เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 2
รถประจำตำแหน่งของทรงกลดแล่นไปตามถนน โดยภายในรถอันคิดหนัก แล้วตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันที หมงที่นั่งอยู่ด้านหลังรถโหวกเหวกลั่น
"ไอ้อัน! แกจะไปไหน"
"ไปตามหานายน้อย"
"กลับไปโรงงานเดี๋ยวนี้! เฮ้ย! ขับช้าๆ!"
หมงตกใจที่อันเหยียบคันเร่งจนมิด
หมงส่งเสียงลั่น
"บอกให้ขับช้าๆ! เดี๋ยวได้..."
"เดี๋ยวอะไร"
อันเหลือบมองหมงจากกระจกหลังอย่างสงสัย ยังไม่ทันถามต่อก็รู้ว่ารถเบรกไม่อยู่แล้ว
"เฮ้ย!"
รถแล่นเฉไปเฉมาออกนอกเลนแล้วกลับเข้าเลนมาใหม่
"หยุดรถ! แกต้องหยุดรถให้ได้!" หมงสั่ง
หมงเริ่มกลัวขี้ขึ้นหัว อันพยายามลดความเร็วของรถเพื่อประคองรถไปก่อน
"นายน้อย"
ในนาทีความเป็นความตายแต่อันกลับเป็นห่วงทรงกลด ไม่รู้ว่าทรงกลดโดนเล่นงานด้วยหรือเปล่า
ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีอาจูซ้อนท้าย รถแล่นเร็วเฟี้ยวฟ้าวๆถึงถนนโล่งชานเมือง ผ่านทางโค้งก็ตีโค้งอย่างเอามัน แล่นฉิวๆไปอย่างรวดเร็ว
อาจูกอดเอวทรงกลดแน่น หน้าซุกแนบแผ่นหลังทรงกลดอย่างไม่รู้ตัวด้วยความกลัว เขายังซิ่งมอเตอร์ไซค์ต่ออย่างสบายอารมณ์
อาจูตั้งสติได้และเริ่มโมโห สองมือที่กอดเอวขยับออกแล้วใช้เล็บจิกเข้าเนื้อที่เอวทรงกลดอย่างแรง ทรงกลดยิ้มกริ่มอย่างไม่สะทกสะท้านแต่ก็ยอมชะลอความเร็วลง
ทรงกลดตกใจ
"เฮ้ย!"
"มีอะไรคะ"
"เบรกไม่อยู่"
อาจูตกใจ
"อะไรนะ"
อาจูหลับตาปี๋รีบกอดเอวทรงกลดแน่นอย่างเดิม รถมอเตอร์ไซค์ของทรงกลดแล่นไปต่ออย่างเร็วและน่าหวาดเสียว
รถที่อันขับยังแล่นไปตามถนนแต่ลดความเร็วลงได้แล้ว ภายในรถ อันยังคงควบคุมสติไว้อยู่พยายามหาทางหยุดรถ แต่หมงกลัวลนลานจนนั่งไม่ติด
"ไอ้อัน! แกต้องหยุดรถให้ได้! เร็วเข้า"
"เงียบ!"
อันพยายามควบคุมรถอย่างสุดกำลังมาได้ตลอดทาง แม่จูงลูกเล็กละล้าละลังจะข้ามถนน รถที่อันขับกำลังใกล้เข้ามา อันตกใจจนต้องรีบหักพวงมาลัยเพื่อเบี่ยงรถหนี
รถที่อันขับเบี่ยงออกนอกเลนโดยเฉียดสองแม่ลูกไปนิดเดียว
อันตัดสินใจขับรถพุ่งข้ามจากเลนซ้ายข้ามไปเลนขวาแล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยไป
"เฮ้ย! แกจะทำอะไร"
รถพุ่งตรงไปเรื่อยๆเหมือนจะพุ่งเข้าสู่ความตาย หมงเกาะรถไว้แน่นไม่รู้ชะตาตัวเอง แต่อันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รถพุ่งตรงไปเรื่อยๆจนถึงโรงงานที่อยู่ในซอย คนงานที่กำลังขนกล่องสินค้าออกมาตั้งไว้หน้าโรงงานแตกฮือเมื่อเห็นรถพุ่งตรงมา
รถพุ่งเข้าไปในกองกล่องสินค้าแล้วหยุดนิ่งไป
เคี้ยงนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในบ้าน สมุนแก๊ง 4-5 คนยืนอยู่เบื้องหลัง อิกเดินเข้ามารายงานผลการทำงาน
"เป็นไง เรียบร้อยดีมั้ย"
"ทุกอย่างเป็นไปตามแผนครับ นาย"
"ดีมาก! เฮียตงรู้เข้า อีจะเป็นยังไงเนี่ย"
"ถึงรู้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วล่ะครับ"
"นั่นสิ ช่วยไม่ได้ ลูกชายหาเรื่องใส่ตัวเอง"
เคี้ยงจิบน้ำชาต่ออย่างขำๆที่ตงขายโรงงานให้เป็นการช่วยเคี้ยงค้าของเถื่อนได้สะดวกขึ้น
ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนอย่างเร็วแล้วชะลอลงจอดข้างทาง อาจูยังหลับตาปี๋ กอดเอวทเขาแน่นอยู่
อาจูรับรู้ถึงความเงียบของบรรยากาศ รีบลืมตาขึ้นแล้วพบว่า มอเตอร์ไซค์จอดสนิทแล้ว เธอรีบกระโดดลงจากรถ หันไปมองทรงกลดที่ลงจากมอเตอร์ไซค์อย่างช้าๆด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"คุณโกหกฉัน"
"โกหกอะไร"
"ไหนบอกว่า รถเบรกไม่อยู่"
ทรงกลดบอกหน้าตาย
"เบรกไม่อยู่จริงๆ เวลาได้เจอถนนโล่งๆอย่างนี้ ฉันเบรกไม่อยู่จริงๆ อยากขี่มอเตอร์ไซค์ไปจนสุดโลกเลย"
อาจูอดกลั้น
"คุณ!"
"เธอสอบผ่านแล้ว"
"คุณพูดเรื่องอะไร"
"เธอผ่านการทดสอบความสามารถแล้วยังไงล่ะ เธอนี่กล้ากว่าที่ฉันคิดไว้อีก ขั้นตอนต่อไปคืออะไรนะ สอบสัมภาษณ์ใช่มั้ย"
อาจูอดกลั้นอย่างที่สุด แต่ทรงกลดยังสนุกกับการทำความรู้จักกับอาจูต่อไป
ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ ละแวกนั้นเห็นทุ่งนาสีเขียวกว้างไกล ณ ถนนข้างทาง เขายืนพิงมอเตอร์ไซค์มองเธอแกะผ้าโพกผมออกด้วยท่าทีฮึดฮัด แต่ทำอะไรทรงกลดไม่ได้
อาจูหันไปหาทรงกลดอย่างตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากทำงานด้วย
"คุณทีคะ ฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ช่วยของคุณ"
ทรงกลดรีบซักประวัติทันทีโดยไม่ให้อาจูได้พูดจบ คำถามแรกแวบเข้ามาในหัว
"แต่งงานหรือยัง"
"คะ? ฉันไม่ขอตอบคำถามนี้ค่ะ"
"นายจ้างไม่มีสิทธิ์ซักถามประวัติส่วนตัวหรือยังไง ฉันเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ ที่บ้านมีใครอยู่บ้าง"
อาจูพึมพำแล้วจำใจตอบ
"นี่นะคำถามใหม่ ฉันอยู่กับแม่แล้วก็น้องชายค่ะ"
ทรงกลดนึกหน้าเว่ยออก
"น้องชายที่เจอวันก่อน"
"อาเว่ยเป็นน้องชายคนละพ่อค่ะ บ้านเรามีอาม่าอีกคน เป็นย่าแท้ๆของอาเว่ย คุณทีคะ ฉันเรียนบัญชีมา คุณแน่ใจหรือคะว่า ฉันมีคุณสมบัติตรงตามที่คุณต้องการ"
"เธอต้องหางานทำให้ได้ในวันนี้ไม่ใช่เหรอ"
อาจูอึ้งไป
"ก็...ก็ฉันไม่รู้ว่า งานของผู้ช่วยต้องทำอะไรบ้างนี่คะ"
"งานไม่ยากหรอก ก็แค่ทำทุกอย่างตามที่ฉันต้องการ"
อาจูจ้องหน้าทรงกลดอย่างไม่ไว้ใจ
ทรงกลดรีบแก้
"ทำงานทุกอย่างตามที่ฉันสั่ง เธอทำได้แน่ ไม่ต้องห่วงไปหรอก พรุ่งนี้ เธอมาเริ่มงานได้เลย"
"ฉันยังไม่ได้บอกว่า ฉันจะทำงานให้คุณ"
"หิว"
อาจูเหวอที่ทรงกลดเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ เขามองไปที่กระเป๋าสะพายของอาจู เพราะรู้ว่ามีกล่องอาหารกลางวันอยู่ในนั้น
ทางด้านตงยืนหน้าเครียดเป็นห่วงทรงกลดเพราะรับรู้เรื่องทั้งหมดจากหมงกับอันแล้ว เหมยลี่เดินเข้ามาจะแตะแขนตงเพื่อปลอบใจ แต่ตงยกมือห้ามไว้ก่อนจนเหมยลี่ต้องถอยไป
ปอเดินเร็วๆเข้ามาพร้อมกับอันและหมง
"ยังไม่มีใครตามหานายน้อยเจอเลยครับ" ปอบอก
"ให้คนตามหาต่อไป" ตงบอกอันและหมง "ลื้อสองคนไปให้หมอตรวจดูหน่อย ไป"
"ผมไม่เป็นอะไรครับ ป๊า ผมเป็นห่วงนายน้อยมากกว่า ไม่รู้ว่าจะโดนเล่นงานด้วยหรือเปล่า"
"พวกมันตั้งใจเล่นงานนายน้อยคนเดียวมากกว่า" อันบอก
เหมยลี่บอก
"นั่นน่ะสิ ถ้าคุณหมงไม่ไปนั่งรถของนายน้อย ก็คงไม่ต้องมารับเคราะห์แทนหรอก"
หมงทำเครียด
"ตั้งแต่นายน้อยไปบุกแก๊งเต่ามังกร ก็มีข่าวลือหนาหูว่า นายน้อยจะขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ ผมว่านี่เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้นายน้อยถูกปองร้าย"
"อั๊วคงต้องรีบประกาศให้คนรู้ว่า ใครที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์คนใหม่ ลื้อพร้อมหรือยัง อาหมง"
หมงทำขรึม
"ผมพร้อมเสมอครับ ป๊า ผมยินดีตายแทนทุกคน"
"แล้วลื้อล่ะ อาอัน"
"ผมไม่มีความเห็นเรื่องนี้ครับ แต่ผมขอสืบหาคนที่คิดลอบฆ่านายน้อยเอง"
หมงบอก
"ก่อนออกรถ แกเห็นใครไม่ใช่เหรอ ฉันได้ยินแกเรียกชื่อ..."
อันทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมให้เป็นไปตามแผนของหมง ก้มหัวให้ตงแล้วเดินออกไป
เหมยลี่ถาม
"นายใหญ่จะแต่งตั้งคุณหมงขึ้นแทนเมื่อไหร่ดีคะ เหมยลี่ว่า ยิ่งเร็วยิ่งดีนะคะ"
ปอมองตงอย่างไม่เห็นด้วยแต่นิ่งเงียบอย่างเคารพ
ตงนิ่งคิดตัดสินใจครั้งใหญ่
เวลาต่อมา ปอเดินออกมาจากข้างในบ้านอย่างหนักใจ อันเดินออกมาจากที่หลบมุมเข้ามาหาพ่อแล้วรีบเข้าเรื่องทันที
"เตี่ย..เรื่องที่นายใหญ่จะแต่งตั้งหัวหน้าแก๊งคน"
"นายใหญ่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้"
"แต่ถ้าครั้งนี้นายใหญ่ตัดสินใจผิดล่ะครับ"
"มีอะไร ก็ว่ามา"
"เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ร้อยวันพันปีนายนั่น"
ปอแก้ให้
"คุณหมง"
"คุณหมงไม่เคยใช้รถของนายน้อย ทำไมมาใช้วันที่รถถูกตัดสายเบรก ทำไม ถึงต้องใช้ให้ผมเป็นคนขับรถ เตี่ยไม่คิดว่า มันผิดปกติเหรอ"
"แต่ถ้าพลาด ก็ถึงตาย คนอย่างนั้นไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆหรอก"
"เตี่ยอย่าลืมว่า ถ้าผมขับรถไปโรงงานตามคำสั่ง ทางไปมีแต่ตึกสร้างใหม่ ทรายกองเป็นภูเขาเต็มไปหมด ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะหยุดรถไว้ได้ นี่เป็นแผนการที่วางไว้แล้ว"
"ลื้อคิดเองเออเองไม่ได้ ลื้อต้องมีหลักฐานมากกว่านี้"
อันมองพ่ออย่างผิดหวังที่ไม่ช่วยกันรับมือกับหมง
ปอเสียงเข้ม
"ตอนนี้เราจับตาดูไปก่อน คนเรามันต้องมีพลาดกันบ้างล่ะ"
ปอเดินออกไปอย่างอันโล่งใจที่ปอเชื่อในเรื่องที่บอก
บริเวณทุ่งนาข้างทาง ชานเมือง ทรงกลดกับอาจูนั่งมองหน้าเอาเชิงกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอกอดกระเป๋าสะพายไว้แน่นเหมือนคนงก แต่จริงๆอายที่อาหารกลางวันเป็นอาหารพื้นๆ เขายังคงมองตรงแหน่วไปที่กระเป๋าของเธอ
อาจูจำใจหยิบกล่องอาหารออกมา แล้วส่งให้ทรงกลดอย่างไม่เต็มใจ เขาเปิดกล่องอาหารออกอย่างไม่สนใจว่าเป็นกล่องสังกะสีเก่าๆบุบๆ เขาหยิบช้อนที่อยู่คันเดียวในกล่องอาหารขึ้นมา
"แบ่งกันคนละครึ่งนะ" ทรงกลดส่งช้อนให้ "เธอก่อน เผื่อจะรังเกียจ"
"เชิญคุณตามสบาย ฉันไม่หิวค่ะ แต่คุณจะกิน ได้เหรอ"
ทรงกลดไม่ตอบแต่ตักข้าวที่มีไชโป๊วผัดแห้งๆเป็นกับข้าวอย่างเดียว เขากินอย่างอร่อย อาจูมองเขากินอาหารพื้นๆอย่างสบายๆ รู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง
"ถ้าไม่กิน ฉันกินหมดนี่เลยนะ"
ทรงกลดตักข้าวขึ้นมาคำหนึ่งทำแกล้งจะป้อนให้อาจู
"กินซักหน่อย เดี๋ยวจะหิว"
"ฉันไม่หิวหรอกค่ะ ฉันอดข้าวจนชินแล้ว"
ทรงกลดชะงักมองอาจูอย่างเห็นใจ
"เธอควรมาทำงานกับฉัน เธอต้องเลี้ยงครอบครัวไม่ใช่เหรอ เอาอย่างนี้มั้ย ลองมาทำงานก่อน ถ้าไม่ชอบหรือไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยว่ากัน"
อาจูอดยิ้มขำไม่ได้
"ยิ้มอะไร"
"ฉันน่าจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนของานคุณทำมากกว่านะคะ"
ทรงกลดเริ่มรู้สึกว่าเสียฟอร์ม
"ถ้าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำก็ได้"
ทรงกลดมองนาฬิกาข้อมือแล้วทำไม่แยแส
"รีบกลับเข้าเมืองกันตอนนี้ เธอน่าจะมีเวลาหางานใหม่อีกซักสองสามชั่วโมง เธอจบบัญชีมา ไม่น่าจะหางานยาก"
ทรงกลดวางกล่องอาหารกลางวันลง แล้วลุกขึ้นทันทีเพื่อเตรียมตัวกลับ
อาจูรีบลุกขึ้นตามอย่างเร็ว เมื่อคิดอีกทีว่า ถ้าไม่ทำงานกับทรงกลดก็หางานได้ยากแน่
"เดี๋ยวค่ะๆ ถ้าฉันรับงานนี้ คุณจะให้เงินเดือนเท่าไหร่คะ"
ทรงกลดยิ้มกริ่ม สุดท้ายก็ทำให้อาจูยอมทำงานด้วยจนได้
ริมถนนชานเมือง ทรงกลดเตรียมจะขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ อาจูเดินตามมาพลางผูกผ้าโพกผมใหม่
อาจูพึมพำ
"เงินเดือนตั้งพัน!"
อาจูมองทรงกลดอย่างคิดหนักว่าควรเสี่ยงรับงานนี้จริงๆเหรอ
"ตกลงว่าไง เริ่มงานพรุ่งนี้เลยได้มั้ย"
"เดี๋ยวค่ะ"
"อะไรอีกล่ะ"
"งานของฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับแก๊งเขี้ยวสิงห์ใช่มั้ยคะ"
"รับรองได้ว่า ไม่เกี่ยวข้องแน่"
"แต่อาเว่ยบอกว่า พวกคุณเป็นพวกแก๊งเขี้ยวสิงห์ ถ้าแม่ฉันรู้ว่า ฉันทำงานให้แก๊งเจ้าพ่อ ฉันมีปัญหาแน่ แล้วที่สำคัญ ฉันไม่อยากวิ่งหลบกระสุนอีก"
"ไม่ต้องห่วง สำหรับแก๊งเขี้ยวสิงห์ ฉันเป็นคนนอก ไปกันได้แล้ว ไป"
"เราจะกลับเข้าเมืองกันเลยใช่มั้ยคะ"
ทรงกลดมองไปถนนที่ทอดยาวออกไป แล้วนึกถึงโรงงานเก่าขึ้นมาได้
ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีอาจูซ้อนท้ายมาถึงหลังโรงงานเก่า เขาจอดมอเตอร์ไซค์ อาจูลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วมองไปรอบๆอย่างแปลกใจ
"เรามาที่นี่ทำไมคะ"
"ฉันอยากมาดูอะไรซักหน่อย"
"นี่โรงงานของใครคะ แล้วทำไมคุณต้องจอดรถซะไกลอย่างนี้"
"เธอนี่ถามมากจริง รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันมา"
ทรงกลดเดินเร็วเข้าไปทางด้านหลังโรงงาน อาจูมองตามอย่างไม่เข้าใจ
ทรงกลดเดินมาถึงทางเข้าด้านหลังโรงงานอย่างระมัดระวัง สมุนแก๊ง 2 คนเดินออกมา เขาหลบวูบเข้าที่มุมหนึ่งทันที เขารอจนสมุน 2 คนลับตาไป จึงค่อยๆโผล่หน้ามามองดูว่า ทางสะดวกหรือเปล่า อยู่ๆอาจูก็โผล่มามาที่ด้านหลัง
"คุณที"
ทรงกลดสะดุ้งนิดๆ แล้วหันไปมองอาจูอย่างอ่อนใจ
"ตามมาทำไม"
"ก็อยากรู้"
"ฉันบอกแล้วว่า หน้าที่ของเธอคือทำตามที่ฉันสั่ง"
"แต่ว่า"
"โดยไม่ต้องมีคำถาม!"
