คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 34 อวสาน
สองคนนัดเจอกันในสวนสวยสาธารณะ แกมแก้วบอกกับสุพรรณ หลังจากลงนั่งตรงเก้าอี้สนามบริเวณสวนหย่อม ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ลูกแก้ว ไปกราบเรียนคุณแม่เลี้ยงท่านแล้วว่า เราจะแต่งงานกัน ท่านจะได้ไปพูดกับคุณพ่ออีกต่อนึง”
แม้สุพรรณจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกเย็นวาบในส่วนลึกของใจ
“ลูกแก้วยังเรียนไม่จบ ท่านจะว่ายังไง”
“คนอื่นมังคะที่ว่า”
สุพรรณอดหงุดหงิดไม่ได้กับแกมแก้วที่กลายเป็นคนขี้ระแวง และช่างประชด แต่ก็พยายามข่มใจ
“คุณแม่เลี้ยงท่านว่ายังไงรู้ไหมคะ”
“ถ้าลูกแก้วอยากเล่าก็จงเล่ามา ถ้าไม่อยากเล่าก็แล้วไป อย่ามาถามเลย เพราะถึงยังไงพี่ก็ต้องบอกว่าไม่รู้”
ความหึงทำให้แกมแก้วเล่าต่อด้วยเสียงตวัดๆ
“ท่านก็อาละวาดใหญ่” เห็นสุพรรณขมวดคิ้วมองฉงน แกมแก้วจึงบอกต่อด้วยน้ำเสียงประชดออกไปอีกว่า “ลมเพชรหึง น่ะสิค้า”
สุพรรณอึ้ง นิ่งงันไป ในความรู้สึกแห้งแล้งกลับมีบางอย่างซาบซ่านขึ้นมาในหัวใจ ไม่นึกว่าศจีจะใส่ใจคนอย่างเขา แต่ก็พยายามถามเรียบๆ ไม่ให้แกมแก้วสงสัย
“อะไรกัน”
“แหวนวงนี้” แกมแก้ววางแหวนไข่มุกล้อมเพชรลงด้วยกิริยากระแทกกระทั้น “เอามาจากไหนคะ”
สุพรรณระอาเหลือ มองเมินไปทางอื่น ตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ถามแบบนี้ แสดงว่ารู้แล้วว่าของใคร”
แกมแก้วยิ่งเห็นท่าทีนั้นยิ่งแค้น “ใช่ค่ะ สนิทกันถึงแค่ไหนคะ ถึงได้ขายของให้กัน”
“ถ้าลูกแก้วหวังจะให้ผู้ชาย บอกอะไรทุกอย่างในชีวิตให้กับแก้วละก็พี่เคยบอกแล้วว่า อย่าถามดีกว่า อดีต มันผ่านไปแล้ว และบางอย่างพี่ก็ลืมไปแล้ว ทำไม แก้วถึงอยากให้พี่จำนักเหรอ ถ้าแก้วอยากอยู่กับปัจจุบันกับอนาคตของผู้ชายละก็ อย่าให้เขาจำอดีตได้ดีกว่า เพราะหาไม่ ลูกแก้วนั่นแหละ จะไม่มีความสุข”
สุพรรณลุกหนีไปอย่างฉุนเฉียว
แกมแก้วน้ำตากลบตา เพราะดูราวกับว่าเขาจะยังเก็บผู้หญิงคนนั้นไว้ในซอกมุมหนึ่งของหัวใจ
สุพรรณหนีมายืนสงบสติอารมณ์อยู่อีกมุม แกมแก้วตามมา โพล่งใส่เขาอย่างหึงหวง
“พี่พรรณยอมรับใช่ไหมคะว่า เคยมีอะไรกับจี มิน่า ตอนที่ลูกแก้ว ขอเขียวส่องเม็ดนั้นมาให้ทำเข็มกลัดเนคไทให้ เขาถึงได้ยัดเยียดให้มาง่ายๆ”
คราวนี้สุพรรณเป็นฝ่ายสะดุ้ง เพราะเคยสงสัยอยู่เหมือนกัน
“เขียวส่อง อะไร”
“ก็พลอยที่ลูกแก้วเอามาทำเข็มกลัดเนคไท ให้ตอนวันเกิดพี่พรรณครั้งแรกไงคะ”
สุพรรณอึ้งไป นึกได้ว่า เหตุใดศจีถึงได้ยิ้มหยันเขาเรื่อยมา
“เขาจะให้แก้วมาเพราะอะไรพี่ไม่ทราบ และพี่ก็ไม่เคยรู้ว่าเป็นของเขาจนเดี๋ยวนี้ เมื่อรู้ก็ดีแล้ว”
สุพรรณหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
ดนัยรู้เรื่อง ตบบ่าของสุพรรณอย่างนึกขัน
“ถ้าไม่หึงแปลว่าผู้หญิงไม่รักสิวะ”
“มีประโยชน์อะไรที่จะรู้ถึงความรักหรือไม่รักของผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างสายไปแล้ว รักหรือไม่รักก็ทำให้ร้อนรุ่มพอๆ กัน”
“ความรัก...เป็นยังงี้เอง ร้าวอุราน้ำตาก็ตกใน ราวกับไฟเผาร้อนรอนชีวี”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นทำให้ข้าสงสัยมาตลอด”
“งั้นสงสัยต่อไปเถอะวะไอ้พรรณ บางครั้งความสงสัยทำให้ไม่ปลงใจ เมื่อไม่ปลงใจทางใดทางนึง ความร้อนย่อมบรรเทาลง”
“แค่บรรเทา แต่คงไม่มีวันหายขาด”
“เพราะเอ็งยังอยากได้เขาอยู่น่ะซี่ อะไรที่ยังไม่ได้ มันย่อมมีค่ามากกว่าสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือเสมอว่ะเพื่อน”
สุพรรณพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ที่สนามกอล์ฟ แหล่งสังสรรค์ประจำของ ปราจิต และ สุรศักดิ์ วันนี้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีก 3 คนมาร่วมตีกอล์ฟด้วย โดยมีแคดดี้ 5 คน คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ระหว่างนี้ ลูกกอล์ฟถูกพัทมาใกล้ปากหลุม ก่อนจะเห็นปราจิตเดินมาพัทลูกลงหลุม ทุกคนปรบมือให้ แต่แล้วจังหวะที่ปราจิตเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ส่องมา ก็รู้สึกตาพร่า
สุรศักดิ์เห็นจึงร้องทักขึ้นมาว่า “เป็นไง”
ปราจิตยิ้ม พยักหน้ารับ แสร้งทำเป็นร่าเริง
