สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 3
หน้าสมาคมอนุรักษ์ช้างไทย ปทุมวดีนั่งระบายเรื่องประภาพรรณให้ราตรี ดวงแก้วและบุหงาฟัง
“ต้าย นังมิวนี่มันแสบกว่าที่เราคิดนะคะเนี่ย”
“ก็ใช่น่ะสิคะ ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังพี่ได้เส้นเลือดในสมองแตกตายเพราะมันแน่ๆ เลยค่ะ”
ราตรีเหมือนคิดอะไรออก
“ถ้าคุณพี่รับมือคนเดียวไม่ไหว เห็นทีเราก็ต้องส่งตัวช่วยเข้าไปเสริมทีมแล้วล่ะค่ะ”
ราตรีส่งสายตามองดวงแก้วและบุหงาอย่างมีแผน สองแม่ลูกมองหน้ากันแล้วก็เข้าใจสิ่งที่ราตรีพูด
“เพื่อคุณพี่หญิงปทุม มีอะไรให้ดิฉันกับหนูแพนช่วยก็บอกมาได้เลยค่ะ”
“แพนกับคุณแม่พร้อมจัดเต็มช่วยคุณหญิงป้าค่ะ”
ปทุมวดียิ้มดีใจที่สองแม่ลูกพร้อมจะช่วยเหลือแล้วหันไปมองหน้าราตรี
“น้องราตรี ขยายมาสิว่า มีแผนยังไง”
ราตรีเรียกทุกคนมาสุมหัวกันบอกแผนการร้าย
กลางคืน ปทุมวดีอยู่ในห้องนอน พอกหน้าอยู่
“คุณหญิงจะให้คุณดวงแก้วกับหนูแพนเข้ามาอยู่บ้านเรา”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมครับ”
“ก็เพราะคนบ้านนี้หันไปถือหางนังมิวกันหมดน่ะสิ ฉันถึงต้องหาพวกมาเขี่ยมันออกไป”
ปทุมวดีคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป ต่อหน้าปรีชาชาญกลับฉีกยิ้มแล้วเข้าไปพูดประจบสามี
“คุณดวงแก้วกับหนูแพนไม่ได้อยากจะมาอยู่บ้านเราหรอกนะคะ แต่น้องเป็นคนเสนอเองค่ะ”
ปรีชาชาญมองหน้าภรรยาอย่างสงสัย
“เหตุผลก็เพราะว่าตอนนี้เธอซ่อมคุ้มที่เชียงรายอยู่ เลยต้องมาเช่าบ้านในกรุงเทพฯ น้องเห็นว่ามันไม่สะดวก ก็เลยอยากจะเอื้อเฟื้อ บวกกับน้องเหงาๆ อยากมีเพื่อนที่รู้ใจไว้คุยด้วย ที่สำคัญบ้านของเราก็ออกจะใหญ่โต แค่ต้อนรับคนอีก 2-3 คนก็ไม่น่าจะเป็นอะไรใช่มั้ยคะ คุณพี่”
“เรื่องมีน้ำใจกับเพื่อน ผมก็ไม่ขัดหรอก แต่”
“แหม คุณพี่อย่าคิดมากสิคะ มีคุณดวงแก้วกับหนูแพนมาอยู่ด้วยสิดี น้องจะได้ไม่ต้องมีเวลาว่างมากไปหงุดหงิดใส่ลูกสะใภ้คนโปรดของคุณพี่ไงคะ ตกลงนะคะ”
ปรีชาชาญจำต้องพยักหน้ายอมรับอย่างงงๆ ทั้งที่ลึกๆ รู้ว่างานนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน เขาเดินมาที่ห้องพันกรบอกเรื่องดวงแก้วและบุหงาให้พันกรกับประภาพรรณฟัง พันกรเริ่มเครียดอีกรอบ ไม่เข้าใจว่าปทุมวดีจะก่อเรื่องเพิ่มทำไม
“คุณแม่คิดอะไรอยู่ครับเนี่ย”
“ทุกคนไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ ถ้าห่วงมิว มิวขอตอบว่าทนได้”
“มิว”
พันกรมองหน้าภรรยาทั้งหนักใจและสงสาร เพราะไม่รู้ว่าจะถูกแม่แกล้งอะไรอีกบ้าง ปรีชาชาญมองลูกชายและลูกสะใภ้ เลยพูดให้กำลังใจ
“อดทนและเข้มแข็งไว้นะหนูมิว เวลาและความดีจะพังกำแพงอคติของคุณหญิงได้สักวัน”
“ขอบพระคุณนะคะ คุณพ่อ มิวจะพยายามค่ะ”
ประภาพรรณซาบซึ้ง อย่างน้อยก็มีพันกรและปรีชาชาญเข้าใจเธอ
คืนนั้น ดวงแก้วและบุหงา กระวีกระวาดจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างเริงร่า
“เอ็งนี่โชคดีจริงๆ เว้ย แพน รู้จักยายคุณหญิงนั่นไม่นาน ก็ได้เข้าไปชูคออยู่ในบ้านมันแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า มีความสุขจริงๆ”
บุหงายิ้มกว้าง ภูมิใจในความโชคดีของตัวเองเช่นกัน กล้านั่งมองสองแม่ลูกเก็บกระเป๋าอย่างเซ็งๆ
“ทำไมเตงต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านยายคุณหญิงอะไรนั่นด้วย ไหนบอกว่าเราจะไปแค่หลอกเงินพวกมันอย่างเดียวไง”
ดวงแก้วและบุหงาลอบทำหน้าเซ็งใส่กัน ก่อนที่บุหงาจะหันไปฉีกยิ้มหวานออดอ้อนกล้าอีกครั้ง
“แหม พี่กล้าจ๋า สมัยนี้ใครเขาจะโง่มาให้เราหลอกเงินง่ายๆ กันล่ะ เราก็ต้องลงทุนลงแรงให้มันเนียนๆ หน่อย”
กล้ายังคงหน้าบูดไม่ชอบความคิดของบุหงาและดวงแก้วอยู่ดี
“หรือว่าพี่อยากจะให้ฉันกลับไปเป็นหางเครื่องเต้นโชว์บนโชว์ล่างเหมือนเดิมจ๊ะ”
กล้าตกหลุมพรางของบุหงาทันที
“ไม่ เค้าจะไม่ยอมให้เตงกลับไปเต้นจ้ำบ๊ะแบบนั้นอีกเด็ดขาด”
สองแม่ลูกหันมายิ้มร้ายให้กัน กล้าเหมือนคิดอะไรได้ ยิ้มดีใจออกมา
“แพนจะไปอยู่บ้านนั้นก็ได้ แต่พี่ขอไปด้วยนะ”
สองแม่ลูกหุบยิ้ม ตกใจกับคำขอของกล้า
“ให้พี่ปลอมตัวเป็นบอดี้การ์ดหรือเป็นคนขับรถอะไรก็ได้ พี่จะได้อยู่ดูแลแพนกับน้าดวงแก้ว เวลามีปัญหาหรือมีใครมารังแกไงจ๊ะ”
กล้าไม่รอคำตอบ เริ่มต้นเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง
“หยุดเลยนะ พี่กล้า”
“พี่ไม่หยุด ถ้าแพนไม่ให้พี่ไป แพนจะเอารถที่ไหนไปบ้านนั้น”
ดวงแก้วและบุหงามองหน้ากัน จำต้องยอม
เช้าวันรุ่งขึ้น รถของกล้าขับเข้ามาจอด ปทุมวดีเกณฑ์ให้ ป้าม้วน แต้ว เดช สมหาย ป้าบัวเผื่อนและน้อย มาตั้งแถวยืนรอรับ กล้าลงมาเปิดประตูรถให้ บุหงาและดวงแก้วเดินลงจากรถด้วยมาดนางพญาตรงไปหาปทุมวดี
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงป้า”
“ไหว้พระเถอะจ้ะ หนูแพน”
ปทุมวดีหันไปมองหน้าคนใช้ทุกคน ต่างยกมือไหว้ดวงแก้วและบุหงากันถ้วนหน้า
“ทุกคนได้พบคุณดวงแก้วและคุณแพนแล้ว ต่อจากนี้ไป เธอทั้งสองจะมาอยู่ที่บ้านเรา ในฐานะเจ้านาย ทุกคนมีหน้าที่คอยดูแลและรับใช้อย่างดี เข้าใจมั้ย”