"งานของฉันเริ่มพรุ่งนี้ ฉันยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยของคุณ ฉันไม่จำเป็นต้องทำตาม คำสั่งคุณทำลับๆล่อๆอย่างนี้ คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่"
"อยากรู้นักใช่มั้ย งั้นไปด้วยกัน"
เขาจับข้อมือเธอแล้วลากพาตัวเดินออกไปด้วยกัน
สมุน 4 คนช่วยกันขนลังสินค้ามากองรวมกันไว้เพื่อเตรียมขนขึ้นรถ เขาพาอาจูเดินแอบๆลัดเลาะมาใกล้ แล้วรีบหลบเข้ามุมเพื่อแอบดู
สมุน1 หยุดพักเหนื่อยแล้วทำท่าจะเดินออก
"ขอไปดูดบุหรี่หน่อย"
สมุน2บอก"เฮ้ย! อย่าอู้"
สมุน1บอก "เฮียอิกไม่อยู่ กลัวอะไรวะ"
สมุน3บอก "นั่นสิ กว่ารถจะมาขนของก็พรุ่งนี้บ่าย มีเวลาเหลือเฟือ"
สมุน1 เดินนำสมุน 3 ออกไป สมุนที่เหลืออีกสองยังขนลังสินค้าต่อไป
ทรงกลดยังนิ่งแอบซุ่มมองเพื่อรอโอกาส อาจูรู้สึกว่า สถานการณ์แปลกๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทรงกลด พลางกระซิบ
"คุณที"
ทรงกลดหันกลับมา จมูกเฉียดแก้มอาจูไปนิดเดียว
"อุ๊ย!"
อาจูตกใจ ทรงกลดรีบเอามือปิดปากอาจูไว้ทันที
สมุน 2 คนชะงักและแตะปืนทันที หันไปมองรอบๆหาเสียงแปลกๆที่ได้ยิน แต่ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
สมุน2บอก "ไปดูหน่อย ไป"
สมุน4บอก "ไม่มีอะไรหรอก เสียงหนูมั้ง"
สมุน2บอก "พวกมึงนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน"
สมุน4 ทำไม่รู้ไม่ชี้ ขี้เกียจเดินไปตรวจดูที่มาของเสียง ทั้งสองช่วยขนลังสินค้ากันต่อ ทรงกลดยังคงปิดปากอาจูไว้อยู่ อาจูรีบดึงมือของทรงกลดออกไป
อาจูรู้สึกว่าตัวเองใกล้กับทรงกลดเกิน เลยขยับตัวออกจนเกือบจะหลุดออกจากมุมที่หลบอยู่
ทรงกลดเหนี่ยวเอวอาจูเข้ามาแล้วก้มหน้าลงใกล้จนเกินจำเป็น พลางกระซิบ
"อยู่ใกล้ๆฉันไว้ แล้วเธอจะปลอดภัย"
อาจูจ้องตาทรงกลดแล้วรู้สึกเชื่อใจอย่างประหลาด
เว่ยถือกระทงใบตองแห้งที่มีขนมจุ๋ยก้วย ตักไชโป๊วใส่แล้วเหยาะซีอิ๊วดำ ส่งให้กับลูกค้าแล้วรับเหรียญหนึ่งสตางค์มาใส่กระป๋องเงิน
เว่ยตะโกนร้อง)
"จุ๋ยก้วยครับ จุ๋ยก้วย"
เว่ยหันไปมองเง็กที่นั่งจับเจ่าอยู่อย่างกลุ้มใจ
"ไม่รู้วันนี้อาจูจะหางานทำได้หรือเปล่า ถึงได้งานทำ กว่าจะได้เงินก็สิ้นเดือน ไม่ทันจ่ายค่าเทอมลื้ออยู่ดี"
"ผมบอกแล้วไง ผมไม่เรียนต่อ"
" ไม่ได้นา..อาเว่ย"
เง็กกับเว่ยหันไปเห็นซินแสง้วงยืนยิ้มอย่างเมตตาอยู่หน้าหาบจุ๋ยก้วย
เง็กกระวีกระวาดลุกขึ้นมาตักจุ๋ยก้วยใส่กระทงเพื่อให้ซินแสง้วง
"ซินแส"
"ลื้อต้องเรียนต่อนะ อาเว่ย เรียนให้สูงๆ"
"ซินแสพูดอย่างนี้หมายความว่า อาเว่ยจะมีโอกาสได้เรียนสูงๆ ทำงานดีๆใช่มั้ย" เง็กถาม
"นั่นอีกนานกว่าจะรู้นะ ม้า ซินแสทำนายดวงของแจ้จูดีกว่า วันนี้แจ้จูจะได้งานทำมั้ย ทีนี้ได้รู้กันแล้วว่า ที่เค้าบอกว่า ซินแสทำนายแม่นอย่างกับตาเห็น มันจริงมั้ย"
"ได้!"
เง็กดีใจ
"วันนี้อาจูจะได้งานทำจริงๆเหรอ"
"ไม่ได้วันนี้ ก็จะต้องได้งานทำซักวันแหละ คนมีความพยายาม ยังไงก็ต้องประสบความสำเร็จ"
เว่ยร้อง "โธ่!"
"ไม่รู้เราจะต้องลำบากไปถึงเมื่อไหร่"
"ลื้อเลือกที่จะสบายได้ แต่ลื้อไม่เลือกเอง ไม่ต้องห่วง ลูกดีมีกตัญญู อนาคตไกล"
ซินแสง้วงรับกระทงจุ๋ยก้วยจากเง็กมาแล้ววางเงินหนึ่งบาทไว้ที่หาบเพราะรู้ว่าเง็กจะไม่รับเงิน
ง้วงเตือนเว่ย
"ตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าใจกล้านัก อยู่ใกล้บัณฑิต อยู่ห่างคนพาลไว้"
เว่ยรับคำไปงั้นๆ
"ครับ ซินแส"
ซินแสง้วงตบหัวเว่ยเบาๆ แล้วเดินออกไป
"ไม่รู้แจ้จูหางานไปถึงไหนแล้ว"
เง็กกับเว่ยต่างห่วงอาจูจนไม่ได้ฟังที่ซินแสง้วงเตือนนัก
อาจูขยับตัวอย่างอึดอัดเพื่อที่ออกห่างจากทรงกลด แต่ทรงกลดยังรั้งตัวอาจูไว้ไม่ให้ขยับตัวไปไหน
ทรงกลดพูดเสียงเบา
"อดทนอีกนิด พวกมันกำลังจะไปแล้ว"
อาจูตอบเสียงเบาเช่นกัน
"ฉันหายไม่ออก"
ทรงกลดยื่นหน้าเข้าไปใกล้แกล้งทำเป็นฟังเสียงลมหายใจของอาจู
"ก็ยังหายใจได้อยู่นี่"
"คุณนี่!"
ทรงกลดเหลือบไปเห็นสมุนสองคนเดินออกไปเมื่อขนลังสินค้าเสร็จ เขาเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง รีบผละออกไปทันทีแล้วนึกได้ หันกลับมา
"ไม่ต้องตามมา"
แต่เธอเดินตามมาติดๆ เขาเลยต้องปล่อยเลยตามเลย เสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว
ทรงกลดตรงไปที่กองลังสินค้า มองซ้ายดูขวาแล้วคว้าชะแลงขึ้นมางัดฝาลังไม้ออกดู
"คุณที! คุณบุกรุกเข้ามาในโรงงานของคนอื่น แล้วยังจะทำลายข้าวของ"
ทรงกลดขัด)
"ที่นี่เป็นโรงงานเก่าของบริษัทเรา"
ทรงกลดงัดฝาลังไม้ออกจนได้ แล้วคุ้ยกระดาษฝอยๆที่คลุมอยู่บนสินค้าออกจนเห็นสิ่งที่อยู่ในลัง
"นึกไว้ไม่ผิด"
"อะไรหรือคะ"
"อะไหล่เถื่อน"
"คุณบอกว่า ที่นี่เป็นโรงงานของบริษัทคุณ" เธอนึกได้ "แก๊งเขี้ยวสิงห์"
"แก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่เคยทำธุรกิจผิดกฎหมาย เราเพิ่งขายโรงงานนี้ให้กับไอ้เสี่ยเคี้ยง แก๊งเต่ามังกร"
ทรงกลดนึกแค้นใจที่ทำให้พ่อต้องขายโรงงานเก่า
"เฮ้ย! เข้ามาได้ไง"
สมุน2 ตรงรี่เข้ามาหา ทรงกลดดึงอาจูให้ไปอยู่ข้างหลัง สมุน2 ชักปืนขึ้นทันทีแต่ไม่ทันจะลั่นไกก็ถูกทรงกลดเอาชะแลงฟาดจนปืนกระเด็นไปไกล
ทรงกลดซัดอีกไม่กี่หมัดก็ทำให้สมุน 2 หมอบไป สมุนอีกสามคนวิ่งแห่เข้ามา
"เฮ้ย! อะไรวะ"
ทรงกลดคว้ามืออาจูให้วิ่งหนีไปด้วยกันทันที
สมุน1บอก "จับตัวพวกมันไว้!"
สมุน1 สั่งพลางชักปืนยิงเปรี้ยงตามหลังไป ทรงกลดลากอาจูวิ่งซิกแซกหลบกระสุนไปได้อย่างเฉียดฉิว
ทางออกหลังโรงงานเป็นที่ว่างโล่งสองข้างทางเต็มไปด้วยอะไหล่และเศษเหล็ก เสียงปืนดังเปรี้ยงปร้างไม่ขาดระยะ ทรงกลดจับมืออาจูวิ่งเร็วออกมา สมุน1 วิ่งนำพรรคพวกออกมาก่อน เขาพาเธอหลบไปที่หลังกองลังสินค้าเก่าแล้วรีบดึงปืนออกมา
สมุน1 ยิงเปรี้ยงมาทันทีที่ทรงกลดโผล่หัวออกไป แต่เฉียดโดนลังไม้แทน
ทรงกลดหลบกลับเข้าไปอย่างรอจังหวะ อาจูลุ้นอยู่ข้างๆอย่างกลัว
ทรงกลดโผล่ออกไปอย่างเร็วแล้วยิงเข้าที่หัวเข่าสมุน1 จนต้องทรุดลง
"โอ๊ย!"
สมุนอีกสองคนวิ่งตามมา ทรงกลดเล็งปืนไปที่เชือกที่มัดกองลังไม้อีกกองที่สูงท่วมหัวจนขาด กองลังไม้ทั้งกองล้มระเนระนาดขวางทางสมุนทั้งสองไว้ อะไหล่เก่าเศษเหล็กหล่นกระจาย
ได้จังหวะที่ทรงกลดจับมืออาจูวิ่งออกไปทันที
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ทรงกลดพาอาจูมาถึงรถมอเตอร์ไซค์แล้วขึ้นทันที อาจูหันไปมองด้านหลังอย่างเสียวไส้ว่าจะโดนไล่ยิงอีก
"ขึ้นรถ"
อาจูรีบขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์
ทรงกลดซิ่งรถออกไปไม่ถึงเสี้ยววินาที สมุน 2 คนก็วิ่งออกมาแล้วยิงมาที่ทรงกลด เขาหมอบตัวลงพร้อมๆกับอาจูแล้วซิ่งรถออกไปได้ทันท่วงที
ทรงกลดจะซิ่งมอเตอร์ไซค์มาตามถนนที่เรียบโล่ง ซิ่งเร็วจนอาจูต้องกอดเอวไว้แน่น
เขาเริ่มชะลอความเร็วแล้วมองไปด้านหลังไม่เห็นวี่แววของพวกสมุนของอิก
แต่ชั่วพริบตาเสียงเครื่องยนต์นำมาล่วงหน้า แล้วรถจิ๊ปก็แล่นเร็วตามมา สมุน 3 ขับรถ ส่วนสมุน 4 โหนออกนอกรถเพื่อเล็งปืนได้สะดวกๆ
ทรงกลดกลับมาเร่งความเร็วแล้วซิ่งหนีไปให้พ้นให้ได้ สมุน 4 ยิงมาที่ทรงกลดและอาจูอย่างไม่ยั้ง ทรงกลดได้แต่ซิ่งรถซิกแซกไปมาเพื่อไม่ให้ถูกยิง กระสุนแต่ละนัดเฉียดไปเฉียดมาอย่างน่าสะพรึง
"จับให้แน่นๆนะ"
ทรงกลดเร่งความเร็วสุดแรงเกิดแล้วตีไปตามทางโค้งออกไป สมุน3 เหยียบคันเร่งจนมิดแล้วซิ่งรถจี๊ปไปตามทางโค้ง
พอรถจี๊ปหลุดทางโค้งก็พบว่าไม่เห็นมอเตอร์ไซค์ของทรงกลดเสียแล้ว!
รถจิ๊ปของสมุนอิกแล่นตะบึงไปอย่างเร็วเพราะคิดว่าทรงกลดคงซิ่งหนีไปไกลอยู่ข้างหน้า
ที่ข้างทางถนนที่เป็นทางลาดลงไป ทรงกลดกับอาจูค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัว อาจูชะเง้อมองไปทางที่รถจิ๊ปแล่นผ่านไป
"แล้วเราจะทำยังไงต่อคะ"
"รอ"
"แล้วเราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ"
"ก็รอจนกว่าพวกมันจะย้อนกลับไปโรงงาน"
เสียงเครื่องยนต์ดังเหมือนรถจิ๊ปแล่นวกกลับมา
"มันไม่ได้โง่อย่างที่คิด"
ทรงกลดดึงอาจูหลบออกไป รถจิ๊ปแล่นผ่านที่ซ่อนตัวของทรงกลดและอาจูไป รถจิ๊ปกำลังจะไปแล่นไปไกลแล้ว
ทรงกลดกับอาจูหลบซ่อนตัวอย่างระทึกใจ
แต่แล้วเมื่ออาจูขยับตัว ลมพัดกรูมา ผ้าโพกผมที่เริ่มคลายปมก็หลุดปลิวไปตามลม
ผ้าโพกผมปลิวลิ่วๆออกไปเคว้งคว้างในอากาศแล้วค่อยๆตกลงที่กลางถนน
ภายในรถจี๊ป สมุนคนขับรถมองกระจกหลังเห็นผ้าโพกหัวของอาจู รถจิ๊ปแล่นไปแล้วก็ตีวงย้อนกลับมาอย่างเร็ว
ทรงกลดกับอาจูเห็นว่า รถจิ๊ปกำลังแล่นกลับมาตรงจุดที่ผ้าโพกหัวของอาจูตกอยู่
"ทำไงดีคะ"
ทรงกลดตัดสินใจวิ่งออกไปที่กลางถนน
"คุณที"
ทรงกลดอยู่จังก้าอยู่กลางถนนในมือถือปืนเล็งตรงไปข้างหน้า รถจิ๊ปแล่นเร็วกลับมา สมุน4 ที่โหนออกนอกรถตกตะลึงที่เห็นทรงกลดบ้าดีเดือดขนาดนี้
สมุน4 ได้สติรีบยิ่งใส่ทรงกลดอย่างลนลาน กระสุนเฉียดทรงกลดไป เขายิงสวนกลับไปทันทีอย่างมือนิ่งและมั่นใจ
กระสุนพุ่งไปถูกเข้าที่ไหล่สมุน 4 อย่างแม่นยำ จนต้องหงายหลังไป
กระสุนอีกนัดพุ่งตรงไปที่กระจกหน้ารถแบบเฉียดๆ
สมุน 3 ร้องเสียงหลง
"เฮ้ยๆๆๆ"
กระจกหน้ารถแตกร้าวทำให้สมุน3 มองทางไม่เห็น รถจิ๊ปแล่นเฉไปเฉมาแล้วก็วิ่งลงข้างทางจนหงายเก๋ง
ทรงกลดมองไปที่รถจิ๊ปที่แน่นิ่งอย่างภูมิใจในฝีมือของตัวเอง
เขาหันกลับจะไปหาอาจู ,ชะงักเมื่อเห็นอาจูปีนขึ้นมาจากข้างทางแล้ว อาจูตื่นเต้นตัวสั่นทั้งลุ้นกลัวทรงกลดถูกยิงตายและกลัวสมุนจะฆ่าเอา
ทรงกลดมองอาจูอย่างชิลๆ ยิ้มสบายๆราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้ทุกวัน
บรรยากาศซอยบ้านอาจูที่มีแต่คนหาเช้ากินค่ำในเวลาต่อมา อาจูเดินลิ่วๆตรงจะกลับเข้าบ้าน ทรงกลดเร่งฝีเท้าเดินตามมา
"เดี๋ยวสิ อาจู"
ทรงกลดจะคว้าแขนอาจูให้หยุดเดินหนี แต่อาจูเบี่ยงตัวหลบได้เสียก่อน
"ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ ฉันจะไม่ไปทำงานให้คุณ"
"แต่เธอรับปากยอมทำงานกับฉันแล้วนะ กลับคำง่ายๆอย่างนี้ได้ไง"
"แล้วคุณล่ะ"
"ฉันทำไม"
"คุณบอกว่า คุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแก๊งเขี้ยวสิงห์"
"ฉันไปที่โรงงานนั่นเพราะฉันอยากไปของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับ..(แก๊งเขี้ยวสิงห์)"
อาจูสวนทันที
"ยังไงก็เกี่ยว ฉันเจอคุณทีไร ก็มีเรื่องเสี่ยงตายทุกที แล้วคุณคิดว่า คุณจะรอดได้ทุกครั้งเหรอคะ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันมีครอบครัวที่จะต้องรับผิดชอบค่ะ คุณที"
เว่ยคอนหาบขนมจุ๋ยก้วยเดินเข้ามา เง็กถือถังน้ำเดินตามหลังมา
"เออ..ม้า ที่ซินแสบอกว่าม้าเลือกที่จะสบายได้ แต่ม้าไม่เลือกเอง หมายความว่าไงเหรอ ม้า"
เง็กอึกอักๆ เพราะตีความจากซินแสง้วงได้ว่า ถ้าเธอเลือกจะอยู่กับพ่อของอาจูจะสุขสบาย แต่กลับหนีมาอยู่กับเหลียง พ่อของเว่ยที่ต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก
เง็กพูดปัดๆ
"ม้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ซินแสบอกว่า ลื้อจะมีอนาคตไกลนะ อาเว่ย"
"ซินแสอาจจะหมายถึงแจ้จูคนเดียวก็ได้"
เว่ยชะงักกึกเมื่อเห็นอาจูเดินหนีทรงกลดอยู่
"คุณกลับไปเถอะ ฉันขอร้องล่ะ"
เว่ยมองทรงกลดอย่างจำได้ดีว่าเป็นคนแก๊งเขี้ยวสิงห์ เว่ยหัวไวรีบช่วยพี่สาวทันที เว่ยหยุดเดิน ชะงัก วางหาบขนมจุ๋ยก้วยลง ทำหน้าตกใจอย่างเนียน เรียกเสียงดัง
"ม้า"
เง็กพลอยตกใจไปด้วยจนต้องชะงัก
อาจูสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเว่ย รีบหันไปมองเห็นว่า เง็กกับเว่ยกำลังจะตรงมาทางนี้ เลยรีบผลักทรงกลดให้ออกไป
"คุณกลับไปได้แล้ว ไปสิคะ ไป"
อาจูรีบเดินย้อนกลับไปหาเง็กและเว่ย
ทรงกลดจะตามไปแล้วแต่เห็นเง็กกับเว่ยทำให้ต้องชะงัก
อาจูเดินไปถึงหาบขนมจุ๋ยก้วย ที่เว่ยกำลังทำเป็นค้นโน่นนี่ในหาบ
"มีอะไรเหรอ อาเว่ย"
"กระป๋องใส่เงิน! ไม่รู้ว่าผมเอาไปไว้ไหน"
เง็กร้อนใจ
"หาดีๆ เดี๋ยวก็เจอ"
เว่ยทำเป็นค้นหาอยู่พักเดียวก็ดึงกระป๋องใส่เงินออกมา
"เจอแล้วๆ"
เง็กถอนใจอย่างโล่งอกแล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นอาจู
"ได้งานทำหรือเปล่า อาจู"
อาจูนิ่งอย่างอึดอัดใจไม่อยากจะบอกข่าวร้าย เหลือบไปมองหาทรงกลดแต่เขาหายวับไปแล้ว
เง็กอยากรู้มาก
"อาจู"
อาจูมองเง็กกับเว่ยอย่างตัดสินใจว่าจะบอกยังไงดี
ภายในบ้าน ซิ่วเอ็ง เง็กและเว่ยรอฟังคำตอบจากอาจูอย่างใจจดใจจ่อ อาจูยังคงอึกๆอักๆหาเหตุผลเพื่อที่จะบอกว่า ทำไมหางานไม่ได้
"ได้งานหรือไม่ได้ก็บอกมา ไม่มีใครว่าอะไรหรอก" เง็กบอก
"ได้อยู่แล้วน่า ม้า ใช่มั้ย แจ้ ได้งานแล้วใช่มั้ย"
"นั่งเงียบอย่างนี้ แสดงว่าไม่ได้งานล่ะสิ ดี! งั้นก็อยู่บ้านช่วยอั๊วขายยา"
อาจูโพล่งอย่างลืมตั
"หนูได้งานแล้ว"
เง็กดีใจ
"แล้วทำไมไม่รีบบอก ได้งานอะไร"
"งานบัญชี บริษัทขายอะไหล่รถยนต์แถวจักรวรรดิ ...หนูหาเงินค่าเทอมให้อาเว่ยได้แล้ว ม่าไม่ต้องห่วงแล้วนะ"
"ให้ได้เงินมาซะก่อน อั๊วถึงจะเชื่อ แล้วบริษัทที่รับลื้อเข้าทำงาน ขายอะไหล่เรอะ? ชื่อบริษัทอะไร"
ซิ่วเอ็งมองอาจูอย่างรู้สึกสังหรณ์ใจ
อาจูอึกอัก
"บริษัท บริษัท..."
