นางชฎา ตอนที่ 15
อีกฟากหนึ่ง ตุลเทพนอนสลบไสลอยู่บนเตียง โดยมีสาวใหญ่หน้าตาสวยหุ่นสะบึมนอนกอดก่ายเขาอย่างหลงใหล เสียงมือถือดังรัวขึ้น ตุลเทพงัวเงียหยิบขึ้นมาจะกดรับ แต่สาวใหญ่ทำท่าจะแย่งโทรศัพท์นั้นไป
“ใจเย็นๆ ครับพี่ เดี๋ยวผมกลับมาคุยเรื่องทุนขยายสถานที่เล่นกีฬาทางน้ำของผมต่อ ตอนนี้ผมขอรับโทรศัพท์แป๊บนะครับ”
สาวใหญ่ทำท่ากระฟัดเฟียดเล็กน้อยแต่ก็ยอม ตุลเทพหยิบโทรศัพท์ลุกออกไปจากเตียง ก่อนจะกดรับโทรศัพท์กระซิบกระซาบเหมือนมีความลับ
“มีอะไร บอกแล้วไงช่วงนี้พวกเราไม่ควรติดต่อกันมาก เดี๋ยวตำรวจสงสัย อะไรนะ เธอว่าไงนะ ...เป็นไปไม่ได้...อย่ามาโกหกนะลดา”
สาวใหญ่ได้ยินเสียงตุลเทพอุทานเสียงดัง ก็ตกใจ
“มีอะไรรึเปล่า”
ตุลเทพไม่ตอบ แต่เดินร้อนรนไปเปิดทีวีในห้องดูทันที
ที่หน้าจอทีวีเป็นรายการข่าว ที่กำลังรายงานข่าวการตายของประวิทย์ จากสถานที่เกิดเหตุจริง
“เกิดเหตุฆาตกรรมที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนดัง ย่านทองหล่อ ผู้ตายคือนายประวิทย์ จิตพิพัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ได้ถูกมีดปลายแหลมแทงที่หน้าอกก่อนจะถูกตัดคออย่างสยดสยอง จากสภาพศพผู้ตาย ตำรวจคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง”
ตุลเทพยืนดูข่าวในทีวีทั้งอึ้ง ทั้งช็อก
เอกราชนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ดูข่าวเดียวกันนี้จากไอแพด นักข่าวรายงานต่อเนื่อง
“จากการสันนิษฐานเบื้องต้น น่าจะเป็นการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ เพราะพบร่องรอยการงัดแงะ และรื้อข้าวของในร้านกระจุยกระจาย ตอนนี้กำลังตรวจสอบว่าคนร้ายได้อะไรไปบ้าง”
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นมาอย่างสมใจ ที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำ
“การตายของประวิทย์ไม่ใช่การฆ่าเพื่อชิงทรัพย์แน่นอน”
ชมพูพูดออกมาอย่างไม่เชื่อ ขณะที่นั่งคุยกับเฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มที่บ้านเด็กกำพร้า
เฟื่องฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ เอทีเอ็ม ค่อยๆ มองไปรอบๆ ตัวอย่างกลัวๆ
“งั้นเธอกำลังจะบอกว่าประวิทย์ตายเพราะ ระ...รินงั้นเหรอ”
เอทีเอ็มส่ายหน้ายิก
“ไม่น่าใช่นะ เพราะการตายของประวิทย์มันดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เหมือนที่รินเคยทำ”
“ฆ่าตัดคอเนี่ยนะ ธรรมดา นายจะบ้าเหรอเอทีเอ็ม”
เอทีเอ็มพูดต่อ “เธอก็คิดถึงตอนที่เชิงชายกับหงส์หยกตายสิ มันดูน่าสยดสยองแค่ไหน”
“แต่ฉันว่ารินนั่นแหละ นายจำที่รินมาหาพวกเราเมื่อวันก่อน แล้วบอกว่าจะฆ่าพวกนั้น เหมือนที่พวกมันเคยทำกับริน”
ชมพูที่ได้ยินที่ทั้งคู่คุยกันแปลกใจ
“เดี๋ยว หมายความว่ายังไง ที่บอกว่ารินมหาเมื่อวันก่อน”
เฟื่องฟ้าตกใจ รีบปิดปากอย่างลืมตัว ก่อนจะหันมองเอทีเอ็มหน้าตาล่อกแล่ก แล้วรีบลุกหนี
“เออใช่ จำได้ว่ามีการต้องทำอีกเยอะเลยเนอะ ฉันไปทำงานก่อนดีกว่า”
ชมพูรีบตามไปขวางไว้ พร้อมพูดเสียงเอาเรื่อง “เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าลำบากใจ ไม่อยากพูด
“ก็ ก็ ก็จริงๆ รินเค้ายังไม่ได้ไปไหน เค้ายังวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเรานี่แหละ แล้วเค้าก็บอกไม่ให้พวกเรายุ่งเรื่องจับคนร้าย เพราะรินบอกว่า รินจะฆ่าพวกนั้นเอง”
“งั้นก็แสดงว่ารินเป็นฆ่าประวิทย์จริงๆ”
“ไม่จริง วิญญาณรินไปสงบแล้ว รินไม่มีวันฆ่าใครทั้งนั้น”
ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม หันไปมองตามเสียง ก็เห็นเตชินยืนทำหน้าตาขึงขังและเจ็บปวดอยู่ ทุกคนถึงกับตกใจ
“พี่เตชิน”
“แต่เฟื่องฟ้าไม่ได้โกหกนะครับ รินมาหาแล้วบอกกับพวกเราอย่างนั้นจริงๆ”
เตชินยิ่งได้ฟังเอทีเอ็มย้ำแบบนั้น ก็กำมือแน่น ยิ่งโกรธ ก่อนจะตัดสินใจเดินหันหลังออกไปทันที
“พี่เตชิน พี่เตชินอย่าเพิ่งไปค่ะ”
ชมพูจะวิ่งตามไป แต่เอทีเอ็มคว้าแขนห้ามไว้
“ปล่อยคุณเตชินไปเถอะ อุตส่าห์ทำใจเรื่องที่รินไปเกือบได้แล้วเชียว ต้องมารู้ว่าจริงแล้วรินยังอยู่ แล้วทำอะไรแบบนั้นอีก คุณเตชินคงจะช็อกน่ะ”
ชมพูพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองตามเตชินด้วยความเป็นห่วง
เตชินเดินขึ้นมาบนชานเรือนไทยด้วยความโมโห พลางมองไปรอบๆ บ้าน ตะโกนเสียงดัง
“ริน ถ้าคุณยังอยู่ คุณออกมาสิ ทำไมคุณทำแบบนั้น คุณฆ่าคนอีกทำไม คุณไม่รู้รึไงว่าผมพยายามจะช่วยหาคนร้ายเอามาลงโทษให้คุณแล้ว ทำไมริน สิ่งที่ผมพยายามทำให้คุณมันไม่มีความหมายใช่มั้ย ออกมาสิ ออกมาบอกผม ออกมา”
ผีริลณีค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นช้าๆ บนเก้าอี้บนระเบียง นั่งก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด เตชินหันไปเห็นก็รีบเดินเข้าไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“คุณยังอยู่จริงๆ”
“รินยังไปไหนไม่ได้ หากความแค้นยังไม่หมด รินต้องฆ่าพวกมันเหมือนที่มันทำกับริน”
เตชินรีบบอกอย่างร้อนใจ
“รินบอกผมมาสิ ว่าพวกมันเป็นใคร ผมจะให้ตำรวจจับพวกมันเข้าคุกให้หมด”
ริลณีมองเตชินตาขวาง “ไม่ค่ะ รินจะจัดการพวกมันด้วยตัวเอง”
“เหมือนที่รินทำกับประวิทย์น่ะเหรอ รินไม่รู้รึไงว่าสิ่งที่รินทำ มันเป็นบาปมากแค่ไหน รินหยุดเถอะ ถือว่าผมขอร้อง”
ริลณียิ้มสยอง “มันเป็นสิ่งเดียวที่รินให้คุณไม่ได้ ที่รินกลับมาจากความตาย ก็เพราะความแค้น”
“งั้นผมก็คงเข้าใจผิด ที่คิดว่ารินกลับมา เพราะความรักของเราซะอีก”
แววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นของริลณีวูบลงทันที หันมองเตชินด้วยความหวั่นไหว
“รินก็กลับมาเพราะคุณด้วย”
“สิ่งที่คุณทำมันชัดกว่าที่คุณพูด ถ้าคุณรักผมจริง คุณต้องหยุดได้แล้วริน คุณต้องหยุด”
“แต่พวกมันไม่เคยหยุด พวกมันพยายามจะทำร้ายรินตลอด”
“แล้วเค้าก็จะได้รับผลกรรม จากสิ่งที่พวกเค้าทำเอง”
ริลณีส่ายหน้าช้าๆ
“แต่กว่าพวกมันจะได้รับ มันก็ทำร้ายคนไปอีกตั้งมากมายเท่าไหร่ รินต้องหยุดพวกมัน”
“แสดงว่ารินจะไม่ยอมหยุด”
ริลณีพูดหนักแน่น “รินหยุดไม่ได้จริงๆ”
เตชินมองหน้าเธอด้วยความเจ็บปวด ผิดหวัง อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ริลณีคนที่ผมรัก เป็นคนอ่อนโยน มีเมตตารู้จักให้อภัยคนอื่น ไม่ใช่คนที่เต็มไปด้วยความแค้นแบบนี้”
ขาดคำก็เดินออกไป ริลณีมองตามด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่สายตานั้นจะเปลี่ยนเป็นความแค้น
“เพราะพวกแก พวกแกทำให้เตชินเกลียดฉัน”
เลือดบนพื้นเจิ่งนอง ข้างๆ ร่างประวิทย์ที่นอนตายอยู่ที่พื้น ขณะที่เอกราชกำลังพยายามรื้อ
ค้น เพื่อสร้างหลักฐานว่ามีขโมยขึ้นมาชิงทรัพย์ พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนกำลังขยับร่างกายทีละท่อน
ทีละส่วน เมื่อเขามองกลับไป ก็เห็นว่าร่างประวิทย์ที่นอนอยู่หายไปแล้ว
เอกราชตกใจ พยายามจะมองหา
“ประวิทย์นายหายไปไหน นายตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
เขาพยายามมองหา ก่อนจะเห็นประวิทย์กำลังยืนจ้องหน้าอย่างน่ากลัว มือชี้ตรงมาอย่าง
เอาเรื่อง ที่คอมีรอยถูกตัดอย่างเห็นได้ชัด
“นายไม่มีวันหนีพ้นหรอก ทุกคนต้องรู้ว่านายเป็นคนฆ่าฉัน”
เอกราชพยายามถอยหนี ประวิทย์ยิ่งเดินชี้หน้าเข้ามาใกล้
“ทุกคนต้องรู้ว่านายเป็นคนฆ่าฉัน นายเป็นคนฆ่าฉัน นายเป็นคนฆ่าฉัน”
เอกราชสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ปริมลดาที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนเตียง หันมาเรียกด้วยความตื่นเต้น
“ตื่นพอดีเลย เดี๋ยวเบรคหน้าโฆษณาที่ฉันไปเป็นพรีเซ็นเตอร์จะออนแอร์พร้อมกันทั่วเอเชียเลยนะ”
เอกราชไม่สนหยิบรีโมทขึ้นมาปิดทีวีหน้าตาเฉย ปริมลดาโมโหปึงปังโวยวายใส่อย่างไม่พอใจ
“ถ้ามาที่นี่ แล้วมาทำลายความสุขของฉัน ก็ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นของนายเถอะ อ้อ ลืมไป ตอนนี้นายไม่กล้านอนคนเดียว เพราะนายกลัวนังผีเน่าจะมาเล่นงาน น่าสงสารเนอะ ประวิทย์ตายไปสักคน นายก็เลยลำบาก เพราะไม่มี...”
