร์ดูจากข่าว เหมือนเรากำลังเพลี่ยงพล้ำ เป็นรองฝ่ายโน้นอยู่นิดหน่อยใช่มั้ยคะ”
“มากเลยหละหนู”
“มุก ว่าไง เธอไม่คิดจะช่วยอะไรคู่หมั้นเธอบ้างเหรอ” พักตราว่า
“อะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันช่วยหมดนั่นแหละ”
“งั้นก็บอกพี่ชายเธอให้สารภาพเลยสิ จะได้จบเรื่อง”
มุกริน อึ้งไป เธอพูดอะไรไม่ออก
“เอ แต่ที่จริง เธอยืนอยู่คนละฝั่งกับเราเลยนะเนี่ย ใช่มั้ย”
พักตรามองหน้าทุกๆคน คล้ายจะขอความเห็น แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา
พักตราจึงพูดต่อ “แฟนเธออยู่ข้างนี้ แต่พี่เธออยู่ข้างโน้น โอ เรื่องแบบนี้พูดยากแฮะ แต่ฉันว่าเธอเป็นส่วนเกินแล้วหละ เพื่อความสบายใจของทุกคน เธอน่าจะออกไปจากห้องนี้นะ พวกเราจะได้พูดถึงพี่ชายเธอได้สะดวกปากคนอื่นว่ายังไงคะ”
ทุกคนเห็นด้วยอยู่ลึกๆ แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา มุกรินมองหน้าทุกคนในห้อง เธอเข้าใจได้
“งั้นมุกกลับก่อนนะ”
“ฉันไปส่งมั้ย ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาหารือกันอยู่”
“เธออยู่ได้พักตร์ อยู่เถอะ เผื่อคิมอยากได้อะไร เธอจะได้ช่วยแทนฉันได้”
“ยินดีจ้ะ”
มุกรินค่อยๆ ลุกเดินออกจากห้องไป พักตราหันไปยิ้มกับทุกคน
“ดื่มอะไรเย็นๆ ให้ผ่อนคลายกันหน่อยดีมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวพักตร์สั่งให้เอง”
ในรถแท๊กซี่ ที่แล่นมาตามท้องถนน มุกรินนั่งนิ่งมาตลอดทาง สายตาของเธอมองเหม่อออกไปไกลอย่างล่องลอย
รถแท็กซี่คันนั้นแล่นเข้ามาจอดมุมหนึ่งตรงทางเข้าบริษัท ฟาสต์ แทร็ก ท่ามกลางพนักงานที่ทยอยเดินออกจากออฟฟิศ มุกรินยังคงนั่งเหม่อ นิ่งๆ ในรถคันนี้ จนปรารภเดินเข้ามาก้มดูข้างๆ กระจกรถ
“พี่นึกว่าวันนี้มุกจะไม่เข้าออฟฟิศแล้ว”
“มุกลาไว้แค่ครึ่งวัน”
“แต่นี่มันเย็นแล้วนะ แล้ววันนี้ก็ไม่มีงานอะไรเร่งเป็นพิเศษด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ มุกแค่อยากมานั่งนิ่งๆ ซักพัก เดี๋ยวค่อยกลับ”
“นั่งในรถอย่างนี้เหรอ”
มุกรินยิ้มบางๆ ไม่ตอบ
“ไปนั่งข้างในดีกว่า ตรงโต๊ะพี่ก็ได้ เดี๋ยวสั่งอะไรมากินกัน น่าจะสบายกว่านั่งในแท็กซี่...อย่างน้อยโต๊ะพี่ก็ไม่ติดมิเตอร์อย่างนี้”
มุกรินยิ้มรับความปรารถนาดีจากปรารภ
ทุกคนในห้องอาหารสุมหัวกันวางแนวทางสู้คดี พวกเขาคุยไป กินไป ดื่มไป พักตราคอยดูแลเครื่องดื่มแจกทุกๆ คน
ชุมสายเอ่ยขึ้นว่า “เราไม่มีพยานยืนยันเหตุการณ์คืนนั้นได้เลย แม้แต่คนเดียว”
“มันได้ประโยชน์จากไฟดับและพายุฝนมากอย่างไม่น่าเชื่อ” ประสงค์บอก
“สภาพในที่เกิดเหตุ ก็ดูออกว่ามีการต่อสู้กัน ไม่ใช่เหรอคะ” พักตราเอ่ยขึ้น
“ใช่ แต่มันไม่ปฎิเสธเรื่องนี้” ประสงค์บอก
“มันยอมรับว่าทะเลาะกัน พี่มลเอาปืนขู่มันด้วย”
ชุมสายต่อให้ “แย่งปืนกันจนปืนลั่นแล้วค่อยหนีออกจากบ้าน”
พักตราท้วง “ฟังขึ้นเหรอ”
“การติดเหล้าของเจ๊มล ถือว่าให้น้ำหนักกับประเด็น เมา ลื่นล้มเองได้ไม่น้อย” ประสงค์หนักใจ
“เหลือเชื่อ” พักตราว่า
“เพราะฉะนั้นพยานปากที่เหลือ เราต้องเน้นเรื่องมูลเหตุจูงใจในการทำฆาตกรรมให้มากยิ่งขึ้น”
“ผู้ชายจะฆ่าเมียตัวเองได้ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง”
พักตราตอบคำถามนี้ของคิมหันต์ทันทีว่า “เมียมีชู้”
“เคสนี้ตรงข้าม”
“ผัวมีชู้ เมียจับได้” พักตราบอก
“เป็นไปได้ แล้วเรื่องทรัพย์สินล่ะ มีพินัยกรรมหรือเงินประกันอะไรมั้ย” ประสงค์หันมาถาม
คิมหันต์ตอบว่า “ผมจะลองค้นดู”
“เรื่องหนี้สิน เรื่องติดการพนันของนายธาดา เราต้องหาพยานหลักฐานให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม มากยิ่งขึ้นนะ”
“เรานัดพยานมาซักซ้อมเพื่อความเข้าใจอีกที น่าจะดีนะครับ” ชุมสายสรุป
อีกฟาก ทั้งสองนั่งกินอาหารค่ำที่สั่งมาอย่างสนุกสนานอยู่ในห้องทำงานปรารภ พร้อมกับคุยไปด้วยอย่างร่าเริง แจ่มใส
“พี่รภต้องมาอยู่ออฟฟิศจนมืดเพราะมุกแท้ๆ”
“มืดกว่านี้พี่ก็เคยอยู่ บ่อยไป มุกก็เห็น”
“นั่นมันอยู่เพราะงานเร่ง เพราะประชุมดึก แต่วันนี้ไม่มีใครอยู่นี่คะ”
“ยิ่งดี จะได้ไม่มีใครเอาเราไปนินทา”
“น้อยไปสิคะ...เช้ามาแม่บ้านก็ต้องเห็นซากอาหาร”
“งั้นเราต้องทำลายหลักฐาน”
“ยามก็เห็นตอนเราออกไปอยู่ดี”
“งั้นพี่ต้องปิดปากยาม”
“ด้วยอะไรคะ”
“เหล้าสองขวด ถ้ามันไม่ยอมละก้อ เพิ่มเป็นสามขวด หรือจะยัดเงินดี หรือฆ่าทิ้งเลย”
“พอเถอะค่ะ เราพูดเล่นไปไกลแล้ว”
“แต่มันก็ทำให้มุกมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนะ”
“ก็แค่ภาพภายนอกค่ะ แต่ในใจมุก มุกไม่ได้ยิ้มอย่างที่พี่รภเห็นหรอก”
“เข้าใจ”
“เข้าใจ ไม่เหมือนรู้สึกเองหรอกค่ะ คิมชอบพูดแบบนี้”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม พี่ขอให้มุกรู้นะ ว่าพี่รภอยู่ข้างมุกเสมอ มุกเป็นลูกน้องที่สำคัญที่สุด และมีความหมายกับพี่รภที่สุด”
“ถามจริง”
“รองจากลูกชายพี่นิดนึง”
มุกรินยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
มุกรินค่อยๆ เก็บกล่องอาหารที่เหลือ ปรารภตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“จะไม่โทร.หาเขาหน่อยเหรอ”
มุกรินส่ายหน้า
“พี่เห็นจากข่าวแล้ว พี่เดาว่า บรรยากาศที่ศาลคงอึดอัดน่าดู”
“ค่ะ”
“มุกต้องไม่ปล่อยให้เขารู้สึกว่าเราอยู่ตรงข้ามกับเขานะ ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาควรจะเห็นว่าเราคอยให้กำลังใจเขาอยู่” มุกรินพยักหน้ารับคำ “เปลี่ยนใจโทรหาเขามั้ย”
เสียงโทรศัพท์มือถือของมุกรินดัง
“ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายโทร.มา”
มุกรินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขโทร.เข้า เธอหันไปบอกปรารภว่า
“พักตราค่ะ”
“อ้าว”
มุกรินรับสาย “ฮัลโหล”
“มุกเหรอ นอนรึยัง”
“ยัง ยังหัวค่ำอยู่เลย”
พักตรายืนพูดสายอยู่หน้าห้องวีไอพี โดยที่ด้านหลังเธอ เห็นกลุ่มคิมหันต์นั่งคุยและดื่มกินอย่างออกรส
“เหรอ เราอยู่ในนี้ไม่รู้เวลาเลยอ้ะ”
“อยู่ไหนเหรอ”
“ก็ร้านเดิมน่ะ เราเป็นห่วงมุก ก็เลยโทร.มาถามว่า เป็นไงบ้าง ส่วนคู่หมั้นเธอน่ะ หลังจากวางแผนการสู้คดีอย่างแหลมคมแล้วก็เมาแอ๋เลยละ เราก็เลยจะบอกเธอด้วยว่า ไม่ต้องห่วง เราดูแลให้เอง”
