ปริศนา ตอนที่ 6
ในห้องพักนักเรียนประจำ ซึ่งเป็นห้องกว้าง และมีเตียงวางเรียงเป็นแถว เตียงอื่นๆ จัดพับผ้าห่ม วางหมอนเรียบร้อย เว้นเตียงท่านหญิงรัตนาวดีที่อยู่ใกล้หน้าต่าง กลับมีของใช้ส่วนตัวในกระเป๋าวางอยู่กลางเตียง
เจ้าของเตียงกำลังเทของออกจากกระเป๋าใบเล็ก และกำลังเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น จำพวกหวี แปรง ตุ๊กตาและเสื้อผ้าตัวโปรดที่ขาดไม่ได้ ลงกระเป๋าใบเล็กแทน ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เสร็จแล้วก็หิ้วกระเป๋าขึ้นเดินออกไปอย่างเร็ว
หากพอเปิดประตูพรวดออกไปที่หน้าห้องพัก ก็เจอปริศนายืนอยู่หน้าประตูกำลังจะเข้ามาพอดี ท่านหญิงไม่สนใจ กลับเดินเบียดออกไป และตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ปริศนาไวกว่า คว้าข้อมือเอาไว้ได้
“ท่านหญิงจะเด็จไปไหนเพคะ”
ท่านหญิงสะบัด และบิดมือจะให้หลุดจากการจับ แต่ปริศนารู้ทีก่อนแล้วจึงจับไว้มั่น
“จะกลับบ้าน ปล่อยค่ะครู หญิงจะกลับบ้าน”
“อ้อ จะหนีไปหรือเพคะ ท่านหญิง?”
ท่านหญิงรัตนาวดีเชิดหน้าอย่างถือดี
“หญิงไม่ได้หนี หญิงบอกอาจารย์ใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ว่าจะไม่อยู่ ให้หญิงอยู่ไม่ได้ หญิงไปได้เมื่อไหร่ก็จะไป ครูปล่อยหญิงสิคะ บอกให้ปล่อย”
ปริศนามองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาเฉยชา มือกำรอบแขนแน่นเข้า ท่านหญิงหน้านิ่วด้วยความเจ็บ
“มีอะไรไม่พูดกันดีๆ รับสั่งอย่างนั้น ไม่มีวันเสียล่ะเพคะ”
ปริศนาดึงแขนอย่างแรง ฝ่ายถูกดึงปล่อยมือจากกระเป๋าเล็กที่ถือ แล้วใช้อีกมือ ทั้งผลัก ทั้งหยิก ทั้งข่วน และทั้งทุบปริศนาเป็นพัลวัน หากด้วยความที่แข็งแกร่งกว่า ทำให้ท่านหญิงไม่สามารถหลุดออกจากมือที่จับแน่นไว้ได้
ยื้อกันไปมาครู่ใหญ่ จนท่านหญิงอ่อนใจปล่อยโฮออกมา
“ครู ปล่อยหญิงเถอะค่ะ หญิงเจ็บ”
ปริศนารีบปล่อยมือทันที
“นี่จะหนีกลับจริงๆ น่ะหรือ ท่านหญิง”
“ค่ะ กลับจริงๆ จะอยู่ทำไมคะ แกล้งกันชัดๆ”
ปริศนาแกล้งพูดท้าทาย
“อ้อ อย่างนั้นหรือ แล้วจะเด็จกลับยังไงล่ะเพคะ รถรางน่ะไม่ไหว หลงแน่ ถ้าเป็นครู ครูจะไปสามล้อ ไม่มีเงินติดตัวไม่เป็นไร กลับไปขอจากใครที่วังก็ได้”
ท่านหญิงมองหน้าปริศนา ที่รู้ทันความคิดตนเหมือนนั่งอยู่ในใจ หากด้วยมานะ จึงก้มลงเก็บกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ ตั้งท่าจะเดินออกไปอีก
ปริศนาจงใจพูดตามหลัง “จะเด็จ ก็รีบเด็จเสียเดี๋ยวนี้ ชักช้าเจ้าพี่กลับมาก็จะลำบาก ไปเหนี่อยๆ ยังไม่
ทันได้พัก จะถูกส่งกลับอีก แล้วกลับมาถึงที่นี่ ก็จะขายหน้าคนที่นี่อีก”
ท่านหญิงชะงักเท้า แต่ยังไม่หันกลับมา
ปริศนาหัวเราะ แล้วเดินกลับไปทางเดิม ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนอยู่ตามลำพัง
ปริศนาหันหลังเขียนกระดานในวิชาภาษาอังกฤษ พอหันกลับมา ก็เห็นนักเรียนนั่งนิ่งกันทั้งห้อง ก่อนจะแลเห็นท่านหญิงรัตนาวดี ที่ผัดหน้านวลกลบคราบน้ำตาเรียบร้อยแล้ว
ปริศนาทำทีเป็นไม่สนใจ หันมาสอนนักเรียนต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คำว่า wish แสดงความปรารถนา”
เพื่อนๆ ไม่กล้าหันหน้ามาดู ทำเป็นเหมือนไม่มอง ขณะที่ท่านหญิงรัตน์ เดินเข้ามานั่งประจำที่ พลางคิดในใจ
“ ฉันก็ปรารถนาที่จะไม่ให้ครูปริศนา รู้ทันพวกเราเลย ดักคอกันไปได้หมดทุกเรื่อง ป่านนี้คงจะคิดว่า หญิงอยู่ในกำมือของเธอแล้ว ไม่ได้หรอก คราวหน้าครูปริศนาจะได้รู้จักรัตนาวดีกันจริงๆ แล้ว”
สีหน้าและแววตาของท่านหญิงมุ่งมั่น
ปริศนานั่งอยู่ในห้องพักครู กำลังยกถ้วยน้ำชาดื่ม พลันอาจารย์สงวนก็เดินเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหญิงรัตน์”
ปริศนาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “อาจจะเกเรมากกว่าทุกวันหน่อย”
ครูถวิลที่นั่งอยู่ด้วย รีบถามแทรกขึ้นมาทันที “อาละวาดหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ได้อาละวาดค่ะ แต่เห็นได้ว่าไม่พอใจมาก ท่าทางคงอยากจะกลับวังใจจะขาด”
อาจารย์สงวนถอนหายใจ “เสาร์อาทิตย์ ท่านพี่คงรับกลับ”
ปริศนารีบเสนอ “น่าจะให้อยู่ทั้งเทอมนะคะ วันหยุดยาว หรือปิดเทอมค่อยมารับกลับ”
ครูสุมนถามต่อ “ท่านหญิงจะยอมหรือคะ เมื่อวานกรรแสงเสียจนคิดว่าท่านพี่จะยอมให้
กลับไปด้วยแล้ว”
“ท่านพี่ คงจะทรงทราบว่า ท่านหญิงอยู่ประจำ จะเป็นประโยชน์กับองค์ท่านเองมากกว่า”
ปริศนาพูดอย่างมั่นใจ อาจารย์สงวนเห็นด้วย
“นั่นสิ ท่านพี่ไม่ทรงว่ากระไรเลย นอกจากว่าฝากน้องอยู่ประจำ บางทีอาจจะเป็นอย่างครูปริศนาว่า
ก็ได้ หากท่านหญิงทรงอยู่ประจำครบเทอม ครูว่าท่านหญิงจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น การเรียนก็น่าจะดีขึ้น เพราะรู้ว่า การเอาแต่ใจตัวไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย”
ปริศนายิ้มในหน้าอย่างเข้าใจ
“ปริศนา ต้องไปสอนแล้วคะ ชั่วโมงนี้ ชั้นพิเศษ 1 เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมอีกชั่วโมงหนึ่ง”
ครูถวิลหันมา “ท่านหญิงก็มาอยู่ประจำแล้ว หากครูปริศนาเบื่อขับรถไปมาทุกวัน ก็มาอยู่ประจำโรงเรียนบ้างก็ได้นะคะ”
อาจารย์สงวนขานรับ “ห้องแหม่มฮอลล์ ก็ยังว่าง”
ตามด้วยครูสุมน “ห้องเราก็ยังว่างค่ะ”
“คราวนี้ครู คุยกันแข่งกับเด็กประจำเลย”
ทุกคนหัวเราะอย่างนึกขัน ก่อนที่ปริศนาจะเดินเลี่ยงออกไปนอกห้อง
วิมลกับประไพ และคนอื่นๆ ยืนคุยกันอยู่บริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้องพิเศษ 1 พอเห็นปริศนาเดินเลี้ยวเข้ามา ทั้งหมดก็รีบพากันเข้าห้องเรียนไป
ปริศนาเดินเข้ามาในห้อง พอนักเรียนบอกทำความเคารพ แล้วนั่งลงเรียบร้อย เธอก็กวาดตามองไปรอบๆ เห็นนักเรียนทุกคนนั่งเรียบร้อย แต่แววตาดูวาวๆ เหมือนรอคอยอะไรสนุกบางอย่าง
เมื่อมองมาที่โต๊ะของท่านหญิงรัตนาวดี ที่ว่างเปล่าอีกเช่นเคย ปริศนายิ่งนึกแปลกใจ
“ท่านหญิงรัตน์ หายไปไหนคะ”
วิมลลุกขึ้นยืน ทำหน้าใสซื่อ “ท่านเหลาดินสออยู่ค่ะ“
“เหลาอยู่ที่ไหนคะ”
วิมลกับนักเรียนคนอื่นๆ ยิ้มกันอย่างมีเลศนัย ปริศนานึกรู้ว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่นอน
“งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยนะคะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีแอบอมยิ้มอยู่ใต้โต๊ะ
“ดีล่ะ เมื่อเช้านี้ ครูปริศนาชนะเราได้ คราวนี้เราต้องเอาชนะครูปริศนาให้ได้ ถึงจะอยู่ในห้อง ก็จะไม่เรียน”
คิดพลางซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะ ด้วยสภาพที่ไม่สบายนักเพราะต้องงอตัวแอบอยู่ ยิ่งนานก็ยิ่งเมื่อยและอึดอัดมากขึ้น
ปริศนายังคงสอนเรื่อยไป พลางเขียน verb past simple tense และ past perfect tense บนกระดาน
ท่านหญิงพลิกดูนาฬิกาข้อมือ แล้วคิดในใจ
“เพิ่งครึ่งชั่วโมงเองเหรอเนี่ย เหลืออีกตั้งนาน”
ปริศนายังคงสอนต่อไป
“สำหรับ past perfect tense ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน เหตุการณ์ที่เราใช้ past simple tense I had had dinner before I went to the party last night.”
พลันก็มีเสียงขยับตัวไปโดนโต๊ะดังปึง นักเรียนในห้องได้ยินแต่ไม่กล้าหันไปดูต้นกำเนิดของเสียง ได้แต่แอบหัวเราะกันคิกคัก
ท่านหญิงหน้างอ แอบบ่นในใจ “ขำอะไรกันนะพวกนี้ คนเมื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่จะให้ยอมแพ้ครูปริศนา แล้วออกไปน่ะเหรอ ไม่มีวัน แต่โอ้ย เมื่อยเหมือนขดอยู่ตั้ง 5-6 ชั่วโมงแล้ว นี่เราจะต้องอยู่ต่อไปอีก ตั้ง 24 นาทีเชียวเหรอ ไม่ได้ แพ้ไม่ได้ ต้องทน ออกไปข้างนอกครูปริศนาจะแก้เผ็ดอะไรอีกก็ไม่รู้ ขายหน้าเพื่อนๆ อีกต่างหาก ไม่ได้แล้วต้องทน ทนอย่างเดียว”
เวลาผ่านไปจนถึง 16.00 น.
