เลือดมังกร : หงส์ ตอนที่ 4
จากกลางวันเปลี่ยนเป็นเวลาเย็นโพล้เพล้ หงส์ยังคุกคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่เดิม ในสภาพอ่อนเพลีย
ปากแห้งแตก เนื่องจากไม่ยอมกินอะไรเลย หลงเข้ามาพร้อมกับยื่นชามกระเบื้องใส่น้ำให้
หงส์ส่ายหน้า ไม่ยอมดื่มน้ำที่หลงเอามาให้
"คุณหนูทำแบบนี้ต้องการท้าทายเถ้าแก่สุงหรือไง"
"ฉันนี่เป็นลูกอกตัญญูจริงๆ ทำให้อาป๊าต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า"
"ทุกเรื่องร้ายมีเรื่องดีซ่อนอยู่เสมอ จะเห็นหรือไม่เห็นขึ้นอยู่กับมุมมองและความใจกว้างของแต่ละคน... คุณหนูอย่าเอาตัวเองต่อรองเถ้าแก่สุงด้วยวิธีนี้เลย"
"ฉันจะเป็นหรือตาย อาป๊าก็ไม่สนใจหรอก ดีซะอีก ฉันตายๆไป ทุกอย่างจะได้จบ"
"เคยรับปากกับพี่ชายไว้ยังไง คุณหนูลืมแล้วเหรอ"
"ฉันไม่เคยลืม แต่ฉันไม่มีวันทำได้"
"อาฉางคงเสียใจไม่น้อย ถ้ารู้ว่าน้องสาวที่เคยเข้มแข็งกลายเป็นคนอ่อนแออย่างนี้"
หงส์รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง อับจนหนทาง รู้สึกอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุงนอนหลับอยู่บนเตียง ยังไม่รู้สึกตัว ตั้งแต่หมดสติไปเมื่อตอนกลางวัน หมวย กุ่ย หวังที่คอยดูแลปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด ทั้งสามต่างมองสุงด้วยสีหน้าวิตก เปลือกตาสุงกระตุกเป็นช่วงๆ สื่อว่ากำลังฝันอะไรบางอย่างเนื่องจากดวงจิตนิวรณ์
สุงอยู่ในความฝันกลางทุ่งหญ้าโล่งแจ้งแห้งแล้ง มีแต่ต้นหญ้าแห้งกรอบสีน้ำตาลกว้างสุดลูกหูลูกตา สุงเห็นหลังฉางในชุดขาวบางเบา เดินนำหน้าอยู่ไวๆ
"อาฉาง ! อาฉาง"
สุงรีบวิ่งตามฉางไปทันที ล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ลุกขึ้นตามฉางไป
ฉางเดินนำหน้าสุงอย่างสบายๆไม่รีบร้อน แตกต่างจากสุงที่วิ่งกระหืดกระหอบ เหงื่อผุดเต็มหน้า
"อาฉาง ! อย่าเพิ่งไป ! รออั๊วะด้วย"
สุงวิ่งตามฉางอยู่ไกลๆในทุ่งหญ้ากว้างสีน้ำตาล เวิ้งว้างไร้ขอบเขต
สุงวิ่งตามฉางมาจนถึงริมหน้าผาสูงชัน ทว่าร่มรื่น แตกต่างจากทุ่งหญ้าแห้งแล้งเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ฉางหยุดยืนรอสุงที่ปลายหน้าผา ยิ้มเศร้าๆให้สุง สุงยิ้มดีใจจนน้ำตาไหลที่ได้เจอหน้าฉางอีกครั้ง
"อาฉาง ลื้อยังไม่ตายเหรอ รู้มั้ยว่าอั๊วะคิดถึงลื้อแค่ไหน กลับไปอยู่กับอั๊วะนะ"
"อาป๊า อั๊วะกลับไปอยู่กับอาป๊าด้วยไม่ได้แล้วนะ"
"ทำไมล่ะ ทำไมไม่ได้... อั๊วะเป็นเจ้าพ่อ จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ทั้งนั้น"
"อั๊วะดีใจที่เกิดมาชาตินี้ได้เป็นลูกอาป๊า สักวันนึงเราคงได้พบกันได้อยู่ด้วยกันอีก"
"อาฉาง... ไม่มีลื้อแล้วอั๊วะจะอยู่กับใคร"
"อาหงส์ยังไงล่ะป๊า อาหงส์จะเป็นตัวแทนอั๊วเอง"
สุงส่ายหน้าปาดน้ำตา สะอื้นเหมือนเด็กๆ แทบไม่เหลือเค้าว่าเป็นถึงเจ้าพ่อใหญ่
"อั๊วมีน้องสาวแค่คนเดียว อั๊วะอยากให้อาป๊ารักอาหงส์เหมือนที่รักอั๊ว"
"อาฉาง ลื้อไม่ต้องพูดอีกแล้ว กลับไปกับอั๊วะเถอะนะ"
ฉางยิ้มจางๆ หันหลังแล้วเดินนำหน้าไปเรื่อยๆยังปลายหน้าผาสูงชัน
"อาฉาง"
สุงตกใจสุดขีดเมื่อเห็นฉางเดินไปยังปลายหน้าผาไม่ยอมหันหลังกลับ รีบไขว่คว้าตัวอาฉางไว้
สุงตกใจสะดุ้งตื่น ลืมตาโพลง เหงื่อแตกเต็มหน้า
"อาฉาง"
หมวยที่นั่งสัปหงกดูแลสุงอยู่ สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงสุงโวยวายลั่น
"ฝันร้ายเหรอคะ เถ้าแก่"
สุงมองไปยังป้ายวิญญาณของอาฉางที่อยู่ในห้อง
"อั๊วฝันเห็นอาฉาง... อาฉางมาหาอั๊ว"
"เถ้าแก่คงคิดมากเรื่องเมื่อตอนกลางวันจนเก็บเอาไปฝัน"
"อาหงส์ล่ะ"
"ยังคุกเข่าอยู่ข้างนอกเลยค่ะ ข้าวสักคำน้ำสักหยดก็ไม่ยอมกิน บอกว่าจะคุกเข่าอยู่อย่างนั้นจนกว่าเถ้าแก่จะยกโทษให้"
สุงเริ่มรู้สึกตัวคิดว่าตัวเองทำกับหงส์เกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า
หงส์คุกเข่าท่าทางอิดโรย เนื่องจากตากแดดมาทั้งวัน และอดข้าวอดน้ำ หลงเฝ้ามองหงส์อยู่เคียงข้างไม่ยอมไปไหน หมวยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาหงส์ด้วยความดีใจ
หมวยหอบ
"เจ้หงส์ ! เถ้าแก่สุง...เถ้าแก่สุงยกโทษให้หงส์แล้ว ! ลุกขึ้นเถอะ"
"อาป๊ายกโทษให้หงส์จริงเหรอ"
หมวยพยักหน้า พอรู้ว่าสุงให้อภัย หงส์ก็ยิ้มแบบเพลียๆ หงส์หันหน้าไปทางห้องสุง แล้วก้มลงคารวะขอบคุณสุง ก่อนที่จะสลบพับไปด้วยความอ่อนแรง
"คุณหนู" หลงร้องเรียก
"ทำไงดีล่ะ ! เจ้หงส์สลบไปแล้ว" หมวยว่า
"รีบพาคุณหนูไปพักก่อน"
หลงจะเข้าไปอุ้มหงส์ แต่ทันใดนั้น กุ่ยก็ปราดเข้ามาผลักหลงจนกระเด็น
"หลีกไป ! เพราะลื้อ เจ้หงส์ถึงต้องเป็นแบบนี้"
หลงมองหงส์ที่สลบไปในอ้อมแขนของกุ่ย
"ถ้าลื้อยังไม่เลิกตอแยกับเจ้หงส์ อย่าหาว่าอั๊วะไม่เตือน"
กุ่ยจ้องหน้าหลงอย่างแค้นใจ ก่อนเข้าไปอุ้มร่างหงส์เดินออกไป
หลงได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุ
เช้าวันใหม่ที่ตลาดเยาวราช ตี๋เล็กรบเร้าเต็กเรื่องสู่ขอหงส์
"ผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่อาป๊าจะสู่ขออาหงส์ให้อั๊วเสียที"
เต็กกำลังไหว้ตี่จู้เอี๊ยะขอพรให้ทำมาค้าขึ้นเสร็จพอดี
"ลื้อก็รู้... ตอนนี้อาแปะสุงของลื้อกำลังคิดไม่ตกเรื่องเสี่ยเกาท้าประลองงิ้วอยู่ หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างงี้ จะให้อั๊วพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง"
"มัวแต่ชักช้าอืดอาด เดี๋ยวคนอื่นสู่ขอตัดหน้า อั๊วะก็อดแต่งงานกับน้องหงส์กันพอดี"
"จะกลัวอะไรห๊า อาตี๋เล็ก ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งหงส์ดำ พี่ใหญ่ยังวางใจมอบให้อั๊ว นับประสาอะไรจะยกลูกสาวให้ลื้อไม่ได้"
"อาป๊าแน่ใจนะ"
"เออสิวะ ! เรือล่มในหนองทองจะไปไหน รอให้การประลองงิ้วผ่านไปก่อน ถ้าคณะเฟิ่งหวงชนะ อั๊วถือโอกาสนี้เป็นฤกษ์งามยามดีสู่ขออาหงส์ฉลองชัยชนะซะเลย"
"แล้วถ้าแพ้ล่ะ อั๊วไม่ต้องอดแต่งงานเหรอ"
"โรงงิ้วเฟิ่งหงก็ต้องปิดลง จะเปิดการแสดงที่ไหนอีก ทางเดียวที่แก๊งหงส์ดำจะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ ก็คือต้องผูกไมตรีเป็นทองแผ่นเดียวกันกับแก๊งกระเรียนของเรา ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรจะแพ้หรือชนะ ลื้อก็ได้ร่วมหอลงโรงกับอาหงส์อยู่ดี"
เต็กหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ตบบ่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ตี๋เล็กค่อยยิ้มออก วางใจในความเฉียบแหลมของบิดา
ภายในวิหารจตุโลกบาลในศาลเจ้า ตอนกลางวัน หงส์เก็บอุปกรณ์ฝึกงิ้วกลับบ้าน มองด้วยความอาลัยอาวรณ์ ซินแสง้วงผ่านมา เห็นประตูวิหารเปิดอยู่ ก็แปลกใจที่เห็นหงส์ไม่ฝึกงิ้วเหมือนทุกวัน
"คุณหนูหงส์... วันนี้ไม่ฝึกงิ้วเหรอ"
หงส์ส่ายหน้าช้าๆ ตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า
"หงส์คงเล่นงิ้วไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ซินแส"
"ทำไมล่ะ"
"อาป๊าไม่อยากให้หงส์เล่นงิ้ว หงส์ก็จะไม่เล่นอีกต่อไป"
"ในชีวิตของมนุษย์มีหลายเรื่องที่ไม่อาจพ่ายแพ้ และมีอีกหลายเรื่องที่ไม่อาจ
เอาชนะได้"
"จะรู้ได้ยังไงคะว่าเรื่องไหนควรยอมแพ้ เรื่องไหนควรเอาชนะ"
"จงยอมแพ้เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าไม่สมควรจะเอาชนะ ถ้าชนะแล้วก่อทุกข์ ทำลาย
สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ชัยชนะนั้นจะมีประโยชน์อะไร"
"ถึงเวลาที่หงส์จะต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้วใช่ไหมคะ ซินแส"
"การยอมแพ้อย่างท้อแท้ หดหู่มิใช่วิสัยของนักสู้ที่แท้จริง เพราะการยอมแพ้เช่นนั้น ย่อมไม่อาจสร้างสรรค์นำพาความก้าวหน้าขึ้นได้อีก คุณหนูจงลุกขึ้นสู้ด้วยสติปัญญาอันอ่อนโยนเถิด แพ้หรือชนะมิใช่เป้าหมายสำคัญหรอก"
"ไม่รู้ว่าหงส์กลายเป็นคนอ่อนแอไปตั้งแต่เมื่อไหร่"
"แพ้ตัวเองจึงนับว่าแพ้ มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นที่ไม่เคยยอมแพ้ใคร... และนี่คือเคล็ด
วิชาอ่อนสยบแข็งที่แท้จริง"
หงส์ครุ่นคิดตามคำสอนของซินแสง้วงอย่าพินิจพิจารณา
เถ้าแก่ไช้เดินโผเผลงบันไดมา เพิ่งจะสร่างเมาจากเมื่อคืน ไช้ถึงกับผงะ เมื่อเห็นภาพหลอนพวกคนงานจีนในร้านกลายเป็นอาซันและมือปืนที่ตายไป ร่างโชกเลือดยืนอยู่
ไช้ตกใจ
"อาซัน ! พวกลื้อ...ตายไปแล้วนี่"
อาซัน และเหล่ามือปืนที่รอยกระสุนยิงร่างจนพรุน เดินทื่อๆ ย่างสามขุมเข้ามาหา อย่างจะทวงชีวิต ไช้ตาเหลือกลาน โวยวายลั่น คว้าเอาข้าวของเขวี้ยงปาใส่ผีร้ายพวกนั้น
"อย่า ! อย่าเข้ามา ออกไป ไป๊ "
พวกคนใช้ในบ้านถูกไช้ปาของใส่แทนที่จะเป็นผีอาซัน พวกคนรับใช้วิ่งออกไป งงเป็นไก่ตาแตกที่อยู่ๆไช้ก็ไล่ให้พวกตนออกไป
หลงกับหลิวได้ยินเสียงไช้โวยวายลั่นร้าน ก็รีบวิ่งเข้ามาดูไช้ด้วยความเป็นห่วง
"เฮีย ! นี่มันอะไรกัน"
"เกิดอะไรขึ้น เถ้าแก่"
"อาหลง ! ช่วยอั๊วด้วย "
ไช้หน้าซีดเผือด ปากสั่น หวาดกลัวไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า หลิวที่มองไช้ เริ่มสงสัยมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ในห้องทำงาน ไช้กระดกเหล้าต่างน้ำ ย้อมใจหลังจากเสียขวัญที่เห็นภาพหลอนเมื่อครู่
"โบราณว่า ใจไม่ดีผีก็หลอน วิญญาณอาซันกับพรรคพวกคงแค้นอั๊วะมากที่ส่งพวกอีไปหาที่ตาย"
"เถ้าแก่ดื่มมากไปแล้ว" หลงบอก
"กว่าอั๊วจะโค่นศัตรู ก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องฆ่าคนมาแล้วไม่รู้กี่ศพต่อกี่ศพ... แต่ไม่มีครั้งไหนที่อั๊วรู้สึกสูญเสียเท่านี้มาก่อน คนเคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ผ่านศึกเหนือเสือใต้ด้วยกันมาทุกทิศ อยู่ๆก็ต้องมาตายจาก เพราะความใจร้อนวู่วามของอั๊วะแท้ๆ"
"อั๊วนึกว่าเถ้าแก่จะทำใจได้แล้ว"
"ทำใจเหรอ" ไช้หัวเราะ "อั๊วยังไม่อยากเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าอาซัน...ตายแล้ว"
ไช้น้ำเสียงเศร้า หดหู่เมื่อระลึกได้ว่า อาซันคนสนิทตายจากไปแล้ว
"ไม่รู้อีกกี่เดือนกี่ปี อั๊วถึงจะเชื่อว่าอาซันอีตายแล้วจริงๆ"
ไช้ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วกระดกเหล้าต่อรวดเดียวจนหมด
หลงมองไช้อย่างเข้าใจถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงของไช้
หลิวแอบฟังอยู่ที่หน้าห้องทำงานไช้ ได้ยินเรื่องที่ไช้กับหลงคุยกันโดยตลอด
"อาซันตายแล้วเหรอ"
หลิวยกมือทาบอก ใจสั่นหวิวอย่างบอกไม่ถูก
สุงนั่งนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณฉางนิ่งนาน ผ่ายผอมลงไปมาก ดวงตาลึกโหลเพราะตรอมใจ
เสียงประตูห้องถูกผลักเข้ามา หมวยกับกุ่ยที่อยู่ในห้องกับสุงหันไปมอง เห็นหงส์เปิดประตูเข้ามา
"เจ้หงส์"
"หงส์ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกเล่นงิ้ว"
หมวยกับกุ่ยต่างตกใจไม่แพ้กัน คิดไม่ถึงว่าหงส์จะเลิกเล่นงิ้ว สุงยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้กระทั่งชายตามอง เสมือนหงส์ไร้ตัวตนบนโลกนี้
"มาบอกอั๊วทำไม หัวแข็งอย่างลื้อ จะเล่นหรือไม่เล่น ห้ามได้ด้วยเหรอ"
"อาป๊ายังไม่หายโกรธหงส์อีกเหรอคะ คราวนี้หงส์สัญญาค่ะว่าจะเลิกเล่นงิ้วจริงๆ"
"มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมภาระแตกต่างกันไป บางคนเรียกมันว่า “ความฝัน” บางคนเรียกมันว่า “หน้าที่” แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือทุกคนต่างยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำมันให้สำเร็จ"
หงส์ กุ่ย และหมวยต่างตั้งใจฟังโอวาทจากสุง สุงจ้องไปยังกุ่ยด้วยสายตาฝากความหวังเต็มที่
"ภายหลังการประลองเสร็จสิ้น ไม่ว่าผลออกมาจะแพ้หรือชนะ อั๊วจะมอบโรงงิ้วเฟิ่งหวงให้ลื้อ อากุ่ย"
กุ่ยตกใจ ตาโตที่อยู่ๆสุงก็มอบโรงงิ้วให้
"เถ้าแก่ !"