ปทุมวดีมองเลยไปที่กล้า บุหงารีบแนะนำ
“เอ่อ แพนขอพานายกล้า บอดี้การ์ดแล้วก็คนขับรถประจำตระกูลมาด้วยนะคะ คุณหญิงป้า”
“ได้สิจ๊ะ หนูแพน แต้ว น้อย เดี๋ยวช่วยกันจัดห้องพักให้นายกล้าด้วยล่ะ”
แต้วและน้อยยืนมองกล้า พอเห็นชัดๆ ว่าหน้าตาดี ต่างก็หลงรักและเคลิ้มมาก
“ได้ค่ะ คุณหญิง”
กล้าขนลุกซู่ที่สองสาวใช้มองเหมือนจะกลืนกินตัวเองเข้าไป ปทุมวดีชะเง้อมองหาประภาพรรณไม่เจอ บ่นออกมาดังๆ
“มีแขกมาบ้านทั้งที แต่ไม่โผล่หัวออกมาต้อนรับ เนี่ยแหละคนไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน”
“แต่มีคุณหญิงแม่สอนสั่งอยู่ทั้งคนไงคะ”
ประภาพรรณเดินฝ่ากลุ่มของคนใช้ออกมาพร้อมฉีกยิ้มหวานให้ดวงแก้วและบุหงา
“ที่แท้แขกของคุณหญิงแม่ก็คือแฟนคลับกะเพราหนูนาของมิวนั่นเอง”
ปทุมวดีไม่สนใจคำพูดกระแนะกระแหนของประภาพรรณ ยังคงยืนหน้าเชิดออกคำสั่งต่อไป
“เดี๋ยวยกกระเป๋าของคุณดวงแก้วและหนูแพนขึ้นไปไว้ที่ห้องพักแขกด้วย”
น้อยเข้าใจว่าสั่งตัวเองรีบยื่นหน้ามาถาม
“ห้องไหนหรือคะ คุณหญิง”
ปทุมวดียิ้มร้าย ไม่ตอบน้อยแต่หันไปสั่งประภาพรรณด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบจนน่ากลัว
“หล่อนเป็นคนยกไป ห้องพักแขกที่อยู่ติดกับห้องของตากรไง”
ประภาพรรณหน้าเจื่อนลงทันที ดวงแก้วและบุหงา หันมายิ้มเยาะให้กัน
ประภาพรรณขนกระเป๋าบุหงาและดวงแก้วขึ้นมาวางหน้าห้องเรียบร้อย
“ถึงแล้วค่ะ ห้องนอนของคุณดวงแก้วและคุณแพน”
ดวงแก้วเปิดประตูห้อง มองเข้าไปในห้องพักที่ใหญ่โตสวยงามของตัวเองด้วยความตื่นเต้น แต่บุหงากลับไม่สนใจจะเดินเข้าไปในห้อง ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องของพันกรและประภาพรรณด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“งั้น นี่ก็คือ ห้องของพี่กรใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ”
ปทุมวดีตอบเอง ประภาพรรณอึ้งตกใจมาก รีบเดินตามไปทันที บุหงาเดินเข้ามาสำรวจห้องด้วยความตื่นเต้น ดวงแก้วรีบตามมา
“โห ห้องคุณพันกรนี่สวยจริงๆ เลยนะคะ”
“ทั้งหรูหรา โอ่โถง สวยงาม ไฮโซสุดๆ ไปเลย”
ปทุมวดีเห็นสีหน้าไม่พอใจของประภาพรรณก็สะใจมาก รีบโหมไฟให้หนักขึ้นไปอีก
“จริงๆ แล้วถ้าหนูแพนอยากตกแต่งใหม่ตรงไหนก็คิดไว้ได้เลยนะจ๊ะ เพราะอีกไม่นานหนูก็คงจะได้มาอยู่ห้องนี้แล้วล่ะ”
บุหงายิ้มอายๆ ให้ปทุมวดี รู้ความนัยว่าปทุมวดีเตรียมไว้ให้เธอในฐานะสะใภ้
“แหม ไว้ถึงวันนั้นก่อนก็ได้ค่ะ คุณหญิงแม่ เอ๊ย คุณหญิงป้า”
ประภาพรรณนิ่ง เข้าใจสิ่งที่ปทุมวดีกับบุหงาพูดกัน แต่แกล้งถามซื่อๆ ออกไป
“ถ้าคุณแพนอยากจะมาอยู่ห้องนี้ ก็คงต้องซื้อบ้านหลังนี้ เอ๊ะ คุณแม่สามีจะขายหรือคะ”
ปทุมวดีมองประภาพรรณแบบจะกินเลือดกินเนื้อที่ถามออกมาเหมือนแกล้งโง่ หันไปพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“หล่อนนี่มันโง่จริงหรือแกล้งกันแน่ น่ารำคาญชะมัด”
บุหงารู้สึกเหมือนว่าเดินเหยียบอะไรแปลกๆ แล้วเห็นว่าตัวเองกำลังเหยียบชุดชั้นในของประภาพรรณอยู่
“ว้าย”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ พอดีเมื่อเช้าคุณกรรีบไปทำงาน แล้วมิวก็ไม่คิดว่าจะมีคนนอกเข้ามายุ่มย่ามในห้องส่วนตัว เลยไม่ได้เก็บน่ะค่ะ”
ประภาพรรณแกล้งยิ้มอายๆ ทั้งสามคนอึ้ง
ปทุมวดี ดวงแก้ว บุหงา เดินคุยกันออกมาตามทางเดินชั้นบน “สะใภ้พี่หญิงนี่นอกจากไม่มีชาติตระกูลแล้วยังไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลยนะคะ ของใช้แล้วแทนที่จะเก็บให้เรียบร้อย กลับทิ้งไว้กลาดเกลื่อน ต่ำมากค่ะ”
“นั่นสิคะคุณแม่ แพนอายแทนคุณหญิงป้าจริงๆ เลยค่ะ”
ปทุมวดียิ่งโกรธขึ้นไปอีก หันกลับไปมองห้องของพันกร
“นี่ถ้าพี่หญิงได้ลูกแพนเป็นสะใภ้ซะแต่แรก คงไม่มีเรื่องบัดสีแบบนี้ เปรียบเทียบกับลูกแพนแล้วคนละชั้นชัดๆ เลยนะคะ”
ดวงแก้วขยิบตากับบุหงาอย่างรู้กัน หางตาปทุมวดีเห็นประภาพรรณเดินออกมา เลยพูดกระแทกใส่
“ค่ะ คุณน้องดวงแก้ว พี่ก็อยากได้หนูแพนมาเป็นสะใภ้ใจจะขาดอยู่แล้ว ผู้ดีกว่าเยอะ ลงไปข้างล่างกันดีกว่า ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด”
ทั้งสามคนแสดงท่ารังเกียจประภาพรรณ แล้วเดินลงบันไดมาเจอกับราตรีซึ่งนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก
“สวัสดีค่ะ พี่หญิงปทุม หน้าบึ้งมาแต่ไกล ใครทำให้หงุดหงิดเหรอคะ”
“จะมีใครล่ะ ก็นังสะใภ้ตัวแสบนั่นแหละ”
ปทุมวดีกระแทกตัวลงบนโซฟา แต้วเดินเข้ามาเพื่อรับใช้ ประภาพรรณตามลงมาด้วย
“นังแต้ว ไปเอาน้ำส้มคั้นเย็นๆ มาให้ฉันกับแขกด้วย เร็วๆ ด้วย เห็นหน้าแล้วมันร้อนรุ่มขึ้นทุกวันค่ะ
คุณน้องราตรี”
“ค่ะ คุณหญิง”
ประภาพรรณพยายามเดินเลี่ยงไปทางห้องครัว ไม่อยากต่อปากต่อคำกับแม่สามีอีก
“เดี๋ยว หล่อนไปหาของว่างมารับแขกของฉันด้วย”
“ได้ค่ะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณกำลังจะเดินไป ราตรีคิดอะไรออกรีบขยับเข้าใกล้ปทุมวดี ดวงแก้วก็ยื่นหน้ามาฟังด้วย
“พี่หญิงคะ เราแกล้งนังมิวกันดีกว่าค่ะ”
“ยังไงคะ คุณน้องราตรี”
