เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 3
เถ้าแก่ไพศาล มงคล โชคทวี ภาษิต และคนงานจากเกาะรังนก ต่างกระจายกำลังกันออกตามหาภรพไปทั่วแนวป่า คนงานตัดหญ้า ต้นไม้รกขวางทางให้ไพศาล ทุกคนส่งเสียงตะโกนร้องเรียก “ภรพๆ” ดังก้องไปทั่วแนวป่า
คลื่นซัดเข้าโขดหินหน้าผาเต็มแรง ส่วนภายในโพรงถ้ำน้ำขึ้นเต็มที่จนท่วมมิดหัวภรพเหลือช่องให้พอฮุบอากาศหายใจได้เฉพาะตรงที่วันวิสา
ภรพปลงตก ปล่อยตัวเองให้จมลงน้ำไล่ฟองอากาศออกจากตัว วันวิสาตกใจ
“นาย...นาย”
มือวันวิสาใต้น้ำรั้งดึงมือภรพไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย วันวิสาตัดสินใจ ฮุบอากาศแล้วดำลงใต้น้ำทันที
ใต้น้ำยามนี้ วันวิสาดึงตัวภรพเข้ามา ประกบปากเขาถ่ายเทอากาศที่เธอได้มาไปยังเขาเพื่อต่อชีวิตให้เนิ่นนานที่สุด ภรพได้รับอากาศจากวันวิสา สายตาที่เผชิญกันระยะใกล้แค่คืบลึกซึ้งสุดจะบรรยาย ความรู้สึกที่ทั้งสองมีให้แก่กัน
เมื่อหมดลม วันวิสากลับขึ้นไปหายใจเพื่อตัวเองแล้วเวียนกลับลงมามอบอากาศซึ่งหมายถึงชีวิตให้เขา
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบแต่เธอเพียรทำสิ่งนี้ โดยไม่หมดความหวัง
ไพศาลมองชายป่ารอบตัวด้วยความหวังริบหรี่ ตะโกนเรียกลูกชาย
“ภรพ”
ทุกคนที่กระจายกำลังกันออกตามหา ทยอยกลับมา
มงคลรายงานว่า “ไม่มีวี่แววเลยครับนาย”
“หาให้ทั่วจนกว่าจะพบ ทุกซอกทุกมุม”
ภาษิตเอ่ยขึ้น “คุณภรพอาจจะออกไปจากที่นี่แล้วก็ได้ครับนาย”
โชคทวีเสริมว่า “เจ็กครับ ผมว่าเรากลับไปตั้งหลักกันก่อน อุปกรณ์สำหรับกลางคืนเราก็ไม่ได้เตรียมมาเลย ยังไงเราก็กลับมาที่นี่ได้อีกครับ”
“น้ำกำลังลงด้วย ถ้าเรือเราเกยตื้นจะลำบากครับนาย” ภาษิตเสริม
ไพศาลกังวลแต่ต้องตัดสินใจ
คนงานลุยนำทางกลับไปยังชายหาด ไพศาลที่เดินอยู่ หยุดเดินเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อั๊วสงสัยอยู่อย่างนึง แล้วไอ้เรือลำที่เราเห็นจอดอยู่นั่นมันเรือของใคร เราขึ้นฝั่งกันมาขนาดนี้ ทำไมเจ้าของเรือมันไม่แสดงตัว”
ทุกคงนิ่งงันเหมือนเห็นด้วย
“อั๊วว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
สิ้นคำของเถ้าแก่ คนทั้งกลุ่มก็ได้ยินเสียงปืนชุดใหญ่
กระสุนที่สาดเข้ามา ไม่ได้เป็นการยิงขู่ แต่เข้าเป้าคืนคนทั้งกลุ่มนี้คนงานคนหนึ่งถูกกระสุนเข้าที่ปลายแขน ล้มลง
มงคล ภาษิต เซฟไพศาลเอาไว้ได้ ทุกคนลงหมอบ กระชับอาวุธในมือ
โชคทวีสบถโดยไม่รู้ตัว “ไอ้บ้าเอ๊ย”
ภาษิตตะโกนออกไป “เฮ้ย พวกเรามาดี พวกลื้อเป็นใคร”
ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงปืนที่รัวสาดมาอีกชุด
พอน้ำในโพรงถ้ำเริ่มลดลงแล้ว ภรพทะลึ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ
“น้ำเริ่มลดแล้ว” วันวิสาดีใจ
ภรพหายใจอย่างเต็มปอด
“นาย....เมื่อกี้ฉันว่า ฉันได้ยินเสียงปืน”
“แน่ใจเหรอ”
เสียงปืนดังมาแว่วมาอีกชุด
“หรือว่ามีคนมาช่วยเรา”
ทุกคนอยู่ตรงชายป่า มีอาวุธประจำตัวแต่ก็ระมัดระวังกันเต็มที่
“มันยิงจากด้านเดียว อย่างมากก็แค่สี่ห้าคน” ภาษิตประเมินสถานการณ์
“โชค คุ้มกันนายไว้ให้ดี ฉันกับภาษิตจะอ้อมไปทางโน้น”
โชคทวีพยักหน้ารับคำ ภาษิต กับ มงคล อ้อมไปทางหนึ่ง คนงานเหลือไว้คุ้มกันไพศาล 2 คน
ทั้งคู่ทะลึ่งพรวดขึ้นมาผิวน้ำ แทบหมดลมหายใจ ตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่งโขดหิน
“ทำยังไงก็ได้ ให้คนที่มาช่วยเราเขาเห็นเรา” เขาบอก
วันวิสาคิดปราดเดียว “จุดไฟใช่ไหม เราต้องจุดไฟใช่ไหม”
พวกนักฆ่าทั้งห้า พากันล่าถอยลงเรือของมันที่จอดอยู่ มงคล กับ ภาษิต นำพวกคนงานไล่ยิงออกมาถึงแนวป่า
เรือพวกนักฆ่าแล่นหนีออกไปจากเกาะ ไพศาล กับ โชคทวี ตามออกมาสมทบ
“ปล่อยพวกมันไป เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร”
“แต่พวกมันเล่นงานเราก่อนนะครับนาย” มงคลท้วง
โชคทวีกลับบอกว่า “มันอาจเป็นแค่คนค้าของเถื่อนหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาก็ได้”
“เป็นไปได้ แต่เป้าหมายของเราคือหาภรพให้เจอก่อนมากกว่า” ไพศาลบอก
ภรพปวดแผลที่ถูกยิง เกินกว่าจะจุดไฟได้สำเร็จ อีกทั้งชายหาดบริเวณนั้นเป็นชายหาดปิด ออกไปสู่หาดใหญ่ของเกาะไม่ได้ วันวิสาได้แต่ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย พวกเราอยู่ทางนี้”
ไพศาลยังคาใจ เหลียวมองขึ้นไปบนเกาะ มงคลมอง รู้ใจ
“แล้วแต่นายจะสั่งเถอะ”
ใจหนึ่ง ไพศาลอยากจะพลิกทุกตารางนิ้วบนเกาะหาลูกให้เจอ
“แต่นี่ใกล้ค่ำแล้วนะครับเจ็ก กลับไปตั้งหลักกันก่อนดีกว่ายังไงพรุ่งนี้เช้าเรากลับกันมาอีกก็ได้” โชคทวีว่า
“ผมจะเอาคนงานมาเพิ่มอีกด้วยครับนาย” ภาษิตบอก
ขอบฟ้าด้านหนึ่งเมฆตั้งเค้าดำทะมึน ฟ้าแล่บแปลบปลาบ บอกให้รู้ว่าพายุกำลังก่อตัวใกล้เข้ามา
“กลับกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
เรือแล่นออกไปจากเกาะ ห่างออกไปเรื่อย ๆ
มองจากบริเวณโขดหินริมหน้าผา เห็นเรือแล่นออกห่างไปจากเกาะเรื่อยๆ วันวิสายังโบกมือสุดแขน ร้องตะโกนไม่หยุดหย่อน
“ช่วยด้วย ทางนี้ ทางนี้โว้ย”
วันวิสาหมดหวัง สิ้นเรี่ยวแรง เดินกลับมายังภรพที่ยังพยายามปั่นไม้แห้งให้เกิดประกายไฟด้วยแขนที่บาดเจ็บ
“ไม่มีประโยชน์แล้วนาย เขาไปกันแล้ว”
“อย่าสิ้นหวังกับอะไรง่ายๆ ยังงี้สิ”
“ฉันตะโกนจนคอจะแตก โบกมือจนแขนจะหลุดอยู่แล้ว พวกเขาเห็นเราที่ไหนล่ะ”
“ก็ให้มันรู้ไปว่าความพยายามของเรามันเอาชนะโชคชะตาไมได้”