ปริมลดายังพูดไม่ทันจบก็เหลือบไปเห็นเครื่องรางห้าแฉกที่ห้อยที่คอ เอกราชรีบเก็บเข้าไปในเสื้อ
“นายไปเอาเครื่องรางห้าแฉกนั่นมาจากไหน”
เอกราชหลบตา อึกอัก “ประวิทย์มันให้”
“ก่อนตายงั้นเหรอ ก็ตอนที่นายรู้ว่าประวิทย์เป็นเกย์ ตอนนั้นนายก็ไล่ประวิทย์ออกไปจากบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปให้กันตอนไหน”
ปริมลดาคาดคั้นถามอย่างไม่เชื่อ เอกราชทำโมโหกลบเกลื่อน
“เลิกถามเซ้าซี้กวนใจได้มั้ย หรือเธอคิดว่าฉันไปทำอะไรมัน แล้วถึงได้สร้อยนี้มางั้นเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้คิด”
“งั้นก็อย่าพูดมาก น่ารำคาญ”
เอกราชพูดเสร็จก็ล้มตัวลงนอนทำท่าเหมือนหลับ ปริมลดาหงุดหงิดล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ก่อนจะปิดไฟ พอไฟมืด เอกราชก็ลืมตาโพลง เพราะเสียงประวิทย์ที่พูดในฝันดังก้องอยู่ในหัว
“ทุกคนต้องรู้ว่านายเป็นคนฆ่าฉัน นายเป็นคนฆ่าฉัน นายเป็นคนฆ่าฉัน”
เอกราชหน้าเครียด กลัวว่าจะมีใครรู้เรื่องที่เขาฆ่าประวิทย์
ชัชเอามือโอบไหล่ พยายามจะปลอบใจให้เตชินที่นั่งก้มหน้าเครียด เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
“นั่งเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ ทางเดียวที่แกจะช่วยไม่ให้รินทำบาปได้ก็คือ รีบหาหลักฐาน
แล้วจับคนร้ายที่ฆ่ารินให้ได้ ก่อนที่รินเค้าจะไปฆ่าใครอีก”
“เราจะหาหลักฐานจากที่ไหนในเมื่อประวิทย์ตายไปแล้ว”
ชมพู ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ด้านเดียวกับเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มพูดขึ้นมาบ้าง
“ประวิทย์ต้องมีหลักฐานอะไรบางอย่างแน่ๆ เค้าถึงกล้านัดเราออกไปเจอเค้าแบบนั้น”
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าหลักฐานนั้นคืออะไร”
ชมพูพูดต่ออย่างมั่นใจ
“พวกเราถึงต้องไปดูไงคะ ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็คงไม่ได้ลูกเสือ”
ทุกคนหันขวับมองหน้ากันตกใจ โดยเฉพาะเฟื่องฟ้าดูอาการหนักสุด
“นี่อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องไปที่ร้านประวิทย์ถูกฆ่างั้นเหรอ ไม่เอาฉันกลัวผี”
เอทีเอ็มหันขวับมาทันที “เจอผีรินมาตั้งกี่ครั้งแล้ว ยังไม่ชินอีกรึไง”
“มันใช่เรื่องควรชินมั้ย”
ชัชพูดต่ออย่างไม่ค่อยเห็นด้วย
“แต่มันเสี่ยงเกินไปนะครับน้องชมพู เพราะเอาเข้าจริง มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
เตชินรีบแย้ง “แต่ถ้าเราไม่เสี่ยง เราก็คงไม่รู้”
เฟื่องฟ้าทำหน้ากลัวๆ จ๋อยๆ เสียงอ่อยๆ
“ตกลงพวกเราต้องไปใช่มั้ยเนี่ย”
ที่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนของประวิทย์ มีเทปพลาสติกสีเหลือง “ห้ามเข้าสถานที่เกิดเหตุ” ติดขวางล้อมรอบบริเวณประตูหน้าร้านเอาไว้
เตชินที่เดินลอดใต้เชือก พยายามจะเปิดประตูเข้าไป แต่ประตูถูกล็อกไว้ เอทีเอ็มที่เดินมาจากด้านหลังพร้อมกับชัช รีบบอก
“ประตูหลังร้านก็ปิดล็อกแน่นเหมือนกันครับ”
“สงสัยเราจะเข้าไปไม่ได้แล้วว่ะ ถ้าเกิดต้องงัด ข้าวของเสียหาย พวกเราจะมีความผิด”
พอชัชพูดจบ ก็มีเสียงดังจากข้างในเหมือนมีใครเปิดล็อกให้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นชะงัก
“เสียงอะไรคะพี่เตชิน”
เตชินขยับที่เปิดประตู “ประตูเปิดได้แล้ว”
ทุกคนมองหน้ากัน ทั้งงง ทั้งกลัว ทั้งหลอน เฟื่องฟ้าถึงกับตัวสั่น
“ยะ..ยะ..อย่าบอกนะว่า มีคนมาเปิดล็อกประตูให้”
เอทีเอ็มได้ทีขู่แกล้ง “สงสัยจะใช่อย่างนั้นแหละ ไม่งั้นมันจะเปิดได้ไง”
เตชินรีบตัดบท “รีบเข้าไปกันเถอะครับ”
ทุกคนรีบเดินเรียงกันเข้าไป เตชินที่กำลังจะเดินเข้าไปเหลือบมองลูกบิดประตูอย่างสงสัย แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรรีบเดินตามเข้าไป
ประตูค่อยๆปิด พร้อมร่างที่เป็นเงาดำๆ ไม่มีหัวเดินตามหลังเข้าไปด้วย
ทั้งหมดช่วยกันรื้อดูตามข้าวของในร้าน มองหาสิ่งที่พอจะเป็นหลักฐานได้ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ “หาแบบนี้มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรยังไงก็ไม่รู้”
เตชินพูดอย่างอ่อนใจ เอทีเอ็มรีบพูดต่อ
“งมเข็มยังรู้ว่าหาเข็ม แต่นี่เรากำลังหาอะไรก็ไม่รู้”
เฟื่องฟ้ามองไปรอบๆ เห็นที่พื้นมีรอยที่ตำรวจทำไว้เป็นรูปร่างประวิทย์ที่นอนตายแบบไม่มีหัว โดยอีกที่ไม่ไกลกันนั้น มีรอยว่าหัวเคยกระเด็นมาอยู่ตรงนี้ ก็เริ่มกลัว
“แถมในนี้บรรยากาศมันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกหลอนๆ แปลกๆ”
“ลองหากันอีกทีนะคะ ชมพูมั่นใจนะคะว่ามันต้องมีอะไรจริงๆ”
เฟื่องฟ้าเริ่มปอด “ฉันว่ากลับดีกว่า เกิดใครรู้ว่าพวกเราแอบเข้ามาในนี้จะเป็นเรื่องนะ”
“อย่าเพิ่งท้อสิ ฉันมั่นใจว่ามันมีอะไรจริงๆ”
“มีอะไร คืออะไรล่ะชมพู พวกเราก็หากันหมดแล้ว”
เอทีเอ็มนึกรำคาญ “ยายเฟื่องฟ้า ถ้าเธอกลัวมากก็กลับไปก่อนไป”
“เอ้า มาไล่กันเฉยเลย มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”
เตชินรีบปราม “ใจเย็นๆ ครับอย่าเพิ่งทะเลาะกัน”
ชัชที่ยืนนิ่งสายตาจ้องไปยังมุมห้องที่ดูมืด ทำหน้าตกใจ เมื่อเห็นเงาดำๆ เป็นร่างคนไม่มีหัวที่ค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืดนั้น เดินตรงไปยังประตูหนึ่ง แล้วก็กระดิกนิ้วเรียกเหมือนให้ตามไป ชัชกลืนน้ำลายเอื้อก เหมือนต้องมนต์ ก่อนจะเดินตามร่างไร้หัวนั้นออกไป
เอทีเอ็มรีบสะกิดทุกคนให้หันไปมองชัชที่กำลังเดินไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนจะรีบตามไปทันที
เงาดำหัวขาดเดินนำเข้ามาในส่วนที่เป็นหน้าห้องน้ำ ก่อนจะหยุด แล้วชี้ขึ้นไปบนเพดาน ชัชที่เดินตามมามองตามขึ้นไปบนฝ้าที่สามารถเปิดขึ้นไปได้ พลางหันมามองเงาดำหัวขาดอีกครั้ง แต่เงานั้นหายไปแล้ว
ชัชที่เหมือนสะลึมสะลือสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ เตชิน ชมพู เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มวิ่งตามมาทัน
“เป็นอะไรวะ อยู่ดีๆ เดินมาที่นี่ทำไม”
ชัชรีบมองหา “เก้าอี้ๆ หาเก้าอี้เร็ว”
เฟื่องฟ้าทำหน้างง “จะเอาไปทำไมคะ”
“ไม่ได้เอาไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแน่ ผมอยากจะปีนขึ้นไปดูใต้ฝ้า”
ทุกคนแปลกใจ เอทีเอ็มรีบไปหาเก้าอี้มาได้ ชัชรีบเอาเก้าอี้วางตรงที่เงาดำชี้ แล้วรีบปีนเก้าอี้ เปิดฝ้าขึ้นไป ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปใต้ฝ้าเหมือนพยายามหาอะไรบางอย่าง ทุกคนมองอย่างแปลกใจ ระคนตื่นเต้น
มือชัชที่อยู่ใต้ฝ้า พยายามแตะๆ หาว่ามีอะไรบนนั้น ก่อนจะไปจับเข้ากับถุงบางอย่าง
“เจอแล้ว”
ชมพูตื่นเต้น “เจออะไรคะ”
ชัชหยิบสิ่งนั้นออกมาจากใต้ฝ้าบนหลังคา แล้วก็พบว่าเป็นสมุดไดอารี่ของประวิทย์ ที่ถูกใส่ถุงปิดซิปล็อกอย่างดี ซ่อนเอาไว้บนหลังคา ทุกคนมองสมุดบันทึกแบบอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อ
เอกราชเดินท่าทางลุกลี้ลุกลนมองซ้ายมองขวา กลัวว่าใครจะเห็นว่าแอบมาที่ร้านอาหารของ
ประวิทย์ เมื่อมองรอบๆ เห็นว่าไม่มีใคร ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า กำลังจะใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นจับลูกบิดประตู เพื่อจะได้ไม่ทิ้งหลักฐาน ขณะกำลังจะเปิด ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกก่อน เขาตกใจ รีบวิ่งไปซ่อนตัว ก่อนจะเห็น เตชิน ชัช ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ออกมาจากในนั้น แต่ละคนท่าทางตื่นเต้น
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่า ซิกซ์เซ้นส์ของพี่ชัชจะมีประโยชน์ก็คราวนี้” ชมพูพูดยิ้มๆ
“ปกติมันก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ แต่คราวนี้วิญญาณนั้นคงจะแค้นมากเลยมาบอก”
เอทีเอ็มย้อนถาม “วิญญาณประวิทย์น่ะเหรอครับ”
“หัวขาดแบบนั้นคงไม่มีคนอื่นหรอก” เฟื่องฟ้ารีบหันไปยกมือไหว้ “ขอบคุณมากนะประวิทย์”
เตชินหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมามอง “อยากรู้เหมือนกันว่าในไดอารี่เล่มนี้จะมีอะไร”
ทั้งหมดเดินออกไป เอกราชที่แอบมองอยู่หน้าเครียด ตกใจ และกังวล
“ไดอารี่?”
ตุลเทพถามเอกราชด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“แล้วในไดอารี่เล่มนั้นมันมีอะไร”
เอกราชอึกอัก “ก็...ก็มีแต่เรื่องไร้สาระที่ประวิทย์เขียนเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย”
“นายเคยอ่าน?”
“ก็เคยเปิดูครั้งนึง แบบผ่านๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก”
ปริมลดาที่นั่งฟังอยู่นาน ลุกขึ้นออกความห็น เหมือนไม่ใส่ใจ
“ไม่เห็นมีอะไรต้องน่ากังวลเลย มันก็แค่ไดอารี่ธรรมดาๆ นายคิดมากไปรึเปล่าเอกราช”
เอกราชหน้าเครียด
“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนว่าในไดอารี่เล่มนั้นจะมีอะไร”
“แต่เอาเข้าจริง เราก็ประมาทไม่ได้นะ ถ้าประวิทย์เกิดเขียนเรื่องอะไรของพวกเราขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะกลายเป็นหลักฐานได้”
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขียน หรือว่าไม่เขียน เพราะนายก็ไม่เคยอ่านจนหมดเล่มใช่มั้ย”
ปริมลดาหันมาถามย้ำ เอกราชพยักหน้ารับ ก่อนที่ตุลเทพจะถามต่อ
“แล้วทำยังไงพวกเราถึงจะรู้ได้”
ทั้ง 3 คนมองหน้ากัน ช่วยกันคิดหาทาง ว่าจะทำยังไงดี
ไดอารี่หน้าที่ประวิทย์บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการตายของริลณีเอาไว้ถูกกางออก พร้อมเสียงประวิทย์ที่เหมือนเป็นคนเล่าเหตุการณ์เป็นฉากๆ
“พวกเราวางแผนหลอกจับตัวริลณีไปยังบ้านเรือนไทยร้างหลังมหาวิทยาลัย แต่เมื่อไปถึง ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ริลณีดิ้นรน ร้องขอให้พวกเราไม่ทำร้ายเธอ แต่ปริมลดาและหงส์หยก ทำร้ายริลณีอย่างหนัก เพื่อให้เอกราชและตุลเทพข่มขืนได้สะดวก โดยมีผมและเชิงชาย ช่วยกันถ่ายวิดีโอ และถ่ายภาพ เพื่อแบล็คเมลริลณีภายหลัง แต่ริลณียังคงขัดขืนและเผลอทำร้ายเอกราช เอกราชโมโหเผลอบีบคอริลณีจนตาย พวกเราจึงต้องช่วยกันฝังเธอไว้ที่นั่น ใต้ศาลาหลังเก่าที่บ้านเรือนไทยหลังนั้น”
เตชินกำลังอ่านไดอารี่น้ำตาไหลพราก มือจับสมุดกำแน่น แววตาเต็มไปด้วยความแค้นและเจ็บปวด
ชมพูและชัชแอบมองอยู่ใกล้ๆ รู้สึกเป็ห่วง
“นี่พี่เตชินอ่านไดอารี่หน้านั้นมาเป็นชั่วโมงแล้วนะคะ”
“มันคงช็อก ที่ได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับริน”
ชมพูหน้าเศร้า “ทำไมความโกรธแค้นถึงทำให้คนเราเหี้ยมโหดต่อกันได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้นะคะ คนที่ทำร้ายรินทุกคน คือคนที่รินเรียกว่าเพื่อนทั้งนั้น”
“เพื่อนควรมีไว้เพื่อช่วยเหลือกัน แต่รินกลับมีเพื่อนไว้คอยทำร้ายตัวเอง น่าสงสารจริงๆ”
ทั้งคู่องหน้ากันเศร้าๆ ก่อนจะหันไปมองเตชินที่ยังนั่งนิ่งอ่านไดอารี่อยู่
ทันใดนั้นก็บังเกิดควันกลุ่มใหญ่ค่อยๆ ลอยเข้ามาในบ้าน ผ่านชมพูและชัชไป โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ควันนั้นลอยตรงเข้าไปหาเตชินที่กำลังอ่านไดอารี่อยู่ ก่อนจะวนเวียนอยู่รอบๆ เหมือนพยายามดูว่าในไดอารี่นั้นมีอะไร โดยที่เขาเองก็ไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน
กลุ่มควันลอยกลับเข้ามาในสำนักอาจารย์ดำ ก่อนจะวนรอบๆ ตัวของจอมขมังเวทย์ที่นั่งหลับตาบริกรรมคาถาอยู่ตรงส่วนที่ทำพิธี ควันลอยสักพักแล้วหายไป
อาจารย์ดำลืมตามอง เอกราช ตุลเทพ ปริมลดาที่นั่งรอฟังอยู่
“เป็นยังไงครับอาจารย์ พอจะรู้มั้ยครับว่าในสมุดนั้น มีอะไรสำคัญรึเปล่า”
เอกราชถามอย่างร้อนใจ
“เท่าที่โหงพรายบอกมันก็เป็นไดอารี่ธรรมดาๆ แต่มีอยู่หน้านึง ที่จะทำให้พวกเธอทั้งสามเดือดร้อน”
ทั้ง 3 คนสะดุ้งตกใจ ปริมลดารีบถามต่อ “พวกเราจะเดือดร้อนขนาดไหนคะ”
“โหงพรายบอกมาแค่ว่า ความผิดครั้งเก่าจะถูกเปิดเผย และพวกเธอจะไม่มีวันหนีพ้น”
ทั้ง 3 คนหน้าซีด ในไดอารี่มีเรื่องที่กลัวอยู่จริงๆ
“แล้วพวกเราจะทำยังไงดีครับ” เอกราชย้อนถาม สีหน้ากังวล
“ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเอาสมุดเล่มนั้นกลับมา”
ตุลเทพมองอาจารย์ดำอย่างมีความหวัง
“แล้วอาจารย์เอากลับมาให้พวกเราได้มั้ยครับ”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีเรื่องอะไรที่อาจารย์ดำทำไม่ได้อยู่แล้ว”
ปริมลดา ตุลเทพ เอกราช มองหน้ากันอย่างดีใจ โดยไม่ทันเห็นว่าอาจารย์ดำลอบมองหน้าทั้ง 3 คนด้วยแววตาอำมหิต
เตชินยื่นสมุดไดอารี่ให้ชัชและชมพู สีหน้าขึ้งเครียด
“ถ้าพี่เก็บไดอารี่เล่มนี้เอาไว้ พี่คงอ่านหน้านั้นไม่หยุด แล้วคงทำใจที่จะไม่ไปฆ่าคนพวกนั้นไม่ได้ พวกมันทำอย่างกับรินไม่ใช่คน พวกมันทำกับรินอย่างนั้นได้ยังไง”
ชมพูต้องรีบพูดปลอบ
“ปล่อยให้ตำรวจเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถอะค่ะ เดี๋ยวไดอารี่ชมพูจะเก็บไว้เองนะคะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยเอาไปให้ตำรวจด้วยกัน”
“ถ้าตำรวจเห็นหลักฐานนี้ ไม่มีทางอยู่เฉยหรอก เอกราช ตุลเทพ ปริมลดาติดคุกหัวโตแน่”
เตชินหันมาพยักหน้าให้ชัช “ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ฝากด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ รินเป็นเพื่อนรักของชมพู ชมพูจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่ฆ่าเพื่อนชมพู ลอยนวลอยู่อย่างมีความสุขหรอกค่ะ ใครทำเลวยังไงก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ชมพูจะรักษาไดอารี่นี้ยิ่งกว่าชีวิต จนกว่าจะถึงมือตำรวจ”
เตชินพยักหน้ารับก่อนรีบผลุนผลันจะเดินออกไป ชัชและชมพูตกใจ รีบไปขวางไว้
“เฮ้ย แล้วแกจะไปไหนวะ ไหนบอกจะไม่ไปฆ่าใครแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันจะไปหาริน ฉันพูดไม่ดีกับเค้าเพราะโกรธที่เค้าฆ่าประวิทย์ แต่พออ่านจากไดอารี่นั่น คน พวกนั้นสมควรที่จะโดนรินกลับมาเอาคืนจริงๆ”
“แล้วพี่เตชินรู้เหรอคะว่ารินอยู่ที่ไหน”
“รู้สิครับ เพราะรินเค้ารอพี่ อยู่ที่ที่นึงเสมอ”
เตชินรีบวิ่งออกไป ชมพูมองตามเศร้าๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ยังไงรินก็เป็นผู้หญิงที่สำคัญกับพี่เตชินที่สุดตลอดมา และก็คงตลอดไป”
ชัชมองชมพูอย่างเห็นใจ
“พี่มั่นใจว่าถ้าจบเรื่องนี้ ไอ้เตมันจะเห็นว่าผู้หญิงคนไหนที่อยู่ข้างมัน และทำเพื่อมันมาตลอดครับ”
ชมพูที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ พึมพำกับตัวเองอย่างเศร้าๆ