“พี่หญิงสั่งให้มันไปเก็บมะม่วงหน้าบ้านมาให้เรากินสิคะ เผื่อมันปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาแข้งขาหักไปนอนโรงพยาบาล จะได้ไม่ต้องอยู่ให้พี่หญิงเห็นหน้าไงคะ”
ปทุมวดีพยักหน้าเห็นด้วย ตาเป็นประกาย แล้วหันไปเรียกประภาพรรณ
“นี่หล่อน ฉันกับแขกอยากกินมะม่วง รีบไปจัดมาสิ”
“เดี๋ยวมิวออกไปซื้อที่ตลาดให้ละกันค่ะ”
“จะไปซื้อทำไมให้สิ้นเปลือง ไปเก็บเอาที่หน้าบ้านซิยะ”
บุหงาซุบซิบกับดวงแก้ว
“แค่นี้ก็งก”
“หนูแพนว่าอะไรนะจ๊ะ”
“อ้อ แพนกำลังคิดว่าคุณมิวเธอทำอาหารอร่อย ก็น่าจะให้ทำน้ำปลาหวานมาด้วยค่ะ”
“ถ้ายังติดใจฝีมือฉัน เดี๋ยวจัดให้ค่ะ คุณแพน”
“แล้วอย่าให้ฉันขายหน้าล่ะ รีบไปเลย”
“ค่ะ คุณแม่สามี”
ประภาพรรณจำใจต้องเดินออกไปหน้าบ้านอย่างเซ็งๆ ปทุมวดี ราตรี ดวงแก้ว และบุหงา หัวเราะชอบใจที่แกล้งประภาพรรณได้
ประภาพรรณสะพายกระเป๋าใบใหญ่ ปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงในสวนหน้าบ้านอย่างทะมัดทะแมง ปทุมวดี ราตรี เดินตามออกมา แหงนคอสั่งประภาพรรณที่ใต้ต้นมะม่วง
“นี่ ลูกใหญ่ๆ ทางขวานั่นไง ดูมะม่วงเป็นมั้ยเนี่ย”
“ทางซ้ายด้วย เธอต้องปีนขึ้นไปสูงๆ กลัวความสูงรึไง”
ประภาพรรณมองลงมาข้างล่างด้วยความรำคาญ
“ไม่ได้กลัว ก็กำลังเก็บอยู่นี่ไงคะ”
ดวงแก้ว บุหงา เดินนวยนาดกันออกออกมา ดวงแก้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นประภาพรรณอยู่บนต้นมะม่วง
“สะใภ้พี่หญิง ดูๆ ไปก็เหมือนลิงค่างในสวนสัตว์เลยนะคะ”
“เอ๊ะ หรือเป็นชะนีไม่มีญาติ เลยต้องมาไล่จับสามีรวยๆ แบบลูกชายของพี่หญิงมาทำผัว ผัว ผัว ผัว”
ราตรีแกล้งร้องเป็นชะนี
“ผู้หญิงสมัยนี้มันช่างไม่มียางอายเอาซะเลยนะคะ”
“โอ๊ย ถ้ามียางอายคงไม่ยั่วผู้ชายจนได้ดีอย่างนี้หรอกค่ะ”
“นั่นซิคะ ลูกชายพี่ก็เลยซวย เอาผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำเมีย คิดแล้วหงุดหงิดอารมณ์เสีย”
บุหงาสะใจที่ได้ยินพวกคุณหญิงพูดประชดประชันประภาพรรณ แต่ก็ต้องทำเป็นแกล้งหัวเราะเบาๆ แบบผู้ดี
“อย่าไปว่าคุณมิวเลยค่ะ สงสารเธอออกค่ะ ผัว ผัว ผัว”
บุหงาแกล้งร้องเป็นชะนีอีกรอบ ประภาพรรณโกรธมากที่ได้ยินคำพูดและท่าทางประชดประชัน จึงคิดหาทางที่จะแกล้งเอาคืนบ้าง เธอมองขึ้นไปบนต้นมะม่วง เห็นมะม่วงลูกหนึ่งอยู่ติดกับรังมดแดงขนาดใหญ่
“ทุกคนคะ ช่วยขยับมาใกล้ๆ มาดูตรงนี้หน่อย ลูกใหญ่ๆ ตรงนี้จะให้เก็บด้วยมั้ยคะ”
ปทุมวดี ราตรี ดวงแก้ว และบุหงา หลงกลเดินเข้าไปตามที่ประภาพรรณบอก
“ไหนๆ ลูกไหน”
“เห็นแล้วค่ะ พี่หญิง ลูกใหญ่เชียว นั่นแหละๆ เอาลูกนั้นด้วย”
“แน่นะคะ”
“แน่ซิ”
“แน่นะคะ แต่ลูกนี้มันใหญ่พิเศษ ข้างล่างต้องช่วยรับด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องลีลามาก รีบๆ เด็ดลงมาเร็วเข้า ฉันเมื่อยคอแล้ว”
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปทุมวดี ราตรี ดวงแก้ว และบุหงา รีบไปยืนรับมะม่วงที่ใต้ต้น
ประภาพรรณเห็นทุกคนมาพร้อมหน้ากัน ก็รีบเด็ดมะม่วงพร้อมรังมดแดงให้ร่วงลงไป
“รับดีๆ นะคะ”
มะม่วงพร้อมรังมดแดงร่วงลงมาใส่คนทั้งสี่ พอทุกคนเห็นเป็นรังมดแดงก็ตกใจ ร้องวี้ดว้าย สะบัดแขนขา มดก็กระเด็นไปโดนทุกคน เลยยิ่งตกใจวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ประภาพรรณปีนกลับลงมา ปัดเนื้อปัดตัว หัวเราะ
“ไม่รู้จักไอ้มิวซะแล้ว”
ปทุมวดี ราตรี ดวงแก้ว และบุหงา นั่งร้องครวญที่โดนมดกัด มีป้าม้วนกับแต้วคอยทายาให้ ประภาพรรณนั่งดูอยู่ห่างๆ
“มดกัดแค่นี้เอง ไม่เจ็บมากหรอกค่ะ คุณแม่สามีขา”
“นี่หล่อน จะไม่เจ็บได้ไง ทั้งเจ็บทั้งคันไปทั้งตัว แล้วคอยดูนะ ฉันจะฟ้องตากรว่าเธอแกล้งฉัน นังแต้วทายาให้มันเร็วๆ หน่อย”
“ค่ะ ค่ะ คุณหญิง”
“โอ๊ย เจ็บจังเลยค่ะคุณหญิงป้า เจ็บตรงแขน ตรงขา เจ็บไปทั้งตัวเลยค่ะ ป้าม้วนช่วยทาตรงนี้ด้วยนะคะ”
“เจ้าค่ะๆ”
ม้วนมือเป็นระวิง
“ถ้าฉันเป็นอะไรไปเพราะมดกัดนะ ฉันจะฟ้องคุณปรีชาชาญให้ไล่แกออกจากบ้าน”
ราตรีโอดโอย
“แม่มิว หล่อนจะว่ายังไงเรื่องนี้”
“โถๆๆ คุณแม่สามีขา แค่มดกัดแค่นี้ไม่ตายหรอกค่ะ ไม่งั้นเด็กๆ แถวบ้านมิวมันเล่นดิน เล่นทราย โดนมดกัดทุกวันมันไม่ตายกันทั้งหมู่บ้านเหรอคะ”
พันกรจอดรถที่หน้าตึกบ้าน แล้วเดินเข้าบ้าน เห็นป้าบัวเผื่อนกับน้อยเหมือนแอบดูอะไรกันอยู่แถวๆ ทางเข้าห้องรับแขกก็สงสัย ป้าบัวเผื่อนกับน้อยเห็นพันกรก็รีบหลบวูบหายไปหลังบ้าน พันกรเลยตัดสินใจเดินไปที่ห้องรับแขก เห็นบรรยากาศแปลกๆ
“มารวมตัวทำอะไรกันเหรอครับเนี่ย”
บุหงาจิกมองพันกร สายตาแพรวพราว แล้วทำออเซาะกับดวงแก้ว แต่มองพันกร
“โอ๊ย คุณแม่ขา แพนเจ็บจะทนไม่ไหวแล้ว พาแพนไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ มดมันกัดเจ็บไปถึงกระดูกเลย โอ๊ย”
“อดทนนะลูก คุณพันกรมาแล้วเดี๋ยวให้พี่เขาพาไปหาหมอก็ได้”
“ตากร ลูกมาดูแผลที่แขนแม่ซิ บวมใหญ่แล้ว”
พันกรมองทุกคนงงๆ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว พอจะเข้าใจว่าโดนมดกัด ประภาพรรณละเหี่ยใจ
“ทุกคนคะ นี่มันแค่มดกัดนะคะ จะเจ็บอะไรขนาดนั้น”