ภรพต่อสู้กับความเจ็บปวด ปั่นไม้จนสิ้นแรง เหมือนยอมแพ้กับทุกอย่าง เขาหงายผึ่งลงนอนหลับตาอยู่กับพื้นเนิ่นนาน ภรพค่อยๆ ปรับอารมณ์ยอมรับในชะตาตัวเอง แต่แล้วหูของเขาเหมือนได้ยินเสียงปั่นไม้ ภรพค่อยๆ ลุกขึ้นมาดู
พบว่าวันวิสากัดฟัน รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีก้มหน้าก้มตาปั่นไม้
“นายพูดถูก ก็ให้มันรู้ไปว่าความพยายามของเรา มันเอาชนะโชคชะตาไม่ได้”
ภรพทึ่งจิตใจที่แข็งแกร่งของเธอ
วันวิสาปั่นไม้ กัดฟัน น้ำตาไหลริน แต่เธอจะหยุดไม่ได้ เธอปั่นๆๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรี๊ดลั่น
“อ๊าย...ติดแล้ว...นาย ไฟติดแล้ว”
ภรพหันไปรูดใบหญ้าแห้งแถวนั้นขึ้นมา สุมใส่ไม้แห้งที่ควันโชยออกมา แล้วช่วยกันเป่าเชื้อไฟในมือวันวิสาจนไฟลุกขึ้นในมือเธอ
ในเรือที่แล่นห่างเกาะออกมา สีหน้าเถ้าแก่ไพศาลซึมเศร้าความหวังในใจริบหรี่ โชคทวีขยับเข้ามา ยื่นน้ำดื่มให้
“เจ็กครับ”
“ขอบใจ” ไพศาลดื่มน้ำ
“ถ้าอั๊วหาอาภรพไม่เจอ อั๊วจะกลับไปบอกอาม๊าของอียังไง”
“เจ็กครับ ถึงไม่มีภรพผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่สติปัญญากำลังความสามารถของผมจะมี ตอบแทนบุญคุณของเจ็ก ที่เมตตาไว้ใจผมมาตั้งแต่เล็กครับ”
“ขอบใจ โชค ขอบใจมาก” เถ้าแก่ยิ้มบางๆ
“นายครับนาย”
ไพศาล และ โชคทวีหันไปมอง มงคลลดกล้องส่องทางไกลลง
“ควันไฟครับนาย มีคนจุดไฟบนเกาะ”
ทุกคนรีบมาที่กราบเรือ ภาษิตยกกล้องส่องทางไกลอีกตัวขึ้นดู มงคลส่งกล้องให้ไพศาล
เถ้าแก่ใช้สายตามองผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นควันไฟสีขาวลอยขึ้นจากหาด
ถัดมาไม่นาน ภาษิตและมงคลหิ้วปีกประคองภรพเข้ามา ไพศาลเพิ่งลงจากเรือขึ้นชายหาดได้
“อาภรพ” เถ้าแก่ยิ้มตื้นตันเหลือคณา
“ป๊า” ภรพเองก็ไม่ต่างกัน
พ่อ ลูก สวมกอดกันแน่น ไม่มีคำพูดอะไรลอดออกจากปากให้ฟุ่มเฟื่อย
ภรพหมดแรงหมดสติสัมปชัญญะในอ้อมกอดเถ้าแก่ไพศาล
“อาภรพ....อาภรพ”
ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ คืนนั้น สุพรรษายังคงนั่งหลับตาคุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพ สวดมนต์เบื้องหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เลิก สักครู่หนึ่ง พราวตากะภรีมร้องเรียกพร้อมกัน ด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น
“มาม๊า....มาม๊า”
สุพรรษาลืมตาขึ้น หัวใจปั่นป่วนหวาดกลัวว่าจะเป็นข่าวร้าย
พราวตา ภรีม และ อาเจิ้ง กรูกันเข้ามาในห้อง
“มาม๊า” พราวตายิ้มชื่น
“ข่าวดีหรือข่าวร้าย”
“ป๊าโทรศัพท์มา บอกว่าเจอตัวเฮียภรพแล้ว” น้ำเสียงภรีมลิงโลดดีใจ
สุพรรษาน้ำตาร่วงด้วยความดีใจเหลือเกิน
“อีปลอดภัยใช่ไหม”
“บาดเจ็บนิดหน่อยแต่ปลอดภัยม๊า” พราวตายิ้ม รายงาน
“อาซ๊อสบายใจได้แล้วนะ” อาเจิ้งยิ้มชื่น
สุพรรษาน้ำตาไหลไม่เลิก หันกลับไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้ง
“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมตตารับคำอ้อนวอนของลูก ลูกขอถวายบุญกินเจไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดชีวิตของลูก”
“หนูขอถวายด้วยคน มาม๊า” พราวตาบอก
ภรีมเสริม “หนูด้วย แต่หนูแค่สิบวันนะ”
สุพรรษหัวเราะทั้งน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความสุข และความโล่งใจ คุณนายโอบกอดลูกสาวทั้งสองคนไว้
หลายวันผ่านไป
ภาพเขียนรูปเสือพร้อมคำอวยพร เขียนด้วยพู่กันจีนที่ ห้อยประดับตกแต่งเด่นอยู่บนผนังห้องในบ้านพักอีกหลังของตระกูล
บนโต๊ะข้างเตียง แลเห็นอุปกรณ์ล้างแผล ทำแผล และยาต่างๆ โดยมีภรพนอนนิ่งอยู่บนเตียง แผลถูกทำการรักษาเรียบร้อย ภรพค่อยๆ ฟื้นลืมตาขึ้น
“คุณภรพ คุณภรพ” มงคลเรียกสติ
สีหน้าภรพดูอิดโรย แววตาเลื่อนลอย ค่อยๆ มีสติกลับมา
มงคลตะโกนเรียก “นายครับ คุณภรพฟื้นแล้ว”
สายตาที่เบลอๆ ของภรพ ค่อยๆ ปรับโฟกัส จนเห็นมงคลที่ยืนอยู่ข้างเตียง และไพศาลกับโชคทวีที่รีบเข้ามา
“ป๊า”
ไพศาลเยื้อนยิ้ม “ลื้อยังเจ็บอยู่ไหม”
“นิดหน่อยป๊า ผมเสียใจที่ทำให้ป๊าเป็นห่วง”
“ม๊าลื้อเป็นทุกข์กว่าป๊าร้อยเท่าได้มัง เอาเถอะ ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้วคิดซะว่าฟาดเคราะห์”
“คุณภรพหิวไหมครับ ไม่ได้กินอะไรเลยมาสองคืนสามวันแล้ว”
ภรพงงอยู่ “ยังไงวะมงคล”
“ก็คุณภรพหมดสติไปตั้งแต่เจอกันบนเกาะสามวันเช้าวันนี้แล้วนะครับ”
ภรพพยายามเรียบเรียงความทรงจำ โชคทวีถามขึ้นว่า
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ทำไมถึงไปอยู่บนเกาะนั่นได้”
“เธอล่ะ เธออยู่ไหน เธอปลอดภัยดีเหมือนกันใช่ไหม”
“ลื้อหมายถึงผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ” เถ้าแก่ถาม
“ครับป๊า”
“อีไปแล้ว”
“ไปไหน”
“อีพักอยู่ที่นี่สองคืน พอเห็นว่าลื้อปลอดภัยดีแล้ว อีก็ขอกลับบ้านอี”
ภรพลุกพรวดขึ้น ภาษิตกลับเข้ามาพอดี
“บ้านที่ไหน”
“คุณภรพฟื้นแล้วเหรอครับ” ภาษิตถาม
“ถามอะไรเธอก็ไม่ค่อยตอบครับ ภาษิตอาจจะรู้อะไรมากกว่าผม เพราะเพิ่งไปส่งเธอมาครับ” มงคลบอก
“ที่ไหน ส่งที่ไหน”
ระฆังถูกตีส่งสัญญาณรถไฟจะเคลื่อนออกจากสถานีรถไฟตรัง ภรพวิ่งเข้ามาที่ชานชาลา กวาดตามองหา ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่าน ผู้โดยสารยังทยอยขึ้นรถ มองจนทั่วก็ไม่เห็น ภรพวิ่งไล่มองหาไปบนโบกี้ แต่ก็ไม่มีวี่แวววันวิสา
เสียงหวูดรถไฟดังสะท้านในอก และรถไฟเริ่มขยับเคลื่อนตัวออก นายสถานีโบกธงเขียวในมือ ภรพไม่ท้อถอย ยังวิ่งมองหาจนแทบหมดหวัง
ภรพตัดสินใจตะโกนสุดเสียง “เจ๊...จิ๋ม...”
ในขบวนรถไฟซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออก วันวิสาโผล่หน้าพรวดออกมาทางด้านหน้าต่างมองหา ภรพเห็นวันวิสาก่อน
วันวิสาหันมาเห็นภรพ สองคนยิ้มกว้างดีใจ
ภรพออกวิ่งตามขบวนรถไฟ
“นาย” วันวิสาเอื้อมมือออกไป
ภรพวิ่งมาจนทัน เอื้อมมือไปจับวันวิสาไว้ กระชับแน่น
“ทำไมคุณต้องไปตอนนี้”
“ฉันก็มีภาระหน้าที่ต้องทำเหมือนกัน ฉันดีใจนะที่นายแข็งแรงดีแล้ว”
“อย่าเพิ่งไปได้ไหม คุณยังไม่ได้เลี้ยงข้าวผัดปูผมเลย”
“โชคดีนะนาย เราคงได้เจอกันอีก”
“เมื่อไหร่...เมื่อไหร่” ภรพระล่ำระลัก
“แล้วแต่ฟ้าดินละมัง ขอบใจนายมากนะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบใจมาก ฉันจะไม่ลืมนายเลย”
รถไฟแล่นเร็วขึ้นจนมือของทั้งคู่ค่อยๆ เคลื่อนออกและหลุดจากกันในที่สุด
“ดูแลตัวเองด้วย ผมจะคิดถึงคุณเสมอ จนกว่าเราจะได้พบกันอีก”
ภรพวิ่งจนสุดชานชาลาและต้องปล่อยให้รถไฟนำเธอจากไป วันวิสายังโผล่หน้าออกมาโบกมือให้เขาด้วยมือข้างที่สวมสร้อยเปลือกหอยนั้น
ภรพมองเธอจากไปจนลับสายตา
ภรพกลับถึงบ้านพักในตัวเมืองตรังแล้ว กำลังหารืออยู่กับไพศาล มงคล โชคทวี ไพศาลหันมาทางลูกชาย
“บ้านช่องอีอยู่ไหน ทำไมถึงกล้าเดินทางคนเดียว”
“ผมรู้เรื่องของเธอน้อยมากครับป๊า”
โชคทวีตั้งข้อสังเกต “จะเป็นพวกนางนกต่อ หรือพวกถูกส่งมาเพื่อชี้เป้าสังหารรึเปล่า”
ภรพแย้งทันที “เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันอดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าเธอน่ะแหละเป็นเหยื่อที่พวกมันไล่ล่า”
“ถ้าเป็นยังงั้น ก็เป็นคราวเคราะห์ของลื้อแท้ๆ”
“ป๊า เธอช่วยผมไว้หลายครั้ง ไม่งั้นผมก็คงไม่ได้กลับมาอยู่ต่อหน้าป๊าอย่างนี้หรอก”
“ถ้ามีโอกาส ป๊าจะขอบใจอี”
“ผมคงไม่ได้เจอเธออีกแล้ว”
ไพศาลบอก “ถ้างั้นก็แล้วแต่ฟ้าดิน”
“กรุงเทพฯ ไม่ได้กว้าง ซะจนจะควานหาใครไม่เจอหรอกครับ คุณภรพ” มงคลพูดปลอบ
สีหน้าภรพพอจะมีความหวังขึ้นบ้าง
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านจิตวรบรรจง เถ้าแก่บันลือนั่งอยู่ในห้องโถง พร้อมด้วย วริน ผู้เป็นภรรยา และ บดิน
“ใครต่อใคร เขาเป็นห่วงลื้อกันขนาดไหน ลื้อรู้บ้างไหม”
ถูกบิดาตำหนิ วันวิสาได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง เหมือนเป็นจำเลยในศาล
“หนูเสียใจป๊า”
“ลื้อมันอวดดี ถึงต้องเสียเงิน เสียทองขนาดนี้”
“อีปลอดภัย กลับมาก็ดีแล้วป๊าอย่าตำหนิอีนักเลย” บดิน ผู้เป็นพี่ชายว่า
“ถ้าป๊าห่วงเงินของป๊า หนูสัญญาก็ได้ ว่าหนูจะหามาคืนป๊าให้ครบ ทุกบาททุกสตางค์”
“อาวัน ทำไมพูดอย่างนั้น” วริน ไม่พอใจนัก
“ลื้อเองยังแทบเอาตัวไม่รอด ลื้อจะเอาปัญญาที่ไหนหาเงินมาใช้คืน” บันลือมองดูแคลน
“หนูจะหามาจนได้ก็แล้วกัน”
“ถ้าอั๊วรู้ว่าส่งลื้อไปเรียน ถึงเมืองนอกเมืองนา แล้วลื้อยิ่งดื้อด้านยังงี้ อั๊วไม่มีวันยอมส่งลื้อไปเด็ดขาด ลูกสาวลื้อ...จัดการด้วย อาวริน”
วรินอึดอัดใจ บันลือเดินหัวเสียออกไป
“พวกมันมีกันกี่คน” บดินถามขึ้น
วันวิสาส่ายหน้า เหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก
“ลื้อยังโชคดีที่มันไม่ทำร้ายลื้อ” บดินเดินออกไปอีกคน
วันวิสาไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพียงบอกที่บ้านว่า เธอถูกคนร้ายปล้นเงินระหว่างเดินทางไปจ่ายค่าแรงคนงานบนเกาะเท่านั้น
วันวิสากลับขึ้นห้องนอน สักครู่วรินตามเข้ามาคุยด้วย
“เป็นลูกผู้หญิง ต้องรู้อะไรควรทำไม่ควรทำไม่ ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำ”
“หนูแค่อยากให้ป๊าเห็นว่า หนูก็ช่วยแบ่งเบาภาระของป๊ากับเฮียได้”
วรินถอนใจ “ได้ไม่คุ้มเสีย ต่อไปนี้ป๊าเขาคงไม่ไว้ใจให้ทำอะไรอีกแล้ว”
“ม๊าผิดหวังที่หนูเกิดมาเป็นลูกผู้หญิงใช่ไหม” เธอตัดพ้อ
“อีกหน่อยลื้อก็จะรู้เองว่าหัวอกคนเป็นแม่ รู้สึกยังไง”
วันวิสานิ่ง มือคลำสร้อยเปลือกหอยในข้อมือไปมา โดยไม่รู้ตัว
“เอาสร้อยอะไรมาใส่”
วันวิสาก้มลงมองสร้อยเปลือกหอย
“สร้อยดีๆ มีไม่ใส่”
วันวิสาเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น วรินเดินหงุดหงิดออกไป
วันวิสานั่งนิ่งจมอยู่ในความคิด แน่ละ เธอกำลังถวิลถึงเขา เจ้าของสร้อยเปลือกหอยคนนั้น
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่เกาะรังนกใหญ่ เห็นคนงานโรยตัวลงมาจากปากเพดานถ้ำ เพื่อเก็บรังนกที่ติดอยู่ตามผนังถ้ำ แลดูเสี่ยงตายชวนหวาดเสียว แต่ทุกคนล้วนเชี่ยวชาญกับงานในหน้าที่ รังนกที่เก็บมาได้ถูกนำมาเทลงรวมกันในเข่ง ภรพซึ่งมาดูงาน หยิบรังนกขึ้นมาเช็คดูคุณภาพ
ถัดมาไม่นาน ทุกคนอยู่ในสำนักงานบนเกาะ ภาษิตเยื้อนยิ้มเอ่ยรายงานขึ้นว่า
“รังนกรุ่นนี้ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เราได้สีแดงครับนาย”
“แล้วเกาะอื่นได้อย่างนี้ไหม” ไพศาลสอบถาม
“ไม่ครับนาย ได้แต่สีขาวธรรมดา”
“โชคเข้าข้างเรา”
“งั้นปีนี้ เราก็ตั้งราคาเริ่มต้นประมูลได้อย่างที่เราต้องการอีกแล้วสิครับเจ็ก ไม่มีคู่แข่งก็ดีอย่างนี้”
คำพูดของโชคทวีถูกใจทุกคน ไพศาลยิ้มพอใจ ภรพมองออกไปที่ทะเลข้างนอก
“พวกหัวขโมยยังลักลอบเข้ามาอีกบ้างไหม ภาษิต”
“ไม่แล้วครับ ตั้งแต่เราใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ไม่มีหน้าไหนกล้าเฉียดเข้ามาใกล้เกาะของเราอีกเลย”
มงคลทักท้วง “เข้มงวดเกินไป ชาวบ้านหาปลาแถวนี้ เขาจะไม่รู้สึกว่าเราใช้อภิสิทธิ์เกินไปเหรอครับ”
โชคทวีแย้ง “อภิสิทธิ์อะไร ก็เราจ่ายเงินแลกค่าสัมปทาน ตั้งเท่าไหร่ เราก็ต้องคุ้มครองสิทธิ์ของเราสิ ใช่ไหมครับเจ็ก”
ไพศาลพยักหน้า “ใช่ ผ่อนปรนเกินไป คนอื่นมันก็เอาเปรียบเราได้ ประมูลสัมปทานครั้งหน้านี้อั๊วว่าดุเดือดเลือดพล่านแน่”
ภรพเหมือนไม่ได้ใส่ใจวงสนทนานนัก สายตาและความคิดเหมือนไปอยู่ไกลที่เส้นขอบฟ้า
เถ้าแก่ไพศาล และภรพ กลับถึงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริที่กรุงเทพฯ วันนี้ สุพรรษากุมมือลูกชายไว้ไม่ยอมปล่อย
“ถ้าลื้อเป็นอะไรไป ม๊าจะอยู่ยังไง”
“ก็อยู่กับเจ้กับหมวยเล็กไงม๊า”
สุพรรษาน้ำตาไหล “ไม่ดีเลย ลื้ออย่าพูดยังงี้อีกนะ”
“ไม่พูดแล้วครับม๊า ไม่พูดแล้ว ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้ม๊าต้องเป็นห่วงอีกครับ”
พราวตาเอ่ยขึ้น “แล้วพอจะรู้รึยังว่าพวกนั้นมันเป็นใคร”
ภรพส่ายหน้า “ผมว่ามันก็โจรธรรมดาน่ะเจ้”
ภรีมแทรกขึ้น “ใครจะไปรู้เฮีย พวกอิจฉาตาร้อนมันเยอะนะ รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“ยังไง ก็ต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ” พราวตาเสริม
“ลื้อเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนะ อย่าลืม จะทำอะไรต้องรอบคอบ”
“ครับม๊า”
“หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว อาซ๊อน่าจะพาอาภรพไปไหว้พระ ทำบุญเสริมศิริมงคลบ้างนา”
สุพรรษานิ่งคิดบางประการ
อีกมุมในบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวีนั่งคอยอย่างตั้งใจ ภรีมผ่านมาพอดี
“หมวยเล็ก”
“อ้าว พี่โชค นึกว่ากลับบ้านแล้วซะอีก”
“พี่คอย หมวยเล็กน่ะแหละ”
“คอยอั๊ว คอยทำไม”
“พี่มีของมาฝาก หมวย เล็ก”
“อะไร”
โชคทวีหยิบกล่องเครื่องประดับออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“พี่ว่ามันสวย น่ารักดีเหมาะกับหมวยเล็ก พี่เลยซื้อมาฝาก”