“ผู้การท่านว่า ท่านจะทำโฮลอินวัน” สุรศักดิ์บอก
“เยี่ยม แฮนดิแคป นายวิรุณ ลดลงแล้ว มือชักจะดีขึ้น”
วิรุณยิ้มร่า “ซ้อมจัดนี่”
สุรศักดิ์ถามปราจิต “ไม่สบายหรือเปล่า วันนี้เนือยไป”
“ร้อนไปนิดครับ”
ปราจิตหรี่ตามองไปยังเนินหญ้าเบื้องหน้า เห็นเนินหญ้ากลายเป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดงสลับกัน
ท่านทูตสะบัดหน้าไล่ความมึนงงอ่อนเพลียทิ้ง ก่อนจะค่อยๆ เดินขึ้นเนินไป แต่แล้วสะดุดหน้าเกือบคะมำ แคดดี้เข้ามาถามปราจิตอย่างเป็นห่วง
“ท่านพักเสียก่อนดีไหมครับ ผมจะกางเก้าอี้ให้”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
ท่านทูตฝืนใจเดินต่อไป แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที
จู่ๆ ก็นึกเป็นห่วงศจีขึ้นมา ปราจิตปาดเหงื่อออกจากหน้า ถ้าไม่มีเขาเธอจะทำอย่างไรหนอ
“จี” ท่านทูตพึมพำกับตัวเอง แล้วซวนเซไป เข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปเฉยๆ
แคดดี้ที่ติดตามมาส่งเสียงเรียกด้วยความตกใจ
“ท่านครับ...ท่านครับ”
แกมแก้วรู้ข่าวบิดาถึงกับปล่อยโฮร้องไห้โฮ ตีโพยตีพายคร่ำครวญไปมา
“คุณพ่อจะตายไหมคะ จะตายไหม”
ชีวินชักโมโห “หยุดโวยวายที คนอื่นจะได้มีสติปัญญาคิดอะไรมั่ง”
วรรณเองก็มือสั่น ปากสั่น ทำอะไรไม่ถูก ศจีเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า
“ดิฉันเก็บเสื้อผ้าของดิฉันกับของท่านแล้ว อาจจะต้องอยู่โรงพยาบาลหลายวันดิฉันจะเฝ้าเอง”
“งั้นดิฉันจะไปสั่งในครัวเตรียมกับข้าวกับปลา แล้วก็ พวกจานชามช้อนส้อมมีอะไรอีกละคะ”
“อย่าเพิ่งขนไปเลยค่ะป้าวรรณ รอฟังหมอก่อนดีกว่า ว่าท่านต้องอยู่นานหรือไม่นาน ขนไปเสียเที่ยวเปล่าๆ ถ้าอยู่นาน ค่อยๆ ขนไปก็ได้ มีเวลาดูถมไปว่าอะไรจำเป็นไม่จำเป็น เกิดอยู่แค่สองวัน ขนไปแล้วต้องขนกลับ”
“ควรโทรศัพท์เรียนผู้หลักผู้ใหญ่บ้างนะคะ”
“บอกใคร”
“ทางบ้าน คุณอาลัยท่านยังไงๆ ก็เป็นญาติผู้ใหญ่”
“เอาไว้ดูก่อน เผื่อไม่มาก บอกไปจะตกใจกันเปล่าๆ”
พูดจบศจีก็เดินออกไป วรรณได้แต่ถอนใจเบาๆ เพราะบัดนี้ศจีมีศักดิ์เป็นนายเต็มตัว
เช้าวันต่อมา ปราจิตซึ่งสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ ถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ อย่างงุนงง
ยินเสียงชีวินร้องขึ้นอย่างดีใจ “ลืมตาแล้ว”
ในสายตาปราจิต แลเห็นศจี ชีวิน และแกมแก้ว ก้มลงมองอย่างเป็นห่วง
“พ่อเป็นอะไรเหรอ”
แกมแก้วสะอื้นฮักๆ ออกมา
ปราจิตมองฉงน “อ้าว ลูกแก้ว ร้องไห้ทำไม”
“ลูก ลูกแก้ว ดีใจที่คุณพ่อไม่เป็นอะไร”
“ก็พ่อเป็นอะไรล่ะ”
ชีวินยิ้มนิดๆ “โรคออกกำลังมากละมั้งครับ”
“นั่นสิ ดูเหมือนตีกอล์ฟอยู่ดีๆ แท้ๆ ถูกหามส่งโรงพยาบาลเมื่อไหร่ละนี่”
ศจีเอ่ยขึ้น “เมื่อวานค่ะ”
ปราจิตตกใจตัวเองที่ถึงกับหมดสติไปวันเต็มๆ รีบผงกหัวขึ้นมา แต่แล้วก็ทิ้งลงบนที่นอนตามเดิม
“พ่อครับ” ชีวินร้องเรียกอย่างห่วงใย
“แล้วกัน ทำไมพ่อขี้เกียจอย่างนี้”
“พ่อขยันมามากแล้วนี่ครับ”
“จะต้องนอนต่อ หรือกลับบ้านได้เลย”
“รอฟังหมอก่อนดีกว่าค่ะ”
ศจีบอก พลางกำมือสามีคราวพ่อไว้แน่น ปราจิตรับรู้ถึงความอบอุ่นห่วงใยนั้นที่ศจีส่งมา
“ทำไมจีไม่ปลุกละคะ”
นัยน์ตาของศจีมีฝ้าปรากฏขึ้นมาแว่บหนึ่ง เธอจับมือท่านทูตไว้มั่นถ่ายทอดความอบอุ่นลงไปอีก
“ดิฉันอยากให้ท่านพักผ่อนมากๆ เจ้าค่ะ จะได้มีแรงสู้กับโรค”
“ฮื้อ...ฉันไม่ได้เป็นโรคอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ แค่เหนื่อยมากเท่านั้นเองแต่ก็ขอบใจนะคะที่เป็นห่วง”
ปราจิตจับมือศจีกลับกุมไว้อย่างแสนรักแสนห่วงใย
ชีวินกับแกมแก้วต้องทำเป็นมองเมินหนีไป ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 34 อวสาน (ต่อ)
รถของปราจิตแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่ สิทธิ์ลงมาเปิดประตูรถให้ศจีที่นั่งอยู่ด้านหลัง ส่วนชีวินเปิดประตูรถด้านหน้าลงมา ศจีเดินนำเข้ามาในบ้าน ชีวินตามหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ผมคิดว่ามีบางเรื่องที่ต้องบอกคุณตรงๆ”
ศจีชะงัก หันกลับไปหาลูกเลี้ยงหนุ่มด้วยท่าทางฉงนสงสัย ชีวินพูดออกมาอย่างลำบาก
“อาการท่านไม่ค่อยดี”