พันกรไปนั่งข้างๆ ปทุมวดี ตรวจดูรอยแผลที่มดกัด เห็นว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ทายาเดี๋ยวก็หายครับ คุณแม่”
“ตากรต้องจัดการให้แม่นะ มีอย่างที่ไหน แม่ใช้อะไรมิวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ยอม ถึงขนาดเอารังมดแดงมาโยนใส่แม่ ใส่เพื่อนแม่ ร้ายกาจจริงๆ”
พันกรตกใจ
“มิว ทำไมต้องแกล้งคุณแม่กับทุกคนขนาดนี้ด้วย ตอบผมมาซิ”
ประภาพรรณอึ้งที่โดนพันกรเอ็ด ปทุมวดีสะใจมากที่ลูกชายต่อว่าสะใภ้ตัวแสบ บุหงา ดวงแก้ว ราตรี ป้าม้วน แต้ว ต่างก็ลุ้นให้พันกรตำหนิประภาพรรณ
ประภาพรรณเดินตามพันกรออกมาคุยกันตามลำพังที่หน้าบ้าน
“คุณกรต้องเชื่อมิวนะ มิวไม่ได้แกล้ง คุณแม่สั่งให้มิวปีนไปเก็บมะม่วง มิวไม่ทันเห็นว่ามีรังมดแดง แค่มือมันปัดไปโดน มดแดงก็เลยตกลงมา มิวไม่ได้ตั้งใจ”
พันกรยังจ้องหน้าหญิงสาว
“มิวอย่าโกหกเลย ผมรู้จักนิสัยมิวดี ไม่ยอมให้ใครรังแกฝ่ายเดียว บอกความจริงผมมาดีกว่า”
“ก็ได้ มิวปีนขึ้นไปเก็บมะม่วง แต่คุณแม่กับเพื่อนก็ด่ามิวว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่เป็นผู้ดีบ้างล่ะ แล้วยัยแพนด้าตาดำนั่นอีกคน ล้อว่ามิวเป็นชะนีจ้องจะหาผัว สารพัดจะเอาคำเลวๆ มาว่ากัน มิวก็โมโหเป็นนะ ทีนี้คุณกรจะด่าว่าอะไรมิวก็ว่ามาเลย”
พันกรอมยิ้ม
“มิวคิดมากไปรึเปล่า คุณแม่ก็คงบ่นๆ ไปตามประสา ไม่เห็นจะต้องแกล้งคุณแม่ขนาดนั้นเลยนี่”
“บ่นๆ เหรอ นี่ถ้ารู้ชื่อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย โคตรเหง้าของมิว ก็คงขุดมาด่าไม่เหลือซากแน่ ทำไมคุณกรไม่เชื่อที่มิวพูดบ้าง”
ประภาพรรณหันหน้าหนี รู้สึกน้อยใจที่สามีไม่เข้าใจ พันกรเดินเข้าไปโอบ
“โอ๋ โอ๋ เชื่อแล้วๆ เชื่อทุกอย่างที่มิวพูดเลยจ้ะ”
“คุณกรต้องเชื่อซิ เพราะมันเป็นความจริง”
“แต่ว่า มิวก็ไม่ควรไปแกล้งคุณแม่แบบนั้น ผมไม่สบายใจเลยนะ เวลาเห็นคุณแม่กับมิวทะเลาะกัน นี่ก็เมีย นั่นก็แม่ ผมเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง จะเข้าข้างใครก็ไม่ได้”
“มิว มิวขอโทษนะ คุณกร”
ปรีชาชาญเดินมาหาทั้งคู่
“ตามพ่อมานี่ ทั้งคู่เลย”
พันกรกับประภาพรรณงงๆ ก่อนเดินตามไป ปรีชาชาญมองไปรอบตัว ดูว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นแล้วหันมาพูดกับทั้งสองคน
“อืม บ้านเรามันไม่ได้ครึกครื้นแบบนี้มานานแล้ว แกว่ามั้ย”
“พ่อประชดใช่มั้ยเนี่ย ผมก็คิดเหมือนพ่อเลย”
“มิว อย่าเพิ่งเบื่อแม่เขานะ”
“เอ่อ ค่ะ”
“พ่อก็ไม่ค่อยสบายใจหรอก เวลาแม่เขามาหาเรื่องมิว แม่เขาไม่มีอะไรหรอก แค่หวงลูกชายไปหน่อยแค่นั้นแหละ”
“ไม่หน่อยหรอกค่ะ คุณพ่อ หวงมาก”
ปรีชาชาญยิ้ม แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง
“พรุ่งนี้พ่อต้องไปประชุมที่ต่างประเทศ คงหลายวันหน่อย พ่อคงไม่ได้อยู่ช่วยมิว เวลาแม่เขามาชวนทะเลาะด้วย มิวต้องอดทนให้มากๆ ไหนๆ ก็มาร่วมหอลงโรงกับเจ้ากรแล้ว แม่สามีก็เหมือนแม่ตัวเองนะลูก”
ประภาพรรณได้แต่ถอนหายใจ พันกรมองแล้วก็สงสาร
“ผมผิดเองครับพ่อ ที่ทำอะไรไม่ได้เลย”
“การแต่งงานน่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันมีคำว่าครอบครัวมาครอบเอาไว้ด้วย ถ้ามีเรื่องกันไม่เว้นแต่ละวัน คนที่ไม่สบายใจที่สุด ก็คงเป็นเจ้ากรนี่แหละ”
“มิวจะพยายามค่ะ คุณพ่อ”
“กร พาหนูมิวไปฮันนีมูนสักสองสามวันสิ บ้านเราที่ปราณบุรีก็มี ไปพักผ่อนซะให้สบายใจ ปล่อยให้แม่เขาอยู่กับก๊วนเพื่อนเขา เผื่อพายุจะสงบลงมั่ง แกว่าเป็นไง”
“ดีเลยครับพ่อ เดี๋ยวผมโทร.ลางาน แล้วไปพรุ่งนี้เลย”
“ไปกันเงียบๆ ไม่ต้องบอกแม่แก พรุ่งนี้แกไม่ต้องไปส่งพ่อที่สนามบิน ให้แม่ไปส่งพ่อคนเดียวก็พอ”
พันกรจับมือประภาพรรณ ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“ขอบคุณครับพ่อ”
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
เช้าตรู่ พันกรกับประภาพรรณหอบกระเป๋าเสื้อผ้าย่องลงมาที่ห้องรับแขก โดยไม่เปิดไฟ น้อยเดินหาวดังๆ เข้ามา เห็นมีคนย่องๆ อยู่ ก็เข้าใจว่าเป็นขโมย กำลังจะตะโกน พร้อมกับกดสวิทช์เปิดไฟ
“ขโมย”
ไฟสว่างพรึ่บ พันกรหันมา เห็นเป็นน้อย เลยพุ่งมาปิดปากน้อยไว้
“น้อย นี่ฉันเอง”
“ขอโทษค่ะ น้อยนึกว่าเป็นขโมย”
“พวกเราเองจ้ะ”
“คุณกรกับคุณมิวจะไปไหนแต่เช้าเหรอคะ เพิ่งจะตีสี่ ยังมืดอยู่เลย”
“ฉันจะพาคุณมิวไปฮันนีมูน แต่น้อยอย่าบอกใครว่าเห็นฉันกับคุณมิวนะ โดยเฉพาะคุณแม่”
น้อยจะถามอะไรต่อ
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ความลับ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ น้อยจะปิดปากให้สนิทเลยค่ะ”
“ไปละ”
“ฝากดูบ้านด้วยนะ”
“ค่ะ ฮันนีมูนให้สนุกนะคะ ฮิฮิ กุ๊กกิ๊กน่ารัก”
พันกร ประภาพรรณรีบเดินออกไปหน้าบ้านก่อนที่จะมีใครมาเห็นอีก
ตอนเช้า ปทุมวดีมองบุหงาที่แต่งตัวสวยจัดเต็มอย่างชื่นชม ปรีชาชาญนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอ
“วันนี้หนูแพนของคุณหญิงป้าสวยมากลูก หนูต้องทำคะแนนกับพี่กรหน่อยนะ ต้องเอาใจพี่เขามากๆ”
“ค่ะคุณหญิงป้า แต่แพนกลัวพี่กรเขาจะรำคาญเอาซิคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ ถ้าตากรทำอะไรให้หนูแพนเสียใจนะ ป้าจะจัดการเอง”