สุงมองด้วยหางตา พูดกับหงส์แบบไม่ค่อยสนใจใยดีนัก
"ส่วนลื้อ... หัดทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน เตรียมแต่งงานออกไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นก็พอ"
หงส์ตกใจเรื่องที่สุงยกโรงงิ้วให้กุ่ย ยังไม่เท่าสุงวางแผนจะให้ตนแต่งงาน
มุมร่มรื่นในโรงงิ้ว หมวยทุบตี จนกุ่ยหลบพัลวัน
"โอ๊ยๆๆ !!! จะบ้าหรือไง ตีอั๊วะทำไมเนี่ย"
"บอกมาซะดีๆ เฮียไปเลียแข้งเลียขาประจบเถ้าแก่สุงขอโรงงิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ซี้ซั้วต่า... พูดมั่วๆ อั๊วะขอโรงงิ้วเถ้าแก่ซะที่ไหน อยู่ๆเถ้าแก่ก็เอ่ยปากยกให้อั๊วเอง"
"อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หงส์เป็นลูกสาวเถ้าแก่สุงแท้ๆแต่กลับไม่ได้ เฮียมีสิทธิ์อะไรได้เป็นเจ้าของโรงงิ้ว" หมวยทั้งทุบทั้งตีกุ่ย "เอาโรงงิ้วคืนหงส์ไปเดี๋ยวนี้เลยนะ"
"จะคืนได้ยังไงเล่า เถ้าแก่ยังไม่ได้ยกให้อั๊วตอนนี้สักหน่อย"
หงส์ยังคงเหม่อลอย คิดถึงแต่เรื่องสุงจะให้ตนแต่งงาน
"เจ้หงส์... โกรธอั๊วหรือเปล่า" กุ่ยถาม
"เปล่า... โรงงิ้วเฟิ่งหวงเป็นของอาป๊า จะยกให้ใครย่อมได้ทั้งนั้น อาป๊าคงเห็นว่าอากุ่ยเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดโรงงิ้วมากกว่าเจ้"
"แล้วเจ้หงส์ใจลอยคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ ? เรื่องแต่งงานใช่มั้ย"
หงส์พยักหน้าแทนคำตอบ เซ็งบอกไม่ถูก
"อย่าบอกนะว่า...เถ้าแก่จะให้เจ้หงส์แต่งงานกับคุณตี๋เล็ก ลูกชายเถ้าแก่เต็ก" หมวยว่า
"ทั้งอันธพาลทั้งชีกออย่างงั้น ขืนแต่งงานอยู่กินกันไป เจ้คงได้น้ำตาเช็ดหัวเข่า" กุ่ยบอก
หงส์มืดแปดด้านเมื่อคิดว่าต้องแต่งงานกับตี๋เล็กจริงๆ
"ถ้าอาป๊าตกลงยกเจ้ให้เฮียตี๋เล็กจริง หงส์จะทำอะไรได้"
"ไม่ต้องกลัวนะเจ้... การประลองงิ้วครั้งนี้ อั๊วะจะต้องชนะให้ได้ เถ้าแก่บอกว่า ถ้าอั๊วะชนะ ไม่ว่าอะไรก็จะยกให้ทุกอย่าง"
"แล้วเฮียจะขออะไรเถ้าแก่สุง" หมวยถาม
กุ่ยจับมือหงส์ขึ้นมา ต่อหน้าต่อตาหมวย
"อั๊วจะขอแต่งงานกับเจ้"
หงส์กับหมวยต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน
บริเวณลานฝึกงิ้ว หมวยร้องเพลงงิ้ว รำพึงรำพันถึงชายคนที่รัก แอบรักเขาข้างเดียว โดยมองไปยังกุ่ยที่ซ้อมอยู่ใกล้ๆ แปะจางนั่งดูอยู่ ถึงกับออกปากชมเปราะ
"ลื้อนี่เอาดีทางเล่นบทเศร้านะอาหมวย"
กุ่ยแซว
"ร้องได้ถึงแก่น น้ำตาแทบเล็ดขนาดนี้ สงสัยดวงชะตาลื้อท่าจะอาภัพรัก"
"เฮียกุ่ย ! ไม่ชมแล้วยังจะแช่งอีก ใช่ซี๊... ใครจะไปเก่งเหมือนเจ้หงส์ล่ะ"
"แน่นอน ! ควงหอกควงทวนเจ้หงส์ก็ทำได้หมด ไม่ใช่เก่งแต่ร้องหงิงๆๆๆ"
"ใครร้องหงิงๆ พูดให้มันดีนะ"
กุ่ยลอยหน้าลอยตายั่วโมโห หมวยปรี๊ด แปะจางต้องรีบห้ามทัพ
"พอๆๆ... คนเรามันเชี่ยวผิดกัน คุณหนูหงส์เก่งทางบู๊ อาหมวยเก่งทางร้อง เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก มันคนละทาง"
แปะจางหันมาสั่งสอนหมวย
"แต่ถึงลื้อจะเก่งแล้ว ก็ต้องเรียนไปเรื่อยๆนะอาหมวย อย่าได้ทะนงไป สุภาษิตจีนบอกว่า เจียะเก้าเหล่า ถักเก้าเหล่า กินถึงแก่ก็ต้องเรียนถึงแก่ วิชางิ้วถึงจะไม่หมด"
"หมวยจะจดจำไว้ค่ะอาแปะ"
อาแปะจางยิ้มเห็นแววอาหมวยว่าไปได้ไกล
หมวยนั่งซักผ้าอยู่คนเดียวหลังโรงงิ้ว ซ้อมร้องเพลงงิ้วเป็นบทโศกของนางเอกที่รำพันถึงชายคนรัก
นึกถึงตอนกุ่ยจับมือหงส์ขึ้นมา ต่อหน้าต่อตาหมวย บอกจะขอหงส์แต่งงาน
"เถ้าแก่บอกว่าถ้าอั๊วะชนะ ไม่ว่าอะไรก็จะยกให้ทุกอย่าง ถึงตอนนั้น อั๊วะจะขอเถ้าแก่สุง...แต่งงานกับเจ้"
คำพูดนั้นเหมือนน้ำกรดราดรดหัวใจหมวย ร้องต่อไปไม่ออก ก้มหน้าซักผ้าระบายอารมณ์ต่อไป
หงส์เดินเข้ามานั่งซักผ้าเป็นเพื่อนหมวย
"ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ เจ้กำลังฟังเพลินๆ"
พอหมวยเห็นหงส์เข้ามาก็รีบฝืนยิ้มพยักหน้า ทำหน้าชื่นอกตรม
"เฮียกุ่ยขอเจ้แต่งงานก็ดีเหมือนกันเนอะ โรงงิ้วจะได้ไม่ไปไหน ถึงยังไงก็ตกเป็นสมบัติของเจ้กับเฮียกุ่ยอยู่ดี ถึงเฮียกุ่ยจะค่อยไม่เอาไหน แต่ยังไงเจ้แต่งงานกับเฮียกุ่ยก็ยังดีกว่าต้องร่วมหอลงโรงกับลูกชายเถ้าแก่เต็กอยู่ดี"
"ทำไมนะ...มีแต่ผู้ชายที่เป็นฝ่ายเลือก ผู้หญิงอย่างเราไม่มีสิทธิ์เลือกได้เลย"
หมวยตีแขนหงส์เบาๆ
"พูดอะไรอย่างนั้น เดี๋ยวใครได้ยินเข้าก็เป็นเรื่องหรอก"
"ผู้ชายตั้งตัวเองเป็นมังกร เป็นพยัคฆ์ แต่กลับดูถูกผู้หญิงว่าเป็นเพียงแม่โคที่อ่อนแอ มีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้สามี เลี้ยงลูก ทำงานบ้านงกๆ น่าขันดีมั้ยล่ะ"
"ผู้หญิงอย่างเรา แค่มีสามีที่ดี มีลูกที่ว่านอนสอนง่ายก็นับว่าเป็นโชคแล้ว จะอยากเป็นเสือ อยากเป็นมังกรให้ยุ่งยากไปทำไม"
"ถ้าเจ้เป็นผู้ชาย เป็นสายเลือดมังกรเหมือนอาป๊า อาป๊าก็คงจะรักหงส์มากกว่านี้"
หงส์น้อยใจที่เกิดเป็นผู้หญิง ไม่เห็นจะมีอะไรดีสักอย่าง
ค่ำคืน ไช้ยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงชั้นบนกับหลง เห็นทิวทัศน์เยาวราชด้านล่างตอนกลางคืนทั้งหมด
"บนวิถีทางของเจ้าพ่อมีแค่สองอย่างให้เลือกเท่านั้น"
"อะไรเหรอครับ"
"สร้างบุญคุณเพื่อเพิ่มเกียรติยศ เพาะความแค้นเพื่อสร้างบารมี ทั้งสองอย่างนี้ ชีวิตอั๊วะผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว"
ไช้ถอนใจหนักๆอย่างเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลายาวนาน
"ถ้าเถ้าแก่เหนื่อยก็วางมือจากวงการเถอะครับ"
"มันสายไปแล้ว อาหลง... อั๊วะขึ้นหลังเสือแล้วยากจะก้าวลง เพราะวันใดที่อั๊วะหมดอำนาจวาสนา เสือที่อั๊วะเคยขี่หลัง มันก็จะหันมาแว้งกัดในที่สุด"
"ต่อให้วันนี้เถ้าแก่ยังไม่ก้าวลง ก็คงต้องมีวันนั้นอยู่ดี"
"อั๊วพร้อมตายอย่างเสือดีกว่าตายอย่างหมาข้างถนน"
หลงนับถือในความใจนักเลงของไช้
"อาหลง ถ้าวันนึงอั๊วะเป็นอะไรไป เมียอั๊วะจะอดตายมั้ย จะถูกใครรังแกหรือเปล่า"
"ไม่ครับ อั๊วจะปกป้องเถ้าแก่เนี้ยด้วยชีวิตของอั๊ว"
ไช้พยักหน้า หัวเราะเบาๆ
"ถ้าตาย อั๊วตายตาหลับ อาหลง"
หลงมองไช้แล้วใจคอไม่ดี คำพูดของไช้ฟังคล้ายจะเป็นลาง
ในห้องพระ บ้านเถ้าแก่ไช้ เวลากลางคืน รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนหิ้งพระใหญ่โต มีแสงเทียนส่องวูบวาบ หลิวนั่งนับประคำสวดมนต์ภาวนาหน้าเทวรูป
"ขอบุญกุศลที่อั๊วเคยทำมา จงช่วยปกปักรักษาเฮียไช้ด้วยเถิด"
สิ้นคำอธิษฐานของหลิว ลมแรงวูบหนึ่งพัดเทียนดับลง เหลือเพียงน้ำตาเทียนเท่านั้น หลิวเห็นเทียนดับต่อหน้าก็ตกใจ หน้าซีดเผือด เหมือนจะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง
หลิวมองพระพักตร์เจ้าแม่กวนอิมที่ยิ้มละไม คล้ายจะวิงวอนต่อท่าน
โรงงิ้วเฟิ่งหวง เวลากลางคืน แรม 4 ค่ำ กุ่ยถอดเสื้อโชว์มัดกล้าม ฝึกงิ้วด้วยลีลาบู๊ ดุเดือด ฝีมือพัฒนาขึ้นมากจนผิดหูผิดตา กุ่ยเหงื่อผุดเต็มร่าง แววตามุ่งมั่น มีเป้าหมายคือมีหงส์เป็นเดิมพัน
"อั๊วต้องทำให้ได้"
กุ่ยตั้งหน้าตั้งตาซ้อมต่อไป ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ซื่อเหนียงแอบดูกุ่ยอยู่ที่หน้าโรงงิ้ว ด้วยความภาคภูมิใจ
"อากุ่ย... แม่ภูมิใจในตัวลูกเหลือเกิน"
ซื่อเหนียงยิ้มพลางปาดน้ำตา หันหลังมาชนเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งในชุดดำ ผู้นั้นคือ ชา สมุนเสี่ยเกา ที่มาลอบสังเกตการณ์กุ่ยด้วยเช่นเดียวกัน
ซื่อเหนียงรีบโค้งศีรษะขอโทษซา ก่อนรีบปลีกตัวออกไป ท่าทางลุกลี้ลุกลน อาซามองตามซื่อเหนียงจนลับสายตา... รู้แล้วว่าซื่อเหนียงเป็นแม่ของกุ่ย
เสี่ยเกานั่งพิจารณามองกระดาษที่ซินแสง้วงเขียนคำทำนายว่า “小心” (เสี่ยวซิน) แปลว่า ระวัง ซาเข้ามาในห้อง โค้งคารวะเกาก่อนรายงาน
"ฝีมือของไอ้หนุ่มนั่นพัฒนาขึ้นมากครับเสี่ย"
เกามองคำว่า “小心” อีกครั้ง ขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงคำทำนายซินแสง้วง
"รูเล็กๆอาจทำให้เรือลำใหญ่ล่มลงได้ฉันใด ความประมาทย่ามใจก็ทำให้คนพินาศย่อยยับได้ฉันนั้น"
เกาตาวาวโรจน์ คิดว่าตนตีคำทำนายของซินแสง้วงออกแล้ว
"หรือว่าซินแสง้วงจะเตือนให้อั๊วะระวังไอ้กระจอกนั่น"
เกาขยำกระดาษของซินแสง้วง แล้วปาทิ้งลงพื้น
"ไอ้หนุ่มอ่อนหัดนั่นจะมีปัญญาอะไรมาสู้ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งจากแผ่นดินใหญ่ได้ การประลองครั้งนี้จะว่าไปก็เหมือนเอาเป็ดขันประชันไก่ ยากที่จะเอาชนะได้"
"ลื้ออย่าประมาทคำทำนายของซินแสง้วงโดยเด็ดขาด... คิดดูให้ดี คนของมันยังหนุ่มยังแน่น จุดนี้ที่มันได้เปรียบคนของเรา หากประวิงเวลา ต่อสู้กันไปนานๆ อั๊วชักไม่ค่อยมั่นใจ... อาซา "
"ครับเสี่ย"
"ลื้อไปทำยังไงก็ได้ ให้ไอ้หนุ่มนั่นมันลงแข่งวันพรุ่งนี้ไม่ได้"
ซาโค้งรับ แล้วออกไปทำตามคำสั่งเกาทันที
เลือดมังกร : หงส์ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ที่โรงงิ้วเฟิ่งหวง เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจมาก
ผู้คนแห่มาดูการประลองงิ้วอย่างล้นหลาม พ่อค้าแม่ขายคึกคัก บรรยากาศการประลองดูยิ่งใหญ่
คนเรียกแขกให้มาดูงิ้ว ร้องเรียก ตีกรับพวงแบบจีน ขยับเป็นจังหวะเร่งเร้าอยู่ที่หน้าโรง
"เร่เข้ามา.... เร่เข้ามา.... คณะเฟิ่งหวง งิ้วอันดับหนึ่งของเยาวราช จะประลองกับสุดยอดปรมาจารย์จ้าวแห่งงิ้วปักกิ่ง คณะเปี่ยนฟู่ ใครจะอยู่ ใครจะไป เชิญเร่เข้ามา...เร่เข้ามา"
นักพนันต่างพนันขันต่อกันหน้าโรง บ้างแทงข้างคณะเฟิ่งหวง บ้างแทงข้างคณะเปี่ยนฟู่ของเสี่ยเกา
คนพนันเดิมพันข้างของคณะเสี่ยเกามากกว่าคณะเฟิ่งหวงอย่างเห็นได้ชัด
คนเบียดเสียดจนล้นออกมานอกโรงงิ้ว แออัดยัดทะนานกัน บ้างก็ให้เด็กขี่คอเพื่อจะได้เห็นงิ้วบนเวที หลงยืนอยู่หน้าโรงงิ้ว ตั้งใจจะลอบเข้ามาหาโอกาสฆ่าสุง
หงส์ยืนต้อนรับแขกวีไอพีอยู่ที่มุมหนึ่ง บรรดาเจ้าพ่อแก๊งต่างๆทยอยกันมาทีละแก๊ง เกาก้าวเข้ามาในโรงงิ้วพร้อมด้วยซา และเหล่าบอดี้การ์ดที่คุ้มกันแน่นหนา หรี่ตามองเย้ยหงส์
"หวังว่าพระเอกงิ้วหน้าอ่อนของคุณหนูจะไม่ใจฝ่อ หนีไปซะก่อนนะ" เกาบอก
เสี่ยเกาหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัย ก่อนเดินเข้าไป หงส์ติดใจในคำพูดของเกา ฟังดูแปลกๆ
หยกมณีใส่รองเท้าส้นสูงเดินกรีดกรายนวยนาด เฉิดฉายเข้ามาในโรงงิ้ว
"ไม่นึกว่าเจ้จะมากับเค้าด้วย" หงส์ว่า
"งานสนุกๆแบบนี้ จะขาดฉันได้ยังไง"
"บางทีการประลองครั้งนี้มันอาจไม่สนุกอย่างที่เจ้คิดก็ได้"
"เด็กโง่เอ๊ย...! ฉันพนันข้างเธอเอาไว้เยอะ อย่าทำให้ฉันหมดตัวก็แล้วกัน"
หยกมณีพูดจบก็เดินลอยหน้าเข้าไปในโรงงิ้ว
อากุ่ยแต่งหน้างิ้วแล้ว ออกมาทำสมาธิที่หลังโรงงิ้ว สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย ซื่อเหนียงชะเง้อชะแง้อยู่ที่หลังโรงงิ้ว เป็นกำลังใจก่อนขึ้นเวที ยิ้มปลาบปลื้ม อากุ่ยหันมา ซื่อเหนียงหลบไม่ให้ลูกเห็น อากุ่ยสูดลมหายใจครั้งสุดท้าย ก่อนตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในโรงงิ้ว
ขณะที่กุ่ยกำลังจะกลับเข้าโรงงิ้วนั้น ก็ถูกสมุนซาเอากระสอบคลุมหัว กุ่ยดิ้นโวยวาย
"เฮ้ย ! อะไรวะ"
สมุนซาต่อยที่ท้องกุ่ยอย่างแรงจนสลบเหมือด สมุนซา 2 คนช่วยกันแบกร่างกุ่ยออกไป
ซื่อเหนียงซึ่งแอบดูอยู่ตาเหลือกค้าง เมื่อรู้ว่ากุ่ยถูกจับตัวไป ซื่อเหนียงละล้าละลัง ก่อนตัดสินใจวิ่งตามไป
ดนตรีงิ้วบรรเลงโหมโรง จังหวะเร้าใจ เต็กกับตี๋เล็กที่นั่งเก้าอี้วีไอพีด้านหน้าเวที แต่คนละฝั่งกับเกา บ่นกระปอดกระแปด
"เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ประลองกันสักที อืดอาดยืดยาดอยู่นั่น น่ารำคาญ" ตี๋เล็กบ่น
"ลื้อจะบ่นหาพระแสงอะไรวะ อาตี๋เล็ก หุบปากซะ ! ถ้าลื้อขืนบ่นให้อั๊วได้ยินอีกคำ
เดียว อั๊วจะไม่สู่ขออาหงส์ให้ลื้อ"
ตี๋เล็กเจอเต็กขู่ด้วยไม้นี้ จึงยอมนั่งนิ่งสงบปากสงบคำ แต่ไม่ค่อยสบอารมณ์
หยกมณีเดินกรีดกรายเข้ามายกมือไหว้เต็ก
"สวัสดีค่ะ เถ้าแก่เต็ก เอ๊ะ! ต้องเรียกอาป๊าสิถึงจะถูก"