“อะไรนะคะ ก็เห็นท่านไม่เป็นอะไรมาก” ศจีท้วง เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย
“มันหลายขนาน” ชายหนุ่มถอนใจพลางบอก “กำลังสงสัยเรื่องตับ”
“ไม่น่าจะเป็นตับแข็ง ท่านไม่ใช่นักดื่ม”
แต่พอเห็นสีหน้าของชีวิน ตาของศจีก็เบิกกว้างขึ้น
“มะเร็งเหรอคะ”
“หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ แต่ความดันน่ะมันของแน่ ร่างกายทรุดโทรมด้วยอายุท่านขนาดนี้แล้ว”
สีหน้าศจีหม่นเศร้า ในใจเครียดหนักกับข่าวร้ายชิ้นนี้
จบ ตอนที่ 33
คุณหญิงนอกทำเนียบตอนที่ 34 จบบริบูรณ์
แสงแดดเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน เผยให้เห็นสภาพห้องนอนของรัชนีฉายที่เวลานี้รกเรื้อดูไม่ที่หรูหราน่าหลับนอนเหมือนก่อนเก่า และมันอยู่ในสภาพนี้มานมนานแล้ว เสื้อผ้า เกลื่อนพื้นอยู่ในสภาพที่ถูกเหวี่ยงกระจัดกระจาย ข้าวของวางระเกะระกะ ทั้งห้องรกรุงรัง
รัชนีฉายซึ่งบัดนี้ดวงตาดำคล้ำ หน้าหมองตาปรือเหมือนคนยังไม่สร่างเมานัก เจ้าหล่อนนั่งแต่งหน้ากลบรอยหม่นหมองของตัวเองด้วยมืออันสั่นระริก ครั้นพอส่องกระจกเห็นหน้าตาที่ไม่สดใสก็พยายามประโคมเครื่องสำอางลงไปอีก
กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น รัชนีฉายตวาดแหวใส่อย่างหงุดหงิด
“ใครอีกล่ะ”
“แม่เอง”
รัชนีฉายยังนิ่งเฉย อาลัยจึงเปิดประตูเข้ามาเอง พลางก้มลงเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่หล่นตามพื้น
“เมื่อคืนแม่คอยจนตีสอง”
“เหรอคะ ตอนมาถึงไม่ได้ดูนาฬิกา”
อาลัยทรุดลงนั่งบนขอบเตียง อดไม่ได้ที่จะหยิบหมอนมาตบให้ฟู แล้ววางไว้ตามที่
“ทำไมเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืนจ๊ะ”
“เพื่อนน่ะค่ะ เขาชวน”
“เราไปเที่ยวยุโรปกันสักพักดีไหม น้องเขามีจดหมายมาชวน แม่ก็แก่แล้วถ้าไม่ไปเที่ยวเสียตอนแข้งขายังดี แก่ตัวลงเดินเหินไม่ไหวจะอด”
รัชนีฉายชะงัก คำว่า ยุโรป นั้นยอกแสลงใจ ทำให้คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ตอนถูกปราจิตหลอกให้ไปเที่ยว ประเทศในยุโรป แล้วแอบจัดงานฉลองแต่งงานกับศจี
“เที่ยวจนเบื่อแล้วค่ะ”
“ดีสิจ๊ะ จะได้เป็นไกด์ให้แม่”
คราวนี้รัชนีฉายถึงกับปรี๊ด แผดเสียงแหลมเล็กใส่มารดา
“หนูไม่อยากไป ไม่อยากไป ได้ยินไหมคะ”
อาลัยชะงัก ออกจะเสียใจไม่น้อยที่เริ่มต้นผิด
“หรือจะข้ามไปแคนาดา ยัยสมัยสมาน เขาย้ายไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว”
รัชนีฉายขว้าง บรัชออน ลงบนโต๊ะเครื่องแป้งดังปังใหญ่ นึกถึงน้องคนเล็กที่ยังประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียนและครอบครัว
“แม่จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับหนูดีกว่า หนูจะอยู่มันที่นี่แหละ ดูหน้าคนให้สะใจ มันงามหน้าไหมคะ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลูกเขยแม่ค้าขายผัก อดีตโสเภณี หลานเขยคุณแม่เล้าใหญ่ แม่เคยได้ยินอะไรที่น่าขันอย่างนี้ไหมคะ”
รัชนีฉายหัวเราะทั้งที่สีหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มสักน้อย
อาลัยตกใจ “อะไรนะ”
“แม่ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เหรอคะ ข่าวออกครึกโครม แม่คุณหญิงศุภศจีถูกรถเมล์ชน ผักหล่นกระจาย โอ๊ย ไอ้เบื้องหน้าเบื้องหลังข่าวมันกว่านี้เยอะ”
อาลัยยังสีหน้างุนงง
“คุณหญิง หลานหัวหน้าซ่อง คราวนี้แม่เข้าใจไหมคะ”
อาลัยตกตะลึง คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
“พรรคพวกหนูเขาเล่าให้ฟัง หัวเราะกันแทบตาย บางคนเคยไปบำรุงกิจการยายนั่นด้วยซ้ำ โถ ออกสังคมสงเคราะห์เด็กส่งเด็กไปหากินเสียเท่าไหร่ก็ไม่รู้หนูเอาไปเล่าให้พวกผู้ใหญ่ๆ ในกระทรวงฟัง มีพะยงพยานหลักฐานพร้อม แหม...อยากให้แม่ไปเห็นหน้าท่านทั้งหลายด้วย”
อาลัยได้แต่ส่ายหน้าอย่างนึกไม่ถึง รัชนีฉายหัวเราะลั่น
“โอ๊ย... แต่ละคนทำหน้ายังกับถูกผีหลอกไปตามๆ กัน”
“กระทรวงไหนจ๊ะ”
“จะกระทรวงไหน เรื่องอะไรหนูจะไปเล่ากระทรวงอื่นละคะ ไม่ตกกระป๋องคราวนี้จะไปตกคราวไหน คุณหญิงทูตลดตำแหน่งไปเป็นคุณหญิงขี้ทูตเถอะ หนูจะคอยดูหน้า สนุกพิลึก”
รัชนีฉายเดินหัวเราะระรื่นออกไปเหมือนคนเมา