เง็กตัดบท
"บอกไปแล้วม้ารู้จักเหรอ ...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไป เดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน"
อาจูรีบลุกออกไปทันที เว่ยมองตามอย่างเริ่มสงสัย
อาจูเปลี่ยนชุดอยู่บ้านแล้ว กำลังหั่นผักคะน้าอย่างกังวลใจที่โกหกเรื่องงานไป เว่ยเดินเข้ามาหยุดมองอาจู
"แจ้จู แจ้ได้งานทำที่ไหนเหรอ"
อาจูรีบก้มหน้าก้มตาหั่นผักคะน้าอย่างมีพิรุธ
"แจ้ได้งานทำแล้ว รู้แค่นั้นก็พอ"
"บริษัทตงวานิชหรือเปล่า แจ้"
อาจูหันขวับไปมองเว่ยทันที เว่ยชูนามบัตรของทรงกลดให้ดูอย่างภูมิใจ
"อาเว่ย! สอดรู้จริงๆเลย"
อาจูรีบดึงนามบัตรมาจากมือเว่ย
"บริษัทตงวานิชเกี่ยวอะไรกับเฮียที่มาส่งแจ้ด้วย"
"เว่ยเห็นเหรอ เค้าก็คือ คุณทรงกลดเจ้าของนามบัตรนี่แหละ"
เว่ยตื่นเต้นมาก
"หา!? แจ้ไปรู้จักลูกชายของหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ได้ยังไง"
"จำผิดมาหรือเปล่า"
"ไม่ผิดหรอก ผมรู้ประวัติแก๊งทุกแก๊งในสมาคมเลือดมังกร แก๊งใหญ่ๆก็มี แก๊งเสือ แก๊งกระทิง แก๊งเหยี่ยวแดง แล้วก็แก๊งหงส์ดำ ตอนนี้หัวหน้าแก๊งหงส์ดำเป็นนายกสมาคมฯอยู่ แต่ต่อไปแก๊งเขี้ยวสิงห์ได้ขึ้นแทนแน่"
"ลูกชายหัวหน้าแก๊ง! อย่างนี้ยิ่งทำงานด้วยไม่ได้ใหญ่!"
"หมายความว่าไง บริษัทตงวานิชไม่ได้รับแจ้เข้าทำงานเหรอ"
"แจ้ไม่ทำเองต่างหาก จำที่ม้าสั่งไม่ได้หรอ เราต้องอยู่ห่างๆพวกแก๊งเจ้าพ่อพวกนี้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ยังไงแจ้ก็จะไม่ไปทำงานให้แก๊งเขี้ยวสิงห์"
อาจูมุ่งมั่นเด็ดขาดโดยไม่สนใจเว่ยที่เสียดายแทนเป็นอย่างมาก
ซิ่วเอ็งสวดมนต์พึมพำพร้อมนับสร้อยประคำอยู่หน้ารูปวาดเทพเจ้าเตาไฟ ซิ่วเอ็งลืมตาฟึ่บราวกับได้ยินคำพูดของอาจู
"เขี้ยวสิงห์"
ซิ่วเอ็งเบนหน้าไปมองรูปถ่ายของเหลียงลูกชายที่ตายจากไป
"อาเหลียง...ม้าไม่ลืม ต่อให้ผ่านไปกี่ปี ม้าก็ไม่มีวันลืม ไอ้อึ้งตงกัว"
ซิ่วเอ็งหลับตา ปากขยับพึมพำสาปแช่งตงไม่หยุด โยนยันตร์จีนลงตรงหน้า ไฟลุกโพลงขึ้นทันที
ตงยืนหน้าเคร่งเครียด ปอยืนอยู่เยื้องอยู่ข้างหลัง ทรงกลดสะกดความโกรธที่กำลังพุ่งขึ้นมา อันขยับเข้าใกล้ทรงกลดอย่างเข้าใจ
อันเตือน
"นายน้อย"
ทรงกลดพูดเสียงเรียบ
"ผมไม่ไป"
"แต่ลื้อต้องไป ถ้าไม่อยากกลับไปอเมริกา ไปประเทศอื่นก็ได้ แล้วแต่ลื้อ"
"ถ้าผมไป ผมก็กลายเป็นไอ้ขี้ขลาด โดนเล่นงานแค่นี้ ก็วิ่งหนีหางจุกตูด ผมจะอยู่สู้กับมัน ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม!"
"ปัญหาอยู่นี่ไงครับ เราไม่รู้ว่าศัตรูของเราเป็นใคร คุณคณินหายตัวไปตั้งแต่วันที่ศาลเจ้าโดนยิงถล่ม คุณภรพไปเกาะรังนกแล้วก็หายเงียบไปอีกคน นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ นายน้อยกำลังตกอยู่ในอันตรายนะครับ"
"ผมไม่กลัว แล้วยิ่งเกิดเรื่องกับเพื่อนผมอย่างนี้ ผมจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ไง"
ทรงกลดหันไปจ้องหน้าตง
"ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะไม่ยอมให้ป๊าไล่ผมออกจากบ้านเป็นครั้งที่สอง ผมจะอยู่ที่นี่เพื่อทวงสิทธิ์ที่เป็นของผมกับแม่"
ทรงกลดเดินเร็วๆออกไป
"นายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะคุ้มครองนายน้อยด้วยชีวิตของผมเอง"
อันเดินตามทรงกลดออกไป
"อาปอ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่อั๊วทำไป มันเปล่าประโยชน์จริงๆ สิบปี..เวลาสิบปี
ของอั๊วที่หายไป อั๊วตัดสินใจผิดใช่มั้ย อั๊วทิ้งครอบครัวแต่ไม่ยอมทิ้งแก๊งเขี้ยวสิงห์" ตงบอก
ตงเริ่มรู้สึกคิดผิดที่ให้วรดีกับทรงกลดออกไปจากชีวิต
"คนที่ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ ยกเว้นว่า เราจะหาคนมาขึ้นขี่หลังเสือแทน"
สุดท้ายปอต้องยอมรับที่ให้หมงขึ้นแทนตงเพื่อความปลอดภัยของทรงกลด
ตงที่ตัดสินใจต้องเดินหน้าเรื่องนี้แล้ว
ทรงกลดเดินเร็วๆออกมา อันเดินตามมาทัน
"แกแน่ใจใช่มั้ยว่า เป็นไอ้อิก"
"ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่า นี่เป็นฝีมือของแก๊งเต่ามังกร"
"ทำไมแกคิดงั้น"
"ก็เพราะไอ้อิกตั้งใจให้ผมเห็นมัน"
"แกไปสืบประวัติมันมาแล้วใช่มั้ย"
"ไอ้อิกเป็นนักเลงขายตัว มันเคยอยู่แก๊งหนูไฟมาก่อน พอนายใหญ่สั่งปิดบ่อนบังคับให้หัวหน้าแก๊งหนูไฟหันมาทำงานถูกกฎหมาย ไอ้อิกก็เปลี่ยนมาเข้าแก๊งเต่ามังกร คนแบบนี้ใครก็เอาเงินฟาดหัวมันได้"
"แล้วเราจะหาตัวไอ้คนบงการได้ยังไง"
"ผมจะส่งคนไปจับตาดูไอ้อิกไว้ พวกมันคงไม่หยุดแค่นี้แน่"
"เป้าหมายของพวกมันคือฉันคนเดียวใช่มั้ย"
อันยิ้มอย่างรู้ทัน
"ห่วงนายใหญ่หรือครับ"
ทรงกลดยักไหล่ทำไม่แคร์แทนคำตอบ
ทรงกลดเปลี่ยนเรื่อง
"ไม่ถามหรือว่า ฉันไปไหนมา"
อันมองทรงกลดแล้วเดาได้ไม่ยากว่าไปไหนมา
"เป็นอย่างที่แกคิด ไอ้เสี่ยเคี้ยงมันเอาโรงงานเก่าของเราเป็นที่เก็บสินค้าเถื่อน ฉันแจ้งตำรวจให้ไปจัดการเรียบร้อยแล้ว"
"แต่ก่อนที่นายน้อยจะแจ้งตำรวจ นายน้อยจัดการพวกมันไปก่อนแล้วใช่มั้ยล่ะครับ"
ทรงกลดยิ้มรับแต่ไม่ยอมขยายความ อันได้แต่มองเจ้านายอย่างระอาใจหน่อยๆ
ที่บ้าน เคี้ยงตบโต๊ะ ปัง !จนน้ำชาในถ้วยกระฉอกออก เสียงดัง
"ทำไมวะ ทำไม"
เคี้ยงผุดลุกอย่างโมโหจนหน้าแดงหน้าดำ
อิกก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด สมุน 4-5 คนต่างยืนนิ่งอย่างกลัวเกรง
"ไอ้อิก! ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ หา!"
"เป็นฝีมือไอ้ทรงกลดแน่ๆครับ นาย" อิกบอก
"ไอ้ทรงกลด!"
"มันบุกเข้าไปในโรงงานเราเมื่อบ่าย พอผมรู้ ผมก็รีบสั่งให้ลูกน้องขนย้ายสินค้าไปไว้ที่อื่นทันที แต่ก็ไม่ทันการ ตำรวจบุกเข้ามาซะก่อน"
"คราวนี้อั๊วสูญเงินเป็นแสน! ลูกค้าได้หมดความเชื่อใจ หนีไปหาเจ้าอื่นแน่ ไหนลื้อบอกทุกอย่างเป็นไปตามแผนไง ไอ้อิก! แผนเตี๋ยมึง ทำให้กูบรรลัยหมด"
"นายสั่งมาคำเดียว ผมจะเก็บไอ้ทรงกลดให้"
เคี้ยงค่อยๆเย็นลง
"ไม่ต้อง! อั๊วไม่อยากมีเรื่อง ตอนนี้แก๊งเขี้ยวสิงห์ใหญ่คับฟ้า ใครก็ทำอะไรมันไม่ได้ อั๊วมีวิธีของอั๊ว ว่าแต่ลื้อไม่ได้เอาคนของเราไปขนสินค้าใช่มั้ย"
"ครับ ผมใช้ไอ้พวกขี้ยาที่โรงฝิ่นตามที่นายสั่ง"
"ดี! ตำรวจจะได้สาวถึงเราไม่ได้! ไอ้ทรงกลด"
เคี้ยงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นใจ
เช้าวันใหม่ ในบรรยากาศของมุมต่างๆที่ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าศรัทธาของศาลเจ้า ตง เซี๊ยะและสุงถือธูปสามดอกคุกเข่าอยู่หน้าเทพเจ้ากวนอู ซึ่งเป็นเทพเจ้านแห่งความซื่อสัตย์และคุ้มครองคนดี
ทุกคนเครียด หม่นหมองด้วยเรื่องเดียวกันคือ ลูกชาย นอกจากตงกับทรงกลดแล้ว ยังมีเรื่อง ภรพลูกชายเซี๊ยะไปเกาะรังนกแล้วหายตัวไป สุงสูญเสียฉางที่ถูกยิงตายในวันถล่มศาลเจ้า
พ่อทั้งสามสวดภาวนาอยู่นานก่อนที่จะลุกขึ้นไปปักธูปที่กระถาง
ตงกับเซี๊ยะหันไปมองสุงที่นิ่งมองเทพเจ้ากวนอูเหมือนตัดพ้ออยู่ในที
"เทพเจ้ากวนอูขับไล่คนเลว คุ้มครองคน" สุงหัวเราะอย่างขมขื่น
ซินแสง้วงเข้ามาบอก
"เมื่อยังมีลมหายใจ ก็อย่าเพิ่งหมดความหวัง"
ทุกคนหันไปมอง ซินแสง้วงถือผ้าขี้ริ้วเดินออกมาจากด้านหลังองค์เทพเจ้ากวนอู
ซินแสง้วงเช็ดโต๊ะที่วางกระถางธูปต่อพลางพูดลอยๆ
"แต่อย่าหวังจนเกินเหตุ เพราะนั่นจะกลายเป็นกิเลส"
"อาฉางถูกฆ่าตาย อั๊วก็ไม่มีความหวังอะไรเหลือแล้ว" สุงบอก
"ลื้อยังมีความหวังอยู่ที่บ้าน แต่ลื้อมองข้ามไปเอง"
ซินแสง้วง พูดเป็นปริศนาธรรม หมายถึงหมายถึงหงส์
"ซินแสมีอะไรสั่งสอนก็ว่ามาได้เลย" ตงบอก
"แต่อั๊วอยากให้ซินแสดูเรื่องลูกๆมากกว่า ภรพปลอดภัยดีใช่มั้ย ซินแส" เซี๊ยะว่า
"ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องลูก"
ตงกับเซี๊ยะเริ่มคลายใจ เหมาเอาเองว่าซินแสง้วงทำนายให้ว่าลูกๆปลอดภัย
"ห่วงเรื่องอื่นก่อนดีกว่า"
ซินแสง้วงมองตงกับสุงเพื่อจะเตือน
"สุภาษิตจีนบทหนึ่งว่าไว้ มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว เสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ"
ซินแสง้วงเตือนเรื่องที่ตงกับสุงต่างก็จะหลีกไม่ยอมเป็นนายกสมาคมเลือดมังกร ซินแสง้วงเดินออกไป ทิ้งให้ตงกับสุงต้องมองหน้ากัน
เซี๊ยะและสุงเดินออกมาจากทางด้านเทพเจ้ากวนอูด้วยกัน
"เฮียสุง ซินแสง้วงเตือนอย่างนี้ แสดงว่าเฮียต้องเป็นนายกสมาคมเลือดมังกรต่อไป"
"อั๊วบอกตรงๆ อั๊วไม่มีใจคิดเรื่องอะไรแล้ว โรงงิ้วของอั๊วก็ไม่รู้จะรักษาไว้ได้อีกนานแค่ไหน แล้วที่อั๊วได้เป็นนายกสมาคมฯ ก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะอั๊วแก่กว่าพวกลื้อเท่านั้น" สุงบอก
"ไม่จริง! เฮียมีความเป็นผู้นำต่างหาก พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากี่สิบปี ทำไมเราจะไม่รู้ว่า ใครเหมาะเป็นเสาหลักของคนเลือดมังกรที่สุด" ตงบอก
"แต่อั๊วว่า ถึงเวลาของคนรุ่นต่อไปแล้ว อาหงส์เป็นผู้หญิง ยังไงก็ขึ้นมาแทนอั๊วไม่ได้ ตอนนี้แก๊งที่มีอำนาจและอิทธิพลที่สุดก็คือ แก๊งลื้อ อาตง" สุงบอก
"อั๊วเห็นด้วย ลื้อต้องรีบแต่งตั้งทายาทที่จะสืบต่อตำแหน่งแล้ว ทรงกลดเรียนจบเมืองนอกมา เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ได้ แล้วต่อไปก็เป็นนายกสมาคมเลือดมังกร ทีนี้ก็หายห่วง!"เซี๊ยะบอก
"คนที่จะขึ้นมาแทนอั๊วไม่ใช่ทรงกลด แต่เป็นอาหมง!"
