เงาใจ ตอนที่ 11
เวลาเดียวกันนั้น ไมตรีนั่งตัดกระดาษแปะในชาร์ทดูวุ่นวายเต็มพื้นห้องนอน มณีเคาะประตูเปิดเข้ามา พอเห็นก็แปลกใจ
“โห...นี่อะไรกันน่ะลูก”
“รายงานที่ไมจะต้องรายงานในคลาสน่ะแม่”
“วิชานี้ใช่ไหม ที่ไมบอกแม่ว่าไมขอทำเดี่ยวเพราะไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนๆ”
“จ้ะแม่”
“แล้วเพื่อนที่เขาเคยให้เอกสารมาอ่านสำหรับสอบคราวก่อนล่ะ เขาก็ไม่อยากให้ไมร่วมกลุ่มด้วยเหรอ”
“ไมไม่อยากทำกับเค้าเองครับ”
“ไม แม่เข้าใจไมนะว่าการที่เราจะยืนให้ได้หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มันลำบาก เพราะอาจจะมีคนไม่ชอบเราเยอะ ซึ่งแม่เห็นด้วยถ้าไมจะไม่ใส่ใจคนที่ไม่ดีกับเรา แต่กับคนที่ดีในยามที่เราตกยาก ไมจะละเลยเขานี่แม่คิดว่าไมทำไม่ถูกนะ” ผู้เป็นมารดาเตือนสติลูกชาย
ไมตรีแย้ง “แต่ก่อนหน้านี้เค้าเคยดูถูกไมนะแม่”
“คำว่าก่อนหน้าของไม มันก็หมายถึงก่อนหน้าที่ไมจะช่วยเขาด้วยใช่ไหม”
“ครับ”
มณียิ้มแล้วลูบหัวลูก “คำว่าก่อนหน้ามันคืออดีต ยังไงไมกับเพื่อนก็ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไมกับเพื่อนสามารถจะทำสิ่งดีให้เกิดในอนาคตได้นี่ ทำไมไม่เลือกในสิ่งที่เราทำได้ละลูก”
ไมตรีมองแม่แล้วยิ้มให้ พร้อมกับสวมกอดมณีด้วยความรัก
ถัดมาไมตรีเดินออกมาหน้าบ้าน เด็กหนุ่มไปหยุดที่จุดหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดสับสน สุดท้ายตัดสินใจเดินเข้าบ้านไป
ไมตรีเข้ามาในห้องนอน แลเวเอาชาร์ทที่ทำเสร็จไปวางรวมกันมุมห้อง จากนั้นนั่งลงบนเตียงมองไปที่คอมพ์ที่ปิดอยู่
เสียงพูดตัดพ้อของวารินดังก้องในหู
“แต่ตอนนี้ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ ฉันอยากแก้ไขความผิดที่ฉันเคยทำกับเธอ ฉันยอมรับว่าฉันดูเธอผิด ฉันใช้อารมณ์ ฉันโกรธเธอตั้งแต่แรกเห็นที่เธอชนฉันที่ตลาด ฉันไม่ชอบหน้าเธอที่เธอเรียนไม่เก่งเลยดูถูกเธอ ฉันคิดว่าฉันเก่งฉันเจ๋งที่สุด แต่พอมีเรื่องจริงฉันก็เอาตัวไม่รอด ยิ่งพอเธอช่วยฉันๆ ก็รู้สึกผิด ฉันโกรธตัวเองที่เคยทำไม่ดีกับเธอ เธอให้อภัยฉันไม่ได้เหรอ”
ไมตรีตัดสินใจเดินไปที่คอมพ์แล้วกดเปิดเครื่อง ใบหน้าจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพ์
ขณะเดียวกันวารินนั่งพิมพ์รายงานอยู่แล้วรู้สึกเซ็งๆ เลยเปิดเข้าเฟซบุ๊ค วารินคลิกไปที่หน้าของไมตรี ยังขึ้นว่า “คำขอร้องเป็นเพื่อนได้ส่งไปแล้ว” แต่ไมตรียังไม่ตอบรับ นึกถึงเหตุการณ์ที่มหา’ลัย วันนี้
“เอาล่ะ ฉันรู้คำตอบแล้ว ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอลำบากใจตลอดเวลา ยังไงฉันก็ขอบคุณมากนะสำหรับสิ่งดีๆที่เธอเคยทำให้ฉัน ฉันดีใจนะที่ครั้งหนึ่งได้เจอเพื่อนอย่างเธอไมตรี”