โชคทวีค่อยๆ เปิดกล่องอย่างคาดหวังเต็มที่ว่าภรีมจะต้องปลื้มจนกรี๊ดกร๊าด สิ่งที่อยู่ในกล่องคือสร้อยไข่มุกเม็ดเล็กๆ
“ชอบไหม”
ภรีมมองหน้านิ่ง “แก่เชียว”
โชคทวีอึ้งจังงัง “ไม่แก่หรอก ไม่เชื่อลองสวมดูก่อนก็ได้มา พี่สวมให้”
โชคทวีจะทำซึ้งสวมสร้อยให้
ภรีมไม่ยอม “ไม่เอาๆ ไม่ต้อง ซื้อมาให้เปลืองเงินทำไมก็ไม่รู้”
โชคทวีเก้อ เสียฟอร์ม “ก็พี่นึกถึง หมวยเล็ก”
“เอาไปให้คนอื่นเหอะ”
โชคทวีตัดพ้อ “หมวยเล็กพูดยังงี้นี่พี่เสียใจนะ”
ภรีมออกอาการเซ็ง
“ของจริงนะไม่ใช่ของปลอม หมวยเล็กเอาไว้ใส่เวลาแต่งตัวสวยๆ ไง รับไว้เถอะ” โชคทวีคะนั้นคะยอ
“นึกออกแล้ว หมวยเล็กเอาไปให้เจ้ดีกว่า ยังไงก็ขอบใจนะพี่โชค”
ภรีมออกไปทันที โชคทวีมองตามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนชอบกล
พราวตาอยู่ในครัว กำลังคนต้มจับฉ่ายที่เปื่อยได้ที่แล้วในหม้อ ภรีมเข้ามาในครัว วางกล่องสร้อยไว้มุมหนึ่งอย่างไม่ได้ใส่ใจ
“เหลืออะไรยังไม่ได้ทำอีก เจ้”
“ทอดถั่วลิสงกับผัดเต้าหู้ใบคื่นช่าย”
“งั้นหมวยเล็กหั่นใบคื่นช่ายไว้รอนะ”
ระหว่างนี้มงคลอุ้มถุงผ้าใส่ข้าวสาร เข้ามาส่งให้ถึงครัว
“ข้าวสารเอาไว้ตรงไหนครับคุณพราว”
“เอาถ่ายใส่ถังไม้นั่นเลยมงคล”
มงคลถ่ายข้าวสารใส่ถังไม้ พับเก็บถุงผ้าอย่างเรียบร้อย
“ขอบใจนะ เดี๋ยวอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันสิมงคล”
มงคลเขิน ทำตัวไม่ถูกที่ได้รับไมตรีจากลูกสาวนาย “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ”
ภรีมมองเหล่ “แหมเจ้ เลิกงานแล้ว คนเขาก็อยากกลับบ้าน ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกเมียเขาสิ”
มงคลแทบสะดุ้ง ร้อนตัว
“นั่นสินะ เมียมงคลคงทำกับข้าวเก่งน่าดู ชวนกินข้าวด้วยกันทีไร ปฏิเสธทุกที” พราวตา
“แหมเจ้ เขาก็ต้องเกรงใจเมียเขา”
มงคลอายใหญ่ ไปแทบไม่ถูกที่สองสาวรุมยัดเยียดเมียให้ อ้อมแอ้มบอก “คุณภรีม ครับ คุณพราวครับ ผม...ผมยังไม่มีเมียครับ”
ภรีมหัวเราะกิ๊กออกมา “ดูสิ แกล้งแค่นี้ก็หน้าแดงซะแล้ว”
พราวตาพลอยหัวเราะไปด้วย “แล้วกินอยู่ยังไงมงคล ซื้อเขาเอาหรือผูกปิ่นโต”
“ไม่ได้ผูกปิ่นโตหรอกครับ บางวันก็ซื้อเขากิน แต่ถ้าพอมีเวลาก็ทำกินเองครับ ประหยัดดี”
“ขยันเก็บเงินเก็บทองยังงี้ ต้องเตรียมเอาไว้ไปขอสาวที่ไหนแต่งงานแหงๆ เลย” ภรีมเย้า
มงคลเขินอายจนเหงื่อตก
“ดูสิเจ้ หน้าแดง หูแดงไปหมดแล้ว” หมวยเล็กหัวเราะ
พราวตามองมงคลอย่างเอ็นดู ปนเมตตา
“ผม...ผม...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
มงคลรีบฉวยโอกาสออกไปทันที ภรีม และพราวตา พากันหัวเราะท่าทางของมงคล
ขณะที่มงคลกำลังนั่งสวมรองเท้าอยู่หน้าตึก เตรียมกลับบ้าน หม้ออวยสังกะสีเคลือบ ถูกยื่นเข้ามาตรงหน้า มงคลเงยหน้าขึ้นมอง เจอกับพราวตา
“ต้มจับฉ่าย เอาไปกินที่บ้านนะมงคล”
มงคลตะลึง ไม่คาดฝัน
“รับไปสิ”
มงคลเกรงใจอยู่นั่นแล้ว “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณพราวตา”
“ไม่เป็นไรนี่แปลว่ารังเกียจรึเปล่า”
“เปล่าครับ...เปล่า ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมเกรงใจต่างหากครับ”
“งั้นก็รับไป จะได้ช่วยประหยัดค่ากับข้าว”
พราวตาคะยั้นคะยอยื่นหม้อแกงให้ มงคลยกมือไหว้ จนพราวตารับไหว้แทบไม่ทัน
“แล้วทีหลังอย่าพูดคำว่าเกรงใจอีกนะ”
พราวตากลับเข้าข้างใน มงคลหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ประคองหม้อแกงอย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นของบอบบางจน กลัวมันบุบสลาย ออกไปอย่างระวัง
สุพรรษาไม่สบายใจเรื่องลูกชาย พาตัวเองและภรพมาอยู่ในห้องซินแสง้วง ที่ศาลเจ้า ตอนเช้าวันนี้
ซินแสง้วงตรวจดูดวงชะตา แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาภรพ
“ช่วงนี้ลื้อมีเคราะห์ ศัตรูที่ไม่เห็นตัวจ้องปองร้ายลื้ออยู่” ซินแสบอก
“หนักเบายังไงบ้างซินแส”
“หนัก...หนักหนา” ซินแสว่า
“แล้วมีทางผ่อนหนักให้เป็นเบาลงบ้างไหมซินแส บอกอั๊วมาเถอะ อั๊วยินดีทำทุกอย่าง”
ซินแสง้วงบอกไม่ต้องคิดว่า “ไม่มีทาง”
ใบหน้าสุพรรษาซีดเผือด
“กรรมของใครก็ของคนนั้น กรรมย่อมมีเหตุที่มาของกรรม ไม่มีอะไรแก้กรรม ที่ทำเอาไว้ได้”
“ม๊า พวกเราทำมาหากินสุจริต ไม่เคยคิดเอาเปรียบคดโกงใคร ม๊าอย่ากลัวไปเลย” ภรพปลอบ
ซินแสง้วงบอกอีกว่า “ลื้อคิดถูกแล้ว อาภรพ แต่เป็นคนดีนอกจากคิดดี ทำดีแล้ว ลื้อต้องอดทน ต่อความตั้งใจ ทำดีของลื้อด้วย ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โชคลาภเป็นเรื่องเหลวไหล ยึดมั่นในความดี นั่นแหละจะเป็นเกราะคุ้มครองลื้อให้รอดปลอดภัย ศัตรูหน้าไหนก็ทำอันตรายลื้อไม่ได้”
สีหน้าสุพรรษาเต็มไปด้วยความกังวล ส่วนภรพดูไม่ทุกข์ร้อนนัก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนแท่นบูชาในศาลเจ้าคล้ายมองลงมาเบื้องล่างอย่างเมตตา
ภรพถือธูปในมือ กำลังไหว้พระตามคำแนะนำของซินแสง้วง โดยสิ่งเดียวที่เขาอธิษฐานคือขอให้ได้เจอผู้หญิงที่ชื่อ เจ๊จิ๋ม ส่วนสุพรรษาไหว้พระขอพรยืดยาว
ภรพไหว้พระเสร็จ ขยับลุกขึ้น นาฬิกาพกที่ผูกอยู่กับเอว หลุดร่วงลงซุกข้างเบาะไหว้พระโดยไม่รู้ตัว
ภรพนำเอาธูปมาปักลงกระถาง แล้วเดินมาพยุงสุพรรษาให้ลุกขึ้น สุพรรษาปักธูป แล้วทั้งคู่ขยับออก มีตะกร้าฮวยน้าใส่ของมาถวายพระด้วย
ภรพและสุพรรษา เดินออกพ้นประตูศาลเจ้า ในจังวะเดียวกันวันวิสาเดินสวนเข้ามากับวริน ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้เห็นกัน เพราะโลเคชั่น และต่างฝ่ายต่างหันไปประคองแม่ จึงหันหลังให้กันอย่างน่าเสียดาย
สองแม่ลูก นั่งอยู่ตรงหน้าซินแสง้วงในห้อง
“คนนี้น่ะเรอะ ลูกสาวลื้อที่ส่งไปเรียนปีนังตั้งแต่เล็กๆ”
“คนนี้แหละซินแส”
“ตอนอีไปตัวเล็กนิดเดียว กลับมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“แต่ความคิดก็ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโตน่ะแหละซินแส”
วันวิสาหน้าม่อยที่ถูกตำหนิ
ซินแสง้วงมองปราดเดียว “แต่โหงวเฮ้งอีดี วันข่างหน้า เลี้ยงดูเป็นที่พึ่งพ่อแม่ได้”
“ที่มาหาซินแสวันนี้ ก็เพราะอยากจะมาปรึกษาเรื่องนี้แหละ” วรินบอกกับวันวิสาว่า “ไปคอยม๊าข้างนอกก่อน”
วันวิสาลุกออกไป “อั๊วกลุ้มใจ....ซินแส
“อะไรที่ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น หวังมากลื้อก็ทุกข์มากเป็นธรรมดา”
ด้านภรพเดินมาในตรอกกับสุพรรษา ภรพจะล้วงหยิบนาฬิกาพกขึ้นดูเวลา แต่แล้วต้องชะงักเมื่อไม่มี และควานหา
“ลื้อหาอะไร
“นาฬิกา ม๊า สงสัยผมจะทำหล่นในศาลเจ้า”
“อ้าว รีบกลับไปหาดู เดี๋ยวใครจะเก็บไปซะ”
“ม๊าคอยผมตรงนี้นะ”
“ม๊าจะไปซื้อของรอที่ร้านอาเส่งละกัน”
“ครับ”
ภรพย้อนกลับไปศาลเจ้า
เวลานั้นวันวิสาไหว้พระเสร็จ พยุงตัวเองจะลุกขึ้นจากเบาะ และพบว่ามีนาฬิกาพกตกอยู่ข้างเบาะ วันวิสาหยิบขึ้นมาดู จังหวะเดียวกันภรพวิ่งพรวดเข้ามาพอดี
“ขอโทษครับ นาฬิกาของผมเอง”
วันวิสาหันมามองแล้วตะลึงจังงัง ภรพตาค้างมองตะลึงตะไลอย่างไม่คาดฝัน
“คุณ” / “นาย” สองคนอุทานพร้อมกัน
“นี่ผมฝันไปรึเปล่า”
“ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอนายที่นี่”
“ผมเพิ่งขอพรพระไป ขอให้ได้พบคุณอีก..ไม่คิดเลยว่า...”