เคี้ยงเดินเข้ามาพร้อมกับอิก ทันได้ยินที่ตงพูดพอดี
"อั๊วเห็นด้วย"
ตง เซี๊ยะและสุงหันไปมองเคี้ยงอย่างเหยียดหยาม มายุ่งอะไรด้วย
เคี้ยงบอก
"ถ้าเฮียตงไม่ให้อาหมงขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ ตำแหน่งนายกสมาคมเลือดมังกรได้หลุดลอยไปแน่"
"นี่เป็นคำขู่หรือไง"
"อั๊วแค่อยากให้พวกเฮียตาสว่างต่างหาก นี่ไม่ใช่ยุคของแก๊งห้องแปดเหลี่ยม แล้วตอนนี้สมาคมเรามียี่สิบแก๊ง แค่ห้าเสียงของพวกเฮียไม่มีความหมาย แก๊งคุณธรรมสูงส่งไม่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย พวกเฮียลืมตากว้างๆ มองไปรอบๆ แก๊งไหนมีมากกว่ากัน สมัยนี้เงินคืออำนาจ"
"ไม่ว่ายุคไหน ธรรมะชนะอธรรมเสมอ!" ตงบอก
"งั้นเหรอ เฮียตง แต่เฮียอย่าเสี่ยงดีกว่า เฮียตัดสินใจเลือกอาหมงก็ดีแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนใจเลือกทรงกลดขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งล่ะก็ แก๊งเขี้ยวสิงห์ได้สูญพันธุ์แน่" จากนั้นเคี้ยงกันไปบอกอิก "ไป ไปไหว้พระไหว้เจ้าขอพรกันดีกว่า"
เคี้ยงเดินลอยชายเข้าไปข้างใน
"ว่างๆก็ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างนะครับ รู้หรือยังว่า เรามีตึกเก้าชั้นแล้ว" อิกบอก
อิกยิ้มเยาะพวกตงแล้วเดินตามเจ้านายไป
ทั้งสามมองหน้ากันรู้สึกเหมือนกันคือแก๊งอธรรมเริ่มเหิมเกริมขึ้นทุกที
อาจูในชุดตัวเก่า กำลังเอาผ้าผืนใหม่ห่อกล่องอาหารกลางวันอยู่ เธอมองกล่องอาหารกลางวันแล้วอดนึกถึงทรงกลดไม่ได้
อาจูส่ายหน้ากับตัวเองอย่างตัดสินใจแล้ว
"ไม่! ยังไงก็ไม่กลับไป"
เง็กถือเสื้อกระโปรงเก่าของตัวเอง 2-3 ชุดออกมา
"จะไปทำงานแล้วเหรอ เข้างานกี่โมงล่ะ"
เง็กมองอาจูอย่างดีใจ เธอเอากล่องอาหารกลางวันใส่กระเป๋า ทำกระฉับกระเฉงทันที
"เจ็ด..เออ..แปดโมงจ้ะ"
อาจูมองเสื้อผ้าที่เง็กถือออกมา
"ชุดเก่าของม้าไง ไว้เย็นนี้กลับมาจะแก้ให้นะ ม้าต้องรีบไป เดี๋ยวคนงานจะเต็มซะก่อน"
"คนงานอะไร วันนี้ม้าไม่ไปขายของเหรอ"
"ไม่มีเงินซื้อของมาทำขาย เงินที่มีอยู่ก็เอาไปจ่ายค่าเช่าบ้านหมด เราค้างค่าเช่ามาสามเดือนแล้ว ถ้าไม่จ่าย ได้โดนไล่ออกไปแน่ โชคดีจริงๆที่ลื้อหางานทำได้ ถ้าม้าได้งานที่โรงงานเย็บผ้าก็คงพออยู่ได้ไปถึงสิ้นเดือน แต่ค่าเทอมของอาเว่ยนี่สิ เดี๋ยวค่อยคิดแล้วกัน"
เง็กวางเสื้อผ้าไว้แล้วเดินออกไป อาจูยืนนิ่งอึ้งอยากจะร้องไห้เต็มทน
ซิ่วเอ็งเดินเข้ามองอาจูอย่างจับผิด
"ยังไม่ไปอีกเหรอ"
อาจูลนลาน
"ไป..ไปเดี๋ยวนี้แล้ว ม่า"
อาจูรีบคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินออกไป เว่ยโผล่เข้ามา
"แจ้จู..ผมไปส่ง"
"ไม่ต้องไป อีไปเองได้ แค่ได้งานทำ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้"
"ผมไปส่งแค่ถนนใหญ่เอง"
เว่ยกอดซิ่วเอ็งอย่างประจบ อาม่าอ่อนลงนิดเดียว
"ไปแป๊บเดียว ผมส่งแจ้จูขึ้นรถเมล์ แล้วจะรีบกลับมาช่วยม่าจัดยานะ"
เว่ยผละจากซิ่วเอ็งแล้วดึงอาจูให้เดินออกไปด้วยกัน
"ไป แจ้จู เดี๋ยวจะเข้างานสาย"
เว่ยพาอาจูออกไป ซิ่วเอ็งมองตาม ขัดหูขัดตาที่เว่ยสนิทกับอาจูเหลือเกิน
เว่ยมองอาจูที่เริ่มเครียดอย่างคนมืดแปดด้าน ไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องงานได้ยังไง
"แล้วแจ้จูจะแกล้งออกไปทำงานอย่างนี้ทุกวันเหรอ"
"ก็ไม่รู้จะทำไงนี่ ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เว่ยห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด ถ้าความลับแตก ม้าได้กลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก"
"แจ้จะไปแกร่วที่ไหนได้ทุกวัน"
"แจ้ไม่อยู่เฉยให้เสียเวลาเปล่าหรอก แจ้จะออกไปหางานทำใหม่ ให้มันรู้ไปว่าจะหางานไม่ได้ ไปเป็นคนงานหรือเป็นคนใช้ แจ้ยอมทำทั้งนั้น"
เว่ยหันไปเห็นอันยืนรออยู่
เว่ยดีใจ
"ได้เจอกันอีกแล้ว"
"นายน้อยให้มารับครับ คุณจู"
"ฉันบอกนายน้อยของคุณแล้วว่า ฉันไม่ทำงานงานกับพวกคุณ ไป เว่ย"
อาจูรีบดึงเว่ยออกเดินไป อันยังยืนอยู่ที่เดิม เว่ยต้องรีบดึงอาจูกลับมาหาอัน
"เฮียเอาจริงเหรอ" เว่ยถาม
"ผมจะยืนรออยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจูจะยอมไปกับผม เป็นคำสั่งของนายน้อย"
เว่ยทึ่ง
"ต้องอย่างนี้สิ ถึงสมกับคนของแก๊งเขี้ยวสิงห์ ... แจ้ต้องไปทำงานกับนายน้อยแล้วล่ะ ไม่งั้นเย็นนี้ม้ากลับบ้าน แล้วได้เจอเฮียคนนี้ ความลับแตกแน่"
อาจูนิ่งคิดอย่างว้าวุ่นใจ แต่แล้วก็ต้องตัดสินใจเพราะเงินที่บ้านไม่มีเหลือแล้ว
"รถจอดอยู่ที่ไหน"
"ตามผมมาครับ"
อันเดินนำทางออกไป
"เดี๋ยวครับ เฮีย"
เว่ยรีบไปยืนขวางทางอันไว้
"เราควรจะทำความรู้จักกันไว้นะครับ ผมชื่อเว่ยครับ"
เว่ยยื่นมือออกไป ทำท่าเก๊กเลียนแบบพวกมาเฟียในหนังจีน อันถอนใจแล้วยื่นมือออกไปจับมือเช็คแฮนด์กับเว่ยอย่างเสียไม่ได้
"ผมชื่อ อัน"
เว่ยยิ้มแฉ่ง ตีซี้ทันที
"เฮียอัน"
อาจูดึงเว่ยให้ออกห่างอันอย่างระอาใจที่น้องชายชอบพวกมาเฟียเหลือเกิน
"อาเว่ย! กลับบ้านไป ไปซี้ แล้วอย่าบอกใครนะ!"
อาจูรุนหลังเว่ยให้กลับไปทางที่เดินมา เว่ยหันมาโบกมือกับอัน
"แล้วเจอกันใหม่นะคร้าบ เฮียอัน"
อาจูมองตามเว่ยเดินกลับเข้าบ้านไปแล้วจริงๆ ค่อยหันมามองอันอย่างยอมแพ้
อันยิ้มนิดๆอย่างพอใจที่อาจูตัดสินใจได้เร็ว
อันเดินนำออกไป เธอนิ่งคิดแต่แล้วตัดใจ เชิดหน้าเตรียมพร้อมที่จะเจอทรงกลด
ในบรรยากาศการทำงานอย่างเคร่งเครียดแต่เงียบกริบในบริษัท ตงวานิช อันเดินพาอาจูเข้ามา พนักงานผู้ชายเกือบทั้งหมดมองอาจูเป็นตาเดียว
อันหันกลับไปมองพวกพนักงาน พวกพนักงานทุกคนหัวหดก้มลงทำงานของตัวเองต่อ
อันพาอาจูมาถึงชั้นผู้บริหาร พามาถึงโต๊ะหน้าห้องทำงานของทรงกลด เลขาฯชายของทรงกลดกำลังเก็บข้าวของอย่างเร่งรีบเพื่อยกโต๊ะให้เป็นของอาจู
"ขอโทษครับ คุณอัน ขอโทษจริงๆ"
เลขาฯชายหอบแฟ้ม กรอบรูป แก้วกาแฟ ข้าวของส่วนตัวแล้วรีบเดินออกไป
"นี่โต๊ะทำงานของคุณ"
อาจูนั่งลงที่โต๊ะทำงานอย่างไม่แน่ใจนัก อันดึงซองออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้อาจู
"เงินเดือนสามเดือนล่วงหน้า"
อาจูเปิดซองจดหมายดูอย่างเป็นงง
"ฉันยังไม่เริ่มงาน ก็จะไล่ฉันออกแล้วเหรอ พวกคุณเห็นชีวิตคนอื่นเป็นเรื่องตลกหรือยังไง"
"ฟังดีๆ คุณ เงินเดือนสามเดือนล่วงหน้า ไม่มีการไล่ออก แต่นี่เป็นการการันตีว่า คุณจะต้องทำงานที่นี่ให้ครบสามเดือน..เป็นอย่างน้อย"
"เล่นมัดมือชกกันอย่างนี้เลยเหรอ"
อันเดินออกไปเสียเฉยๆ
"เดี๋ยวสิคะ คุณ..คุณอัน แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง"
อาจูยัดซองเงินใส่กระเป๋า รู้สึกอุ่นใจที่ได้เงินมาช่วยที่บ้านแต่ก็ได้เยอะไปจนน่าระแวง เธอหันมองไปรอบๆที่เงียบเชียบเพราะเป็นอาณาเขตของทรงกลดเพียงคนเดียว
อาจูหันกลับมามองที่โต๊ะที่วางเปล่า ไม่มีแฟ้มเอกสาร เครื่องพิมพ์ดีดหรือเครื่องเขียนที่เป็นเครื่องมือการทำงานเลย อาจูเปิดลิ้นชักโต๊ะออกดูแล้วต้องชะงัก หยิบกล่องของขวัญแบนๆออกมา
อาจูเปิดการ์ดที่ติดมากับของขวัญดู การ์ดมีลายมือของทรงกลดเขียนไว้ “สำหรับอาจู”
อาจูเปิดกล่องของขวัญออกแล้วหยิบผ้าสวยผืนใหญ่ออกมา เป็นผ้าผืนใหญ่ขนาดพอที่จะใช้โพกหัว เป็นลายท้องฟ้า ที่ตรงกับชื่อเล่นของเขา “ที”ภาษาแต้จิ๋วแปลว่า”ท้องฟ้า” ส่วนชื่อของเธอ "จู" แปลว่า "ไข่มุก"
" ชอบมั้ย"
อาจูกำลังลูบผ้าโพกหัวไปมาอย่างชื่นชมผ้าสวยดูมีราคา ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเสียงทรงกลดถามขึ้น
"คุณให้ของขวัญกับพนักงานใหม่ทุกคนเหรอคะ"
"เฉพาะเธอคนเดียว"
อาจูอึ้งไปไม่กล้าถามอะไรต่อให้เข้าตัวอีก
"คุณทีคะ ฉันต้องการทำงานจริงๆนะคะ งานหนักแค่ไหนฉันก็ไม่เกี่ยง ถ้าคุณให้ฉันนั่งอยู่เฉยๆ ฉันคงจะรับเงินของคุณไม่ได้"
"งั้นก็เริ่มงานกันเลย วันนี้เราจะไปข้างนอกกัน"
ทรงกลดแกล้งเอื้อมมือมาจะดึงผ้าโพกผมไป อาจูรีบกระตุกผ้ากลับมา กลัวทรงกลดจะมาผูกผ้าให้อีก
"ไม่ค่ะ"
ทรงกลดขำ
"คราวนี้อาอันไปด้วย ถ้านั่งมอเตอร์ไซค์ซ้อนไปกันสามคน คงพิลึกน่าดู ไปเร็วๆ ฉันไม่ชอบคนชักช้า"
ทรงกลดเดินเร็วออกไป อาจูรีบคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินตามไปโดยเร็ว
บรรยากาศในโรงงานอะไหล่รถยนต์และเศษเหล็ก ทรงกลดกับอันเดินนำหน้าอาจูเข้ามาพวกคนงานที่กำลังขนกล่องอะไหล่รถยนต์พากันหยุดมือ หันมาก้มหัวให้ทรงกลด เขาโบกมือห้าม
" ไม่ต้อง.. ทำงานไป"
อาจูมองไปรอบๆโรงงานเพื่อศึกษางานของบริษัท
"บริษัทเราเริ่มต้นจากการเก็บเศษเหล็กขายแถวเซียงกง จนเติบโตมาเป็นบริษัทอะไหล่รถยนต์ ฉันมีแผนที่จะนำเข้ารถญี่ปุ่น แล้วจากนั้นเราจะต้องมีโรงงานประกอบรถเอง"
อันอธิบายเพิ่มเติม
"เรื่องนี้นายใหญ่กับคุณหมงยังไม่เห็นด้วยนะครับ คุณหมงยืนยันว่า ยังไงคนไทยก็ชอบรถอเมริกันหรือรถยุโรปมากกว่า รถญี่ปุ่นไม่น่าขายออก"
"ป๊าก็ฟังไอ้หมงอยู่ได้ ป๊าไม่รู้หรือไงว่า ไอ้หมงมันตั้งใจขัดขวางแผนงานของฉัน มันขวางได้ทุกเรื่อง มันกลัวที่สุดว่า ฉันจะแย่งตำแหน่งของมัน ฉันไปตั้งบริษัทเองให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยดีมั้ย"
"ไม่ดีครับ"
"เราทำได้อยู่แล้ว ฉันมีผู้ช่วยเก่งๆตั้งสองคน"
ทรงกลดหันไปยิ้มให้อาจูอย่างหยอกเย้า
"ฉันทำบัญชีเป็นอยู่อย่างเดียว ฉันคงต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ที่สำคัญคือ ฉันยังไม่รู้เลยค่ะว่า งานผู้ช่วยนี่ต้องทำอะไรบ้าง หรือแค่เดินตามหลังคุณคะ คุณที"
"คุณที ผมไม่ได้ยินคนเรียกนายน้อยอย่างนี้นานแล้ว คุณ"
อันมองทรงกลดอย่างขำๆและรู้ทัน
"เรียก นายน้อย หรือ คุณที ก็เหมือนกันแหละ พูดมาก"
ทรงกลดแกล้งดุใส่อันแล้วเดินออกไปเพราะไม่อยากให้อันแหย่ต่อ
อาจู
"ฉันไม่ควรเรียกใช่มั้ยคะ"
"นายน้อยอนุญาตแล้ว ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ"
"ไม่มีใครเรียกนายน้อยของคุณว่า คุณที เลยหรือคะ"
"ไม่มีครับ มีคนเดียวที่เรียกนายน้อยว่าคุณที ก็คือนายหญิง คุณแม่ของนายน้อย คุณนี่..เป็นคนพิเศษจริงๆ"
อันขำที่ทรงกลดรีบร้อนไปเสียทุกเรื่องแม้แต่เรื่องผู้หญิง
"นายน้อยนี่ใจร้อนได้ทุกเรื่อง"
"คุณทีแค่สนุกที่ได้ปั่นหัวฉันเล่นเท่านั้นแหละ คุณอัน ฉันไม่ใช่คนพิเศษอย่างที่คุณคิดหรอก ถ้าจะพิเศษก็คงพิเศษที่ฉันวิ่งหลบกระสุนได้เก่ง"
อาจูพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองเพราะทรงกลดแกล้งเธอสนุกตั้งแต่เจอหน้ากัน
ทรงกลดเดินมาตรวจโรงงานอีกมุมหนึ่ง อาจูเดินตามหาทรงกลดจนเจอ แต่ยังยืนอยู่ห่างกัน
"คุณทีคะ คุณที"
ทรงกลดหยุดเดินแล้วหันมามองอาจู
"ว่าไง"
อาจูสาวเท้าเข้าไปหาทรงกลด ทรงกลดยิ้มอย่างรู้ทัน
"สงสัยอะไรอีก ฉันบอกแล้วว่า หน้าที่ของเธอคือทำตามที่ฉันสั่งโดยห้ามถามอะไรทั้งสิ้น"
ทรงกลดเดินห่างออกไปอีก
"ห้ามถาม แต่ฉันเปลี่ยนใจได้ใช่มั้ยคะ"
ทรงกลดแกล้ง
"เธอพูดว่าอะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน"
ทรงกลดเดินห่างออกไปเรื่อยๆโดยหันหลังให้อาจู
"ฉันบอกว่า ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เงินเดือนที่คุณให้มา ฉันจะคืนให้"
ทรงกลดเดินไม่รับรู้ออกไปเรื่อยๆ
อาจูเงยหน้าไปเห็นลังสินค้าที่ตั้งอยู่สูงท่วมหัว อยู่ๆก็เหมือนมีใครดันกองลังสินค้าให้ล้ม
"คุณ"
ทรงกลดแกล้งอีก
"พูดอะไรนะ ไม่ได้ยิน"
"ระวังค่ะ"
ทรงกลดชะงักหันกลับไปแต่ไม่ทันแล้ว กองลังสินค้าทั้งกองล้มใส่ทรงกลดเป็นโดมิโน ลังสินค้าล้มเป็นแทบๆลงมากองที่พื้น ฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่ว
"คุณที"
อาจูยืนตัวแข็งอย่างตกใจ กองลังสินค้าระเนระนาดแต่กองกันสูงถึงเอว
อันวิ่งมาเพราะได้ยินเสียงโครมใหญ่
"นายน้อย"
อาจูตกตะลึงพรึงเพริดจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าทรงกลดไม่รอดอย่างที่เธอพูดใส่หน้า
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตงนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน หมงกับปอยืนรอตงจะว่ายังไงหลังอ่านโครงการนำเข้ารถญี่ปุ่นของทรงกลด
เหมยลี่รินน้ำชาให้ตงอย่างเอาใจ รีบเข้าเรื่องหมงทันที
"นายใหญ่คะ ซินแสง้วงให้วันมาแล้วใช่มั้ยคะ"
"ลื้อพูดถึงอะไร"
"วันดีที่จะจัดงานประกาศแต่งตั้งคุณหมงไงคะ"
"ดูเหมือนคุณเหมยลี่เร่งรัดเรื่องนี้ซะจริงๆ" ปอว่า
"ฉันเป็นห่วงนายใหญ่น่ะสิ ฉันอยากให้นายใหญ่วางมือจริงๆซะที นี่ขนาดนายใหญ่ยกบริษัทให้ไปบริหารจัดการกันเอง แต่ก็ยังวางมือไม่ได้ เพราะนายน้อยไม่ยอมฟังคุณหมง ถ้าคุณหมงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊ง ก็จะมีสิทธิ์ขาดในทุกเรื่อง ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป"