เต็กเห็นหยกมณีก็ตาโต รับไหว้แบบเสียไม่ได้
"คงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าหยกจะขอนั่งข้างๆเฮียตี๋เล็ก"
เต็กฮึดฮัด แม้แต่หน้าหยกมณีก็ยังไม่อยากจะมอง หยกมณีทรุดตัวลงนั่งข้างตี๋เล็ก เอามือคล้องแขนตี๋เล็กไว้แน่น ทำเป็นออดอ้อนออเซาะ
"ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะคะ เฮียตี๋เล็ก หยกคิดถึ๊ง...คิดถึง... ไหนบอกว่าจะพาอาป๊ามาสู่ขอหยกไปเป็นสะใภ้แก๊งกระเรียนยังไงล่ะคะ"
เต็กหูผึ่งถลึงตาใส่ตี๋เล็ก โกรธจนควันออกหู
ตี๋เล็กพยายามแกะมือหยกมณีออกด้วยความกระอักกระอ่วน กลัวว่าหงส์จะมาเห็นเข้า
"อยู่กลางโรงงิ้ว อย่าประเจิดประเจ้อให้มันมากนัก อายคนอื่นเค้ามั่ง"
หยกมณีแกล้งพูดดังๆให้แขกเหรื่อได้ยิน แกล้งฉีกหน้าตี๋เล็กกับเต็ก
"ไม่เห็นต้องอายเลย ผัวเมียเค้าจะคุยกัน... จริงมั้ยคะ อาป๊า"
หยกมณีทำจริตจก้านน่าหมั่นใส่ แกล้งยั่วตี๋เล็ก ต่อหน้าเต็ก
เต็กบ่นพึมพำ
"หยำฉ่า ! ใครได้เป็นเมีย ซวยตายห่า"
"ว่างๆแวะไปรำลึกความหลังที่ห้องหยกมั่งสิคะ หยกจะเฉาตายอยู่แล้ว"
เต็กตาเหลือก อ้าปากหวอ ส่ายหน้า สุดจะทนกับความหน้าด้าน ไร้ยางอายของหยกมณี
แต่เธอยิ้มสนุกที่ได้ปั่นหัวสองพ่อลูกเล่น
มุมหนึ่งภายในโรงงิ้วเห็นหลง
หมวยเข้ามาตามกุ่ยหลังเวที
"เฮียกุ่ย พร้อมหรือยัง"
หมวยแปลกใจ ไม่มีเสียงตอบ เดินตามหากุ่ย ไปหลังเวทีงิ้ว หมวยมองไปยังศาลเจ้าฉั่งหง่วงส่วย แต่ไร้วี่แววอากุ่ย
หมวยร้อนใจ
"เฮียกุ่ยนะเฮียกุ่ย ! หน้าก็แต่งแล้ว ยังจะไปไหน ใกล้ประลองแล้วด้วย"
หวังหน้าตาตื่น วิ่งมาหาหมวย
"อาหมวย ! แย่แล้ว"
"อย่าเพิ่งมาแย่ตอนนี้ได้มั้ย ค่อยเก็บเอาไว้แย่วันหลัง"
หงส์ตามเข้ามาหลังเวที เห็นหวังหน้าเป็นซีดเป็นไก่ต้ม
"มีอะไร อาหวัง... แล้วอากุ่ยล่ะ"
หวังอึกอัก
"คือ... เฮียกุ่ย...เอ่อ... ไม่มี"
"โอ๊ย ! ไม่มีอะไร พูดมาเร็วๆเข้าสิ อึกๆอักๆอยู่ได้"
"เฮียกุ่ยหายไปไหนไม่รู้"
"ห๊า ! ว่าไงนะ"
หงส์กับหมวยต่างตกใจไม่แพ้กัน !
หลงจับตาดูเกาและสมุนซาเป็นพิเศษ ไม่ค่อยไว้วางใจ กลัวว่าจะทำอะไรไช้
เขาเห็นซาลุกออกไปด้วยท่าทางมีพิรุธ หลงรีบตามซาออกไปยังมุมลับตา สมุนซามารายงานซา หลงแอบซุ่มดักฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง
"เรียบร้อยมั้ย"
"ตอนนี้อั๊วะจับไอ้พระเอกงิ้วนั่นไว้ที่โกดังริมน้ำ เฮียจะให้จัดการกับมันยังไง"
"จะเก็บมันไว้ทำไม ตะวันตรงหัวเมื่อไหร่ ลื้อฆ่ามันได้เลย"
"ครับเฮีย"
ซายิ้มเหี้ยมเกรียม
หลงแอบฟังอยู่ รู้แล้วว่ากุ่ยถูกจับตัวไป
เมฆินทร์ก้าวลงมาจากรถ ดูน่าเกรงขามสมเป็นนักการเมืองใหญ่ สุงกับเกาต่างเข้ามาต้อนรับเมฆินทร์พร้อมกัน
เมฆินทร์ยิ้มแย้มเหมือนผู้มีบารมีเปี่ยมด้วยเมตตา แตกต่างจากตอนที่อยู่กับเกาตามลำพังสิ้นเชิง
"ว่าไงเถ้าแก่สุง ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีเหรอ"
"กระผมอยู่ดีมีสุขตามอัตภาพครับท่าน"
"ได้ยินว่างิ้วแต้จิ๋วจะประลองกับงิ้วปักกิ่ง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็น ฉันเลยต้องมาดูสักหน่อย"
"ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับท่าน"
"การประลองครั้งนี้ร่ำลือไปทั่วทั้งเยาวราช... ดีเหมือนกัน นานๆจะได้เห็นงิ้วอันดับหนึ่ง 2 คณะอวดฝีไม้ลายมือประชันกันเสียที"
สุงกับเกาต่างจ้องกันตาไม่กะพริบ เกายิ้มแบบมีเลศนัย รู้ว่ายังไงก็ชนะแน่นอน
"เชิญท่านด้านในดีกว่าครับ"
เถ้าแก่สุงผายมือนำเมฆินทร์ไป
เมฆินทร์สบตากับเกา เกายิ้มนิดๆ พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างเรียบร้อย
หงส์หน้าเครียด เดินพล่านเป็นเสือติดจั่น อยู่ที่หลังเวที
"ใกล้จะได้เวลาประลองแล้วยังจะไปไหนอีกนะ"
"หรือว่า... เฮียกุ่ยจะหนีไปแล้ว" หวังว่า
"หนี"
"อากุ่ยหนีไปไหน"
หลงมาที่หลังเวทีงิ้วได้ยินเรื่องกุ่ยหนีการประลองพอดี
สุงหน้าเครียดเมื่อรู้ว่ากุ่ยหนีไปแล้ว
"คนเห็นแก่ตัว ! หนีเอาตัวรอดคนเดียว ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง ! จากนี้ไปไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน ผีไม่ต้องเผา เงาไม่ต้องเหยียบกันอีกเลยชาตินี้" หมวยบอก
"ตอนนี้คนแห่มาดูแน่นไปหมด ทำยังไงดีล่ะครับเถ้าแก่" หวังบอก
"อั๊วจะออกไปยอมแพ้เสี่ยเกา" สุงบอก
หมวย / หวังเรียก "เถ้าแก่"
สุงจะออกจากห้องไปยอมแพ้ แต่หงส์ขยับขวางสุงไว้ ไม่ยอมให้ออกจากห้อง
"ไม่ได้นะคะ"
"หลีกไป"
"หงส์ไม่นึกเลยว่าอาป๊าจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ อาป๊าลงทุนลงแรงมาทั้งชีวิตเพื่อก่อตั้งคณะเฟิ่งหวงขึ้นมา อยู่ๆจะถอดใจแบบนี้ไม่ได้"
"แล้วลื้อจะให้อั๊วะทำยังไง ห๊า !"
"หงส์จะไม่ยอมให้อาป๊าออกไปยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันสู้เด็ดขาด ดวงวิญญาณของเฮียฉางเองก็คงไม่ยอมเหมือนกัน "
หงส์กับสุงจ้องกันตาเขม็ง อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศตึงเครียด เป็นครั้งแรกที่หงส์ไม่ยอมลงให้สุง ในท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด หลงเข้ามาขัดจังหวะ
"ลื้อมีอะไร"
"อั๊วจะไปตามอากุ่ยกลับมาให้เอง"
"นายจะไปตามได้ยังไง เฮียกุ่ยไปไหนก็ไม่รู้"
"แต่อั๊ว"
ทุกคนต่างอึ้งว่าหลงรู้ได้ยังไง
สุงเอ่ยกับหลงที่ด้านข้างโรงงิ้ว
"ลำบากลื้อแล้ว... พาตัวอากุ่ยกลับมาให้ได้ก่อนการประลองเริ่มนะ อาหลง"
"อั๊วจะพยายาม"
"อาหวัง ! ลื้อไปกับอาหลงด้วย"
หวังไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
"ครับ เถ้าแก่"
หงส์มองหลงอย่างฝากความหวัง หลงมองกลับจะพยายามเต็มที่ ส่งภาษาสายตากันโดยไม่ต้องพูด
"อาหมวย ลื้อออกไปป่วงเซียงขัดตาทัพก่อนไป"
"ค่ะ...ค่ะ"
หมวยรีบวิ่งไปหลังเวทีงิ้วเพื่อเตรียมตัวรำป่วงเซียงเบิกโรงฆ่าเวลา
"อาป๊า ถ้าอากุ่ยกลับมาไม่ทันล่ะคะ "
สุงนิ่งไม่ตอบ แววตาหม่นเศร้าลงจนเห็นได้ชัด
ซื่อเหนียงตามมาจนถึงสะพานปลา ก่อนลักลอบเข้าไปในโกดัง ซื่อเหนียงเห็นลูกชายถูกมือมัดห้อยอยู่ เนื้อตัวฟกช้ำไปหมดเพราะถูกซ้อม
"อาซ้อ " กุ่ยเรียก
"อากุ่ย ! แม่มาช่วยแล้วลูก"
ซื่อเหนียงรีบเข้าไปแก้มัดให้ลูก หิ้วปีกกุ่ยออกมาจากโกดัง
"อาซ้อมาที่นี่ได้ยังไง"
"อย่าเพิ่งถาม รีบออกไปจากที่นี่กันก่อน ไปลูก"
กุ่ยซาบซึ้งใจที่แม่อุตส่าห์เสี่ยงตายมาช่วย ขณะที่กำลังจะพ้นจากประตูโกดัง เสียงปืนนัดหนึ่งดังเปรี้ยงขึ้น ! ซื่อเหนียงทรุดฮวบลง ถูกยิงถากที่สีข้าง เลือดแดงฉาน ต่อหน้าต่อตากุ่ย
"อาซ้อ"
สมุนซาจะยิงซ้ำ แต่หลงยิงที่มือสมุนซาจนปืนกระเด็นตกที่พื้น
"อาหลง ! อาหวัง"
พวกสมุนวิ่งกรูกันออกมาจากภายในโกดังอีก ยิงกันสนั่นหวั่นไหว
หลง หวัง กุ่ย ซื่อเหนียงหลบอยู่หลังลังไม้ขนาดใหญ่
"อากุ่ย รีบพาอาซ้อหนีไปก่อน"
"แล้วลื้อล่ะ"
"ไม่ต้องห่วง รีบไปซะ อั๊วจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง"
หลงวางแผนกับหวัง
"อาหวัง ! ลื้อหาทางล่อพวกมันไปทางโน้น ส่วนอั๊วจะล่อพวกมันไปทางนั้น"
หวังพยักหน้า แล้ววิ่งออกไปล่อพวกลิ่วล่อ
"ไอ้พวกพันธุ์ไม่ดี ทางนี้" หวังว่า
ลิ่วล้อโพล่ง "เฮ้ย ! นั่น "
พวกลิ่วล้อวิ่งกรูตามไปจับตัวหวัง หวังวิ่งไป หลงชักปืนคู่ใจออกมายิง สู้กับสมุนซาที่ยิงมาราวกับห่าฝนอย่างเท่ กุ่ยอาศัยช่วงชุลมุนรีบเอาซื่อเหนียงที่เลือดไหลไม่หยุด ขึ้นขี่หลัง แล้ววิ่งหนีออกไปจากโกดังทันที
หมวยป่วงเซียงรำเบิกโรงชุดนางฟ้าส่งบุตร (เซียนจี้ซ่งจื่อ) บนเวที ด้านหน้าเวที เมฆินทร์นั่งเป็นประธาน ฝั่งขวาเป็นสุง ฝั่งซ้ายเป็นเกา เต็กกับตี๋เล็กนั่งแถวหลัง
สายตาตี๋เล็ก เห็นสุงคุยกับเมฆินทร์ด้วยท่าทางพินอบพิเทา จึงค่อยๆกระซิบถามเต็ก
"อาป๊า ไอ้แก่นั่นเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ขนาดอาแปะสุงยังต้องเกรงใจ"
เต็กรีบตบปากตี๋เล็ก มองซ้ายมองขวากลัวว่าใครจะได้ยินเข้า
"ผีเจาะปากหรือไง ! นั่นท่านเมฆินทร์เชียวนะโว้ย"
"เนี่ยนะเหรอ...ท่านเมฆินทร์ อั๊วเคยเห็นแต่รูปในหนังสือพิมพ์"
"เออสิวะ ! จำไว้ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ลื้ออย่าหาเหาใส่หัวไปมีเรื่องกับท่านหรือคนของท่านเป็นอันขาด ไม่งั้นอยู่ไม่เป็นสุขแน่"
ตี๋เล็กมองอย่างตะลึงเมื่อเห็นนักการเมืองใหญ่ในระยะประชิดตรงหน้า
หงส์ร้อนรน ดูนาฬิกาใกล้ได้เวลาประลองเข้ามาทุกที เสียงดนตรีงิ้วดังเข้ามา หยกมณีเดินนวยนาดเข้ามาหาหงส์ที่หลังเวทีงิ้ว กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจ้องหน้าหงส์
"จะกี่ปีกี่ปี... ก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ"
" โรงงิ้วเฟิ่งหวงเปิดมา 30 กว่าปี คงไม่หรูหราเหมือนภัตตาคารที่เจ้ทำงานอยู่หรอก"
"เปล่า... ฉันไม่ได้พูดถึงโรงงิ้ว ฉันหมายถึงเธอต่างหาก"
หงส์ไม่เข้าใจว่าหยกต้องการจะบอกอะไรกันแน่
หยกมณีหัวเราะน่าหมั่นไส้
"จะกี่ปีกี่ปีเธอก็ยังเป็นอาหงส์คนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ"
หยกมณีเล่าเรื่องในอดีตทบทวนให้หงส์ฟัง
โรงงิ้วเฟิ่งหวง ในมุมร่มรื่น หงส์วัย 10 ขวบนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ หยกมณีวัย 12 ปีเดินเข้ามา
"ถูกเถ้าแก่สุงตีมาอีกแล้วล่ะสิ"
หงส์ปาดน้ำตา พยักหน้า
"อาป๊าห้ามไม่ให้หงส์หัดเล่นงิ้วกับเฮียฉาง บอกว่าลูกผู้หญิงเล่นงิ้วไม่มีวันเจริญ แต่ทำไมทีเจ้หยก อาป๊าถึงไม่ห้าม หนำซ้ำยังสอนให้ร้องเพลงงิ้วอีกต่างหาก แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย"
หยกมณีหัวเราะ
"เถ้าแก่สุงอาจไม่เห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงน่ะสิ" หยกมณีเสียงเศร้าลง "หรือไม่... ก็เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นลูกเถ้าแก่สุงเหมือนกับเธอ"
"เป็นลูกอาป๊าแล้วเล่นงิ้วไม่ได้เหรอ"
"เด็กโง่เอ๊ย... เป็นนางเอกงิ้วดีตรงไหน ได้เงินแทบไม่พอยาไส้ สู้เป็นนักร้องตามห้องอาหารหรูๆไม่ได้ รวยกว่ากันตั้งเยอะ"
"อาแปะจางบอกว่าผู้หญิงทำงานในที่แบบนั้นไม่ดี"
"เอาอะไรมาวัดล่ะว่าอย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี"
หงส์ส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ใหญ่ว่ายังไงก็ว่าอย่างงั้น ตามประสาเด็กว่านอนสอนง่าย
" เธอคอยดูก็แล้วกัน สักวันฉันจะทำตามความฝัน เป็นนักร้องให้ได้"
หยกมณี แววตาเป็นประกาย มุ่งมั่น เปี่ยมด้วยความฝัน
หงส์มองหยกมณีอย่างชื่นชม
"ในที่สุดเจ้ก็ตามหาความฝันตอนเด็กๆจนเจอ"
"ใช่ ! ถึงใครๆจะประณามหาว่าฉันลืมบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เถ้าแก่สุงเคยชุบเลี้ยงฉันมาก็เถอะ แต่อย่างน้อยฉันก็ทำตามความฝันได้เป็นนักร้องอย่างที่ฉันอยากเป็นจนได้"
"เจ้โชคดีที่ฝันเป็นจริง ผิดกับหงส์ที่ฝันโง่ๆ ไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้"
"โลกนี้ไม่มีฝันโง่ๆหรอกนะ มีแต่ฝันที่ทำหรือไม่ทำเท่านั้น จะกลัวทำไม อย่างมากก็แค่ล้ม ไปไม่ถึงฝันยังดีกว่าตายไปพร้อมกับความฝันทั้งๆที่ยังไม่ได้ลอง"
คำพูดของหยกมณีก็ทำให้หงส์อดคิดตามไม่ได้
"จุดแบ่งกั้นระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวเป็นแค่เส้นบาง ๆ เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเอาด้านไหน....แล้วเธอล่ะ ลองทำตามฝันโง่ๆของตัวเองแล้วหรือยัง"
คำพูดหยกมณีพูดแทงใจดำอย่างจัง
"อย่าให้ความฝันของเธอต้องสูญสลาย เหมือนเม็ดถั่วที่เหี่ยวแห้งตายไปคาฝักของมันเอง.... เชื่อฉันสิ ราคาของความฝันโง่ๆ นั้นคุ้มค่าเสมอ... ไปตามความฝันของตัวเองเถอะ ฟ้าลิขิตเอาไว้แล้วให้เธอเป็นตัวแทนของอาฉาง"
หงส์มองไปยังชุดของอาฉางที่แขวนไว้ ตัดสินใจอะไรบางอย่าง
หมวยรำป่วงเซียงถึงฉากที่นางฟ้านำบุตรมาส่งให้จอหงวนตั้งย้งก่อนจะกลับสวรรค์
เมฆินทร์ถาม
"ทำไมป่วงเซียงชุดนี้ถึงได้เศร้านักล่ะ"
สุงอธิบาย