วันวิสาห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บสวนออกมาว่า “นายแข็งแรงดีแล้วใช่ไหม แผลนายเป็นยังไงบ้าง”
“ช่างมันเถอะ คุณเองน่ะแหละทำไมรีบหนีผมมา ผมยังไม่ได้ขอบคุณซักคำ”
“ฉันไม่ได้หนีซะหน่อย ก็ฉันเห็นว่าคุณปลอดภัยดีแล้ว”
“ผมดีใจที่สุดที่ได้เจอคุณอีก...บ้านคุณอยู่ไหน ผมจะไปส่ง”
วันวิสาได้แต่ตะลึง
“ยังไงวันนี้ผมก็ต้องรู้จักบ้านคุณให้ได้”
วันวิสาอึ้ง แล้วจะบอกพ่อแม่ยังไง “วันนี้ฉันไม่สะดวก”
“แต่เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม”
“ไม่รู้”
“พรุ่งนี้ผมจะมาคอยคุณที่นี่”
“ฉัน...” วันวิสาไม่อยากรับปาก
“ไม่รู้ล่ะ คุณจะใจดำปล่อยให้ผมคอยเก้อ ก็ให้มันรู้ไป”
วันวิสาลำบากใจแต่หัวใจก็เต็มตื้น
“ผมต้องไปแล้ว ดีใจที่สุดที่ได้เห็นหน้าคุณอีก ไม่อย่างนั้นผมคงได้แต่เก็บไปฝัน”
วันวิสายื่นนาฬิกาพกคืนให้ ภรพเห็นสร้อยเปลือกหอยในข้อมือวันวิสา
“ผมนึกว่าคุณถอดมันทิ้งไปแล้ว”
“แล้วนายล่ะ ทนใส่อยู่ได้ยังไง ไม่มีใครหัวเราะของติงต๊องพรรค์นั้นรึไง”
ภรพยิ้มส่ายหน้า
“ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ สำหรับผมมันมีค่ายิ่งกว่าอะไรซะอีก”
ภรพยื่นมือไปเหมือนจะรับนาฬิกาคืนมา แต่เขากลับกุมมือวันวิสาให้กำนาฬิกาเรือนนั้นไว้
“พรุ่งนี้พบกัน ผมถึงจะรับคืน” มือภรพค่อยๆ ดึงผ้าเช็ดหน้าในมือวันวิสาออกมาอย่างอ่อนโยน “ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นตัวประกัน”
ภรพเก็บผ้าเช็ดหน้าของวันวิสาใส่กระเป๋าเสื้อแล้วกลับออกไป
ทิ้งวันวิสาให้ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน ก่อนจะระบายยิ้มเต็มวงหน้า
ฝ่ายสุพรรษาหิ้วตระกร้ายืนคอยลูกชายอยู่ ภรพรีบวิ่งกลับมา หน้าตาเจิดจ้าสดชื่นผิดปกติ
“เจอไหม”
“เจอครับม๊า”
“ไหนล่ะ”
“อะไรครับ”
“อ้าว ก็นาฬิกาลื้อน่ะสิ”
“อ๋อ ไม่เจอครับ”
สุพรรษาเง็ง “ยังไงแน่ เจอรึไม่เจอ”
“ไม่เจอครับ”
สุพรรษาบ่น “เสียดายของดีๆ ใครคงเก็บไปแล้วละ”
“ช่างมันเถอะครับม๊า” ภรพหน้าระรื่นโคตร
“ลื้อหวงนาฬิกาเรือนนั้นยังกะอะไรดี ไม่เสียดายบ้างเลยรึไง”
“เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละครับม๊า”
ภรพดึงตะกร้าฮวยน้ามาถือให้แม่ แล้วพากันเดินออกสีหน้าเบิกบานจนน่าหมั่นไส้
ขณะที่วันวิสายังประคองนาฬิกาพกในมือ ซินแสง้วงเดินออกมาจากห้องด้านหลัง กำชับกำชาวริน
“พ่อแม่น่ะหวังดีแล้วก็มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ แต่ลื้ออย่าลืมนะอาวริน สิ่งที่ดีที่สุดของลื้อ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกลื้อต้องการก็ได้”
“ขอบใจซินแส แต่อั๊วแน่ใจว่าอั๊วรู้จักลูกสาวอั๊วดีพอ”
วรินเดินผละออกมา ซินแสง้วงป้วนเปี้ยนทำงานแถวนั้น วันวิสารีบเก็บนาฬิกาพกอย่างมิดชิดเมื่อเห็นแม่เข้ามา
“ไหว้พระรึยัง”
“ไหว้แล้วม๊า ม๊ารอตรงนี้เดี๋ยวหนูจุดธูปให้”
วันวิสาร่าเริงอารมณ์ดี ขยับไปจุดธูปมาส่งให้แม่ วรินรับธูปไปไหว้พระ วันวิสาลอบยิ้มมีความสุขฉ่ำในใจ
ภรพกลับถึงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริแล้ว เจอภรีมประคองหอบเสื้อผ้า สูทสากล ที่เอาไปซักรีดใหม่ เข้ามาในห้องพี่ชาย
“หมวยเล็ก แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนป๊า ไม่ต้องจัดชุดใหญ่ยังงั้นก็ได้มั้ง”
“ไม่ได้หรอก ป๊าสั่งมาว่ายังไงคืนนี้เฮียก็ต้องสมาร์ทน่าประทับใจ”
ภรพฟังแล้วงง “ประทับใจใคร”
“เอาเหอะน่า เฮียไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าหมวยเล็กตั้งอกตั้งใจรีดชุดนี้ให้เฮียสุดฝีมือก็แล้วกัน รองเท้าเฮียน่ะนะ อาเจิ้งขัดซะมันวับแทบจะใช่ส่องแทนกระจกได้เลย”
ภรีมจัดวางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กำลังจะออกไป ซะงักหัวทิ่มเพราะเห็นบางอย่าง
“เฮีย”
“อะไร”
“เฮียใช้ผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภรีมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาคลี่ดู
ภรพเซ็งเลย เก็บไม่ทัน “ทำไม ใช้ไม่ได้รึไง”
“ก็นี่มันผ้าเช็ดหน้าผู้หญิงชัดๆ”
“มันก็เหมือนๆ กันแหละ” ภรพเฉไฉจะดึงคืน
“ไม่เหมือน ยังไงก็ไม่เหมือน” น้องสาวไม่ยอมคืน “ต้องเอาไปทิ้งไกลๆ เลยนะเนี่ย”
ภรพเสียงดัง “อย่านะ”
“ใครเขาเห็นว่าเฮียใช้ผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ เขาจะคิดยังไง”
“ก็ช่างหัวมัน” ภรพแย่งผ้าไปจนได้
“เอ๊ะ” ภรีมตาเป็นประกาย
“เอ๊ะอะไร ออกไปได้แล้ว”
“หรือว่ามีผู้หญิงที่ไหนให้เฮียมา”
“ไม่มี”
ภรีมคาดคั้น “แน่นะ”
“ซื้อเอง”
“ถ้าเฮียซื้อเองจริงๆ หมวยเล็กก็บอกได้เลยว่ารสนิยมเฮีย น่าเป็นห่วง”
ภรพจะตีศอกถองเข่าใส่น้องสาว ภรีมหัวเราะ วิ่งหนีออกไป ภรพมองตามขำๆ
ที่บ้านจิตวรบรรจงเวลาเดียวกัน วันวิสาโอดครวญอยู่กับผู้เป็นมารดา ในห้องอยู่เธอ
“ทำไมหนูต้องไปด้วยล่ะม๊า”
“ป๊าเขาบอกให้ไปก็ต้องไป”
“หนูไม่ไปได้ไหม”
“อย่าเซ๊าซี้”
“ก็ทุกทีหนูขอไปไปไหนด้วย ป๊าไม่เห็นเคยยอมให้ไปเลย แล้วคราวนี้หนูไม่อยากไป ป๊าจะมาบังคับหนูไปทำไม”
“ทำตามที่ป๊าเขาสั่งก็พอ”
“หนูก็คงไม่ต่างอะไรกับนักโทษใช่ไหม”
“ก็ตั้งใจรับโทษให้ดี โทษจะได้หมดเร็วๆ”
วรินจะเดินออกไปแต่ไม่วายหันกลับมาสำทับ
“แต่งตัวให้สวยๆ ด้วย อย่าให้ป๊าเขาต้องขายหน้า”
“ขนาดไหนล่ะม๊า ถึงจะเรียกว่าสวยแล้วป๊าพอใจน่ะ” วันวิสาเสียงขุ่น
“ขนาดไปนั่งกิน ฉั่วเทียนเหลา เข้าใจรึยัง”