ปริศนายืนอยู่หน้าชั้นเหมือนพูดจบแล้ว ก็เดินมาที่โต๊ะครูหน้าห้อง แล้วก็นึกขึ้นได้
“นี่ นักเรียน เราจวนสอบไล่แล้วรู้ไหม ครูเคยบอกพวกเธอแล้วว่าก่อนสอบวันไหนสักวันหนึ่ง ครูจะอยู่เย็นสอนภาษาอังกฤษให้ วันนี้เห็นจะดี เลิกเรียนแล้ว ครูจะสอนต่อไปอีกสักชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงนะคะ”
ท่านหญิงตกใจ แทบจะยืนขึ้น ตัวจึงกระแทกโต๊ะเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ นักเรียนพากันอมยิ้มกันทั่วหน้า
ปริศนาพูดต่อ “ฉันจะปล่อยให้พวกเธอถามได้เต็มที่”
เสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้น ปริศนาทำเป็นเปลี่ยนใจ เก็บหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ
“อย่าเพิ่งเลยค่ะวันนี้ ไว้จวนกว่านี้ดีกว่า”
พูดพลางหยิบหนังสือเรียนถือไว้ แล้วเดินจะออกประตู ไป ก่อนหันกลับมา
“นักเรียน การบ้านที่ให้วันนี้ไม่ต้องส่งพรุ่งนี้เช้านะค่ะ ส่งเป็นมะรืนนี้ตอนเย็นก็ได้ แล้วท่านหญิงรัตนาวดี อย่าลืมทำการบ้านนะเพคะ คุดคู้อยู่อย่างนั้นคงฟังไม่ถนัด ถามเพื่อนๆ ให้เขาอธิบายให้ฟังเสียวันนี้เลย จะได้ทำส่งทันวันมะรืน”
จากนั้นก็เดินตัวตรงออกไป เพื่อนๆ หัวเราะคิก เว้นท่านหญิงที่มุดออกมาจากโต๊ะแล้ว ด้วยสีหน้าโกรธจัด จนทุกคนพากันเงียบกริบ
ท่านหญิงรัตนาวดีเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาที่ห้องพักนักเรียน วิมลเดินตามมาอย่างเอาใจ
“ฉันว่าท่านพี่กับครูปริศนา ต้องรู้กันแน่ๆ เรื่องเอาหญิงมาเป็นนักเรียนประจำ”
วิมลย้อนถาม “ท่านหญิงว่าใครเป็นต้นคิดเรื่องนี้เพคะ ท่านพี่ หรือครูปริศนา”
ท่านหญิงนิ่งไปนิดหนึ่ง “หากเป็นท่านพี่ ก็รู้ว่าท่านอยากฝึกให้เราเป็นนักเรียนประจำ เผื่อเวลา
เดินทางไปเรียนเมืองนอก จะได้คุ้น แต่ครูปริศนา แกจะได้อะไรจากการที่เราเป็นนักเรียนประจำ“
“จริงเพคะ ครูปริศนาไม่น่าจะได้อะไร แปลว่าท่านชายมีดำริก่อน”
ท่านหญิงแอบลังเล “แต่ครูก็เป็นคนช่วยท่านพี่ มิน่า รู้ดีว่าถ้าเรากลับไป ท่านพี่ก็ต้องส่งเรา
กลับมาอีก”
พูดจบก็กระแทกตัวลงนั่งอย่างขัดใจ “ครูปริศนานี่ เอาชนะเราได้ทุกเรื่องเลยหรือนี่”
“ครูปริศนาแกเป็นคนเก่ง อายุแกมากกว่าเรานิดเดียวเอง ภาษาแกคล่องปรื๋อ รับแขกฝรั่งได้ไม่อายใคร ว่ายน้ำเก่ง เล่นเทนนิสเก่ง ประวิชเล่าให้ฟังว่าขี่ม้าก็เก่ง หากจะทรงแพ้ให้กับครูปริศนา ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะเพคะ”
“เรื่องเรียน ยอมให้ครูปริศนา ก็เท่ากับยอมให้ท่านพี่”
ท่านหญิงแห่งวังศิลาขาวนิ่งคิดหนัก
ท่านชายพจน์ปรีชาเพิ่งเข้ามาตามทางเดินในวังศิลาขาว สนหิ้วกระเป๋าหมอตามมาด้วย ประวิชเดินเข้ามาพร้อมกัน
“วันนี้ไม่ยักดึก ฝ่าบาท”
“พอดี วันนี้ไม่มีผ่าตัด”
ประวิชมองไปรอบๆ วังที่แลดูเงียบสงัด “เงียบกันไปหมดทีเดียวตั้งแต่ท่านหญิงไปเป็นนักเรียนประจำ”
เจ้าของวังยิ้มน้อยๆ
“คิดไปเองกระมัง ประวิช ปกติเวลานี้ น้องหญิงก็ไปโรงเรียน กลับมาเย็นจนค่ำ นายก็ยังไปสโมสร ไม่กลับเหมือนกัน แล้ววันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”
“ว่าจะไปชวนปริศนา ไปเล่นเทนนิส กระหม่อม”
ท่านชายพยักหน้ารับรู้ ประวิชถามต่อ
“ท่านหญิง ไม่ว่ากระไรเลยหรือพระเจ้าค่ะ วิมลน่าจะเคยชิน เพราะเคยอยู่ประจำมาบ้างแล้ว”
“ยัง ยังไม่ได้ยินว่า ว่ากะไรน่ะ น่าจะเป็นเรื่องดี ยังไงก็ลองถามครูประจำชั้นเขาดูสิ”
ท่านชายพูดเสร็จก็เดินเลยเข้าไปด้านใน ประวิชเดินแกว่งกุญแจรถไปทางหน้าบ้าน
ท่านหญิงรัตนาวดีกำลังดีดเปียโนเพลงคลาสสิกอยู่ในห้องดนตรีที่โรงเรียน เบื้องหน้าเป็นสมุดโน้ตเพลง แต่พอไปถึงช่วงจังหวะที่ยาก ทำให้นิ้วกดพลาด ท่วงทำนองจึงไม่ราบรื่นอย่างใจ ท่านหญิงจึงหยุด และทวนซ้ำตรงนั้นอีก 3-4 ครั้ง วิมลยืนดูข้างๆ อย่างเอาใจช่วย
จู่ๆ ท่านหญิงก็หยุดมืออย่างไม่พอใจ “ไม่ได้ ดีดไม่ได้เลย บังคับนิ้วไม่ได้อย่างใจ”
“ท่านหญิงไม่ค่อยได้ซ้อมเพคะ นี่แหละ ท่านพี่ถึงได้บอกให้ท่านหญิงซ้อมเปียโนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แล้วเรียนต่างหาก พรุ่งนี้ครูสอนก็จะมาแล้ว”
ท่านหญิงทำสีหน้าเบื่อหน่าย “โอ๊ย พรุ่งนี้ก็ต้องส่งการบ้านครูปริศนาอีก”
“ท่านหญิง จะทรงการบ้านเองใช่ไหมเพคะ เราจะไม่ต้องลอกกัน แต่ทำตามความเข้าใจของเราเอง ครูปริศนาบอกว่า จะได้รู้ว่า เราไม่เข้าใจอะไรกันบ้าง”
“วิมลว่าครูพูดถูกมั้ย” ท่านหญิงย้อนถาม
“ก็ถูกนะเพคะ ถ้าเราทำผิด เวลาตรวจการบ้านครูก็จะได้รู้ว่าเราไม่เข้าใจตรงไหน เพคะ”
“ถ้าลอกกัน ถูกเหมือนกัน ผิดเหมือนกันหมดทั้งห้อง ก็ไม่รู้ว่าใครไม่เข้าใจตรงไหน รู้อยู่คนเดียว คนที่ เป็นต้นฉบับให้ลอก”
วิมลพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจถูกแล้ว
“ประเดี๋ยวซ้อมเปียโนเสร็จ หม่อนฉันจะชวนมณีมาช่วยทวนที่ครูสอนให้ท่านหญิงด้วยอีกคน แล้วเราค่อยทำการบ้านกัน ไม่รู้จะได้นอนกันกี่โมง”
ท่านหญิงนึกโมโหตัวเอง “แล้วตอนที่ครูสอน หญิงก็ไปมัวอยู่ใต้โต๊ะ คิดแต่จะเอาชนะครู ไม่ได้ฟังเรื่องที่สอนเลยซักนิด เป็นหนึ่งชั่วโมงที่สูญเปล่าไปจริงๆ”
“ท่านหญิงต้องตั้งใจ เรียนเพคะ ซ้อมเปียโนให้เสร็จ อีก 15 นาทีเท่านั้น เดี๋ยวก็ต้องขึ้นไปทำการบ้านแล้ว”
“ซ้อมยังไม่เสร็จสักเพลง”
ท่านหญิงกลับไปทวนตรงที่ติดขัดนั้นอยู่ แล้วดีดต่อไป โดยมีวิมลยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ
ประวิชในชุดไปสโมสรดูเรี่ยมเอี่ยมไปทั้งตัวเดินผิวปากเดินผ่านมาจะออกไปข้างนอก ทว่าคนรับใช้รีบเรียกไว้ก่อน
“คุณประวิชคะ โทรศัพท์ค่ะ”
“ใครโทรมา”
“คุณรตีค่ะ”
ประวิชเดินเข้าไปหยิบหูโทรศัพท์ที่วางไว้ ขึ้นมาพูด“Hello! ครับ คุณรตี นี่ประวิชพูด”
“เป็นไงบ้างประวิช เงียบหายกันไปหมดทีเดียว ตั้งแต่แขกฝรั่งกลับไป”
ประวิชทำหน้างง
“ก็ตอนนี้ทุกคนก็ทำงานกันเหมือนเดิมอย่างไรเล่าคุณรตี ท่านชายเองก็เพิ่งกลับจากโรงพยายาล ผมก็เพิ่งกลับมาจากทำงาน”
“ไม่ได้โทรศัพท์มาถามว่า ใครทำอะไร แต่สงสัยว่าหายไปไหนกันเงียบหมด ไม่ส่งข่าว ไม่มาหา ไม่บอกโปรแกรมมาเลยว่าจะชวนไปไหนอีก”
รตีทำสุ้มเสียงไม่พอใจ
“หากท่านชาย มีโปรแกรมอะไรล่ะก็ ผมจะรีบแจ้งคุณรตีเลยทีเดียว”
“ทูลท่านให้มาเยี่ยม หรือพาไปกินข้าวบ้างสิ”
ประวิชรีบบอก
“ทุกทีท่านก็ดำริเองนะ ว่าจะชวนคุณรตีไปไหนๆ ผมไม่ต้องทูลท่านเลย ใจเย็นเถิดคุณ ท่านชายมีเรื่องที่จะต้องทรงดูแลมากมาย ทั้งคนไข้ ทั้งคนในปกครองของท่าน จะให้มามัวแต่รักษาใจคุณรตี แต่เพียงลำพังคนเดียว
ในเวลานี้เห็นจะยังไม่ใช่ แต่เป็นอันว่า หากท่านจะทรงลืมเมื่อไหร่ ผมจะหมั่นเตือนให้ ต้องขอประทานโทษนะคุณรตี
ผมจะต้องออกไปข้างนอกแล้ว”
“ไปไหนอีกเล่า”
“ไปรับปริศนาไปตีเทนนิส ลาก่อนนะครับคุณรตี”
พูดจบ ประวิชก็วางสายไปเลย รตีมองหูโทรศัพท์ อย่างไม่พอใจ
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ประวิช ปริศนา สันต์ และเพื่อนชายอีก 1 คน กำลังตีเทนนิสกันอยู่ในคอร์ท ในที่สุดคู่ของปริศนาก็ชนะ ทั้งหมดมาจับมือกัน แล้วเดินออกมานอกคอร์ท
“คุณปริศนาเยี่ยมเหมือนเคย ตีเต็มที่ ไม่เคยยั้งเลย” สันต์พูดชม