“ไม่มีวันหรอกค่ะพี่ชัช ชมพูเป็นได้แค่น้องสาวในสายตาของพี่เตชินเท่านั้น”
คิดพลางก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเหลือบไปมองสมุดไดอารี่ที่วางอยู่บนเบาะอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกจุกและเจ็บที่หน้าอกขึ้นมาอย่างประหลาด จนต้องรีบเอามือจับที่หน้าอกไว้
“โอ๊ย ทำไมเวลาคิดเรื่องพี่เตชินกับรินทีไร ทำไมเราต้องเจ็บที่หน้าอกแบบนี้ด้วย”
ชมพูพยายามจะหายาในกระเป๋าเพื่อบรรเทา แต่หายังไงก็ไม่มี
“ถ้าเจอร้านขายยาข้างหน้า พี่สุชาติช่วยจอดให้ชมพูซื้อยาด้วยนะคะ”
คนขับรถตอบรับ ขณะที่ชมพูค่อยๆ หลับตาลง พร้อมกับพิงศีรษะกับกระจกเพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ โดยไม่เห็นว่า ที่นอกหน้าต่าง มีกลุ่มควันที่ปรากฏร่างเป็นรูปโหงพราย ลอยอยู่ข้างๆ รถที่แล่นอยู่
โหงพรายจ้องมาที่สมุดไดอารี่ที่วางอยู่ข้างตัวชมพูด้วยสายตาน่ากลัว
ชมพูกำลังจะเดินลงจากรถ แต่ไม่วายหันมาสั่งคนขับรถ ที่กำลังเปิดประตูให้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชมพูลงไปซื้อยาแป๊บเดียว พี่สุชาติเฝ้ารถเอาไว้นะคะ ห้ามไปไหน ห้ามให้ใครขึ้นรถเป็นอันขาดนะคะ”
คนขับรถรับคำแบบงงๆ ชมพูมองไปสมุดไดอารี่ที่วางอยู่บนเบาะ ก่อนจะรีบเดินออกไป
สมุดไดอารี่วางอยู่ในรถ ก่อนจะเห็นกลุ่มควันในรถค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นๆ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนร่างเป็นโหงพราย หยิบสมุดไดอารี่เล่มนั้น แล้วหายออกไปจากรถ โดยที่คนขับรถที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ด้านนอกไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
ประตูห้องเรือนไทยถูกเปิดออก แสงจากภายนอกสาดเข้ามาในห้องที่ปิดไว้มืดมิด ข้าวของในห้องยังรกรุงรังเพราะถูกทิ้งไว้ไม่ดูแล และริลณียังนั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องนั้น เงยหน้ามองเตชินที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามาด้วยสายตาที่เจ็บปวด
“คุณรู้แล้วใช่มั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับรินบ้าง เข้าใจแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมรินถึงต้องแค้น แล้วก็ฆ่าพวกมัน”
เตชินเดินเข้ามาในห้องช้าๆ ลงนั่งตรงหน้า มองริลณีอย่างเข้าใจถึงความเจ็บปวด
“ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด แล้วก็ทรมานมาก สิ่งที่พวกมันทำกับคุณมันเลวที่สุด สมควรแล้วที่คุณจะโกรธแค้น แล้วตามฆ่าพวกมันอย่างนั้น แต่….ผมก็ไม่อยากให้คุณฆ่าใครอีก อย่าก่อเวรสร้างกรรมไปต่อกันไปมากกว่านี้เลยนะครับ ปล่อยให้กฎหมายจัดการกับพวกนั้น ผมจะทำให้พวกมัน 3 คนเข้าคุกให้ได้”
ริลณีส่ายหน้าช้าๆ อย่างเจ็บปวด
“แต่คนพวกนั้นมันเลวกว่าที่คุณคิด ไม่มีทางที่พวกมันจะยอมให้คุณทำอะไรง่ายๆ หรอก คุณรู้ความลับของพวกมันแล้ว มันต้องจ้องทำร้ายคุณแน่”
“ผมจะไม่เป็นไร ผมจะต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะจับพวกมัน 3 คนเข้าคุกให้ได้ แค่คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ไปฆ่าใครอีก สัญญากับผมนะครับ”
ริลณีมองหน้าเตชินอย่างคิดหนัก ก่อนจะสัญญา
“รินจะไม่ฆ่าพวกมัน ถ้ามันไม่ทำร้ายรินก่อน”
“ผมรู้ว่ามันยากสำหรับริน แต่แค่นี้ก็พอแล้ว ผมสัญญาว่าอีกไม่นาน ทุกอย่างจะจบ รินจะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม ความเคียดแค้นนี้สักที”
เตชินและริลณีมองหน้ายิ้มให้กัน แล้วโผเข้ากอดกันด้วยความเข้าใจ แต่ในขณะนั้น เสียงบริกรรมคาถาภาษาเขมรของอาจารย์ดำก็ค่อยๆ ดังเข้ามา จู่ๆ ร่างของริลณีที่เตชินกอดอยู่ เหมือนถูกดึงกระชากไปตามเสียงคาถานั้น เธอพยายามจะต้านทานแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องโดนคาถานั้นเรียกให้ไปโดยไม่อาจขัดขืน
“เตชิน ช่วยรินด้วย ช่วยรินด้วย”
“ริน คุณอยู่ไหน? คุณหายไปไหน”
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 15 (ต่อ)
อาจารย์ดำถอดดวงจิตมานั่งบริกรรมคาถาอยู่บนหลุมศพของริลณี มือข้างหนึ่งหยิบดินที่หลุมศพขึ้นมาบี้กับมือ แล้วเอาดินนั้นใส่ลงไปในขวดแก้วสีทึบตรงหน้า รายรอบตัวมีโหงพรายคอยคุ้มกันภัยให้ตลอดเวลา
วิญญาณริลณีปรากฏร่างมองอาจารย์ดำด้วยความโกรธแค้น
“แกเรียกฉันมาทำไม บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
อาจารย์ดำหยุดท่องคาถา มองเย้ยริลณี
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ก็แกกำลังจะเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมที่กำลังจะทำเงินให้ฉันมหาศาล ชนิดที่หมอผีคนไหน ก็ไม่มีวันจะรวยเท่าฉันได้อีกแล้ว มามะ มาอยู่ด้วยกัน เพราะเธอกำลังจะทำให้ฉัน สบายไปทั้งชาติ”
พูดจบก็หลับตาบริกรรมคาถา ยกมืออีกข้างมาป้องปาก แล้วเอามือนั้นไปวางยังปากขวด ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ข้างใน พร้อมๆ กับร่างริลณีก็มีไฟลุกท่วมตัว จนเธอถึงกับร้องโอดโอยปวดแสบปวดร้อน
“โอ๊ย แกจะทำอะไรฉัน”
อาจารย์ดำนั่งบริกรรมคาถาต่อ ยิ่งเปลวไฟจากในขวดลงโชติช่วงเท่าไหร่ เปลวไฟที่ร่างของริลณีก็ยิ่งลุกโชนท่วมท้นเท่านั้น
ริลณีร้องโอดโอยเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส จ้องมองอาจารย์ดำด้วยความแค้น
“ฉันจะจับแกไปอยู่กับฉัน แกจะต้องไปทาสรับใช้ฉันไปจนตลอดชีวิต ไปจับตัวมันมา”
โหงพรายเข้าไปพยายามจะจับตัว แต่ริลณีที่เหมือนจะหมดกำลังสู้ กลับลุกยืนจับคอโหงพรายบีบแน่น ให้เปลวไฟที่แผดเผาร่างตัวเอง ค่อยๆ ไหลถ่ายเทไปที่ร่างโหงพราย
โหงพรายถูกไฟจากริลณีเผาไหม้ก็ปวดแสบปวดร้อน ดิ้นทุรนทุรายร้องโหยหวน สุดท้ายร่างสลายกลายเป็นจุณ
ริลณีเหลียวขวับ ตรงเข้าไปจัดการอาจารย์ดำทันที จอมขมังเวทย์รีบหยิบแส้จากกระเป๋า ท่องคาถาพลันแส้นั้นจะกลายเป็นแส้ไฟทันตา
“ฤทธิ์มากนักเหรอ”
ทุกครั้งที่อาจารย์ดำเอาแส้ฟาดลงร่างริลณีก็บังเกิดเป็นแผล เลือดซิบๆ ตามรอยฟาด นั่นยิ่งทำให้เธอโกรธแค้น ใช้มือจับแส้ที่กำลังฟาดมาแล้วดึงออกมาจากมืออาจารย์ดำ จากนั้นก็กระชากจนขาดออกเป็น 2 ส่วน
อาจารย์ดำตกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ริลณีปรี่เข้าไปหาเอามือจับคอบีบหน้าพยายามจะหักคอให้ได้ แต่กลับถูกอาจารย์ดำเอามือข้างหนึ่งยันมือไว้ ทั้งสองต่อสู้กันด้วยพละกำลังที่มี
อาจารย์ดำแอบหยิบมีดหมอตรงเอวออกมา แล้วจ้วงแทงเข้าไส่ ริลณีกรีดร้อง ทรุดลง ดิ้นพร่านอย่างเจ็บปวด
จอมคาถารีบท่องมนตราสะกดวิญญาณ ก่อนจะเอาขวดที่ใส่ดินไว้มาวางใกล้ๆ ร่างริลณีค่อยๆ กลายเป็นควัน ลอยหายเข้าไปในขวดนั้น อาจารย์รีบปิดจุก แล้วเอาผ้ายันต์ปิดพันรอบปากขวดอีกครั้ง “ในที่สุดแกก็เสร็จฉัน”
อาจารย์ดำหัวเราะอย่างชอบใจ หลับตาลง ทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะหายร่างไปจากตรงนั้นทันที
เตชินพยายามตามหาริลณี เดินเข้ามาในบริเวณที่เป็นหลุมศพ ทว่าบรรยากาศตรงนั้นสงบ ทุกอย่างดูปกติ ไม่มีวี่แววของการต่อสู้ระหว่างอาจารย์ดำกับริลณีก่อนหน้านี้เลย
เขามองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีอะไร เพียงรู้สึกแปลกและสังหรณ์ใจ แตไม่มีอะไรพิสูจน์ความรู้สึกนั้น นอกจากสัญชาตญานที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
“รินเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณหายไปไหน”
วิญญาณริลณีถูกจับขังในขวด ดิ้นรนหาทางออก แต่ก็ออกไปจากขวดไม่ได้ ได้เพียงทรุดลงอย่างเหนื่อยอ่อน มองแผลที่ยังมีมีดอาคมเสียบคาไว้ด้วยความเจ็บแค้น แม้พยายามดึงมีอาคมออกจากแผล แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ได้
ฟาก ชมพู หมูหวาน และคนขับรถ ช่วยกันหาสมุดไดอารี่ในรถ เสียงดังวุ่นวายกันไปหมด จนพิสมัยและพิชัยต้องเดินออกมาดูด้วยความแปลกใจ
“อะไรกันน่ะ พ่อเห็นลูกวุ่นวานกับรถนี้ตั้งแต่เย็นแล้วนะ”
ชมพูหน้าตาเคร่งเครียด
“ก็ของสำคัญของชมพูน่ะสิคะ ชมพูวางเอาไว้ในรถ ลงไปซื้อยา พอกลับขึ้นมาก็ไม่มีแล้ว”
สุชาติ คนขับรถเสียงอ่อย
“แต่ผมไม่ได้เอาไปนะครับ แล้วผมก็ยืนเฝ้ารถตามที่คุณชมพูบอกด้วย ไม่มีใครขึ้นไปบนรถเด็ดขาด”
“ชมพูก็ไม่ได้คิดว่าพี่สุชาติจะเอาไปหรอกค่ะ มันไม่ใช่ของมีค่า แต่มันเป็นหลักฐานที่จะเอาผิดกับคนที่ฆ่าริลณีน่ะค่ะ”
พิชัยรีบพูดต่อ
“งั้นก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ลูกแน่ใจนะว่าไม่ได้ติดมือเอาไปทำหล่นที่ไหน”
“ถึงจะสมองไม่ดี แต่ครั้งนี้ชมพูแน่ใจค่ะ”
พิชัยและพิสมัยมองหน้าชมพูมั่นใจว่าพูดจริง มองหน้าคนขับรถที่ก้มหน้าจ๋อยก็มั่นใจว่าพูดจริงเหมือนกัน ทั้งคู่เข้าไปช่วยหากันอีกแรง
ชมพูหน้าเครียดด้วยความกังวลใจ
อาจารย์ดำยื่นไดอารี่ให้เอกราช ตุลเทพ และปริมลดาที่นั่งรออย่างตื่นเต้น พอเอกราชจะเอื้อมมือไปหยิบ สมุดนั้นก็ถูกดึงกลับไปก่อน
“งานพิเศษแบบนี้ มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มบ้างสิ”
“ไม่มีปัญหาครับ อาจารย์ต้องการเท่าไหร่”
“ห้าล้าน”
ทั้ง 3 คนชะงัก มองหน้ากันอย่างตกใจ
“แค่ไปเอาไดอารี่กลับมาเล่มเดียว เรียกตั้งห้าล้าน ไม่แพงไปหน่อยเหรอครับ” ตุลเทพท้วง
“ก็ไม่แพงนะ เงินแค่นี้ซื้ออิสรภาพของพวกเธอ 3 คน ถือว่าคุ้มออก”
ทั้ง 3 คนหน้าเสีย มองหน้าอาจารย์ดำ ที่เหมือนว่าจะรู้อะไรๆ แล้ว เอกราชแกล้งถามหยั่งเชิง
“อาจารย์หมายความว่ายังไงครับ”
“พวกเธอก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าในไดอารี่เล่มนี้ มันซ่อนความลับของพวกเธอไว้ ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงที่พวกเธอฆ่า เพิ่งถูกเจอศพไปไม่นานนี่ ถ้าได้ไดอารี่เล่มนี้ ตำรวจคงปิดคดีได้สักที”
ตุลเทพก็โมโหจะลุกเข้าไปต่อย แต่โหงพรายเข้ามาขวาง ปริมลดาต้องรีบไปพาตัวตุลเทพกลับมา
“งั้นถ้าเราให้เงินตามที่อาจารย์ขอ อาจารย์จะให้สมุดเล่มนั้นกับเรา แล้วก็ไม่พูดเรื่องที่เขียนในสมุดนั่นอีกใช่มั้ยคะ”
อาจารย์ดำมองปริมลดาด้วยสายตาเจ้าชู้ ก่อนจะเอามือทำท่ารูดซิปปากตัวเอง
“มันจะเงียบ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“งั้นก็ตกลง พวกเราจะเอาเงินมาให้”
เอกราชรับปากอย่างเสียไม่ได้
“บอกได้เลย ว่ามันคุ้ม ซะยิ่งกว่าคุ้ม”
อาจารย์ดำหัวเราะอย่างสะใจ ทั้ง 3 คนมองกันอย่างคุมแค้น ต้องเก็บอารมณ์ไว้
บัดนี้ริลณีอ่อนแรงลงมาก นั่งกองอยู่ที่พื้น ค่อยๆ รวบรวมเรี่ยวแรงดึงมีดอาคมออกมาจากร่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เมื่อมีดหลุดออกมาหมด ก็เห็นบาดแผลลึกน่ากลัว เธอพยายามหลับตาใช้พลังสมานแผลในร่างให้กลับเหมือนเดิม แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง แผลก็ยังปริเหมือนเดิม
“อยู่ในนี้เราใช้พลังอะไรไม่ได้เลย ถ้าเรายังเจ็บอยู่แบบนี้ บางทีวิญญาณของเราอาจสูญสลายไปเลยก็ได้”
ริลณีพยายามประคองตัวอย่างยากลำบากเพื่อหาทางออก แต่ก็ออกไปไม่ได้
“ปล่อยฉันออกไปนะ ไอ้หมอผีชั่ว คอยดูนะ ถ้าฉันออกไปได้ ฉันจะฆ่าแก”
เตชินเแต่งตัวเรียบร้อยเดินลงบันไดมาจากบนบ้าน ท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปไหน ณรงค์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในโถง ทักอย่างแปลกใจ
“แกจะรีบไปไหน”
“รีบไปรับชมพูแล้วพาไปสถานีตำรวจครับ เราเพิ่งได้หลักฐานใหม่ที่จะเล่นงานคนที่ฆ่าริน”
ณรงค์มองลูกชายอย่างหนักใจ
“ระวังตัวไว้บ้างนะ คนที่แกพยายามเล่นงานอยู่ไม่ใช่คนธรรมดา พ่อไม่อยากให้แกเดือดร้อน”
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี ผมรีบไปก่อนนะครับ”
ขณะกำลังจะเดินไป ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียก
“เตชิน เตชิน”
เขารีบหันขวับไปทางณรงค์ที่ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
“คุณพ่อมีอะไรอีกเหรอครับ”
ณรงค์เงยหน้ามองแบบงงๆ “มีอะไร เรื่องอะไร”
“เอ้า เมื่อกี๊ คุณพ่อไม่ได้เรียกผมเหรอครับ”
ณรงค์ส่ายหน้า เตชินขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนที่เสียงจะดังเข้ามาอีกครั้ง
“เตชิน ช่วยรินด้วย”
เตชินตั้งใจฟังเสียงนั้นด้วยความรู้สึกสงสัยและกังวลใจ
หลวงพ่อคงลืมตาขึ้น มองหน้าเตชินที่นั่งรอคำตอบอยู่ด้วยความแปลกใจ
“แปลก เป็นครั้งแรกที่อาตมาสัมผัสถึงดวงวิญญาณโยมริลณีไม่ได้ เหมือนกับว่าอยู่ๆ ดวงวิญญานก็หายไปเฉยๆ”
“หรือว่ารินไปยังภพภูมิที่ควรไปแล้วครับ”
ผู้คงศีลส่ายหน้าช้าๆ
“โยมริลณียังมีห่วงอยู่มาก และผลกรรมที่ทำเอาไว้ ไม่น่าจะไปในเร็ววันนี้หรอก”
“แล้วรินหายไปไหนครับ ผมรู้สึกเหมือนรินกำลังเดือดร้อน ผมได้ยินเสียงรินร้องให้ช่วยอยู่ตลอดเวลา”
“อาตมาก็บอกไม่ได้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน บางทีดวงวิญญาณ อาจจะกำลังถูกทำร้ายอยู่ก็ได้”
หลวงพ่อพูดหน้าเครียด เตชินหน้านิ่ว กังวลใจ
ในเวลาต่อมา ชมพูยกมือไหว้ขอโทษเตชินกับชัชด้วยความรู้สึกผิดสุดๆ
“ชมพูขอโทษนะคะ ชมพูไม่รู้ว่าไดอารี่หายไปอยู่ที่ไหนจริงๆ ชมพูรื้อทั้งรถหาดูแล้ว แต่มันไม่อยู่ในนั้นจริงๆ แล้วชมพูก็มั่นใจว่าชมพูไม่ได้ไปทำหล่นหายที่ไหนแน่ๆ มันเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ไดอารี่เล่มนั้นก็หายไปเฉยๆ”
ชัชรีบท้วง “แต่สสารไม่มีทางหายไปเฉยๆ นะครับ”
“ก็ไม่แน่หรอก เพราะรินอยู่ดีๆ ก็หายไปเฉยๆ เหมือนกัน”
ชัชหันมองหน้าเตชินอย่างแปลกใจ “หมายความว่ายังไงวะไอ้เต”
“เมื่อวานฉันไปหาริน อยู่ๆ รินก็หายไปแบบไร้ร่องรอย แล้วก็ยังสมุดไดอารี่อีก ฉันไม่เชื่อว่าชมพูจะสะเพร่าทำหายที่ไหนแน่ๆ แต่การที่ทั้งริน ทั้งสมุดไดอารี่เล่มนั้นหายไปเฉยๆ มันต้องมีสาเหตุ”
“อย่าบอกนะว่าแกคิดว่ามีคนเล่นไม่ซื่อกับพวกเรา”
“ไม่แน่นะคะ เดี๋ยวนี้คนเราไม่ได้เอาชนะกัน แค่เล่ห์กลแล้ว ยังมีเวทย์มนต์ คาถาด้วย”
ชัชครุ่นคิด
“จะเป็นไปได้มั้ยวะ ว่าพวกนั้นจะส่งหมอผีมาเล่นงานริน แล้วก็เล่นงานพวกเรา ฉันเคยอ่านเจอในเวปนะเว้ย ว่าหมอผีเก่งๆ ที่ที่เลี้ยงโหงพราย เค้าจะสั่งให้พวกนั้นทำอะไรก็ได้ จะฆ่าคน ขโมยของ หรือเป็นทาสรับใช้”
“ถ้าเป็นแต่ก่อน ฉันคงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าทุกอย่างในโลกนี้มีทางเป็นไปได้ทั้งนั้น”
เตชินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับที่ชมพูโพล่งออกมา
“แล้วคนที่จะเดือดร้อนที่สุด ถ้ารินและไดอารีนั่นยังอยู่ ก็คือ...”