มุกรินอึ้งไป
“ขอบใจนะ เราโอเค ไม่มีปัญหา”
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคดีนะ คิมหันต์ชนะแน่สบายใจได้”
“เหรอ”
“เอ๊ ถ้างั้นเธอก็ต้องเป็นฝ่ายเสียใจสินะ ว้า ฉันอวยพรไม่ถูกคนซะแล้ว แค่นี้ดีกว่านะมุก บ๊ายบาย”
มุกรินกดวางสาย
ปรารภขยับตัวเข้าใกล้มุกริน และเอ่ยปากบอกไปด้วยความเป็นห่วง
“ผมว่าพักตราเป็นอีกคนนึง ที่น่ากลัวสำหรับมุกนะ”
รุ่งเช้า รถมุกรินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านคิมหันต์ มุกรินลงจากรถเดินตรงไปยังประตู เธอเห็นพักตราเดินสวนออกมาจากด้านในบ้าน มุกรินมองด้วยความแปลกใจ...พักตรารีบเอ่ยปากพูด
“มุก อย่าตกใจ ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เราเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง ก่อนมุกแป๊ปเดียวเราไม่ได้ค้างที่นี่หรอก”
“เรายังไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“งั้นก็ดีแล้ว แต่เมื่อคืนเราเลิกกันดึกมาก เช้านี้เราเลยแวะเอาอาหารเช้ามาฝากคิมน่ะ แต่น้าหวินบอกว่า ยังไม่ตื่นเลย”
”เหรอ”
“อืม...เธออย่าเพิ่งเข้าไปเลย ปล่อยให้เขาหลับไปก่อนดีกว่า...เราไปนะ”
พักตราเดินตรงไปขึ้นรถของเธอ และขับออกไปเลย
ถวิลรออยู่ เดินตรงเข้ามาหามุกริน
“คุณมุกจะเข้าในบ้านมั้ยคะ คุณคิมตื่นนานแล้ว แต่แกให้บอกคุณพักตราว่ายังไม่ตื่น เดี๋ยวน้าไปเรียนคุณคิมก่อน ว่าคุณมุกมา”
“ไม่เป็นไร ฉันต้องรีบไปธุระต่อ”
มุกรินส่งถุงอาหารให้ถวิล จำพวกกาแฟ และขนมเค้ก ของโปรดคิมหันต์ จากร้านชื่อดัง
“ฝากให้เขาด้วยแล้วกัน”
คิมหันต์นั่งพูดโทรศัพท์กลางห้องโถง
“มาแล้วทำไมไม่เข้ามาในบ้าน”
มุกรินขับรถ พร้อมกับพูดโทรศัพท์ผ่านระบบบลูทูธ
“เผื่อคิมหารือเรื่องคดีอยู่ มุกไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ”
“ขอบคุณนะสำหรับกาแฟและแซนด์วิช”
“ค่ะ”
“แล้วเจอกัน”
คิมหันต์กด วางสาย เลิกสนทนา
ด้านมุกรินขับรถ นิ่งๆ เธอเริ่มสับสนในท่าทีที่ควรจะเป็นระหว่างคิมกับเธอ
ธาดาขยับตัวลงนั่งประจำที่ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มุกริน นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือ ฝืนยิ้มบางๆ นิ่งๆ ธาดาจึงเอ่ยปากออกมาก่อน
“วันนี้มุกดูเครียดๆ นะ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
“พี่ใหญ่นั่นแหละ ผอมลงไปอีกแล้วนะ รู้มั้ย”
“พี่สบายมาก...อยู่ในนี้ พี่ไม่กินข้าวเย็น ได้ออกกำลังกับเพื่อนนักโทษด้วย ออกไปก็พอดี หุ่นเปรี๊ยะ เฟิร์มเป๊ะ”
มุกรินยิ้มตามพี่ชาย
“ทนายบรรเจิดคุยอะไรกับมุกอีกหรือเปล่า”
“ยัง แต่บอกว่าคดีนี้น่าจะจบง่าย ไม่ยาก”
“พี่ก็หวังว่าอย่างนั้น”
สองพี่น้อง นั่งนิ่งไปอีกพักนึง
“มุก ถ้าพี่พ้นผิดจากข้อกล่าวหา มุกกับนายคิมจะเป็นยังไง”
มุกรินครุ่นคิดตาม ถอนใจนิดๆ
“ไม่รู้สิคะ”
“ได้คุยกับเขาบ้างมั้ย”
“นิดหน่อย”
“พี่ว่า ถ้ามันใจแคบอย่างนี้ มุกก็อย่าไปแคร์มันเลย”
“แล้วถ้าพี่ใหญ่แพ้คดีล่ะ”
“ไม่มีทาง พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด มุกต้องเชื่อพี่สิ มุกจะปล่อยให้คนบริสุทธิ์อย่างพี่เข้าไปรับโทษที่ตัวเองไม่ได้ทำได้ยังไง”
มุกรินนิ่ง คิดตาม
“แค่พี่ไม่ได้ประกันตัวอย่างทุกวันเนี้ย มันก็หนักหนาเกินพอแล้วนะ มุก”
“ค่ะ”
“มุก ถ้าทนายบรรเจิด ขอให้มุกทำอะไร มุกต้องทำตามเขานะ เพื่อพี่ นะมุก”
ส่วนที่ห้องประชุมในสำนักงานกฎหมายบูรพา ชุมสายและประสงค์นั่งเบื้องหน้าพยานสองปากคือ กิ่งแก้ว และกบ มีผู้ช่วยทนายนั่งบันทึกอยู่ในห้องด้วย สองคน
“ขอบคุณทั้งสองท่านนะครับ ที่ยินดีเป็นพยานให้เรา ยังไงๆ ก็คิดซะว่าทำเพื่อเจ๊มลนะครับ”
“และเพื่อความถูกต้องด้วยค่ะ” กบเสริม
“ใช่ครับ เพื่อความถูกต้อง เรามาซักซ้อมขั้นตอนในศาลกันนิดหนึ่งนะครับ ถึงเวลาจริงจะได้ไม่ตื่น”
ถึงวันพิจารณาคดี ทุกคนทยอยเข้ามาในห้องพิจารณาคดี
คิมหันต์ขยับตัวลงนั่งข้างชุมสาย ตรงตำแหน่งของฝ่ายโจทก์ คิมหันต์ค่อยๆ หยิบรูปวิมลรัตน์ออกมาตั้งบนโต๊ะเบื้องหน้าเขา นึกถึงเหตุการณ์ตอน ชุมสายซักซ้อมพยานทั้งสองคน
“เพราะการตื่นหรือประหม่า อาจทำให้การเบิกความของเราขาดน้ำหนัก และดูไม่น่าเชื่อถือ”
กิ่งแก้วตอบอย่างมั่นใจ
“ฉันพูดความจริง ยังไงก็น่าเชื่อถืออยู่แล้ว”
“ครับ เริ่มแรกก่อนเบิกความ พยานต้องสาบานตนก่อน”
“มีสาบานด้วยเหรอคะ” กบถาม
“สาบานว่าไงคะ” กิ่งแก้วก็ถามไล่ๆ กัน
อ่านต่อหน้า 3
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 (ต่อ)
เจ๊กิ่งแก้วกำลังสาบานตน ตามที่อัยการประสงค์แนะนำซักซ้อมกันมา
“สาบานว่าคำเบิกความทั้งหมดของเราเป็นเรื่องจริง เป็นขั้นตอนแรกก่อนการสืบพยาน ทุกคนต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ในเมื่อเราพูดความจริงก็ไม่มีอะไรที่เราจะต้อง กล้ว”
“แล้วยังไงต่อคะ” กบซักขึ้นในตอนนั้น
“จากนั้นผมจะเป็นคนซักถามเพื่อให้พยานตอบ ผมจะถามคุณกิ่งแก้วเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนายธาดากับเจ๊มล”
“ได้เลยค่ะ”
“ส่วนคุณกบ ผมจะเน้นไปที่เรื่องการติดการพนันของนายธาดา...เข้าใจนะครับ”
“ค่ะ”
ประสงค์อธิบาย “คำถามก็จะล้อมาจาก การให้ปากคำในชั้นพนักงานสอบสวน แต่เราจะลงรายละเอียดลึกลงไป เพื่อให้ศาลเห็นภาพชัดขึ้น”
ภายในห้องพักพยาน เพื่อรอเบิกความ ชุมสาย พา กบ มานั่งรอในห้องเพียงลำพัง ท่าทางกบดูตื่นกลัว ไม่น้อย เธอยกมือไหว้ไปรอบๆ ห้อง นึกถึงคำพูดประสงค์ตอนซ้อมกัน
“เช่น คุณกบจะต้องบรรยายให้ละเอียดเลยว่า นายธาดาเล่นพนันอะไร เสียเท่าไหร่ เสียให้ใคร โดนเจ้าหนี้ซ้อมที่ไหน เมื่อไหร่ ก่อนจะมาอาละวาดกับเจ๊มล และขู่เจ๊มลว่าอย่างไรบ้าง”
กบบอกในตอนนั้นว่า “สบายมากค่ะ ฉันเห็นมากับตา ท่องจำได้หมดเลย”
ประสงค์อธิบายต่อ “ส่วนคุณกิ่งแก้ว คุณเป็นเพื่อนสนิทของเจ๊มล คุณเห็นนายธาดาตั้งแต่เริ่มมาจีบเจ๊มลซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวน คุณใช้คำว่า มันจงใจมาหลอกเอาเงิน ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“หลอกยังไง...”