“เสียค่าคอร์ทมาตรฐานแล้ว ตีเหยาะแหยะได้หรือคะ ต้องตีให้เต็มที่ซี ดีใจมากๆ ที่ได้มาตีเทนนิส
กันค่ะ”
เพื่อนชายของประวิชเลี่ยงไปพร้อมกับที่สันต์ออกปากชวน
“พวกเราไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม”
ปริศนาส่ายหน้า “ต้องขอโทษคุณสันต์ด้วยนะค่ะ ปริศนาจะกลับไปกินข้าวที่บ้านค่ะ วันนี้แม่ทำของอร่อยไว้”
ประวิชรีบอกตัว “ผมก็ต้องไปส่งปริศนา”
“แหม ครับ เสียดายจัง ไว้คราวหน้าก็ได้ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบสันต์ก็เดินจากไป ประวิชหันมาพูดกับปริศนา
“ปริศนา นายแอชลี่นี่กว่าจะไปได้ ทำท่าอาลัยคุณเสียน่าดู คุณล่ะ นึกอาลัยเขาบ้างไหม”
“แอชลี่เป็นคนดี อนงค์และฉันชอบอัธยาศัยเขา เป็นคนน่าคบ เป็นเพื่อนได้”
“เป็นเพื่อนเท่านั้นนะ”
ปริศนาพยักหน้า “ก็เพื่อนน่ะสิ เหมือนประวิชนี่แหละ”
ประวิชชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วก็ผ่อนลมหายใจยาว
“ค่อยสบายใจ”
ปริศนาถือไม้เทนนิส เดินเข้าบ้านมา แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถท่านชายพจน์ปรีชาจอดอยู่
ทางด้านท่านชายพจน์ปรีชากำลังนั่งอยู่กับอนงค์ภายในบ้าน
“ผู้ใหญ่ บางครั้งท่านก็อยากทำอะไรด้วยตัวเอง เหมือนเมื่อครั้งยังแข็งแรง แต่จะตามใจหมดคงไม่ได้ เพราะร่างกายไม่เหมือนเดิม ต้องระวังให้ดีเรื่องการล้ม หรืออาหารที่ย่อยยาก”
ปริศนาเดินเข้ามาในห้องโถง วางไม้เทนนิส แล้วยกมือไหว้
“อ้อ ปริศนา กลับมาแล้วหรือ ว่าอย่างไร เล่นเทนนิสวันนี้ แพ้หรือชนะ”
ท่านชายรับไหว้ก่อนจะพูดทักทาย
“ชนะเพคะ ท่านชายเด็จมานานแล้วหรือเพคะ มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“มาถึงหลังปริศนาออกไปสโมสรไม่นาน ว่าจะตามไปเหมือนกัน แต่คุยกันหลายเรื่องจนเพลิน คุณนายชวนกินข้าวเสียอีกด้วย ปริศนาล่ะ กินข้าวหรือยัง”
“ยังเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้น ปริศนากินข้าวเสียเถิด ฉันจะกลับละ”
ปริศนาทำหน้างง “อ้าว ไหนว่ามีธุระอะไรไม่ใช่หรือเพคะ”
อนงค์รีบหันมาบอกน้องสาว
“คุยกับท่านชายไปก่อนนะปริศนา พี่จะไปดูโต๊ะให้”
คล้อยหลังอนงค์ ท่านชายก็พูดต่อ
“ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก จะมาขออนุญาตเธอทำอะไรหน่อยเท่านั้น”
ปริศนามองเป็นเชิงตั้งคำถาม ท่านชายมองอย่างเอ็นดู จนฝ่ายถูกมองรู้สึกเขิน จนต้องรีบหลบตา
“เรื่องลูกศิษย์ของเธอ ยังไงล่ะ ฉันออกคิดถึงแก ขออนุญาตไปหา และเอาขนมไปให้แกบ้างได้ไหม”
“ตายจริง ทำไมจะไม่ได้เพคะ ท่านหญิงก็บ่นถึงวังอยู่ทุกวัน ท่านชายไปรับเย็นวันศุกร์ แล้วเช้าวันจันทร์ไปส่งโรงเรียนก็ได้เพคะ”
ท่านชายยิ้มดีใจ “ได้จริงๆ นะ ใครๆ ก็บ่นว่าบ้านเงียบ ป้าสร้อยบ่นคิดถึงน้องหญิง จนร้องไห้เหมือนกัน”
“ท่านหญิง มีเรื่องให้เราสนใจได้ตลอดล่ะเพคะ
“ขอบใจมากปริศนา งั้นฉันลาก่อนล่ะ”
ท่านชายลุกขึ้นยืน ปริศนาเดินตามไปส่ง
รถของเสมอที่มีสิรีนั่งมาด้วยแล่นเข้ามาจอดข้างๆ รถท่านชายพจน์ปรีชา
ปริศนาเดินมาส่ง พร้อมกับยกมือไหว้ลาท่านชาย สิรีและเสมอรีบลงจากรถมาไหว้ด้วย
จนเมื่อท่านชายแห่งวังศิลาขาวออกรถไป ปริศนามองไปจนลับตาแล้วก็หัวเราะ จนสิรีนึกแปลกใจ
“ปริศนาขำอะไรหรือ”
“ขำท่านชายน่ะสิรี นี่กินข้าวเย็นกันมาหรือยังคะ”
เสมอรีบตอบ “แวะกินข้าวเจ็กมาแล้วครับ พอดีนายช่วงเปิดประตูอยู่ กระผมเลยเลี้ยวเข้ามา ไม่ทราบว่า เปิดจะให้รถท่านชายออกนี่เอง พรุ่งนี้ ผมจะมารับสิรีเหมือนเดิมนะครับ”
สิรียิ้มอย่างมีความสุข “ค่ะ”
“ผมลาก่อนนะครับ คุณปริศนา คุณสิรี”
ปริศนากับสิรียกมือไหว้ลา เสมอรับไหว้ แล้วขึ้นรถขับกลับออกไป
สิรีหันมาถามปริศนา
“ท่านชายเสด็จมาทำไมน่ะ”
อนงค์และสิรีนั่งคอยอยู่ในห้องนอน ครู่หนึ่งปริศนาซึ่งแต่งชุดนอนแล้ว ก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับมีผ้าขนหนูคลุมศรีษะเพราะเพิ่งสระผมมา
“ตกลงปริศนาจะตอบได้หรือยัง ว่าท่านชายเสด็จมาทำไม” สิรีถามย้ำ
“ท่านมาถามเรื่องน้องสาวท่าน ท่านคิดถึงน้อง จะไปหาที่โรงเรียนก็ไม่กล้า มาถามปริศนาก่อน”
ปริศนาเดินไปเช็ดผม และเริ่มหวีผมให้แห้ง อนงค์ยิ้มหวาน
“น่าเอ็นดูจริง”
สิรีทำหน้าสงสัย
“มีอย่างหรือ น้องนุ่งของท่านจะไปหาอะไรก็ไปสิ ทำไมต้องมาถามเรา เอ หรือจะยังไงเสียแล้ว คงหาเหตุมาหาปริศนากระมัง คงคิดถึงขึ้นมา”
“อย่าทำแปลกน่ะสิรี มีหรือท่านชายจะมาคิดถึงปริศนา ปริศนามีแต่เอะอะทำเรื่องช็อกท่านวันละหลายหน”
อนงค์แทรกขึ้นมาทันที “ท่านชายชอบรตีต่างหาก”
สิรีแบะปาก “ฉันว่าท่านชายทรงมีรสนิยมสูงกว่านั้น ท่านจะชอบรตีไม่ได้หรอก”
ปริศนาพยักหน้าเห็นด้วย
“แรกๆ ก็คงชอบเพราะแกทำเก๋อยู่เสมอ แต่ตอนนี้ท่าทางจะเอือมแล้ว เพราะน่ารำคาญ แต่งจริตมากเกินไป แกแต่งจริต แต่งตัว เพื่อจะได้แต่งงานเร็วๆไง”
อนงค์หัวเราะขำ “อูย ปริศนาไปว่าแก”
สิรีเห็นด้วยกับน้องเล็ก “จริงทีเดียว พี่เห็นด้วย”
“สิรี มีอะไรดีๆ กว่ารตีตั้งเยอะ” ปริศนาชมพี่สาวคนรอง
“อย่า อย่าเอาพี่เข้าไปเปรียบด้วย ไปหาแม่ดีกว่า จะได้ไปเยี่ยมคุณยายด้วย”
สิรีพูดจบก็รีบเดินออกไป ปริศนามองตามยิ้มๆ
“แน่ะ ปริศนาจะเชียร์ท่านชายเสียหน่อย สิรีหนีไปเสียแล้ว หรือว่าสิรีจะชอบมิสเตอร์ always นั่น”
อนงค์ทำหน้าไม่แน่ใจ
“ไม่รู้สิ เมื่อเช้าที่ปริศนาออกไปก่อน นายเสมอยังมาคุยกับคุณแม่ต่ออีกตั้งนาน ท่าทางคนนี้คุณแม่จะไม่รังเกียจ”
“เคยมีรังเกียจด้วยเหรอ” ปริศนาย้อนถาม
“มี สิรีเคยพาหลายคนมาที่บ้าน แม่ไม่ชอบ แม่ห้าม บอกไม่ให้มาที่บ้านอีก แต่นายเสมอนี่ ไม่เคยห้ามเลย”
“ไม่เป็นไร สิรีเชียร์ไม่ขึ้น เสียแรงเปล่า แต่คู่ประวิชกับอนงค์นี่ก็ยังมีหวังอยู่นะ”
อนงค์หน้าระเรื่อ
“อะไร้ ปริศนาจะบ้าไปแล้วหรือ เที่ยวจับคู่ให้คนอื่นอยู่ได้ ไปนอนเสียไป”
อนงค์ลุกขึ้นมาปิดไฟห้อง ปริศนาทำหน้างอ
“ปิดไฟทำไม ปริศนายังเช็ดผมไม่เสร็จ มุ้งก็ยังไม่ได้เอาลง”
ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปเปิดไฟ
สมรกับยายของปริศนานั่งคุยกันอยูที่เรือนเล็กภายในรั้วเดียวกัน
“ผลไม้นั่นใครเอามาให้นะ แม่สมร”
“ท่านชายพจน์ค่ะ เอามาฝากหลายอย่าง ของกระป๋องก็มี แบ่งมาให้แม่ เผื่ออยากรับประทานตอนไหน ก็ให้เตียงเปิดให้ได้เลย”
ยายยิ้มกว้าง “เห็นของพวกนี้แล้วคิดถึงมะม่วงแช่อิ่มกับชมพู่ตากแห้งของคุณสร้อย รายนั้นช่างสรรช่างทำเหลือเกิน”
จังหวะนั้น สิรีก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะก้มกราบยาย
“แม่สิรี ปริศนาล่ะ”
“เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สระผมด้วยค่ะ เพราะเล่นเทนนิสมา”
ยายส่ายหัวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ปริศนานี่ ยังกับผู้ชายนะ เข้าสมาคม เล่นกีฬา”
สมรพลอยเออออไปด้วย “แล้วก็ไม่ชอบเรื่องจุกจิก เขาเป็นพวกสมัยใหม่ ทำงาน เข้าสังคม เหมือนผู้ชายจริงๆ ค่ะแม่”
“แต่วันก่อน ก็มาเรียนพับผ้าเช็ดหน้ากับแม่ แล้วไปขอผ้าเช็ดหน้าแม่อนงค์ เอาไปพับแจกฝรั่งที่ไปเที่ยวเรือด้วยกัน” ยายพูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้มในตัวหลานสาว