แววตาของเตชินวาบวาวขึ้นมาด้วยความแค้นขณะเอ่ยชื่อ 3 คนชั่ว
“เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา”
“งั้น ถ้าเราอยากจะหารินและไดอารี่ให้เจอ เราก็ต้องเริ่มจาก 3 คนนั้น”
เตชิน ชัช ชมพูมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด
ด้านเอกราชและปริมลดากำลังช่วยกันเอาเงินใส่ซอง ส่วนตุลเทพมองอยู่ด้วยความโมโห จำใจต้องหยิบเงินของตัวเองอีกล้านกว่ามาสมทบด้วย
“ไอ้หมอผีเจ้าเล่ห์ มันตั้งใจที่จะแบล็คเมลเรา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ไดอารี่บ้าบอนั่น ฉันก็คงไม่ต้องเสียเงินพวกนี้หรอก”
เอกราชถอนหายใจ
“ก็ใครจะไปคิดว่าไอ้ประวิทย์จะทำเรื่องแสบไว้ก่อนตายแบบนั้น ถ้านายอยากจะโวย ก็ไปโวยกับผีมันก็แล้วกัน”
ปริมลดาชักรำคาญ ”อย่ามาเถียงกันอยู่เลยน่า รีบเอาเงินไปให้ไอ้หมอผีนั่นเร็วๆ เถอะ เรื่องจะได้จบ”
ตุลเทพยิ้มหยัน
“จบเหรอ ลองมันได้ครั้งนึง มีเหรอจะไม่ขอครั้งที่สอง ไม่เชื่อก็คอยดู”
เอกราชเอาเงินใส่ถุงจนหมด แล้วหยิบถุงเงินนั้นเดินออกไป ปริมลดารีบเดินตาม โดยมีตุลเทพเดินรั้งท้ายด้วยความหงุดหงิดสุดๆ
ทั้ง 3 คนกำลังจะเดินขึ้นรถ ปริมลดาหันไปเห็นเหมือนชัช แอบยืนมองลับๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกล พอพยายามจะเดินเข้าไปดูเพื่อให้แน่ใจ แต่ชัชหายไปจากตรงนั้นแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
ตุลเทพหันมาถาม
“ลดาเห็นเพื่อนเหมือนสนิทเตชินเดินอยู่แถวนี้”
เอกราชมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้ใจ แต่เมื่อเห็นไม่มีใครก็รีบขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
ชัชรีบวิ่งเข้ามาหาเตชิน และชมพูที่รออยู่ในรถ ท่าทางร้อนรน
“3 คนนั่นออกไปแล้ว ท่าทางซุบซิบๆ เหมือนมีพิรุธอะไรก็ไม่รู้”
เตชินมองไปที่ถนน เห็นรถของเอกราชที่แล่นออกไป ก็รีบขับรถตามไปทันที ชมพูที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกกังวล
“แน่ใจนะคะพี่เตชิน ว่าถ้าเราสะกดรอยตามพวกเค้าแบบนี้ แล้วพวกเราจะได้เจอหมอผีกับรินจริงๆ”
“ก็ถ้าพวกเค้าติดต่อกับหมอผีจริงอย่างที่พวกเราสงสัย ยังไงก็ต้องไปหาภายใน 2-3วันแน่ๆ”
เอกราชขับรถมาตามถนน สายตามองที่กระจกหลังสังเกตรถเตชินที่ขับตามอยู่ ก็หันมาถามตุลเทพ
“นายเห็นรึเปล่า”
“เห็นมาสักพักแล้ว ท่าทางจะตามมาตั้งแต่บ้านฉันแล้ว”
ปริมลดาหน้าเครียด
“ก็ลดาบอกแล้วว่าที่ลดาเห็นน่ะเพื่อนสนิเตชินจริงๆ แล้วจะเอาไง ปล่อยให้ตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ”
เอกราชยิ้มมีแผน
อยู่ดีๆ รถของเอกราชก็เลี้ยวหายเข้าไปในวัดที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เตชินรีบเลี้ยวตามเข้าไปในทันที ทุกคนช่วยกันพยามมองหา จนเห็นรถเอกราชจอดอยู่มุมหนึ่ง
เตชินรีบขับรถเข้าไปวนใกล้ๆ ก่อนจะมองเข้าไปในรถอย่างสงสัย
“มีแต่รถแล้วคนหายไปไหน”
ชัชถามอย่างแปลกใจ เตชินมองเข้าไปที่วัดด้วยสายตาจับผิด
“คนแบบนั้น คงไม่มาเข้าวัดทำบุญหรอก”
ที่แท้เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา ฉวยโอกาสเดินหลบออกจากวัดแล้วโบกรถแท็กซี่ออกไปนานแล้ว
และเวลานี้เอกราชยื่นถุงใส่เงินให้ อาจารย์ดำรับมาเปิดดูแล้วยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะยื่นสมุดไดอารี่ของ
ประวิทย์ให้เอกราช ตุลเทพมองอย่างไม่เชื่อใจ
“พวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าอาจารย์ไม่ทำสำเนาไว้”
“ทำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หลักฐานแบบนั้น ทำอะไรพวกเธอ 3 คนไม่ได้อยู่แล้ว”
ทั้ง 3 คนขยับตัวจะลุกออกไป อาจารย์ดำยิ้มร้าย ก่อนจะเรียกไว้
“เดี๋ยว จริงๆ ฉันยังมีของดีอีกชิ้นนึง ที่คิดว่าพวกเธอทุกคนต้องการ”
ทั้ง 3 คนหันมามองสงสัย อาจารย์ดำรีบหยิบขวดที่ขังวิญญาณริลณีออกมา
“รู้มั้ยว่าอะไรอยู่ในนี้”
ตุลเทพทำหน้ารำคาญ
“มีอะไรก็บอกมาเร็วๆ เถอะน่า ไม่ต้องเล่นลิ้นให้มันมากนัก”
“ถ้านายรู้ว่าอะไรอยู่ในนี้ นายจะไม่กล้าพูดจาไม่ดีกับฉัน”
ปริมลดารีบทำเสียงอ้อนๆ อ่อยๆ “แล้วมันมีอะไรละคะอาจารย์”
“พูดหวานๆ อย่างนี้มันค่อยน่าพูดด้วยหน่อย ผีริลณีถูกขังอยู่ในนี้”
ปริมลดาสะดุ้งโหยง “อะไรนะคะ”
เอกราชกับตุลเทพส่ายหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“ไม่เชื่ออยากจะพิสูจน์มั้ยล่ะ”
อาจารย์ดำยิ้ม แล้วหยิบขวดขึ้นมายื่นให้ส่อง ทั้ง 3 มองเข้าไปในขวดแก้ว เห็นริลณีอยู่ในนั้น และพยายามดิ้นรนจะออกมาจากขวดให้ได้
ร่างริลณีกำลังทรุดโทรม และเจ็บปวดจากบาดแผล พอเห็นหน้าเอกราช ตุลเทพ และปริมลดาที่อยู่ด้านนอกจ้องเข้ามาในขวดก็ยิ่งแค้น ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นชี้หน้าทั้งสามด้วยความโกรธ
“พวกแกจะตามจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน คอยดูนะ ถ้าฉันหลุดออกไปจากนี่ได้เมื่อไหร่ ฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน โอ๊ย”
พูดเสร็จรู้สึกเจ็บปวดบาดแผลถึงกับเซลงไปนั่งกับพื้น แต่ยังจดสายตามองจ้องทั้งสามด้วยความแค้นสุดประมาณ
3 คนชั่ว มองในขวด ก่อนจะเงยหน้ามองหน้ากันไม่อยากจะเชื่อ เอกราชมองอาจารย์ดำอย่างไม่เข้าใจ
“ถ้าอาจารย์จับนังผีนี้ได้ ทำไมถึงไม่จับมาขังแบบนี้ตั้งแต่ต้น ปล่อยให้มันตามเล่นงานพวกเราอยู่ทำไม”
อาจารย์ดำยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ ว่าผีตัวนี้จะมีมูลค่าขนาดนี้”
ทั้ง 3 คนได้ฟังถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าอาจารย์ดำจะเล่ห์เหลี่ยม เลวร้ายมากกว่าที่คิด ตุลเทพตะคอกเอาเรื่อง
“หมายความว่ายังไง แกต้องการอะไร”
“เงินสิบล้าน ถ้าพวกเธอจ่ายให้ฉัน ฉันก็จะทำลายผีตนนี้ทันที แต่ถ้าไม่จ่าย ฉันก็จะทำให้ผีตนนี้เป็นทาสรับใช้ แล้วก็จะส่งมันไปตามหลอกหลอน แก้แค้นคนที่เคยทำร้ายมัน พวกเธอก็คงรู้นะ การโดนผีตามหลอกหลอนน่ากลัวกว่าโดนจับขังคุกแค่ไหน แล้วยิ่งผีที่เฮี้ยนแบบริลณีแล้วด้วย พวกเธอไม่มีวันหนีรอดแน่”
อาจารย์ดำหัวเราะชอบใจ ทั้ง 3 คนถึงกับสะอึก ตุลเทพโกรธจัด
“เห็นมั้ย นึกแล้วไม่มีผิด นี่แกแบล็คเมลพวกเราชัดๆ”
ปริมลดาโวยวายขึ้นมาบ้าง “นั่นสิ ได้ไปห้าล้านแล้วยังไม่พออีกรึไง”
“ก็แล้วแต่นะ ฉันไม่ได้บังคับ เอาที่พวกเธอสบายใจ แต่ไม่ว่าพวกเธอจะตัดสินใจยังไง ฉันก็มีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น”
เอกราชครุ่นคิด ก่อนจะโพล่งขึ้นมา
“ถ้าจ่ายสิบล้าน ผีริลณีจะไม่ตามมารบกวนพวกเราตลอดชีวิตเลยใช่มั้ย”
“ตามนั้น”
“งั้นตกลง พวกเราจะจ่ายสิบล้าน”
ไดอารี่ของประวิทย์มอดไหม้ในกองไฟที่กำลังลุกโชนร้อนแรง พร้อมเสียงตุลเทพดังโวยวายเข้ามา
“ฉันไม่จ่ายหรอก เงินสิบล้าน ถ้าเราจ่ายครั้งนี้ รับรองไอ้หมอผีนั่นสูบเราไม่เลิกแน่”
เอกราชยืนกอดอกหน้าเครียด จ้องมองไดอารี่ที่กำลังไหม้ไฟอยู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่ปริมลดาเห็นด้วยกับตุลเทพ
“ใช่ เราต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะถ้าไม่จ่ายเงิน อาจารย์ดำอาจจะเป็นคนแฉเรื่องของพวกเราก็ได้”
“มันจะไม่มีวันได้แฉ แล้วก็ไม่มีวันได้เงินจากพวกเราอีกแม้แต่บาทเดียว”
เอกราชยิ้มร้าย ตุลเทพทำหน้าฉงนฉงาย
“แต่นายบอกว่าจะจ่ายเงินให้มัน”
“ให้แน่ แต่ปิดปากคนอย่างมันไม่ต้องใช้เงินเยอะหรอก แค่ค่ากระสุนนัดเดียวก็พอแล้ว”
ตุลเทพและปริมลดามองหน้ากัน ตกใจ
“นี่นายคิดจะ…”
“เก็บมัน ใครที่รู้ความลับของเรา มันต้องตาย”
ตุลเทพส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“คนอย่างอาจารย์ดำ ไม่ใช่เดินเข้าไปยิงเปรี้ยงเดียว แล้วจะตายเหมือนคนอื่นที่ไหน คนที่มีวิชาอาคมขนาดนั้น แถมยังมีโหงพรายคุ้มกันรอบตัวอีก อย่าว่าแต่กระสุนเลย มีดยังฟันแทงไม่เข้า”
“ถ้าก็มันมีของ เราก็แค่ทำให้ของนั้นเสื่อมไม่ได้เหรอ นายก็เล่นของอยู่นี่ ก็น่าจะพอรู้วิธี”
“ไอ้รู้น่ะมันรู้ แต่คนพวกนี้ระวังตัวจะตาย ไม่มีทางทำอะไรให้ของที่ตัวเสื่อมอยู่แล้ว นอกจาก…”
ตุลเทพชะงัก เหลือบไปมองปริมลดา ก่อนจะยิ้มเหี้ยมอย่างคิดวิธีขึ้นมาได้
“นอกจากจะทำให้ของนั้นเสื่อม โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว”
รถเอกราชยังจอดสนิทนิ่งอยู่ที่วัดเดิม เตชินและชมพูนั่งรอซุ่มอยู่ใรถ รอว่าเมื่อไหร่ทั้ง 3 คนจะกลับมา สักพักใหญ่ชัชก็เดินท่าทางเหนื่อยเข้ามา เปิดประตูเข้ามาในรถ ท่าทางหอบๆ
“ฉันไปเดินดูที่โบสถ์ ศาลา กุฎิพระ แม้แต่เมรุเผาผี ไม่เห็น 3 คนนั้นอยู่ที่ไหนเลย ลองถามเด็กวัดก็ไม่มีใครเห็น 3 คนนั้นเข้ามาในวัดเลย”
“งั้นเราโดนพวกนั้นหลอกแล้วละ พวกนั้นคงรู้ว่าพวกเราตามมา ก็เลยแกล้งมาจอดรถที่นี่ แล้วแอบหนี”
เตชินพูดอย่างมั่นใจ ชัชและชมพูได้ฟังถึงกับเหวอ
“อ้าว แล้วทำไมแกไม่บอกให้เร็วกว่านี้วะ พวกเราจะได้ไม่ต้องรอ”
“อย่างนี้เราก็สะกดรอยตามไม่ได้แล้วน่ะสิ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีคะ”
เตชินครุ่นคิด “นั่นสิ เราจะทำยังไงต่อไปดี เราตามจะหารินได้ยังไง”
ขวดขังวิญญาณวางอยู่ตรงหน้าอาจารย์ดำที่กำลังนั่งพนมมือ ปากท่องคาถาเสียงดังระงมไปทั่วห้อง ก่อนที่ตัวจะเริ่มสั่นแรงขึ้นๆ จนฟุบหน้าลงไป พร้อมกับที่ดวงจิตกระเด็นหลุดออกมาจากร่าง หายลงไปในขวดนั้นทันที
ริลณีนั่งทรมานด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ลุกลามจนร่างกายอ่อนแรงลงไปมากแล้ว
ทันทีที่เห็นดวงจิตอาจารย์ดำปรากฏขึ้นในขวด ก็รีบพยายามลุกตรงเข้าไปจะใช้เล็บยาวจิกคอ แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับมืออันอ่อนแอไว้ แล้วใช้มือของตัวเองจับไปตรงแผล บิดแผลตรงนั้น จนเลือดสีดำไหลเป็นทางยาว ริลณีแทบทรุดด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก พยายามจะต่อสู้ แต่ก็ทำไม่ได้ อาจารย์ดำยิ้มอย่างย่ามใจ
“ตราบใดที่อยู่ในขวดนี้ แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ฟังไว้ให้ดีนะนังผีกระจอก ไม่ว่าพวกนั้นจะเอาเงินสิบล้านมาให้ฉันหรือไม่ให้ยังไง แกก็ต้องมาเป็นทาสรับใช้ของฉัน”
“ฉันจะไม่มีวันรับใช้คนอย่างแก ไอ้หมอผีเห็นแก่เงิน คนจิตใจต่ำ หักหลังแม้แต่คนที่มีบุญคุณกับแก“
อาจารย์ดำยิ่งโกรธ ก็ยิ่งเอามือบิดแผลมากขึ้นไปอีก เลือดสีดำยิ่งไหลนอง ริลณีเจ็บปวดแทบเจียนตาย
“ไม่ต้องมาทำปากดี แกก็พยายามทำร้ายพวกนั้น ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอก”
“ฉันทำเพราะพวกมันฆ่าฉัน แต่แกทำเพราะความโลภ แกไม่มีวันตายดีหรอก”
อาจารย์ดำแสยะยิ้ม
“ห่วงตัวเองเถอะ แกจะไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิด เพราะฉันกำลังจะสะกดวิญญานให้แกเป็นทาสรับใช้ของฉัน”
พูดเสร็จก็หยิบตะปูห้านิ้วออกมา แล้วจิ้มไปที่หน้าผาก ผีริลณีที่เจ็บปวดไร้ทางต่อสู้ ถึงกับทรุดเข่าลงกับพื้นอย่างศิโรราบ
อาจารย์ดำท่องคาถากำลังจะเอาค้อนตอกลงไปที่หน้าผาก แต่เสียงโทรศัพท์มือถือ จากด้านนอกขวดดังขึ้นมาขัดจังหวะ จอมขมังเวทย์ถึงกับชะงัก เสียสมาธิ ดวงจิตจะหายไปจากในขวดนั้น