"พูดพอหรือยัง เป็นผู้หญิง ไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้" ตงบอก
เหมยลี่ออดอ้อ
"เหมยลี่เป็นห่วงนายใหญ่จริงๆนะคะ"
"ตอนนี้ป๊ามีปัญหาเยอะอยู่แล้ว เรื่องแต่งตั้งเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ"
"สมาคมเลือดมังกรคงเปิดการประชุมเร็วๆนี้ ถึงเวลานั้น อั๊วจะประกาศให้ทุกแก๊งรู้ว่า ลื้อจะขึ้นมาแทนอั๊ว"
เหมยลี่ยังไม่วายเซ้าซี้ต่อ
"ที่ว่าเร็วๆนี้ เมื่อไหร่คะ"
ตงไม่สนใจฟังเหมยลี่ ปิดแฟ้มเอกสาร หมงขยับจะมารับแฟ้ม แต่ตงกลับส่งให้ปอแทน
"บอกทรงกลดว่า โครงการนี้ อั๊วยังไม่ให้ผ่าน เงินลงทุนสูงเกินไป"
ตงหยิบขวดยานัตถุ์ขึ้นมาเทผงยาแล้วสูดเข้าไป เป็นการตัดบทว่าจบเรื่องคุยกันแค่นี้
เหมยลี่แอบสบตากับหมงด้วยความไม่พอใจ
หมงเหลือบมอง แล้วเห็นปอจับตามองอยู่ เลยรีบเสมองไปที่ตง ทำเป็นไม่สนใจเหมยลี่
ตงนิ่งคิดอย่างตัดใจที่จะต้องยกแก๊งเขี้ยวสิงห์ให้หมงไป
ในเวลาต่อมา หมงกับเหมยลี่เดินออกมาด้วยกัน
เหมยลี่หงุดหงิด
"ไม่รู้นายใหญ่จะถ่วงเวลาไปถึงไหน"
"นายใหญ่ทำอะไรรอบคอบเสมอ" หมงบอก
"เธออย่าลืมนะ ทรงกลดเป็นลูกชายแท้ๆของนายใหญ่ ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ เราไม่รู้หรอกว่า นายใหญ่จะเปลี่ยนใจเมื่อไหร่"
"เราก็รอดูกันต่อไป"
"นี่เธอจะใจเย็นไปถึงไหน ไม่คิดทำอะไรบ้างหรือไง ถ้าคิดจะทำอะไรก็รีบๆลงมือ เดี๋ยวจะสายเกินไป แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน"
"ฉันเป็นคนคิดแล้ว ลงมือทำทันที เธอไม่ต้องห่วงหรอก"
หมงยิ้มอย่างเป็นนัยว่าได้หาทางจัดการทรงกลดไปแล้ว
อันพุ่งไปที่กองลังสินค้าที่ล้มกองระเนระนาดอยู่,ฝุ่นฟุ้งไปทั่วจนไม่เห็นว่าทรงกลดอยู่ตรงไหน
"นายน้อย"
อาจูยืนตกใจอยู่พักเดียวก็ได้สติ,รีบเข้าไปช่วยอันลากลังสินค้าออกมา
คนงาน 4-5 คนวิ่งเข้ามาอย่างตกใจที่ได้ยินดังโครมคราม
"เฮ้ย! มาช่วยกันหน่อย" อันสั่ง
กลุ่มคนงานรีบเข้าช่วยอันทั้งยกทั้งลากกองลังสินค้าเพราะคิดว่าทรงกลดติดอยู่ข้างใต้
"นายน้อย! ได้ยินผมมั้ยครับ"
"คุณที"
อาจูกับอันยังคงพยายามลากลังสินค้าออกอย่างไม่ย่อท้อ
"นายน้อย"
"คุณที"
"ได้ยินแล้ว! เรียกอยู่นั่นแหละ"
อาจูกับอันหันขวับมองไปตามเสียง ฝุ่นตลบทั่วบริเวณเริ่มจางลง ทรงกลดหลบกองลังสินค้าถล่มใส่ได้ทันแต่ก็กระเด็นไปไกล
อาจูกับอันรีบตรงไปหาทรงกลดที่ดันฝาลังสินค้าที่ทับตัวอยู่ออกไป
ทรงกลดลุกขึ้นมาได้อย่างปกติแม้เนื้อตัวจะคลุกฝุ่น ส่วนอาจูกับอันก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน
"นายน้อย"
"ฝีมือใคร"
อาจูหน้าเหวอไม่เข้าใจที่ทรงกลดถาม อันนิ่งเครียดเข้าใจในทันทีว่า ทรงกลดโดนลอบทำร้ายอีกครั้ง
ทรงกลดกวาดตามองคนงานที่เริ่มเข้ามามุงดูอย่างจับพิรุธ
ทรงกลดกับอันเดินมาที่บริเวณด้านหลังของกองลังสินค้า อาจูเดินตามรั้งท้ายมาอันชะงักแล้วชี้ไปที่พื้น
"เป็นอย่างที่นายน้อยคิดไม่มีผิด"
ทรงกลดกับอาจูมองตาม เห็นรอยเท้าที่ปรากฏชัดบนพื้นที่มีฝุ่นหนา
"ไอ้หมาลอบกัด"
"ผมสอบถามผู้จัดการแล้ว ไม่มีคนงานมาใหม่ ไม่เห็นใครแปลกหน้าเข้ามาเลย"
"งั้นก็ต้องเป็นฝีมือคนของเรานี่แหละ"
"ผมจะสอบปากคำคนงานทุกคนเอง" อันบอก
"เสียเวลาเปล่า ไม่รู้จ้างกันมากี่ต่อ ไม่มีทางสาวถึงไอ้คนบงการได้หรอก"
"แต่ยังไงผมก็ต้องลากไอ้คนเนรคุณออกมารับโทษ"
"เราจับตัวไอ้คนบงการให้ได้ดีกว่า คนที่อยากกำจัดฉันให้พ้นทางก็มีไม่กี่คน"
"นอกจากเสี่ยเคี้ยงแล้ว นายน้อยสงสัยใครอีกหรือครับ"
อาจูมองทรงกลดกับอันที่ถกกันโดยไม่สนใจเธอเลย
อาจูแทรกขัด
"เดี๋ยวนะคะ นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุเหรอคะ"
ทรงกลดกับอันมามองอาจูอย่างเพิ่งนึกได้ว่ามีอีกคนอยู่ด้วย
"มีใครคิดจะทำร้ายคุณทีงั้นเหรอคะ"
อันบอกทรงกลด
"ให้คุณจูกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะครับ"
"กลับไปในสภาพแบบนี้คงไม่ได้"
อาจูก้มลงตรวจดูสภาพตัวเอง เพิ่งเห็นว่าชายกระโปรงขาดเป็นริ้นๆอย่างยากที่จะซ่อมได้
อาจูเสียดายสุดๆ
"โธ่..."
ทรงกลดมองชุดที่อาจูใส่แล้วจำได้ว่า เป็นชุดเดียวกับที่ใส่ในวันที่ไปของานที่ฉั่วเทียนเหลา "เป็นความผิดของฉันเอง" ทรงกลดหันไปสั่งอัน "อาอัน"
อันรีบขัด
"เรื่องนี้ผมไม่ถนัด"
ทรงกลดสั่งแบบนิ่มๆ
"อาอัน"
"โธ่..นายน้อย"
อันส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แต่ทรงกลดพยักหน้าอย่างหนักแน่นและเหนือกว่า เขามองจนอันต้องพยักหน้ารับรู้ว่าต้องทำตามที่นายสั่ง
อาจูมองทรงกลดที มองอันทีอย่างไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไรกัน
เวลาต่อมา อันยืนรออยู่อย่างอึดอัดใจและไม่คุ้นเคยที่ต้องมาอยู่ในร้านตัดเสื้อของผู้หญิง
"ไหนหมุนตัวให้ดูอีกทีซิ เอาชุดนี้แหละ"
อันโล่งใจที่การรอคอยได้สิ้นสุดลง แม้จะรอแค่ครึ่งชั่วโมง แต่การรอผู้หญิงซื้อของเหมือนรอเป็นวันๆ
หยกมณีพาอาจูในชุดใหม่เดินออกมาจากห้องลองเสื้อ
"ขอบใจนะ หยก ที่เป็นธุระให้" อันบอก
"หยกมาช่วยก็เพราะนายน้อย ไม่ใช่เพราะเฮีย"
อาจูมองหยกมณีที่ทำเชิดใส่อัน เริ่มเดาออกว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรกันมากกว่าคนรู้จัก
"ฉันก็ต้องขอบคุณคุณหยกด้วยนะคะ"
"เรียกแจ้หยกเถอะ เธอเป็นผู้หญิงของนายน้อย ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแล้ว"
อาจูขัด
"ฉันไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่"
หยกมณีพูดต่อเป็นน้ำไหลไฟดับเพื่อแขวะอันโดยเฉพาะ
"ฉันนึกแล้วว่าเราจะได้เจอกันอีก เรียกได้ว่าเราสองคนมีวาสนาต่อกัน คนที่หมดวาสนากันไปแล้ว ก็ไม่อยากพบอยากเจอกันอีก แต่ถ้าจำเป็นต้องเจอ ฉันถือว่าเป็นคราวเคราะห์ก็แล้วกัน"
อันยืนฟังนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆ หญิงเจ้าของร้านถือถุงเสื้อสองถุงใหญ่ออกมา
"คุณหยกคะ จะให้เด็กเอาไปส่งที่ไหนคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวคุณอันจะไปส่งให้เอง คุณอันรู้จักนี่ว่าบ้านคุณจูอยู่ไหน"
อันอ้าปากจะค้านแล้วต้องหุบปากลง ยอมรับเอาถุงเสื้อผ้าสองถุงมาถือไว้
"เดี๋ยวนะคะ นี่เสื้อผ้าของฉันทั้งหมดเลยเหรอคะ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ"
"ยังไงก็ต้องรับไว้ค่ะ รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวนายน้อยจะส่งคนมารับ เรื่องอื่นแจ้หยกจัดการให้เอง"หยหมณีบอกอัน "ไปกันได้แล้ว"
หยกมณีเดินลิ่วๆออกไป อันต้องรีบเดินตามไป
"เดี๋ยวค่ะ!"
อาจูมองตามอย่างไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หยกมณีเดินออกมาจากทางร้านเสื้อ อันก้าวเดินตามมาเคียงคู่กัน หยกมณีแกล้งประชดยื่นมือจะไปรับถุงเสื้อผ้าจากอันมาถือไว้เอง
"ให้หยกช่วยมั้ย ผู้ชายเค้าถือกันไม่ใช่เหรอ"
"เฮียไม่ถือ"
"หยกยังจำได้ ตอนเล็กๆที่อยู่โรงงิ้ว เผลอเอากระโปรงไปซักรวมกับเสื้อผู้ชาย หยกโดนตีแทบตาย ทุกคนก็คลอดออกมาจากท้องแม่ แม่ที่เป็นผู้หญิง แต่กลับมาถือโน่นถือนี่"
"เฮียบอกแล้วว่า เฮียไม่ถือ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับหยกก็ตาม เฮียไม่เคยสนใจ ยังไงหยกก็เป็นหยกคนเดิมของเฮีย"
หยกมณีนิ่งอึ้ง แต่ยังไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ
"หยกไม่ได้พูดเรื่องตัวเองซะหน่อย บ้านอาจูอยู่ไหนล่ะ เฮีย"
"หยกจะไปด้วยเหรอ"
"ไม่ได้อยากไปด้วยหรอกนะ แต่หยกกลัวเฮียทำเสียเรื่อง"
หยกมณีเดินออกไป อันเดินตามด้วยสีหน้ายิ้มๆอย่างน้อยหยกมณีก็ยอมอ่อนลงให้บ้างแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศดูบันเทิงรื่นรมย์ของฉั่วเทียนเหลา ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านตลอดเวลาอาจูเดินเข้ามาอย่างดูสวยโดดเด่นกว่าผู้หญิงคนไหน
ชาย1 ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่อาจูเคยมาของาน ปราดเข้ามาต้อนรับ
"จองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ"
อาจูยิ้มแหยอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ไม่กล้าบอกว่ามาหาทรงกลด
"เออ...คือ...ฉัน"
"ผู้หญิงคนนี้มากับฉัน"
อาจูหันไปมอง ทรงกลดในชุดใหม่ดูดีหล่อเท่ เดินยิ้มกริ่มเข้ามา ทรงกลดจ้องมองอาจูในชุดสวยจนอาจูเริ่มเขินจนทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ไหน
ทรงกลดมองอาจูอย่างพอใจที่เห็นอาจูสวยสดชื่นในชุดใหม่ ไม่ได้ตกตะลึงในความสวย เพราะทรงกลดเห็นความงามของอาจูที่เสียสละของบริจาคให้เด็กตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่ศาลเจ้าแล้ว
ทรงกลดเดินไปใกล้ แล้วยกแขนขึ้นทำท่าให้อาจูคล้องแขนเขาเพื่อเดินเข้าไปด้วยกัน
อาจูมองทรงกลดอย่างไม่เข้าใจ เขาต้องดึงมือเธอมาคล้องที่แขนของเขา
อาจูจะดึงมือออก แต่ทรงกลดยึดมือไว้ เลยได้จับมืออาจูเดินออกไปด้วยกันตลอดทาง
ชาย1 มองอาจูเริ่มคุ้นๆหน้า ชาย 2 เข้ามายืนข้างๆมองตาม
ชาย1บอก "หน้าคุ้นๆ"
ชาย2 นึกได้
"ผู้หญิงที่มาของานทำเมื่อวานซืนไง"
"แล้วมากับนายน้อยได้ไง"
ชาย1 ชาย2 หันไปมองทรงกลดที่พาอาจูเดินไปที่โต๊ะอาหาร
ทรงกลดยังยึดมืออาจูให้คล้องแขนตัวเองไว้ แล้วพาเดินไปท่ามกลางสายตาทุกคนในร้านที่จับจ้องมา
บริกร 3 คนช่วยกันวางจานอาหารเหลาลงจนเต็มโต๊ะดูละลานตาไปหมด อาจูตาโตมองจานอาหารแต่ละจานที่ดูน่ากินอย่างตื่นตาตื่นใจ
อาจูเงยหน้ามองทรงกลดที่จิบชาจีนร้อนมองเธออย่างขำๆ อาจูขยับนั่งตัวตรงทันที
"เดี๋ยวจะมีใครมาอีกเหรอคะ"
"ไม่มี มีแค่เธอกับฉัน"
"แล้วเราจะกินหมดเหรอคะ คุณนี่ฟุ่มเฟือยจริงๆ ถึงคุณจะมีเงินล้นฟ้า แต่ใช้เงินแบบนี้ อีกไม่นานเงินก็หมด คุณรู้มั้ยว่า มีคนตั้งเท่าไหร่ที่ไม่มีข้าวกิน ต้องต้มมันต้มเผือกกินประทังชีวิต แต่คุณกลับสั่งอาหารมากินทิ้งกินขว้าง"
ทรงกลดเอาตะเกียบคีบเห็ดเป๋าฮื้อใส่ปากอาจูในจังหวะที่อ้าปากพูด
"อย่าบ่นมาก กินไม่หมด ก็เอากลับบ้านได้"
อาจูจะเถียงแต่เถียงไม่ออกต้องรีบเคี้ยวรีบกลืนเห็ดเป๋าฮื้อลงไป แต่รสชาติอร่อยจนลืมพูดต่อ
"อร่อยใช่มั้ยล่ะ เอ้า กินเยอะๆ ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว"
ทรงกลดคีบอาหารบนโต๊ะใส่จานให้อาจูจนแทบล้นจาน
"คุณให้ฉันมาที่นี่ทำไมคะ"
ทรงกลดกินอาหารอย่างอร่อยไม่สนใจที่จะตอบ
"ถ้าวันนี้คุณไม่มีงานอะไรให้ฉันทำแล้ว งั้นฉันกลับล่ะ"
อาจูกำลังขยับลุกขึ้นแต่แล้วต้องชะงักเมื่อทรงกลดรั้งไว้
"นี่ไงงานของเธอ อยู่เป็นเพื่อนกินข้าวกับฉัน"
"คุณทีคะ"
"แล้วนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน"
อาจูจำต้องนั่งลงไปใหม่ แต่ทำนิ่งต่อต้านโดยไม่แตะต้องอาหาร ทรงกลดยังคงกินอาหารไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจคำปฏิกิริยาของอาจู
"ไม่อยากกลับบ้านงั้นเหรอ"
อาจูมองอาหารแต่ละจานที่อยากชิมอยู่แล้ว เหลือบมองทรงกลดที่ไม่สนใจมองมาที่เธอเลย
อาจูค่อยๆหยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารเข้าปาก ทีละนิดทีละหน่อยแล้วกินต่อไปอย่างเพลิดเพลิน
"กินเก่งเหมือนกันนะ เรา"
อาจูเงยหน้าขึ้นมองทรงกลด มือที่กำลังคีบไก่แช่เหล้าเข้าปากค้างๆคาๆอยู่
ทรงกลดมองอาจูอย่างขำปนเอ็นดูที่เห็นอาจูรีบกลืนไก่เข้าปากไปอย่างเร็วจนต้องสำลัก เธอรีบหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม พลางตบอกตัวเองพลั่กๆเพื่อแก้อาการอาหารติดคอ
ทรงกลดขำหนักกว่าเดิม อาจูดื่มน้ำชาต่อ เมินหน้าจากทรงกลดอย่างเสียฟอร์ม
อาจูเพิ่งเห็นว่า ลูกค้าที่นั่งโต๊ะรอบๆหันมามองเธอเป็นระยะๆ
"มองอะไรกัน"
"คนคงสงสัยกันว่า เธอเป็นใคร"
อาจูหันมามองทรงกลดแทนคำถาม
อาจูหันมามองทรงกลดแทนคำถาม
ทรงกลดยิ้ม
"ฉันไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่นี่ เธอเป็นคนแรก"
เธอก้มลงกินอาหารต่อทันที ทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาบอก และเมื่อเธอแอบเหลือบมอง,ทรง ก็เห็นเขายิ้มกริ่มมองมา
อันกับหยกมณีเดินเข้ามาจนถึงหน้าบ้านอาจู หยกมณีดึงถุงเสื้อถุงใหญ่สองถุงจากอันมาถือไว้เอง
"บ้านหลังนี้ใช่มั้ย"
"ไม่ต้อง เดี๋ยวเฮียเข้าไปเอง"
"เฮียเป็นผู้ชายนะ คนที่บ้านอาจูจะคิดยังไง"
"เฮียลืมไป"
"ทีนี้เข้าใจหรือยังว่า ทำไมหยกถึงต้องมากับเฮีย รออยู่ที่นี่แหละ"
"ขอบใจนะ หยก"
"ไม่ต้องมาขอบใจ หยกไม่ได้ต้องการช่วยเฮีย หยกไม่อยากให้นายน้อยเสียความตั้งใจ ผู้ชายทึ่มๆอย่างเฮียไม่เหมาะกับงานแบบนี้หรอก ไม่เหมาะกับผู้หญิงคนไหนด้วย!"