"เซียนจี้ซ่งจื่อหรือนางฟ้าส่งบุตร เป็นเรื่องของชายยากไร้ชื่อตั้งย้ง ด้วยความกตัญญูจึงยอมขายตัวเป็นทาส เพื่อนำเงินมาฝังศพบิดา นางฟ้าองค์หนึ่งเห็นเข้าก็สงสาร ยอมเป็นภรรยาเพื่อช่วยให้พ้นจากความยากลำบาก ต่อมาตั้งย้งสอบได้จอหงวน นางฟ้าจึงนำบุตรมาส่งคืนก่อนกลับสู่สวรรค์ครับท่าน"
เมฆินทร์พยักหน้า พอรู้เรื่องราว
"อ้อ... อย่างงี้นี่เอง"
สุงคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ตนยังหนุ่มกับเมีย
สุงยังเป็นจับกังรับจ้างแบกของอยู่ในโรงงิ้วพบกับกิมลั้งซึ่งเป็นนางเอกงิ้ว เล่นเป็นนางฟ้า ครั้งแรก สุงตกหลุมรักกิมลั้งทันทีตั้งแต่แรกพบ สอดคล้องกับงิ้วตอนที่ตั้งย้งพบนางฟ้าจำแลงมา
สุงเหยียบหลังเพื่อนๆ ปีนขึ้นไปบนหลังคาโรงงิ้วแอบดูกิมลั้งซ้อมร้องงิ้ว เถ้าแก่เจ้าของโรงงิ้วมาเห็นเข้า ไล่ตะเพิดสุง จนตกจากหลังคา เพื่อนๆทั้ง 4 หนีกันอุตลุด กิมลั้งขำสุง เถ้าแก่เจ้าของโรงงิ้วดุกิมลั้ง บอกให้ตั้งใจซ้อมต่อไป
สุงกับกิมลั้งออกมาเดินเล่นด้วยกัน พัฒนาความสัมพันธ์เป็น จับมือกัน... กอดกัน...รักกันมากขึ้น สุงคุกเข่าขอกิมลั้งแต่งงาน กิมลั้งเอียงอายก่อนที่จะพยักช้า ตกลง เพื่อนๆทั้ง 4 ซึ่งแอบดูอยู่ดีใจ ไชโยที่สุงสมหวังในความรัก
สุงขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งหงส์ดำ มีอำนาจบารมี อุปมาดั่งตอนที่ตั้งย้งสอบจอหงวนได้ กิมลั้งอุ้มอาฉาง อายุ 2 ปี ขณะเดียวกันก็กำลังตั้งท้องหงส์อ่อนๆ สุงมองด้วยความยินดีอยู่ใกล้ๆ เข้าไปอุ้มฉางเห่อลูกชาย และประคบประหงมกิมลั้งกับลูกในท้องด้วยความทะนุถนอม
กิมลั้งตกเลือดตายหลังคลอดหงส์ สุงอุ้มหงส์ขึ้นมา เสมือนนางฟ้าส่งลูกให้ก่อนกลับสวรรค์
สุงมองทารกหงส์ด้วยความเกลียดชังที่เป็นตัวซวย
สุงใจลอยคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนซึ่งใกล้เคียงกับป่วงเซียงตอนนางฟ้าส่งบุตรที่กำลังเล่นบนเวที เกาเห็นสุงใจลอย ก็กล่าวกระทบกระเทียบ ขัดจังหวะขึ้น
"ป่วงเซียงตอนนี้จับใจนัก ให้แง่คิดว่ามีลูกรักเป็นลาภให้ปลาบปลื้ม ท่าทางเถ้าแก่สุงคงจะคิดถึงลูกชายที่เพิ่งตายเลยซาบซึ้งกินใจเป็นพิเศษ"
"มีแต่คนหยาบกระด้างเท่านั้นที่มองไม่เห็นความงามของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า"
เกาเขม่นตามองสุง ไม่พอใจที่ถูกสุงแอบด่า
"จะว่าไปก็คิดถึงอาฉางเหมือนกันนะ น่าเสียดาย... ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ อนาคตยังอีกไกล ไม่น่าเลย" เมฆินทร์ว่า
"นั่นสิครับท่าน ไม่อย่างนั้น คนที่ประลองในวันนี้คงเป็นอาฉาง"
สุงสะเทือนใจเมื่อถูกเมฆินทร์กับเกาพูดรื้อฟื้นถึงฉาง
เมฆินทร์บอก
"คนที่แพ้การประลองต้องถึงกับหักปลายทวนเลยเชียวรึ"
"ครับท่าน... ผู้แพ้ต้องหันหลังให้กับวงการงิ้ว ไม่ก้าวขึ้นเวที และจะเปิดการแสดงที่
ไหนไม่ได้อีกเลย" เกาบอก
เมฆินทร์พยักหน้า
"แล้วนี่เถ้าแก่สุงส่งใครมาประลองกับงิ้วของอาเกาล่ะ"
สุงอึกอักไม่ค่อยจะกล้าตอบว่าเป็นอากุ่ย
"ได้ยินว่าเคยเล่นเป็นตัวตลกในคณะเฟิ่งหวงมาก่อน... ใช่มั้ย เถ้าแก่" เกาว่า
"นี่ถ้าเจ้าเด็กคนนั้นล้มปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งของอาเกาได้ คงจะเลื่อนลั่นไปวงการเลยทีเดียว" เมฆินทร์หัวเราะ
"แต่กระผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องปาฎิหาริย์สักเท่าไหร่ครับท่าน"
เกายิ้มเย้ยๆ หวังจะยั่วโมโหสุง สุงได้แต่ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ในใจ
บนเวที หมวยรำป่วงเซียงเบิกโรงจบพอดี โค้งคารวะผู้ชม ก่อนกลับเข้าไปหลังเวทีงิ้ว
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั้งโรงงิ้ว ทุกคนในโรงงิ้วต่างรอดูการประลองงิ้วด้วยความตื่นเต้น สุงสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเห็นว่ากุ่ยยังไม่กลับมา
หลังเวที หมวยร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก อากุ่ยยังไม่มาสักที
"ใกล้ได้เวลาแล้ว อาหลงยังไม่พาเฮียกุ่ยกลับมาเลย เราจะทำยังไงกันดีล่ะเจ้"
หงส์สิ้นหวัง
"อากุ่ยกลับมาไม่ทันแล้วล่ะ"
"มาไม่ทัน เราก็แพ้น่ะสิ โอ๊ย... คณะเฟิ่งหวงคงต้องสิ้นชื่อก็คราวนี้"
"บางครั้งเราต้องไปตามดวงบ้าง... ถ้ายังพอมีทาง เราก็ต้องเดินต่อ เหมือนตอนนี้ เราต้องเดินตามพรหมลิขิต ละทิ้งความกลัว เอาชนะความคิดของตัวเอง" หงส์บอก
"เจ้หงส์หมายความว่ายังไง หมวยงงไปหมดแล้ว"
"ไม่มีทางเลือกแล้ว"
หงส์มองไปยังชุดฉางใส่ในวันที่ถูกยิง ค่อยๆหยิบหมวกขุนพลของอาฉางขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา
หมวยตาโต พอรู้แล้วว่าหงส์จะทำอะไรก็ตกใจ
"เฮียฉาง ช่วยหงส์ด้วยนะ"
หงส์กอดหมวกขุนพลฉางไว้แน่น ด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ ตัดสินใจลงประลองงิ้ว
เลือดมังกร : หงส์ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ทุกคนต่างชะเง้อชะแง้ เริ่มแปลกใจ ทำไมงิ้วยังไม่เริ่มการประลองสักที เริ่มบ่นกันอึง
เกายิ้มเจ้าเล่ห์นั่งอย่างใจเย็น รอแค่สุงเอ่ยปากยอมแพ้เท่านั้น เมฆินทร์มองนาฬิกาพกแล้วหันไปบอกสุง น้ำเสียงตำหนิ
"ทำไมยังไม่เริ่มประลองกันสักที นี่ก็เลยเวลามาตั้งนานแล้ว"
"เด็กของคณะเฟิ่งหวงคงกำลังทำใจอยู่ หรือเถ้าแก่จะสละสิทธิ์ไม่ลงแข่งก็ได้นะ" เกาบอก
"ท่านครับ คือว่า..."
ทันใดนั้น เสียงรัวกลองงิ้วก็ดังอึกทึกขึ้นเป็นสัญญาณว่าการประลองงิ้วเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เสียงคนเฮลั่น เมื่อเห็นงิ้วจากปักกิ่งของเสี่ยเกาตีลังกาออกมาที่หน้าเวที
หงส์โรยตัวลงมาจากผ้าอย่างสง่างามดุจหงส์โบยบิน เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่แพ้กัน
หงส์ดัดขนนกยาวเฟื้อยที่อยู่บนหัวให้โค้งงอแล้วใช้ปากคาบปลายขนนกข้างหนึ่ง เท่มาก
สุง เต็ก ตี๋เล็ก และทุกคนต่างตาค้าง เมื่อรู้ว่าคนที่ออกมาคือหงส์ปลอมเป็นผู้ชาย
"อั๊ยย่ะ ! นั่นมัน.... !!! " เต็กขยี้ตา "อาตี๋เล็ก ! อั๊วะตาฝาดหรือเปล่าวะ"
หยกมณีเดินลอยหน้ากลับมานั่งข้างๆตี๋เล็กที่เดิม
"อาป๊าตาไม่ฝาดหรอกค่ะ นั่นล่ะ อาหงส์ตัวจริง"
ตี๋เล็กหันไปมองชัดๆอักครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"น้องหงส์จริงๆด้วย" ตี๋เล็กทึ่ง
เกากับเมฆินทร์แทบไม่เชื่อสายตา ว่าคณะเฟิ่งหวงจะหาคนลงประลองแทนกุ่ยได้ สุงตาค้าง คาดไม่ถึงว่าหงส์จะกล้าประลองครั้งนี้
กู่ยหอบแฮ่กๆ พาซื่อเหนียงมาพักที่ใกล้บ่อน้ำบาดาล ซื่อเหนียงหน้าซีดเผือดเพราะเสียเลือดไปมาก หายใจรวยระริน
"อาซ้อ แข็งใจหน่อย... เราต้องรีบไปต่อ ก่อนที่พวกมันจะตามมาทัน"
กุ่ยจะเอาซื่อเหนียงขึ้นหลังเพื่อจะหนีต่อ แต่ซื่อเหนียงส่ายหน้า ห้ามไว้
"ทิ้งแม่ไว้ตรงนี้แหละ อย่าให้แม่เป็นตัวถ่วงอีกเลย"
"ไม่ ! อั๊วจะไม่มีวันทิ้งอาซ้อเด็ดขาด"
"อากุ่ย...ที่แล้วมา แม่ผิดกับลูกนัก... ทั้งๆที่แม่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกอย่างแม่คนอื่นๆ แต่กลับเป็นภาระให้ลูกแทน... แม่ช่างเห็นแก่ตัวจริง"
"ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เราไปจากที่นี่กันเถอะ"
"เห็นแก่คนที่กำลังใกล้ตาย ช่วยเรียกฉันว่าแม่สักคำได้ไหม"
กุ่ยยังมีทิฐิอยู่ น้ำตาหยด ปากสั่น แต่ก็ไม่ยอมปริปากเรียกซื่อเหนียงว่าแม่
ซื่อเหนียงน้ำตาร่วง
"แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ ยกโทษให้แม่ด้วย"
พวกลิ่วล้อตามมาทันพอดี
"เฮ้ย ! มันอยู่นั่น"
"อากุ่ย ! หนีไปลูก ! หนีไป"
"ไม่ ! เราต้องไปด้วยกัน"
พวกลิ่วล้อวิ่งใกล้เข้ามาทุกที ซื่อเหนียงไม่อยากเป็นตัวถ่วงอีกต่อไป ตัดสินใจกระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตัวเองทันที
กุ่ยตาเหลือก เกาะขอบบ่อ ไขว่คว้าร่างซื่อเหนียง แต่ไม่ทันแล้ว
"แม่"
ร่างซื่อเหนียงร่วงลงไปในบ่อน้ำบาดาลที่มืดมิด ใบหน้าของเธอยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ ที่ได้ยินคำว่าแม่จากกุ่ยเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างซื่อเหนียงหายไปกับความมืดก้นบ่อ ได้ยินเพียงแต่เสียงน้ำแตกกระจายซ่าก่อนเงียบหายไป
กุ่ยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "แม่"
กุ่ยไม่ยอมหนีไปไหน พวกลิ่วล้อวิ่งกรูเข้ามาจับตัวกุ่ยเอาไว้ได้ที่บ่อน้ำบาดาลนั่นเอง
ผู้ชมในโรงงิ้วต่างรอชมการประลองด้วยความตื่นเต้น หงส์กับปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งเริ่มด้วยลีลารำทวนอันอ่อนช้อย คล้ายเป็นการไหว้ครูก่อนเริ่มการประลอง
หงส์ร่ายรำดูเชิงอยู่ ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งเปิดฉากรุกก่อน แทงทวนเข้ามา หงส์หลบได้อย่างหวุดหวิด
ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งเปิดเกมรุกดุเดือด หงส์เป็นฝ่ายตั้งรับ ถอยแทบไม่เป็นท่า
ตี๋เล็กกระซิบกับเต็ก
"ข้ามรุ่นแบบนี้ น้องหงส์จะสู้เค้าได้เหรอ อาป๊า"
"พูดอะไรให้เป็นมงคลหน่อยสิคะ"
"งานนี้ถ้าไม่ชนะก็แพ้ล่ะวะ"
ตี๋เล็กมองเต็กแล้วส่ายหัว ไม่ได้คำตอบอะไรเลย
บนเวที หงส์ตกเป็นรองไม่สามารถสู้ลีลาพะบู๊ที่เข้มแข็งดุดันของฝ่ายตรงข้ามได้เลย หงส์เหลือบไปเห็นแปะจางยืนเป็นกำลังใจให้ข้างเวที พลันคิดถึงคำพูดของแปะจางแล่นเข้ามาในหัว
"อ่อนสยบแข็งจะบังเกิดได้ ย่อมต้องผ่านความพอดีแห่งสมดุลเป็นเบื้องแรก ไม่ใช่มุ่งสู่ความอ่อนแล้วจะเอาชนะความแข็ง แต่ต้องเข้าใจทั้งสองด้านให้ถ่องแท้เสียก่อน อ่อนโยนผสมแข็งกร้าว เปิดเผยชดเชยลอบเร้น เสริมส่งกันและกัน"
หงส์ตั้งหลักใหม่ โหนผ้าขึ้นไปสู้ด้านบนด้วยลีลาอันอ่อนโยน เหมือนตอนหัดโยนรับเต้าหู้
ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่ง เกา และเมฆินทร์ต่างตะลึงงันในความพลิ้วไหวของหงส์ แปะจางยิ้ม รู้ทันทีว่าหงส์จะใช้วิชาอ่อนสยบแข็งเอาชนะปรมาจารย์งิ้วปักกิ่ง
เสียงคนดูปรบมือเฮลั่น เป็นการประลองงิ้วที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก
ทางด้านลิ่วล้อซาอัดกุ่ยจนสะบักสะบอม หน้าฟกช้ำ
นอนไร้เรี่ยวแรงบนพื้น กุ่ยร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งน้ำตา ทั้งเลือดไหลนอง จนแยกไม่ออก รู้สึกสะเทือนใจจนไม่เจ็บปวดบาดแผล
มุมลับตา หลงแอบดูอยู่หาทางจะช่วยกุ่ย
สมุนซาเหลือบเห็นหลงเข้า ควักปืนยิงใส่หลงทันที หลงตีลังหาหลบลูกกระสุนไปได้ ทั้งสองฝ่ายต่างยิงกันหูดับตับไหม้ พวกลิ่วล้อซาถูกหลงยิงตายเกลื่อนเป็นใบไม้ร่วง
หวังล่อพวกลิ่วล้อให้ตามมาถึงถนนหน้าสะพานปลา หวังวิ่งตัดหน้ารถตำรวจของชานนท์พุ่งเข้ามา เบรกเอี๊ยด กะทันหัน ชานนท์รีบเปิดประตูลงจากรถมาดูหวังที่นอนหน้าเหยเกบนพื้นถนน
"คุณ ! เป็นอะไรหรือเปล่า"
หวังดีใจที่เห็นตำรวจผ่านมาพอดี
มุมลับตา พวกลิ่วล้อแอบดูอยู่เห็นชานนท์กับตำรวจอีกนายกำลังคุยกับหวังอยู่ไกลๆ
ลิ่วล้อ 2 ถาม "ทำไงดีล่ะ ลูกพี่"
ลิ่วล้อ 1บอก "ก็เผ่นสิวะ ! จะรอให้พ่อมึงลากคอเข้าคุกหรือไง"
ลิ่วล้อเห็นท่าไม่ค่อยดี รีบเผ่นหนีเอาตัวรอดไปทันที
บนเวที หงส์กับปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งดุดัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งสวยงาม
แววตาหงส์กับปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งต่างจ้องตากันเขม็ง ไม่มีใครยอมใคร หงส์เหงื่อเม็ดโต ผุดขึ้นเต็มหน้า ลีลาปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งดุดัน ยากจะเอาชนะจริงๆ
หงส์คิดถึงคำพูดของอากุ่ยที่เคยพูดเอาไว้
"ต่อให้ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งลีลาพะบู๊เข้มแข็งดุดันขนาดไหนก็ต้องมีจุดอ่อน...เพียงแต่ว่ามันจะถูกซ่อนเร้นหรือเผยให้เห็น เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน... สำคัญก็ตรงที่อั๊วจะหามันพบหรือเปล่าเท่านั้น"
หงส์กวาดสายตามองปรมาจารย์งิ้วปักกิ่ง แล้วครุ่นคิด... จุดอ่อนของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่ ?