อาลัยจะตามไป แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเหยียบถูกอะไรบางอย่างที่พื้น เห็นเป็นขวด และแก้วเหล้าที่กลิ้งอยู่
อาลัยตามรัชนีฉายออกมาจากห้องนอน
“คืนนี้งดสักคืนเถอะลูก ลูกดื่มหนักเกินไปจนติดมันไปแล้วนะ”
“หนูเลิกไมได้หรอกค่ะ มันเป็นสังคมของหนู”
“รัชนีฉาย ตลอดชีวิตของลูก แม่ไม่เคยขอร้องอะไรลูก แม่พยายามเข้าใจพยายามให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการเสมอ คราวนี้แม่จะขออย่างเดียวได้ไหมลูก”
รัชนีฉายเมินหน้าหนี แต่คำตอบไม่สะทกสะท้าน
“อย่าขอเลยค่ะ เพราะ...หนูให้ไม่ได้”
“รัชนีฉาย”
“แม่อย่าพยายามเปลี่ยนชีวิตของหนูเลย และก็เลิกหวังในตัวหนูเสียทีแต่ก็อย่ากลัวหนูจะเลวลงกว่านี้ เพราะคนที่เลวที่สุดแล้วไม่มีทางที่จะเลวลงอีกได้ เดี๋ยวหนูจะออกไปข้างนอก แม่ไม่ต้องคอยหนูอีกนะคะ จะกลับหรือ ไม่กลับ”
อาลัยมือตก มองหน้าลูกอย่างเสียใจ
“รัชนีฉาย”
“แม่จะไปยุโรป หรือแคนาดาก็ดีค่ะ จะได้เลิกยุ่งกับหนูเสียที”
อาลัยไม่ตอบอะไรอีก ได้แต่เดินจากไปเหมือนรูปหินที่ไร้ชีวิต
แต่พออาลัยเดินลับไปแล้ว มือของรัชนีฉายก็สั่นระริก มือกำแน่น ดวงตาปรากฏรอยความเสียใจอย่างรุนแรง
“แม่”
รัชนีฉายทุบกำปั้นลงบนผนัง แล้วทรุดตัวลงนั่งแผ่ร้องไห้อย่างหมดสภาพ
อาลัยทอดถอนใจขณะหมุนแป้นโทรศัพท์ด้วยอาการมือสั่นสะท้าน สีหน้าเย็นยะเยือก ว่างเปล่าในหัวอก ต้องการหาทางระบายกับคนที่เคยเป็นต้นเหตุร่วมกันในการทำให้รัชนีฉายตายทั้งเป็นเช่นนี้
รอจนยินปลายทางรับสาย
“สวัสดีจ้ะ ฉันอาลัยพูด ขอสายคุณปราจิตหน่อยจ้ะ”
“สวัสดีค่ะคุณอาลัย ท่านเข้าโรงพยาบาลค่ะ” นวลผ่องบอก
อาลัยอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “เป็นอะไรมากไหม”
“ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่าเข้าโรงพยาบาล”
อาลัยวางหู อาการสั่นรัวระริกเมื่อครู่ค่อยคลายลง พร้อมกับมีเสียงถอนใจยาว พึมพำกับตัวเอง
“กรรม... ไม่ว่าใคร ถึงคราวก็เป็นไป”
สีหน้าของอาลัยรู้สึกปลงตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในห้องพักฟื้นท่านทูตเวลานี้ ศจีใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามแขนของปราจิตอย่างเบามือ
ปราจิตมองหน้าศจีด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่ศจีคอยดูแลปรนนิบัติมาตลอด แม้จะไม่เคยแน่ใจว่าเธอเคยรักเขาหรือไม่ก็ตาม
“จี...ถ้า...ฉันตาย...จะทำยังไงคะ”
มือของศจีชะงักไปนิดหนึ่ง
“ท่านยังไม่ตายเจ้าค่ะ”
“ฉันว่าถ้า”
“คนตาย...ไม่ต้องมีห่วงอะไรอีก”
“แต่ฉันอยากรู้”
“ไม่มีใครรู้อนาคตข้างหน้า แต่เมื่อมาถึง คนเราย่อมมีทางไปได้เสมอเจ้าค่ะ”
“เธอไม่มีญาติอีกเลยเหรอ”
ศจีนึกถึงยายปริก แต่ก็นิ่งไปเพราะไม่อยากตอบคำถาม
“จี ความฉลาด บางทีก็ฆ่าเจ้าของได้เท่าๆ กับความโง่เหมือนกัน เธอเป็นคนฉลาด แต่...ไม่รู้จักตัวเอง อย่าทิฐิ ถือดี ถามตัวเองให้ถ่องแท้ ตอบตัวเองให้ตรงไปตรงมา แล้วเธอจะรู้ว่าเธอจะใช้ความฉลาดได้ยังไง”
ศจีนิ่งมองปราจิตอย่างแปลกใจ ด้วยความรู้สึกว่าตอนนี้เขาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเธอมากกว่าจะเป็นคู่ชีวิต
“ท่านรู้จักดิฉันดีนี่เจ้าคะ”
ปราจิตฝืนยิ้มสดชื่น แต่เป็นรอยยิ้มที่อ่อนระโหยโรงแรงเต็มที
ศจีออกมานั่งรอด้านนอก จนมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ทำให้ศจีเงยหน้าขึ้นมอง เธอเห็นสุพรรณเดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ โดยมีแกมแก้วเกาะแขนมาด้วย
สีหน้าแกมแก้วมีรอยยิ้มหยันเล็กน้อยเมื่อเข้ามาใกล้ แต่คำพูดก็ยังขัดเขิน
“คุณพ่อเป็นยังไง”
“ท่านมีแขกผู้ใหญ่ เดี๋ยวค่อยเข้าไปดีกว่า”
แกมแก้วมองเข้าไปในห้องอย่างลังเล จะเข้าไปก็ยังไม่กล้า แต่รู้สึกอึดอัดถ้าต้องรออยู่กับศจี
“จะอยู่นานไหม”
แกมแก้วขมวดคิ้ว ศจีจึงอธิบายต่อ
“จะขอกลับไปบ้านสักสองชั่วโมง”
“บอกพี่วินแล้ว จะจ้างนางพยาบาลพิเศษ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกัน”
ศจีมองแกมแก้วด้วยดวงตาคมปลาบ
“คนเรา ยามดีใช้ แต่ยามเจ็บไข้ไม่รักษา จะเรียกว่ามีอุปการะต่อกันยังไงจะไปสักครู่เท่านั้น เผื่อท่านถามช่วยเรียนด้วย” พลางขยับตัวลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่แล้วหยุดหันกลับมาหา “ถ้าคุยกับท่าน อย่าเพิ่งพูดอะไรดีกว่า หมอยังห้ามไม่ให้ท่านคิดมาก ความดันสูงเหลือเกิน เส้นโลหิตเปราะเสียด้วย”