หยกมณีเดินฉับๆอย่างคล่องงาน เข้าไปในบ้านของอาจู อันถอนใจเฮือกที่ไม่วายถูกแขวะอีก
หยกมณียื่นถุงเสื้อผ้าสองใบให้กับเง็ก แต่เง็กยังไม่ยอมรับถุงเสื้อมา หยกมณีมองเง็ก ซิ่วเอ็งและเว่ยที่จ้องมาที่เธออย่างแปลกใจ
"ทำไมเข้าใจกันยากจริง"
หยกมณีวางถุงเสื้อผ้าลงบนตั่งหรือโต๊ะในบ้านด้วยท่าทางเหนื่อยใจ
"พูดใหม่ก็ได้ นี่เป็นเสื้อผ้าที่ทางบริษัทเราส่งมาให้ค่ะ"
"มีแบบนี้ด้วยเรอะ" เง็กว่า
"คืออย่างนี้นะคะ คุณจูมีตำแหน่งเป็นเลขาฯของผู้จัดการบริษัท"
ซิ่วเอ็งขัด
"อาจูไปทำบัญชีไม่ใช่เรอะ"
หยกมณีแก้ทันที
"คุณจูทำสองตำแหน่งน่ะค่ะ เป็นทั้งพนักงานบัญชีแล้วก็เป็นเลขาฯ ด้วย คุณจูเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท เป็นเรื่องปกติที่ทางบริษัทจะส่งเสื้อผ้ามาให้ ไม่มีเรื่องข้องใจแล้วนะคะ"
ซิ่วเอ็งบอก
"อั๊วยังไม่เข้าใจอยู่ดี "
เว่ยรีบแก้ตัวให้ เรื่องจะได้จบๆไม่งั้นเรื่องอาจจะบานปลายให้เง็กรู้ว่า อาจูไปทำงานให้บริษัทแก๊งเขี้ยวสิงห์
"บริษัทใหญ่ๆก็เป็นแบบนี้แหละ ม่า ... ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวแจ้จูกลับมา ผมจะบอกให้"
"ขอบใจนะ อาตี๋ ฉันจะได้เอาเสื้อผ้าไปส่งที่อื่นต่อ ไปนะคะ"
หยกมณีบอกลาแล้วรีบเดินออกไป
เว่ยเอื้อมมือจะไปเปิดถุงเสื้อผ้าดู แต่ซิ่วเอ็งตีมือไม่ให้เว่ยแตะต้องเสื้อผ้าของผู้หญิง
เง็กหยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงมาดู เห็นเป็นชุดสวยๆดูราคาแพง
"มันยังไงๆอยู่นะ ม้า" เง็กเสียงเบาลง "อีดูไม่เหมือนคนทำงานบริษัท"
ซิ่วเอ็งมองตามหยกมณี แล้วพูดโพล่งไล่หลังไป
"โบวแต๊จาโบ้ว!" **
เง็กตกใจที่ซิ่วเอ็งพูดแรง หยกมณีชะงักหยุดกึกแต่ยังไม่หันกลับมา
"แปลว่าอะไรเหรอ ม่า"
"ผู้หญิงโรงน้ำชา...ผู้หญิงหากินยังไงล่ะ"
"ม่า!"
หยกมณีเดินต่อไปเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อก้าวพ้นจากในบ้านพบว่า อันยืนรออยู่ และต้องได้ยินที่ซิ่วเอ็งพูดไล่หลังมาแน่นอน หยกมณียังเดินเชิดหน้าต่อ แม้จะเจ็บแปลบแค่ไหนก็ตาม
อันมองตามอย่างเข้าใจความเจ็บปวดของหยกมณี
** โบวแต๊จาโบ้ว ภาษาจีนแต้จิ๋วมีความหมายเดียวกับผู้หญิงหยำฉ่า ซึ่งเป็นภาษาจีนกวางตุ้งที่คนไทยคุ้นเคยกว่า /หยำฉ่า แปลว่า ดื่มชา/ โบวแต๊ แปลว่า ขายน้ำชา จาโบ้ว แปลว่า ผู้หญิง / คำว่า จาโบ้ว ที่แปลว่า ผู้หญิง จริงๆเป็นคำเหยียดเพศหญิง /คำว่าผู้หญิงที่ควรใช้คือคำว่า “จือเนี้ย”
หยกมณีเดินออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ อันเดินตามหลังมา
"ไม่ต้องไปฟัง"
หยกมณีหันมามองอัน แล้วยิ้มให้ทำเหมือนไม่สนใจคำพูดของซิ่วเอ็ง
"หยกฟังจนชินแล้ว ผู้หญิงหยำฉ่า ผู้หญิงกลางคืน นักร้องขายตัว"
"เฮียรู้ว่า หยกไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น"
"ทำไมจะไม่ใช่ ผู้หญิงที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างหยก ถูกอาม่าคนนั้นเรียกว่า ผู้หญิงหากินก็ถูกแล้ว ไม่มีคำไหนเหมาะกับหยกเท่าคำนี้อีกแล้ว เราแยกกันตรงนี้นะ หยกจะรีบไปทำงาน"
หยกมณีเดินหนีเพื่อที่จะซ่อนความเจ็บปวดที่เริ่มปะทุขึ้นมาอีก
อันรีบเดินไปจับแขนหยกมณีไว้ ไม่ยอมให้ไปง่ายๆ
"เลิกดูถูกตัวเองซะที"
"หยกพูดความจริง หยกผ่านผู้ชายมาตั้งกี่คน! เฮียก็รู้"
"นั่นมันเป็นอดีต หยกลืมมันไปได้แล้ว เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่านะ"
"หยกลืมไม่ได้ หยกไม่เหมือนเฮียที่ลืมทุกอย่างได้ง่ายๆ นึกจะไปก็ไป ไม่เคยคิดถึงคนที่โดนทิ้งอยู่ข้างหลัง ถ้านายน้อยไม่กลับมา เฮียก็คงอยู่กับนายน้อยที่เมืองนอกจนตาย ใช่มั้ยล่ะ"
"ก็ต้องเป็นอย่างงั้น"
หยกมณีสะบัดแขนออกจากอันอย่างน้อยใจ แต่อันคว้ามือหยกมณีไว้แล้วจับมือไว้แน่น
"ปล่อย"
"ถ้าหยกลืมอดีตที่เลวร้ายไม่ได้ เฮียจะช่วยให้หยกลืมมันเอง"
อันดึงหยกมณีเข้ามากอดไว้ หยกมณีพยายามจะดันตัวอันออกไปแต่ก็สู้แรงอันไม่ได้
"เฮียไปแต่ตัว หัวใจของเฮียอยู่ที่หยกเสมอ"
หยกมณีใจอ่อนลง หยุดดิ้นรนและยอมให้อันกอดไว้
"พูดอย่างนี้ก็เป็นด้วย"
"เฮียพูดตามที่คิด"
"เฮียจะไม่ทิ้งหยกไปไหนอีกแล้วใช่มั้ย"
อันนิ่งไม่ตอบ เพราะชีวิตขึ้นอยู่กับทรงกลดคนเดียว หยกมณีผลักอันออกไปอย่างเต็มแรง
"ถ้ารับปากไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้า!"
หยกมณีเดินผละออกไปอย่างเร็ว อันมองตามหยกมณี
ภายในฉั่วเทียนเหลา ทรงกลดยืนรออยู่ที่ทางออกของร้านด้วยท่าทีหน่ายๆขำๆ อาจูอุ้มถุงกระดาษที่ใส่อาหารเต็มสองมือด้วยสีหน้ามีความสุขมาก
ทรงกลดบ่นอุบ
"ใครรู้เข้าจะว่าไงเนี่ย"
"คุณเป็นคนบอกเองว่า ถ้ากินไม่หมด เอากลับบ้านได้ เรื่องแค่นี้ก็ต้องอายด้วย"
อาจูอุ้มถุงอาหารเดินนำหน้าออกไป ทรงกลดมองตามหลัง แล้วเห็นสมุนอิก 2 คนยืนรออยู่ ท่ามกลางพนักงานและลูกค้าที่เดินเข้าเดินออก
ทรงกลดก้าวยาวๆไปดึงอาจูให้ถอยกลับมา
"ออกทางหลังร้านดีกว่า"
"ทำไมล่ะคะ มีเรื่องอะไร"
"ถามมากอีกแล้ว"
ทรงกลดรีบพาอาจูเดินออกไปทางหลังร้าน สมุนอิก 2 คนหันไปทันเห็นด้านหลังของทรงกลดที่เดินเร็วออกไป
สมุนอิก 2 คนจะตามไป แต่ถูกกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่กำลังจะกลับ ปิดทางเดินไว้
ทรงกลดจับแขนอาจูลากมาจนออกมาจากร้านทางด้านหลัง
"ช้าๆ ค่ะ คุณที"
ทรงกลดชะงักหันไปมองอาจูที่พยายามประคองถุงอาหารอย่างระวังเต็มที่
"ห่วงเรื่องกินแต่ไม่ห่วงตายหรือไง"
"หา?! อีกแล้วเหรอคะ"
อาจูมองซ้ายมองขวามองหน้ามองหลังอย่างหวั่นใจ
"เพิ่งมากลัวตอนนี้ก็ช้าไปแล้วล่ะ"
"ฉันถาม คุณก็ไม่ยอมตอบ แล้วฉันจะรู้มั้ยว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วตอนนี้เราหนีใครอยู่หรือคะ"
"ฉันก็ไม่แน่ใจ..แต่ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว"
"คุณพูดว่า ปลอดภัยทีไร..."
สมุนอิกโผล่เข้ามาทีละคนๆ จนนับได้สี่คนและค่อยๆ ล้อมตัวทรงกลดกับอาจูไว้
"ไม่เคยปลอดภัยซักที"
"อาจู"
อาจูขยับไปหลบอยู่ด้านหลังทรงกลดโดยไม่ต้องให้เตือนครั้งที่สอง ทรงกลดแตะปืนที่เอวเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสมุนของอิก
หยกมณีเดินเร็วๆมาถึงหน้าร้าน อันเดินตามมาเงียบๆอย่างไม่รู้จะง้อยังไงอีก อันทำท่าจะเดินตามเข้าไปในร้านด้วย
"กลับไปได้แล้ว"
อันไม่รู้จะอ้างยังไงเพื่อที่จะมีโอกาสได้อยู่กับหยกมณี ปากเร็วพูดไปก่อน
"เฮียมารับนายน้อย"
หยกมณีสะบัดหน้าพรึ่บจากอันอย่างโมโหขึ้นไปอีก
อันหยุดเดินและมองไปรอบๆ
"หาอะไร"
"ลูกน้องเฮีย...ให้อยู่ดูนายน้อยไว้ ไม่รู้หายไปไหนหมด"
พนักงาน 2 คนที่ยืนรอต้อนรับลูกค้าได้ยินที่อันพูดกับหยกมณี
"ลูกน้องเฮียเหรอ นายน้อยไล่กลับไปหมดแล้วครับ"
"นายน้อยล่ะ"
"กลับไปแล้วครับ"
"แต่รถยังอยู่"
อันผละออกไปทันทีเพื่อเดินอ้อมไปดูด้านหลังของร้าน
"มีอะไรเหรอ เฮีย"
หยกมณีเห็นอันหน้าเครียดก็เริ่มใจไม่ดี จนต้องรีบตามไปดูอีกคน
หลังฉั่วเทียนเหลา ทรงกลดกับอาจูยังตกอยู่ในวงล้อมของสมุนอิก เขามองไปรอบๆอย่างประเมินสถานการณ์ อาจูหลบแจอยู่ด้านหลังทรงกลดแต่มือทั้งสองยังคงกอดถุงอาหารไว้แน่น
"ทิ้งไปได้แล้ว"
"เสียดาย...อาหารดีๆทั้งนั้น"
"ฉันบอกให้ทิ้ง"
อาจูทำท่าจะวางถุงอาหารลงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจกระชับถุงอาหารในอ้อมกอดไว้แน่นด้วยความเสียดาย
"บอกให้ทิ้งไงล่ะ"
"ให้ถึงตาจนก่อนล่ะกัน" อาจูต่อรอง
"นี่ยังไม่เรียกว่าถึงตาจนอีกหรือไง"
อาจูรีบยอ
"แต่พูดอะไร ไม่เคยเชื่อ"
"ทำไมจะไม่เชื่อ คุณสั่งให้ฉันไปไหน ฉันก็ไป เชื่อฟังมาตลอด"
"ฉันสั่งให้เธอทิ้ง"
อาจูอ้อนขอร้อง
"คุณที"
ทรงกลดสั่ง
"อาจู"
สมุนอิก1ถาม
"เฮ้ย! จะเถียงกันอีกนานมั้ย"
"ไม่นานหรอก!"
ทรงกลดอาศัยจังหวะที่สมุนอิกเผลอตัวฟังทรงกลดกับอาจูเถียงกันไปมาจนไม่ระวังตัว ทรงกลดกระโดดถีบสมุนอิก 2 คนจนกระเด็นไปให้เกิดช่องโหว่ที่อาจูจะหนีไปได้
"วิ่ง"
อาจูกอดถุงอาหารแล้ววิ่งหนีออกไปทันที
ทรงกลดหันมาจัดการสมุนอิกอีกสองคนที่ดาหน้ากันมารุมกระทืบ เขาซัดสมุนอิกสองคนด้วยหมัดและลูกเตะจนกระเด็นไป
เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
สมุนอิกสองคนที่ถูกถีบกระเด็นไปก่อนหน้านี้ กลับเข้ามาใหม่เพื่อที่จะช่วยรุมอีกสองแรง
ทรงกลดชักปืนออกมาทันที สมุนอิกทั้งสี่จะชักปืนออกมาตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
สมุนอิก1 ที่อยู่ทางซ้ายมือของทรงกลด รอจังหวะที่ทรงกลดเบือนหน้าไปอีกทางแวบเดียว
สมุนอิก1 ชักปืนออกมาเตรียมยิงใส่ แต่ทรงกลดชักปืนอีกกระบอกด้วยมือซ้าย,จ่อไปที่สมุนอิก1 โดยไม่ต้องหันไปมอง
สมุนอิก1 ชะงักกึกที่ชักปืนไม่ทัน ทรงกลดหันมายิ้มให้พลางเล็งปืนตรงไปอย่างใจเย็น
ทรงกลดแกล้งขู่
"แกคนแรกเลยแล้วกัน"
อิกบอก
"เดี๋ยวก่อนครับ นายน้อย!"