วารินถอนใจเครียด แล้วเลื่อนลูกศรจนคำว่า “ยกเลิกคำร้องขอเป็นเพื่อน” ปรากฏ แต่จะคลิกก็เกิดลังเล เอาลูกศรออก แล้วก็เอาลูกศรไปจ่อใหม่ สลับไปมาให้เหมือนจิตใจของวารินที่ไม่รู้จะเอาไงดี
ฝ่ายไมตรีเปิดหน้าเฟซขึ้นมาแล้วเลื่อนลูกศรไปที่รูปคนเพื่อดูคนที่มาขอแอดแต่ไม่มีชื่อวารินแล้ว
ไมตรีสงสัย เลยรีบพิมพ์ใหญ่ ใต้ช่องค้นหาเขียนว่า “ไม่มีชื่อที่ค้นหา”
ไมตรีตกใจหน้าซีด “เธอบล็อกฉันเหรอ”
ไมตรีอึ้งไม่คาดคิดว่าวารินจะตัดเพื่อน ด้านวารินปิดคอมพ์แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนลุกไปปิดไฟในห้องให้มืดแล้วเดินเข้าห้องนอนไป
เมทินีแวะมาที่ร้านดอกไม้แต่เช้า เวลานี้เธอกำลังเดินตัดดอกไม้อยู่ที่แปลงในสวนหลังร้าน โดยมีรุทรซึ่งเอาผ้าคาดหน้า ช่วยมัดดอกไม้ให้เป็นกำๆ ละ 100 ดอก อยู่อีกมุม
สักครู่หนึ่งมณีเดินมาหารุทร “เป็นไง หลังจากที่แม่แกล้งงอนไป เวิร์คไหม”
รุทรยิ้ม “เวิร์คมากเลยครับ เมตามผมแจ จนผมแทบกระดิกตัวไม่ได้”
มณีมองรุทรงงๆ ว่าไม่ชอบเหรอ รุทรได้สติรีบแก้ตัว
“คือผมมีความสุขมากเลยครับที่เมเป็นแบบนี้”
มณีดีใจ “จริงเหรอ แหม แล้วก็ไม่ส่งข่าวบอกแม่บ้าง”
เมทินีขนดอกไม้มาอีกตะกร้าใหญ่มาวางลง แล้วเขยิบมาหามณี ท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“หมดแล้วค่ะแม่”
มณียิ้ม “ดีแล้ว ขอบใจมากนะ เดี๋ยวก็ไปส่งให้แม่ด้วยนะลูกรัก”
เมทินีงง “แม่หายโกรธเมแล้วเหรอ”
“หายสิ ก็วาทิตเค้าบอกแม่เองว่าตอนนี้เมอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา”
“ตกลงนี่แผนแม่กับนายไมใช่ไหม ที่ให้เมกับวาทิตมาช่วย” เมทินีค้อนควักมารดา
“ก็ไม่เชิง ไมเขาก็ต้องรีบไปทำธุระด่วนอะไรก็ไม่รู้ นี่ไปแต่เช้าเลย แม่เลยปิ๊งไอเดียให้เมกับวาทิตมา ไม่งั้นแม่จะรู้เหรอว่าเป็นไงกันบ้าง”
เมทินียิ้ม “ต้องขอบคุณวาทิตเขาด้วยค่ะแม่ เพราะวาทิตเป็นคนดี เมเลยไม่อยากจะห่างจากเขาแม้แต่นาทีเดียว”
มณียิ้มชื่นใจ “ได้ยินอย่างนี้แม่ก็ชื่นใจ วาทิตต่อไปไม่ต้องกลัวแล้วนะ เมน่ะเขาเป็นคนคำไหนคำนั้น ถ้าเขาบอกไม่ห่างเขาก็จะดูแลวาทิตอย่างเขาพูดจริงๆ”
“จริงเหรอครับ”
เมทินี กับมณีพูดพร้อมกัน “จริง”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน ยิ้มร้ายให้กัน ประกายวาววาบจากตาของเมทินี ชนิดที่รุทรต้องกลืนน้ำลาย
ไมตรีอยู่มรามหา’ลัยแล้ว เขามานั่งดักรอวารินที่หน้าคณะ พอเห็นวารินเดินมาก็รีบลุกขึ้นยืนรอ วารินที่เดินมาพอเห็นไมตรียืนอยู่ก่อนก็เปลี่ยนใจ จะเดินไปอีกทาง แต่ไมตรีรีบเดินตามมา
“วาริน”
วารินหยุดชะงัก ไมตรีกับวารินมองหน้ากัน
“เอ่อ...ฉัน”
“ถ้าจะมาบอกให้เลิกตามเธอก็หายห่วง ฉันจะลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ”
วารินจะเดินไปแต่ไมตรีขยับขวางไว้อีก
“เดี๋ยวสิ คือ...”