แกมแก้วกัดริมฝีปาก ตวัดหางตาดูท่าทีสุพรรณ แต่สุพรรณทำหน้าไม่ใยดีใครทั้งสิ้น แกมแก้วเจ็บใจอยากเอาชนะศจี
“มันเรื่องของเราไม่ใช่เหรอคะพี่พรรณ”
สุพรรณทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้น ทำให้แกมแก้วยิ่งพลุ่งพล่าน และยิ่งเห็นศจีแย้มยิ้มนิดๆ ราวกับจะเยาะก็ยิ่งหงุดหงิดหนัก
“ฝากท่านด้วยนะคะ”
จากนั้นศจีก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง แกมแก้วหันไปพูดกับสุพรรณด้วยเสียงแหลมสูง
“พี่พรรณกล้าพูดกับคุณพ่อไหมคะ”
“กำลังเจ็บกำลังไข้ พูดไปจะดีเหรอ”
สุพรรณท้วงอย่างหวังดีและจริงใจ แต่แกมแก้วกลับตีความคิดว่าพอศจีห้ามเขาจึงไม่กล้า
แกมแก้วเหลียวขวับมองตามศจีไป แล้วตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องพูดกับพ่อให้รู้เรื่อง
“แต่ลูกแก้วอยากพูดให้รู้เรื่องกันไปเลย”
กลับถึงบ้าน ศจีทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า สีหน้าเคร่งเครียด
“ทำไม...ทำไม...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้”
ศจีหลับตาลงด้วยหัวใจที่แห้งผาก
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 34 อวสาน (ต่อ)
แกมแก้วเปิดประตูเข้าห้องพักฟื้น เดินมาเกาะขอบเตียงปราจิตด้วยอาการที่แสร้งทำเป็นร่าเริง
“คุณพ่อขา เป็นยังไงบ้าง” แกมแก้วเอียงคอมองกิริยาน่ารัก “สีหน้าคุณพ่อสดชื่นขึ้นมากเลยนี่คะ”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรมากนี่คะลูก”
ปราจิตฝืนร่าเริง ขณะมองไปยังคนที่ตามหลังลูกสาวมา แกมแก้วรีบแนะนำ
“นี่พี่พรรณค่ะคุณพ่อ”
สุพรรณยกมือไหว้ปราจิตอย่างนอบน้อม ปราจิตพยักหน้าแทนรับไหว้ เพราะติดสายน้ำเกลืออยู่ แม้จะเหนื่อยล้า แต่ปราจิตก็ขมวดคิ้วมองสุพรรณอย่างพิจารณา แกมแก้วเห็นรีบแนะนำต่อ
“พี่พรรณเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกับลูกแก้วค่ะ ลูกแก้วเคยพาพี่พรรณไปที่บ้านหลายครั้ง แต่คุณพ่อยุ่งกับงาน เลยไม่ทันได้แนะนำสักทีค่ะ”
ปราจิตถามสุพรรณ “เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”
สุพรรณตอบอย่างฉะฉาน “พ่อแม่ผมเป็นชาวนาอยู่พิษณุโลกครับ พอผมสอบเข้าเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ได้ ก็มาอาศัยอยู่กับหลวงตาที่วัดใหญ่ศรีสุพรรณ”
ปราจิตนิ่วหน้าเริ่มหายใจหอบถี่ ความดันพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วเป็นระลอกอย่างรุนแรง แกมแก้วเข้าใจว่าพ่อไม่พอใจ รีบพูดเสริม
“พี่พรรณเรียนจบแล้วนะคะ เพิ่งสอบเข้าเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยได้”
ปราจิตพยายามฝืนพูดออกมา
“ลูกแก้ว...ยังเรียนไม่...จบ”
“อีกปีเดียวเองค่ะคุณพ่อ พอลูกแก้วเรียนจบแล้ว เราจะแต่งงานกัน”
ปราจิตเบิกตาอย่างแปลกใจ ส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ
“ลูก...แก้ว”
ปราจิตพูดไม่ออก เริ่มหายใจขัด สุพรรณสังเกตเห็น
“ท่านครับ”
“คุณพ่อ คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ”
“ท่านครับ ท่าน...พี่จะไปตามหมอ”
สุพรรณบอกแล้ววิ่งออกไปตามหมอ แกมแก้วลนลาน ตกใจทำอะไรไม่ถูก
“คุณพ่ออย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ ลูกแก้วขอโทษ ลูกแก้วขอโทษค่ะ”
กลับมาถึงบ้านสักพักแล้ว ศจีนอนอยู่บนเตียงถอนใจยาว สะอื้นในอก ดวงตาและดวงใจแห้งผาก
“เราต้องการอะไรกันแน่”
แต่แล้วแขนของศจีก็ฟาดออกไปกระทบกับขอบเตียงอย่างแรง ศจีรู้สึกเจ็บปวด แต่กลับยกแขนขึ้นมาดูอย่างสะใจ เหมือนความเจ็บกายจะบรรเทาความเจ็บช้ำในใจลงได้บ้าง
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นรัวๆ
“อะไรกัน”
ศจีลุกไปเปิดประตู แปลกใจเมื่อเห็นชีวินยืนหน้าเครียดอยู่ด้านหลังนวลผ่อง
“ทางโรงพยาบาลโทร.มาให้รีบไป”
พอพูดจบชีวินก็หันกลับเดินลงบันไดไป ศจีผวาตามไป พลางถามเสียงหลง
“เมื่อกี้ก่อนดิฉันมา ท่านยังดีๆ”
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังจะออกไปอยู่แล้ว พอดีป้าวรรณบอกว่าเห็นกลับมาก็เลยขึ้นมาตาม”
“คุณลูกแก้วไปเยี่ยมท่านค่ะ ดิฉันเลยฝากไว้”