วรินออกไปเลย วันวิสามองตามผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
บรรยากาศในภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา ราตรีนี้ คลาคล่ำคึกคักไปด้วยนักดื่มนักกิน ผู้มีฐานะ
ตรงโต๊ะที่นั่งระดับวีไอพี ทางปีกหนึ่งของภัตตาคาร ไพศาลยืนต้อนรับจับมือกับวันชัย ท่าทีทั้งนอบน้อมและมอบความเป็นกันเองให้
“เป็นเกียรติของผมกับลูกชายจริง ๆ ที่คุณวันชัยรับนัดวันนี้”
“ยินดีคุณไพศาล...ยินดี”
ภรพไหว้วันชัย วันชัยรับไหว้ และยื่นมือมาจับด้วย
“ไง ลูกชาย อีกหน่อยก็ต้องรับสืบทอดกิจการต่อป๊าเขาเต็มตัวแล้วนะ”
“ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากครับ ถ้าคุณอาจะแนะนำสั่งสอนอะไรผมก็ยินดีรับฟังครับ”
วันชัยหัวเราะร่วนท่าทางถูกอกถูกใจภรพมากมาย
“ลูกวาว สวัสดีคุณลุงไพศาลรึยัง”
สาวสวย วาริน ที่บิดาเรียกว่า ลูกวาว ทุกคำ ที่ยืนอยู่ด้านหลังวันชัย ก้าวออกมาท่าทางเอียงอาย สงวนความเป็นผู้หญิงจนเกือบดูผิดธรรมชาติ
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
ไพศาลรับไหว้ “สวัสดี หลาน”
วันชัยแนะนำ “นี่พี่ภรพ”
“สวัสดีค่ะพี่ภรพ” วารินไม่สบตา ไม่รู้อายอะไรนักหนา
“สวัสดีครับ”
“ลูกสาวคนเดียวของอา ยังไงก็ฝากดูแลด้วยนะภรพ คิดซะว่าเป็นน้องนุ่งคุณอีกคน”
ภรพงุนงง ความหมายคืออะไรกันแน่
“ค่อยดู ค่อยศึกษานิสัยใจคอกันไป อีกหน่อยก็สนิทกันไปเอง คุณวันชัยเชิญครับเชิญ”
วันชัยหันไปหาลูกสาว “ลูกวาว ไปนั่งใกล้ๆ พี่เขาสิลูก พ่อจะได้คุยเรื่องงานกับลุงไพศาล”
ทุกคนนั่งลง บ๋อยเริ่มเสิร์ฟน้ำชาให้ทุกคน
“อาหารที่สั่งไว้ทยอยเสิร์ฟได้เลยนะบ๋อย” วันชัยบอกบ๋อย
วารินนั่งหนีบจนภรพรู้สึกอึดอัดแทน ตระหนักชัดแล้วว่า เขากำลังถูกจับคู่
ภายในห้องวีไอพีอีกมุม อีกปีกหนึ่งของภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา บริกรวางอาหารเมนูหลักลงเสิร์ฟกลางโต๊ะ
“เชิญคุณประกิต เชิญ” บันลือเชื้อชวน
“เชิญคุณบันลือก่อน เชิญครับเชิญ”
วันวิสามองบันลือที มองประกิตที พบว่าต่างฝ่ายต่างรักษามารยาทไม่มีใครได้กินซะที วันวิสาประเดิมตักอาหารคนแรกหน้าตาเฉย ทุกคนนิ่งอึ้ง บดินพยายามสะกิดน้อง บันลือตาเขียวใส่
“อาหมวยอีคงหิว ประยูรลื้อตักอาหารให้น้องหน่อยสิ”
ประยูรยิ้มแหย ตักอาหารให้วันวิสา ดูดตะเกียบตัวเองแล้วใช้ตะเกียบคีบอาหารอีกอย่างให้วันวิสาหน้าเฉย สาวเจ้าอึ้ง
“อีคงทำกับข้าวเก่ง” ประกิตพูดเป็นเชิงถาม
“เดี๋ยวนี้แม่อีไม่ต้องเหนื่อยแล้ว อีทำแทนทุกอย่าง” บันลืออวยลูกสาว
“แต่กินไม่ได้ซักอย่าง” วันวิสาหัวเราะ
บันลือชักสีหน้า ไม่ขำด้วย
“อีชอบถ่อมตัวยังงี้แหละครับ” บดินแก้ให้
ประยูรพุ้ยข้าวใส่ปาก เคียวเสียงดัง วันวิสาแกล้งซดน้ำแกงเสียงดังกว่า จนทุกคนหันมามอง วันวิสายิ้มให้ทุกคนแล้วปิดท้ายด้วยการเรอเสียงดังสนั่น
ภรพเดินออกมาตรงบันไดทางชึ้นชั้นบน เจอมงคลตามมาอารักขา
“คุณภรพจะไปห้องน้ำเหรอครับ”
“ใจจริงฉันอยากออกไปจากที่นี่ แล้วไม่ต้องกลับเข้ามาอีกเลยมากกว่า” เขาบอกน้ำเสียงหงุดหงิดเอาการ
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะครับ ยังไม่ได้ส่งแขกเลย”
“ฉันไม่เข้าใจว่าป๊ากำลังคิดอะไรอยู่”
“นายหวังดีต่อคุณภรพนะครับ”
“แปลว่านายก็รู้ดีว่า คืนนี้จะมีการดูตัวฉันเกิดขึ้น”
มงคลไม่ตอบเดินออกไปทางห้องน้ำ
“ดีนะ ฉันเลยกลายเป็นไอ้หน้าโง่อยู่คนเดียว”
ภรพเดินออกไปทางห้องน้ำ
มงคลมองตาม
บดินเดินตามมาจนทันวันวิสาตรงทางเดินอีกปีกหนึ่งในฉั่วเทียนเหลา
“เฮียตามมาทำไมเนี่ย อั๊วจะไปห้องน้ำ”
บดินรู้ทัน “ลื้อจะทำอะไรนึกถึงหน้าป๊าให้มากๆ นะหมวยเล็ก”
“แล้วเฮียคิดว่าป๊าทำถูกแล้วเหรอ ที่จะจับอั๊วคลุมถุงชนแบบยังงี้”
“ถ้าจะคลุมถุงชนลื้อจริงๆ ลื้อไม่มีทางได้เห็นหน้าว่าที่ผัวลื้อก่อนยังงี้หรอก”
“แล้วมันต่างกันเหรอเฮีย ยัดเยียดคนที่อั๊วไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอไม่เคยเห็นหน้ามาให้ยังงี้”
“ไม่ใช่ว่าลื้อจะต้องแต่งกับอีวันนี้พรุ่งนี้ ลื้อยังมีเวลาศึกษาเรียนรู้นิสัยใจคออี จะได้ปรับตัวได้” พี่ชายว่า
“เห็นไหมสุดท้ายอั๊วก็ต้องแต่งอยู่ดีไม่ถามอั๊วซักคำว่าสมัครใจรึเปล่า”
“ป๊ากำลังจะขยายกิจการ แล้วเถ้าแก่ประกิตเขาก็ช่วยเราได้ เข้าใจรึยังว่า ลื้อกำลังสำคัญต่อทุกคนขนาดไหน”
วันวิสาทั้งเข้าใจและน้อยใจ ท่าทีสงบลง
“ลื้อห้ามหนีไปไหนเด็ดขาดยังไงก็ต้องอยู่จนกว่าจะส่งแขก เข้าใจนะหมวยเล็ก” บดินเดินกลับออกไป
วันวิสาถอนใจเบาๆ
เพียงนักดนตรีบรรเลงอินโทรเพลงหวานแว่ว หยกมณี นักร้องสาวสวยแหวกม่านออกมา แขกเหรื่อปรบมือต้อนรับซุปเปอร์สตาร์แห่ง ฉั่วเทียนเหลา เกรียวกราว
หยกมณีค้อมศีรษะน้อมรับเสียงปรบมือไปทั่วคนดูทุกมุมร้าน แล้วขยับมาที่ไมค์ตั้งกลางเวที เริ่มร้องเพลง น่าอัศจรรย์นัก มันเป็นเพลงเดียวกับแผ่นเสียงจมน้ำที่ภรพเจอในทะเลบนเกาะ
บริเวณบัลโคนีชั้นบน ซึ่งไม่ได้เปิดให้บริการ เสียงเพลงจากหยกมณีดังแว่วขึ้นมาบนนี้
ภรพเหมือนต้องมนต์ ขยับออกมาที่บัลโคนี เสียงเพลงนั้นทำให้หัวใจของเขากระหวัดไปถึงผู้หญิงคนนั้น
ระหว่างนี้ ร่างหนึ่งขยับออกมาที่บัคโคนีอย่างต้องมนต์เพลงเหมือนกัน
ทั้งคู่ต่างโฟกัสลงไปที่หยกมณีบนเวทีเบื้องล่าง จนเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ลำพัง ทั้งคู่ค่อยๆ หันมามองกันแล้วตะลึงยิ่งกว่ามนต์เสียงเพลงอีก
“นาย” / “คุณ”
“ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอนายที่นี่”