กิ่งแก้วอยู่ในคอกพยาน อ้าปากตอบคำถามอัยการประสงค์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“หลอกว่ารักไงคะ แต่ถ้าเจ๊มลไม่รวย นายธาดาไม่มีวันแต่งงานด้วยเด็ดขาด”
“พยานคิดเอาเองหรือเปล่า”
“ใครๆ ก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้น”
“ไม่เอาคนอื่นสิครับ เอาเฉพาะตัวพยานน่ะ พยานคิดไปเองหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ คิดไปเอง”
คิมหันต์ และชุมสาย ลุ้นว่ากิ่งแก้วจะพูดยังไงต่อ
“แต่เผอิญฉันคิดถูก”
“รู้ได้ยังไง”
“เพราะเขาเป็นคนพูดเอง”
มุกรินเองก็ลุ้นไปกับการเบิกความของพยาน
“พยานกำลังบอกว่า จำเลยคือนายธาดาเป็นผู้พูดประโยคเมื่อสักครู่เอง”
“ไม่ใช่ค่ะ พูดอีกอย่างหนึ่ง”
“พูดว่าอะไรครับ”
“พูดว่า เอ้อ มีคำหยาบด้วย พูดได้มั้ยคะ”
อัยการมองหน้าผู้พิพากษา
“พูดมาเถอะ ศาลฟังได้ ขอให้เป็นความจริงก็แล้วกัน”
“คนอย่างกู หน้าตาดีๆ อย่างนี้ หาเมียเด็กได้สบายๆ แต่ที่ยอมอยู่กับอีแก่อย่างมึงนี่ก็เพราะเงินเท่านั้นแหละ อีโง่ อีห่าลาก เอ๊ย”
ประชาชนที่ฟังการพิจารณาคดี ส่งเสียงฮือฮา
“แล้วยังพูดอีกว่า...”
กิ่งแก้วหยุดมองหน้าผู้พิพากษา จนท่านพยักหน้าให้พูดต่อไป
“กูยอมเป็นผัวมึงแล้ว มึงก็ต้องปรนเปรอยกเงินทองให้กูหน่อยซี่ ไม่งั้น มีตบ มีตาย เดี๋ยวจะหาว่าผัวไม่เตือน”
ธาดากระสับกระส่าย ไม่พอใจชัดแจ้ง ทนายบรรเจิดบีบไหล่ ให้กำลังใจธาดา
ประสงค์ซัก “พูดที่ไหน”
“ที่บ้าน ตอนงานปีใหม่ที่ผ่านมานี่เอง”
“ขอบคุณครับ...หมดคำถามครับท่าน”
อัยการเดินกลับไปนั่งประจำที่
ผู้พิพากษาหันมาทางทีมทนายจำเลย “ทนายจำเลยซักค้านได้”
ทนายบรรเจิดลุกจากที่นั่ง เดินตรงมาที่พยาน
“พยานชื่อนางสาวกิ่งแก้ว มานะจิต ใครๆ เรียกว่าเจ๊กิ่งใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
“พยานบอกว่าอายุเท่าไหร่นะ”
“สี่สิบเก้าค่ะ”
“ยังโสดใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
“เหงามั้ย”
กิ่งแก้วนิ่วหน้า งุนงงกับคำถาม เธอมองไปยัง ชุมสายและประสงค์ ทุกคนที่โต๊ะฝ่ายโจทก์ พวกเขาได้แต่นั่งนิ่ง
“ยังไงเหรอคะ”
“พยานหายใจเข้าออกไปวันๆ เพียงลำพังคนเดียวมาถึงสี่สิบเก้าปี เหงาบ้างมั้ย” บรรเจิดตีฝีปาก
“เอ้อ…”
“พยานอาจจะนึกไม่ออกว่าเหงาเป็นยังไงเพราะอยู่มาจนชิน แต่พยานย่อมรู้ว่าตัวเองขาดอะไรไป เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เขา มีสามี”
“ก็ขาดสามีไงคะ”
“เมื่อขาดสามี ก็หมายถึงการขาดกิจกรรมที่สามารถกระทำร่วมกับสามี นึกออกใช่มั้ยว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง”
อัยการประสงค์ลุกขึ้นยืนยกมือ
“ขอค้านครับ ทนายกำลังเอาปมด้อยของพยานออกมาตีแผ่ โดยไม่เกี่ยวกับรูปคดีแต่อย่างใด”
ผู้พิพากษาบอกว่า “ศาลขอฟังต่ออีกนิดนึงก่อน”
“ในอดีต เคยมีชายหนุ่มรูปหล่อมายืนข้างหน้าพยาน แล้วบอกว่าเขายอมถอดเสื้อผ้าให้คุณกอดจูบ เพื่อแลกกับเงินหลักหมื่น คุณจำเหตุการณ์นี้ได้มั้ย”
กิ่งแก้วมีอาการอึกอักเอ้ออ้าอย่างเห็นได้ชัด
“เอ้อ…”
“พอจะจำได้มั้ยว่าคุณยอมควักเงินเป็นหมื่นรึเปล่า”
ประสงค์แทรกขึ้น “ค้านครับ...คำถามไม่เกี่ยวกับประเด็นแต่อย่างใด”
ผู้พิพากษาถามขึ้น “ทนายกำลังจะพิสูจน์อะไร”
“ผมกำลังบอกว่าเจ๊กิ่งแก้วและเจ๊มลผู้ตายที่เป็นเพื่อนสนิทกัน เคยเอาเงินฟาดหัวผู้ชายเพื่อกามกิจ ทั้งคู่เคยทุ่มเงินแข่งกันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียวกันด้วย จริงมั้ยครับ”
กิ่งแก้วได้แต่ “เอ้อ” อยู่อย่างนั้น
“และนี่คือโน้ต ที่ทั้งคู่เขียนส่งให้ผู้ชายคนนั้น”
บรรเจิดชูกระดาษโน้ตสองแผ่นขึ้นมา
“ท่านครับ ผมขออนุญาตอ่านให้พยานฟังนะครับ”
ผู้พิพากษาบอก “อนุญาต”
บรรเจิดอ่านเสียงดัง “ฉันให้เธอห้าหมื่น แลกกับจูบปากฉัน และยอมให้ฉันลูบเป้าเธอ จาก กิ่งแก้ว” บรรเจิดชูอีกฉบับ “และนี่ ฉบับนี้จากวิมลรัตน์...เอาไปแสนนึงสดๆ แต่เธอต้องนอนแก้ผ้ากับฉันทั้งคืน ถ้าติดใจอาจมีโบนัสเพิ่ม จากเจ๊มล”
ประชาชนที่มาฟังคำพากษา ส่งเสียงฮือฮา คิมหันต์ ขยับตัวลุกขึ้นด้วยความโกรธ ชุมสายรั้งตัวให้เขานั่งลง
“ศาลที่เคารพ และบังเอิญ ผู้ชายคนนั้นก็คือคุณธาดา ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ พยานจะปฏิเสธว่ากระดาษโน้ตแผ่นนั้นไม่ใช่ของพยานรึเปล่า”
กิ่งแก้ว ก้มหน้านิ่ง ประสงค์ลุกขึ้นค้านอีกครั้ง
“ศาลที่เคารพ ทนายจำเลยนำเรื่องส่วนตัวของพยานมากล่าวในศาล ไม่เกียวข้องกับคดีแต่อย่างใด ขอความกรุณาศาลอย่านำมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีครับ”
ผู้พิพากษากลับบอกว่า “ศาลรู้ว่า อะไรเป็นอะไร อัยการไม่ต้องมาเตือนศาลในข้อนี้หรอก”
บรรเจิดบอกว่า “ผมกำลังจะบอกว่า หากผู้หญิงคนไหน มีจิตปฏิพัทธ์กับชาย จนยอมทุ่มเงินแลกด้วยความเต็มใจ เราจะบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายหลอกลวงได้มั้ย นี่ถ้าพยานยอมทุ่มเงินเกทับ มากกว่า คุณวิมลรัตน์ วันนี้พยานอาจจะได้คุณธาดาเป็นสามีแล้วก็ได้”
กิ่งแก้วสวนคำโต้ออกมา “ไม่มีทางค่ะ”
“ทำไม”
“เพราะที่จริง ฉันยอมทุ่มมากกว่าเจ๊มลอีก แต่นายธาดา ไม่เลือกฉันเอง”
ธาดามองจากที่นั่งจำเลยไปที่กิ่งแก้ว มุกริน เธอมองไปที่พี่ชายของเธอ
“แสดงว่ามีบางสิ่งเหนือกว่าเงิน ผมเดาว่า มันคือ ความรัก ส่วนคำพูดที่พยานเบิกความว่าจำเลยพูดในงานปีใหม่ เป็นงานเลี้ยงปีใหม่ภายในของบริษัทใช่มั้ยครับ”
กิ่งแก้วรับคำว่า “ใช่”
ผู้ช่วยทนาย ส่งโน้ตให้ชุมสาย เห็นชุมสายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ในงานมีสุรามั้ย”
“มี”
“พนักงานต้องซื้อมาเองหรือเปล่า”
“เจ๊มลเตรียมไว้ให้ แกใจกว้างกับลูกน้องทุกคน เลี้ยงทีเป็นลังๆ ไม่หมดไม่เลิก”
“คำพูดที่พยานได้ยินนั้น เกิดขึ้นเวลาไหน บ่าย หัวค่ำ หรือกลางดึก”
“ดึก”
“เหล้าใกล้จะหมดแล้ว”
กิ่งแก้วนิ่งงันไปคล้ายตริตรอง