“รีบไปดูท่านเถอะ รถคอยอยู่ข้างล่าง”
ชีวินเดินออกไป ศจีกลับเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าถือ แล้วรีบออกไป
ศจีนั่งรถออกมา โดยมีสิทธิ์เป็นคนขับ ชีวินนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ ศจีนึกถึงความตายของอรุณวตีแล้วรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาในอก ถึงกับคร่ำครวญออกมาอย่างเด็กๆ
“เมื่อกี้ท่านยังดีอยู่เลย ตอนแขกมาท่านยังหัวเราะ หรือคุณลูกแก้ว”
วรรณมองหน้าศจีอย่างแปลกใจ ชีวินเอี้ยวตัวหันมาถาม
“ยัยลูกแก้วทำไม”
ศจีนิ่งแทนคำตอบ
“เขาไปกับใคร”
ชีวินมองหน้าศจีอย่างรู้คำตอบแล้ว หน้าของเขาเข้มขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เมื่อชีวิน ศจี และวรรณเดินมาถึงหน้าห้อง เห็นสุพรรณกำลังกอดปลอบแกมแก้วอยู่ มีพยาบาลเข็นอุปกรณ์เข้าไป และหันมาสั่งคนที่อยู่ข้างนอก
“กรุณาอย่าเพิ่งเข้าไปค่ะ”
ชีวินกับศจีชะงัก แกมแก้วผละจากสุพรรณมาซบสะอื้นไห้กับชีวิน
“พี่วิน...คุณพ่อ...”
หน้าของสุพรรณซีดเผือด แววตารู้สึกผิดและอับอายระคนตกใจ
ชีวินจับไหล่แกมแก้วเขย่าอย่างไม่ปรานีปราศรัย ตวาดลั่นด้วยความโมโหสุดขีด
“ลูกแก้ว...ไหน...บอกมาซิ...บอกมาว่าเรื่องอะไร”
แกมแก้วหยุดร้องไห้ ดวงตาเบิกกว้างอย่างตระหนกตกใจสุดขีด ชีวินเขย่าร่างแกมแก้วแรงๆ อีก
“เธอทำอะไร...หา ทำอะไร”
ร่างของแกมแก้วถูกเขย่าจนเซไปมา หันไปมองขอความช่วยเหลือ ก็เห็นวรรณยืนตัวสั่น จนสุพรรณก้าวเข้ามาดึงแขนชีวินพลางบอกค่อยๆ แต่หนักแน่น
“เป็นความผิดของผมเองที่รีบเรียนท่านเรื่อง...ของเรา...”
“ไม่ใช่ ลูกแก้วเองค่ะ ลูกแก้วเอง”
ชีวินปล่อยแกมแก้ว ปล่อยให้เซกลับไปสู่อ้อมแขนของสุพรรณ ดวงตาชีวินส่อแววเจ็บปวดร้าวลึก
“เท่านั้นเอง”
ชีวินหันไปเกาะผนังอย่างคนหมดแรง
จังหวะนี้มีเสียงเปิดประตูจากด้านในออกมา ทำให้ทุกคนชะงักมอง พยาบาลคนเมื่อครู่ออกมาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“ขอเชิญญาติผู้ป่วยค่ะ”
ทุกคนมองเข้าไปอย่างใจคอไม่ดี
ชีวินกับแกมแก้วปราดเข้ามาที่เตียง ซึ่งปราจิตนอนหายใจรวยรินอยู่
“พ่อครับ”
“คุณพ่อขา อย่าทิ้งลูกแก้วไปนะคะ ลูกแก้วขอโทษ...ลูกแก้วขอโทษ”
ปราจิตเปิดเปลือกตาขึ้นมานิดหนึ่งเหมือนจะรับรู้ พลางส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แล้วมองเลยไปที่ศจีซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเหมือนอยากจะพูดอะไรด้วย ศจีเดินเข้ามาเกาะขอบเตียง
“ท่านคะ พักผ่อนเถอะนะคะ อย่าเพิ่งพูดอะไร”
“ศจี...ศจี...ขอโทษ”
“ท่านขอโทษเรื่องอะไร ไม่จำเป็นเลยค่ะ ท่านให้ดิฉันมามากพอแล้ว”
“เธอ...ไม่ได้เป็น...คุณหญิง... ฉัน...ไม่เคยให้อะไรเธอเลย”
น้ำตาของปราจิตไหลออกมาอย่างคนรู้สึกผิดเต็มหัวใจ แล้วเปลือกตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลงอีกครั้งอย่างถาวร
“คุณพ่อ” ชีวินร้องลั่น
“คุณพ่อขา คุณพ่ออย่าไปนะคะ คุณพ่อกลับมาก่อน” แกมแก้วร้องครวญคร่ำ
สุพรรณใจหล่นวูบ นิ่งงันไปเลย รู้สึกว่าตนก็มีส่วนผิดด้วย
แกมแก้วกอดร่างของปราจิตร้องไห้พร่ำรำพัน ชีวินน้ำตาไหลพราก วรรณสะอื้นออกมา
ศจีได้แต่น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งตัวปราจิตไว้อีกแล้ว
ตอนกลางวัน ของวันหนึ่ง ในอีกหลายวันต่อมา
ศจีอยู่ในชุดดำยืนทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง กระทั่งมีใครบางคนเข้ามายืนด้านหลัง
“ครู่นี้ป้าวรรณมาเชิญ ทำไมไม่ไป”
ศจีหันไปเห็นเป็นชีวิน ดวงตาของเธอยังมีแววโศกเศร้า แต่ท่าทียังหยิ่งผยองเช่นเคย
“ทำไมดิฉันต้องไป”
“อย่างน้อย ก็ควรได้ฟังพินัยกรรมด้วยตัวเอง”
“ดิฉันรู้ตัวดี และคราวนี้ ใครๆ ก็ได้รู้เสียทีว่า ดิฉันเป็นเพียง เมียที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งตามกฎหมายดิฉันไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปนั่งฟังพินัยกรรม”
ชีวินมองศจีอย่างนับถือน้ำใจ ศจีวางมือทาบลงบนสมุดบนโต๊ะ
“นี่ค่ะสมุดรับจ่ายประจำบ้าน ดิฉันทำไว้ตั้งแต่เริ่มทำงาน อีกเล่มนั่นบัญชีทรัพย์สินในบ้าน ดิฉันกับป้าวรรณช่วยกันสำรวจลงบัญชีไว้ตั้งแต่ คุณหญิงท่านสิ้นใหม่ๆ มีลายเซ็นรับรองทั้งสองคน...”