สิรีถามต่อทันที “อนงค์เล่าให้คุณยายฟังหรือคะ”
“แม่อนงค์ ก็มาหายายทุกวัน เขาชอบเล่าเรื่องปริศนาให้ยายฟัง เพราะเรื่องของปริศนามากมาย แปลกๆ ทั้งนั้น”
“คุณยายคะ คุณเสมอบอกว่า วันหลังจะขอเข้ามากราบคุณยายบ้างนะคะ”
ยายเลิกคิ้วจนหน้าผากย่น “ใครกันเสมอ”
สมรชิงตอบเสียเอง “ก็เพื่อนสิรี ที่เขามารับมาส่งกันบ่อยๆ นั่นไงคะแม่ ตอนสิรีป่วย หายไปหลายวัน ได้ข่าวว่ากลับบ้านต่างจังหวัด”
“รู้จักกันนานแล้วหรือ” ยายเริ่มซักไซ้
“ก็พอสมควรค่ะ เขาพาน้องสาวมาตัดเสื้อที่ร้าน แล้วก็ไปพบกันอีกทีที่งานของท่านชาย ก็เลยสนิทสนมกัน”
“ตาประวิชนั่นก็อีกคน เทียวไปเทียวมา เห็นว่าติดใจปริศนาหรือ” ยายถามต่อ
“ประวิชเป็นคนสุภาพ แต่ออกจะเจ้าชู้ค่ะแม่ เทียวไปเทียวมาบ้านโน้นบ้านนี้อยู่เสมอ”
ยายพยักหน้าอย่างเห็นจริง
“นิสัยผู้ชาย ตาประวิชเอง คงได้จากพ่อมามาก พระยาราชพรรลภน่ะ น้อยอยู่เมื่อไร เอาสิ สิรี ถ้าใครอยากมาไหว้ อยากมารู้จักยาย ก็มาเถอะ”
สิรียิ้มอย่างพึงพอใจ สมรปรายตามาสังเกต ก็รู้สึกได้ว่าบุตรีคนรองนั้นออกจะจริงจังกับผู้ชายคนนี้มาก
ปริศนายืนดื่มนมสดอยู่ในห้องทานข้าวที่บ้าน ครู่หนึ่งสิรีก็เดินลงมาจากชั้นบน ส่วนอนงค์กำลังช่วยแม่ตักข้าวที่จำเนียรยกของมาจากในครัว
“วันนี้นายเสมอมารับสิรีใช่ไหม” ปริศนาพูดทักพี่สาวคนรอง
สิรีพยักหน้ารับ “คุณเสมอ จะขอไปกราบคุณยายด้วย ปริศนาจะไปทำงานก็ไปก่อนเลยนะ”
ปริศนาแอบหันมาสบตากับอนงค์ ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา
“ดีล่ะ งั้นปริศนาไปก่อน ตอนเย็นก็ไม่ต้องไปรับนะ”
เมื่อเห็นพี่สาวคนรองพยักหน้ารับ ปริศนาก็คว้ากระเป๋า แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน โดยมีอนงค์เดินตามมามาส่งที่รถ
“อนงค์ว่า แม่ก็ไม่ว่าอะไรเรื่องตาเสมอนี่ใช่ไหม” ปริศนาหันมาถาม
“ฮื่อ ไม่ว่าอะไร ไม่เหมือนรายก่อนๆ อาจจะเห็นว่าสิรี ก็อายุมากแล้ว ทำงานแล้วน่าจะรับผิดชอบตัวเองได้”
สีหน้าของปริศนาแอบเป็นกังวล “แล้วนี่สิรีจะพาไปกราบคุณยายอีก ปริศนาหวั่นใจ”
“ท่าทางสิรีเขาจะชอบตาเสมอ ดูเป็นจริงเป็นจัง”
“ตาเสมอนี่ไม่สมกับสิรีหรอก”
อนงค์รีบค้าน “คนจะรักจะชอบกัน ไม่เกี่ยวกับว่าจะสมหรือไม่สม ช่างเขาเถอะ ปริศนา”
“ปริศนาเสียดายสิรีนี่นา ถ้าได้อย่างท่านชาย ก็คงจะดี”
พูดจบปริศนาก็ขึ้นรถขับออกไป อนงค์ได้แต่มองตาม แล้วแอบถอนหายใจ
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ครูสลวยที่เดินไปเดินมาในห้องเรียนชั้นพิเศษ 1ทำจมูกฟุตฟิต เด็กนักเรียนในห้อง ทำเป็นก้มลงใต้โต๊ะ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พอครูหันหลังให้ก็เคี้ยวอะไรกันหนุบหนับไปหมด
“อะไรกัน นี่มันเนื้อเค็มทอดนี่ ใครเอาเนื้อเค็มทอดเข้ามาในห้อง”
ครูสลวยพูดพลางเดินห่างท่านหญิงรัตนาวดีออกไป ขณะที่นักเรียนช่วยกันส่งห่อกระดาษรองใบตองห่อเล็กๆ ขนาดกินได้คนเดียว แต่ต่างคนต่างดึงกินกันคนละเส้น จึงเวียนไปได้รอบห้อง
ห่อกระดาษนั้นถูกเจาะรูให้ดึงเส้นเนื้อเค็มออกมากินได้ เด็กๆ จะแอบเคี้ยวเมื่อครูหันหลังให้ และเมื่อครูหันไปดู เด็กนักเรียนก็จะกลืนเนื้อนั้นลงไปแล้ว
ครูสลวยหันซ้ายหันขวาอย่างงุนงงและสับสน ทั้งอยากจับให้ได้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนักเรียนจึงสนุกที่จะปั่นหัวครู
ในที่สุดครูสลวย ก็เดินมาที่ท่านหญิง “ท่านหญิงรัตน์ นี่พวกเด็กๆ ทำอะไรกันอยู่เพคะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีแสร้งทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ทำอะไรหรือคะ”
ครูสลวยพลิกดูมือท่านหญิง รู้สึกว่ามือมันเป็นพิเศษ จึงยกขึ้นดม
“นี่ไง กลิ่นเนื้อเค็มทอดจริงๆ เอามาจากที่ไหนเพคะ”
ท่านหญิงทำเป็นตกใจ “ตายแล้ว หญิงขอโทษจริงๆ ค่ะ ที่ล้างมือไม่สะอาด เมื่อเช้าหญิงกินเนื้อเค็ม
ฝอยที่คุณป้าสร้อยทำมาให้ กลิ่นมือหญิงเหม็นขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
ขาดคำพวกเด็กในห้องหัวเราะกันครืน ครูสลวยหันซ้ายหันขวา ความโกรธเริ่มเป็นริ้วขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนว่าท่านหญิงทำให้ตนเองดูเป็นตัวตลกสำหรับเด็กๆ จึงผลุนผลันเดินออกไปจากห้องทันที พวกนักเรียนเงียบกริบกันไปสักครู่ แต่พอครูสลวยลับตาไป ก็เป่าปาก ลุกขึ้นมารุมล้อมท่านหญิงราวกับเป็นวีรสตรี
ทางด้านปริศนาก็กำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอนอยู่ ส่วนครูถวิลนั่งถักโครเชต์อย่างขะมักเขม้น ขณะที่ครูสลวยเดินเข้ามาจากด้านนอก ท่าทางอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ก่อนจะเดินมากระแทกตัวนั่งที่โต๊ะของตน
ครูถวิลเงยหน้ามองครูสลวยอย่างตกใจ
“ครูสลวย เป็นอะไรหรอคะ”
ปริศนาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ แต่ไม่พูดอะไร ครูถวิลวางมือจากโครเชต์ เข้าไปหาเพื่อปลอบใจครูสลวยที่ควักผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา
“เด็กห้องพิเศษ 1น่ะสิ ครูปริศนา อยู่กันได้ยังไง กวนโมโหเป็นที่สุด ไม่มีระเบียบ ท้าทายทุกอย่าง”
ปริศนาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาครูสลวย “นักเรียนทำอะไรหรือคะ ครู”
“เอาเนื้อเค็มทอดเข้ามากินในห้อง”
ครูถวิลอุทานด้วยความตกใจ “ฮ้า”
“ท่านหญิงรัตน์แหละตัวดี ตัวนำเพื่อน ล้อเลียนครู ไม่เกรงใจเลย ครูปริศนาต้องไปจัดการเด็กห้องครูนะคะ พี่ไม่ยอมด้วย ไม่ยอม เรียนดีแต่ซุกซนดื้อรั้น จะเอาดีได้ยังไง”
ปริศนาฟังพลางคิดพลาง
ท่านหญิงรัตนาวดีในชุดนักเรียนประจำที่แลดูไม่เรียบร้อยเหมือนเก่า เดินคุยกันปริศนามาตามทางเดินในโรงเรียน
“ก็ครูสลวยแกวางอำนาจใส่ทุกคน สั่งโน่นสั่งนี่ ทำดุดัน น่าเบื่อ พวกเราเลยอยากให้แกรู้ว่า เอาแต่อำนาจ ไม่มีประโยชน์อะไร”
ปริศนาปรายสายตามองก่อนจะพูดเป็นเชิงสั่งสอน
“ครูว่า ทั้งเรื่องการวางอำนาจ ถ้าแกทำจริง ซึ่งท่านหญิงก็ทรงเห็นเองแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไร กับเรื่อง ทำให้ครูขายหน้า ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกันนะเพคะ”
ท่านหญิงยักไหล่ “ทำไมจะไม่มีประโยชน์คะ แกจะได้รู้อย่างไรว่าไม่ควรวางอำนาจ”
“เราไม่รู้หรอกเพคะท่านหญิง ว่าแกรู้หรือไม่รู้ รู้แต่ว่าแกเคืองเราเท่านั้น เราไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เสียเวลาเรียนด้วย”
เมื่อแลเห็นว่าท่านหญิงรัตน์ทำท่าดื้อใส่ ปริศนาจึงต้องยื่นไม้ตาย
“ครูอยากให้ท่านหญิงตั้งใจเรียนดีกว่า สอบให้ได้คะแนนดี จะได้ลบคำปรามาสว่าจะไม่มีวันเรียนได้ดี”
ท่านหญิงรู้สึกถูกท้าทาย จนอยากเอาชนะ “เค้าว่าอย่างนั้นหรือคะ คอยดูสิ หญิงจะตั้งใจเรียน
จะสอบให้ได้คะแนนดีกว่าเดิมให้ได้ ครูปริศนาคอยดูนะคะ”
ปริศนายิ้มให้อย่างมีไมตรี “เย็นนี้ ครูจะสอนภาษาอังกฤษเพิ่มให้เพคะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีทำท่ามั่นใจมาก “ค่ะ ครู หญิงจะตั้งใจเรียน”
ปริศนาจับมือกับท่านหญิงอย่างพึงพอใจ เป็นเชิงให้สัญญาแก่กันและกัน