ริลณีเกือบถูกสะกดวิญญาณ ร่างทรุดกองกับพื้นอย่างอ่อนแรงและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
อาจารย์ดำกำลังนั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น หันมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัว ที่กำลังส่งเสียงดังด้วยความโมโห ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความโมโห แต่เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาก็แปลกใจ
“ฮัลโหล ได้สิจ๊ะ สำหรับคุณปริมลดา ลูกค้าระดับวีวีไอพีแบบนี้ อาจารย์ดำยินดีเซอร์วิสเต็มที่ จะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ อาจารย์ยินดีพร้อมต้อนรับเสมอ”
อาจารย์ดำยิ้มตาเป็นประกายก่อนจะวางโทรศัพท์ แล้วหยิบขวดขังวิญญาณขึ้นมาดู
“รอให้ฉันเสร็จธุระกับแขกคนพิเศษก่อน แล้วเราค่อยมาสะสางธุระของเรา สงสัยต้องแต่งตัวเสริมหล่อซะหน่อยแล้ว”
พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีความสุข
ริลณีที่อยู่ในขวด เอามือจับแผลที่มีเลือดไหล ขณะที่มองเห็นว่าร่างกายเริ่มเลือนหาย โปร่งแสง จากเวทย์มนต์อาจารย์ดำ เธอเริ่มร้องไห้ ทั้งกลัว ทั้งเจ็บปวด พยายามร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
“เตชิน ช่วยรินด้วย อย่าให้รินต้องตกเป็นทาสรับใช้ ของไอ้หมอผีใจหยาบคนนี้เลย”
เตชินกลับมาที่เรือนไทย เปิดประตูไล่ดูตามห้องต่างๆ ทั้งห้องรับแขก ห้องนอน ห้องครัว พยายามมองหาเผื่อจะเห็นริลณีอยู่ในห้องเหล่านั้น แต่ก็ไม่มี
เขาถอนหายใจเฮือกอย่างอ่อนใจ แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ บริเวณเดียวกับที่ริลณีเจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ พร้อมกับเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในบ้าน คล้ายกับเสียงแว่วร้องขอความช่วยเหลือลอยมากับสายลม
“เตชิน ช่วยรินด้วย”
“ผมรู้สึกว่าคุณกำลังแย่ คุณอยู่ที่ไหนริน”
ประตูสำนักอาจารย์ดำถูกเปิดออก ปริมลดาแต่งหน้าสวยแจ่มในชุดเซ็กซี่ยั่วยวน ถอดแว่นตาดำ ยืนมองซ้าย มองขวา กลัวใครเห็นอยู่หน้าห้อง อาจารย์ดำมองความอวบอิ่มอูมพูม เซ็กซี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วน้ำลายแทบหยดติ๋ง แต่ต้องสงวนท่าทีไว้
“แน่ใจนะคะ ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าลดาแอบมาที่นี่คนเดียว”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ จะไม่มีใครรู้ จะไม่มีใครเห็นว่าหนูปริมลดามาที่นี่แน่นอน”
ปริมลดายิ้มพอใจ “แล้วอาจารย์แน่ใจนะคะ ว่าทำตามที่ลดาขอได้”
“เรื่องทำเสน่ห์ให้คนรัก คนหลงเนี่ยอาจารย์ถนัด ยิ่งสำหรับหนูปริมลดา ดาราสาวสวยอันดับหนึ่งด้วยแล้วเนี่ย อาจารย์จะทำให้หนูชุดใหญ่เลย รับรองได้โกอินเตอร์สมใจแน่”
ปริมลดาทำทีเป็นพูดออดอ้อน
“แต่อาจารย์จะไม่คิดเงินลดาแพงใช่มั้ยคะ ของเก่าเรื่องนั้นยังไม่มีจ่ายเลย”
อาจารย์ดำยิ้มกรุ้มกริ่ม “มันก็ขึ้นอยู่ว่า หนูลดาจะจ่ายเป็นอะไร”
“แล้วอาจารย์ให้ลดาจ่ายเป็นอะไรได้บ้างล่ะคะ”
จอมขมังเวทย์มองร่างที่ยืนยั่วอยู่ตรงหน้า ถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก
“งั้นเราเข้าไปคุยเรื่องวิธีจ่ายเงินกันในห้องดีกว่า เรื่องแบบนี้มันต้องคุยกันเงียบๆ 2 คน”
พูดจบก็รีบเข้าไปโอบหน้าโอบหลังปริมลดาเข้ามาในสำนัก ฝ่ายถูกโอบแกล้งยิ้มยั่ว ปล่อยให้ฝ่ายแรกแอบแตะนิดจับหน่อย ฉวยโอกาสได้ตามชอบใจ
เสื้อผ้าทั้งของปริมลดา และอาจารย์ดำเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ร่างเปลือยของทั้งคู่มีเพียงผ้าห่มคลุมปิดอยู่
ปริมลดาทำหน้านิ่ง เหมือนเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่อาจารย์ดำดูกระดี๊กระด๊า มีความสุข ทำท่าจะเข้าไปหอมอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายสะบัด บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้ถูกตัว ก่อนจะลุกจากเตียงใส่เสื้อผ้า
“ไม่เห็นต้องใส่เลย ตอนทำพิธีก็ต้องถอดอีก”
ปริมลดาที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วหันมามองอาจารย์ดำด้วยหน้าตาเหวี่ยงวีน ผิดกับตอนแรก
“ก็จะเดินลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ข้างล่าง จะให้แก้ผ้าเดินลงไปรึไงล่ะ”
“งั้นก็รีบไปรีบมานะจ๊ะ อาจารย์คิดถึง”
ปริมลดามองด้วยสายตาเอาเรื่อง “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ลดารีบมาแน่”
พูดจบก็รีบเดินออกไป อาจารย์ดำนอนกระดี้กระด๊ามีความสุขสมใจ เปิดผ้าห่มที่คลุมเตียงกำลังจะลงจากเตียง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นบนผ้าปูที่นอน มีรอยสีแดงคล้ายเลือด จากนั้นก็ก้มมองตัวเอง เห็นมีรอยเลือดติดตามตัว ด้วยแววตาครุ่นคิด
“เลือดอะไร อย่าบอกนะว่า ...”
ว่าแล้วก็รีบลุกไปที่กระเป๋าปริมลดาที่วางอยู่ในห้อง รีบรื้อค้นในกระเป๋า พอเจอผ้าอนามัยในนั้น ก็ถึงกับหน้าเสีย มองไปตามร่างกายเห็นรอยสัก ที่อยู่ตามตัวค่อยๆ เลือนหายไป
“โดนของต่ำ อาคมเสื่อม นังตัวร้าย”
อาจารย์ดำโกรธจัด รีบวิ่งตามปริมลดาออกไปทันที
อาจารย์ดำวิ่งออกมานอกห้อง แต่แล้วก็ต้องหยุดกึก เมื่อเห็นตุลเทพยืนถือปืนรออยู่ โดยมี
ปริมลดายืนอยู่มองอย่างสะใจอยู่ด้านหลัง
“พวกแก กล้าใช้วิธีสกปรกแบบนี้งั้นเหรอ”
ปริมลดายิ้มเยาะ “ก็ใครอยากให้แกใช้วิธีสกปรกกับพวกเราก่อนล่ะ คิดว่าพวกเราจะยอมให้แกสูบเลือดสูบเนื้องั้นเหรอ”
“ของแกเสื่อมแล้ว แกทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว”
อาจารย์ดำพนมมือ พยายามร่ายมนต์เรียกโหงพรายออกมาจัดการ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หนอย พวกแก”
จากนั้นก็หยิบของแถวนั้นจะวิ่งเข้าไปฟาดทั้งคู่ แต่ตุลเทพยิงปืนนัดเดียว กระสุนทะลุแสกหน้า ล้มลงขาดใจตายทันที
ตุลเทพตะโกนเข้าไปในห้อง
“ได้ขวดที่ขังนังผีนั่นไว้ได้รึยัง”
ในเวลาเดียวกัน เอกราชก็พยายามรื้อค้นเพื่อหาขวดที่ขังวิญานริลณี ก่อนจะเจอถูกตั้งแอบไว้หลังโต๊ะหมู่บูชา เขารีบคว้าแล้ววิ่งออกไปทันที
เอกราชกับตุลเทพ ช่วยกันโยนศพอาจารย์ดำลงไปในหลุม ปริมลดายืนถือขวดขังวิญญาณริลณีมองไปรอบๆ ด้วยความกังวล
“นายแน่ใจนะ ว่าเอามาฝังไว้ตรงนี้จะไม่เป็นอะไร”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกไม่กี่เดือนตรงนี้ก็จะกลายเป็นคอนโด ไม่มีทางที่จะมีใครเจอศพมันอีกแน่”
เอกราชพูดอย่างมั่นใจ ก่อนจะไปดึงขวดขังวิญญาณริลณี แล้วโยนลงไปในหลุม
“แล้วก็จะไมมีใครเจอนังผีนี่ด้วย”
ตุลเทพยิ้มสะใจ “จริงๆ ก็ต้องขอบใจไอ้หมอผีนั่นเหมือนกันนะ ถ้ามันไม่ช่วยจับผีริลณีไว้ให้ งานเราคงยากขึ้นอีกเยอะ”
“ในที่สุด พวกเราก็ได้ปิดจ็อปเรื่องนี้จริงๆ สักที ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวนังผีนี่จะทำอะไรเราแล้ว”
ปริมลดายิ้มอย่างโล่งใจ “จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติสักที เฮ่อ ชีวิตดี๊ดี”
ทั้งหมดช่วยกันเอาดินฝังกลบความเลวร้ายของตัวเองอีกครั้ง ขวดขังวิญญานของริลณีค่อยๆ โดนดินฝังกลบจนมิด
วิญญาณริลณีถูกขังอยู่ในขวดรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ร่างกายที่โปร่งแสง ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไอ้หมอผีนั่น”
จากนั้นก็หลับตาพยายามจะออกไปจากขวดนี้ให้ได้ แต่การใช้พลังที่มีอยู่ไม่มาก ทำให้เจ็บปวดแผลที่ถูกมีดหมอแทง จนถึงกับทรุดลงอย่างหมดแรง
“เจ็บเหลือเกิน เตชิน รินอยู่ในนี้มาช่วยรินด้วย”
ริลณีพยายามรวบรวมพลังจิต ตะโกนลั่น ด้วยน้ำเสียงโหยหวน
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 15 (ต่อ)
ฝ่ายเตชินนั่งอยู่นอกชานเรือนไทยอย่างหมดหวัง แต่อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงริลณีแว่วมากับสายลม
“เตชิน ช่วยรินด้วย รินอยู่ที่นี่ มาช่วยรินด้วย”
เขาสะดุ้งตกใจ พยายามมองหาที่มาของเสียง
“ริน คุณใช่มั้ย คุณอยู่ที่ไหน”
“รินถูกขังไว้ ออกไปไหนไม่ได้”
เตชินรู้สึกเป็นห่วง
“ริน ทำไมผมมองไม่เห็นคุณ คุณถูกขังไว้ที่ไหน บอกผมมาสิ ผมจะรีบไปช่วยคุณ”
ริลณีอยู่ในขวด มองไปรอบๆ อย่างสิ้นหวัง
“รินไม่รู้ว่ารินอยู่ที่ไหน พวกมันขังรินไว้ในขวด รินออกไปไหนไม่ได้”
“แล้วใครเป็นคนขังคุณ”
“ไอ้ 3 คนนั่นเอกราช ตุลเทพ ปริมลดา มันสั่งให้คนขังริน” แววตาของริลณีเต็มไปด้วยความแค้น
เตชินพยายามสื่อสารกับริลณี
“ทำไมพวกเค้าถึงได้ทำร้ายรินไม่หยุดหย่อน แต่รินไม่ต้องห่วงนะ ผมจะช่วยคุณ คุณได้ยินผมมั้ย ริน”
ริลณีที่เจ็บปวด และอ่อนแรงกับบาดแผล เลือดสีดำเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ได้แต่พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“มาช่วยรินให้ได้นะคะ ก่อนที่รินจะไม่มีโอกาสพบคุณ”
เตชิน ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม มารวมตัวกันที่บ้านเด็กกำพร้า ทั้งหมดนั่งปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด
“ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วจะไปตามหาได้ยังไงละคะ”
เฟื่องฟ้าพูดอย่างอ่อนใจ เอทีเอ็มถามต่อ
“แล้วรินไม่ได้บอกอะไร อย่างอยู่ใกล้ที่ไหน หรือใครที่เป็นคนขังรินเลยเหรอครับ”
เตชินส่ายหน้าช้าๆ “รินบอกแค่ว่า เอกราช ตุลเทพ ปริมลดาเป็นคนบงการ”
“งั้นก็คงต้องไปถาม 3 คนนั้นแล้วล่ะ ว่าเอารินไปซ่อนไว้ที่ไหน”
พอชัชพูดจบ ชมพูก็หันมาโวยวายใส่
“ ถ้า 3 คนนั้นบอกพวกเราง่ายๆ พวกเราก็คงไม่ต้องมานั่งกลุ้มหรอกค่ะ พี่เตชินติดต่อกับรินได้อีกมั้ยคะ”
“พี่พยายามแล้ว แต่พี่ไม่ได้ยินเสียงรินอีกเลย”
“หรือเราต้องไปถาม 3 คนนั่นจริงๆ”
เอทีเอ็มหันมาทำตาดุใส่เฟื่องฟ้า
“เอ๊ะ ยายเฟื่องฟ้า เมื่อกี้ก็พูดไปแล้ว ถ้าไปถาม 3 คนนั้นคงไม่บอกหรอก”
“งั้นก็อย่าไปถามตรงๆ สิ ไปถามอ้อมๆ ให้เค้าไม่รู้ตัว ค่อยๆ ตะล่อมให้คลายความลับน่ะ
มันก็ต้องมีใครสักคนเผลอบอกออกมาบ้างสิ”
เอทีเอ็มส่ายหน้า “พูดอย่างกับหนังสายลับ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
ชมพูหน้าเครียด “ใช่ อย่าว่าแต่หลอกถามเลย แค่เข้าใกล้พวกนั้น ยังไม่มีโอกาสเลย”
ทั้งหมดช่วยกันพยายามคิดวิธีอื่นกัน ครู่หนึ่งเตชินก็ยิ้มออกมา เหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ได้แล้ว
เสียงเพลงคึกคักในงานเปิดตัวเครื่องสำอาง “DSK” ที่บริเวณสระน้ำดังคึกคักขึ้นมา เหล่าเซเลบ ไฮโซ ต่างตบเท้าเข้ามาร่วมงานในโทนสีขาว-ชมพู ทุกคนเดินเข้ามาโพสท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปบริเวณก่อนเข้างาน เตชินในชุดขาวล้วนและชมพูในชุดชมพูสดใสเดินควงกันเข้ามาถ่ายภาพบริเวณจุดถ่ายรูป ทุกคนในงานฮือฮา หันมองและซุบซิบกันด้วยความแปลกใจ
ชมพูยิ้มสดใสขณะให้ช่างภาพถ่ายรูป ในขณะที่เตชินหน้านิ่งเหมือนมีอะไรในใจ
“พี่เตชินคิดยังไงคะ ถึงชวนชมพูมางานแบบนี้ ปกติพี่เตชินไม่ชอบมาไม่ใช่เหรอคะ”
เตชินทำหน้านิ่งไม่ตอบคำถาม เอทีเอ็มที่อยู่ในงานนี้ด้วยเดินเข้ามา ชมพูหันไปเห็นก็แปลกใจ
“นี่นายก็มางานนี้ด้วยเหรอ”
“ต้องเรียกว่ามาทำงานมากกว่า บริษัทฉันเป็นคนจัดงานน่ะ นี่ทั้ง 2 คนรู้รึยังครับว่าพรีเซ็นเตอร์ของงานนี้คือ ....”