ชีวินแทรกขึ้นอย่างละล้าละลัง
“โดยพฤตินัย”
“พอหมดเรื่องแล้ว ดิฉันจะไป”
“ผมกำลังจะบอกว่า โดยพฤตินัยคุณควรจะได้...”
“ดิฉันได้พอแล้วค่ะ ได้สิ่งที่ดิฉันพอใจ ดิฉันจะอยู่จนถึงวันเผาท่านแล้วดิฉันจะไป”
“ถ้า...ผมเก็บคุณพ่อไว้จนกว่าจะกลับจากนอกล่ะ”
“ดิฉันก็จะไป แต่...จะมาอีกครั้งเมื่อคุณจัดงานท่าน”
“ผมไปแล้ว ใครจะดูบ้าน”
“คุณลูกแก้วเธอคงจะแต่งงาน ไม่มีปัญหาอะไรยุ่งยากไม่ใช่เหรอคะ”
ชีวินถอนใจยาว พยายามโน้มน้าวศจีอีกครั้ง
“ผมกับลูกแก้วปรึกษากันแล้วว่า จะแบ่ง...”
“ขอบคุณ...สำหรับ...ทั้งหมดที่คุณทำมา”
พูดจบศจีก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ชีวินมองตามด้วยหัวใจที่ร้าวลึก
ในครัวกำลังเสวนากันอย่างออกรส เริ่มจากนวลผ่อง
“เขาว่าคุณหญิงไม่ได้จดทะเบียน เลยไม่ได้อะไรเลย”
บุญส่งเสริม “เห็นว่าจะออกจากบ้าน”
บรรจงสอดขึ้นว่า “เขาว่า...แม่เคยเป็นแม่เล้าใช่ไหม”
ละม่อมไม่เชื่อนัก “เฮอะ จริงรึเปล่า”
“ก็ที่หนังสือพิมพ์ลงยังไง”
“ต้องถามนายสิทธิ์ เขาเป็นคนขับรถประจำตัว”
วรรณยืนฟังอยู่มุมหนึ่งโดยไม่มีใครรู้ สีหน้าหมดอาลัย
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 34 จบบริบูรณ์
เช้าวันนี้ ศจีหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาหน้าตึก มันเป็นกระเป๋าใบเดียวกับที่จุกเคยหิ้วมาส่งหน้าปากซอย
รถประจำตัวของปราจิตจอดรออยู่ สิทธิ์รีบเข้ามารับ
“ผมเองครับ”
สิทธิ์รับกระเป๋าจากศจีไปเก็บที่กระโปรงหลัง แต่พอจะเปิดประตูให้ ศจีก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งเองเสียแล้ว สิทธิ์รีบขึ้นไปนั่งบนรถ พลางถาม
“จะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ”
รถแล่นออกไปยังประตูรั้ว
แกมแก้วมองจากระเบียงห้องนอนอย่างอดใจหายไม่ได้
ชีวินเองก็ยืนมองจากศาลาในสวนอย่างอาลัยอาวรณ์ลึกซึ้ง
ศจีก้าวเดินมาตามทางที่คุ้นเคยอย่างงามสง่า คนในซอยต่างซุบซิบพลางมองกันอย่างแปลกใจ
เริ่มจากชาวบ้าน 1 “นั่นไงแก คุณหญิงศุภศจี”
ตามด้วยชาวบ้าน 2 “คุณหญิงคุณหยันอะไรที่ไหน แต่งตั้งเอาเองนอกทำเนียบน่ะสิ”
“เฮ้ย...ลูกอีจุกกลับมาอยู่บ้านเก่าแล้วว่ะ” ชาวบ้าน 3 พยักพเยิด
ชาวบ้าน 4 บอก “ได้ข่าวว่ามันเลิกกับผัวแล้วนี่”
ชาวบ้าน 5 เสริม “คงโดนผัวทิ้งมาละมั้ง ท่าทางจะไม่ได้สมบัติหรอก แบกกระเป๋าใบเดิมกลับมา”
“จะได้อาไร้ ไปเป็นน้อยเขานี่”
ชาวบ้าน 6 ออกอาการสมน้ำหน้า ทุกคนพยักพเยิดให้กันไปมา
ทุกคำเสียดสีที่กระแทกใส่ ศจีจ้ำเดินไปอย่างอดทน เพื่อจะพาตัวเองให้พ้นไปจากเสียงนินทาทั้งปวง จนชะงักเมื่อเห็นใครบางคน
ยายปริกที่ออกมาจุดธูปไหว้ศาลเตรียมเปิดทำการ เข้ามาขวาง พลางเอ่ยทักทายศจี
“กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอจี หมดผัวจะกลัวอะไร มาอยู่กับยาย ยายเลี้ยงได้”
คำพูดขอร้องของแม่ดังก้องในหู “จีอย่าไปอยู่กับยายปริกนะลูก สัญญา สัญญากับแม่สิ”
ศจีหันมาบอกกับยายปริก
“ฉันสัญญากับแม่ไว้แล้วจ้ะ ฉันจะกลับไปอยู่ที่บ้าน”
ศจีเดินต่อไปอย่างแน่วนิ่ง แต่แล้วมีมือใครบางคนเข้ามาคว้ากระเป๋าของเธอไปจากมือ
ศจีหันขวับไปอย่างฉุนเฉียว แต่พอเห็นว่าใครก็นิ่งงันไป
สุพรรณก้มหัวนิดๆ ให้กับศจีอย่างจริงใจ และน้ำเสียงเอ่ยทักก็นุ่มนวล ให้เกียรติ มิได้ประชดประชันเหมือนครั้งก่อน
“คุณหญิงศุภศจี ผมจะไปส่งคุณ”
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ”
สุพรรณไม่สนใจ เดินนำหน้าศจีไปเลย ศจีจำต้องตามไป
ศจีเดินมาหยุดอยู่หน้าเรือน หันไปบอกสุพรรณที่ตามมา
“ส่งฉันเท่านี้ก็พอค่ะ”