สมุนซาเอาปืนจ่อหัวกุ่ย
"ได้เวลาส่งแกไปลงนรกแล้ว"
สมุนซาเตรียมจะเหนี่ยวไก ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้น ลิ่วล้อของๆสมุนซาตายคาที่ หลงเปิดเกมบุก ยิงต่อสู้กับสมุนซาและพวกลิ่วล้ออย่างดุเดือด หลงเข้าไปถึงตัวกุ่ย แต่ปรากฏว่ากุ่ยสลบเหมือดไปแล้ว สมุนซายิงใส่ หลงหลบได้ทัน ลากอากุ่ยไปหลบที่มุมหนึ่ง
หลงจะยิงสมุนซา แต่ปรากฏว่ากระสุนหมดพอดี สมุนซายิ้มเป็นต่อ ย่างสามขุมเข้าไปหาหลง
ทันใดนั้น ชานนท์กับตำรวจก็เข้ามาทันเวลาพอดี
"หยุด ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธลง"
เหล่าสมุนซาพอเห็นตำรวจมาก็ยิงต่อสู้ แล้วรีบหลบหนีไป
"เฮ้ย ! ถอย"
ชานนท์กับตำรวจไล่ตามสมุนซาไป หวังรีบเข้าไปดูอาการกุ่ย เห็นใบหน้าฟกช้ำดำเขียว บอบช้ำทั้งกายและใจ
"เฮียกุ่ย"
กุ่ยลืมตาขึ้นมาดู เห็นหน้าอาหวังกับหลงลางเลือน ก่อนปิดเปลือกตาสลบไปอีกรอบ
ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งเอาปลายทวนจ่อที่กระถางไฟที่มุมเวที แล้วกระดกน้ำมันพ่นจากปากใส่ทวน
หงส์ตีลังกาหลบลูกไฟจากปลายทวนอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านไปโดยรอบ
คนดูต่างตะลึงงันตกใจไม่เคยเห็นมาก่อน
เมฆินทร์พอใจที่งิ้วของเกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เกายิ้มอย่างเป็นต่อ ในขณะที่สุง เต็กหน้าซีดเผือด
หมวยซึ่งแอบดูอยู่ข้างเวทีกับแปะจาง
"นี่จะเอากันให้ถึงตายเลยหรือไง ทำยังไงดีล่ะคะอาแปะ"
แปะจางสีหน้าเครียด ยืนลุ้นเอาใจช่วยหงส์ต่อไป
หงส์ห้อยผ้าเป็นฝ่ายหนีทวนไฟที่พุ่งเป็นเปลวอย่างน่าหวาดเสียว ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งย่ามใจเป็นฝ่ายได้เปรียบ กระดกขวดน้ำมันพ่นไฟไล่ตามไปติดๆ หงส์พุ่งปลายทวน งิ้วปักกิ่งหลบ ขวดน้ำมันหกที่พื้นเวที ไม่อาจพ่นไฟได้อีก
หงส์เห็นที่ข้อเท้าด้านซ้ายของปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งมีผ้าพันอยู่ เนื่องจากข้อเท้าบาดเจ็บ
ปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งตาเบิกโพลง รู้ทันทีว่าหงส์รู้จุดอ่อนของตัวเองแล้ว
หงส์เล่นงานที่ข้อเท้าของปรมาจารย์งิ้ว ทำให้หงส์เป็นฝ่ายรุกขึ้นมาทันที อีกฝ่ายชักข้อเท้าหลบการโจมตี
หงส์ได้โอกาส หวดทวนขึ้นสุดแขน หมายจะฟาดลงไปที่ข้อเท้าเพื่อพิชิตคู่ต่อสู้
คำพูดของซินแสง้วงดังก้องขึ้นในหัว
"ถ้าชนะแล้วก่อทุกข์ ทำลายสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ชัยชนะนั้นจะมีประโยชน์อะไร"
หงส์หยุดปลายทวนจ่อที่ข้อเท้าของปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งที่ล้มกะเผลกไม่เป็นท่า หงส์คุกเข่าก้มลงค้อมศีรษะคารวะปรมาจารย์งิ้วด้วยความนอบน้อม
"ขอบคุณที่สอนสั่ง"
"อั๊วแพ้แล้ว"
ปรมาจารย์งิ้วหักปลายทวนทิ้ง ยิ้มให้หงส์อย่างนับถือน้ำใจ ก่อนหันหลังเข้าเวทีไป
ตี๋เล็กผุดลุกขึ้น ตบมือให้เป็นคนแรก ตะโกนลั่น
"น้องหงส์ชนะแล้ว !!! งิ้วคณะเฟิ่งหวงชนะแล้ว"
คนดูทุกคนต่างลุกขึ้นปรบมือเกรียวกราวเฮลั่นโรงงิ้ว เการู้สึกเสียหน้าไม่น้อย รู้ดีว่าเมฆินทร์ไม่พอใจมาก แต่ข่มอารมณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปรบมือให้
"งิ้วคณะเฟิ่งหวงช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ... ขอแสดงความยินดีด้วยนะ เถ้าแก่" เมฆินทร์ว่า
สุงแววตามีความสุขเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฉางตาย หงส์แม้จะปลาบปลื้มในชัยชนะ แต่ยังไม่เท่าหวั่นกลัวว่า สุงจะโกรธที่ฝ่าฝืนคำสั่งเล่นงิ้ว
เวลาต่อมา หงส์ร้อนลนเข้ามาในห้องสุงด้วยสีหน้าสำนึกผิดที่ขัดคำสั่งสุงเล่นงิ้วแทนกุ่ย เธอยังไม่ได้ล้างหน้าอยู่ในชุดงิ้ว
"ทรงเครื่องออกมาเดินเพ่นพ่านนอกเวทีแบบนี้ไม่ดี ไม่มีใครสั่งสอนหรือไง"
"หงส์ผิดไปแล้วค่ะ อาป๊า หงส์ขอโทษ"
"อั๊วเบื่อคำว่าขอโทษของลื้อเต็มทน ลื้อมันคนหัวแข็ง ดื้อรั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าผิดก็ยังจะทำ อั๊วควรจะทำยังไงกับลื้อดี"
"หงส์อกตัญญูนัก ทำให้อาป๊าต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าอาป๊าจะลงโทษยังไง หงส์ก็ยอมรับทุกอย่าง"
สุงนิ่งไม่ตอบมองไปยังป้ายวิญญาณฉาง
"ไม่มีใครเล่นบทหยางจงเป่าได้ดีเท่าอาฉาง"
ฝาผนังห้องสุงเต็มไปด้วยกรอบรูปอาฉางเล่นงิ้วลีลาต่างๆเต็มไปหมด สิ้นสุดที่รูปคู่สุงกับฉาง
"ใช่ค่ะ การแสดงของเฮียฉางไม่ว่าจะเล่นสักกี่ครั้งก็ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ"
"ถ้าอาฉางยังอยู่ก็คงจะดี... อั๊วเคยบอกกับอาฉาง ต่อไปลื้อจะต้องโด่งดังแน่ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จงตั้งใจอนุรักษ์งิ้วแต้จิ๋วของเราให้ดี"
"อั๊วสู้เพื่อสิ่งนี้มาทั้งชีวิต แต่พออาฉางจากไป ทุกอย่างก็พังหมด"
สุงหัวเราะเศร้าๆ ดูน่าสงสาร ก่อนพูดกับหงส์
"ลื้อออกไปได้แล้ว อั๊วอยากอยู่คนเดียว"
"ค่ะ อาป๊า"
หงส์กำลังจะออกจากห้องสุง แต่ก็ต้องชะงัก เพราะสุงเรียกเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยว ! เล่นงิ้วเสร็จให้รีบเปลี่ยนชุด ทรงเครื่องเดินออกมาสู่โลกแห่งความจริงแบบนี้ อาจกระทบต่อภาพพจน์ลื้อบนเวทีได้... ทีหลังอย่าทำอีก"
"คะ"
"ลื้อจะทำอะไรก็ทำเถอะ อั๊วไม่ห้ามอีกแล้ว"
หงส์ยิ้มร่าด้วยความดีใจ เข้าใจความหมายว่า สุงยอมอนุญาตให้เล่นงิ้วแล้ว
หงส์ออกมาจากห้องสุงด้วยความดีใจ ยิ้มร่า หมวย และคนงานในโรงงิ้วต่างรอแสดงความยินดีกับหงส์ ไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจ
"เจ้ทำได้แล้ว ! เราชนะแล้ว ! ไม่อยากเชื่อเลย"
"ขอบคุณทุกคนมาก"
หงส์มองทุกคนด้วยความซาบซึ้งที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมา บรรยากาศชื่นมื่น แปะจางเดินเข้ามา พยักหน้ารับรู้ ยิ้มใจดี ยินดีกับความสำเร็จของหงส์
มุมลับตา หยกมณียืนมองหงส์ด้วยความยินดี แต่ไม่ได้แสดงตัว
หยกมณีร้องเพลงจีนคลอเบาๆอย่างอารมณ์ดี ก่อนหันหลังเดินออกจากโรงงิ้วไป
สุงมองไปยังป้ายวิญญาณอาฉาง เห็นกรอบรูปฉางที่กำลังยิ้มอยู่ สุงคิดถึงคำพูดของซินแสง้วงที่เคยทำนายไว้
"ทุกคนเกิดมาต่างต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นธรรมดา ทุกอย่างฟ้าดินได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้"
สุงคิดถึงความฝันที่เคยฝันถึงอาฉาง
"อาหงส์จะเป็นตัวแทนอั๊วเอง"
สุงยิ้มนิดๆกับกรอบรูปอาฉาง ปมในใจเรื่องหงส์เป็นตัวซวยถูกลบล้าง สุงยอมรับหงส์มากขึ้น
หงส์เปลี่ยนชุดงิ้วแล้ว พูดกับหมวกขุนพลของฉาง
"เฮียฉาง ขอบคุณมากนะ เพราะเฮียช่วยหงส์ หงส์ถึงทำได้ขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆ"
หงส์กอดหมวกขุนพล ยิ้มทั้งน้ำตา แล้วหวนคิดถึงความหลัง
ตอนที่ฉางแอบสอนหงส์เล่นงิ้ว แต่สุงเอาไม้ตี ลงโทษหงส์เมื่อรู้ว่าแอบเล่นงิ้ว ฉางมารับโทษด้วย
"อั๊วเป็นคนสอนงิ้วให้หงส์ ถ้าอาป๊าจะทำโทษหงส์ ก็ต้องลงโทษอั๊วด้วย"
ฉางคุกเข่าใกล้ๆหงส์ สุงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินไป
"หงส์ทำให้เฮียต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย"
"เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง อย่าว่าแต่เรื่องแค่นี้เลย มากกว่านี้เฮียก็ทำให้ได้"
หงส์คิดถึงฉางจับใจ ยิ้มทั้งน้ำตา ทั้งสุขและทุกข์ระคนกันจนแยกไม่ออก
เสียงหมวยดังล้งเล้งมาขัดจังหวะ หงส์หันไปมองด้วยความประหลาดใจ... เกิดอะไรขึ้น ?
หลงกับหวังหิ้วปีกกุ่ยในสภาพสะบักสะบอม สลบเหมือดนอนบนเตียงไม้ หงส์เปิดประตูเข้ามาห้องกุ่ยดูด้วยความเป็นห่วง
"ใครเป็นคนจับตัวอากุ่ย นายรู้หรือเปล่า"
"อั๊วไม่รู้ว่ามันเป็นพวกไหน แต่คงต้องการขัดขวางไม่ให้อากุ่ยลงประลองงิ้ววันนี้"
"เจ็บใจนัก ต้องเป็นแผนสกปรกของไอ้เสี่ยเกาแน่ๆ เลวจริงๆ"
"ตอนนี้คนที่จับตัวอากุ่ยไว้ ถูกจับตัวไปโรงพักหมดแล้ว ใครเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง อีกไม่นานก็คงได้รู้" หลงบอก
หงส์อยากรู้เหมือนกันว่า คนที่บงการเบื้องหลังจะใช่เสี่ยเกาจริงหรือไม่
ทันใดนั้นสุงก็เดินเข้ามาดูอาการกุ่ย เห็นคนของตนสะบักสะบอมก็เดือด แต่ระงับเอาไว้ในใจ
"ขอบใจลื้อมากนะ อาหลงที่ช่วยพาอากุ่ยกลับมา... ลื้อช่วยคนของอั๊วก็เท่ากับช่วยอั๊วด้วย ครั้งนี้แก๊งหงส์ดำติดหนี้บุญคุณลื้อ อั๊วจะถือว่าลื้อเป็นสมาชิกของที่นี่ด้วย"
มวยกับหงส์ต่างยินดีที่เถ้าแก่สุงไว้เนื้อเชื่อใจหลง
หลงเหลือบมองสุงก่อนหลบตา จะมาฆ่าสุงแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นช่วยคนของสุง
"แต่ก็น่าเสียดายที่อั๊วพลาดโอกาสจัดการไอ้คนเลว"
"ฟ้าดินคงไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลนานนักหรอก"
"อั๊วก็หวังเช่นนั้น"
หลงมองสุงด้วยแววตาคั่งแค้น
เมฆินทร์หัวเสียต่อว่าเกาที่เป็นฝ่ายแพ้การประลอง
"ไหนลื้อบอกว่า จัดการให้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นถอนตัวไปแล้วไง แล้วคนที่คณะเฟิ่งหวงส่งมาประลองงิ้ววันนี้มันเป็นใคร"
"ไอ้หนุ่มคนนั้น กระผมส่งคนไปจัดการเรียบร้อยแล้วครับท่าน แต่ไม่คิดว่าเถ้าแก่สุงจะกล้าส่งลูกสาวตัวเองลงประลองแทน"
"ลูกสาว นี่แพ้กระทั่งผู้หญิงงั้นเหรอ"
เกาได้แต่นิ่งเงียบ เสียหน้า พูดแก้ตัวไม่ออก เจ็บใจที่แพ้กระทั่งผู้หญิง
"รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ! แล้วไอ้พวกลิ่วล้อที่ถูกจับไป แกจะทำยังไง"
"เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระผมเองครับ"
"จะทำอะไรก็รีบๆทำเข้า อย่าให้สาวมาถึงฉันก็แล้วกัน"
"ครับท่าน"
เกาค้อมศีรษะรับคำสั่งเมฆินทร์
ชานนท์กำลังสอบสวนสมุนซาซึ่งใส่กุญแจมือถูกคุมตัวในห้องสอบสวน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ชานนท์พลิกแฟ้มประวัติคนร้าย เห็นรูปสเก็ตช์ของสมุนซา และรายละเอียดคดีที่เคยก่อ
"ตามแฟ้มประวัติบอกว่าแกกับพวกตั้งแก๊งก่อคดีอุ้มเรียกค่าไถ่โชกโชน มีหมายจับค้างเก่าอีก 3 หมาย เคยถูกจับกุมและก่อคดีสำคัญๆ มาแล้วถึง 7 คดี แต่พวกแกก็ลอยนวลไปได้ทุกครั้ง คนที่อยู่เบื้องหลังแกคงเส้นใหญ่มากสินะ"
"คราวนี้ก็เหมือนกัน... เดี๋ยวนายใหญ่กูก็ส่งคนมาช่วย"
ชานนท์เอาไฟสอบสวนส่องหน้าสมุนซา คาดคั้นเอาความจริง
"นายใหญ่แกเป็นใคร"
"คนที่สั่งย้ายพวกมึงได้ทั้งโรงพัก"
สมุนซาหรี่ตา ยิ้มอย่างยียวน ท้าทาย ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
สมุนซาถูกตำรวจเอาตัวมาขังไว้ในคุกรวมกับพวกลิ่วล้อคนอื่น
ตำรวจล็อคกุญแจห้องขัง แล้วก็เดินออกไปสักพัก ซาก็มาหยุดยืนที่หน้าห้องขัง
สมุนซากับลิ่วล้อเห็นซามาก็ดีใจ มีคนมาช่วยแล้ว เกาะลูกกรงห้องขังด้วยความลิงโลด
"นายใหญ่ให้เฮียมาช่วยพวกผมแล้วใช่มั้ยครับ"
"พวกแกเผลอปริปากบอกอะไรมันหรือเปล่า" ชาถาม
"ไม่เลยครับ... ผมไม่ได้บอกอะไรไอ้หมวดนั่นเลย"
"ดีแล้ว... พรุ่งนี้เช้าตำรวจจะเอาตัวพวกแกออกไปจากที่นี่เอง ไม่ต้องกลัว"
สมุนซาแววตาโลภ
"แล้วค่าจ้างอีกครึ่งที่ตกลงกันล่ะ"
ซาหยิบกล่องไม้ใบเล็กๆแต่ดูหรูหรา เหมือนกล่องที่ใช้เก็บทรัพย์สินของมีค่าออกมาให้
"นายใหญ่ฝากมาให้พวกแก"
ซาพูดจบก็รีบร้อนเดินออกไปทันที พวกลิ่วล้อแย่งกันเปิดกล่องไม้ด้วยความโลภโมโทสัน ทันทีที่สมุนซาเปิดกล่องออกมาปรากฏว่าเป็นกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากกล่องฟุ้งตลบไปหมด
"แก๊สพิษ !"