นักเรียนทุกคนแต่งชุดนักเรียนเรียบร้อย กำลังจะเตรียมตัวออกจากห้องพักเพื่อไปเรียน บางคนหยิบการบ้านที่ทำเมื่อคืนใส่กระเป๋า ส่วนท่านหญิงรัตนาวดี กำลังอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ วิมลเดินเข้ามาพุดใกล้ๆ
“ท่านหญิงเพคะ น้ำปลาหวานยังอยู่ กลิ่นดีนัก ประไพสอยมะม่วงข้างรั้วมาได้ 2 ลูก เรากินมะม่วงน้ำปลาหวานในชั่วโมงครูสลวยไหมกันไหมเพคะ”
รัตนาวดีตอบโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ “ไม่ อย่าเลย เอาไว้กินตอนเลิกเรียนดีกว่า”
วิมลและประไพมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“สัญญาไว้กับครูปริศนา ว่าจะไม่ก่อกวนครูสลวยเวลาสอน”
ประไพถามต่อ “ท่านหญิงยังไม่ลงไปหรือคะ”
“อีก 3 บรรทัด ครูปริศนาบอกว่าให้อ่านจบวันนี้”
วิมลและประไพหันมองหน้ากันอีก
มณีเดินเข้ามาถามแทรก “ตอนนี้จะไม่ทรงอ่านโพย เวลาครูถามแล้วหรือเพคะ”
ท่านหญิงส่ายหน้าช้าๆ “ไม่แล้ว จะอ่านเอง ผิดเองถูกเอง ครูจะได้รู้ว่าเรารู้แค่ไหน”
เพื่อนๆ มองหน้ากันอีกครั้ง รู้สึกว่าท่านหญิงรัตนาวดีแปลกไปจากเดิม
เสียงระฆังเข้าเรียนดังก้อง
บรรดานักเรียนที่ยังยืนคุยกัน รีบเดินเข้ามานั่งตามที่ วันนี้เรียนวิชาของครูสลวยเป็นวิชาแรก
พอนักเรียนนั่งลงเรียบร้อย ครูสลวยก็ถือหนังสือเรียนภาษาไทยเดินเข้ามา
ท่านหญิงรัตนาวดีทำหน้าเฉยเมย และมองตรงไปที่กระดาน โดยไม่ปรายตามองครูสลวย
นักเรียนทำความเคารพ แต่ท่านหญิงรัตน์ คงยังมองแต่กระดาน ไม่มองครูเหมือนเคย
ครูสลวยมองท่านหญิงอย่างรู้สึกผิดสังเกต ก่อนจะหันมาสั่งนักเรียนด้วยเสียงวางอำนาจ
“การบ้านที่ให้ไป บอกให้ส่งวันนี้ ไม่มีใครเอาไปส่งที่ห้องพักครูเลย เอามาส่งบนโต๊ะเดี๋ยวนี้
ไม่ส่งเรียนต่อไม่ได้นะคะนักเรียน”
พวกนักเรียนขยับตัวหยิบสมุดออกมา บางคนก็MEหน้าแหย เพราะยังทำไม่เสร็จ ท่านหญิง
รัตนาวดีแกล้งทำเป็นชักช้า
“ใครไม่ส่งงานวันนี้ จะตัดคะแนนนะ อาจจะทำให้ถึงสอบตกวิชาภาษาไทย” ครูสลวยขู่
ประไพยกมือประท้วง “ครูสลวยคะ ครูไม่ได้บอกก่อนเลยว่าจะตัดคะแนน”
“ก็ต้องรู้เองสิคะ ไม่ทำการบ้าน เพราะขี้เกียจ” ครูสลวยพูดพลางปรายตามองท่านหญิง “ แล้วจะเอาคะแนนทำไม ไม่ทำการบ้าน นอกจากจะไม่มีคะแนนแล้ว ยังจะต้องถูกตัดคะแนนอีกด้วย จำเอาไว้”
ขาดคำ ท่านหญิงรัตนาวดีก็เปิดกระเป๋า หยิบสมุดภาษาไทยออกมาและเดินหน้าตายมาส่ง โดย
ไม่มองหน้าครูสลวยเช่นเดิม อีกฝ่ายมองอย่างหมั่นไส้
เมื่อนักเรียนเดินกลับไปนั่งที่แล้ว ครูสลวยก็สั่งต่อ
“นักเรียนเปิดหน้า 28 ท่านหญิงรัตนาวดี อ่านค่ะ”
ท่านหญิงหยิบหนังสือมาเปิด และลุกขึ้นยืนก้มหน้าก้มตาอ่าน โดยไม่เงยหน้า ครูสลวยโกรธจน
หน้าชา
ปริศนาหยิบหนังสือภาษาอังกฤษกำลังจะเดินออกจากห้องพักครู จังหวะเดียวกับที่ครูสลวยเดินเข้ามา พร้อมกับถือหนังสือภาษาไทยตืดมือมาด้วย
“ครูปริศนาคะ ท่านหญิงรัตน์น่ะ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
ปริศนาทำหน้าสงสัย “มีอะไรหรือคะ ครูสลวย”
“ทำท่าแปลกมาก”
“ท่านหญิงรัตน์ทำอะไรหรือคะ” ปริศนาถามต่ออีก
“ไม่ค่ะ ไม่ทำอะไรเลย ทำหน้าเฉย มองแต่กระดาน”
“ไม่ยอมเรียนหนังสือหรือคะ”
ครูสลวยหน้าเจื่อน “ก็เรียนนะคะ การบ้านก็ทำมา เรียกให้อ่านก็อ่าน แต่ก้มหน้าก้มตาอ่าน
ไม่มองอะไรเลย ฉันสอน ก็มองแต่กระดาน ไม่รู้ว่าฟังหรือไม่ได้ฟัง ทำหน้าเฉยตลอด เรียกให้ตอบ ก็ลุกมาตอบไม่มองหน้า”
ปริศนามองครูสลวยยิ้มๆ แต่ไม่พุดกระไร
“ครูปริศนา ช่วยไปอบรมแกหน่อยค่ะ ว่าทำอย่างนี้ไม่สมควร เป็นการแสดงความไม่เคารพครู
ครูปริศนาต้องจัดการให้พี่นะคะ นักเรียนห้องนี้ ไม่เคยเชื่อฟังใครเลย ตอนนี้ดูเหมือนจะเชื่อครูปริศนาอยู่คนเดียว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ท่านหญิงรัตน์ จะไม่สอบได้ที่ดีขึ้นอย่างที่ใครๆ หวังไว้หรอก ขืนทำตัวอย่างนี้”
“ปริศนาเชื่อว่า ท่านหญิง จะมีผลการเรียนดีขึ้นค่ะ เราต้องดูกันตอนปลายเทอม”
ปริศนายิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ครูสลวยมองค้อนตาม
“ฉันก็จะคอยดู เพราะฉันไม่เชื่อหรอก ว่าท่านหญิงรัตน์จะทำได้ ฮึ ฮึ”
ท้องฟ้าเวลารุ่งเช้า
ปริศนาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนกระพริบตาถี่ๆ แล้วรำพึงเบาๆ
“It’s my birthday”
จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับแว่วได้ยินเสียงควบม้า และเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ที่ขี่ม้าอยู่ในทุ่งกว้าง
เธอลืมตาขึ้นแล้วมองตรงไป ก่อนจะรำพึงในใจ
“ปาร์ตี้ขี่ม้า ตอนปริศนาอายุ 19 ปีที่แล้ว แล้วคุณอาก็พาเที่ยว พาไปปาร์ตี้กลางคืนอีก”
ปริศนาหลับตาลง พร้อมกับเสียงเพลงเต้นรำดังขึ้นในความคิด เธอถึงกับน้ำตารินออกมา
“วันนี้ปริศนาอายุ 20 ปีแล้ว คุณอาจะจำวันเกิดปริศนาได้ไหมนะ”
คิดพลางพลิกตัวนอนคว่ำหน้ากับหมอนแล้วร้องไห้
ครู่หนึ่งอนงค์ก็ตื่นขึ้นมา มองดูปริศนา แต่ไม่กล้าเรียก ได้แต่ตลบมุ้งขึ้น แล้วเดินออกจากห้องไป
เงียบๆ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของสิรี ก่อนจะตบประตูเบาๆ 2 ครั้ง เจ้าของห้อง หน้าตางัวเงีย เดินมาเปิดประตู แล้วก็ยิ้มดีใจ ที่เห็นน้องสาว ก่อนเปิดประตูห้องให้เข้าไป แล้วหยิบเสื้อที่สอยค้างไว้ส่งให้
“ดีจัง อนงค์ มาช่วยสอยเสื้อให้ปริศนาหน่อย พี่จะให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด เมื่อคืนทำไม่เสร็จ ง่วงจัง เลยนอนไปก่อน”
อนงค์หน้าตาเป็นกังวล “สิรี ปริศนาเป็นอะไรไม่รู้ ร้องไห้แต่เช้า”
“อ้าว แล้วไม่ถามล่ะ”
“ไม่กล้าถาม สอยเสื้อให้ก่อนแล้วกัน สอยเสร็จแล้ว เราค่อยไปถามกันนะสิรี”
พูดจบอนงค์นั่งลงสอยเสื้ออย่างตั้งใจ สิรีมองน้องสาวอย่างนึกขำที่มักจะเกรงใจคนอื่นเสมอ
สิรีถือเสื้อที่แขวนในไม้แขวน เสื้อนั้นดูสวยน่ารักเหมาะกับปริศนามาก เธอเดินมาพร้อมกับอนงค์ก่อนจะเคาะประตูห้องนอน แล้วเปิดเข้าไปเลย
ปริศนาที่กำลังแต่งผมอยู่หน้ากระจก หันมามอง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์จ้ะ ปริศนาน้องรัก”
ปริศนายิ้มดีใจ แววตาสดใส “สิรีให้เสื้อปริศนาหรือ สวยจริง”
อนงค์พูดต่อ “พี่ก็มีของขวัญให้ปริศนา ว่าแต่เมื่อกี๊ ปริศนาเป็นอะไร”
ปริศนาหน้าสลดลงนิดหนึ่ง
“คิดถึงคุณอา จำได้ว่าปีที่แล้ว วันนี้ปริศนาได้ฉลองอะไรบ้าง ตอนเช้าไปปาร์ตี้ขี่ม้าที่บ้านเพื่อน บ่ายคุณอาพาไปเที่ยว ไปกินขนม ตอนเย็นพาไปงานปาร์ตี้ แต่งแฟนซีอีก คนที่นั่น ตื่นเต้นกับวันวาเลนไทน์มาก เต้นรำกัน แล้วให้หัวใจกัน ไม่มีใครถือ แต่ถ้าใครชอบพอกัน ก็เอาหัวใจมาติดที่แขนเสื้อ ปริศนายังได้หัวใจตั้งหลายดวง แต่ไม่ติดหัวใจที่แขนเสื้อใครเลย อ้อ ติดเล่นๆ ให้คุณอา ไม่รู้ว่าปริศนาอยู่เมืองไทยแล้ว คุณอาจะจำวันเกิดปริศนาได้ไหม”
อนงค์รีบบอก “แต่พี่จำวันเกิดปริศนาได้เหมือนกัน เลยหากรอบรูปใหม่มาให้ กรอบรูปของปริศนาโปเกไปแล้ว”
พูดจบก็เดินไปที่ตู้ หยิบห่อของมาส่งให้น้องสาว ปริศนารับมาไว้ แล้วยิ้มอย่างยินดี
กรอบรูปเงิน และรูปของท่านชายและรตีที่ปริศนาเคยวางไว้ในห้องนอน ถูกวางลงที่ห้องโถง
“สวยจังนะคะแม่”