เอทีเอ็มยังพูดไม่ทันจบ เสียงเพลงเปิดตัวงานก็ดังขึ้นมากลบเสียง พร้อมเหล่าแดนเซอร์ออกมาเต้นเปิดงานอย่างสนุกสนานรอบสระน้ำ ตามด้วยเสียงพิธิกรกล่าวเปิดงาน
“ขอต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่งานเปิดตัวเครื่องสำอาง DSK เครื่องสำอางสุดชิค สำหรับฮิปเตอร์รุ่นใหม่ โดยมีพรีเซ็นเตอร์สาวสุดสวย ปริมลดา ธนานุรัก นางเอกสาวอันดับหนึ่ง เป็นผู้นำความสวยใส มาสู่สาวๆทุกคน”
ปริมลดาดินออกมาอย่างมั่นใจสุดๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปยืนบนกระดานกระโดดน้ำ โพสท่าอวดโฉม ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ร่วมงานทุกคน
ชมพูยืนมองอย่างหมั่นไส้ ไม่พอใจ หันไปซุบซิบกับเอทีเอ็ม
“ไม่อยากเชื่อเลย กล้าออกมายืนต่อหน้าสังคม โดยไม่กลัวความผิดที่ตัวเองเคยทำไปซักนิด”
“มีใครเค้าสนใจล่ะ ยุคนี้ขอแค่คุณมีจุดขายก็พอแล้ว คนเราสนใจแต่เปลือก”
“เพราะอย่างนี้ คนชั่วๆ ถึงยังลอยหน้าลอยตาในสังคม อย่างคนที่มีเกียรติได้”
ทุกคนกรูเข้าไปรุมล้อม ช่างภาพล้อมวงถ่ายรูปด้วยความสนใจ เตชินจ้องมองไปที่ปริมลดาบน
กระดานกระโดดน้ำไม่วางตา ฝ่ายถูกมองหันกลับมาจ้องตากลับอย่างท้าทาย และยั่วยวน เอทีเอ็มที่หันไปเห็นต้องรีบสะกิดให้ชมพูดู
“ดูคุณเตชินกับปริมลดาสิ”
ชมพูรีบหันไปมอง เห็นทั้งคู่จ้องตากันแบบแปลกๆ จนต้องรีบเข้าไปสะกิด พยายามกันท่า
“พี่เตชินคะ”
ตาของเตชินยังจ้องปริมลดา แต่ปากพูดกับชมพู
“เดี๋ยวพี่ไปเอาเครื่องดื่มให้นะครับ”
โดยไม่รอคำตอบ เขารีบเดินออกไปทันที ชมพูมองตามแบบงงๆ กับท่าทางที่แปลกไปของเตชิน
ขณะยืนรอเครื่องดื่ม เตชินหันไปมองปริมลดาที่ยังโพสท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป ฝ่ายหลังแอบเหล่มองมา พร้อมกับยิ้มอ่อย อย่างท้าทาย จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับตัวโพสท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปจนไปถึงขอบสระ ก่อนจะลื่น ตกลงไปในสระน้ำ
ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึง ทุกคนในงานตกตะลึง พรึงเพริด หนุ่มๆ ช่างภาพ จะรีบลงไปช่วย แต่ช้ากว่าเตชินที่รีบกระโดดลงไปในน้ำเข้าไปช่วยก่อน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะสระว่ายน้ำที่กระโดดลงไป ลึกแค่ยืนถึง ปริมลดายืนขึ้นมามองเตชินขำๆ พร้อมเสียงพิธีกรดังแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องตื่นเต้นกันนะคะ นี่คือการทดสอบจริง ให้ทุกคนเห็นว่าเครื่องสำอาง DSK ของเราสวยทนติดนาน ขนาดพรีเซ็นเตอร์สาวคนสวยของเรา ตกลงไปในน้ำ หน้าตายังสวยเด้ง ไม่เปลี่ยนเลย”
ปริมลดาโบกมือให้ทุกคนในงาน ก่อนจะเดินเข้าไปหอมแก้มเตชิน
“รางวัลสำหรับผู้กล้าค่ะ ขอบคุณนะคะที่ลงมาช่วยลดา”
เตชินยืนนิ่งไม่มีท่าทางรังเกียจหรือถอยหนี ผู้คนในงาน ต่างปรบมือ เป่าปากอย่างชอบใจสำหรับโชว์ครั้งนี้ ตรงข้ามกับชมพูและเอทีเอ็ม ที่ยืนมองทั้งอึ้ง ทั้งช็อก
เตชินที่เปลี่ยนชุดใหม่ที่ทีมงานจัดหาให้ กำลังเอาผ้าเช็ดผม ท่าทางยังอึ้งๆ งงๆ ปริมลดาในชุดสวยสีตามคอนเซ็ปต์งานเดินเข้ามา มองยิ้มๆ อ่อยๆ
“บอกตรงๆ เลยนะคะว่าปลื้มมาก ที่คุณกระโดดลงไปช่วยลดาแบบนั้น นึกว่าคุณจะเกลียดลดาจนอยากให้ลดาตายๆ ไปจากโลกนี้ซะอีก”
“ทำไมผมต้องเกลียดคุณด้วย” เตชินย้อนถาม
“ก็เรื่องที่คุณเข้าใจผิดว่าลดาเกี่ยวข้องกับ....”
เตชินรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ปริมลดาจะพูดชื่อริลณีออกมา
“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ ตำรวจก็สรุปคดีออกมาแล้ว ว่าไม่เกี่ยวกับกับพวกคุณ”
ปริมลดาทำเป็นตีหน้าเศร้า
“ลดาก็เสียใจนะคะที่เกิดเรื่องแบบนั้น ทั้งริลณี หงส์หยก เชิงชาย ก็เป็นเพื่อนของลดาทั้งนั้น ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายถึงขนาดนั้น ลดาคงห้ามพวกเค้าแล้วละค่ะ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้วครับ”
ปริมลดายิ้มยั่ว “แต่เรา 2 คนจะยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ยคะ”
พูดพลางถือโอกาสจับมือ เตชินนิ่งไม่สะบัดออก แต่ยังไม่ตอบรับ
“หรือคุณกลัวชมพูจะโกรธ เห็นควงกันมานานเปิดตัวหวานแหววขนาดนั้น”
“ผมกับชมพูเป็นพี่น้องกัน ไม่มีทางเกินเลยกว่านั้น”
ปริมลดาแววตาเป็นประกาย
“นี่ถือเป็นคำตอบรับ ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ รึเปล่าคะ”
เตชินพยักหน้าน้อยๆ “ถ้าเรา 2 คนพร้อมที่จะลืมเรื่องที่ผ่านมา”
“ลดาอยากลืมอยู่แล้วค่ะ”
ปริมลดาจ้องมองเตชินด้วยสายตายั่วยวนท้าทาย ฝ่ายหลังมองตอบ แต่สายตายังดูนิ่ง เหมือนมีอะไรอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ฟากชมพูก็เอาแต่ชะเง้อมองเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางกังวล จนเอทีเอ็มต้องคอยปลอบ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่าเครียด”
“จะไม่ให้เครียดได้ยังไง ไม่เห็นเหรอที่พี่เตชิน กับปริมลดาจ้องกันตาเป็นมัน ยังกับว่า...”
เอทีเอ็มรีบพูดแทรกต่อ
“ปิ๊ง? คุณเตชิน เค้าไม่มีทางชอบผู้หญิง ที่ฆ่าคนที่เค้ารักหรอก”
ขาดคำเตชินและปริมลดาก็เดินควงแขนกันออกมา ท่าทางดูสนิทสนม ทั้งคู่หันไปเห็นถึงกับเหวอ
“พี่กับปริมลดาจะออกไปหาอะไรทาน เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปส่งน้องชมพูกลับบ้านนะครับ”
ชมพูยิ่งเหวอหนัก เอทีเอ็มได้สติรีบตอบแทน
“คุณเตชินไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมพาชมพูกลับบ้านเอง กินให้อร่อยเถอะครับ”
“น้องชมพูโอเคนะครับ”
ชมพูก้มหน้านิ่งไม่ตอบ ปริมลดารีบตอบแทน
“ชมพูเค้ามีคนไปส่งแล้ว คงโอเคแล้วล่ะค่ะ เรารีบไปกันเถอะ”
พูดจบรีบเดินควงแขนเตชินออกไป ชมพูมองตามอย่างเจ็บปวด เอทีเอ็มมองด้วยความเห็นใจ
“ถ้าพูดอะไรออกไปสักคำ เธอจะร้องไห้มั้ยเนี่ย”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่านายพูดเรื่องอะไร”
“เรื่องคุณเตชิน กับปริมลดา”
เอทีเอ็มยังพูดไม่ทันจบ ชมพูก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
“แค่เอ่ยชื่อ ยังไม่ทันขยี้อะไร เธอก็ร้องไห้แล้ว”
“ก็ไหนว่านายบอกว่าพี่เตชิน ไม่มีวันชอบคนที่ฆ่าคนที่เค้ารักได้ไง แล้วเมื่อกี๊ทำไมเค้ากับปริมลดาถึงทำท่าเหมือนชอบกัน แถมยังออกไปด้วยกันอีก”
เอทีเอ็มรีบบอก “คุณเตชินทำแบบนี้มันต้องมีเหตุผลสิ”
“เหตุผลแบบผู้ชายๆ ที่เจอสาวสวย เสน่ห์แรง ยังไงก็อดใจไม่ไหวใช่มั้ย”
“เธอพูดเหมือนกันไม่รู้จักคุณเตชินอย่างนั้นแหละ ปริมลดาเคยพยายามจับคุณเตชินตั้งหลายครั้ง นั่นขนาดเค้ายังไม่รู้เรื่องริน เค้ายังไม่สนเลย แล้วนี่ฉันว่าเค้าต้องคิดทำอะไรแน่ๆ”
ชมพูส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เชื่อ
“ถ้าเค้าคิดจะทำอะไรจริงๆ ทำไมเค้าถึงไม่ปรึกษาพวกเรา คนพวกนั้นอันตรายมาก เกิดพี่เตชินเป็นอะไร...”
“ถ้าเค้าไม่บอก ก็แสดงว่าเค้าไม่อยากให้พวกเราเดือดร้อนน่ะสิ”
“แล้วพวกเราจะทำยังไง” ชมพูย้อนถาม
“ถ้าสิ่งที่คุณเตชินทำคือแผนจริงๆ เราก็ต้องเล่นไปตามแผน เพราะถ้าเราเข้าไปยุ่งอาจทำให้แผนเสีย เค้าอาจจะเป็นอันตราย”
“แล้วถ้าสิ่งที่เค้าทำไม่ใช่แผน เค้ากับปริมลดาชอบกันจริงๆ ล่ะ” ชมพูหน้าเศร้า
“งั้นก็คงตัวใครตัวมันแล้วล่ะ” เอทีเอ็มพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือชมพูขึ้นมาซับน้ำตาให้” หยุดร้องไห้ได้แล้ว เครื่องสำอางเลอะหมดแล้ว”
ขณะเช็ดน้ำตาให้ ชายหนุ่มก็ทั้งเขิน ทั้งปวดใจ
ชมพูรู้รีบหยิบผ้าเช้ดหน้ามาเช็ดหน้าตัวเอง ยังรู้สึกกังวลใจไม่คลาย
เตชินและปริมลดาไขว้แขนชนแก้วไวน์ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สบตาจ้องกันหวานฉ่ำ จากนั้นก็ดื่มไวน์อย่างโรแมนติกจนหมดแก้ว ทั้งคู่นั่งอยู่บนโซฟาในมุมวีไอพีของผับหรู
“ลดามีความสุขจังค่ะ ที่ได้อยู่กับคุณแบบนี้”
ปริมลดาเมากรึ่มผวาตัวเข้าไปกอดกระแซะใกล้ชิดเตชิน
“ผมก็มีความสุขเหมือนกัน ถ้ารู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงน่ารัก ช่างเอาใจแบบนี้ ผมก็คง....”
“คงอะไรคะ”
“คงจะโทรหาคุณตั้งแต่คุณให้เบอร์ผมตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว”
เตชินยิ้มเจ้าชู้ ปริมลดาแอบเขิน
“ยังจำเรื่องนั้นได้อีก”
“ได้สิครับ ผู้หญิงสวยขนาดนั้นมาให้เบอร์ ผู้ชายคนไหนก็ลืมไม่ลงหรอกครับ”
“แต่มันก็ไม่สายนี่คะ ที่เราจะเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้ คุณก็รู้ว่าลดาชอบคุณมากขนาดไหน”
ปริมลดาจับมือเตชินขึ้นมาสัมผัสกับมือตัวเอง ก่อนจะใช้นิ้วสอดประสานกับมือเขาไว้ ทั้งคู่จ้องมองตากันหวานฉ่ำ
“ผมก็อยากเริ่มกับคุณ แต่มันไม่ง่าย...”