“พยานแยกออกมั้ยระหว่างการพูดเล่น เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กับการพูดอย่างมีสติครบถ้วน”
กิ่งแก้ว อึกอัก เอ้ออ้า ครุ่นคิด พูดไม่ออก
“ว่าไงครับ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“หมดคำถามครับ”
บรรเจิดเดินกลับไปนั่งประจำที่
“พยานโจทก์ปากต่อไป”
อัยการประสงค์ลุกขึ้นยืนพูดกับผู้พิพากษา
“ขออนุญาติ ศาลที่เคารพครับ พยานโจทก์ปากต่อไป มีอาการตื่นเต้น วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ต้องขอความกรุณาศาลพักการพิจารณาชั่วครู่ เพื่อปฐมพยาบาลพยานก่อนครับ”
“ถ้างั้นก็ขอสั่งพักการพิจารณาครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น อาการเป็นอย่างไร มาแจ้งศาลด้วยนะ”
ขณะที่องค์คณะผู้พิพากษาขยับลงจากบัลลังก์
คิมหันต์จ้องมองไปที่ธาดาอย่างเคียดแค้น
ธาดารู้ตัวหันมองคิมหันต์ราวกับว่า ตนเป็นผู้ชนะแล้ว
ภายในห้องพักพยานโจทก์ กบพนักงานร้านขายมอลลี่ หน้าซีดตัวสั่น เหงื่อท่วมร่างอยู่ในนั้น
ผู้ช่วยทนายกำลังเอายาดมให้ดม และใช้กระดาษเอกสารพัดให้ลมผ่านหน้ากบ ชุมสาย อัยการประสงค์และคิมหันต์เดินเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง” ประสงค์ถาม
“คงเป็นลมน่ะค่ะ เห็นแกนั่งหน้าซีดๆ พอยืนขึ้นก็ล้มเลย” ผู้ช่วยทนายบอก
“คุณกบ คุณกบ ไหวมั้ย...เบิกความไหวมั้ย” ชุมสายเรียกสติ
กบส่ายหน้าระรัว
“ไม่ค่ะ ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าไม่ไหว ผมขอเลื่อนศาลเป็นอาทิตย์หน้านะ”
“อาทิตย์หน้าก็ไม่เอา ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่มาศาลแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ”
“กลัวค่ะ กลัวพูดอะไรผิด เดี๋ยวจะเข้าตัวดิฉัน ไม่เอาจริงๆนะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าให้ขึ้นศาลเลย แล้วดิฉันจะทำบุญไปให้เจ๊มลนะคะ นะ”
ชุมสายมองหน้าประสงค์ ท่านอัยการส่ายหน้าถอนใจ
“ไปเหอะ พากลับไปส่งที่ร้านเลย”
ผู้ช่วยทนายประคองตัวกบออกจากห้องไป
ชุมสายเครียดจัด “จบกัน”
“มันจบตั้งแต่ยายกิ่งแก้วแล้ว มีโน้ตบ้าๆ อะไรนั่นก็ไม่บอกกันด้วย”
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ โน้ตตั้งแต่ปีไหน ใครจะไปคิด”
“ไอ้ทนายบรรเจิดไง ที่คิด มันคิดและมันก็เสาะหาหลักฐานมาจนได้แต่ฝ่ายเราไม่มีอะไรเลย พยานก็ไม่กล้าขึ้นศาลอีก เฮ้อ...” ประสงค์ปวดตับ
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป” คิมหันถาม
ประสงค์สรุป “มีทางเดียว เราต้องซักค้านจำเลยให้จนมุมให้ได้”
ข่าว Breaking News รายงานสดจากหน้าศาลอาญา ผู้สื่อข่าวสาว ช่อง 6 เฮชดี เจ้าเก่ายืนรายงานข่าวหน้าศาลอาญา
“ในที่สุดผู้พิพากษาได้สั่งปิดการพิจารณาคดี เมื่อพยานโจทก์ปากสุดท้ายไม่สามารถขึ้นเบิกความได้ เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ”
รุ่งเช้า จอโทรทัศน์ที่ห้องประชุม สำนักงานกฎหมายบรรเจิด รายงานข่าวชิ้นนี้ โดยนักข่าวสาวนางนั้นกำลังยืนรายงานข่าวอยู่
“นั่นเท่ากับว่า นัดครั้งต่อไป จะเป็นการสืบพยานจำเลย ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่มีรายชื่อพยานที่จะขึ้นเบิกความ คงมีแต่เฉพาะตัวจำเลยคนเดียวเท่านั้น”
มุกริน นั่งดูทีวีเครื่องนี้ เธอนั่งอยู่กลางห้องประชุมใหญ่ ขณะบรรเจิดเดินเข้ามาในห้อง
“สวัสดีครับคุณมุกริน ขอบคุณมากที่กรุณามาหาตามคำเชิญของผม ดื่มอะไรหน่อยมั้ยครับ น้ำเปล่า น้ำอัดลม กาแฟ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณบรรเจิดมีธุระอะไรกับมุกเหรอคะ”
“อย่าเรียกว่าธุระครับ มันเป็นหน้าที่ ที่ผมต้องคุยกับคุณมุกรินโดยตรง”
“เรื่อง”
“การขึ้นเบิกความเป็นพยานจำเลย ถึงเวลาต้องหงายไพ่ใบสุดท้ายแล้วครับ คุณมุกริน”
มุกรินอึ้ง หนักใจ
อีกฟาก ชุมสายขับรถมาทตามทางโดยมีอัยการประสงค์นั่งข้างๆ คิมหันต์นั่งอยู่ด้านหลัง ทั้งสามต่างหารือเรื่องคดีความกัน
“ทางเดียวที่ฝ่ายโน้นจะหลุดรอดจากข้อหาก็คือ ทำให้เห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ” ประสงค์บอก
“เพราะฉะนั้นทางที่เราจะชนะคดีก็คือแสดงให้เห็นว่า มันไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ” ชุมสายว่า
“ใช่ ผมว่าคุณน่าจะย้อนกลับไปเริ่มต้นที่ ที่เกิดเหตุอีกครั้งนะ ชุมสาย”
คิมหันต์ นั่งนิ่ง ครุ่นคิด หน้าเครียด
ทางด้านทนายบรรเจิดเดินมายังบริเวณห้องเยี่ยม เขาขยับตัวลงนั่ง พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
ธาดาที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกโทรศัพท์ขึ้นพูดเช่นกัน
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับคุณธาดา ไม่มีอะไรน่าหนักใจ”
“แน่ใจนะ”
“ทนายอย่างผม จะไม่พูด ถ้าไม่แน่ใจ”
“ผมต้องใช้หนี้บุญคุณคุณเท่าไหร่”
“คุณจ่ายผมไม่ไหวหรอก เอาแค่คุณใช้หนี้ที่ติดค้างเสธ.ให้หมด เท่านั้นก็พอ”
“เรื่องนั้นโอเค ไม่ต้องห่วง”
“งั้นก็ ดี”
“แล้วน้องสาวผม ว่าไงบ้าง”
บรรเจิดเล่าเหตุการณ์ที่สำนักงานกฎหมายบรรเจิด เมื่อห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้
หน้าตามุกรินดูกังวลและสับสนไม่น้อย
“คุณกำลังจะให้ดิฉันยืนยันในสิ่งที่ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองน่ะเหรอค่ะ”
บรรเจิดขยับตัวลงนั่งข้างๆ มุกริน
“เรื่องบางเรื่อง แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่รู้สึกได้ด้วยใจ คุณเคยได้ยินคำพูดนี้มั้ย”
มุกรินพยายามคิดตาม
“ผมจะบอกให้นะคุณมุกริน เรื่องระหว่างคนสองคนน่ะ ไม่มีใครรู้ดีเท่าเจ้าตัวหรอกครับ พวกเราล้วนเป็นคนนอกทั้งนั้น และคนนอกอย่างเราก็ทำได้แต่เพียงคาดเดาจากสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าพยานหลักฐาน ซึ่งอาจจะเดาผิด หรือ เดาถูก ก็ไม่มีใครรู้”