สมรยิ้มให้บุตรีคนเล็ก “รูปอะไรนั่น”
“รูปปริศนาถ่ายเอง แต่กรอบรูป อนงค์ให้เป็นของขวัญวันเกิดค่ะ”
“เมื่อวาน ได้สับประรดชะลอมนึงจากสมศักดิ์ เค้าว่าให้มาเป็นของขวัญวันเกิดปริศนา แต่ให้ปริศนากินลูกโตสุด ปากชะลอมลูกเดียว แม่จะปอกไว้ให้เย็นนี้ อุบลส่งเงินมาให้สี่สิบบาท”
สมรยื่นซองใส่เงินให้ แล้วอีกมือหนึ่งส่งกล่องให้ปริศนา
“ส่วนนี่เป็นของขวัญจากแม่ ให้ปริศนามีความสุขมากๆ นะลูก”
ปริศนารับกล่องของขวัญมา ก่อนจะโผเข้าสวมกอด แล้วหอมแก้มแม่
“ปริศนารักแม่ รักทุกคนมากๆ เลย”
“ดูของขวัญสิปริศนา”
ปริศนารีบเปิดกล่องแล้วหยิบออกมาดู เห็นเป็นเข็มกลัดเล็กๆ รูปกระเช้า
“โอ้ แม่ สวยจังเลย สวยจริงๆ”
เจ้าของวันเกิดรีบติดเข็มกลัดที่แม่ให้เข้ากับเสื้อ สิรีกุลีกุจอรีบเข้าไปช่วย ก่อนที่จำเนียรจะเดินเข้ามาพร้อมกันคุกเข่าส่งซองโทรเลขให้
“อะไรน่ะ จำเนียร” สมรหันมาถาม
“โทรเลขค่ะ”
ปริศนารีบรับมา แล้วเปิดออกอ่านทันที
“จากคุณอาค่ะ อนงค์ คุณอาไม่ลืมวันเกิดปริศนาล่ะ”
ปริศนาถึงกับน้ำตาซึม สิรีถามต่อ
“มีของขวัญด้วยไหมปริศนา”
“ คุณอาว่าจะส่งตามมา แต่อวยพรให้มีความสุข และขอให้เป็นคนดี”
“ปริศนาของแม่เป็นคนดีอยู่แล้วลูก”
ปริศนาโผเข้ากอดแม่อีกครั้ง “คุณอาดีต่อปริศนาเหลือเกิน”
สิรีรีบบอกน้องสาว “ไปเถอะ ปริศนา เดี๋ยวจะสายแล้ว วันนี้คุณเสมอ คงไม่ได้มา”
“เฮ้อ ปีนี้เป็นปีแรก ที่ปริศนาต้องไปทำงานในวันเกิด”.
ปริศนาปาดน้ำตาแห่งปลื้มปิติ ก่อนจะคว้ากระเป๋า แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน พร้อมกับสิรี โดยมีอนงค์เดินตามมาด้วย
จังหวะนั้นประวิชที่เพิ่งขับรถเข้ามา ก็ลงมาจากรถพอดี
“เอ๊ะ ประวิช มาแต่เช้าเชียว” ปริศนาร้องทัก
“แน่นอน วันสำคัญนี่ Happy Birthday จ้ะปริศนา”
พูดพลางเอื้อมมือมาจับเขย่าแบบฝรั่ง ปริศนาจับมือตอบ พร้อมกับยิ้มกว้าง อนงค์ลอบมองอย่างเจ็บลึกๆ แต่พยายามทำใจ
ประวิชหยิบห่อเล็กๆ ผูกโบสีชมพู จากกระเป๋าเสื้อ ออกมายื่นให้ปริศนา
“ของขวัญวันเกิด ประวิชให้ปริศนา”
ปริศนาตาโต “อะไร”
“แกะดูซิ”
ปริศนาแกะโบและกระดาษห่อของขวัญออก ข้างในเป็นกล่องกระดาษแข็งเล็กๆ เมื่อเปิดออก พื้นในเป็นกำมะหยี่ มีสร้อยข้อมือทองคำ มีหัวใจเล็กๆ 2 อันห้อยอยู่ กลางหัวใจมีเพชรเล็กๆ ฝังอยู่ดวงละเม็ด
อนงค์ยกมือจับหัวใจตนเอง และก้มหน้าเดินเข้าบ้านไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ปริศนามองอย่างพึงใจ “ Oh boy! You are a dear!”
ประวิชยิ้มปลื้ม “ชอบไหมปริศนา เดี๋ยวประวิชใส่ให้”
พูดจบก็หยิบสร้อยจากปริศนามาสวมมือให้
“ประวิชขอบใจมากที่สุดในโลกเลยนะ”
ประวิชยิ้มอย่างมีความสุข จนแอบคิดไปเองว่าปริศนาก็มีใจให้ตนเองเหมือนกัน เขาไม่ปล่อยมือของเธอ ตรงกันข้าม กลับยกมือปริศนาขึ้นจรดริมฝีปากของตน
สิรีที่ยืนมองอยู่ เลิกคิ้วเป็นคำถาม ถึงความเหมาะสมที่ปริศนายอมให้ประวิชทำกริยาเช่นนั้น จนต้องกระแอมเตือน
ประวิชจำเป็นต้องปล่อยมือปริศนา แล้วหันมายิ้มเก้อๆ กับสิรี
“อ้อ คุณสิรี กำลังจะออกไปทำงานกันหรือขอรับ”
“กำลังจะสายอยู่แล้วค่ะ วันนี้มัวให้ของขวัญปริศนากัน”
“เสียใจที่ต้องไปแล้วนะประวิช ไม่งั้นจะได้คุยกันนานๆ”
ประวิชรีบยิงคำถามต่อ “ตอนเย็น ประวิชมาหาอีกได้ไหม”
“มาสิ มากินขนมกัน”
ปริศนากับสิรีขึ้นรถ แล้วขับออกไป ประวิชมองตามอย่างชื่นชม
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ปริศนาขับรถพาสิรีจะมาทำงานที่ร้านนงลักษณ์ จวนเจียนจะถึงแล้ว พี่สาวคนรองมองสร้อยข้อมือของน้องสาว แล้วทำสีหน้าพิกล
“มีรูปหัวจงหัวใจด้วย นายประวิชนี่ชักจะยังไงๆ เสียแล้ว”
ปริศนายกสร้อยข้อมือขึ้นดู
“อะไรยังไง สวยนะ ไปหาจากไหนมาก็ไม่รู้ สิรีชอบหรือ ไว้วันหลังปริศนาจะให้ขอยืมใส่ วันนี้เพิ่งได้มาใหม่ๆ ยังเห่ออยู่”
“มาให้พี่ยืมใส่ คุณวิชได้โกรธเอาตาย นี่ปริศนา ทำไมถึงยอมให้เขาจูบมือ” สิรีพูดกึ่งตำหนิ
“ทำไมหรือ ก็เขาใจดีกับปริศนานี่ วันนี้ใจดีเป็นพิเศษด้วย”
สิรีดูท่าว่าน้องสาวที่เติบโตมาจากเมืองนอกเมืองนาจะไม่เข้าใจ จึงตั้งท่าจะอธิบายยาว
“ถ้าไม่ใช่คู่รักกัน เขาไม่จับมือถือแขนกันกลางสาธารณะหรอก”
ปริศนาหันไปเห็นเสมอเดินตรงมาก็พยักหน้าให้สิรีดู
“วันนี้ไม่ได้ไปรับที่บ้าน แต่มารอหน้าร้านล่ะ”
สิรีมองตาม เห็นเสมอกำลังลงจากรถของตน เดินตรงมาที่รถปริศนา
“คุณสิรี วันนี้ผมออกจากบ้านช้า น้องสาวผมเขาเรียกให้เอาผ้ามาให้ตัด กว่าจะจัดกันเรียบร้อย
เลยว่าจะไปรับที่บ้านไม่ทันแน่นอน เลยมาคอยตรงนี้”
สิรีรีบลงจากรถไป เดินเข้าไปหา เสมอยิ้มประจบประแจง และจับมืออีกฝ่ายตรงเข้าร้านไป
สิรียิ้มอย่างพอใจ จนลืมไปว่า เมื่อครู่ตัวเอง เพิ่งตำหนิปริศนาไป
ปริศนาเลยคิดว่าได้คำตอบแล้วว่าสิรีเป็นคู่รักกับเสมอแน่นอน
วิมลวิ่งมาจากทางด้านที่จอดรถหน้าโรงเรียน ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น
“ครูมาแล้ว”
พวกเด็กๆ ที่ยืนออรอกันอยู่ รีบวิ่งผลุบหายไปทางห้องซ้อมดนตรี ความเงียบสนิทบังเกิดขึ้นทันที
พอปริศนาเดินเข้ามา ก็ได้ยินเสียงเพลง Happy Birthday to You ดังแว่วมา เธอหยุดยิ่มนิดหนึ่ง นึกดีใจว่าใครหนอมาซ้อมร้องเพลงนี้ในวันเกิดของตน จากนั้นจึงเดินเข้าไปทางห้องพักครู
ปริศนาเดินเข้ามาในห้องพักครู ครูถวิลที่กำลังจะยกถ้วยกาแฟไปเก็บหันมาเห็นพอดี
“ครูปริศนา เพิ่งมาหรือคะ นึกว่าขึ้นไปสอนแล้วเสียอีก”
“วันนี้ เริ่มสอนชั่วโมงที่ 2 ค่ะ”
“วันนี้ ปริศนาดูสวยกว่าทุกวันทีเดียว”
ครูสุมนพูดทัก ครูถวิลเห็นด้วย
“นั่นสิ อูยนี่ไง มีเข็มกลัด แล้วนี่ก็สร้อยข้อมือ สวยจริงๆ
“วันนี้วันเกิดปริศนา เลยเห่อของขวัญที่เพิ่งได้มา”
ถวิลพยักหน้ารับรู้ “โอ้ว ถ้างั้นวันนี้ก็วันเกิดครูปริศนาใช่ไหม เมื่อกี๊ได้ยินเสียงร้องเพลงวันเกิดแว่วๆ” ปริศนาส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่น่าจะร้องให้ปริศนานะคะ ปริศนาไม่ได้บอกใครเลยเรื่องวันเกิด คิดว่าใครซ้อมร้องเพลงมากกว่า แต่ร้องเพราะจริงๆ ถือเป็นคำอวยพร ปริศนารับเอามาเองก็แล้วกัน”
ครูถวิลยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ดีจริงทีเดียว เราขออวยพรให้ครูปริศนามีความสุขมากๆ ในวันคล้ายเกิดด้วยนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
สุมนรีบเสนอ “กลางวัน หาขนมอร่อยๆ เลี้ยงครูปริศนากันดีกว่า ฉลองวันเกิดให้”
“ขอบคุณค่ะ ครูสุมน ครูถวิล แต่ไม่ต้อง Make a big deal ก็ได้นะคะ ปริศนาขอฉลองเล็กๆเท่านั้นก็พอ”
“ตกลงค่ะ ตามใจเจ้าของวันเกิด”
ทั้งหมดยิ้มให้กัน
นักเรียนในชั้นเรียนพิเศษ 1 กำลังรอปริศนามาสอน ทุกคนนั่งอยู่กับที่เรียบร้อย หลายๆ คนกำลังหยิบหนังสือเรียนภาษาอังกฤษมาวางกางบนโต๊ะ
ในขณะที่ท่านหญิงรัตนาวดีและเพื่อนสนิท กางหนังสือไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
ปริศนาเดินเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจว่า ทำไมวันนี้ห้องเรียนเงียบกว่าทุกวัน นักเรียนยืนขึ้น แต่แทนที่จะทำความเคารพแบบเดิม กลับพูดพร้อมกัน
“Happy Birthday Dear Teacher!”