“นั่นซิ ไม่ต้องห่วงหรอกลูกแพน ผู้ชายที่ไหนก็ชอบให้ผู้หญิงเอาใจทั้งนั้น จริงมั้ยคะ คุณพี่ผู้ชาย”
ดวงแก้วหันมามองปรีชาชาญ
“ใช่ครับ คุณดวงแก้ว ร้อยทั้งร้อย ผู้ชายชอบผู้หญิงเอาใจทั้งนั้น ยิ่งเป็นเมียตัวเองเอาใจก็ยิ่งชอบครับ จริงมั้ยคุณหญิง”
ปรีชาชาญพูดกระทบปทุมวดี ปทุมวดีค้อนเล็กๆ ก่อนมองนาฬิกา
“เดี๋ยวก็ไปไม่ทัน ตกเครื่องกันพอดี”
“งั้นเราก็ไปกันเลย ผมจะได้ไม่ตกเครื่องไง”
ปรีชาชาญทำท่าจะลุกทันที
“เดี๋ยวๆๆๆ ห้ามลุกไปไหนทั้งนั้นค่ะ แต้ว ไปตามคุณกรซิ ให้รีบลงมาเดี๋ยวนี้เลย บอกว่าคุณผู้ชายต้องรีบไปสนามบิน”
“ค่ะ คุณหญิง”
แต้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน น้อยแอบยืนยิ้มอยู่
“ไม่เห็นต้องไปส่งกันให้เอิกเกริก ทำอย่างกะผมจะไปเป็นปี ปล่อยลูกนอนไปเถอะ คุณหญิงไปส่งผมคนเดียวก็พอ”
“แหม คุณพี่ผู้ชายพูดอย่างกะไม่อยากให้ดวงแก้วกับลูกแพนไปส่งด้วยนะคะ”
ปรีชาชาญหัวเราะเบาๆ แต้ววิ่งกลับลงมา ตกใจ
“เป็นอะไร นังแต้ว”
“ไม่มี ไม่มี ไม่มีใครอยู่ข้างบนเลยค่ะคุณหญิง คุณกรก็ไม่อยู่ นังมิว เอ๊ย คุณมิวก็ไม่อยู่ หายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ค่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้”
ปทุมวดีใจร้อนเป็นไฟ รีบไปเปิดประตูห้องพันกรหน้าถมึงทึง ตามมาด้วยดวงแก้ว บุหงา ที่ถือโอกาสสำรวจโน่นนี่ไปด้วย
“นี่มันอะไรกันเนี่ย หายไปไหนกันหมด”
ปรีชาชาญทำเป็นเดินตามขึ้นมาดูด้วย พร้อมกับแต้ว น้อย
“คุณพี่คะ ไม่รู้ลูกหายไปไหน แต้ว น้อย ไปดูรอบๆ บ้านซิ โอ๊ย จะทำยังไงดีล่ะคะ”
ปรีชาชาญทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เราก็ไปสนามบินกันเองก็แค่นั้น ไม่เห็นจะยาก”
“แต่ลูกบอกว่าจะไปส่งคุณพี่ที่สนามบินนะ”
“นั่นซิคะคุณลุง แพนอุตส่าห์แต่งตัวมารอคุณกรตั้งแต่เช้า”
“อ้าว นี่หนูแพนจะมาส่งลุง หรือจะมารอเจอเจ้ากรกันจ๊ะ”
“ก็ ทั้งสองอย่างค่ะ”
ปทุมวดีหงุดหงิดมาก
“เอ๊ะ หรือซ่อนอยู่ในนี้
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปทุมวดีเปิดประตูห้องน้ำ
“ไม่มี นังมิวมันพาลูกฉันหนีไปไหนเนี่ย”
“หนี เหนอ อะไรกัน เขาสองคนเป็นผัวเมียกัน จะแอบไปเที่ยวที่ไหนก็เรื่องของเขา โตๆ กันแล้ว”
“แต่ลูกไม่เคยเป็นแบบนี้เลย จะไปไหนมาไหนฉันต้องรู้”
“ลูกมันคงรำคาญมั้ง เลยหนีไปเที่ยว แล้วไม่อยากบอกคุณหญิง กลัวจะตามไปหาเรื่องเมียมันอีก”
“นี่คุณพี่ อย่ามาว่าน้องนะ”
“เอาน่า เรารีบไปสนามบินกันดีกว่า แต้ว น้อย เอากระเป๋าไปใส่รถ บอกเดชเอารถออกไปสนามบิน ด่วน ไม่รอแล้ว”
“ค่ะ ท่าน”
ปรีชาชาญรีบเดินออกไป บุหงาพึมพำกับตัวเองอย่างเจ็บใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ นังมิว”
ถนนร่มรื่น ยามเช้า พันกรขับรถอย่างมีความสุข แอบมองประภาพรรณเป็นระยะ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถก็หลับมาตลอดทาง
“มาฮันนีมูน แต่ปล่อยให้ผมขับรถอยู่คนเดียว เหงานะจ๊ะ รู้มั้ย คุณภรรยาที่รัก”
พอแดดส่องหน้าประภาพรรณ พันกรเอาบังแดดลงมาบังให้ด้วยความเป็นห่วงว่าจะร้อน เมื่อเห็นภรรยากอดอก เขาก็ผลักแอร์หลบให้ หาผ้ามาคลุมกลัวจะหนาว พันกรขับรถ ผิวปากอารมณ์ดีไปตลอดทาง จนไปถึงบ้านพักหรูริมหาดปราณบุรี พันกรขับรถเข้ามาจอด ประภาพรรณตื่นพอดีลงมาจากรถ ยืนบิดขี้เกียจ แล้ววิ่งไปริมทะเล
“ว้าว บ้านก็สวย ทะเลก็สวยจังเลย”
พันกรดีใจที่เห็นภรรยามีความสุข เลยอดแซวไม่ได้
“มิวเล่นหลับมาตลอดทาง ปล่อยผมขับรถอยู่คนเดียวอยู่ตั้งนาน ไม่มีใครคุยเป็นเพื่อนเลย พอมาถึงทะเลก็ทำเป็นร่าเริง”
ประภาพรรณแกล้งแลบลิ้นใส่พันกร
“ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ต้องให้ผมกอดให้ชื่นใจซะหน่อย มานี่เลย”
พันกรจะวิ่งไปหาประภาพรรณ หญิงสาวแกล้งวิ่งหนี
“วิ่งตามมิวให้ทันละกัน มิวถึงจะยอมให้คุณกรกอด”
ประภาพรรณวิ่งหนีพันกรไปรอบๆ บ้าน วิ่งไปที่ชายหาด พันกรก็วิ่งไล่ตามอย่างสนุกสนาน แล้วตะครุบตัวประภาพรรณได้ที่ชายหาด ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปด้วยกัน
“หนีไม่พ้นหรอก ต้องทำโทษซะให้เข็ด”
พันกรระดมหอมแก้มประภาพรรณให้สมกับที่รอมาทั้งวัน
“อุ๊ย ว้าย พอแล้วคุณกร”
ประภาพรรณดันตัวพันกรออกเบาๆ
“หิวจังเลยค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมให้คนออกไปหาซื้ออะไรง่ายๆ มากินกันก่อน ดีมั้ย”
“ดีค่ะ”
พันกรดึงประภาพรรณให้ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปด้านในบ้านพัก ทั้งสองนั่งกินข้าวกลางวันกันแบบง่ายๆ สลับกันป้อนอาหาร ประภาพรรณแกล้งป้อนพันกรให้เลอะปากบ้าง พันกรแกล้งกัดมือหญิงสาวบ้างด้วยความหมั่นเขี้ยว ทั้งคู่หยอกล้อกันอย่างมีความสุข
จากนั้นสองหนุ่มสาวออกมาวิ่งเล่นที่ชายหาด วักน้ำทะเลใส่กัน วิ่งเล่นไล่จับ หยอกล้อกันตามประสาคู่รัก ข้าวใหม่ ปลามัน พอวิ่งจนเหนื่อยก็นั่งลง พันกรนอนหนุนตักประภาพรรณ หญิงสาวจูบหน้าผากชายหนุ่ม พันกรกอดโน้มตัวประภาพรรณลงมาอีก หอมแก้มหวานชื่น
ปทุมวดีนั่งกดมือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามติดต่อกับพันกร