มุกรินยังคงนิ่งอยู่
“เพราะฉะนั้นถ้าคุณคาดเดาแล้ว ว่ามันถูก และคุณมั่นใจในความรู้สึกของคุณ คุณย่อมต้องทำทุกวิถีทางที่จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นรู้สึกเช่นเดียวกับคุณ ซึ่งวิธีการ นั้น คงไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะสิ่งที่คุณเห็นด้วยตา หรือรู้สึกด้วยใจ”
บรรเจิดสังเกตท่าทีของมุกริน
“เริ่มจากถามตัวเองอีกครั้ง ว่าคุณมั่นใจในตัวพี่ชายคุณหรือไม่”
มุกรินเริ่มคล้อยตามสิ่งที่บรรเจิดพูด
เล่าจบทนายบรรเจิดบอกว่า
“เธอจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง...ผมรับรอง”
บรรเจิดลุกขึ้นเดินออกไปจากบริเวณเยี่ยม สีหน้าธาดาที่มองตาม เต็มไปด้วยความหวัง
รถคิมหันต์แล่นไปบนถนนยามค่ำคืน คิมหันต์ขับรถมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาครุ่นคิด ถึงเงื่อนงำในคดีฆาตกรรม
อ่านต่อหน้า 4
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภายในห้องวิมลรัตน์ สถานที่เกิดเหตุ ห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้ ชุมสายและคิมหันต์ยืนอยู่ตรงจุดเกิดเหตุคืนนั้น
ทั้งสองหนุ่มพยายามช่วยกันทบทวนพฤติกรรมของธาดาในคืนเกิดเหตุ
“นายธาดาขว้างของตรงนี้...พี่มลเดินหนี...มันยังตามมาขว้างตรงนี้อีก”
สองหนุ่มพยายามจำลองเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุ เห็นภาพธาดาขว้างปาข้าวของอย่างโมโห
ชุมสายและคิมหันต์ยังคงทบทวนพฤติกรรมธาดา ต่อเนื่อง
“มันอ้างว่าพี่มลใช้ปืนขู่ มันเข้าไปแย่งตรงนี้...ปืนลั่น ห้านัด” ชุมสายว่า
“เป็นไปได้เหรอ”
“มันยืนยันด้วยรอยนิ้วมือพี่มลที่ด้ามปืน”
สองคนนึกไปว่ามือธาดาและมือวิมลรัตน์กำลังยื้อแย่งปืนกัน ในคืนนั้น จนแสงไฟในห้องดับๆ ติดๆ สลับสว่างเป็นช่วงๆ
ชุมสายบอก “ปืนหล่น มันบีบคอพี่มล...แล้วรีบหนีไป”
“ไม่ใช่หรอก มันต้องบีบคอพี่มล ดันมาถึงที่นี่ แล้วจับหัวกระแทกอ่างอาบน้ำ”
“จากนั้นกลบเกลื่อนร่องรอยที่ไม่ต้องการ” ชุมสายขยับสภาพแวดล้อมให้เข้าที่เข้าทาง “สร้างความน่าเชื่อในการลื่น รายงานระบุว่าเป็นไปได้ที่จะลื่นล้มเพราะสิ่งนี้”
เขาหยิบผ้าขนหนูมาวางตรงตำแหน่งเดิมของมัน
“สร้างหลักฐานการดื่มเหล้าตรงนี้”
ชุมสายหยิบขวดเหล้าวางตรงตำแหน่งเดิมของมัน และเอื้อมมือเปิดเครื่องเสียง
“เปิดเพลงที่นี่ แล้วก็รอ”
“รออะไร” คิมหันต์งง
“รอให้ตัวมันไปโผล่อีกที่หนึ่งแล้วโทร.กลับมาที่นี่”
“ก็ต้องมีใครอีกคนอยู่ที่นี่ เพื่อรอรับโทรศัพท์”
“ถูกต้อง”
คิมหันต์งงอีก “นายรู้ได้ไง”
“เดา…”
“นายทำให้ศาลเชื่ออย่างที่นายเดาไม่ได้เหรอ”
“ศาลพิจารณาจากหลักฐานและประจักษ์พยาน”
“ซึ่งเราไม่มี”
“แต่มันมี ไพ่ใบสุดท้ายของมันไง”
“มุกริน”
“ใช่”
มุกรินเปิดประตูบ้านด้วยหน้าตาแปลกใจ
“คิม”
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเธอ คือคิมหันต์ หน้าตาเขาดูจะเมามาพอสมควร
“นอนรึยังมุก”
“ยัง…คิมไม่โทร.มาก่อนล่ะว่าจะมา”
“เซอร์ไพร้ส์ไง”
คิมหันต์เดินผ่านหน้ามุกรินเข้าไปในบ้าน
คิมหันต์เข้ามายืนกลางโถงบ้าน มุกรินเดินตามเข้ามา ยืนมองอากัปกิริยาของคิมหันต์
“กินเหล้ามาเหรอ”
“อืม นิดหน่อย”
“กลิ่นขนาดนี้ ไม่หน่อยมั้ง”
คิมหันต์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
“เมารึเปล่า คิม”
คิมหันต์ส่ายหน้า
“เราควรจะได้แต่งงานกันตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วนะ มุก…”
มุกรินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองคิมหันต์ นิ่งๆ
“ไม่งั้น ป่านนี้ผมคงได้นอนกอดคุณบนเตียงนุ่มๆ เตียงที่เราใช้เวลาเลือกนานมาก กว่าจะได้ที่ถูกใจ หรือถ้าผมเมากลับมา คุณคงไปชงอะไรร้อนๆ ให้ผม เช็ดหน้าให้ผม”
“รอแป๊ปนึงนะ คิม”
มุกรินเดินหายไปชงกาแฟ และเตรียมผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเพื่อเช็ดหน้าให้เขาในครัว แล้วเดินออกมา
“ผมไม่ได้พูดเพื่อให้คุณทำนะ”
“เปล่าค่ะ ฉันอยากทำให้เอง”
“มุกรู้ใช่มั้ยว่าผมนึกถึงวันที่เราจะอยู่ด้วยกันมากแค่ไหน...ผมนับถอยหลังรอวันนั้นมานานแค่ไหน”
เธอเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคิมหันต์นัก มุกรินถือถ้วยกาแฟและผ้าขนหนูกลับมานั่งข้างๆ คิมหันต์ คิมหันต์ร้องเพลงรักของเขาและเธอขึ้นมาช้าๆ มุกรินร้องตามไปด้วยเบาๆ
คิมหันต์ค่อยๆ ดึงร่างมุกรินมากอด แนบสนิท
“คุณรักผมมั้ย มุก…คุณยังรักผมอยู่มั้ย“
“รักสิคะ...มุกรักคิมมากนะ”
“มากพอที่จะเลือกผมมั้ย”
“มุกเลือกคิมมาตลอด”
มุกรินชูมือซ้ายให้คิมหันต์ดู แหวนหมั้นยังประดับอยู่ที่นิ้วนางของเธอ
“มุกไม่เคยเลือกคนอื่นเลย นอกจากคิม”
มุกรินซุกหน้าตัวเองไปกับหน้าอกของคิมหันต์
“ถ้าคุณต้องแลกอะไรบางอย่างเพื่อรักผม คุณจะยอมแลกมั้ย”
มุกรินเหมือนจะเข้าใจว่าคิมหันต์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“แล้วคิมล่ะ คิมจะยอมแลกบางอย่างเพื่อมุกมั้ย”
คิมหันต์ขยับตัวลุกขึ้นยืน เขาใช้สองมือประคองหน้าของมุกรินให้อยู่ชิดติดกับหน้าของเขา
แล้วจึงค่อยๆเอ่ยปากพูด อย่างชัดเจนทุกคำ
“ผมมีคนที่รักสุดหัวใจไม่กี่คน และผมไม่ต้องการเสียคนเหล่านั้นไปแม้แต่คนเดียว”
คิมหันต์ก้มลงไปจูบมุกรินอย่างนุ่มนวลละมุนละไม แนบแน่น เนิ่นนาน
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาจึงพูดว่า
“พรุ่งนี้เจอกันที่ศาลนะ มุก”
คิมหันต์เดินออกไปจากบ้านมุกริน โดยไม่ดื่มกาแฟ และไม่เช็ดหน้าแม้สักนิด
มุกรินได้แต่นั่งนิ่งๆ เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ที่ กำลังจะเกิดขึ้นหลังวันพรุ่งนี้
ศาลอาญาตั้งตระหง่าน แลดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เสียงธาดาสาบานตนดังขึ้นมาจากห้องพิจารณาคดี
“ข้าพเจ้า นายธาดา คุรุรัตน์ ขอสาบานตนต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า...”