“ผมกลับคิดว่าทำยังไงผมจะได้พบคุณในนาทีนี้”
บนเวทีตอนนี้ หยกมณีร้องเพลงด้วยอารมณ์รักแสนรัญจวนใจ เสียงร้องและการแสดงของเธองดงามหมดจด และเต็มไปด้วยเสน่ห์ตรึงใจผู้ชม
สองคนอยู่ที่ชั้นบนบัลโคนี ภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา ภรพขยับเข้าหาวันวิสาจนใกล้
“นายมากับใคร”
“ผมพาแขกผู้ใหญ่มาเลี้ยงรับรอง แล้วคุณล่ะ”
“ฉันถูกหลอกให้มา”
ภรพหัวเราะขัน
“ฉันพูดจริงๆ นะไม่ได้พูดเล่น”
“ใครจะหลอกผู้หญิงอย่างคุณได้”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย”
“คุณรู้ไหม ที่เรานัดเจอกันพรุ่งนี้ผมแทบจะรอให้คืนนี้มันค่อย ๆ ผ่านไปไม่ได้”
วันวิสาเจอสายตาของเขาเต็มๆ ตา
“คุณจะให้เกียรติเต้นรำเพลงนี้กับผมได้ไหม”
วันวิสาแย้ง “แขกผู้ใหญ่ของคุณจะคอย”
“คุณปฏิเสธผมไม่ได้หรอก เพราะยังไงเพลงนี้ก็เป็นเพลงของเรา”
ภรพเอื้อมมือไปจับมือวันวิสา ทั้งคู่เต้นรำด้วยกันอีกครั้ง ด้วยความรักที่สุกงอมขึ้นเรื่อย ๆ
หยกมณีร้องเพลงบนเวที ลูกค้าหนุ่มโต๊ะที่ชื่นชอบ ต่างพากันมองเคลิ้ม
ส่วนที่โต๊ะไพศาล เถ้าแก่เริ่มชะเง้อมองหาลูกชายเพราะหายไปนานเกินไปแล้ว โชคทวีที่ยืนเฝ้าอยู่ไกล รีบเดินเข้ามาหา
“ครับเจ๊ก”
“อาภรพไปไหนลื้อเห็นไหม”
“คงจะเข้าห้องน้ำน่ะครับเจ็ก”
ไพศาลโบกมือไล่ให้กลับออกไป
วารินตักบัวลอยน้ำขิงซึ่งก้อนใหญ่มากเข้าปากทั้งก้อน แล้วแทบตาเหลือกเพราะทั้งร้อนทั้งใหญ่คับปาก เธอคิดว่าไม่มีใครเห็นเธอ
วันชัยท่าทางเคลิบเคลิ้มเสียงเพลงไม่น้อย
“คุณวันชัย ประมูลสัมปทานรังนกงวดที่จะถึงนี่ ผมว่าดุเดือดแน่นอน”
“แน่ละ เพราะทุกคนก็จ้องจะเอาเกาะใหญ่ของคุณนี่ ว่าแต่มีอะไรที่คุณกังวลล่ะ”
ไพศาลมีสีหน้าครุ่นคิด
บันลือเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะเสวนา
“เสี่ยไพศาลคงเทหมดหน้าตักให้ยังได้สัมปทานเกาะใหญ่อยู่ ผมมันทุนน้อยอย่างเก่งก็คงได้เกาะเล็กเกาะน้อยเหมือนเคย”
ประยูรแทะเม็ดกวยจี๊เพลิน ตาปรือไม่สนใจใคร ประกิตบอกว่า
“บินเดี่ยวมันก็ยากหน่อยละคุณบันลือทำไมคุณกับผมเราไม่มารวมตัวกันให้แข็งแรงเป็นหุ้นใหญ่บริษัทเดียวกันล่ะ”
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะครับป๊า ถ้าเรารวมกันได้ รุ่งเรืองไพศาลศิริงวดนี้ต้องหงายท้องแน่เพราะสัมปทานเกาะใหญ่หลุดมือ”
บันลือยิ้มพอใจ
ส่วนที่บัลโคนีชั้นบนฉั่วเทียนเหลา
เพลงรักยังไม่จบ ทั้งคู่ยังเต้นรำด้วยกัน ภรพห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ยื่นหน้าเข้าชิดและจะจูบวันวิสา อารมณ์เป็นเครื่องนำพา วันวิสาเหมือนไม่มีท่าทีปฏิเสธ ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปากได้เพียงเสี้ยววินาที เพลงที่จบลงเหมือนกระชากวันวิสาให้กลับมาสู่สติและความจริง
“ฉันต้องไปแล้ว ฉันออกมานานเกินไปแล้ว ใครต่อใครคงรอฉันอยู่” หญิงสาวไม่กล้าสบตา ผละออกจากภรพ
“พรุ่งนี้เรายังจะเจอกันเหมือนเดิม แต่คืนนี้ผมคงอดไม่ได้ที่ฝันถึงคุณ”
วันวิสาแทบละลายกับคำหวาน แต่ต้องตัดใจผละออกไป ภรพมองตามจนลับตา
ค่ำคืนดูตัวตามประเพณีคลุมถุงชนจบลง วันวิสา บดิน และบันลือ ออกมาจากภัตตาคาร พร้อมกับประกิต ประยูร พนักงานรับรถ ขับรถมาส่งให้ถึงที่ บันลือเยื้อนยิ้มเอ่ยลาประกิต
“วันหลัง เชิญกินข้าวด้วยกันที่บ้านนะคุณประกิต”
“ยินดีคุณบันลือ เด็กๆ จะได้ทำความรู้จักให้สนิทสนมกว่านี้ด้วย”
ประยูรยิ้มบอก “ไปพรุ่งนี้เลยสิครับป๊า”
ประกิตชอบใจ “ใจเย็นๆ ลื้อใจเย็นๆ อาตี๋”
ทุกคนหัวเราะยกเว้นวันวิสา ที่อึดอัดกับบรรยากาศ มองหารอบตัวเผื่อจะเจอภรพอีก ขณะทุกคนจับมือล่ำลากันบดินเหลียวมาทางน้องสาว
“อาวัน มัวมองหาใครอยู่”
“เปล่า”
บดินมองเป็นเชิงเตือนสติให้วันวิสา ทำความเคารพ ลาประกิต และ ประยูร
ที่มุมหนึ่ง โชคทวี มงคล ยืนรอรับนายอยู่ บังเอิญโชคทวีมองไปเห็นบันลือ กับประกิต
“เฮ้ย มงคล นั่นมันเถ้าแก่บันลือกับเถ้าแก่ประกิตใช่ไหม”
ฝั่งทางเถ้าแก่ไพศาล ทุกคนลุกออกจากโต๊ะอาหาร ภรพขยับเก้าอี้ให้วารินลุกขึ้นได้อย่างสะดวก ตามมารยาทสุภาพบุรุษ วารินตกรองเท้าส้นสูงของตัวเอง เสียหลักซวนเซ ภรพคว้าเอาไว้ได้ทัน
“อุ๊ย ใจหายหมดเลย ขอบคุณค่ะพี่ภรพ โอ๊ย”
วารินโอดโอยเพราะข้อเท้าแพลง
“สงสัยข้อเท้าพลิก เดินไหวไหมครับ”
“เจ็บค่ะ”
ไพศาลบอก “พยุงน้องพาไปส่งที่รถเถอะภรพ”
“ครับป๊า”
วารินเกาะแขนภรพแน่น ภรพพาวารินกะโผลกกะเผลก ออกไป
อ่านต่อหน้า 4
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ภรพประคองวารินมาส่งจนขึ้นรถที่หน้าภัตตาคารเรียบร้อย
“วันหลังไปกินข้าวที่บ้านนะอาภรพ” วันชัยยิ้มบอก
“ครับ”
โชคทวีขยับเสนอหน้าเข้ามาล่ำลาวันชัยด้วย เมื่อรถแล่นออกไป โชคทวีจึงเอ่ยขึ้น
“เจ็กครับ...เมื่อกี้ผมเห็นเสี่ยบันลือ ด้วยครับ”
ไพศาลฉงน “บันลือไหน”
“เสี่ยบันลือแก๊งมังกรทองไงครับ”
“อืม” ไพศาลทำเป็นรับรู้เฉยๆ
โชคทวีเสริมอีก “อีมากับเสี่ยประกิต แก๊งหมีขาวครับ”
คำนี้ทำให้ไพศาลมีท่าทีสนใจมากขึ้น
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์สองคนเจอกัน คงไม่พ้นสุมหัวคิดทำอะไรชั่วๆ กันหรอก”
ไพศาลขึ้นรถไปกับภรพ มงคลขับรถรอแล้ว โชคทวีนั่งข้างหน้า
ภรพ และ ไพศาล กลับถึงบ้านคืนนั้นมานั่งดื่มชากับสุพรรษา ที่อาเจิ้งคอยรินให้ทุกคน สุพรรษาจิบชา เอ่ยขึ้นกับลูกชายอย่างอารมณ์ดี
“นายแบงค์วันชัย อีมีลูกสาวคนเดียว อีหวงยังกะอะไรดี ลื้อโชคดีนะที่อีไว้วางใจให้ดูแลลูกสาวอี...”