“โอ๊ย ไม่รู้จะมีไว้ทำไมไอ้มือถือเนี่ย มีแล้วก็ไม่เปิดเครื่อง ตากรนะตากร”
“ติดต่อพี่กรไม่ได้เลยเหรอคะ คุณหญิงป้า”
“จ้ะ หนูแพน”
“แม่นั่นคงพาคุณพันกรหนีไปที่ไหนสักที่แน่ๆ เลยค่ะ”
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันพาลูกชายพี่หนีไปไหน”
ป้าม้วนกับแต้ว เสนอหน้าแสดงความเห็น
“คุณหญิงก็ลองโทร.หานังคุณมิวซิเจ้าคะ”
“ใช่ค่ะ โทร.หามันเลย”
“นี่ ฉันจะไปรู้เบอร์มันได้ยังไงล่ะ หน้ามันฉันยังไม่อยากมอง”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” ดวงแก้วถามขึ้น
“เฮ้อ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
บุหงากับดวงแก้วสบตากันด้วยความเซ็ง
ป้าบัวเผื่อน น้อย เตรียมอาหารอยู่ในครัว มีเดช สมหมายนั่งเล่นอยู่ด้วย ป้าม้วน แต้ว เดินมาในครัว
“นังบัวเผื่อน เตรียมของว่างให้คุณหญิง คุณดวงแก้วแล้วก็คุณแพนด้วยนะ ฉันขอพักก่อน นวดขาคุณหญิงจนเมื่อยมือไปหมดแล้ว”
“ฉันด้วยป้า”
ป้าม้วนกับแต้วเดินไปพักอีกมุมหนึ่ง น้อยหันมาพูดกับป้าบัวเผื่อน
“คุณหญิงนี่ก็แปลกๆ เนอะ ป้าบัวเผื่อนว่ามั้ย”
“อะไรของแก แปลกๆ”
“ก็มีคุณมิวเป็นสะใภ้อยู่ทั้งคน แต่ทำท่าเหมือนจะเอาคุณแพนมาเป็นสะใภ้อีกคนซะงั้น”
“อ้าว แล้วจะเอาคุณมิวไปไว้ที่ไหนล่ะ”
“นังบัวเผื่อนแกไปมุดหัวอยู่ไหนมา”
“ฉันก็มุดอยู่ในครัวนี่ละวะ ไม่ได้เสนอหน้าตะแล้ดแต๊ดแต๋ไปวันๆ เหมือนแกนี่นังม้วน”
“แกไม่ต้องมาว่าฉันนังบัวเผื่อน ฉันจะบอกให้เอาบุญ รู้ไว้ซะนะ ว่าคุณหญิงเกลียดนัง คุณมิวหยั่งกับกิ้งกือ ไส้เดือน”
“ทำไมวะ คุณมิวแกก็น่ารักดีนี่ คุณกรก็รักออกจะตาย”
“ของอย่างนี้ใครจะไปรู้ คุณหญิงแกก็ชอบคุณแพนมากซะด้วย พวกแกก็รู้นี่ว่าคุณหญิงไม่ได้อยากให้คุณกรแต่งงานกับนัง คุณมิว ไม่ได้อยากเอามาเป็นสะใภ้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“โอ๊ย สมัยนี้แต่งได้ก็เลิกได้ เลิกแล้วก็แต่งใหม่กับคุณแพนไง ทั้งสวย ทั้งเรียบร้อย เป็นผู้ดีมีชาติตระกูลด้วย ไม่เหมือนนัง”
“นังแต้ว พอได้แล้ว อีนี่เป็นเอามาก ระวังเถอะ ทำตัวเป็นกบเลือกนาย สักวันจะโดนไล่ออกจากบ้านที่คุ้มกะลาหัวแกอยู่ทุกวันเนี่ย”
“ฉันจะชอบใครก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับป้าซะหน่อย”
“เอ๊ะ อีนี่ พูดด้วยดีๆ ยังมาเล่นลิ้นอีก เดี๋ยวจะโดน”
แต้วนั่งหน้าหงิกที่โดนป้าบัวเผื่อนดุ
“แต่ฉันว่านะ ผ่านด่านคุณมิวยาก แสบจะตาย เอาเรื่องน่าดู เคยยอมคุณหญิงซะที่ไหน ดูเวลาเถียงกับคุณหญิงซิ คุณหญิงยังสู้ไม่ได้เลย”
“เชอะ พนันกันมั้ยล่ะ ดูสิว่าใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะได้เป็นสะใภ้ตัวจริงของคุณหญิง” แต้วท้า
“เอาซี้ ฉันอยู่ข้างคุณมิว” น้อยบอก
“แต่ฉันไม่”
ป้าบัวเผื่อนเอาถาดเคาะหัวทั้งน้อยและแต้ว
“มันใช่เรื่องของพวกแกมั้ยเล่า ว่างมากใช่มั้ย เอาเรื่องขอนายมานินทา ไปได้แล้ว มีอะไรก็ไปทำไป๊”
“งั้น หนูรอเอาของว่างไปเสิร์ฟข้างในนะป้า” น้อยบอก
“เออ”
ชายหาดเริ่มมีผู้คนพลุกพล่าน ประภาพรรณกับพันกรเดินเล่นมาตามทาง หยุดถ่ายเซลฟี่เล่นเป็นระยะๆ พันกรนึกสนุกจะแกล้งภรรยา เลยดึงตัวมากอดแล้วหอมแก้ม
“คุณกร คนเยอะแยะ มิวเขินนะ”
“ไม่เห็นต้องอายเลย ก็ผัวเมียเขารักกัน หอมแก้มกันไม่เห็นเป็นไรนี่”
พันกรแกล้งกอด หอมแก้ม ประภาพรรณดันตัวออกแล้ววิ่งหนี
“อยากกอดก็ตามให้ทันละกัน”
ประภาพรรณวิ่งไป แล้วหันมาแลบลิ้นให้พันกร เลยต้องวิ่งถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างแรง มือถือของทั้งคู่หล่นลงที่พื้น
“โอ๊ย”
ทั้งคู่หยิบมือถือขึ้นมาและปัดฝุ่นที่ติดตามตัว รีบหันไปหาอีกฝ่ายตั้งใจว่าจะด่าให้เต็มที่
“เดินประสาอะไรเนี่ย เธอจะรีบไป”
พอทั้งคู่เห็นหน้ากัน ต่างก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
“นิด”
“มิว”
ทั้งคู่กระโดดกอดกัน หัวเราะดีใจกันมาก จนพันกร และภาณุที่มากับนิโรบลงงมาก ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ดีใจที่สุดเลยนิด นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
“โลกกลมสุดๆ”
“รู้มั้ยมิวคิดถึงนิดตลอดเลยนะ แต่ไม่รู้จะไปตามที่ไหน”
“นี่ไงมาเจอกันเองเฉยเลย นิดว่าเราไปหาที่นั่งเมาท์กันให้หายคิดถึงดีกว่า”
“ได้ๆๆ”
พันกรงง แต่ก็หันไปยิ้มให้ภาณุที่ทำหน้างง ไม่ต่างกัน
ประภาพรรณแนะนำนิโรบลให้รู้จักพันกร และสองสาวต่างแนะนำสามีของตัวเองให้เพื่อนรู้จัก
“คุณกรคะ นี่ยัยนิด หรือนิโรบลเพื่อนรักของมิว”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“แล้วนี่คุณพันกร สามีเราเองจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“นี่คุณภาณุ เรียกณุก็ได้ แฟนนิดจ้ะ”
“แฟนเหรอ แค่แฟนเองเหรอ ว้า นึกว่าเป็น ซะมี”
“เออ ก็สามีนี่แหละ พอใจรึยัง”
ประภาพรรณกับนิโรบลต่างหัวเราะให้กัน ในความเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
“คุณณุ มิวขอยืมตัวนิดแป๊บนึงนะคะ ขอคุยกันตามประสาสาวๆ ที่ไม่ได้เจอกันน้าน นาน ฝากคุณณุด้วยนะคุณกร”
“ได้ครับ คุณภรรยา”
“อ้อ แล้วก็อย่าลืมหาขนมให้มิวกับนิดกินด้วยนะจ๊ะที่รัก”