ธาดา ยืนสาบานตนอยู่ในคอกพยาน
“ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้าเอาความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าและครอบครัวโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญ”
แต่ละคนอาการต่างกันไป ชุมสายและประสงค์ ต่างมีแววกังวล
ทนายบรรเจิด นั่งสงบนิ่ง อย่างสุขุม น่าเกรงขาม
คิมหันต์ เขาหันไปมองยังฝั่งจำเลยตรงที่มุกรินเคยนั่งอยู่ พบว่าไม่มีมุกรินอยู่ตรงนั้น
ปรารภ เขาก้าวเข้ามานั่งฟังการพิจารณาคดีด้วย
ผู้พิพากษาเอ่ยขึ้นเปิดการพิจารณา “เชิญทนายจำเลยซักถามได้”
บรรเจิดลุกขึ้นจากที่นั่งทนาย ตรงมายืนข้างๆ ธาดา
“จำเลยมีพี่น้องกี่คน”
“มีน้องสาวคนเดียว”
“ชื่อ”
“มุกริน คุรุรัตน์”
“จำเลยแต่งงานโดยจดทะเบียนสมรสกับนางสาววิมลรัตน์ สุริยะศักดิ์”
“ครับ”
“เคยจดทะเบียนกับคนอื่นมาก่อนมั้ย”
“ไม่เคยครับ”
“จำเลยรักภรรยามั้ย”
“มีใครไม่รักภรรยาบ้าง” ธาดาตอบ
“ตอบให้ตรงคำถามครับ...รักภรรยามั้ย”
“รักครับ”
“รักแค่ไหน...ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“ผมยอมตายแทนเธอได้”
คิมหันต์ เขาส่ายหน้า รังเกียจคำตอบของธาดาเป็นที่สุด
“แม้ว่าเธอจะมีอายุมากกว่าจำเลยถึงแปดปี”
“อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรักครับ”
“จำเลยเคยได้ยินคนรอบๆตัวพูดบ้างมั้ยว่า จำเลยเป็นเหมือนแมงดา มาหลอกเอาเงินจากเจ๊มล รู้มั้ย ทำไมคนเหล่านั้นถึงพูดอย่างนั้น”
“พวกมันไม่รู้จักความรัก และอิจฉาที่ผมกับวิมลรัตน์มีรักแท้ต่อกัน”
“จำเลยกับผู้ตายเคยทะเลาะกันมั้ย”
“บ่อยครับ”
“ไหนว่ารักแท้ไง”
“คนอยู่ด้วยกันย่อมมีปากมีเสียงกันได้ ไม่ได้แปลว่าเราไม่รักกัน...ความรักไม่ใช่กฎหมายที่ห้ามฝ่าฝืนนะครับ”
“ช่วยเล่าเหตุการณ์ในคืนวันที่14กุมภาพันธ์ให้ฟังหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างคุณยังจำได้ใช่มั้ย”
“จำได้ ไม่ลืมครับ”
ธาดาเล่าเรื่องตั้งแต่เขาและวิมลรัตน์ไปร่วมงานเลี้ยง Fast Track…to The Fifth Year โดยธาดาเดินควงวิมลรัตน์เข้ามาในงาน ทั้งสองทักทายกับคนรอบข้างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม วิมลรัตน์มีท่าทีหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง
“เราสองคนไปรวมงานฉลองครบรอบสี่ปีของบริษัท Fast Track อยู่ๆ เธอก็มีอาการหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ แล้วก็มาพาลใส่ผมโดยไม่มีสาเหตุ”
ธาดาเล่าว่า วิมลรัตน์ ชี้หน้าด่าเขา และตบหน้าเขาสองที ตรงมุมลับตาในงาน
“เธอลากผมไปในมุมลับตา ที่ไม่มีใครเห็น ชี้หน้าด่าผม แล้วก็ตบหน้าผม”
คิมหันต์ฟังคำให้การ แล้วส่ายหน้าแรงๆ ปฏิเสธคำเบิกความของจำเลย ไม่เท่านั้นเขาพึมพำออกมาด้วยว่า
“ไม่จริง”
บรรเจิดซักต่อ “อย่างนี้รึเปล่า ที่คุณบอกว่า ทะเลาะกันมีปากมีเสียงกันบ่อยๆ”
“ครับ…แต่ผมเพิ่งมารู้สาเหตุจริงๆ ทีหลัง”
“สาเหตุเกิดจากอะไรครับ”
“เธอมีผู้ชายอื่น...เธอมีชู้ครับ”
เสียงคนในศาลดังเซ็งแซ่ คิมหันต์ลุกขึ้นยืน ตะโกนลั่น
“บ้าเหรอ ไม่จริง มึงโกหก”
ผู้พิพากษารีบพูดสวนออกมาเสียงดังสนั่น
“ศาลไม่อนุญาติให้คุณทำพฤติกรรมอย่างนี้อีกนะคุณคิมหันต์ ไม่งั้นศาลจะขัง ฐานละเมิดอำนาจศาล อัยการคอยเตือนให้ด้วย เชิญทนายซักต่อ”
บรรเจิดซักต่อ “จำเลยมั่นใจได้ยังไง”
“ผมแอบสังเกตมานานแล้วครับ”
ธาดาพาความคิดคนในศาลกลับไปในงานเลี้ยงเดิมบริษัทฟาสต์แทร็ก โดยบอกว่าวิมลรัตน์แอบส่งยิ้มให้ชายนิรนามคนหนึ่ง ชายคนนั้นเดินเข้าไปหาเธอและส่งดอกกุหลาบสีแดงให้ก่อนเดินเลี่ยงออกไป
“และวันนั้นเธอก็แอบนัดเขามาเจอกัน เนื่องในวันวาเลนไทน์”
ธาดาเล่าอีกว่า เขาเข้ามายืนเบื้องหน้าวิมลรัตน์ แต่ถูกวิมลรัตน์ยกดอกไม้ฟาดใส่หน้า แล้วเดินหนี ธาดาพยายามเดินตามไปคุย แต่ไม่เป็นผล
“เมื่อผมจับได้เธอก็โกรธ ผมพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการชวนเธอไปทานข้าวนอกบ้านในคืนนั้น แต่เธอปฏิเสธ”
ธาดาเล่าเหตุการณ์เย็นวันเกิดเหตุ ว่าเขาขับรถกลับบ้าน และทะเลาะกับวิมลรัตน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นการทะเลาะที่ลงไม้ลงมือ รุนแรง
“เธอต้องการจะกลับบ้านให้ได้ แล้วเราก็ทะเลาะกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางกลับบ้าน”
ทนายบรรเจิดซักต่อว่า “เมื่อถึงบ้านแล้วเกิดอะไรขึ้น”
ธาดาให้การว่า วิมลรัตน์ปาข้าวของใส่เขา และธาดาพยายามเอี้ยวตัวหลบ กระทั่งวิมลรัตน์หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่ธาดา ธาดาต้องวิ่งเข้าไปแย่งในจังหวะที่ไฟดับพอดี
“เธอโกรธ ขว้างปาข้าวของใส่ผม เอาปืนจ่อหัวผม โชคดีที่ไฟดับ ผมก็เลยดึงปืนให้หลุดจากมือเธอได้ แล้วผมก็ออกจากบ้านไป”
บรรเจิดซักต่อว่า “คุณทิ้งภรรยาที่กำลังมีอารมณ์โกรธไว้คนเดียวในบ้านหลังใหญ่โตอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“เธอมีปืนนะครับ แต่ผมก็โทร.กลับไปหาเธอเมื่อผมไปถึงที่หมายแล้ว”
“คุณไปที่ไหน”
“บ้านมุกริน น้องสาวคนเดียวของผม”
ตามทางเดินในศาลตรงไปยังห้องพักพยาน ผู้ช่วยทนายจำเลยเดินนำมุกรินไปตามทางเดิน มุกรินเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องพักนั้น ผู้ช่วยคนนั้น ก้มหน้าพูดกับมุกริน
“รออยู่ในห้องนี้ สักพัก แล้วผมจะมาตาม”
“ค่ะ”
“แน่ใจนะครับ ว่าคุณพร้อม”
มุกรินสูดลมหายใจลึกๆ เธอยังไม่ตอบ
ที่ห้องพิจารณาคดี อัยการประสงค์ก้าวเข้ามาซักค้าน โดยเดินพูดไปรอบๆ ตัวธาดา
“ผมต้องยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดที่จำเลยเบิกความให้เราฟังนั้น สนุกสนาน เหลือเชื่อ และเกินกว่าที่ผมคาดเดาเอาไว้มาก ผมมีคำถามเดียว ที่จำเลยต้องตอบผมให้ได้ จำเลยชอบแต่งนิทานมั้ยครับ”
ธาดายืนนิ่ง
“คำตอบ” ประสงค์ซัก
“ไม่ชอบ”
“ถ้าอย่างนั้นจำเลยเคยเอานิทานที่คนอื่นแต่ง ไปเล่าให้เพื่อนๆ ให้น้องๆ ฟังกันบ้างมั้ยครับ”
ธาดายังคงยืนนิ่ง จ้องหน้าประสงค์ ส่วนชุมสายและคิมหันต์ลุ้นฟัง
“อย่างน้อยเวลาจำเลยจีบสาวๆ ก็น่าจะหาเรื่องอะไรๆ ไปเล่าให้สาวๆ ฟังบ้างละ”
“ผมจำไม่ได้”
“สาวๆ มักจะชมว่าจำเลยเป็นคนคุยเก่ง ใช่มั้ย”
บรรเจิดลุกขึ้นยืนยกมือ
“ค้านครับ ศาลที่เคารพ อัยการกำลังดูหมิ่นลูกความผม โดยไม่เกี่ยวกับมูลเหตุแห่งคดีแต่อย่างใด”
“ศาลคิดว่า มันนอกเรื่องนะท่านอัยการ”
ประสงค์แจงว่า “ประเด็นก็คือ ถึงแม้เรื่องที่เล่าจะสนุก ขนาดไหน แต่ถ้าขาดประจักษ์พยานยืนยัน เราย่อมไม่อาจเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง เช่นเดียวกับเรื่องที่จำเลยเบิกความมาทั้งหมด ก็เป็นเพียงนิทานที่จำเลยแต่งขึ้น...หาสาระที่เป็นมูลความจริงไม่ได้”
ประชาชนที่มานั่งฟังคดีดัง ต่างมีความรู้สึกคล้อยตามอัยการ ชุมสายและคิมหันต์ พอใจ การซักค้านของประสงค์ ผู้ช่วยก้มลงไปกระซิบกับบรรเจิด
“หมดคำซักค้านครับศาลที่เคารพ กระผมขออนุญาตแถลงปิดคดีภายในสิบห้าวันครับ”
บรรเจิดลุกขึ้นยืน เอ่ยปากอีกครั้ง
“ศาลที่เคารพครับ ผมขอระบุพยานเพิ่มเติมอีกหนึ่งปาก และพยานปากนั้นได้มาถึงศาลแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรดอนุญาตด้วย”
องค์คณะผู้พิพากษาหันไปปรึกษากัน คิมหันต์ ชุมสาย และประสงค์ก็ปรึกษากัน
“เพื่อให้โอกาสจำเลยได้สู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลอนุญาต นำตัวพยานเข้ามาได้”