ภรพ แย้งขึ้น “ม๊าไม่ถามผมซักคำ ว่าชอบอีไหม”
“หนูวาริน อีเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ป๊าอาบน้ำร้อนมาก่อน ป๊ารู้ดี...สำหรับลื้อไม่มีใครเหมาะเท่าหนูวารินแล้ว” ไพศาลบอกเสริม
“คนเรา จะสร้างครอบครัวด้วยกัน ดูแค่ความเหมาะสมมันไม่พอหรอกมั้งป๊า”
“แล้วลื้อจะเอาอะไรอีก อาวันชัยอีเป็นนายธนาคารใหญ่ ธุรกิจของเราต้องพึ่งพาอาศัยอีอีกมาก แล้วท่าทางอีก็เมตตาลื้อไม่ใช่น้อย ถ้าลื้อปล่อยให้โอกาสทองนี่หลุดมือไป ลื้อก็โง่ไม่รู้จะโง่ยังไงแล้วอาภรพ”
ไพศาลจ้องมองภรพแว่บหนึ่ง ก่อนจะผละออกไป
“เพิ่งเจอกันครั้งแรก ลื้ออย่าเพิ่งด่วนตัดสินหนูวารินอีเลย รู้จักกันมากขึ้น อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวลื้อก็รักอีเอง” สุพรรษาว่า
“ม๊า ความรักมันไม่ใช่เรื่องจะมาบังคับให้รักกันได้นะ”
ภรพโอดครวญ
ฝ่ายเถ้าแก่บันลืออยู่ที่บ้านจิตวรบรรจง แล้ว นั่งคุยอยู่กับ วริน และ วันวิสา ท่ามกลางความขัดเคืองใจของผู้เป็นลูกสาว
“ลื้อก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่แต่งปีนี้ แล้วจะไปแต่งปีไหน”
“ถึงไม่ได้แต่ง หนูก็อยู่ของหนูได้ หนูคงไม่ตายเพราะไม่มีผัวหรอกป๊า”
“ลื้อไม่ตาย แต่ป๊าอายลูกสาวบ้านนี้มันเป็นอะไร ถึงขายไม่ออก”
“ป๊าห่วงแต่หน้าตาตัวเอง กลัวแต่ความคิดคนอื่น แต่ป๊าไม่เคยถามความสมัครใจหนูซักคำ”
“อั๊วตามใจลื้อมามากเกินไปแล้ว ลื้อโชคดีขนาดไหน ที่เถ้าแก่ประกิต อาประยูรอีเอ็นดูลื้อ ลื้อไปเป็นสะใภ้บ้านอี ลื้อจะสบายไปทั้งชาติ อั๊วเป็นป๊าของลื้อ ในเมื่ออั๊วเห็นว่าอะไรดีแล้ว เหมาะแล้ว ลื้อก็ต้องทำตามนั้น”
บันลือลุกเดินขึ้นห้องนอนไป
“ป๊าไม่ได้ทำเพื่อหนูหรอก ป๊าทำเพื่อความรวยของตัวเองมากกว่า”
วรินติง “อย่าพูดอย่างนี้ให้ป๊าได้ยิน”
“ม๊าก็พลอยเห็นดีไปกับป๊าด้วย”
“จะให้ทำยังไงได้”
“เพราะหนูดันเกิดมาเป็นลูกผู้หญิงใช่ไหมม๊า” วันวิสาย้อนคำเดิมๆ
วรินนิ่งแทนคำตอบ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขนบนี้ได้
เช้าวันถัดมา วันวิสาพาตัวเองมานั่งคอยการมาถึงของภรพอยู่มุมหนึ่ง ในศาลเจ้า ในมือ ของเธอกุมประคองนาฬิกาพกของภรพไว้
เวลาผ่านไป วันวิสายังรอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งมีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนั้น วันวิสาหันไปมอง พอเห็นว่าไม่ใช่ภรพ ก็เลิกสนใจ
“เจ้จิ๋ม”
วันวิสาหันกลับมาอีกที เด็กเดินเข้ามาหา ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้วันวิสา
“มีคนฝากมาคืน”
วันวิสาเห็นผ้าเช็ดหน้าตัวเอง ใจหล่นใจหาย ขณะรับคืนมา
“แล้วเขาอยู่ไหน”
เด็กไม่ฟังคำถามด้วยไม่คิดจะตอบ วิ่งตื้อกลับออกไปทันที วันวิสามองผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วความรู้สึกโดดเดี่ยวว้าเห่วเกาะกุมจิตใจ จนน้ำตาร่วงรดแก้มนวล
เสียงภรพดังขึ้น “ทำไมขี้แยนักหว่า”
วันวิสาหันขวับมามอง “นาย”
“เจ๊จิ๋มคนที่ติดเกาะของผมหายไปไหนแล้วหว่า” เขาเย้า
วันวิสาฉุน “นายแกล้งฉัน”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อยแค่แอบดูอยู่ตรงโน้น”
วันวิสายิ่งร้องไห้ ทุบตีภรพพัลวัน
“นายใจร้าย...ใจร้าย”
“ตีให้ตายเลยเอ้าขอแค่คุณหายโกรธ ผมยอมทุกอย่าง”
วันวิสาเลิกทุบตี แต่ยังร้องไห้ไม่หยุด
“โกรธผมมากขนากนี้เลยเหรอ ขอโทษพันครั้งเลยก็ได้ ขอโทษครับ ๆ ๆ ผมผิดไปแล้วครับ ขอโทษครับ”
วันวิสาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงขื่นขม “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้เจอกัน”
ภรพนิ่งแม้จะหนักอก กังวลใจ แต่สีหน้าเหมือนไม่ยอมรับ
เวลาเดียวกันวารินแวะมาที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ สุพรรษา พราวตา และภรีม ให้การต้อนรับแทนภรพที่ออกไปตามหัวใจ ทุกคนอยู่ในห้องรับแขก สาวสวยผู้เป็นแขกอ้อมแอ้มถามด้วยกิริยาน่ารัก ในท่าทีเขินอายขึ้นว่า
“แล้ว...แล้ว เฮียภรพเคยมีแฟนมาแล้วกี่คนคะ”
“เอ...นับนิ้วไม่ถ้วนเหมือนกันนะ” ภรีม
วารินหน้าตาเหรอหราตกใจ
สุพรรษาเอ็ดเอาว่า “หมวยเล็ก ลื้ออย่าซี้ซั๊ว”
“ล้อเล่นน่าม๊า”
“อาภรพอีไม่เคยมีใครหรอกหนูวาริน” คุณนายยิ้มบอก
“หนูค่อยโล่งอกหน่อย เอ๊ะแล้วทำไมถึงไม่เคยมีใครล่ะคะ”
“ก็มัวแต่ทำงานกับป๊า จนไม่มีเวลามองใครละมัง” พราวตาเสริม
“ยังงี้หนูก็เป็นแฟนคนแรกของเฮียน่ะสิคะ” วารินปลื้มใจบอกไม่ถูก “แล้วทำไม วันนี้เฮียไม่อยู่ล่ะคะ”
“ออกไปทำงานมั้ง” สุพรรษาว่า
วารินคาใจ สงสัยไม่เลิก “แล้วทำไม...”
ทุกคนมองวาริน ฉงนฉงายเป็นตาเดียว แล้วทำไมต้องถาม
วารินรู้ตัวพูดแก้เก้อ “ถ้าหนูมาบ่อยๆ อี๊จะรำคาญหนูไหมคะ”
“ไม่หรอก อี๊จะรำคาญหนูได้ยังไง”
“หนูอยากรู้ว่าเฮียเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรบ้าง”
พราวตาตอบว่า “เขาเป็นคนง่ายๆ ไม่จุกจิกจู้จี้หรอก”
“แต่ที่แน่ๆ เฮียเขาไม่ชอบผู้หญิงพูดมาก”
สุพรรษาหันมาทำตาเขียวใส่ภรีม
วารินยังไม่รู้ตัว “เหรอ ก็น่าจะเป็นยังงั้นน่ะนะ ผู้หญิงพูดมาก น่ารำคาญจะตาย”
ส่วนในศาลเจ้า วันวิสาตัดสินใจบอกภรพเรื่องงานแต่งของเธอ
“ฉันต้องแต่งงานกับคนที่ป๊าเลือกเอาไว้ให้”
“ป๊าคุณก็คงแน่ใจแล้วละว่าเขาดีพอ”
“เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเห็นหน้าเขา”
“คุณอย่าตัดสินใครด้วยหน้าตาสิ เขาอาจจะดีพร้อมสมบูรณ์แบบก็ได้ ไม่อย่างนั้นป๊าคุณคงไม่เลือกเขาหรอก”
“ป๊าฉันเขาคิดแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจของเขา”
“คุณไม่อยากแต่ง ก็เลยเอาแต่ร้องไห้ยังงี้น่ะเหรอ”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง”
“ไม่อยากแต่งก็หนีสิ”
“พูดบ้าๆ”
“พูดจริงๆ”
“หนีไปไหน”
“ไปกับผมไง” ภรพจ้องตาเธอ
“ไม่ขำ”
“ไปแต่งงานกัน”
“พูดง่ายๆ”
“ก็เรื่องง่ายๆ ทำไมต้องทำให้ยาก”
“ฉันกับนาย เรารู้จักกันแค่ไม่กี่วัน”
“กี่วันก็ไม่สำคัญ มันอยู่ที่คุณรักผมไหม”
วันวิสาอึ้งที่ถูกจู่โจม
“ถ้ารักก็ไม่มีปัญหา”
“แล้วนายล่ะ”
“ไม่รักไม่ชวนแต่งหรอก”
สองคนเสี่ยงเซียมซี กระบอกเซียมซี 2 อันถูกเขย่า จนติ้วแรกหลุดออกมาจากกระบอกของวันวิสา เห็นหมายเลขบนติ้ว ติ้วจากเซียมซีอีกกระบอกของภรพกระเด็นลงพื้น ติ้วสองอันหมายเลขเดียวกัน
ภรพ และ วันวิสา มองหน้ากัน นิ่งนาน
วันวิสาอ่านใบทำนายเซียมซีแล้วนิ่งขรึม เพราะคำทำนายไม่ดีเลย ภรพเองก็กังวลไม่น้อยหลังอ่านคำทำนาย แต่กลบเกลื่อนด้วยการดึงใบทำนายจากมือวันวิสาไปฉีกทิ้ง
“มันก็แค่ความบังเอิญ”
“บังเอิญที่เราเจอกันด้วยรึเปล่า”
“งั้นเขย่าใหม่ ได้เบอร์เดิมซักสามครั้งผมถึงจะเชื่อ”
ภรพคว้าเซียมซีขึ้นมาจะเสี่ยงทายใหม่จริงๆ วันวิสาคว้ามือภรพยื้อห้ามไว้
“นายเองก็กังวล...ฉันรู้”
ระหว่างนี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ขงจื๊อสอนลูกศิษย์เอาไว้ว่า วิญญูชนจะไม่ยอมเสี่ยงดวง”
ทั้งคู่หันไปมอง เห็นซินแสง้วงเดินเข้ามา
“ดวงจะดีจะเลวไม่สำคัญ เพราะยังไงลื้อก็ควบคุมไม่ได้ แม้ว่าข้างหน้าลื้อ คือแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ถ้าลื้อมั่นใจว่าลื้อข้ามไปได้ ด้วยความพยายามของลื้อยังไงลื้อก็ต้องข้ามสำเร็จ อุปสรรคอะไรในชีวิต ต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ต้องสยบราบคาบให้หัวใจของลื้อเสมอ”
สองหนุ่มสาวมองสบตา จ้องหน้ากันนิ่งๆ น้อมนำคำสอนของสินแสชรามาเป็นหลักในชีวิต
อ่านต่อตอนที่ 4