สมุนซากับลิ่วล้อที่อยู่ในคุกชักดิ้นชักงอพราดๆ หายใจลำบากขนาดต้องอ้าปากพะงาบ ๆ งับอากาศ ทุกคนทุรนทุรายตายอย่างทรมาน มือหงิกเกร็ง เล็บสีม่วง ตายโดยไม่ทันร้องสักแอะ
สารพิษคือ สารไซยาไนด์ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ภายในสถานที่แคบและทึบ หากปล่อยแก๊สไซยาไนด์เข้าไปเพียง 300 มิลลิกรัม จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว)
วันใหม่ ตำรวจมาไขกุญแจคุกให้ ชานนท์สีหน้าเครียดเดินเข้าไปในคุก เห็นสมุนซากับลิ่วล้อตายเกลื่อนในสภาพน่าอเนจอนาถ
"ตายเมื่อไหร่"
"เมื่อคืนนี้ครับหมวด"
ชานนท์ตรวจดูสภาพศพ สังเกตเห็นความผิดปกติ ทุกศพมือหงิกเกร็ง เล็บสีม่วงเหมือนกันหมด
ชานนท์เขม้นมอง เจ็บใจที่ผู้ต้องหาถูกลอบฆ่าตัดตอนไปได้
หงส์ตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่จับตัวกุ่ยไปตายหมดแล้ว
"อะไรนะ ! ตายแล้ว ตายได้ยังไง"
"ผู้หมวดชานนท์บอกว่าพวกมันตายในคุก"
"ตำรวจออกเต็มโรงพัก ปล่อยให้ผู้ต้องหาถูกฆ่าตัดตอนได้ สะเพร่าจริงๆ" หมวยบอก
"ตายเรียบแบบนี้จะรู้ได้ยังไงว่าใครที่บงการอยู่เบื้องหลัง" หวังว่า
"สุดท้ายก็จับมือใครดมไม่ได้อีกตามเคย"
หงส์เจ็บใจ ที่สมุนซาถูกฆ่าตัดตอน
หงส์คุยกับหลงหน้าเครียด
"ผู้หมวดชานนท์บอกว่าพวกมันเป็นนักเลงที่ตรอกสลักหิน"
"ตรอกสลักหินเป็นถิ่นของแก๊งหนูไฟ"
"แต่แก๊งหนูไฟตกอยู่ใต้อาณัติแก๊งเขี้ยวสิงห์ของเถ้าแก่ตงมาตั้งนานแล้ว ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่"
"นายคิดว่าเป็นฝีมือใคร"
"จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเสี่ยเกา"
"ทำไมนายถึงได้มั่นใจนัก"
"วันประลองงิ้ว อั๊วเห็นคนของเสี่ยเกาสั่งให้ฆ่าอากุ่ย"
"ถ้างั้นนายไปกับฉัน"
"ไปไหนครับ"
"ไปแจ้งความ นายเป็นพยานเรื่องนี้ได้ ไปบอกทุกอย่างที่นายรู้เห็นกับตำรวจ"
"แก๊งไก่ฟ้ากับแก๊งค้างคาวเป็นอริกัน ตำรวจไม่รับฟังคำให้การของผมหรอกครับ"
"นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้เสี่ยเกามันลอยนวลอย่างนี้น่ะเหรอ"
"เราไม่มีหลักฐาน จับไม่ได้คาหนังคาเขา ก็เอาผิดพวกมันยาก"
"ความเลวมันปิดไม่มิด สักวันหางมันก็ต้องโผล่ออกมาจนได้ ฟ้าดินคงไม่ปล่อยให้คนชั่วอย่างเสี่ยเกาเสวยสุขนานนักหรอก"
หงส์อึดอัด ถึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือเกา แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้
บริเวณโกดังร้าง กลางคืน
หลงปามีดไปยังหุ่นฟางที่สมมุติแทนตัวว่าเป็นคนที่ฆ่าเหมย มีดเข้าที่จุดสำคัญทุกเล่ม
หลงคิดถึงคำพูดของไช้ที่ชื่นชมสุง คำพูดสุงที่บอกว่าเคยฆ่าคนแค่คนเดียว แล้วยิ่งสับสน
หลงเตะหุ่น และกระชากเป็นชิ้นๆ ระบายอารมณ์ หลงตะโกนอย่าบ้าคลั่ง เสียงก้องกังวานไปทั้งโกดัง
"อาเหมย ช่วยบอกอั๊วทีเถอะ ใครกันแน่ที่ฆ่าลื้อ ใคร บอกอั๊วสิ ใคร"
หลงมั่นใจว่าคนดีอย่างสุงไม่น่าจะฆ่าเหมย แต่ยังคงมืดแปดด้าน ไม่รู้คนร้ายตัวจริง
หลังโรงงิ้ว ตอนกลางคืน กุ่ยใบหน้ายังฟกช้ำ เผากระดาษเงินกระดาษทองให้แม่ คิดทบทวนเรื่องซื่อเหนียงที่เคยตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
"อากุ่ย...ที่แล้วมา แม่ผิดกับลูกนัก ทั้งๆที่แม่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกอย่างแม่คนอื่นๆ แต่กลับเป็นภาระให้ลูกแทน แม่ช่างเห็นแก่ตัวจริง เห็นแก่คนที่กำลังใกล้ตาย ช่วยเรียกฉันว่าแม่สักคำได้ไหม"
ซื่อเหนียงไม่อยากเป็นตัวถ่วงอีกต่อไป ตัดสินใจกระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตัวเองทันที
"อากุ่ย ! หนีไปลูก หนีไป"
กุ่ยตาเหลือก เกาะขอบบ่อ ไขว่คว้าร่างซื่อหนียงแต่ไม่ทันแล้ว
" แม่"
ร่างซื่อเหนียงร่วงลงไปในบ่อน้ำบาดาลที่มืดมิด ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจที่ได้ยินคำว่าแม่
กุ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ หมวยตามหากุ่ย จนพบกุ่ยนั่งหันหลังร้องไห้อยู่คนเดียว จึงเข้าไปนั่งข้างๆกุ่ย
"ต่อไปจะไม่มีใครมาแอบดูอั๊วเล่นงิ้วด้วยความชื่นชมยินดีอีกแล้ว แม่จากไปโดยที่
อั๊วยังไม่ทันได้ตอบแทนพระคุณเลยสักครั้ง อั๊วมันเนรคุณจริงๆ"
หมวยมองกุ่ยด้วยความสงสารเห็นใจที่ต้องเสียแม่ไป ค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหลังกุ่ยปลอบใจ
"หักห้ามใจบ้างเถอะเฮีย อาซ้อไปสบายแล้ว"
"ไม่น่าเลย ถ้าอั๊วรู้ว่า เวลาที่อยู่ด้วยกันมันสั้นขนาดนี้ อั๊วจะดูแลท่านให้มากๆ ตอบแทนที่ท่านมอบลมหายใจให้อั๊วได้ลืมตาดูโลก มาตอนนี้ ถึงจะเสียใจแค่ไหน อั๊วก็ทำได้แค่ทำบุญเผากระดาษไปให้ท่านเท่านั้น จะได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้ "
"อาซ้ออยู่บนฟ้าคงรับรู้... ถึงแม้ว่าตัวท่านจะไม่อยู่ แต่หมวยเชื่อว่าความรักของท่านจะคอยปกป้องคุ้มครองเฮียเสมอ"
กุ่ยหันมากอดหมวยเอาไว้แน่นอย่างคนต้องการที่พึ่งทางใจแล้วปล่อยโฮออกมา
เวลาต่อมา กุ่ยฝึกงิ้วแบบซังกะตาย เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ หงส์เข้ามาปลอบให้กำลังใจกุ่ย
"อาซ้ออยู่บนสวรรค์เห็นลื้อหมดอาลัยตามอยากแบบนี้จะเสียใจแค่ไหน"
"อั๊วคงทำให้แม่เสียใจจนชินแล้วล่ะเจ้"
"แล้วทำไมไม่รู้จักหัดทำตัวให้แม่ลื้อภูมิใจในตัวลื้อบ้างล่ะ"
"อั๊วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไม่รู้จะทำอะไรให้แม่ภูมิใจ"
"แม่ทุกคนภูมิใจในตัวลูกทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้อาซ้อผิดหวัง ลื้อต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่มัวเสียเวลากับสิ่งที่มันผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้"
"เจ้จะให้อั๊วทำอะไร"
"ตั้งใจฝึกงิ้ว... และเป็นพระเอกงิ้วคณะเฟิ่งหวงต่อไป"
"ตอนนี้คณะเราก็มีเจ้หงส์อยู่แล้ว จะให้อั๊วฝึกเพื่ออะไรอีก ให้อั๊วกลับไปเล่นเป็นตัวตลกอย่างเดิมยังดีซะกว่า"
"โรงงิ้วยังมีอีกหลายอย่างต้องทำ ถ้าเจ้เล่นงิ้ว แล้วใครจะเป็นโต้โผดูแลเรื่องอื่นๆ อาป๊าแก่ลงทุกวัน เจ้ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างในโรงงิ้วแทนอาป๊า ลื้อก็เห็นไม่ใช่เหรอ"
"ก็จริงของเจ้ แต่ถ้าอั๊วเป็นพระเอก จะมีคนดูเหรอ"
"อากุ่ย ! ลื้อต้องทำให้ได้ เจ้เชื่อใจลื้อ เราทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อคณะของเรา... เจ้ไม่มีวันยอมให้โรงงิ้วเฟิ่งหวงต้องสิ้นชื่อเป็นอันขาด... เพราะที่นี่คือลมหายใจของอาป๊า"
สุงแอบฟังอยู่ เห็นถึงความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังของหงส์ นึกชื่นชมในใจ
(หมายเหตุ : โต้โผ เปรียบเสมือนผู้จัดการภายในคณะงิ้ว คอยดูแลเรื่องการเงิน และกิจการภายในคณะ)
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.
เลือดมังกร : หงส์ ตอนที่ 4 (ต่อ)
สุงกลับเข้ามาในห้อง พูดเบาๆกับป้ายวิญญาณอาฉาง
"ลื้อเห็นแล้วคงหมดห่วงสินะ อาฉาง" สุงยิ้มนิดๆ
หงส์เปิดประตูเข้าห้องมา
"อาป๊า หงส์จะมาขออนุญาตอาป๊าเรื่อง... ฝึกงิ้วให้คนงาน"
สุงยอมรับในตัวหงส์มากขึ้น แต่ยังคงปากแข็ง ไม่ยอมพูดดีๆ
"อั๊วเคยบอกแล้วไงจะทำอะไรก็ทำ เรื่องของลื้อ ตัดสินใจเอง ไม่ต้องมาถามอั๊ว"
"จะไม่ให้หงส์ถามได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อโรงงิ้วเฟิ่งหวงเป็นของอาป๊า"
"เมื่อ 30 กว่าปีก่อน อั๊วเคยเป็นจับกังตามโรงงิ้วมาก่อน ทำทุกอย่างแล้วแต่จะมีคนจ้าง เสร็จจากงานเมื่อไหร่ อั๊วก็ชอบมานั่งดูงิ้วคนเดียว ดูไปก็ยิ้มไป ใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้าอั๊วร่ำรวยขึ้นมา จะเป็นเจ้าของคณะงิ้วให้ได้"
"และแล้วอาป๊าก็ทำสำเร็จ ได้เป็นเถ้าแก่เจ้าของโรงงิ้วสมใจ"
"ในชีวิตอั๊วมีสิ่งที่ภาคภูมิใจเพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งคืออั๊วได้เป็นเจ้าของคณะงิ้วนี้ สองคืออั๊วได้แต่งงานกับกิมลั้ง แม่ของลื้อ และสามคืออั๊วได้ลูกชายที่ดีไว้สืบสกุลอย่างอาฉาง"
หงส์หม่นเศร้าลงที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่ความภูมิใจของพ่อ
"นับแต่นี้ โรงงิ้วเฟิ่งหวงจะไม่ได้เป็นของอั๊วอีกต่อไป"
"อาป๊าจะยกโรงงิ้วให้อากุ่ยเหรอคะ"
"หากวันนั้นงิ้วคณะของเสี่ยเกาชนะการประลอง โรงงิ้วเฟิ่งหวงก็คงต้องปิดตัวลง จะเล่นที่ไหนไม่ได้อีก แต่ในเมื่อลื้อรักษาคณะงิ้วเอาไว้ได้ ก็จงทำหน้าที่สืบทอดเจตนารมณ์ของอั๊วต่อไปเถอะ...โรงงิ้วเฟิ่งหวงเป็นของลื้อแล้ว... อาหงส์"
หงส์แทบไม่อยากจะเชื่อหู ดีใจที่สุงยอมรับให้หงส์สืบทอดดูแลโรงงิ้วต่อไป
โรงงิ้วเฟิ่งหวงวันรุ่งขึ้น หมวยดีใจเมื่อรู้ว่าหงส์เป็นเจ้าของคณะงิ้ว พูดพลางออกลีลาเหมือนเล่นงิ้ว
"หลังพายุผ่านไป ฟ้าก็สดใสเสียที ในที่สุด ความสามารถของเจ้หงส์ก็เข้าตาเถ้าแก่สุงจนได้"
หมวยผายมือออก จนนิ้วเกือบจะทิ่มตากุ่ย
"ลื้อก็เกือบทิ่มเข้าตาอั๊วเหมือนกัน อาหมวย"
"ก็มันดีใจนี่หน่า"
"แต่ถึงเจ้หงส์จะเป็นเจ้าของคณะงิ้ว แต่ตอนนี้มีแค่อั๊ว ลื้อ อาหวัง กับคนงานแค่ไม่กี่คน จะทำอะไรได้"
"มีแค่ไหนก็เล่นแค่นั้น งิ้วคณะเราชนะการประลอง ถึงยังไงก็ต้องมีคนดู จริงมั้ยเจ้"
"คงต้องฝึกคนงานให้หัดเล่นเรื่องง่ายๆไปก่อน จนกว่าจะรับคนมาเพิ่ม" หงส์บอก
"คณะเฟิ่งหวงกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง คงหาคนได้ไม่ยาก" หวังบอก
"กว่าจะสร้างชื่อเสียงมาได้มันยาก แต่การรักษาชื่อเสียงเอาไว้ยากกว่า.... โรงงิ้วเฟิ่งหวงจะมีชื่อเสียงอีกนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพวกลื้อทุกคน"
กุ่ยมองหงส์อย่างปลาบปลื้ม
"อั๊วจะยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อเจ้หงส์ เอ้ย ! เพื่อโรงงิ้วเฟิ่งหวง"
"อย่าดีแต่พูดนักเลย รีบไปฝึก ไป๊ ชิ้วๆ" หมวยบอก
"ใครเป็นเจ้าของโรงงิ้วกันแน่ เจ้หงส์หรือว่าลื้อ ห๊ะ อาหมวย"
"หมวยสั่งเอง หรือเฮียจะกล้าหือ"
กุ่ยบ่นพึมพำ
"บ้าอำนาจ เผด็จการที่สุด"
หมวยไล่กุ่ยกับหวังออกไป หงส์อดขำไม่ได้ หลงจะเข้าไปแสดงความยินดีกับหงส์ แต่เปลี่ยนใจหันหลังจะเดินออกจากโรงงิ้ว
"อาหลง"
หงส์เห็นหลงเข้าก็รีบเข้าไปหา
หงส์จ้องหลงตาเขม็ง เหมือนกำลังคาดคั้นผู้ต้องหา
"ทำไมนายถึงต้องหลบหน้าหลบตาฉันด้วย"
หลงหลบตาลงต่ำ
"ผมเปล่า"
"ก็ฉันเห็นอยู่ นายโกหกฉันไม่ได้หรอก สายตานายมันฟ้อง"
"ผมแค่จะมาแสดงความยินดีกับคุณหนู"
"แล้วทำไมนายถึงไม่เข้ามา"
"แค่ได้เฝ้ามองความสำเร็จของคุณหนูอยู่ห่างๆก็พอแล้ว"
"นี่นายเห็นฉันเป็นเสือตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ไม่กล้าเข้าใกล้ฉัน"
"บางทีความงามของหงส์ก็น่ากลัวยิ่งกว่าความดุร้ายของพยัคฆ์"
หงส์หัวเราะ
"หงส์เนี่ยนะน่ากลัวกว่าเสือ ไหนนายลองบอกเหตุผลมาซิ"
"เพราะทุกคนรู้ว่าเสือน่ากลัวจึงระวัง แต่สำหรับหงส์ คนมักประมาท คิดว่าไม่มีอันตรายจนอาจตายไม่รู้ตัว"