บรรเจิดยิ้มพอใจ ธาดาหันไปมองที่ประตู เห็นมุกรินเดินผ่านประตูห้องพิจารณาคดีเข้ามา ประชาชนที่มานั่งฟัง หันไปมอง ปรารภก็หันไป คิมหันต์หันไปมองจ้องมุกริน ในจังหวะที่มุกรินมองมาที่คิมหันต์พอดี
ทั้งสองสบตากัน มีความหมายซ่อนอยู่ในแววตา
มุกรินยืนประจำที่ในคอกพยาน บรรเจิด เดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้ามุกริน
“คืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังจากเสร็จงานเลี้ยงของบริษัท Fast Track พยานอยู่ที่ไหนครับ”
“ที่พัทยาค่ะ ดิฉันไปฉลองครบรอบวันหมั้นกับคู่หมั้นค่ะ”
คิมหันต์จ้องมองดูท่าทีของมุกรินไม่กะพริบตา
“ก่อนไปพัทยา พยานได้รู้ หรือได้เห็นการทะเลาะกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายมั้ย”
“ไม่เห็นค่ะ แต่พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่หมายถึงจำเลย คือคุณธาดา”
“ค่ะ พี่ใหญ่โทร.มาหาตอนกลางคืน”
“จำเลยพูดอะไรกับพยานบ้าง”
“พี่ใหญ่ถามว่าอยู่ที่ไหน กับใคร และจะกลับกี่โมง”
“แค่นี้เหรอครับ”
มุกรินหายใจลึกๆ ก่อนพูดต่อ “แล้วก็บอกว่า บรรยากาศที่บ้านตอนนี้ไม่ดี น่ากลัวมาก อยากให้ไปหา อยากให้มีคนอยู่ด้วย”
คิมหันต์ฟังแทบลืมหายใจ เขามีท่าทีสงสัยในตัวมุกรินยิ่งนัก
“บรรยากาศไม่ดีที่จำเลยพูดนั้น พยานเข้าใจว่ายังไง”
“คงจะทะเลาะกัน”
“แล้วพยานรีบกลับบ้าน หรือกลับไปหาจำเลยมั้ย”
“เปล่าค่ะ”
“พยานไม่กลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเหรอ”
“ไม่ค่ะ เพราะพี่ใหญ่รักพี่มลมาก และไม่เคยทำร้ายพี่มลเลย”
ประชาชนที่นั่งฟังคดีเด็ดมีเสียงฮือเบาๆ คิมหันต์จ้องหน้ามุกริน พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
ปากของเขาพึมพำถ้อยคำบางคำที่หยาบคาย
“พยานกลับถึงบ้านกี่โมง”
“ตีห้าค่ะ คู่หมั้นดิฉันมาส่ง แล้วดิฉันก็เจอพี่ใหญ่”
“เจอยังไง”
“พี่ใหญ่ยืนตากฝนตัวเปียกรอดิฉันอยู่ แล้วก็บอกว่า...ช่วยพี่ด้วย”
มุกรินเล่าเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุ ตอนนั้นเป็นเวลาก่อนสว่าง ซึ่งฝนยังตกอยู่ เธอเจอธาดายืนเนื้อตัวเปียกปอนรออยู่หน้าบ้าน
“มุก ช่วยพี่ด้วย”
“มีอะไรเหรอ พี่ใหญ่”
“ช่วยพี่นะมุก มุกต้องช่วยพี่นะ”
”ช่วยเรื่องอะไรคะ”
“พี่มล...พี่มลเขาจะยิงพี่...”
“ตายจริง”
“โชคดีที่ไฟดับ พี่หนีออกมาได้ก่อน”
ทนายบรรเจิดซักต่อ
“พยานไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดิฉันคิดว่าคงเป็นเรื่องทะเลาะกันธรรมดา พี่ใหญ่เสร็จงานที่ฮ่องกงก็คงกลับมาดีกันเหมือนเดิม”
“แล้วคู่หมั้นที่เป็นน้องชายผู้ตายล่ะ พยานก็ไม่บอกเขาด้วย”
“คิมเขาไปถ่ายรูปที่เขาใหญ่ ติดต่อกันลำบาก และดิฉันไม่อยากให้เขาเป็นกังวล”
มุกรินหันไปมองที่คิมหันต์ เจอกับสายตาแข็งกร้าวของคิมหันต์ ที่จ้องหน้ามุกรินด้วยท่าทางหงุดหงิด ปากคิมหันต์พึมพำคำว่า ”เหรอ “
“พยานเห็นจำเลยพูดโทรศัพท์กับภรรยาด้วยใช่มั้ย”
“เห็นค่ะ”
“จำเลยพูดว่ายังไงบ้าง”
“พูดว่าให้ใจเย็นๆ อย่าเอาแต่ด่าผม ผมเป็นสามีผมก็ต้องมีสิทธิ์หึงหวงคุณซี่ ประมาณนี้ค่ะ”
“แล้วจำเลยส่งโทรศัพท์ให้คุณพูดกับคุณวิมลรัตน์ด้วยรึเปล่า”
“ค่ะ พี่ใหญ่ขอให้ดิฉันช่วยปลอบ”
“พยานพูดว่าอะไร”
“ดิฉัน ขอให้พี่มลใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันค่ะ”
“คุณวิมลรัตน์ตอบพยานว่าอะไร”
ประชาชนในห้องพิจารณาคดี ยืดตัว ลุ้นว่ามุกรินจะตอบยังไง คิมหันต์จ้องมองหน้ามุกรินตาไม่กะพริบ
มุกรินหันมามองหน้าคิมหันต์ ก่อนตัดสินใจพูด
“พี่มล...เธอ...ร้อง...ร้องไห้ และก็ ร้องเพลง...”
“เพลงอะไร”
“เอ้อ…”
“ใช่เพลงนี้มั้ย...ขออนุญาติ ศาลที่เคารพครับ”
บรรเจิดเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ศาล กดปุ่มเปิดเพลง เสียงเพลงดังขึ้นมันเป็นเพลงเศร้าที่วิมลรัตน์เปิดฟังในคืนนั้น
“ค่ะ เพลงนี้ค่ะ พี่มลร้องคลอไปกับเสียงเพลงจากแผ่น แล้วก็ร้องไห้ด้วยค่ะ”
คิมหันต์เหลืออด ลุกขึ้นโวยวายลั่น
“โกหก คุณไม่ได้ยินอะไรเลย คุณไม่ได้ยินอะไรในโทรศัพท์นั้นเลยมุกริน”
“คิมหันต์ หยุด” ชุมสายฉุดลากคิมหันต์ให้ลงนั่ง
“คุณบอกผมเองว่าคุณไม่ได้ยินอะไรเลย คุณลืมแล้วเหรอ”
ผู้คนใกล้ตัวคิมหันต์รีบฉุดรั้งเขาไว้ แต่ไม่สำเร็จ คิมหันต์ตะโกนลั่นเสียงดังและรวดเร็ว
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง มุกริน คุณทำได้ยังไง คุณร่วมมือกับฆาตกร ฆ่าพี่สาวผมนะ มุกริน”
ผู้พิพากษาปรกาศก้อง “เจ้าหน้าที่เอาตัวนายคิมหันต์ออกไปข้างนอก”
เจ้าหน้าที่พยายามลากตัวคิมหันต์ออกไปนอกห้องพิจารณาคดี แต่คิมหันต์ยังตะโกนตลอดทางที่เขาถูกลากไป
“มุก จำวันนี้ไว้นะ วันที่คุณทำกับผม ทำกับวิญญาณของพี่มล วันนี้ไม่ใช่วันประกาศชัยชนะของคุณหรอกนะ แต่มันเป็นวันเริ่มต้นการจองเวรของผมรอรับมือจากผมด้วยนะมุกริน คุณสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรจำไว้นะมุกริน”
ทุกคำพูดกระแทกเข้าหามุกริน บรรเจิดขยับเข้าไปบีบที่ไหล่เธอ
“คุณทำดีที่สุดแล้วครับ คุณมุกริน”
มุกรินได้แต่ก้มหน้านิ่ง เศร้า และตื่นกลัวถึงขีดสุด
ต่อหน้ารูปวิมลรัตน์ ที่วางอยู่บนขาหยั่งและตั้งอยู่บริเวณที่เก็บโลงศพของวัด เพื่อรอกำหนดวันเผา คิมหันต์นั่งจ้องรูปนั้นนิ่ง บอกกล่าวกับวิมลรัตน์อยู่ในใจ
“พี่มลครับ ผมทำดีที่สุดแล้วนะครับพี่ ผมทำเต็มที่ เท่าที่สติปัญญาผมจะมีเท่าที่น้องชายคนนี้จะทดแทนบุญคุณของพี่ได้ ใครๆ บอกว่าผมใช้อารมณ์ ก็คงจะจริง”
คิมหันต์นึกถึงตอนถูกรุมล้อมด้วยผู้สื่อข่าวหลายสำนักตรงบริเวณหน้าศาลอาญา ขณะเขากำลังให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของฝ่ายจำเลย
จนเมื่อเห็นทนายบรรเจิดเดินออกมาจากด้านในอาคาร คิมหันต์ปราดเข้าไปชี้หน้าด่าทันที ผู้คนรอบๆ ต้องแยกตัวเขาออกมา
“แต่ผมไม่อาจยับยั้งอารมณ์สูญเสียครั้งนี้ได้ มนุษย์ปุถุชนทุกคนที่รู้ดีรู้ชั่วย่อมเข้าใจได้ว่าทำไมผมถึงทำอย่างนี้ บางคนบอกว่าผมทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ผมทำให้น้ำหนักในการเอาผิดไอ้ฆาตกรเบาบางลงไม่ใช่เลยพี่มล ไม่ใช่ผมเลย มันเป็นเพราะเธอต่างหาก”
คิมหันต์ยังคงนั่งนิ่งขึงอยู่ในที่ทางเดิม
อนิจจา ความแค้นในใจคิมหันต์ถูกผ่องถ่ายไปยังเธอ มุกริน ผู้หญิงอีกคนที่เขารักมากที่สุดในชีวิต
ทางด้านมุกรินเดินไปนั่งเบื้องหน้าธาดาในห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง
“อีกไม่ถึงเดือน ศาลก็จะอ่านคำพิพากษาแล้วนะพี่ใหญ่”
“พี่ไม่กังวลใจอะไรเลย เพราะพี่รู้เหมือนที่มุกรู้ ว่าพี่บริสุทธิ์”
เสียงคิมหันต์ผุดดังขึ้นมาหลอกหลอน
“สาวน้อยน่ารักของพี่มลไง เธอกล้าโกหกต่อหน้าศาล ต่อหน้าผม ต่อหน้าวิญญาณของพี่มล
คิมหันต์ยังอยู่กับโลงศพพี่สาวที่เดิม น้ำตาท่วมตา มันค่อยเอ่อไหลออกมาทีละน้อยๆ มันเป็นน้ำตาของความโศกเศร้าที่ระคนไปด้วยความเคียดแค้น
“อีกเดือนเดียวเท่านั้น เราก็จะรู้ หากวันนั้น ความยุติธรรมถูกเบี่ยงเบนไป เธอคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ”
ผ่านไป 1 เดือน เช้าวันนี้ ศาลอาญาอันเข้มขลังตั้งตระหง่าน อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสวย เสียงผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคดีดังมาจากห้องพิจารณาคดี
“คดีหมายเลขดำที่ 2558/549 ระหว่างโจทก์คือ นายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ กับจำเลยคือ นายธาดา คุรุนันต์...”