เสียงแตดังขึ้นมา “ริน”
ยังไม่ทันที่ไมตรีจะได้พูดอะไร ก็เขนแตกับฝ้ายที่เดินตรงมาพร้อมกับโบกมือเรียกวารินเป็นการใหญ่ วารินเลยรีบเดินเลี่ยงไปสมทบกับเพื่อน
ไมตรีเลยอดที่จะได้คุยกับวาริน
เมื่อไมตรีเดินเข้ามาในห้องเรียน และเข้าไปนั่งโต๊ะประจำที่วาริน แต ฝ้าย ชอบนั่ง แล้วจัดการวางหนังสือจองที่นั่งไว้ให้สามสาว นักศึกษาเริ่มทยอยเข้ามาในห้องเรียน
วาริน แต ฝ้าย เดินเข้ามาในห้องเรียน สามสาวมองไปยังที่นั่งประจำ พบว่าไมตรีนั่งอยู่แล้วพร้อมส่งยิ้มมาให้ วารินเบือนหน้าหนีไม่สนใจ
แต กะฝ้าย เดินเข้าไปนั่งที่นั่งที่ไมตรีจองไว้ให้ ส่วนวารินเดินเลี่ยงไปนั่งหลังห้อง ไมตรีมองตามหน้าจ๋อย
สองสาว มองวารินที มองไมตรีที แล้วมองหน้ากันเซ็งๆ ถอนหายใจเฮือกด้วยความหนักใจ
ถัดมา ไมตรีจะลุกไปนั่งกับวารินอยากปรับความเข้าใจ จังหวะนั้นอาจารย์เกรียงเดินเข้ามาพอดี ไมตรีจึงต้องนั่งที่เดิม แต่ยังคงมองวาริน ส่วนวารินทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็แอบมองไมตรีอยู่เหมือนกัน ไมตรีคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปพูดกับแตที่นั่งฟังอาจารย์สอนอยู่ เบาๆ ว่า
“แต เราขอไอดีไลน์ของวารินหน่อยซิ”
แตตกใจ “เฮ้ย! นายจะเอาไปทำไม”
“เราอยากคุยกับวาริน อยากจะขอโทษน่ะ”
แตมองไมตรีอย่างพิจารณา แล้วหันมาปรึกษากับฝ้ายที่นั่งมองอยู่ ฝ้ายพยักหน้าให้แตบอกไอดีไลน์กับไมตรีได้
แตให้ไอดีไลน์กับไมตรี ไมตรียิ้มดีใจ รีบกดข้อความหาวารินทันทีโดยไม่สนใจอาจารย์ที่สอนอยู่
“วารินขอคุยด้วยได้ไหม”
ทันทีที่ไมตรีส่งข้อความไลน์หาวาริน เสียงไลน์จากโทรศัพท์ของวารินก็ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองวาริน วารินตกใจหน้าเหวอ
“อะไรกันเนี่ยนักศึกษา ทำไมถึงไม่ปิดเสียงโทรศัพท์ นี่อาจารย์กำลังสอนอยู่นะครับให้เกียรติอาจารย์บ้าง ใคร เป็นของใครยอมรับมาซะ”
ไมตรีมองวารินรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องอับอาย วารินจะลุกขึ้นยอมรับ แต่ไมตรีชิงลุกขึ้นยอมรับแทน
“ของผมเองครับ”
วารินมองไมตรีด้วยความตกใจระคนซึ้งใจที่เขามาออกรับแทน
“ของเธอเองเหรอไมตรี เวลาเรียนก็ไม่ค่อยจะมาเรียน ยังจะเอาเวลาเรียนไปสนใจแต่กับไอ้เทคโนโลยีโซเชียลอีก ไร้สาระจริงๆ คุณไม่ให้เกียรติอาจารย์เลยนะ คุณรู้ไหมว่ามันรบกวนเวลาเรียนของคนอื่นเขาแล้วก็รบกวนเวลาสอนของจารย์เนี่ย คุณนี่มัน...”