ทรงกลดหันไปตามเสียง อิกถือปืนจ่อหลังอาจูเดินเข้ามา เธอยังคงกอดถุงอาหารไว้อยู่
"วางปืนลง" อิกสั่ง
ทรงกลดจำต้องย่อตัวลงแล้ววางปืนทั้งสองกระบอกลงที่พื้นอย่างช้าๆ
อิกพยักหน้าให้สัญญาณกับลูกน้องให้ลงมือรุมกระทืบทรงกลดได้
"สั่งสอนเบาะๆก็พอ ไม่ต้องให้ถึงตาย!" อิกสั่งพลางยิ้มกวน
สมุนอิก1 รี่เข้าไปหาทรงกลดทันที อาจูหลับตาปี๋อย่างไม่อยากเห็นทรงกลดต้องเจ็บตัว
แต่เขายืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่ยังไม่ทันที่สมุนอิก1 จะซัดทรงกลด เสียงคลิกของไกปืนก็ดังขึ้นที่ข้างหูของอิก
"เฮ้ย! หยุด"
ทรงกลดกับสมุนอิกทั้งสี่หันไปมอง อันถือปืนจ่ออยู่ที่ด้านหลังอิกอีกที อาจูได้โอกาสสะบัดตัวจากอิก ทรงกลดรีบไปดึงตัวอาจูมาไว้ข้างตัวทันที
"เอาไงดีครับ นายน้อย"
หยกมณีเดินเข้ามา
"ปล่อยพวกเฮียอิกไปเถอะค่ะ นายน้อย ล้างแค้นกันไปมา ก็ไม่มีวันจบสิ้นกันซะที"
"ปล่อยพวกมันไป"
อันไม่เห็นด้วย
"นายน้อย"
ทรงกลดมองจนอันยอมถอยออกไปจากอิก แต่ยังเล็งปืนไปที่อิกอยู่ อิกกำลังจะเดินไปหาสมุนที่ยืนรออยู่อย่างเสียหน้ามาก
"เดี๋ยว" ทรงกลดบอก
อิกหันหน้ามา และในทันทีทรงกลดชกเปรี้ยงเข้าให้จนอิกเซถอยหลังไปหลายก้าว
"โทษฐานที่ทำให้ผู้หญิงของฉันตกใจ"
อาจูหน้าเหวออย่างคิดไม่ถึงแล้วต้องเก้อเขินกับคำว่าผู้หญิงของฉันของทรงกลด
อิกมองทรงกลดอย่างเคียดแค้นโต้ตอบไม่ได้ ได้แต่เช็ดเลือดมุมปากแล้วเดินออกไปพร้อมสมุนทั้งสี่ ทรงกลดหันมามองอาจูแล้วอดยิ้มไม่ได้
ทรงกลดกับอันเดินมาที่หน้าร้าน หยกมณีกับอาจูเดินตามหลังมา อาจูยังกอดถุงอาหารไว้อยู่
"หายตกใจแล้วใช่มั้ย อาจู"
"ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ"
หยกมณีปลอบไปทั้งที่รู้ว่าไม่จริง
"คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วล่ะ"
"ฉันหนีเรื่องแบบนี้ไม่พ้นแน่ ถ้าฉันยังทำงานกับลูกชายหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์"
ทรงกลดกับอันชะงัก ทั้งสองรับรู้ว่าอาจูรู้เรื่องทรงกลดเป็นลูกชายตงแล้วและคำพูดตรงๆของอาจูกระแทกใจทรงกลดอย่างแรง
ทรงกลดบอกกับอัน
"แกอยู่นี่แหละ ฉันไปส่งอาจูเอง"
ทรงกลดเดินไปดึงตัวอาจูให้เดินออกไปด้วยกัน โดยไม่รอให้อันคัดค้าน หยกมณีรีบเดินจะเข้าไปในร้าน อันเดินไปขวางทางไว้
"เฮียอยากให้หยกเข้าใจ"
หยกมณีประชด
"นายน้อยไม่ได้สั่งให้เฮียอยู่คุยกับหยกนะ อย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง"
อันไม่ฟังหยกมณีประชด
"ชีวิตของเฮียขึ้นอยู่กับนายน้อย"
"ชีวิตของเฮียไม่ต้องมีหยกก็ได้ เฮียต้องการให้หยกเข้าใจแบบนี้ใช่มั้ย เอาล่ะ หยกเข้าใจแล้ว เข้าใจมานานแล้วด้วย"
หยกมณีเดินเข้าไปในร้าน อันได้แต่มองตาม
ทรงกลดเดินมาส่งอาจูถึงหน้าบ้าน เธอยังอุ้มถุงอาหารอยู่ แม้จะเมื่อยแต่ก็ยังอุ้มไว้อย่างมั่นคง
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง"
ทรงกลดมองอาจูนิ่งอย่างตัดสินใจได้ แม้ไม่อยากจะทำแบบนี้
"พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน ฉันหางานใหม่ให้เธอได้เมื่อไหร่ จะให้อาอันมาบอก"
อาจูตกใจ
"คุณไล่ฉันออกเหรอคะ ฉันทำอะไรผิด"
"ไม่ได้ไล่ออก แต่เธอควรจะหางานใหม่"
"นั่นแหละ แปลว่าคุณไล่ฉันออก"
"ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเดือนล่วงหน้าที่ได้ไป ฉันไม่เอาคืน ดูแลตัวเองด้วยล่ะ"
ทรงกลดบอกลาแล้วตัดใจเดินออกไป อาจูรีบวางถุงอาหารลง แล้วเดินไปขวางทางทรงกลดไว้
"ทำไมคะ คุณที"
"ฉันไม่อยากให้เธอต้องเจ็บตัวอีก"
"ฉันไม่กลัวค่ะ ฉันขอปืนไว้ซักกระบอกไว้ป้องกันตัวก็พอ"
ทรงกลดยิ้มขำ
"ไหนเคยบอกว่า ไม่อยากเกี่ยวข้องกับแก๊งเจ้าพ่อไงล่ะ"
อาจูไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่อยากเปลี่ยนงาน รู้แต่ว่าไปจากทรงกลดตอนนี้ไม่ได้
"ฉัน..ฉันไม่อยากออกจากงานในตอนนี้ เดี๋ยวคนที่บริษัทคุณก็หาว่าผู้หญิงทำงานไม่ทน แล้วก็จะไม่มีผู้หญิงคนไหนได้เข้าทำงานที่บริษัทคุณอีก"
ทรงกลดจับหัวอาจูโยกเบาๆอย่างเอ็นดูที่หาข้ออ้างจนได้
"ห่วงฉันก็บอกมาเถอะ"
ทรงกลดเดินออกไป อาจูไม่รู้ว่าทรงกลดเปลี่ยนใจหรือเปล่า
"ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็จะกลับไปทำงาน แล้วเรื่องปืน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ คุณที"
อาจูพูดไล่หลัง แต่ทรงกลดยังเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่หันกลับมา
"คุณที"
ซิ่วเอ็งโผล่มาจากด้านหลังอาจูอย่างเงียบๆ
"พูดกับใครอยู่"
อาจูสะดุ้งโหยงหันไปมองซิ่วเอ็งที่ยืนมองมาอย่างจับผิด
ทรงกลดเดินออกมาจากทางบ้านอาจู อันยืนรอทรงกลดอยู่แล้ว อันรอจนกระทั่งทรงกลดเดินนำหน้าออกไป แล้วถึงเดินตามเยื้องหลังไป
"นายน้อยตัดสินใจถูกแล้วล่ะครับ"
"แต่ดูเหมือนจะดื้อไม่เบา ไม่รู้จะเชื่อกันหรือเปล่า"
"ผู้ชายหัวรั้นมาเจอกับผู้หญิงหัวดื้อ...เหมาะสมกัน" อันบอก
"งั้นแกก็เหมะสมกับผู้หญิงแสนงอนอย่างหยกน่ะสิ"
อันถอนใจเฮือกแทนคำตอบ ยังคงหนักใจเรื่องหยกมณีอยู่ ทรงกลดตบไหล่อัน
"อาอัน แกไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของแปะปอ ไม่ต้องมาเดินตามหลังฉันยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างนี้ แกควรจะมีชีวิตของแกเอง"
อั"นี่เป็นชีวิตที่ผมเลือกเอง ไม่ได้มีใครบังคับ"
"งั้นแกก็เลือกใช้ชีวิตใหม่ได้แล้ว เลือกชีวิตที่ได้อยู่กับผู้หญิงที่แกรัก หรือแกอยากมีชีวิตอย่างป๊าฉัน"
"เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก นายน้อยอาจจะต้องเลือกแบบนายใหญ่ก็ได้"
"ไม่มีทาง ฉันจะไม่มีวันทิ้งคนที่ฉันรักเพื่อแก๊งเขี้ยวสิงห์แน่!"
ทรงกลดตอบอันอย่างมั่นใจโดยไม่รู้เลยว่าจะทำตามที่พูดไม่ได้
อาจูกับเว่ยกำลังช่วยกันจัดแจงเทอาหารที่ได้จากฉั่วเทียนเหลาใส่จาน/ชาม เว่ยมองอาหารในแต่ละจานแต่ละชามอย่างน้ำลายหก
"โอ้โห! ของดีๆทั้งนั้น นี่เห็ดเป่าฮื้อใช่หรือเปล่า แจ้"
"ใช่แล้ว อร่อยมากเลย ลองชิมดูสิ"
อาจูมองเว่ยที่ตักอาหารจานโน้นชามนี้ชิมอย่างอร่อย เธอรู้สึกดีใจที่น้องได้กินของดีๆ
ซิ่วเอ็งกับเง็กยืนมองอาจูอย่างเครียดๆ
"อาจู"
อาจูคลายยิ้มลงทันทีแล้วค่อยๆหันมาทางซิ่วเอ็งและเง็ก และเตรียมพร้อมที่จะรับมือ
"ลื้อไปทำงานอะไร บอกความจริงมา" เง็กถาม
อาจูตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
"ก็งานบัญชีไง ม้า"
ซิ่วเอ็งขยุ้มเสื้อผ้าที่หยกมณีเอามาให้ แล้วโยนลงไปที่พื้น
"งานบัญชีอะไร คนที่ทำงานลื้อถึงได้ส่งเสื้อผ้าแพงๆอย่างนี้มาให้"
"แล้วยังอาหารเหลาพวกนี้อีก" เง็กว่า
"ลื้อไปทำงานที่โรงน้ำชามาใช่มั้ย อาจู"
อาจูสะดุ้งโหยง ซิ่วเอ็งกล่าวหาว่าไปทำงานที่โรงน้ำชาเท่ากับไปทำงานขายตัว
"เปล่านะ ม่า หนูได้งานทำบัญชีจริงๆ บริษัทที่ไปทำเป็นบริษัทใหญ่มากเลย ใครๆก็รู้จัก เดี๋ยวนะ หนูมีนามบัตรเจ้านายอยู่"
อาจูรีบหยิบกระเป๋ามารื้อหานามบัตรของทรงกลด
"อาเว่ย! แกเอาไปอวดเพื่อนใช่มั้ย"
อาจูเงยหน้าขึ้นจ้องเว่ย รู้แน่ว่าที่หานามบัตรไม่เจอเป็นฝีมือของน้องชายตัวดี
เว่ยหัวเราะแหะๆ
"แหม แจ้จูรู้ทันจริงๆ เดี๋ยวหาให้นะ ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ไหนแล้ว"
"มีอะไรน่าอวด"
"ก็เจ้านายของแจ้จูเค้าเป็นลูกชาย"
อาจูเอามือตะปบปิดปากเว่ยได้ทันพอดี
"อาเว่ยเห่อที่หนูได้งานทำน่ะ ม้าต้องเชื่อหนูนะ ถึงจะต้องอดตาย หนูก็จะไม่มีวันขายตัว"
อาจูมองเง็กอย่างมั่นใจกับสิ่งที่พูดไป
บรรยากาศในโรงฝิ่น* ควันลอยฟุ้งอบอวลไปทั่วจากพวกขี้ยาที่นอนสูบฝิ่นกันอยู่ตามเตียง เคี้ยงจิบน้ำชาอย่างพอใจที่ได้รับรายงานจากอิก นึกเองว่า อิกพาสมุนไปข่มขู่ทรงกลดได้สำเร็จ
"เป็นไงบ้าง"
อิกอ้อมแอ้มๆ
"ก็เป็นไปตามที่นายสั่งครับ"
"อั๊วสั่งแล้วนะว่า แค่ไปขู่มันก็พอ"
"แต่คนอย่างไอ้ทรงกลด แค่ขู่ มันไม่พอนะครับ นาย"
"เฮ้ย! ลื้อลงมือลงไม้กับมันงั้นเหรอ อั๊วบอกแล้วว่า อั๊วไม่อยากมีเรื่องกับเฮียตง"
"ยังไม่ทันลงมือหรอกครับ พอดีมีคนเข้ามาขัดจังหวะ นายครับ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องโค่นแก๊งเขี้ยวสิงห์"
เคี้ยงลุกขึ้นอย่างไม่สนใจที่ห้ำหั่นกับแก๊งอื่นด้วยกำลัง
"แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรวะ เราจะรวยขึ้นหรือไง ปล่อยให้แก๊งอื่นมันฟัดกันไปเถอะ อั๊วไม่ขอยุ่ง" เคี้ยงหันไปเห็นลูกค้า "อ้าว เฮียเก๊ก มาตั้งแต่เมื่อไหร่"
เคี้ยงสาวเท้าไปต้อนรับอาเสี่ยลูกค้าซื้อของเถื่อน
"ทางนี้เลย เฮีย อั๊วเตรียมห้องพิเศษไว้ให้แล้ว อั๊วขอโทษจริงๆที่ส่งของช้าไปหน่อย แต่รับรองเฮียได้ของที่สั่งไว้แน่ๆ"
เคี้ยงต้อนอาเสี่ยลูกค้าเดินออกไป อิกได้แต่มองตามด้วยความเซ็ง
มือของหมงตบลงที่ไหล่ของอิก
" ลื้อคิดจะโค่นแก๊งอั๊วงั้นเหรอ ไอ้อิก"
อิกสะดุ้งหันไปมอง แล้วต้องคลายใจที่เป็นหมงซึ่งยืนมองด้วยสีหน้านิ่งเฉย
"นายก็รู้ว่า ผมหมายความว่าไง"
หมงนั่งลงด้วยท่าทีเปลี่ยนเป็นดูคุ้นเคยกับอิกมาก
"ผมกำลังช่วยกรุยทางให้นายขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์"
"แล้วแผนลื้อสำเร็จบ้างมั้ยล่ะ"
"ถ้าแผนข่มขู่ไม่ได้ผล เราคงต้องเอาจริงแล้วล่ะครับ นาย"
อิกขยับไปกระซิบบอกแผนการ
หมงผงะ
"เฮ้ย! เอางั้นเลยเหรอ"
"ถ้าคิดจะทำงานใหญ่ ก็ต้องใจกล้าๆหน่อยนะครับ นาย"
หมงคิดหนัก
*โรงฝิ่นเป็นแหล่งพบปะของแก๊งเพื่อคุยงานลับๆ ไม่ใช่เป็นแหล่งของพวกขี้ยาเท่านั้น*
บรรยากาศบ้านทรงกลดในเวลากลางคืน หมงเปิดประตูห้องนอนเข้ามา
ใจยังคิดเรื่องแผนของอิกอยู่ หมงเพิ่งเห็นว่า ห้องนอนเปิดไฟสลัวๆอยู่ ทั้งที่ควรจะปิดไฟมืด
หมงยิ้ม เดาออกว่าเป็นใครที่เข้ามารออยู่
ผ้าเช็ดหน้าบางเบาถูกปล่อยให้ระหน้าหมงแล้วร่วงหล่นลงพื้นไป, หมงหันไปมองเจ้าของผ้าเช็ดหน้า เหมยลี่ในชุดนอนยืนยิ้มอย่างอ่อนหวานไม่ปกปิดความรู้สึกใดๆ
"ฉันเกือบจะไม่รอแล้วนะ"
"ขอโทษที ฉันลืมไปเลย"
"ลืมเหรอ"
เหมยลี่แกล้งงอนทำปึงปังเดินออกไป แต่หมงคว้าตัวมากอดไว้เสียก่อน
"ก็ขอโทษแล้วไง ถ้าไม่หายโกรธที่ฉันลืมนัดของเรา ฉันยอมให้เธอลงโทษ..เอ้า"
"ฉันไม่ลงโทษเธอให้เหนื่อยหรอก แค่บอกฉันมาว่า เธอมีแผนอะไรต่อไป"
"ฉันยังบอกอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าแผนคราวนี้สำเร็จ เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า"
หมงกอดและซุกไซ้เหมยลี่แล้วพากันไปจบลงที่เตียงนอน
ปอเดินสำรวจตรวจตราประตูหน้าต่างของบ้าน เดินขึ้นมาที่ชั้นบน แล้วเดินไปทางหน้าห้องนอนของหมงแล้วเปลี่ยนใจเดินไปอีกทาง
หมงเปิดประตูออกเพื่อออกมาส่งเหมยลี่
เหมยลี่เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มหมงอย่างมีความสุข
"ฝันดีนะ"
หมงยิ้มกริ่ม
"คืนนี้ฝันดีอยู่แล้ว"
เหมยลี่หวังว่า หมงจะหอมแก้มกลับเพื่อบอกลา แต่หมงกลับดันตัวเหมยลี่ออกไป
"รีบกลับเข้าห้องไป เดี๋ยวนายใหญ่จะสงสัย"
"ฉันกับนายใหญ่แยกห้องนอนนานแล้ว"
หมงผลุบกลับเข้าไปในห้องนอนทันที
"หมง"
เหมยลี่ยืนฟึดฟัดอย่างขัดใจ แล้วหันกลับมาเพื่อเดินกลับห้องนอนตัวเอง แล้วต้องชะงักกึก, เมื่อเห็นปอยืนมองมาจากอีกฟากฝั่งจับตามองนิ่ง เหมยลี่กระชับเสื้อคลุมชุดนอน หันรีหันขวางแล้วรีบเดินออกไปทันที
ปอมองสงสัยแต่ไม่ทันเห็นว่าเหมยลี่เดินออกจากห้องนอนหมง
บ้านทรงกลดในตอนเช้า ตงนั่งกินข้าวต้มที่โต๊ะอาหาร ปอยืนรอรับใช้พร้อมคนรับใช้ 2 คน
เหมยลี่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร
"ขอโทษนะคะ นายใหญ่ วันนี้เหมยลี่ตื่นสายไปหน่อย"
หมงเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารไล่เลี่ยกับเหมยลี่ไม่กี่วินาที
"ขอโทษนะครับ ป๊า เออ..ผมทำงานเพลินจนลืมเวลา"
ปอลองหยั่งเชิง
"วันนี้มากินข้าวช้าทั้งสองคน..แปลก"
หมงกับเหมยลี่สบตากันอย่างไม่รู้ตัว
"แปลกตรงไหน แปะปอ ใครจะตรงเวลาเหมือนเข็มนาฬิกาอย่างแปะล่ะ" หมงบอก
"กินๆให้เสร็จ แล้วรีบไปทำงาน"
ตงเดินออกจากโต๊ะอาหารโดยไม่มองหน้าทั้งหมงกับเหมยลี่เพราะใจพะวงปัญหาของแก๊ง
ปอเดินตามตงออกไป แต่ไม่วายหันมามองหมงกับเหมยลี่อย่างจับผิด