ก่อนหน้าที่จะมีเสียงผู้พิพากษาดังกึกก้องไปทั้งห้องนี้ เจ้าหน้าที่ศาลได้พาธาดาเดินขึ้นบันไดด้านหลัง มีทนายบรรเจิดและมุกรินเดินตาม ทุกคนเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ห้องพิจารณาคดี
เช่นเดียวกัน ชุมสายและอัยการประสงค์ขยับเข้าประจำที่ วันนี้ยังมีคนอื่นๆ ที่ยืนฟังคำพิพากษา ทั้ง ปรารภ และ กิ่งแก้ว ส่วนคิมหันต์ไม่ได้มาฟังการตัดสิน เขาอยู่ในพิธีเผาศพวิมลรัตน์
ผู้พิพากษา วางมาดเข้มอยู่บนบัลลังก์อ่านคำตัดสินต่อ
“ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว เห็นว่า พยาน หลักฐานโจทก์ยังไม่มีความมั่นคง กรณีเป็นที่น่าสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้กับจำเลย ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรค2 จึงพิพากษายกฟ้อง”
ธาดาหันมายิ้มกว้างกับมุกริน
ส่วนคิมหันต์ยืนอยู่หน้าเตาไฟเผาศพพี่สาวบนเมรุ เขาวางดอกไม้จันท์ลงไปในช่องนั้นสีหน้าโศกศัลย์ เปลวไฟลุกฮือโหมไหม้อย่างรุนแรง
พริบตานั้น ควันจากการเผาศพวิมลรัตน์ลอยออกจากปล่อง เสมือนส่งวิญญาณของเธอขึ้นสู่ภพภูมิเบื้องบน
ค่ำคืนนี้ กลางบาร์หรู อโคจรสถานชื่อดังสำหรับขี้เมาเมืองกรุง เห็นธาดาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสาวสวยเซ็กซี่สี่คน เขาชูแก้วขึ้นสูงแล้วเปล่งเสียงดังลั่น และ เมา
“ไชโย...ไชโย...ไชโย…”
ธาดาโอบกอดสาวๆ เหล่านั้น อย่างใกล้ชิด นัวเนียถึงเนื้อถึงตัว
“ไชโยกับพี่หน่อยสิจ๊ะ น้องสาว ทำไมปล่อยให้พี่ตะโกนคนเดียวล่ะ”
“ไชโย…”
“น่าน มันต้องอย่างนั้น รู้มั้ย นี่เป็นวันแรกในรอบสามเดือน ที่พี่ได้มีชีวิตอย่างอิสระเสรีอย่างนี้ ขอหอมชื่นใจหน่อยนะจ๊ะ”
ธาดาไล่หอมแก้มน้องๆ ทีละคน
“พี่ไม่มีเพื่อนๆ มาร่วมฉลองบ้างเหรอคะ หนึ่งต่อสี่อย่างนี้จะไหวเหรอพี่” สาว 1 ใน 4 ฉอเลาะ
“ไหวซี่ พี่ไม่นิยมเลี้ยงเพื่อน พี่นิยมเลี้ยงน้องๆ จ้ะ กี่คนก็ได้ ไม่อั้น”
เสียงโทรศัพท์มือถือของธาดาดังขึ้น เขากดปุ่มรับสาย แล้วเดินเลี่ยงออกมาพูด
“ฮัลโหล ทนายบรรเจิด ไม่มาฉลองกับผมเหรอครับ”
อีกฝั่งบรรเจิดนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในสำนักงานทนายความ เบื้องหน้าของเขาเป็นอาหารฝรั่งรสเลิศและไวน์ชั้นดี
“ไม่ละ ผมไม่เหมาะกับที่แบบนั้น ผมต้องรักษาภาพลักษณ์ของผมให้ดี”
ธาดายืนพูดโทรศัพท์หลบมุม ตรงที่เสียงดนตรีไม่อึกทึกนัก
“เข้าใจครับ ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่บรรเจิด ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ผมไม่ต้องการคำขอบคุณ ผมทำหน้าที่ของผม คุณก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ อย่าลืม ใช้หนี้เสธ.ให้ครบโดยเร็วนะ”
“ครับผม”
“อ้อ เสธ.ห่วงเรื่องความปลอดภัยของคุณ ท่านส่งการ์ดสามคนไปดูแลคุณคืนนี้ด้วย ตัวใหญ่ๆ หน้าดุๆ คุณลองชำเลืองๆ ดูแล้วกัน”
ธาดาหันไปมองด้านหลังของเขา เห็นการ์ดร่างใหญ่สามคนยืนกระจายอยู่แถวนั้น
“อ๋อ…เห็นแล้วครับ ฝากขอบคุณเสธ.ด้วยที่กรุณาเป็นห่วง”
“ท่านห่วงเงินของท่าน ไม่ได้ห่วงคุณ”
บรรเจิดกดวางสายโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
ธาดาเดินกลับมาหาสาวๆ ที่โต๊ะของเขา บ๋อยหน้าตาดีเดินเข้ามาหาธาดา
“คุณธาดาครับ มีคนมาขอพบครับ”
“ใคร ชื่ออะไร”
“ไม่ทราบครับ”
“ทำไมไม่ถามเขาก่อนล่ะ ไปถามชื่อเขาแล้วค่อยมาบอกฉัน ถ้าชื่อไม่เพราะ ไม่ให้พบเว้ย ดีมั้ยจ๊ะน้องสาว”
เป็นคิมหันต์เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าธาดา
“ฉันชื่อคิมหันต์ คุรุรัตน์ ชื่อเพราะพอมั้ย”
ธาดาเงยหน้ามองคิมหันต์นิ่ง
“แกมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่ไปที่ศาลเมื่อวานนี้”
“เมื่อวานไม่ว่าง แต่วันนี้ฉันมีเวลาพอ ที่จะมาคิดบัญชีแทนพี่มล”
คิมหันต์พุ่งเข้าไปหาธาดาทันที เขาคว้าขวดเหล้าบนโต๊ะฟาดไปที่ศีรษะธาดาอย่างแรง ธาดาล้มคว่ำ คิมหันต์ปราดเข้าไปเตะซ้ำ สาวๆ ทั้งสี่นางลุกขึ้น กระจายตัวออกส่งเสียงกรี๊ดลั่น
“อ๊าย.....ๆๆๆ”
การ์ดร่างใหญ่เข้ามากระชากคิมหันต์ออกมาจากธาดาจนได้ ธาดาลุกขึ้นมาจ้องหน้าคิมหันต์
“มึงซ่านักใช่มั้ยไอ้คิม”
พลางธาดาคว้าขวดเหล้าใกล้ตัวฟาดไปที่หัวคิมหันต์บ้าง เลือดสาดกระจาย
“ซ่าอย่างมึงต้องเจออย่างนี้”
ธาดาพยักหน้าให้การ์ด
“ไม่ต้องให้ถึงตาย เอาแค่พิการก็พอ”
การ์ดทั้งสามคนรุมอัดคิมหันต์ไม่เลี้ยง จนร่วงกองลงไปกับพื้น
เมื่อมองจากมุมสูงลงมา จะแลเห็นร่างคิมหันต์นอนแนบไปกับกองเลือดของตัวเอง ตรงนั้น
อ่านต่อตอนที่ 3