อาจารย์กำลังจะพูดว่าต่อ แต่เสียงไลน์ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้งถี่ๆ จนอาจารย์โมโห
“ของใครอีก จารย์นั่งพูดอยู่ยังกล้าดีอีก ไร้มารยาท มีสมองคิดบ้างไหม บอกมาเดี๋ยวนี้ของใคร เห็นทีจารย์ต้องลงโทษให้ราบจำ”
พวกนักศึกษาพร้อมใจกันชี้ไปที่โทรศัพท์ของอาจารย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ อาจารย์หน้าเจื่อนลง ฝืนยิ้มฝืดๆ ให้นักศึกษาด้วยความเสียหน้า
“แต่บางทีถ้าเรามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกัน การใช้ไลน์นี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันทำให้เราไม่ล้าหลัง เป็นเต่าคร่ำครึ เพราะยุคนี้สมัยนี้มันเป็นแฟชั่นนะ เราก็ต้องตามมันให้ทัน การที่นักศึกษาสนใจโซเชียลมันก็ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้โลกกว้างไกล” อาจารย์แถไปซะไกล
“อาจารย์คะ ตกลงชั่วโมงนี้จะเปลี่ยนวิชาเรียนใช่ไหมค่ะ” แตยกมือถาม
“เออ จารย์ลืมไปว่าเราต้องเรียนการทำปุ๋ยเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้เรียนวิชาเทคโนโลยี เอาล่ะๆ มาเรียนกันต่อเถอะ นายไมตรีนั่งลงได้”
อาจารย์หันกลับไปสอนต่อ เสียงไลน์มือถืออาจารย์ดังขึ้นมาอีกหลายครั้ง อาจารย์มองนักศึกษาที่มองมาเป็นตาเดียว
“ยังไง ยัง ยังไม่ปิดเสียงอีก ตูเนี่ย” อาจารย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียง พร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้นักศึกษา
ตลอดเวลาที่อาจารย์บ่นอยู่นั้น ไมตรีมองวารินด้วยความรู้สึกผิด
วารินมองไมตรีซึ้งใจที่ไมตรีรับแทน แต่พอนึกได้ว่ายังโกรธไมตรีอยู่จึงรีบเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่สนใจ
ไมตรีถอนหายใจคิดหนักที่วารินยังโกรธอยู่
ไม่นานต่อมา อาจารย์ และนักศึกษา ทยอยเดินออกมาจากห้องเรียน วาริน แต และฝ้าย เดินออกมา ไมตรีเดินมาดัก
ไมตรีกับวารินมองหน้ากัน ไมตรีจะอ้าปากพูดแต่วารินไม่สนใจ หันหลังเดินหนี แตกับฝ้ายเดินตาม ไมตรีเลยไม่ได้พูดขอโทษสักที สุดท้ายไมตรีตัดสินใจฮึดสู้รีบเดินตามไป
ขณะที่ วาริน แต และฝ้ายเดินออกมาจากตึก ไมตรีรีบวิ่งมาดัก
“วาริน ฉันขอคุยอะไรหน่อยสิ”
“ฉันไม่ว่าง”
“ฉันขอเวลานิดเดียว”
วารินจ้องหน้าเขานิ่ง ไมตรีพยามจะยิ้มให้แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ วารินส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเดินหนีไป ไมตรีตามอีก
“วาริน เดี๋ยว”
“ฉันมีเรียนต่อ อย่าทำฉันเสียเวลา”