"แต่หงส์อย่างฉัน ไม่เคยคิดฆ่าใคร รู้ไว้ซะด้วย"
"ความงามของผู้หญิงเคยเข่นฆ่าผู้ชายมาแล้วนักต่อนัก"
"นายนี่ท่าจะอ่านนิยายกำลังภายในมาก ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ผู้หญิงคงครองโลกนี้ไปแล้ว ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างผู้ชายอย่างทุกวันนี้หรอก"
"แต่คุณหนูก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผู้หญิงมีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ชาย เถ้าแก่สุงถึงได้ยอมยกโรงงิ้วเฟิ่งหวงให้คุณหนูเป็นผู้สืบทอด"
หงส์ยิ้ม นึกชอบคำเปรียบเปรยของหลงที่ทำให้เธอต้องยอมจำนน
คนงานในโรงงิ้วต่างฝึกซ้อมงิ้วอย่างเข้มแข็ง โดยมีกุ่ยกับหมวยคอยเป็นพี่เลี้ยงสอนให้ใกล้ชิดหงส์คอยเดินตรวจตรา คอยสอนท่าทางให้คนที่หัดงิ้วใหม่ๆ ดูแลเสื้อผ้า และทุกอย่างภายในโรงงิ้ว อาหวังหัวดีกว่าคนอื่น ฝึกท่าบู๊ได้อย่างรวดเร็วว่องไว จนกุ่ยตบบ่าชมเชย
หมวยฝึกซ้อมคนงานผู้หญิงให้เดินกรีดกราย ยักย้าย สอนจริตจก้านแบบนางเอกงิ้ว
หงส์สอนคนงานคนอื่นควงทวน เตะพลองพร้อมกันได้ 8 เล่มเหมือนที่อาฉางเคยทำ ทุกคนตบมือเกรียว สุงยืนมองอยู่ที่ระเบียง มั่นใจแล้วว่าหงส์สามารถเป็นตัวแทนสืบทอดโรงงงิ้วเฟิ่งหวงต่อไปได้
นักแสดงงิ้วที่เคยลาออกต่างคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องหงส์
"นะครับคุณหนู… ได้โปรดรับพวกเรากลับเข้าคณะเฟิ่งหวงด้วยเถอะนะครับ"
"ไม่ได้ ! ออกแล้วก็ออกเลยสิ ! แหม... พอตกอับเข้าหน่อยก็ถีบหัวเรือส่ง ไม่เห็นใจกันมั่งเลย ใช้ได้เหรอ ! ตอนนี้คณะเราคนเต็มแล้ว ยังไงก็ไม่รับ"
"คณะเฟิ่งหวงเกือบต้องสิ้นชื่อ ก็เพราะพวกลื้อพากันลาออกหมด"
"ไหนว่าเสี่ยเกากระเป๋าหนัก ให้เงินดีนักหนา แล้วนี่บากหน้ากลับมาทำไม"
นักแสดงหญิงบอก
"โรงงิ้วเปี่ยนฟู่ปิดตัวลงแล้ว เห็นว่าเสี่ยเกาจะเปิดโรงน้ำชาแทน พวกเราอยู่ไม่ได้ ขืนอยู่ต่อไปคงต้องเป็นนางโคมเขียวเข้าสักวัน อั๊วไม่มีที่ไปแล้ว คุณหนูหงส์ กรุณาเห็นใจพวกเราด้วยเถอะนะคะ"
กุ่ย / หมวย โพล่งพร้อมกัน "ไม่"
นักแสดงงิ้วที่เคยลาออกไปหน้าเจื่อน พูดอะไรไม่ออก
"ความผิดของพวกลื้อ มันเกินกว่าจะให้อภัย"
หงส์ปรามหมวยกับกุ่ยด้วยสายตา แล้วจับบ่าให้นักแสดงงิ้วหญิงที่ร้องไห้อยู่ลุกขึ้น
"ลุกขึ้นเถอะ ! ทุกคนกลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่เหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว"
"เจ้หงส์ ! ลืมไปแล้วหรือไง พวกเค้าทำอะไรกับเจ้ไว้" หมวยว่า
"ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ทุกคนล้วนต่างก็เคยผิดพลาดกันมาทั้งนั้น อะไรที่มันแล้วก็ให้มันแล้วไป เรามาเริ่มต้นด้วยกันใหม่เถอะนะ"
หมวยชักสีหน้า ไม่ค่อยพอใจที่หงส์ใจดีเกินไป
"คณะเฟิ่งหวงยังต้องการคนมีฝีมืออย่างพวกลื้ออีกเยอะ"
"ขอบคุณคุณหนูหงส์ / น้ำใจขอบคุณหนูครั้งนี้พวกเราจะไม่มีวันลืมเลย"
นักแสดงงิ้วชาย - หญิงต่างยิ้มด้วยความยินดี ซึ้งในความใจกว้างของหงส์
เสียงเครื่องดนตรีงิ้วทั้งหลายประโคมโหมโรงขึ้นพร้อมกัน คนดูเต็มโรงงิ้วเฟิ่งหวงแน่นขนัด ทุกเพศทุกวัย นักแสดงงิ้วบนเวทีกำลังเล่นงิ้วเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง ตอนออกรบ ดูยิ่งใหญ่ตระการตามาก
ทหารออกมาร่ายรำกลางเวที ดนตรีที่เร้าใจ ลีลาที่สวยงาม คนดูไม่สามารถวางตาจากการแสดงชุดนี้ได้ แทบทุกสายตาจับจ้องตาแทบไม่กระพริบ
ทันใดนั้น หงส์ซึ่งแสดงเป็น “หยางจงเป่า” ร่ายรำออกมา คนดูปรบมือ เฮลั่น ดีใจต้อนรับกันเกรียวกราว
สุงมองดูหงส์เล่นงิ้วอยู่ นึกถึงอาฉางเล่นเป็นหยางจงเป่า นึกถึงคำพูดของฉาง
"อาหงส์จะเป็นตัวแทนอั๊วเอง"
สุงเห็นคนดูเต็มโรงงิ้ว ปรบมือกึกก้องแล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ หลงมานั่งดูหงส์เล่นงิ้วด้วย มองด้วยความชื่นชม ซาปะปนแฝงตัวอยู่กับคนดูในโรงงิ้วแอบสังเกตการณ์อยู่
หลงหันไป แต่ซาหายไปแล้ว
ณ คฤหาสน์เมฆินทร์ เกาเจ็บใจเมื่อซามารายงานสถานการณ์ที่โรงงิ้วเฟิ่งหวงให้ฟัง
"บัดซบ ! โรงงิ้วมันเกือบจะล่มจมอยู่แล้วเชียว"
"หงส์ดำกลับมาสยายปีกได้อีกครั้ง เถ้าแก่สุงคงหน้าบานเป็นจานเชิงเลยล่ะสิ" เกาว่า
"ตอนนี้ใครๆต่างก็แห่มาดูงิ้วคณะเฟิ่งหวงเรื่องขุนศึกตระกูลหยางจนล้นโรง แสดงกี่
รอบ คนก็เต็มทุกรอบครับ" ชาบอก
"เล่นเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง แล้วใครรับบทหยางจงเป่า"เกาถาม
"คุณหนูหงส์ครับเสี่ย"
เกาไม่สบอารมณ์
"นังเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นอีกแล้วเหรอ"
"ไม่เลว ! เป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่กลับเล่นงิ้วเป็นพระเอกนักรบแทนพี่ชาย แถมยังเอาชนะยอดฝีมืองิ้วปักกิ่งได้อีกต่างหาก... ฉันชักอยากจะเห็นหน้าลูกสาวเถ้าแก่สุงคนนี้ซะแล้วสิ ว่าตอนยังไม่แต่งหน้างิ้วเหมือนบนเวทีจะดูได้ไหม" เมฆินทร์บอก
เมฆินทร์สายตากรุ้มกริ่มตามประสาเฒ่าหัวงูที่ชอบเด็กสาวคราวลูก
การแสดงงิ้วจบแล้ว หงส์เปลี่ยนเป็นชุดปกติ หลงนั่งคุยกับหงส์บนเวทีงิ้ว
"วันนี้คุณหนูแสดงได้ยอดเยี่ยมมากครับ"
"ฉันใฝ่ฝันอยากเล่นงิ้วมาตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากทำตามความฝันสักครั้ง แล้วนายล่ะ อาหลง... ตอนเด็กๆนายฝันอยากเป็นอะไร"
"เด็กกำพร้าอย่างผม ไม่เคยฝันอะไร นอกจากมีกินไปมื้อๆ"
หงส์รู้สึกเห็นใจหลงขึ้นมาทันที
"นายกับฉันมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง ฉันเองก็กำพร้าแม่ตั้งแต่เกิด แต่ฉันโชคดีที่ยังมีอาป๊า ถึงแม้ว่าอาป๊าจะไม่เคยรักฉันเลยก็ตาม"
"ถ้าเถ้าแก่สุงไม่รักคุณหนู คงไม่มอบโรงงิ้วเฟิ่งหวงให้คุณหนูดูแล"
"ในสายตาอาป๊า ฉันเป็นตัวซวยที่ทำให้อาม้าและเฮียฉางต้องตาย ไม่รู้ว่าใครจะต้องมาตายเพราะฉันอีก... นายอยู่ใกล้ๆฉัน ไม่กลัวตายหรือไง"
"ถ้าต้องตายเพราะคุณหนู ผมก็ยอม"
หงส์ชะงัก หลงรู้สึกตัว หลุดปากพูดอะไรออกไป
"อย่าพูดอย่างนั้น ! ฉันไม่อยากให้ใครต้องตายเพราะฉันอีกแล้ว อาหลง"
หงส์พูดด้วยแววตาหม่นเศร้า ระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นตัวซวย แล้วลุกปลีกตัวออกไป หลงมองตามหลัง หัวใจที่เคยแข็งแกร่งอ่อนยวบลงตั้งแต่หงส์ก้าวเข้ามาในชีวิต
ภายในครัว หงส์เอาพัดมาพัดเตาไฟต้มยาจีนด้วยจับเจี๋ยว (หม้อดินเล็กๆที่มีพวยและที่จับสำหรับต้มยาสมุนไพร) หงส์เอาจับเจี๋ยวเทยาใส่ชาม ควันลอยกรุ่น แล้วยกออกไป
หงส์ยกถ้วยใส่ยาเอาเข้ามาให้สุงที่ยืนทอดสายตามองคนในคณะกำลังฝึกงิ้วกัน
"เอาวางไว้ก่อน"
"กินยาก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวยาจะเย็นซะหมด"
สุงมองหงส์ สุดท้ายจำต้องยอมกินยาตามที่หงส์บอก
"ลื้อนี่มันดื้อหัวชนฝาเหมือนใคร"
หงส์นิ่งไม่ตอบ ในใจคิด...ก็ดื้อเหมือนอาป๊านั่นแหละ
"อีกหน่อยลื้อแต่งออกไปเป็นสะใภ้บ้านคนอื่น ก็ต้องปรนนิบัติรับใช้พ่อผัวแม่ผัว อย่าให้ขาดตกบกพร่องเหมือนที่ลื้อดูแลอั๊ว"
"หงส์ยังไม่อยากแต่งงาน"
"ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง ลื้ออยากขึ้นคานเป็นสาวทึนทึกหรือไง"
"แต่หงส์อยากดูแลปรนนิบัติอาป๊ามากกว่า"
"มันถึงเวลาแล้วที่ลื้อจะต้องเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที แล้วอั๊วจะหาคนที่เหมาะสมกับลื้อให้เอง"
หงส์หนักใจที่สุงจะจับแต่งงานกับใครก็ไม่รู้
ตลาดเก่าเยาวราช ย่านกลางคืน ตี๋เล็กเซ้าซี้เต็กให้ไปสู่ขอหงส์
"เมื่อไหร่อาป๊าจะไปสู่ขอน้องหงส์ให้อั๊วเสียที อั๊วรอจนแห้งเหี่ยวหัวโตแล้ว"
"ใจเย็นๆน่า... อาหงส์อีไม่บินหนีลื้อไปไหนหรอก"
"แต่อั๊วไม่ไว้ใจไอ้หลง กลัวว่ามันจะคาบน้องหงส์ไปซะก่อน"
"กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง อั๊วมั่นใจ พี่ใหญ่ไม่มีวันยกลูกสาวให้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนอย่างอาหลงแน่นอน เชื่อสิ"
"แต่อย่างน้อยมันก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกบุญธรรมหัวหน้าแก๊งไก่ฟ้า เกิดอาแปะไช้เป็นอะไรขึ้นมา แก๊งไก่ฟ้าจะตกเป็นของใคร ถ้าไม่ใช่มัน"
"เฮ๊อะ ! เฮียสุงกับเฮียไช้บาดหมางกันถึงขั้นนี้ จะหันกลับมาญาติดีกันอีกคงยาก ลื้ออย่าตีโพยตีพายนักเลยน่า อาตี๋เล็ก ยังไงอาหงส์ก็ต้องเป็นเมียลื้อแน่"
"อาป๊าทั้งยืนยัน นั่งยันยังงี้ อั๊วค่อยวางใจหน่อย"
ตี๋เล็กยิ้มกรุ้มกริ่มวาดฝันหวานว่าจะได้เข้าหอกับหงส์
เวลากลางคืน แมงเม่าตอมหลอดไฟ เล่นความร้อน 4-5 ตัว หลงกับไช้นั่งคุยกัน เบื้องหน้าของทั้งสองมีถ้วยเหล้าที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ถูกจิบพร่องไปแม้แต่น้อย
"ถ้าอั๊วจะแยกตัวออกจากแก๊งสามวิหค ลื้อมีความเห็นว่ายังไง"
"ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเถ้าแก่ หากเถ้าแก่ต้องการย่อมทำได้"
"พี่ใหญ่กับอั๊วคงมองหน้ากันไม่ติดแน่"
ไช้ถอนใจหนักๆ แล้วคิดถึงตอนที่สุง ไช้ เต็กสาบานเป็นพี่น้องกันในคุก
"เทพเจ้าทั้งปวงโปรดเป็นพยาน... ข้าพเจ้าขอสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกับอาไช้และอาเต็กไปจนวันตาย หากข้าพเจ้าผู้หนึ่งผู้ใดคิดคดทรยศหักหลัง ขอจงมีอันเป็นไป อย่าได้ตายดีภายใน 3 วัน 7 วัน"
ไช้คิดถึงภาพในอดีตก็ยิ่งสะท้อนใจ ถอนใจเฮือกใหญ่
แมงเม่าตัวหนึ่งตอมดวงไฟ แล้วตกลงมาในถ้วยเหล้าตรงหน้าไช้ ดิ้นกระแด่วๆไม่กี่ทีก็ตาย
"อำนาจเปรียบเหมือนกับไฟ นักเลงทั้งหลายก็เหมือนแมงเม่า รู้ว่าอาจกลายเป็นขี้เถ้า แต่แมงเม่าก็ยังบินเข้ากองไฟ... วันนึงอั๊วก็คงต้องกลายเป็นขี้เถ้าเหมือนกัน"
หลงมองแมงเม่าที่ลอยตายในถ้วยเหล้าของไช้อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
"ทำไมเถ้าแก่ถึงได้อยากจะแยกตัวเป็นอิสระ"
"อั๊วไม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องมาเดือดร้อนเพราะอั๊วอีก ที่ผ่านมามันก็แย่พอแล้ว ถึงยังไงอั๊วกับไอ้เกาก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ มันต้องลุยกันให้ตายกันไปข้าง"
ไช้แววตาเคียดแค้น คิดถึงเกาทีไร อารมณ์ขึ้นทุกที
ในห้องทำงาน ไช้มองกรอบรูปที่ตนเคยถ่ายกับสุงและเต็กในวัยหนุ่ม มิตรภาพของทั้งสาม ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเต็มฝาผนัง ไช้หยุดมองนิ่งที่รูปถ่ายในกรอบหนึ่ง ทั้งสามถ่ายที่ร้านกาแฟน่ำแซ ภาพนี้ถ่ายเมื่อทุกคนได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแล้ว เบื้องหน้านอกจากที่ถ้วยกาแฟแล้วยังมีจานใส่อิ่วจาก้วยตั้งอยู่ ไช้มองภาพนั้น แล้วหวนคิดถึงอดีตเมื่อครั้งที่ตนยังลำบากกันมาด้วยกัน
หน้าร้านกาแฟน่ำแซ สุง เต็ก ไช้ เนื้อตัวมอมแมม เดินเตร็ดเตร่หางาน ไม่มีเงินติดตัวสักบาท
"เราจะไปไหนกันต่อดีล่ะพี่ใหญ่" เต็กถาม