ปริมลดาฉงน “ทำไมล่ะคะ”
เตชินทำท่าเหมือนกลัว
“เพราะวิญญาณของริลณียังคอยติดตามผมอยู่ตลอดเวลา เค้าจะไม่ยอมปล่อยให้ผมมีคนอื่น เค้าจะโกรธ แล้วเค้าจะฆ่าผม”
“จริงเหรอคะ”
“จริง นี่ผมก็ยังเห็นเค้าคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เลย”
ปริมลดากำลังครึ้มอกครึ้มใจ ครุ่นคิด แล้วโพล่งออกมาอย่างไม่ค่อยมีสติว่า
“เป็นไปไม่ได้ วิญญาณริลณีถูกขังเอาไว้ ไม่มีทางที่จะออกไปไหนได้หรอกค่ะ”
เตชินลอบยิ้มสมใจอีกฝ่ายไม่เห็น “คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าวิญญาณของริลณีถูกจับขังแล้วถูกฝังดินเอาไว้ ไม่มีทางหลุดออกมาได้หรอกค่ะ”
เตชินพยายามถามย้ำ “แต่ผมยังเห็นริลณีจริงๆ คุณแน่ใจว่าฝังดีแล้ว”
“แน่ใจสิคะ ลดาไปฝังมากับมือเอง แล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะมีตึกคอนโดทับหลุมที่ฝังเอาไว้อีก ไม่มีทางที่ริลณีจะตามออกมาหลอกหลอนใครได้แน่”
พูดจบนางเอกซุปตาร์ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสายตาของเตชินที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“คุณเป็นอะไรไม่คะเตชิน”
“ผมไม่คิดว่าคุณจะเหี้ยมโหดขนาดนี้ คุณฆ่าเค้าตาย แล้วยังขังวิญญาณไม่ให้เค้าไปผุดไปเกิดอีก” เตชินผลักปริมลดาออกไปจากตัวอย่างสะอิดสะเอียน ด้วยความรังเกียจสุดๆ “คุณมันเป็นคนน่ารังเกียจ คุณไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกขยะแขยงคุณมากแค่ไหน ที่ต้องนั่งอยู่กับคุณแบบนี้”
ปริมลดาเพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอก ถึงกับปรี๊ดขึ้นมา
“นี่อย่าบอกว่า ที่ทำมาทั้งหมด แกหลอกฉันเหรอ”
“คุณก็หลอกคนอื่นมาเยอะ โดนเองสักครั้งจะเป็นไรไปล่ะ”
เตชินพูดแล้วก็เดินออกไปโดยไม่สนใจ ปริมลดาหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาขว้าง ก่อนจะกรีดร้องด้วยความโกรธ
“ไอ้ผู้ชายทุเรศ ฉันอุตส่าห์ชอบแก คิดจะจริงจังกับแก แต่แกก็แค่ผู้ชายทุเรศ น่ารังเกียจ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
เมื่อนึกได้ว่าถูกหลอกถามเรื่องริลณี ปริมลดาก็ตกใจตาเหลือก
ฝ่ายเตชินเดินคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ชัช นายช่วยสืบให้ฉันหน่อย ว่าเอกราช มีโครงการก่อสร้างไหน ที่กำลังก่อสร้างอยู่ อย่าเพิ่งถาม อย่าเพิ่งสงสัย ได้เรื่องแล้วรีบโทร.กลับด้วย”
จากนั้นก็รีบกดวางสาย ก่อนจะพึมพำออกมาด้วยท่าทางมุ่งมั่น
“ริน รอผมอีกนิดนะ ผมกำลังจะไปช่วยคุณ”
ปริมลดาถูกเอกราชตบชนิดไม่เลี้ยง จนลงไปกองกับพื้น ใบหน้าบวมช้ำ ปากแตก ยับเยินไปหมด พออีกฝ่ายจะตามไปตบซ้ำ ก็รีบยกมือไหว้ขอร้องด้วยความกลัว
“ฉันขอโทษฉันผิดไปแล้ว”
เอกราชไม่สนใจ จะตามไปตบต่อ แต่ตุลเทพรีบห้ามไว้
“พอเถอะ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก”
“ตายซะได้ก็ดี มันจะได้ไม่ทำให้เราเดือดร้อน”
ปริมลดารีบคลานเข้าไปกอดขาเอกราช ท่าทางน่าสมเพช
“ลดาขอโทษ ลดาไม่ได้ตั้งใจ ลดาไม่รู้ว่าไอ้เตชินจะหลอกใช้ลดาแบบนี้”
เอกราชจ้องหน้าแววตาเหี้ยม
“รู้ไว้ด้วยนะ ถ้าไอ้เตชินมันไปช่วยนังผีริลณีออกมาได้ คนที่เดือดร้อนที่สุด ก็คือพวกเรา นังผีนั่นจะฆ่าพวกเรา แล้วก็ไม่มีใครช่วยพวกเราได้แล้วด้วย เพราะเราฆ่าไอ้อาจารย์ดำนั่นไปแล้ว”
ตุลเทพสะดุ้ง ตกใจ จนตาเหลือก
“จริงสิ อาจารย์ดำ ถ้าพวกมันเจอขวดที่ขังนังริลณี ก็ต้องเจอศพอาจารย์ดำที่พวกเราฝังไว้ด้วย ถ้าไม่โดนผีฆ่า ก็ต้องติดคุกหัวโตแน่”
เอกราชโกรธมากจะเข้าไปเอาเรื่องปริมลดาอีก “เพราะเธอคนเดียว”
“ลดาผิดไปแล้ว ลดาขอโทษ จะให้ลดาทำอะไรก็ยอม”
“ตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วหละ นอกจาก ...เก็บไอ้เตชิน มันรู้เรื่องของพวกเรามากเกินไปแล้ว ก็ถ้ามันรักนังผีนั่นมากขนาดนั้น ก็ส่งให้มันไปอยู่นรกกับเมียมันเลยก็แล้วกัน”
เอกราชพูดด้วยหน้าตาเหี้ยมโหดอำมหิต จนตุลเทพกับปริมลดายังตกใจกลัว
ทุกคนนั่งกันมาพร้อมหน้าในรถเตชินที่แล่นเข้ามาบริเวณไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง รอบบริเวณมืดสลัว มีเพียงไฟส่องสว่างไม่กี่ดวง เสียงของชัชดังขึ้น
“จากที่ฉันเช็คดูการก่อสร้างของบริษัทเอกราช มีการก่อสร้างคอนโดมิเนียม และโรงแรมรวม 3 แห่ง 2 แห่งที่ยังไม่ได้ลงมือก่อสร้างอยู่ที่เชียงใหม่กับภูเก็ต เหลือที่เดียวที่กำลังก่อสร้างอยู่ก็คือที่นี่ และอีกไม่กี่เดือนก็จะเสร็จตามที่ปริมลดาบอกจริงๆ”
เอทีเอ็มพยักหน้า “งั้นก็น่าจะที่นี่แหละ แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเค้าเอารินไปฝังที่ไหน”
เฟื่องฟ้ารีบหันมาถาม “คุณเตชินติดต่อกับรินได้อีกมั้ยคะ”
“ไม่ได้แล้วครับ จนผมกลัวว่าดวงวิญญาณของรินจะเป็นอะไรรึเปล่า”
ชมพูน้ำตาซึม “ทำไมพวกนั้นถึงต้องตามจองเวรจองกรรมกับรินถึงขนาดนี้”
เตชินเองก็น้ำตารื้น ด้วยความสงสารริลณี ก่อนจะเบรครถกระทันหัน ทุกคนหัวคะมำ มองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“มีอะไรคะพี่เตชิน”
เตชินหน้าเครียด มองไปนอกกระจก “ดูข้างหน้านั่นสิ”
ทุกคนมองผ่านกระจก เห็นรถคันหนึ่งจอดขวางถนนอยู่ตรงหน้าไม่ไกล และรถคันนั้นเปิดไฟหน้าสาดมาทางรถเตชิน ทุกคนเริ่มกลัว
“ฉันว่ามันแหม่งๆ แล้วว่ะ”
เตชินหันมาบอกชัช “เดี๋ยวฉันลงไปคุยเอง”
พูดเสร็จก็เปิดประตูกำลังจะลงจากรถ พร้อมกับที่คนจากรถฝั่งตรงข้ามเดินลงมาเหมือนกัน ท่าทาง หน้าตาดูไม่ไว้วางใจ ทั้งสามใส่หมวกไอ้โม่ง และมีคนหนึ่งหยิบปืนยิงใส่ทันที
เตชินรีบหาที่หลบแทบไม่ทัน พบว่าล้อรถถูกยิงจนแฟ่บทุกคนในรถตกใจ ยิ่งเห็นคนจากรถคันตรงข้ามเดินถือปืนเข้ามา ทุกคนรีบลงจากรถ คนจากรถคันตรงกันข้ามทั้ง 3 คนเดินเข้าพร้อมกับเล็งปืนขึ้น
“พี่เตชิน ระวัง”
ไม่ทันขาดคำของชมพู คนที่ถือปืนก็ยิงปืนเล็งมาที่เตชิน แต่เขาหลบกระสุนได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะรีบคว้ามือชมพูวิ่งหนีไปทางหนึ่ง ชัช เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม วิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง
3 ไอ้โม่ง อันมี เอกราช ตุลเทพ และ ปริมลดา มองตามเตชินและเพื่อนที่วิ่งหนีไปด้วยความโมโห
เอกราชชี้ไปทางที่ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มวิ่งไป
“ตามไปจับมันมาให้ได้ อย่าให้ใครรอดไปจากที่นี่แม้แต่คนเดียว ส่วนไอ้เตชิน ฉันจัดการเอง”
ตุลเทพพยักหน้าเข้าใจ หยิบปืนของตัวเองขึ้นมา แล้ววิ่งตามไป เอกราชหันมามองปริมลดา ทั้งคู่พยักหน้า ให้กันแล้วรีบตามเตชินไปทันที
เตชินกับชมพูตื่นกลัววิ่งหนีมาตามทางที่มืดมิด ชมพูหยุดหอบ เตชินมองสำรวจทั่วร่าง ก่อนจะเห็นว่าไม่มีบาดแผลบาดเจ็บ
“ชมพู ไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกนั้นเป็นใครคะ”
เตชินส่ายหน้ายิก “พี่ก็ไม่รู้”
“ทำไมถึงกับต้องยิงกันขนาดนี้”
ไม่ขาดคำ เสียงปืนก็ดังเปรี้ยงขึ้นมาอีก ทั้ง 2 คนสะดุ้งเฮือก ก้มลง อีกด้านหนึ่งเอกราช ที่วิ่งนำ
ปริมลดาที่ใส่ไอ้โม่งวิ่งตามเข้ามา ยกปืนขึ้นเล็ง ก่อนจะยิงเตชินเต็มๆ
เสียงปืนลั่นปัง ดังก้องเข้ามาในขวดขังวิญญาณ ผีริลณีที่ทรุดนอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ผุดลุกขึ้นทันที ดวงตาที่อ่อนล้ากลับฟื้นมีพลังขึ้นอย่างประหลาด สายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เหมือนรับรู้บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับเตชิน
ชมพูรีบเข้าไปดูเตชินที่ล้มลงด้วยความตกใจ
“พี่เตชิน พี่เตชินโดนยิง”
เตชินมองไปที่แขนที่ถูกกระสุนถากจนได้เลือด ก่อนจะหันไปมองเอกราชและปริมลดาที่วิ่งใกล้เข้ามา
“พี่ไม่เป็นอะไร รีบไปกันเถอะ”
เตชินรีบจับมือชมพูพาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เอกราชและปริมลดารีบวิ่งตามไป
ส่วนชัช เฟื่องฟ้า และเอทีแอ็ม ก็พยายามวิ่งหนี โดยมีตุลเทพไล่ยิงปืนตามหลัง ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ แต่กระสุนไม่โดนใคร ทั้ง 3 คนรีบวิ่งหนีต่อแบบไม่คิดชีวิต เฟื่องฟ้าถึงขนาดร้องตะโกนขอให้วิญญาณริลณีช่วย
“ถ้ารินอยู่ รินต้องมาช่วยพวกเราแน่ รินช่วยพวกเราด้วย รินช่วยด้วย”
ตุลเทพวิ่งตามมาแสยะยิ้ม มองทั้งสามอย่างสมเพช
“ตะโกนให้ตาย นังริลณีก็ไม่มีทางมาช่วยแกหรอก พวกแกมันรนหาที่ตายเอง”
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 15 (ต่อ)
เสียงเฟื่องฟ้าที่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ดังก้องอยู่ในขวดขังวิญญาณ ริลณีรับรู้และเริ่มแค้น ดวงตาอาฆาตเปลี่ยนเป็นดวงตาผีน่ากลัว และยิ่งแค้นมากเท่าไหร่ ดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะทุเลาขึ้นเท่านั้น เลือดที่ไหลซึมออกกำลังค่อยๆ ไหลย้อนเข้าไป แผลและร่างกายลับมาดีแทบจะเป็นปกติ
“พวกมันคิดจะฆ่าเพื่อนฉันงั้นเหรอ ฉันอยู่ที่นี่ ปล่อยฉันออกไป ฉันจะฆ่าพวกมันเอง”
ชัชกำลังวิ่งหนี ถึงกับชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงของริลณีที่เหมือนกำลังเรียกเข้าไปหา
“ฉันอยู่ที่นี่ ปล่อยฉันออกไป พาฉันออกไปจากที่นี่”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มวิ่งมาจนทันกัน มองชัชที่ยืนนิ่งชะงักด้วยความแปลกใจ
“ฉันได้ยินเหมือนเสียงใครบางคนกำลังเรียกอยู่”
เฟื่องฟ้ารีบถามอย่างตื่นเต้น “ใช่เสียงรินรึเปล่า”
“ผมไม่รู้ เค้าบอกว่าอยู่ที่นี่ ให้พวกเราไปปลดปล่อยเค้า”
เอทีเอ็มพูดอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นรินแน่ๆ เสียงมาจากตรงไหน”
“ผมไม่รู้ ผมไม่รู้”
“ใจเย็นๆ นะครับ มีสติ ค่อยๆ ตั้งใจฟังว่าเสียงมาจากทางไหน”
ชัชหลับตาพยายามใช้สมาธิฟังอย่างตั้งใจ เฟื่องฟ้าที่ยืนลุ้น หันไปเห็นตุลเทพรีบวิ่งใกล้เข้ามาก็รีบสะกิดเอทีเอ็ม
“จะมีสมาธิอะไรก็เร็วๆ หน่อยๆ มันตามมาแล้ว”
เอทีเอ็มหันไปเห็นตุลเทพใกล้เข้ามา ก็รีบหันไปมองชัชที่กำลังทำสมาธิ ก่อนจะได้ยินเสียงริลณีดังเข้ามา
“ฉันอยู่ตรงนี้ มาหาฉัน ฉันอยู่ตรงนี้”
ชัชลืมตาโพลง “ได้ยินแล้ว”
ขาดคำก็รีบวิ่งนำเอทีเอ็ม และเฟื่องฟ้าออกไปอย่างเร็วจี๋ โดยมีตุลเทพที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ ด้วยความโมโห
ทางด้านเตชินจูงมือชมพูวิ่งเข้ามาใกล้ตัวอาคารที่ยังเป็นโครงและสร้างไม่เสร็จ ชมพูไม่ทันระวังสะดุดก้อนหินล้ม เป็นแผลเลือดซึม จังหวะนั้นเอกราชและปริมลดาก็เดินเข้ามาพอดี
“พอเหอะ จะหนีทำไมให้เหนื่อย พวกแกหนีฉันไม่พ้นหรอก”
ปริมลดายิ้มเหี้ยม “เก็บมันทั้ง 2 คนเลย จะได้หมดเรื่อง”
ชมพูฟังสียงทั้งคู่ แล้วก็โพล่งออกมาอย่างจำได้ “เอกราช ปริมลดา”
2 โม่งชะงัก หันมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจถอดหมวกไหมพรมออก
“พวกเธอทำแบบนี้ทำไม พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
เอกราชแสยะยิ้ม
“เสียดายนะ ถ้าเธอรับรักและแต่งงานกับฉัน เรื่องของเรา 2 คนก็คงไม่ลงเอยแบบนี้ แต่ในเมื่อเธอเลือกที่จะยืนข้างมัน เรา 2 คนก็ต้องเป็นศัตรูกัน”