วารินรีบเดินไป แตกับฝ้ายจะเดินตาม ไมตรีรีบเรียกไว้
“พวกเธอจะไปเรียนอะไร แล้วเลิกกี่โมง”
“เธอถามทำไม จะไปหาเรื่องอะไรวาริน” แตมองหน้า
“เปล่า ฉันอยากจะขอโทษวารินเค้า”
แตกับฝ้ายมองหน้ากันงงๆ ฝ้ายยังไม่เชื่อ “พูดจริงปะเนี่ย”
“สาบานให้ก็ได้ ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเค้าจริงๆ”
“พวกฉันจะไปเรียนวิชาเอกที่แผนกพืชไร่ เลิกสี่โมง” แตบอก
ไมตรียิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”
แตกับฝ้ายรีบวิ่งตามวารินไป ไมตรีมองตาม
วารินเดินคุยมากับแต และฝ้ายตามทางเดินในคณะ
“เมื่อกี้คุยอะไรกับไมตรี”
แตกับฝ้ายแอบขยิบตากัน ก่อนที่แตจะบอกว่า
“ไม่มีอะไรหรอก พวกฉันก็ด่าว่าอย่ามายุ่งกับแกอีก คนไม่ดีไม่มีใครอยากคบ”
วารินตกใจ “เฮ้ย ทำไมพวกแกต้องพูดแรงขนาดนี้ด้วย”
ฝ้ายเสริมทันที “ก็สาสมดีแล้วนี่ อยากมาเยอะกับเพื่อนพวกเรา”
“มันก็ต่างคนต่างอยู่ก็ได้ ไม่เห็นต้องไปด่าเขาเลย” วารินบ่น
“นี่ริน ตกลงแกจะเอาไงเนี่ย ก็เห็นแกหน้าเป็นยักษ์ใส่ไมตรีเขาขนาดนั้น ตามบทเพื่อนนางเอกก็ต้องออกโรงด่าแทนนางเอกสิ เหมือนในละครไง” แตบอก
“แต่ชีวิตจริงเราไม่ต้องพูดกันรุนแรงก็ได้มั้ง” วารินว่า
“ตกลงแกจะเอาไงเนี่ย แกโกรธหรือไม่โกรธไมตรีกันแน่ พวกฉันสับสนบทที่จะเล่นแล้วนะ” ฝ้ายหยั่งเชิง
“เอาเป็นว่า พวกเราเฉยๆก็แล้วกัน ไม่ต้องไปด่าว่าเขาหรอก”
แตกับฝ้ายรีบเดินมาดักหน้ากันวารินไม่ให้เดินต่อ
“ริน ถ้าแกอยากเป็นเพื่อนไมตรี แกก็คุยกับเขาไปสิ” แตจ้องหน้า
ฝ้ายเสริมว่า “ตอนที่ไมตรีไม่อยากคุยกับแก ฉันเห็นแกตื้อเขาแทบตาย นี่พอเขาจะคุยด้วยกลับไม่คุยซะงั้น”
“ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าถ้าคุยอะไรไปจะโดนไมตรีด่าว่าอะไรอีก เลยต้องกลัวไว้ก่อน”
“แต่คราวนี้ฉันว่าไม่เหมือนก่อนว่ะ เพราะไมตรีเป็นฝ่ายขอเปิดเจรจากับแกเองนะ” ฝ้ายว่า
วารินอึ้งไปนิด “แกแน่ใจเหรอว่าไมตรีง้อฉัน”
“แน่นอน และแกก็ควรจะถือโอกาสนี้กลับมาเป็นมิตรกับไมตรีเลย” แตยิ้ม
วารินนิ่งคิดตามที่เพื่อนๆ เชียร์
ด้านรุทรเดินดูคนงานตัดเก็บผลส้มอยู่ในไร่ มีเมทินีคอยเดินตามทุกฝีก้าว
“วันนี้เมไม่ต้องเรียนงานเอกสารกับทิปปี้เหรอ”
“เรียน แต่เธอออกมาเดินดูที่นี่ฉันเลยตามมาด้วย”
“โห นี่ใจคอเมจะตามผมทุกฝีก้าวจริงๆ เหรอ” รุทรแดกดัน
“แน่นอน บอกแล้วไง ภรรยาที่ดีต้องติดตามสามี...ตลอดเวลา”
เมทินีพูดจบก็ยิ้มหวานให้ รุทรถอนใจเซ็ง แล้วเดินต่อ ทั้งคู่เดินผ่านคนงานคนหนึ่งใส่หมวกบังแดด และเอาผ้าปิดหน้ากันแดดอีกชั้น โดยไม่รู้ว่านั่นคือชาติที่กำลังตัดส้ม แต่รีบหันหนีจนทำให้ผลส้มตกพื้น รุทรเห็นก็เก็บส่งให้