"ข้าวต้มไม่ร้อน ไปอุ่นมาใหม่ ไปทั้งสองคนเลย ไป"
คนรับใช้ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างมึนงงเพราะเห็นว่าข้าวต้มก็ร้อนดี
"บอกให้ไปไงล่ะ"
คนรับใช้รีบยกชามกระเบื้องใส่ข้าวต้มออกไป คนรับใช้อีกคนรีบตามเพื่อนไป
"เดี๋ยวคนจะยิ่งสงสัย"
"ช่างมัน อาปอต้องเห็นเราแน่ๆ เราจะทำไงดี"
"เธอแน่ใจเหรอ"
"ก็ไม่แน่ใจ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้านายใหญ่รู้เรื่องของเรา เราอาจถึงตายได้ เธอมีแผนอะไร ก็ลงมือได้เลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว หมง ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าคิดจะทำอะไร ก็ทำซะ"
เหมยลี่ร้อนรนกลัวถูกตงฆ่าทิ้ง หมงตัดสินใจทันทีว่าต้องฆ่าทรงกลดทิ้งซะ
เช้าต่อเนื่องมา เง็กเก็บที่นอนอยู่ เว่ยยังอยู่ในชุดนอน เข้ามาหยิบผ้าขนหนูกับชุดเสื้อผ้าที่จะใส่
“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ”
“อาบเดี๋ยวนี้ล่ะ ม้า”
“บอกอาจูว่า อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”
“แจ้จูออกไปทำงานแต่เช้ามืดแล้ว สงสัยกลัวเค้าจะไม่จ้างต่อ”
เว่ยคว้าเสื้อกางเกงที่ต้องการได้แล้วจะเดินออกไป แต่ก็หันกลับมาอีกครั้ง
“ม้า.. ม้าเชื่อแจ้จูเถอะ คนอย่างแจ้จูไม่มีวันทำเรื่องให้เราเสียใจหรอก”
“เออ..รู้แล้ว ม้าเชื่อใจอีอยู่แล้ว”
เว่ยยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินออกไป, เง็กรอจนเว่ยเดินออกจนพ้นสายตา จึงเข้ารื้อค้นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแต่ไม่เจออะไรจนเกือบจะเลิกค้น แต่แล้วเง็กก็ยกกล่องใส่ของกระจุกจิกขึ้นแล้วพบซองเงินเดือนของอาจู
เง็กรีบเปิดซองออกดูแล้วเห็นเงินสามพันที่เป็นจำนวนมากโข
“ไปเอาเงินเยอะแยะแบบนี้มาจากไหน”
เง็กค้นต่อไปจนเจอนามบัตรของทรงกลดซุกอยู่ข้างในสุดของลิ้นชัก
“ บริษัทตงวานิช”
เง็กจำได้เลือนลางว่าเคยได้ยินชื่อบริษัทนี้
อาจูนั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะทำงานหน้าห้องทรงกลดด้วยท่าทางแน่วแน่มาก นาฬิกาจากเจ็ดโมงเช้ากลายเป็นสิบโมงเช้า
อาจูเริ่มขยุกขยิกอย่างเบื่อที่ต้องรอทรงกลดเป็นชั่วโมงๆ คอตกและเริ่มห่อเหี่ยวใจเรื่อยๆ
“รู้แล้วว่า ต้องทำไง”
อาจูยิ้มอย่างมั่นใจขึ้นเมื่อหาทางออกได้
ทรงกลดกับอันเดินคุยกันมาจากทางเข้าบริษัท
“ยามบอกว่า มาตั้งแต่ประตูบริษัทยังไม่เปิด” อันบอก
“ก็นึกไว้อยู่แล้ว”
“เรื่องนี้จัดการไม่ยากหรอกครับ ส่งไปทำงานแผนกอื่นก็หมดเรื่อง”
“ไม่ได้ มีแต่พนักงานผู้ชาย ให้ไปทำได้ไง”
“งั้นส่งไปช่วยงานร้านทองของคุณธาม หรือฝากงานที่บริษัทรังนกของคุณภรพก็ได้นะครับ”
“อาจูเค้ายืนยันว่าจะทำงานบริษัทเรา”
“พูดด้วยเหตุผล เค้าน่าจะเข้าใจ แต่นายน้อยไม่พยายามพูดเองมากกว่า”
“เฮ้ย! พูดเว้ย! ไม่ใช่ไม่พูด บอกแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ดื้อที่สุด”
ทรงกลดกับอันเดินมาจนถึงหน้าโต๊ะทำงานของอาจู เธอนั่งดีดลูกคิดเพื่อทำบัญชีรับจ่ายของบริษัทอยู่ ทรงกลดมองอาจูแล้วหันมาสบตาอัน
“เห็นหรือยังว่า ดื้อแค่ไหน”
อาจูเงยหน้าจากงานขึ้นมามองทรงกลด แล้วส่งยิ้มให้
“ทำอะไร”
“ฉันไปของานที่แผนกบัญชีมาทำค่ะ นี่กำลังทำบัญชีใช้จ่ายส่วนตัวของคุณอยู่ คุณนี่ใช้เงินเปลืองมากเลย รู้ตัวมั้ยคะ”
“หยิบกระเป๋า”
“ฉันจะไม่ไปไหน ฉันจะทำงานที่นี่ค่ะ”
“ฉันบอกว่าให้หยิบกระเป๋า”
“ฉันบอกว่า “ไม่” ไงคะ ฉันจะทำงาน”
“ถ้ายังอยากทำงานที่นี่ ก็หยิบกระเป๋าแล้วไปกับฉัน วันนี้ฉันมีประชุมข้างนอก”
อาจูยิ้มออก
“แล้วก็ไม่บอก”
ทรงกลดกับอันเดินออกไปโดยเร็ว
อาจูรีบปิดสมุดบัญชีแล้วคว้ากระเป๋า รีบพุ่งตามไปทันที
“นี่คุณเคยนั่งทำงานที่โต๊ะบ้างมั้ยคะ คุณที”
“ไม่เคย”
ทรงกลดกับอันเดินเร็วต่อไป อาจูรีบเดินเร็วเพื่อตามให้ทัน
ทรงกลดกับอันเดินเร็วๆมาถึงหน้าบริษัท
“ผมไปเอารถนะครับ”
อันเดินแยกออกไป อาจูค่อยเดินตามมาทัน หยุดเยื้องหลังแบบที่อันทำ เขาดึงเธอให้มายืนข้างๆเท่าเทียมกัน
“มายืนนี่ มา”
“ฉันไม่ควรตีเสมอคุณ”
“ฉันไม่ชอบยืนคนเดียว ฉันอยู่คนเดียวมาทั้งชีวิตแล้ว”
“คุณเป็นลูกชายหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ ต้องมีผู้คนห้อมล้อมเยอะแยะ ไม่มีเวลาที่จะอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ อย่างน้อยคุณก็มีคุณอันอยู่ด้วยตลอดเวลา”
“ไอ้การเป็นลูกชายหัวหน้าแก๊งไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉัน เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ”
อาจูยอมเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าทรงกลดไม่อยากคุยเรื่องตัวเอง แล้วนึกเรื่องที่จะพูดได้
อาจูกระซิบเหมือนกำลังทำผิดอยู่
“ปืนของฉันล่ะคะ”
ทรงกลดมองอาจูอย่างขำจนอยากหัวเราะ
เง็กถือถังน้ำเดินนำหน้าเว่ยที่คอนหาบขนมจุ้ยก๋วยมา
“ม้า! รอด้วย! จะรีบไปไหน”
เง็กชะงักหันมามอง
“เดินตามมาเร็วๆ”
“เรามาทำไมแถวนี้ คนไม่เห็นเยอะเลย ม้า”
"เออน่า..ตามมา" เง็กบอก
"เราไปแถวศาลเจ้าดีกว่า ลูกค้าประจำเราอยู่แถวโน้น เดินไม่ได้หยุดเลย วันนี้ จะขายได้ซักกี่บาทเนี่ย"
เว่ยบ่นไปคอนหาบขนมจนเดินล้ำหน้าเง็กจนกลายเป็นคนเดินนำ เว่ยเริ่มรู้ว่ามาเดินแถวจักรวรรดิที่เป็นแหล่งขายอะไหล่รถยนต์ที่ทำงานของอาจู
"ม้า..เรามาทำอะไรที่นี่"
เว่ยรีบวางหาบลงแล้วมองหาว่า มีวี่แววของพี่สาวไหม สายตาของเว่ยเห็นทรงกลดคุยกับอาจูอยู่หน้าบริษัทไกลๆ เว่ยหันขวับมายืนบังเง็กไว้ก่อนอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
อาจูยังตื๊อขอปืนจากทรงกลดอยู่หน้าบริษัทตงวานิช
อาจูกระซิบถาม
"ไหนล่ะคะ ปืนของฉัน"
ทรงกลดยิ้มขำ
"เธอกล้ายิงใครงั้นเหรอ"
"ฉันไม่กล้ายิงใครหรอกค่ะ แต่ฉันยิงขึ้นฟ้าขู่คนได้นี่ ขอปืนให้ฉันเถอะค่ะ ฉันรับรองได้ว่า ฉันจะไม่ยิงใครส่งเดช"
ทรงกลดล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ต
อาจูตกใจ
"อย่าเพิ่งสิคะ เดี๋ยวค่อยเอาไปให้ในรถ เดี๋ยวคนเห็นเข้า"
อาจูมองมือของทรงกลดอย่างใจระทึก นึกว่าทรงกลดจะให้ปืนจริงๆ แต่ทรงกลดกลับล้วงมีดพับเล็กจิ๋วออกมาแล้วส่งให้อาจู เธอผิดหวังอย่างแรง
"มีดเล่มแค่นี้จะช่วยอะไรได้"
"ขืนฉันให้ปืนเธอ มีหวังเธอได้ยิงหัวแม่เท้าตัวเองแน่ มีดนี่แหละเหมาะสำหรับเธอแล้ว อาจู"
"แล้วถ้าเราเจอคนตามไล่ยิงอีกล่ะคะ"
"ฉันจะปกป้องเธอเอง"
เว่ยพยายามเอาตัวบังเง็กเล่นเอาล่อเอาเถิดกันอยู่
"ม้า..ม้าดูสิ ผมสูงขึ้นกว่าปีก่อนตั้งเยอะเลยเนอะ"
เว่ยทำตัวยืดๆ บังเง็กไว้ จนเง็กต้องผลักเว่ยออกไป
"มาเล่นอะไรตอนนี้ อาเว่ย หลีกไป"
"ม้า! โอ๊ย ผมปวดท้อง"
เง็กหันกลับมามองเว่ย ได้จังหวะที่อันขับรถมาจอดหน้าบริษัทพอดี
ทรงกลดเปิดประตูให้อาจูเข้าไปนั่งในรถก่อน
เง็กพะวักพะวงกับเว่ยที่ทรุดตัวทำท่ากุมท้องอย่างปวดมาก
"ปวดท้องอะไร ปวดยังไง บอกมาซิ"
"ปวดแบบปวดๆน่ะ ม้า"
เง็กหันไปมองทางหน้าบริษัทอีกที จังหวะเดียวกับที่ทรงกลดเข้าไปในรถ เง็กไม่ทันเห็นอาจูและไม่ทันเห็นหน้าทรงกลด ได้แต่เห็นด้านหลังของทั้งสองที่นั่งอยู่ในรถที่แล่นออกไป
เว่ยชะง้อมองไปเมื่อเห็นว่ารถทรงกลดแล่นออกไปแล้ว ก็คลายใจค่อยยืดตัวอย่างปกติ
เง็กหันมาจ้องเขม็ง
"หายปวดท้องแล้วเหรอ"
เว่ยทำหน้าตาย
"หายแล้ว ม้า อยู่ๆก็ปวด อยู่ๆก็หาย แปลกดีเนอะ ม้า"
เง็กเดินช้าๆไปที่หน้าบริษัทแล้วเงยหน้าขึ้นอ่านชื่อป้ายบริษัท
" บริษัทตงวานิช ตงวานิช ตง...อึ้งตงกัว"
เง็กนิ่งขึงไปเมื่อจำได้ว่าบริษัทนี้เป็นของตง ผู้ที่ทำให้อาเหลียงพ่อของเว่ยฆ่าตัวตาย
เคี้ยงเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่กลางทางเดินของร้าน อิกเดินตามหลังมาหยุดเยื้องหลัง
ทรงกลดกับอาจูเดินเคียงข้างกันมา มีอันเดินตามเยื้องหลัง
ทรงกลดกับเคี้ยงหยุดยืนประจันหน้ากัน ทรงกลดดึงให้อาจูไปยืนอยู่ด้านหลังอย่างปกป้อง
เคี้ยงมองทรงกลดอย่างเยาะๆ
"ลื้อต้องการอะไร"
"เรามีเรื่องต้องคุยกัน"
"ถ้าอยากจะขอขมาตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว อั๊วไม่รับคำขอโทษจากลื้อ"
เคี้ยงเลื่อนสายตามาหยุดที่อาจู
"ลื้อกลัวอั๊วจนเอาผู้หญิงมาเป็นโล่เลยเรอะ นึกว่าเป็นสิงห์ จริงๆ แล้วเป็นแมวนี่หว่า ลูกน้องอั๊วไปสั่งสอนลื้อครั้งเดียว กลัวจนหัวหดเลยหรือ อาทรงกลด"
"ผมไม่เคยกลัว แก๊งกากเดนที่เห็นเงินเป็นใหญ่ ไม่มีศักดิ์ศรีอย่างแก๊งเต่ามังกร ทำไมต้องกลัว"
"ไอ้ทรงกลด"
เคี้ยงขยับไปหาทรงกลด อันกับอิกชักปืนออกมาจ่อหน้าแทบพร้อมๆกัน
อาจูรีบค้นหามีดของตัวเองมือไม้สั่นแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
"เก็บปืนไป อัน"
"ไอ้อิก เก็บปืน"
อันกับอิกต่างเก็บปืนอย่างเชื่อฟัง
"ถ้าเสี่ยไม่อยากให้ล้มละลายขายตัวล่ะก็ เสี่ยจะต้องทำตามที่ผม...ขอร้อง"
ทรงกลดจ้องหน้าเคี้ยงอย่างบังคับไม่ได้ดูว่าขอร้องเลย
ทรงกลดเสือกซองเอกสารบนโต๊ะอาหารไปที่ตรงหน้าเคี้ยง
"ขายโรงงานคืนมาให้ผม"
"เฮียตงรับปากอั๊วแล้วว่า ลื้อจะไม่มายุ่งกับเรื่องนี้"
"ผมคงไม่ยุ่งไม่ได้ ถ้าเสี่ยเอาโรงงานของเราไปเป็นโกดังเก็บสินค้าเถื่อน"
"โรงงานเป็นของอั๊วแล้ว อั๊วจะใช้ทำเป็นอะไรก็ได้ จะเผาทิ้งก็ยังได้ ลื้ออย่าแส่ ดีกว่าเฮ้ย! กลับ"
เคี้ยงลุกขึ้นอย่างไม่อยากเจรจาด้วยแล้ว
"เซ็นชื่อซะ เสี่ย"
"ลื้อจะทำอะไรอั๊วได้ ลื้อไม่ได้เป็นแม้แต่คนของแก๊งเขี้ยวสิงห์ ได้แต่อาศัยชื่อแก๊งหาเรื่องชาวบ้านไปวันๆ"
"เสี่ยจะไม่เซ็นก็ได้ แต่ผมขอทบทวนความจำของเสี่ยหน่อยนะครับ จำได้มั้ย แก๊งหนูไฟกลายเป็นแก๊งในอาณัติแก๊งป๊าผมได้ยังไง เพราะป๊าถล่มปิดบ่อนทุกบ่อน โรงฝิ่น โรงน้ำชาก็ไม่มีเหลือ"
อาจูกับอันยืนอยู่ด้านหลังทรงกลด อันยืนหน้านิ่ง แต่อาจูตาโตหูผึ่งอย่างตั้งใจฟังมาก
"ลื้อกล้าเรอะ"
เสียงดังฟ้าผ่าด้วยความโกรธทำให้อาจูสะดุ้ง
"ทำไมจะไม่กล้า แล้วไม่ต้องเอาชื่อป๊ามาขู่ด้วย เพราะอย่างที่เสี่ยบอกแหละ ผมไม่ใช่คนของแก๊งเขี้ยวสิงห์ ผมไม่ต้องฟังใคร ผมจะทำอะไรก็ได้ ตอนนี้เสี่ยมีบ่อนกี่แห่งแล้วนะ แล้วอะไหล่เถื่อนที่จะส่งให้ลูกค้าศุกร์นี้ เห็นว่าราคาเกือบครึ่งล้านเลยนี่"
ทรงกลดลุกขึ้นแล้วตบซองสัญญาซื้อขายบนโต๊ะเบาๆ
"เอาไปนอนคิดซักวันก็ได้ ผมไม่รีบ"
ทรงกลดเดินออกไป อาจูกับอันเดินตามออกไปติดๆ
อิกปราดเข้ามาห้ามเคี้ยงทันที
"นายไม่ต้องไปกลัวมัน มันก็แค่แกล้งขู่ไปอย่างนั้นแหละ"
เคี้ยงกำมือแน่นด้วยความโกรธและออกจะกลัวๆว่า ทรงกลดจะถล่มธุรกิจเถื่อนทลายลง
ทรงกลดกับอาจูเดินออกมาจากร้านฉั่วเทียนเหลา มีอันเดินตามหลังมา
"เสี่ยเคี้ยงจะยอมเซ็นชื่อมั้ยคะ คุณที"
"มันต้องยอมอยู่แล้ว"
"แล้วถ้าเค้าไม่ยอมล่ะคะ เค้าเป็นถึงหัวหน้าแก๊งนะคะ ถ้าเค้ายอมง่ายๆ ก็เสียหน้าแย่ แล้วคุณจะไปถล่มบ่อนถล่มโรงฝิ่นเค้าจริงๆเหรอ แล้วถ้าเค้าไปฟ้องพ่อคุณล่ะ"
"ถามมากอีกแล้ว"
"งั้นฉันขอถามอีกคำถามเดียว"
"อยากรู้อะไรอีก"
"คุณพาฉันมาด้วยทำไมคะ"
"ฉันอยากให้เธอรู้ว่า แก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่เคยทำการค้าผิดกฎหมาย แล้วฉันก็ไม่ใช่คนของแก๊งเขี้ยวสิงห์ เชื่อหรือยังล่ะ"
"คุณไม่ใช่คนของแก๊งเขี้ยวสิงห์ แล้วคุณจะห่วงชื่อเสียงของแก๊งทำไมคะ"
อันขำ
"นายน้อยครับ ผมชักชอบผู้ช่วยใหม่แล้วสิครับ"
"บริษัทตงวานิชเป็นของแก๊งพ่อคุณ ยังไงคุณก็หนีความเป็นแก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่พ้นหรอกค่ะ คุณที"
"ฉันแค่เป็นลูกจ้างของป๊าเท่านั้นแหละ เธอไปบอกครอบครัวได้เลยว่า บริษัทเราทำธุรกิจถูกกฎหมาย"
"ม้า!"
ทรงกลดกับอันหันไปตามสายตาของอาจู
เง็กยืนมองมาที่อาจู แล้วหันไปมองทรงกลดกับอันอย่างจำหน้าได้ว่าเป็นพวกแก๊งเจ้าพ่อ
อาจูแทบเป็นลม
"ม้ามาได้ไง"
เว่ยวิ่งหน้าตั้งตามเข้ามา
"ขอโทษจริงๆ แจ้ ผมห้ามม้าไว้ไม่ทัน"
"อาจู! ทำไมโกหกม้า ลื้อทำอย่างนี้ได้ไง ทำได้ไง"
ทรงกลดขยับจะเข้าไปอธิบาย แต่อันดึงตัวไว้ให้ดูสถานการณ์ไปก่อน
อาจูมองเง็กอย่างเกรงกลัวเป็นที่สุด เธอไม่เคยเห็นเง็กโกรธอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต
จบตอนที่ 2