ปริศนาถึงกับอึ้งไป นักเรียนพากันยิ้มแย้ม
พอปริศนาเดินเข้าไปที่โต๊ะหน้าห้อง ก็เห็นดอกไม้วางอยู่เต็มโต๊ะ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ที่รู้ว่า นักเรียนเตรียมการกันมา
“อะไรกันคะ ทำไมถึงรู้”
ประไพรีบยกมือตอบ “รู้สิคะ ท่านหญิงรัตน์บอกพวกเรา”
มณีพูดต่อ “ท่านหญิงรัตน์เป็นผู้รู้ก่อนใครเพื่อนเลยค่ะ”
ปริศนามองหน้าท่านหญิงรัตนาวดีเป็นเชิงถาม ฝ่ายถูกมองยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เป็นคนรู้ก่อนใครเพื่อน
“ทำไมท่านหญิงทรงทราบเพคะ”
“เจ้าพี่โทรศัพท์มาบอกค่ะ”
ปริศนายิ่งอึ้งหนัก ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน แต่นึกไม่ออกจึงเดินมาที่โต๊ะ จัดดอกไม้วางรวมกันให้เรียบร้อย
“ถ้าอย่างนั้น เพลงที่ครูได้ยินตอนมาถึงโรงเรียน”
วิมลยิ้มรับ “ค่ะ พวกเราร้อง ท่านหญิงดีดเปียโน”
ปริศนายิ่งตกใจหนัก “ตายจริง ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ คนอื่นๆ เขาจะว่าเอาได้ แต่ยังไงก็ดี ครูต้องบอกว่าขอขอบใจพวกเธอทุกคน ขอบใจมาก จนไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ดอกไม้นี่ก็สวยเหลือเกิน ไม่น่าที่จะต้องมาจัดให้เอิกเกริกอย่างนี้เลย”
ท่านหญิงรัตนาวดีรีบพูดจากใจจริง “เรารักครูนี่คะ”
ปริศนาถึงกับต้องกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ดีใจที่นักเรียนรัก
ประไพยกมือเสนอ “ครูคะ ไหนๆ วันนี้ก็วันเกิดครูแล้ว เราไม่เรียนได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ค่ะ ใกล้จะสอบแล้วจะไม่เรียนได้ยังไง แต่เพื่อตอบแทนพวกเธอ วันนี้เรามาพูดอังกฤษแทน
ก็ได้ค่ะ วันจันทร์ค่อยกลับไปเรียนไวยากรณ์ ตกลงมั้ยคะ”
นักเรียนตอบตกลงกันเซ็งแช่ ปริศนายิ้มขัน
“OK Let’s start talking. In English only please.”
พวกเด็กๆ หัวเราะ ท่านหญิงรัตนาวดียกมือขึ้น ปริศนาเดินเข้ามาหา ทั้งคู่สนทนาภาษาอังกฤษกันอย่างเป็นกันเอง
ปริศนาขับรถเข้ามาจอดในบ้าน พอเห็นหน้าสิรี ก็ลงจากรถมาโวยวายทันที
“สิรี กลับมาก่อน รู้มั้ยปริศนาไปรับเก้อเลย”
“พอดี คุณเสมอแกมาและอาสามาส่ง จะโทรศัพท์ไปบอกที่โรงเรียนก็เกรงใจ แต่วันนี้ปริศนาก็มาเย็นกว่าปกติ พี่เห็นได้เวลาควรจะมาแล้วก็ยังไม่มา เลยออกมาก่อน”
“ปริศนามาเย็น เพราะต้องเก็บดอกไม้”
พูดจบก็เปิดที่นั่งด้านหลัง เห็นช่อดอกไม้จากโต๊ะครูอยู่เต็มเบาะ สิรีตาโต
“ใครให้ดอกไม้มามากมายนัก”
“นักเรียนห้องที่ปริศนาเป็นครูประจำชั้น ให้ดอกไม้กันคนละช่อ เลยเก็บมาหมด ไม่ทิ้งไว้ในห้อง กลัวว่าคนอื่นเห็นเข้าจะหมั่นไส้เอา”
“อ้อ นักเรียนให้เนื่องในวันเกิด เอามาแต่งบ้านเราก็ได้”
พุดจบสิรีก็รีบกวักมือเรียกช่วง “ลุงช่วง มาช่วยกันถือของหน่อย”
ปริศนา สิรี และช่วง ช่วยกันหอบดอกไม้ขึ้นมา พอมาถึงบันไดทางขึ้นเรือน อนงค์ก็จูงสุนัขไวร์แฮร์ ฟอกซ์เทอเรียออกมา
ปริศนามองอย่างตื่นเต้น “อนงค์ นั่นหมาของใคร เอามาจากไหนน่ะ”
“ของปริศนาน่ะสิ”
ปริศนาหันมาดูสุนัขเต็มตา พลางยังงงๆ ในคำตอบของพี่สาว
“ของปริศนา ของปริศนาหรือ? เฮ้ย พูดเป็นเล่น เป็นไปไม่ได้ ปริศนารู้สึกว่ามันเหมือนหมาของปริศนาที่เคยมีที่อเมริกาเลย”
อนงค์ยิ้มให้น้องสาวอย่างแสนรัก
“ทำไมจะไม่ได้ ท่านชายให้คนเอามาประทานวันเกิดปริศนา แทนเจ้าตัวเล็ก”
ปริศนาทรุดตัวลงนั่งลงทันที ปล่อยช่อดอกไม้ ให้เกลื่อนอยู่รอบตัว
“ฮ้า อะไรนะ ท่านชายให้เหรอ Oh My! ใครๆ เป็นอะไรกันหมดก็ไม่รู้ ปริศนาจะแย่แล้ว”
พูดจบก็คว้าสุนัขมากอดไว้ “นี่มันชื่ออะไรนะ”
“ชื่อวูปี้ อ่านที่ปลอกคอสิ ท่านชายสั่งมาจากฮ่องกง”
ปริศนารีบพลิกดูปลอกคอ อนงค์กับสิรีช่วยกันเก็บดอกไม้ ปล่อยให้ปริศนาเพลิดเพลินกับการเล่นกับสุนัข
“โอ้ วูปี้ วูปี้”
จากนั้นก็อุ้มสุนัขขึ้นมา แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน
สมรกำลังพับเสื้อผ้าเพื่อใส่ตู้ ได้ยินปริศนาวิ่งขึ้นบันไดเสียงดัง และเสียงประตูปิดปัง ก็นึกแปลกใจ รีบวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วเดินออกไปด้านนอก
ปริศนานอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงแบบอัดอั้นตันใจคิดอะไรไม่ออก มีวูปี้นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่สมรจะผลักประตูเข้ามา
ปริศนาเงยหน้าที่คิดหนักขึ้นมา “แม่คะ ปริศนาจะทำยังไงดี”
สมรมองหน้าลูกสาวคนเล็กอย่างงงกับคำถาม
“ปริศนา พูดเรื่องอะไรล่ะลูก”
“ท่านชายน่ะสิคะ ทำไมถึงดีกับปริศนาอย่างนี้ ปริศนาว่าท่านต่างๆ นานา แล้วยังล้อท่านเสมอ แล้วดูสิคะ ท่านประทานหมาไวร์แฮร์ฟอกซ์เทอเรีย เหมือนที่ปริศนาเคยเลี้ยงตอนอยู่บ้านคุณอา ให้มาแทนเจ้าตัวเล็ก ท่านอุตสาหะมากนะแม่ สั่งหมามาจากฮ่องกงทีเดียว นี่ปริศนาจะขอบพระทัยท่านยังไงดี”
“จะขอบพระทัยยังไงดี” สมรทำท่านึก “เอาอย่างนี้ไหม โทรศัพท์ไปหาท่าน เชิญมาเสวยน้ำชา
ดีไหม”
“ค่ะ ก็ดี ดีแล้ว ปริศนาไปโทรศัพท์เลยนะคะแม่”
พูดจบก็รีบคว้ากระเป๋าถือเดินออกไป สมรอุ้มวูปี้ตามลงมาด้วย สิรีหันมาถาม
“จะไปไหนน่ะปริศนา โครมครามจริง”
“ไปร้านเจ๊ก จะไปโทรศัพท์ แม่ ฝากวูปี้ด้วยนะคะ อย่าให้มันวิ่งออกข้างนอกไป”
ปริศนารีบเดินลงจากบ้านไป สิรีและอนงค์หันมองแม่อย่างเป็นคำถาม
“แม่คะ ปริศนาจะไปโทรศัพท์หาใคร”
“จะทูลเชิญท่านชาย มาเสวยน้ำชา เป็นการขอบคุณ ที่ประทานวูปี้มาให้วันนี้”
อนงค์อ้าปากค้าง “สรุปว่าที่เราจะกินกันวันนี้ จะมีแขกมาร่วมด้วยงั้นหรือคะ”
สมรยิ้มรับ “ถ้าท่านว่าง แล้วโปรดที่จะเสด็จมา”.