“ระวังหน่อยสิ ถ้าช้ำมันจะขายไม่ได้”
ชาติพยักหน้ารับแล้วรีบหันไปเอาส้มใส่ในตะกร้า รุทรดูความเรียบร้อยสักครู่แล้วเดินไปต่อ เมทินีเดินตามไม่ยอมห่าง
ชาติมองตามสองคนไป แล้วหันมาบอกเพื่อนคนงานอีกคน
“กูปวดท้อง เดี๋ยวมานะ”
ชาติเดินตามรุทรกับเมทินีไปห่างๆ
รุทรกับเมทินีเดินออกมาจากแปลงส้ม ชาติตามมาอีกมุมหนึ่ง แต่มีคนงานเดินออกมาไม่หยุดไม่เปิดโอกาสให้ชาติจัดการ
ขณะที่รุทรกับเมทินีเดินอยู่ด้วยกัน จนโทรศัพท์รุทรสั่น รุทรหยิบมาดู เมทินีชะโงกหน้ามาดูด้วย จนรุทรเริ่มรำคาญ
“ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม”
“ไม่ได้”
รุทรถอนใจเอือมๆ ก่อนกดรับสาย “ว่าไงทิปปี้ ได้ๆ ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้”
รุทรกดวางสาย
“เราต้องกลับสำนักงานก่อน ทิปปี้บอกว่าตัวแทนหอการค้าจังหวัดมารอพบคุณพ่ออยากคุยเรื่องบูธขายน้ำส้มเพื่อช่วยงานฤดูหนาว แต่ตามตัวพี่กูรไม่ได้”
“ได้งั้นเรารีบไปเถอะ” เมทินีนึกได้ “เออวาทิต ขอฉันขับรถคันนี้หน่อยสิ ได้ข่าวเครื่องแรง อยากลอง”
ชาติเล็งมองไปรอบๆ เห็นพวกคนงานเดินไปกันหมดแล้ว จึงหยิบปืนมาเล็งจะยิง แต่ปรากฎว่าเมทินีกับรุทรดันเดินสลับข้าง กลายเป็นเมทินีมาด้านคนขับ รุทรไปอีกทาง ทำให้ชาติยิงไม่ได้ จนทั้งสองขึ้นรถขับไป
ชาติอารมณ์เสียที่ไม่มีโอกาส ระหว่างนั้นรถกระบะขนคนงานอีกกลุ่มมาจอดใกล้ๆ ชาติต้องรีบปิดหน้าใส่หมวกปิดหน้าแล้วเดินเลี่ยงๆ หนีออกไป
รุทรเปิดประตูพาตัวแทนหอการค้าออกมาจากห้องทำงาน
“ยังไงพรุ่งนี้ผมจะให้บริษัทที่เขาทำบูธของเราส่งแบบไปให้นะครับ”
รุทรกับตัวแทนไหว้ลากัน เมทินีกับทิปปี้ไหว้ลาด้วย รุทรออกไปส่งที่รถแล้วเดินกลับมา
“ทิปปี้ ทำไมบริษัทบูธยังไม่ส่งแบบอีกล่ะ”
“แบบน่ะส่งมาแล้วอยู่ในเมล์กลางของไร่ แต่พี่กูรน่ะสิ ไม่ยอมส่งให้ทางหอการค้า ฉันบอกไปหลายทีแล้ว สงสัยจะลืม”
“งั้นเธอส่งไปเลยแล้วกัน”
“อุ๊ย จะดีเหรอ เดี๋ยวพี่กูรหาว่าฉันข้ามหน้า” ทิปปี้กังวล
“ไม่เป็นไร มีอะไรฉันรับผิดชอบเอง งานการกุศลน่ะให้เขารอนานไม่ดี มันเหมือนเราไม่เต็มใจช่วย” รุทรว่า
“ได้ๆ งั้นฉันส่งให้เดี๋ยวนี้เลย”
รุทรจะเดินออกไปเมทินีรีบเรียกไว้ “จะไปไหนอ่ะ”
“ผมจะไปดูเขาผสมปุ๋ยจากมูลสัตว์”
“งั้นเธอไปเถอะ”
รุทรงงที่เมทินีไม่ตาม แต่ก็เดินออกไป
“ว่าไงจ๊ะแม่พยัคฆ์สาวนักสืบ ทำไมไม่ตามไปอีกล่ะ”
“อันนี้ยกเว้น ฉันเคยไปแล้ว...”