สุพรรณถามอย่างเป็นห่วง
“อยู่ได้เหรอ”
“เคยอยู่ได้”
“เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ผิดกัน”
“ฉันไม่เคยรู้สึกผิด”
สุพรรณอ่อนใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมากึ่งเหนื่อยหน่ายกึ่งเว้าวอน
“คุณเลิกทิฐิเสียทีได้ไหม เราจะหันหน้ามาพูดความจริงสักครั้งไม่ได้เหรอ”
หัวใจของศจีชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่เมื่อรู้ตัวก็ตอบอย่างเฉยชา
“ฉันเป็นคนพูดจริงเสมอ ที่นี่ คือบ้านของฉัน บ้านที่ฉันมีสิทธิ์ขาดมันอาจจะไม่ใช่บ้านอย่างที่คิดฝัน แต่เศษธุลีในมือ ยังดีกว่าอากาศธาตุไม่ใช่เหรอคะ”
สุพรรณมองหน้าศจีอย่างอ่อนโยน
“ผมมีบ้าน ถึงจะเป็นแค่บ้านที่ทางราชการเขาให้ซุกหัวนอน แต่บ้านนั้น ยินดีต้อนรับคุณ”
ศจียิ้มหวานแกมเศร้า
“ฝากบอกคุณแกมแก้วเธอด้วยว่า คุณหญิงอรุณวตีท่านฝากเธอไว้กับฉันก่อนจะสิ้นใจ ฉันรับปากท่านไว้ และตอนนี้ ภาระของฉันสิ้นสุดลงแล้วค่ะ”
“คุณเคยมีความรักบ้างหรือเปล่า”
ศจียิ้มเยือกเย็น แต่แฝงด้วยความปวดร้าวลึก
“ที่ผ่านมา ฉันมองหาแต่โอกาส ไม่เคยคิดถึงความรัก หรือแม้แต่ความชัง”
สุพรรณเม้มปากนิดๆ มองศจีราวกับจะฝังใจจำ
“คนจากธุลีดินอย่างเราต้องการไต่เต้าขึ้นไปสู่ที่สูงที่สบายกว่าแต่ใครเลยจะอยู่อย่างทะเยอทะยานได้ โดยปราศจากความรัก”
สุพรรณยื่นกระเป๋าให้ศจี แล้วหันหลังกลับ หัวใจปวดหนึบ รู้ว่าเขาต้องตัดใจจากเธอไป
“จำได้ไหมคะ” ศจีเอ่ยขึ้น
สุพรรณชะงักรอฟัง โดยไม่ได้หันไปมอง
“คุณเคยบอกว่าพรุ่งนี้อาจจะดีกว่านี้ ฉันจะอยู่คอยพรุ่งนี้”
สุพรรณพยักหน้าเข้าใจและยอมรับ เขาก้มหัวให้เธออีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล
“ครับ คุณหญิงศุภศจี”
สุพรรณก้าวออกไป ดุ่มเดินไปยังประตูข้างหน้า
ตระหนักชัดว่านับแต่นี้ระหว่าง เขากับเธอ ต้องแยกจากกันแล้วอย่างสิ้นเชิง
ศจีหิ้วกระเป๋าขึ้นเรือนมาหยุดตรงนอกชาน เหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกคิดถึงปนอ้างว้าง
สภาพบ้านเก่าทรุดโทรมไปมาก ข้าวของเครื่องใช้ฝุ่นจับกระจัดกระจายระเกะระกะเพราะไม่มีใครดูแล
ความหลังความรักมากมายของจุก ผุดซ้อนขึ้นมาราวสายน้ำไหล
“จีกินข้าวมาหรือยังลูก”
“กินแล้วจ้ะแม่”
ศจีมองแม่ แล้วมองมีดดายหญ้าที่วางอยู่
“ฉันเคยบอกแม่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้จ้างเขาดายหญ้าดีกว่า”
“ทำเองไม่เปลือง”
“แม่จะเก็บเงินไว้ทำไมนักหนา”
“ไว้ให้จี จะได้มีเงินมากๆ”
ฉากสุดท้ายที่เธอนึกถึง คือวันที่ย้ายออกไปในฐานะภรรยาท่านทูต แล้วจุกบอกว่า
“กลับพรุ่งนี้ใช่ไหม แม่จะคอย”
ศจีดึงตัวเองออกมา น้ำตาคลอ คิดถึงแม่จับใจ
“แม่จ๋า หนูกลับมาแล้วนะจ๊ะแม่”
ศจีมองไปข้างหน้า ด้วยคอที่ตั้งตรง
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ฉันก็รู้แล้วจ้ะแม่ ว่าฉันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก...”
“คุณหญิงศุภศจี”
เสียงเรียกอย่างยกย่องชื่นชมของสุพรรณดังก้องขึ้นในความคิดคำนึง
หากมองจากมุมสูงลงมา จะเห็นร่างศจียืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงชานบ้านสวน ท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงหล่นลอยคว้างลงไป ดุจดังชีวิตของเธอในยามนี้
ศจีสูดลมหายใจ ยืดกายมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วนิ่ง พร้อมจะก้าวเดินไปในทางที่เธอเลือกเอง เส้นทางที่สถานภาพ "คุณหญิงนอกทำเนียบ" จะติดตัวเธอไป ตราบจนวันสิ้นลม
จบบริบูรณ์
โปรดติดตามอ่าน "เจ้าสาวเฉพาะกิจ"