จากนั้นก็ปล่อยวูปี้ลงกับพื้น แล้วส่งสายจูงให้อนงค์
ปริศนาเดินเข้ามาที่ร้านขายของชำหน้าปากซอย พลางเอ่ยปากบอกเจ้าของร้าน
“ขอโทรศัพท์หน่อยนะจ๊ะ”
เจ้าของร้านเงยหน้ามายิ้มรับ “เชิญข้างในเลย คุณปริศนา”
ปริศนาเดินเข้าไปในร้าน หยิบสมุดเล่มเล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วรีบหมุนโทรศัพท์
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ณ วังศิลาขาว
สนเดินมาจากด้านนอก รีบเข้าไปรับสาย “ศิลาขาวขอรับ ขอทราบนามท่านขอรับ อ้อ คุณปริศนา หรือขอรับ เวลานี้ท่านชายคงยังไม่เสด็จออกจากโรงพยาบาล กระผมจะให้เลขโทรศัพท์ รบกวนติดต่อไปในเวลานี้เลยขอรับ”
ปริศนาหนีบหูโทรศัพท์ไว้ แล้วเอาดินสอแถวโต๊ะนั้นจดหมายเลยโทรศัพท์ ตามคำบอกของสน ลงในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ของเธอ จนเสร็จเรียบร้อย
“ขอบใจมากนายสน ฉันจะโทรศัพท์ไปเดี๋ยวนี้เลยจ้ะ”
พูดจบก็กดวางสายโทรศัพท์ แล้วหมุนโทรศัพท์ ใหม่อีกครั้ง
ปริศนาสวมเสื้อตัวใหม่ที่สิรีให้เป็นของขวัญวันเกิด คนให้ช่วยดูแลดึงเสื้อให้เข้าที่ กลัดเข็มกลัดที่แม่ให้ และสวมสร้อยข้อมือของประวิช
จำเนียรเข้าประตูมา “คุณปริศนาคะ คุณนายให้มาเรียนว่า ท่านชายพจน์ เสด็จแล้วค่ะ”
ปริศนาถึงกับตกใจ “ตายจริง มาถึงเร็วจัง”
สิรีอมยิ้ม “นั่นสิ ปริศนาแต่งตัวเสร็จพอดี”
“ยัง ผมยังไม่เรียบร้อยเลย ยังไม่ได้ผัดหน้าทาแป้ง”
ปริศนารีบผละไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “สิรี ช่วยลงไปต้อนรับท่านชายที”
“อะไรกัน พี่ยังไม่ได้แต่งตัวเลย ประเดี๋ยวถึงจะลงไป ปริศนาทำหน้าตาให้เรียบร้อยแล้ว รีบลงไปเถอะ”
สิรีรีบเดินออกจากห้องไป ปริศนารีบจับผมให้เข้าทรง ผัดแป้งจนนวลผ่อง
“จำเนียร ฝากเก็บของให้ปริศนาด้วยนะ เลอะเต็มที”
สั่งเสร็จ ปริศนาก็เร่งฝีเท้าออกจากห้องไป
ปริศนาเดินเข้ามาที่ห้องโถงของบ้าน พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ท่านชายพจน์ปรีชาก็ลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือให้จับแบบฝรั่ง
“Happy Birthday ปริศนา ฉันมาเร็วเกินไปไหม ออกจากโรงพยาบาลก็ตรงมานี่เลย”
ปริศนาผายมือให้ท่านชายนั่ง พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา
“ไม่เร็วเกินไปหรอกค่ะ กำลังดี เดี๋ยวประวิชคงมา ท่านชายคะ ขอบทัยมากสำหรับวูปี้ ปริศนาดีใจ..จนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”
ท่านชายยิ้มอย่างพึงใจกับคำพูดของปริศนา แสดงว่าของที่ตั้งใจจัดให้นั้น ได้ผลตามต้องการทุกประการ
“ยังงั้นเทียวหรือ”
ปริศนาเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มของท่านชายชัดๆ วันนี้เอง พลางแอบชื่นมในใจว่าช่างเป็นรอยยิ้มที่เก๋และสวยมาก
“วันนี้แม่กับอนงค์ ช่วยกันทำขนมใหญ่เทียวค่ะ คงมีอะไรอร่อยๆ อ้อแล้วค่ำๆ เราจะไปกินข้าวเจ๊ก และไปดูหนังกัน ท่านชายจะเสด็จไปกับเราไหมคะ”
“ไม่ไป ขอบใจ กินน้ำชามื้อเดียวก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ...
ปริศนาทำหน้าตกใจ และหวาดหวั่นมากที่สุดในชีวิต เมื่อมองเห็นรูปที่อยู่ด้านหลังท่านชาย
“ทำไมปริศนาทำหน้าอย่างนั้น”
ปริศนามองตรงไปที่รูปของท่านชายขณะกำลังอุ้มรตี ซึ่งเอามาอวดกรอบเมื่อเช้า มันตั้งอยู่ข้างหลังท่านชายนั่นเอง
พอปริศนาจ้องมองไป ท่านชายก็มองตาม แล้วก็หยิบขึ้นมาดูอย่างไม่พอใจ
“นี่รูปของใคร”
“ของปริศนาเองเพคะ ถ่ายตั้งแต่วันที่ไปเที่ยวเรือ”
ท่านชายพูดประชด “อ้อ ดี แล้วเธอวางไว้ให้ใครๆ ดูเล่นอย่างนี้เองหรอกรึ”
ปริศนาหน้าเจื่อน “ไม่เพคะ ปรกติวางไว้ในห้อง แต่เมื่อเช้าอนงค์เปลี่ยนกรอบให้ เลยเอาลงมาข้างล่าง แต่ไม่ทราบใครเอามาไว้ตรงนี้”
“งั้นหรือ แต่รูปมันน่าเกลียดมาก อย่าเอาไว้เลย ขอให้ฉันเถิด”
ปริศนาเริ่มเสียงแข็ง “ไม่ได้เพคะ ของปริศนา ปริศนาชอบ ท่านชายเอาไป ปริศนาก็ไม่มีน่ะสิเพคะ”
“เธอจะเอามันไว้ทำไม” ท่านชายย้อนถาม
“เอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือเพคะ ทำงานไปก็ดูเสมอจนชิน ไม่มีดู เหงาแย่”
ท่านชายหัวเราะขันความตรงไปตรงมาของปริศนา
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือ ถ้างั้น ขอรูปนี้ฉัน แล้วพรุ่งนี้จะส่งรูปอื่นมาให้แทน จะได้ไหม”
“ได้เพคะ”
“ดี เธอนี่แปลก ปริศนา”
ปริศนาทำหน้าทะเล้น
“ขอบพระทัยเพคะ แต่แปลกของท่านชายมีความหมายดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่แปลกของปริศนา ความหมายดีนะเพคะ ท่านชายก็แปลกเหมือนกัน ยิ่งพบก็ยิ่งแปลก ปริศนาคิดว่าท่านชายเป็นคนอย่างหนึ่ง แต่ท่านชายกลายเป็นคนอีกอย่าง ท่านชายดีกว่าที่ปริศนาคิดมาก”
ท่านชายพจน์มองปริศนา อย่างชื่นชม และชมชอบ จนฝ่ายถูกมองเริ่มจะอึดอัด
พลันก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา ปริศนายิ้มดีใจ
“คงเป็นประวิช”
เธอรีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน ท่านชายยืนขึ้นตาม ก่อนจะเหลือบมองดูรูป แล้วหยิบขึ้นมาเอาด้านรูปเข้าหาตัว แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้านเหมือนกัน
ที่สนามหลังบ้านสุทธากูล ถูกจัดให้เป็นมุมสังสรรค์เล็กๆ กลางสนามมีโต๊ะกลมปูผ้าสวยงาม วางขนม น้ำชา กาแฟ ช้อนส้อม และ จาน มีโต๊ะกาแฟเล็กๆ 2-3 ตัววางใกล้กัน มีเก้าอี้ให้นั่งคุย ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ที่ปริศนาได้รีบจากนักเรียน
สมร อนงค์ สิรี และจำเนียร ยืนคอยอยู่แถวนั้น ครู่หนึ่งปริศนาก็เดินนำท่านชายและประวิชเข้ามา
“ทำไมเงียบกันล่ะ ประวิชคิดว่าน่าจะได้มีใครร้องเพลง Happy Birthday ให้ปริศนาตรงนี้”
ปริศนาทำจมูกย่น “ไม่ต้องเลย วันนี้มีคนร้องเพลงให้ปริศนาหลายรอบแล้ว เพราะมาก แค่นั้นพอดีกว่า”
ประวิชแอบเหล่มองท่านชายพจน์ปรีชา “ใครกัน ร้องเพลงวันเกิดให้ปริศนา”
“นักเรียนน่ะ มีท่านหญิงทรงดีดเปียโน วิมลและเพื่อนๆ ร้องเพลงให้ เพราะที่สุด”
สมรรีบเดินอกมาต้อนรับ “เชิญ เสด็จเพคะ” ก่อนจะผายมือไปที่โต๊ะขนม ปริศนา เดินเข้าไปตักเป็นคนแรก ท่านชายและประวิชตามมา
สมรกับอนงค์ ช่วยกันรินน้ำชา แล้วเอามาให้ทุกคน
ท่ายชายพจน์ปรีชา ปริศนา ประวิช นั่งลงที่โต๊ะกาแฟ โต๊ะเดียวกัน
“แล้วทำไมต้องเป็น ไวร์แฮร์ ฟอกซ์ เทอเรียล่ะ” ประวิชหันมาถาม
ท่านชายไม่ตอบ แต่กลับหันไปย้อนถามปริศนา “แล้วปริศนาชอบไหม หมาพันธุ์นี้”
“ชอบสิคะ ปริศนาเคยเลี้ยงหมาแบบนี้ที่อเมริกา”
ท่านชายยิ้มอย่างพอใจ ประวิชหันมามองอย่างอยากรู้ว่าท่านชาย รู้ได้อย่างไร หรือรู้มาก่อนหรือเปล่า
ปริศนาพูดต่อ “อยากเอามาเมืองไทยด้วยจริงๆ แต่เอามาไม่ได้ เพราะมันเป็นหมาของคุณอา”
“เลยถูกใจมากๆ กับวูปี้” ประวิชพูดกึ่งประชด
“แล้ววูปี้ก็น่ารัก ฉลาดมากด้วยเพคะ”
สมรยกน้ำชามาวางให้ท่านชาย ปริศนาหันมาพูดอ้อนแม่
“แม่คะ ให้ปริศนาเลี้ยงวูปี้บนบ้านนะคะ ปริศนาจะให้มันนอนในห้องข้างบนกับปริศนา”
สมรถึงกับอึ้งไป เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยชอบให้สุนัขขึ้นบ้าน
“ปริศนาต้องถามอนงค์ก่อนมังจ๊ะ”
อนงค์รีบบอก “ถ้ามันไม่ทำเลอะเทอะ”
“ไวร์แฮร์ ขนไม่ค่อยร่วงค่ะ เหมาะที่จะเลี้ยงในบ้าน แม่คะ อนงค์ ให้ปริศนาเลี้ยงวูปี้ในบ้านนะคะ”
พูดพลางเข้ามากอดอ้อนแม่กับพี่สาว
สมรพยักหน้ายิ้มๆ “จ้ะ”
อนงค์ยิ้มตอบน้อง “ตามใจสิ”
ปริศนา ปรบมือดีใจ “ไชโย”
ท่านชายพจน์ปรีชายิ้มอย่างเอ็นดู ปริศนาหันมายิ้มตอบ
อ่านต่อตอนที่ 7