“คร้าบ คุณมิว งั้น เราไปในครัวกันดีกว่าครับ คุณณุ”
“ได้ครับ”
สองหนุ่มเดินหายไปในครัว
ประภาพรรณกับนิโรบลคุยกันอย่างเปิดอก เรื่องที่ไม่เจอกันนาน
“ดูคุณพันกรรักมิวมากนะ”
“คุณณุก็รักนิดมากเหมือนกันแหละ”
“เรียกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งเลยดีกว่า คุณณุทั้งสุภาพ ให้เกียรติ ไม่เจ้าชู้ ที่สำคัญนะมิว เขาไม่เคยสนใจว่าอดีตของนิดจะเป็นยังไง นิดถึงรักคุณณุมาก แล้วมิวล่ะ”
“มิวเหรอ ก็ดี มิวก็เพิ่งแต่งงานเหมือนกัน”
“มีความสุขดีเหมือนกันใช่มั้ย ท่าทางคุณกรจะอยู่สมาคมเกลียมัว กลัวเมีย เหมือนกันนะ”
ทั้งคู่หัวเราะให้กัน
“บ้า รู้ได้ไงอะ คุณพันกรเป็นคนดีมาก มิวไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าชาตินี้คนอย่างมิว จะได้สามีดีๆ เหมือนคุณพันกร ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ จากเด็กในแก๊งต้มตุ๋น ที่ไม่มีอนาคต”
ประภาพรรณเหม่อมองออกไปไกลๆ ผ่านหน้าต่าง สู่ทะเล คิดถึงวันเวลาในอดีต
ในอดีต เมื่อประภาพรรณกับนิโรบลอายุประมาณ 20 ปี ประภาพรรณยื่นพระปลอม ที่กำลังจะหลอกขายให้ลูกค้า ลุงลูกค้าลูบคลำพระ ประเมินมูลค่าด้วยสายตาอย่างตั้งใจ
“ลุงจะดูอะไรกันมากมาย ของแท้อยู่แล้วจ้า”
“นั่นดิ ลูบๆ คลำมาก เดี๋ยวก็ลอก เอ๊ย เดี๋ยวก็หลุดมือจนได้ต้องรับผิดชอบด้วยนะลุง” นิโรบลช่วยพูด
“เออน่า ดูอีกหน่อยเพื่อความชัวร์ แล้วทำไมคนขายไม่มาเอง”
“ก็ขี้เกียจไงเลยไม่มา”
“อะไรวะ จะขายของแค่นี้ยังขี้เกียจ ค้าขายอย่างนี้ไม่ไหว”
ประภาพรรณสะกิดนิโรบลให้เงียบๆ
“เปล่า แกไม่ได้ขี้เกียจหรอก แกไม่ค่อยสบายเลยให้พวกหนูมาแทน ลุงก็ดูให้มันเสร็จๆ ซะทีสิ พวกหนูจะได้กลับ”
“จะรีบไปไหนกันวะ เดี๋ยวซิโว้ย เร่งจัง ดูพระมันต้องดูนานๆ”
“จะดูวันหมดอายุรึไง พระนะลุง รีบๆ จ่ายเงินมาเถอะ แล้วก็เอาพระไปดูที่บ้าน ดูมันทั้งวันทั้งคืน ให้หายอยากเลยลุง”
“ของแท้แน่นะ”
“แท้ซิลุง ของแท้แน่นอนอยู่แล้ว ร้านลุงเสริมบุญรับประกัน”
“ก็ได้ๆ เอาเงินไป เร่งอยู่ได้”
ลุงหยิบเงินให้ประภาพรรณ แล้วหยิบแว่นส่องพระจะมาส่องพระอีกรอบ ประภาพรรณสบถเบาๆ
“ซวยแล้วกู”
สะใภ้รสแซ่บ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ประภาพรรณสะกิดนิโรบลให้รีบออกมาจากร้าน
พอพ้นได้ก็รีบเผ่นอย่างไม่คิดชีวิตไปตามซอยแห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินออกมาด้วยความโล่งอก กำลังจะกลับบ้าน นิโรบลบ่น
“เฮ้อ ทำไมลุงเสริมบุญไม่มาเองบ้างนะ ทำแบบนี้ทุกทีเลย ให้พวกเราเอาพระเก๊มาปล่อย แล้วก็ต้องมานั่งลุ้น ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าเขาจะจับได้รึเปล่า”
“พ่อแกก็เคยบอกว่าให้พวกเรามาน่ะดีแล้ว ลูกค้าเห็นเป็นเด็กผู้หญิงจะได้ไม่ถามอะไรเยอะ”
“เอาตัวรอดนี่หว่า”
“เอาน่า วันนี้เรารอดแล้วล่ะ”
“ขอให้จริง”
พูดไม่ทันขาดคำ ลุงลูกค้ารีบเดินเร็วๆ มาตามสองสาว
“ไอ้เด็กเปรต เอาของปลอมมาขายกู”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้ววิ่งหนี
“พวกมึงกล้าย้อมแมวขายให้กูเหรอ ไม่รู้จักกูซะแล้ว กูจะเรียกตำรวจมาจับพวกมึง”
ตำรวจสายตรวจผ่านมาพอดี
“ตำรวจ จับพวกมันเลยครับ พวก 18 มงกุฎ”
ประภาพรรณกับนิโรบลเห็นจวนตัว มองหน้า สบตากัน บีบมือกันแน่น ต่างคนต่างพยักหน้า แล้ววิ่งหนีไปคนละทาง ประภาพรรณวิ่งหนี เลาะไปตามซอยที่คุ้นเคย มีตำรวจสายตรวจวิ่งตามมาห่างๆ ผ่านซอกเล็กๆ จู่ๆ มีมือผู้ชายเอื้อมมาดึงตัวเข้าไปซ่อน
“อุ๊ย”
ประภาพรรณหันไปมองว่าเป็นใคร
“พี่เอก”
ตำรวจวิ่งตามมา แต่หาไม่เจอเลยวิ่งไปทางอื่น เอกราชกอดประภาพรรณแน่นด้วยความเป็นห่วง จนหญิงสาวอึดอัดและต้องฝืนตัวเอาไว้ไม่ให้เอกราชกอด
“ขอบคุณนะพี่ที่ช่วยมิว ไม่งั้นโดนตำรวจจับแน่ แต่ตอนนี้ปล่อยมิวซะที อึดอัด ตำรวจไปกันหมดแล้ว”
เอกราชปล่อยประภาพรรณให้หลุดจากอ้อมกอด
“พี่ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะ ถ้าไม่ช่วยกันเองแล้วใครมันจะมาช่วยพวกเด็กเร่ร่อน ลูกกำพร้าอย่างเราเนี่ย ทำความดีเขายังมองว่าเราเป็นไอ้พวกขี้ยา ขี้คุกเลย”
“แต่มิวก็ไม่อยากทำงานผิดกฎหมายอย่างที่พ่อให้ทำนะพี่เอก เฮ้อ นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นพ่อนะ มิวไม่อยู่ที่นี่หรอก”
เอกราชจ้องตาประภาพรรณ
“มิว มิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกลุงเสริมบุญจริงๆ เหรอ”
ประภาพรรณอึ้ง มองหน้าชายหนุ่ม
“พี่เอก พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
เอกราชเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดมาก เลยรีบตัดบท
“ไม่มีอะไรหรอก มิว”
ประภาพรรณมองหน้าเอกราช เริ่มสงสัยว่ามีอะไรปิดบังแน่นอน
ภายในบ้านพักปราณบุรี ประภาพรรณหันมามองหน้านิโรบล
“แต่ความลับไม่มีในโลก”
ประภาพรรณพยักหน้า แล้วนึกถึงตอนที่เธอรู้ความจริง
“ความจริงอะไรเหรอ พ่อ”
เสริมบุญมองหน้าประภาพรรณแล้วตกใจ แต่ไม่ตอบทำนิ่ง ประภาพรรณมิวเลยมองหน้าเอกราชแล้วถามคาดคั้น
“ว่าไง พี่เอกราช ความจริงอะไร”
เอกราชไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยโยนไปให้เสริมบุญตอบเอง