“จะยิงก็ยิงสักทีสิ มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ”
ถูกปริมลดาเร่ง เอกราชหันไปมองอย่างไม่พอใจ เตชินใช้จังหวะนั้นเข้าไปแย่งปืน จนปืนในมือเอกราชหลุด กระเด็นไปตรงหน้าชมพู ที่ทำท่าจะเอื้อมมือหยิบ แต่ปริมลดาเข้ามาจะแย่ง 2 สาวแย่งปืนกันไปมา
ส่วนเตชินใช้ฝีมือที่เหนือกว่า ล้มเอกราชได้สำเร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชมพูผลักปริมลดาล้มเหมือนกัน
เตชินจับมือชมพูพากันวิ่งหนีไป เอกราชโมโหรีบเดินไปคว้าปืน แล้วรีบวิ่งตามไป
โดยมีปริมลดาวิ่งตามออกไปติดๆ
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของริลณีดังไปทั่วบริเวณ
“ช่วยฉันด้วย ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้”
ชัชพยายามหาที่มาของเสียงเริ่มสับสน เดินวนไปวนมา
“ที่ตรงนี้ละมันตรงไหนล่ะ ริลณี พี่ชัชงงไปหมดแล้ว”
เอทีเอ็มหันไปเห็นตุลเทพวิ่งเข้ามา รีบมองรอบๆ บริเวณ ก่อนจะหยิบไม้หน้าสามขนาดเหมาะมือ มาถือไว้ เฟื่องฟ้าหันมาเห็น ก็ตกใจ โวยวายลั่น
“จะทำอะไรน่ะ”
“ฉันจะไปถ่วงเวลามันก่อน พวกเธอ 2 คนหาที่ฝังรินให้พบแล้วขุดขึ้นมาให้ได้”
พูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไป เฟื่องฟ้าตกใจ พยายามร้องห้าม
“เอทีเอ็ม อย่าไป จะไปให้พวกมันฆ่าเหรอ อย่าไป”
ขณะที่เฟื่องฟ้าโวยวาย ชัชก็พยายามตั้งสมาธิฟังเสียงริลณี
“ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้”
ชัชเดินมายืนตรงจุดอันเป็นที่ฝังขวดขังวิญญาณริลณี และหลุมศพอาจารย์ดำพอดี บอกเฟื่องฟ้าอย่างมั่นใจ
“ตรงนี้แหละ”
ฟากเอทีเอ็มค่อยๆ ย่องไปหลบหลังมุมตึก ยกไม้สูงเตรียมเอาไว้ พร้อมกับสูดลมหายใจเต็มปอด
“ริน ช่วยฉันด้วยนะ หนนี้ฉันพลาดไม่ได้”
เมื่อเห็นตุลเทพที่ใส่หมวกไอ้โม่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ยกไม้ฟาดหน้าไปเต็มแรง จนฝ่ายถูกฟาดล้มลงไปนอนหมดสติ
เอทีเอ็มที่ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ค่อยๆ เข้าไปดูใกล้ๆ เอาเท้าเขี่ยปืนออกมา แล้วโยนลงน้ำไป
เตชินจูงมือชมพูพยายามวิ่งหนี แต่วิ่งไปต่อไม่ได้ เพราะมีรั้วขวาง ทั้งคู่หลือบไปเห็นเอกราชและปริมลดาวิ่งตามใกล้เข้ามาทุกที เขาตัดสินใจดึงมือเธอขึ้นไปบนตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่
เอกราช และปริมลดาที่วิ่งตามมา รีบวิ่งตามขึ้นไป
เตชินและชมพูวิ่งขึ้นมาจนสุดทาง พยายามจะหาทางไปต่อแต่ไปไม่ได้ จะหาทางลง แต่เอกราชก็เดินถือปืนขึ้นบันไดมา ครั้นจะวิ่งไปอีกด้าน ปริมลดาก็เดินขึ้นมาดักหน้าไว้
เตชินและชมพูไม่มีทางไปต่อแล้ว ทั้งสองคนได้แต่จับมือกัน ค่อยๆ เดินหันหลังถอยหนี จนสุดขอบอาคาร ไม่สามารถถอยไปได้แล้ว
เอกราชเดินยิ้มหน้าเหี้ยมเข้าหาอย่างคุกคาม
“เอาล่ะ ใครจะตายก่อนดี”
เตชินและชมพูมองหน้ากันอย่างหวั่นใจ เพราะหนีไม่ได้แล้ว
ทางด้านชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม ช่วยกันขุดหลุมนานแล้วแต่ก็ยังไม่เจอขวดหรืออะไรสักที จนเฟื่องฟ้าเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังขุดผิดที่
“ขุดลงไปตั้งเยอะแล้ว ทำไมถึงยังไม่เจอสักที พามาผิดที่รึเปล่าคะ”
“ไม่ผิดแน่ตรงนี้แหละ ลองขุดไปอีกนิดนะครับ”
ชัชพูดอย่างมั่นใจ ครู่หนึ่งเอกทีเอ็มก็ขุดลงไปกระทบอะไรบางอย่าง
“เหมือนผมเจออะไรแล้วละ”
ทุกคนตื่นเต้น รีบเข้ามาช่วยขุดตรงนั้น ก่อนจะเจอท่อนแขนของอาจารย์ดำที่ถูกฝังเอาไว้ ชัชออกแรงดึงท่อนแขนนั้นขึ้นมา ทั้งสามถึงกับชะงัก เฟื่องฟ้าปากคอสั่นด้วยความกลัว
“สะ...สะ...ศพ”
พอมองไปในหลุม เห็นศพของอาจารย์ดำเต็มๆ ตา ทั้งสามก็แหกปากร้องโวยวาย
ตุลเทพได้สติขึ้นมา พยายามมองหาปืน แต่ไม่เจอ เพราะโดนเอทีเอ็มเตะทิ้งลงน้ำไปแล้ว เขาโมโหรีบคว้ามีดออกมาแทน
ทั้ง 3 คน โวยวายเสียงดัง กำลังจะวิ่งหนี แต่บังเอิญสายตาของเอทีเอ็มเหลือบเห็นเหมือนบางส่วนขวดยังถูกฝังอยู่ ก็รีบดึงตัวชัชกับเฟื่องฟ้าเอาไว้
“เดี๋ยว ดูนั่นสิ”
เฟื่องฟ้าไม่ยอมหัน ไม่ยอมดู “ไม่เอา ฉันไม่มอง ฉันกลัว”
“เว้ย หยุดโวยวายสักที นั่นมันใช่ขวดอะไรมั้ย”
เฟื่องฟ้ากับชัช ที่กลัวมาก ค่อยๆ หันไปมองทางดินที่มีศพ และขวดแบบกล้าๆกลัวๆ
“ใช่ ใช่จริงๆ ด้วย”
ชัชดีใจรีบวิ่งกระโดดไปตรงนั้น จากนั้นก็ใช้มือขุดๆ อีกนิด หยิบขวดขึ้นมาได้ แต่ทว่าโดนขัดไว้ก่อน
“หมดเวลาวิ่งไล่จับแล้ว” ตุลเทพเดินปราดเข้ามาประกบชัช พร้อมกับใช้มีดจี้ “ได้เวลาส่งพวกแก ลงหลุมไปอยู่กับเพื่อนแกแล้ว”
ตุลเทพเงื้อมีดจะจ้วงแทง ชัชตัดสินใจปล่อยขวดแก้วในมือ ขวดค่อยๆ หล่นลงพื้น ก่อนจะแตกระจาย เป็นจังหวะที่ตุลเทพแทงมีดเสียบเข้าไป และเมื่อหันมองไป คนที่ถูกแทงกลับไม่ใช่ชัช แต่กลายเป็นริลณีที่ยืนจ้องหน้าในระยะประชิดแทน
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ”
ริลณีกระชากหมวกไหมพรมออกจากตุลเทพ ชัช เอทีเอ็ม และ เฟื่องฟ้ายืนช็อกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ตุลเทพช็อกหนักสุด ค่อยๆ ถอยหนี ผีริลณีเดินตามคุกคาม
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ริลณี ฉันขอร้อง”
“แล้วเวลาแกจะฆ่าคนอื่น เค้าขอร้องให้แกไม่ฆ่าเค้า แกเคยฟังมั่งมั้ย”
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว”
“แกผิดจนเกินให้อภัยแล้วไอ้ตุลเทพ”
ใบหน้าของริลณีค่อยๆ เปลี่ยนผีร้าย ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงเต็มไปด้วยความแค้น แต่ขณะกำลังจะจัดการตุลเทพก็ต้องชะงัก หันขวับไปยังทางหนึ่งด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะวูบหายไป
ตุลเทพทั้งอึ้ง ทั้งงง ได้โอกาสรีบวิ่งหนีออกไปทันที ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มมองหน้ากันแบบเหวอๆ
“ริน...ริน...รินหายไปไหน”
เฟื่องฟ้าตะโกนไล่หลัง ชัชนึกได้
“ไอ้เต ไอ้เตต้องเป็นอะไรแน่ๆ”
“ชมพู”
เอทีเอ็มมองหน้าชัชและเฟื่องฟ้าด้วยท่าทีหวั่นกลัว และเป็นห่วงชมพูหมดใจ
อีกฟาก เอกราชยกปืนเล็งไปที่เตชินและชมพู ปริมลดาเหยียดยิ้มอย่างสะใจ
“ลาก่อนนะชมพู ลาก่อนนะคะเตชิน”
จังหวะที่ฝ่ายนั้นขึ้นนก เตรียมพร้อมจะยิง ชมพูตัดสินใจเดินขึ้นมาซ้อนหน้าบังตัวเตชินเอาไว้
“ถ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าฉันคนเดียวเถอะ อย่าทำอะไรพี่เตชินเลย”
เตชินอึ้ง ตกใจ “ชมพู”
เอกราชยิ้มเหยียด
“แหม ไม่คิดว่าเธอจะรักมันมากขนาดนี้ น่าอิจฉาจริงๆ ที่มีผู้หญิงยอมตายให้แบบนี้ เอาเถอะตอนแรกคิดว่าจะยิงๆ ให้ตายไปพร้อมๆ กัน สงสัยตอนนี้ต้องเล่นเกมทรมานหัวใจใครบางคนสักหน่อยแล้ว”
เอกราชหันไปมอง ปริมลดาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะรีบเดินไปดึงชมพูออกมา แล้วจับตัวไว้
“รักมันมากใช่มั้ย งั้นฉันจะให้เธอดูมันตายช้าๆ”
แววตาเอกราชเหี้ยมเกรียมและอำมหิต ชมพูร้องลั่น
“ไม่นะ อย่านะ”
เอกราชยกปืนขึ้นกำลังจะยิง เตชินหลับตานิ่ง ท่าทีสงบ ชมพูพยายามดิ้นรนมาช่วย จนปริมลดาทนไม่ไหว กระชากตัวมาตบด้วยความโมโห
“ไม่ต้องมาดีดดิ้นมากหรอก พอไอ้เตชินมันตาย แล้วฉันจะรีบส่งแกตายตามมันไปอย่างไวเลย รีบฆ่ามันเร็วๆ เถอะ เสียเวลา”
เอกราชลั่นไกปืน กระสุนพุ่งตรงเข้าใส่เตชิน แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดชะงักนิ่งกลางอากาศ ทุกคนต้องช็อกเมื่อเห็นผีริลณีปรากฏกายขึ้นเอามือยันลูกกระสุนนั้นไว้
ผีริลณีหันมามองเตชินกับชมพู ก่อนจะสะบัดหน้าไปจ้องเอกราช และปริมลดาด้วยสายตาเคียดแค้น ชิงชัง
“พวกแกฆ่าฉันยังไม่พอ ยังคิดจะฆ่าคนที่ฉันรักด้วยงั้นเหรอ ฉันจะฆ่าพวกแก...ทุกคน”
ผีริลณีโมโหสุดขีด จนพลังความแค้นแทบจะพุ่งออกมาจากร่าง เดินปรี่เข้าไปหาเอกราช ที่ไม่ว่าจะพยายามหนีไปทางไหน แต่ก็โดนดักหน้าขวางทางไว้ตลอด
“บอกแล้วไง แกไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอก”
ผีริลณีกระชากคอเอกราชกำหมับ เคลื่อนย้ายตัวเองพร้อมอีกฝ่ายมาที่ริมขอบกำแพงที่ยังสร้างไม่เสร็จ ดันตัวเหมือนจะปล่อยลงไป
เอกราชสยองเมื่อมองลงไปข้างล่าง พบว่ามีเหล็กแหลมมัดเรียงๆ กันเอาไว้ ชายชั่วดิ้นรนหนีตาย
“ชอบฆ่าคนอื่นมากใช้มั้ย ฉันจะให้แกลิ้มลองรสชาติของการถูกฆ่าบ้างว่าจะเป็นยังไง”
ผีริลณีบีบคอเอกราชจนตาเหลือก หายใจไม่ออก ปริมลดายืนมองตัวสั่นอยู่ เหลือบไปเห็นปืนที่ตกอยู่ใกล้ๆ และเตชินที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ตัดสินใจวิ่งไปหยิบปืน แล้วผลักชมพูล้มลง ก่อนจะใช้ปืนจ่อหัวเตชินโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
“ปล่อยเอกราชเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันยิงเตชินหัวเละแน่”
ผีริลณีเหลียวขวับมองมา คลายมือออก เอกราชซมซานไปหาปริมลดา ก่อนจะเป็นฝ่ายถือปืนจ่อเตชินแทน
ปริมลดาถอดเครื่องรางห้าแฉกของตัวเองและเอกราชออกมารวมกัน แล้วเดินอาดๆ เข้าไปหาผีริลณีอย่างย่ามใจ
“แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกยอมฆ่าฉันฝ่ายเดียวเหรอ ไม่มีทางหรอก คนอย่างฉันไม่มีทางแพ้คนอย่างแก นังริลณี แกน่าสมเพชตั้งแต่เกิด ตายไปก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิด ส่วนคนอย่างฉันไม่มีวันตายเพราะนังผีน่าสมเพชแบบแกหรอก”
ปริมลดาขวางเครื่องรางห้าแฉกสองอันรวมกันไป อย่างมั่นใจว่าผีร้ายต้องถูกเครื่องรางแผดเผาอย่างแน่นอน แต่ผีริลณีกลับยืนนิ่งไม่เป็นอะไร แถมยังเหยียบเครื่องรางทั้งสองอันแตกจนเป็นผุยผง
“พวกแกสินี่มันน่าสมเพช อยากเอาตัวรอดจนต้องฆ่าคนอื่น แม้แต่คนที่ทำให้แกรอดได้แกก็ไม่เว้น แกคิดว่าเครื่องรางจะยังมีฤทธิ์งั้นเหรอ ในเมื่อพวกแกฆ่าคนที่ทำเครื่องรางนี้ตายไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใคร หรือครื่องรางอันไหน คุ้มครองคนอย่างพวกแกได้แล้ว แกตายซะเถอะ”
ผีนางรำเคลื่อนตัววูบไปตรงหน้าปริมลดาโดยเร็ว จ้องหน้าชะนีชั่วด้วยสายตาอาฆาต ปริมลดาตกใจ ถอยหลังหนีไปเหยียบพื้นไม้ที่ไม่แข็งแรงซึ่งวางปิดช่องกันคนจะตกลงไปข้างล่างเอาไว้จนไม้นั้นแตก นางเอกซุปตาร์ร่วงตกลงไปด้านล่าง ร่างเสียบเข้ากับแท่งเหล็กแหลมที่วางเอาไว้ เหล็กแทงร่างทะลุจนเลือดกระอักปาก แต่ยังไม่ขาดใจตาย
ผีริลณีลอยวูบ ลงมามองปริมลดาที่กำลังจะขาดใจตายด้วยความสมเพช
“เธอไม่ได้ตายเพราะฉันหรอกนะปริมลดา เธอตายเพราะความชั่วของเธอเอง”
ผีริลณีมองจ้องปริมลดากระอักออกมาเป็นเลือด และขาดใจตายด้วยความสะใจ ก่อนจะหันขวับขึ้นไปมอง
เอกราช ลอยวูบกลับไปที่เดิม
เอกราชยังเอาปืนจ่อหัวเตชินอยู่ ตกใจกลัวจนตัวสั่น รู้ชะตาว่าจะต้องเป็นรายต่อไป แต่ใจยังสู้
“คิดว่าจะฆ่าฉันได้ง่ายๆ งั้นเหรอ ก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าจะฆ่าฉัน หรือจะช่วยคนที่แกรัก”
ชายชั่วลั่นไกใส่เตชิน แล้ววิ่งหนีไปทันที
ร่างเตชินที่โดนยิง ค่อยๆ ล้มลง ริลณีกับชมพูตกใจ ถลาเข้าไปหา กรีดเสียงร้องประสานประสมทั้งเสียงผีเสียงคน
“เตชินนน...”
อ่านต่อตอนที่ 16 อวสาน