"ไปตามทางของตัวเอง"
ทั้งสามเดินผ่านหน้าร้านกาแฟน่ำแซ ซึ่งขายดีมาก คนนั่งเต็มร้าน เต็กท้องร้องด้วยความหิว
อาโกเจ้าของร้านกาแฟเอาอิ่วจาก้วยใส่จานรีบร้อนไปเสิร์ฟ จนอิ่วจาก้วยตัวนึงตกพื้น อาโกไม่เห็นเหยียบอิ่วจาก้วยตัวนั้นอย่างไม่ได้สนใจ ไช้รีบปรี่เข้าไปในร้าน ก้มลงเก็บอิ่วจาก้วยที่ตกพื้นตัวนั้นทันที ดีใจราวกับเห็นทองคำ ไช้เอามือปัดฝุ่นผงที่ติดอิ่วจาก้วยออก วิ่งเอาอิ่วจาก้วยออกมา ยื่นให้สุงกับเต็กที่นั่งอยู่ริมถนนหน้าร้าน
ไช้ดีใจ
"พี่ใหญ่ อาเต็ก ! เจอลาภลอยแล้ว"
ไช้ฉีกปากท่องโก๋แบ่งครึ่งแล้วยื่นให้สุงกับเต็กคนละข้าง
"แล้วลื้อล่ะ"
"อั๊วหิวซะที่ไหนเล่า ยังอืดข้าวแดงในคุกอยู่เลย" ไช้ฝืนหัวเราะ "รีบกินกันเถอะ"
สุงกับเต็กมองอิ่วจาก้วยคนละข้างในมือ แล้วมองหน้าไช้ ตื้นตันในความเสียสละจนกินไม่ลง
ทั้งสามเถียงกัน เกี่ยงกัน ไม่มีใครยอมกิน
"พี่ใหญ่กับอาเต็กกินเลย ไม่ต้องห่วงอั๊ว"
"ถ้าลื้อไม่กิน อั๊วก็ไม่กิน" สุงบอก
"ทำไมอิ่วจาก้วยถึงมีแค่ 2 ขา ถ้ามี 3 ขาก็ดีน่ะสิ เราจะได้แบ่งกัน" เต็กว่า
สุงแบ่งอิ่วจาก้วยครึ่งนึงในมือ แล้วยื่นชิ้นที่ใหญ่กว่าส่งให้ไช้ เก็บชิ้นเล็กกว่าไว้กินเอง เต็กเห็นสุงแบ่ง ก็เลยแบ่งให้ไช้ตามบ้าง แต่ยื่นชิ้นที่เล็กกว่าให้ไช้ ชิ้นใหญ่เก็บไว้กิน
ทั้งสามแบ่งกันกินอิ่วจาก้วยแค่ตัวเดียว ถึงจะไม่อิ่มท้อง แต่ก็อิ่มใจกันทุกคน
ไช้มองภาพในร้านกาแฟนั้นนิ่งนาน แม้จะผ่านมาสักกี่สิบปี แต่ก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้น
"เศษอิ่วจาก้วยตกพื้นมีค่าสำหรับคนหิวโซยิ่งกว่าทองคำ... อิ่วจาก้วยตัวเดียวแบ่งกันกินไม่อิ่มท้อง หากน้ำใจเราสามพี่น้องกลับเปี่ยมล้นจนถึงคอหอย...ลื้อคงจำรสชาติอิ่วจาก้วยตัวนั้นไม่ได้อีกแล้ว... พี่ใหญ่"
ไช้เดินไปเปิดแผ่นเสียงเพลง “เดียวดายในหอตะวันตก” (ตู๋ส่างซีโหล่ว) ยิ่งรู้สึกอ้างว้าง ไม่เหลือใคร
ไช้นั่งลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดหมดสิ้นเรี่ยวแรง เลื่อนลิ้นชัก หยิบกระดาษและพู่กันจีนออกมา
ก่อนตัดสินใจก่อนอยู่นาน แล้วเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสุง
หลงส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้สุง
"เถ้าแก่ไช้ฝากมาให้ครับ"
"ทำไมอีถึงไม่มาด้วยตัวเอง"
"ช่วงนี้เถ้าแก่ไช้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เถ้าแก่สุงโปรดอย่าได้ถือสา"
สุงยอมรับจดหมายฉบับนั้นจากหลง อดถามถึงไช้ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
"อาไช้อีเป็นอะไร หยูกยามีกินหรือเปล่า"
"เถ้าแก่ไม่เป็นอะไรมาก ขอบคุณเถ้าแก่ที่เป็นห่วง"
หลงส่งจดหมายให้สุงเรียบร้อยแล้ว กำลังจะกลับ ทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน แต่ไม่กล้าทักทายกันสักคำ เพราะสุงยืนคุมเชิงอยู่
หลงโค้งศีรษะให้หงส์ในฐานะลูกสาวแก๊งหงส์ดำ แล้วจากไป หงส์ได้แต่มองตามอย่างมีเยื่อใย
สุงแกล้งกระแอมดังๆ จนหงส์สะดุ้ง
"จะยืนนิ่งเป็นสิงโตหินอีกนานมั้ย"
หงส์ถูกสุงทักเข้าก็รีบก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตา เดินเข้าไปในโรงงิ้วทันที สุงเห็นอากัปกิริยาของหงส์กับหลงก็พอดูออกว่าทั้งสองมีใจให้กัน คิดว่าทั้งสองก็เหมาะสมกันดี
สุงเข้าห้องมาเอามีดกรีดซองจดหมาย รีบเปิดอ่านทันที ความจดหมายว่า “แก๊งไก่ฟ้าขอแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อแก๊งสามวิหค นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
สุงอ่านจดหมายจบแล้วหนักใจ ไม่อยากให้ไช้แยกตัวโดดเดี่ยวออกไปจากพี่น้อง กลัวเป็นอันตราย
ตี๋เล็กกึ่งเดินกึ่งลากเต็กมายังหน้าห้องสุง
"เร็วๆเข้าสิ อาป๊า... แก่แล้วชักช้างุ่มง่าม ไม่ทันใจอั๊วเลย"
เต็กหอบแฮ่กๆ
"เออ ! ลื้อไม่แก่เหมือนอั๊วมั่งก็ให้มันรู้ไป ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรนักหนา"
"รีบๆขอ รีบๆแต่ง อาป๊าจะได้มีหลานอุ้มไวๆ ไม่ดีหรือไง"
"ปุบปับก็จะเอาให้ได้ดั่งใจ กว่าจะได้อุ้มลูกลื้อ อั๊วคงหัวใจวายซี้แหงแก๋ก่อน"
"อย่าบ่นมากเลยน่า...อาป๊ารีบเข้าไปคุยกับอาแปะสุงไป แต่งให้เร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี"
"แล้วลื้อล่ะ ไม่เข้าไปกับอั๊วเหรอ"
"คนแก่คุยกันน่าเบื่อตายชัก อาป๊าเข้าไปคนเดียวเหอะ อั๊วรอข้างนอกนี่แหละ"
เต็กบ่นพึมพำ
"ใครลูก ใครพ่อวะเนี่ย"
เต็กส่ายหน้า ก่อนผลักประตูเข้าห้องสุงไป
ในห้อง สุงยังคงนั่งกำจดหมายในมือหน้าเครียด
เต็กโค้งศีรษะทักทาย
"พี่ใหญ่"
"นั่งก่อนสิ อาเต็ก"
เต็กนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสุง อ้าปากกำลังจะพูดเรื่องสู่ขอหงส์ แต่สุงพูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
"อาไช้ขอแยกตัวเป็นอิสระไม่ข้องหาสมาคมกับแก๊งสามวิหคอีกต่อไปนับตั้งแต่วันนี้"
เต็กตกใจ ลืมเรื่องที่จะมาสู่ขอหงส์เสียสนิท
"เป็นความจริงเหรอพี่ใหญ่"
สุงพยักหน้าเนิบช้า รู้สึกใจหายไม่น้อย
"อั๊วนึกไว้แล้วไม่มีผิด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้... พี่ใหญ่ว่าไงล่ะ"
สุงนิ่งขึงราวรูปปั้น ไม่ยอมตอบ
"ถ้าแก๊งไก่ฟ้าแยกตัวออกไป ทั้งกิจการ ทรัพย์สิน และกำลังคนของเราจะต้องถูกแบ่งแยกลงไปด้วย แก๊งสามวิหคจะไม่เป็นปึกแผ่นอีกต่อไป พี่ใหญ่ยอมได้เหรอ"
สุงนิ่ง มองไปยังภาพวาดเรื่องสามก๊กที่ผนัง ตอนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยร่วมสาบานกันในสวนท้อ
"อาไช้อีเลือกที่จะไป อั๊วจะทำอะไรได้"
"พี่ใหญ่คงต้องตัดสินใจทำอะไรบ้างอย่างแล้ว"
สุงเริ่มระแวงแคลงในความคิดของเต็กที่น่ากลัวขึ้นทุกวัน
หงส์กำลังหั่นผักทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ในครัว ทันใดนั้น ตี๋เล็กจู่โจมเข้ามาโอบหงส์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ยื่นหน้าจะเข้ามาหอม
หงส์ใช้วิชางิ้วป้องกันตัว สลัดหลุดออกมาได้ โกรธจนควันออกหู
"เฮียตี๋เล็ก ! อย่ามาทำรุ่มร่ามแบบนี้นะ หงส์ไม่ชอบ"
"แค่หยอกเย้าทักทายตามประสาคนสนิท อย่าคิดมากสิจ๊ะน้องหงส์"
"ทุกวันนี้แม้แต่หน้าเฮียหงส์ก็ยังไม่อยากจะมอง อย่าทำให้หงส์ต้องเกลียดเฮียมากไปกว่านี้เลย"
"เฮียถือคติว่าผู้หญิงเกลียดแปลว่าผู้หญิงรัก ผู้หญิงให้จวักแปลว่าผู้หญิงกวักมือ"
"หน้าด้านที่สุด"
ตี๋เล็กย่างสามขุมจะเข้าไปกอดจูบหงส์อีกระลอก
"อย่าเล่นตัวนักเลยน่า ตอนนี้อาป๊ากำลังทาบทามสู่ขอลื้อกับอาแปะสุงอยู่ จะช้าจะเร็วลื้อก็ต้องเป็นเมียของเฮียอยู่ดี ขอเฮียจูบมัดจำสักฟอดสองฟอดจะเป็นไรไป"
หงส์คว้ามีดทำครัวที่วางอยู่บนเขียงขึ้นมาป้องกันตัว
"อย่าเข้ามานะ ! ขืนเข้ามาอีกก้าวเดียว อย่าหาว่าหงส์ไม่เตือน"
ตี๋เล็กจับมือหงส์เอาปลายมีดจ่อที่หน้าอกตำแหน่งหัวใจของตัวเองอย่างท้าทาย
"ถ้าจะแทง ก็แทงที่หัวใจของเฮียเลยดีกว่า แต่ถ้าไม่กล้าก็ยอมให้เฮียหอมซะดีๆ"
หงส์มือสั่นเทากลัวไม่น้อย แต่ยังทำใจดีสู้เสือ ตี๋เล็กยิ้มเย้ยๆ รู้ดีว่าหงส์ไม่กล้าแน่นอน
"เฮียอย่าบังคับหงส์นะ"
ทันใดนั้น เต็กเข้ามาเห็นหงส์จ่อปลายมีดที่หน้าอกตี๋เล็กเข้าก็โวยวายลั่น
"นี่มันอะไรกัน"
เต็กตาเหลือกตาค้าง เป็นห่วงกลัวว่าตี๋เล็กจะเจ็บตัว
ตี๋เล็กกลับมาถึงบ้าน ถูกเต็กสวดยกใหญ่
"เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง เกิดเคราะห์หามยามซวย ผีผลักขึ้นมาจะว่ายังไง"
"เลิกบ่นซะทีน่า อาป๊า บ่นอยู่ได้ น่ารำคาญ ... เอ้อ ! แล้วเรื่องสู่ขอน้องหงส์ อาแปะสุงว่ายังไงมั่ง ตกลงใช่มั้ย จะได้รีบหาฤกษ์วันแต่ง"
"อั๊วยังไม่ทันได้ถาม"
"อะไรนะ ! ยังไม่ถาม แล้วเข้าไปคุยตั้งนานสองนาน มัวทำอะไรกันอยู่"
"ก็มันยังไม่มีโอกาสเหมาะๆน่ะสิ... วันนี้เฮียไช้ขอแยกตัวเป็นอิสระ พี่ใหญ่ก็เลยอารมณ์ไม่ค่อยดี อั๊วเลยยังไม่อยากเอ่ยปาก"
ตี๋เล็กตบโต๊ะปัง
"โธ่เว้ย ! เสียแผนหมด อยากจะมาแยกแก๊งอะไรตอนนี้วะ"
"เอาน่า ไว้คราวหน้า อั๊วจะพูดให้ ยังไงลื้อก็ต้องได้แต่งกับอาหงส์แน่ ไม่ต้องกลัว"
ทันใดนั้น อาโส่ยพ่อบ้านก็รีบเข้ามารายงานเต็ก
"เถ้าแก่... มีคนมารอพบเถ้าแก่ครับ"
"ใครวะ "
อาโส่ยเบี่ยงตัวหลบ จือกับเจ็งเดินเข้ามา เต็กตกใจ รู้ดีว่าจือกับเจ็งเป็นคนของเมฆินทร์
รถยนต์ของเต็กเคลื่อนไปจอดที่หน้ามุขคฤหาสน์เมฆินทร์ มีคนเปิดประตูให้ เมฆินทร์เชื้อเชิญให้เต็กนั่ง โอภาปราศรัยกับเต็กอย่างดี
"เชิญ...เชิญ... เถ้าแก่เต็ก ตามสบายเลย"
เต็กพินอบพิเทาเต็มที่เวลาอยู่ต่อหน้าเมฆินทร์ นักการเมืองใหญ่
"ท่านส่งคนไปตามกระผมมา มีอะไรให้กระผมรับใช้เหรอครับ"
"ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรนักหรอก แค่อยากจะชวนเถ้าแก่มาเป็นเพื่อนคุยตามประสาคนแก่ๆด้วยกัน หวังว่าเถ้าแก่คงไม่ว่าอะไรนะ"
"กระผมเต็มใจและถือเป็นเกียรติมากกว่าครับท่าน"
"ได้ยินข่าวว่าแก๊งไก่ฟ้าของเถ้าแก่ไช้มีเรื่องกับแก๊งค้างคาวของอาเกาใช่มั้ย"
"ครับท่าน เรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆแต่กลับลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต"
"เท่าที่ได้ยินมาอาเกาชอบข้ามถิ่นไปหาเรื่องคนของเถ้าแก่ไช้อยู่บ่อยๆ เห็นทีฉันคงต้องเรียกมันมาตักเตือนซะบ้าง แล้วถ้ามันยังไปรังควานในถิ่นของแก๊งสามวิหคอีกล่ะก็ บอกฉันมาได้เลย ฉันจะจัดการให้"
"เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับท่าน เรื่องบาดหมางระหว่าง 2 แก๊งจะได้จบๆกันไปสักที ที่พี่ใหญ่กับเฮียไช้ต้องมีปากเสียงทะเลาะกันถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องก็เพราะเหตุนี้"
"เถ้าแก่สุงน่ะเหรอผิดใจกับเถ้าแก่ไช้"
"ครับท่าน เรื่องมันมีอยู่ว่า"
เต็กเล่าเรื่องความบาดหมางระหว่างสุงกับไช้ให้เมฆินทร์ฟังอย่างละเอียด
เมฆินทร์ตาวาวโรจน์ ตั้งใจฟัง เห็นช่องทางที่จะทำให้แก๊งสามวิหคล่มสลายแล้ว
หลังจากที่เต็กกลับไปแล้ว เกาปรึกษาเมฆินทร์ สีหน้ายิ้มย่องผ่องใสเมื่อรู้ว่าสุงกับไช้บาดหมางกัน
"แตกกันก็ดี ! เราจะได้ถือโอกาสนี้เล่นงานพวกมันซะเลย"
"จะต้องทำอย่างงั้นทำไมให้เปลืองตัว สู้นั่งอยู่เฉยๆบนภูดูเสือกัดกันไม่สนุกกว่ารึ"
"ท่านจะทำให้พวกมันห้ำหั่นกันเองงั้นเหรอครับ"
"ใช่ ! หาทางปั่นหัวไอ้พวกแก๊งสามวิหค ให้พวกมันแตกหัก แล้วยืมมือพวกมันเล่นงานกันเอง หากใครเพลี่ยงพล้ำเราค่อยเอาคนของเราเข้าโจมตี กำจัดพวกมัน ทีละแก๊ง...ทีละแก๊ง...จนราบคาบ แกกับฉันจะได้ไม่ต้องลำบากกันด้วย"
เกาพยักหน้าพอเข้าใจแล้วว่าเมฆินทร์จะทำอะไร
"อาเจ็ง ! แกคอยจับตาดูเถ้าแก่สุงให้ดีทุกฝีก้าว ไม่ว่ามันจะขยับตัวทำอะไรก็ตาม ให้แกรีบมารายงานฉันทันที"
"ครับท่าน"
เจ็งโค้งศีรษะรับคำแล้วรีบออกไปทำตามคำสั่งของเมฆินทร์ทันที
เมฆินทร์ยิ้ม คิดว่างานนี้แก๊งสามวิหคจะต้องสิ้นชื่อแน่นอน
จบตอนที่ 4