“ผมว่า ถึงเวลาที่ลุงต้องบอกมิวแล้วล่ะ”
“ข้าไม่มีอะไรจะบอก งานที่ให้ไปทำวันนี้เป็นไง เงินล่ะ”
ประภาพรรณหยิบเงินที่ไปทำงานจากการต้มตุ๋นออกมาแต่ยังไม่ให้เสริมบุญ
“ถ้าพ่อไม่บอก ฉันก็ไม่ให้”
“เอ๊ะ เอ็งคิดจะเนรคุณอีกคนหรือไง เสียแรงที่ข้าเก็บเอ็งมาจากถังขยะ รู้งี้ปล่อยให้มดกัดตายเสียก็ดี”
ประภาพรรณตกใจมากเมื่อได้ยินความจริงจากปากของเสริมบุญ
“พ่อ ไม่จริงใช่มั้ย พี่เอก ไม่จริงใช่มั้ย”
นิโรบลบีบมือประภาพรรณไว้ มองเป็นกำลังใจ ต่างน้ำตาคลอ
“สุดท้ายพี่เอกทนไม่ได้ ต้องเล่าให้ฟัง”
ประภาพรรณ นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากที่เธอรู้ความจริงว่าไม่ใช่ลูกของเสริมบุญ เอกราชจับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาว ให้หันมามองหน้าตัวเอง
“พี่เองก็ไม่อยากปิดบังมิว แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ในเมื่อมิวเข้าใจว่าลุงเสริมบุญเป็นพ่อ แต่พี่ก็รักมิว ไม่อยากให้โดนหลอกอีกแล้ว”
“พี่เอกบอกมาเถอะ มิวพร้อมจะฟังความจริงทุกเรื่อง”
“ลุงเสริมเขาเป็นนักต้มตุ๋นมานานแล้ว ทำมันทุกอย่าง หลอกใครได้ก็หลอก เดินสายย้ายจังหวัดไปเรื่อยๆ เพราะกลัวคนจะจับได้ จนมาถึงที่ที่อยู่ตอนนี้แหละ”
“มิวอยากรู้เรื่องตอนพ่อเจอมิว”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตของเสริมบุญไหลเข้ามาในความคิดของเอกราช ย้อนอดีตไปอีก 20 ปี เสริมบุญเดินโซเซด้วยความเมา แวะฉี่ยืนโงนเงน เจอห่อผ้าวางอยู่ข้างถังขยะจึงหยิบขึ้นมาดู
“แกเคยเล่าให้พี่ฟังว่าวันหนึ่ง แกเมาๆ กำลังจะกลับบ้าน”
“นี่มันห่ออะไรวะ หนักๆ ทองรึเปล่าวะ”
พลันมีเสียงทารกร้อง เสริมบุญตกใจ มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร เลยแง้มผ้าออกดู ทารกร้องจ้า มีมดรุมตอมกัดเป็นจ้ำแดงๆ
“เฮ้ย นี่มันเด็กนี่หว่า”
เสริมบุญรีบวางเด็กลงแล้วเดินออกมาตั้งสติ แล้วเดินหนีไป เสียงทารกร้องดังไม่หยุดเพราะหิว และถูกมดกัด เสริมบุญชะงัก ยืนครุ่นคิดแล้วเดินกลับไปที่เด็ก
“ใครมาลืมเด็กทิ้งไว้วะ มดกัดจนตัวแดงไปหมด กูเอาไปเลี้ยงก็ได้ แต่เอ็งหยุดร้องก่อนได้มั้ยวะอีหนู เสียงแหลมแสบไส้ว่ะ เล่นเอากูหายเมาเลย”
เสริมบุญเขย่าและตบก้นเด็กเบาๆ เด็กหยุดร้อง
“เออว่าง่ายๆ อย่างนี้สิวะ”
เล่ามาถึงตรงนี้ ประภาพรรณจ้องหน้าเอกราชนิ่ง
“แกเลยเลี้ยงเด็กคนนั้นไว้ แล้วเด็กคนนั้นก็โตขึ้น กลายเป็นสิบแปดมงกุฎ ทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ตำรวจ ในที่สุดแล้ว ถ้าไม่ถูกยิงตาย ก็ติดคุก และพี่ก็รู้ว่าเด็กคนนั้น ไม่อยากเป็นแบบที่ลุงเสริมบุญอยากให้เป็นแม้แต่นิดเดียว”
เอกราชจ้องหน้าประภาพรรณ โดยไม่หลบสายตา ประภาพรรณเริ่มตัวสั่นด้วยความตกใจในสิ่งที่ เอกราชเล่าให้ฟัง แม้จะรู้ว่าจริง แต่ใจก็ยังไม่อาจยอมรับได้
“มิวคือ เด็กคนนั้น ไม่จริง”
ประภาพรรณวิ่งหนีเตลิดไป เพราะทนรับความจริงว่าเสริมบุญเก็บเธอมาจากถังขยะไม่ได้ เธอเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เหนื่อยและเศร้าใจจนแทบยืนไม่ไหว ค่อยๆ ทรุดตัวลงพิงเสาไฟฟ้า ร้องไห้ฟูมฟาย เอกราชเดินตามตลอด เมื่อประภาพรรณหยุดเดิน เขาจึงตามเข้าไปปลอบ
“ถ้าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของมิว แล้วเขาเลี้ยงมิวไว้ใช้งานชั่วๆ มิวก็คงตอบแทนเขามามากพอแล้ว มิวจะไม่ทนแล้วพี่เอก มิวต้องทำยังไงถึงจะชดเชยความผิด ความเลวที่เคยทำไว้ ไม่เอาแล้ว มิวไม่เอาแล้วชีวิตแบบนั้น”
“เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เราแก้ไขมันไม่ได้ แต่ถ้ามิวตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นใหม่”
ประภาพรรณพยักหน้าแน่วแน่
“พี่คิดว่าพี่พอช่วยได้นะ มีงานหนึ่ง ที่เราพอจะเอาความเลวของเรามาเปลี่ยนเป็นความดีได้”
“งานอะไรพี่เอก”
“สายลับ หน่วยสอบสวนคดีพิเศษ”
“สายลับเหรอ”
ประภาพรรณปาดน้ำตา มุ่งมั่น เธอปลอมตัวเป็นสาวเชียร์เบียร์มาสืบคดี ในรถ เอกราช กำลังต่อมือถือพร้อมพูด
“พี่พร้อมแล้ว เตรียมลุยได้เลย”
ด้านในบาร์เบียร์ ประภาพรรณ สวมเครื่องแบบสาวเชียร์เบียร์สีสดใสตอบรับมือถือ
“โอเค. พี่”
แก๊งค้ายาเสพติดชาย 2 คนเดินหายเข้าไปช่องลับหลังร้านเพื่อไปห้องเก็บยาเสพติด พันกรนำตำรวจหน่วยปราบปรามบุกทลายบาร์เบียร์ คนร้ายยอมทิ้งปืนแล้วมอบตัวให้จับโดยดี พันกรถามคนร้าย
“ที่นี่คือแหล่งพักยาเสพติดของเสี่ยโต้ง สก.ชื่อดังใช่มั้ย”
คนร้ายต่างปากแข็งส่ายหน้าไม่ยอมสารภาพ ประภาพรรณยังงงๆ เลยถามออกไป
“นาย พวกนายรู้ได้ไง”
พันกรหันมามองประภาพรรณเต็มตาอีกครั้ง เริ่มสงสัยว่าหญิงสาวจะไม่ได้เป็นแค่สาวเชียร์เบียร์ธรรมดา
“พี่ควรถามว่าน้องรู้ได้ไงมากกว่า”
ประภาพรรณรีบส่ายหน้า เพราะไม่รู้จักพันกร แต่เชื่อว่าเป็นตำรวจมาจับคนร้ายกลุ่มเดียวกับที่เธอมาสืบ
“ฉันเปล่ารู้”
ประภาพรรณทำท่าจะชิ่ง อยากหาโอกาสไปถามเอกราชให้รู้เรื่อง แต่พันกรรวดเร็วมาก ยึดตัวเธอไว้ แล้วสวมกุญแจมือล็อกทันที พร้อมชูกุญแจ
“จะรีบร้อนไปไหน น้องสาวคนสวย คุยกับพี่ก่อน”
จบตอนที่ 3