ทั้งคู่ตอบขำๆ พร้อมกันว่า “มันเหม็น”
สองสาวหัวเราะให้กัน
“แกนี่เลือกงานเหมือนกันนะเนี่ย ระวังจะเสียรูปคดี อุ๊ย ลืมเลยมีจดหมายของวาทิตด้วย”
“จดหมายอะไรเหรอ”
ทิปปี้ส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือส่งให้นักสืบสาว
เมทินีมองฉงน “จากโรงเรียนเหรอ”
เย็นแล้ว ไมตรีมาดักยืนรอที่หน้าอาคารเรียนภาควิชาเอกของวาริน
สักครู่ วาริน แต และฝ้ายเดินลงมาจากตึก พอไมตรีเห็นก็รีบเดินมาหา วารินเห็นหน้าไมตรีก็นิ่งอึ้ง
“ฉันขอคุยด้วยได้ไหม”
แตชิ่ง “งั้นฉันกลับก่อนนะ”
“ได้ไง ฉันกลับด้วยสิ”
วารินจะเดินตามแตกับฝ้ายไป แต่ถูกไมตรีเดินมาขวางไว้
“ริน แกคุยกับไมตรีเถอะ อย่างน้อยไมตรีก็หล่อนะ ฉันยังอยากคุยเลย” ฝ้ายยิ้มล้อ
แตตบกะโหลกฝ้ายทันที
“หลีไม่ดูเหตุการณ์บ้านเมืองเลยนะแก”
จากนั้นแตก็ลากฝ้ายออกไป วารินหันตัวจะเดินหนีไปทางอื่น
“ฉันขอโทษ”
วารินชะงักหันกลับมามอง ไมตรียิ้มให้
สองคนนั่งอยู่ที่ร้านไอติมในมหาวิทยาลัยแล้ว มีไอติมวางอยู่ตรงกลาง แต่ยังไม่มีใครกิน ไมตรีมองหน้าวารินจ๋อยๆ รู้สึกผิด อยากขอโทษ
วารินไม่ยอมมองหน้าไมตรี เบือนหน้าไปทางอื่น
ไมตรีเลื่อนถ้วยไอติมไปให้วาริน “กินก่อนซิจะได้ใจเย็นๆ”
วารินเหลือบมองไมตรี มองเลยไปที่ถ้วยไอติม ทำเป็นไม่สนใจคำขอโทษ
ไมตรีถอนหายใจ “ฉันรู้นะว่าเธอยังโกรธฉันมาก แต่ฉันอยากขอโทษเธอจริงๆ ฉันรู้ตัวว่าทำผิดกับเธอไว้เยอะทั้งที่เธอดีกับฉัน แต่ฉันก็ยังทำตัวแย่ๆใส่เธอ ฉันขอโทษนะวาริน”
วารินหันมามองหน้าไมตรี เริ่มจะใจอ่อน แต่ก็ยังวางฟอร์มอยู่
“นายคิดจะขอโทษฉันด้วยไอติมถ้วยเดียว แล้วจะทำให้ฉันหายโกรธนายง่ายๆ เลยเหรอ”
ไมตรีหน้าจ๋อย คิดว่าวารินไม่หายโกรธง่ายๆ แน่
“แล้วเธอจะให้ฉันทำอะไรเป็นการไถ่โทษล่ะ ฉันยอมทำทุกอย่าง”
วารินยิ้มเจ้าเล่ห์ “แน่ใจนะว่าจะยอมทำทุกอย่าง”
ไมตรียิ้ม “แน่ใจซิ”
วารินเรียกพนักงานสั่งไอติมมาเพิ่มหลายๆ ถ้วย หลากรส
ครู่เดียว ถ้วยไอติมหลายถ้วยวางอยู่ตรงหน้าสองคน วารินยิ้มมีความสุขที่ได้แกล้งหนุ่มขี้เก๊ก ส่วนไมตรีหน้าเหวอเห็นไอติมเยอะเกินไป
“กินให้หมด” วารินบอก
ไมตรีตกใจ “อะไรนะ เธอจะให้ฉันกินให้หมดเลยเนี่ยนะ”
“ใช่ ทำไม ทำไม่ได้งั้นซิ”
วารินทำทีไม่พอใจจะลุกขึ้น ไมตรีรีบรับปาก
“ได้ๆ ฉันจะกินให้หมด แต่เธอต้องหายโกรธฉันนะ”
วารินไม่ตอบ ทำหน้ากวนๆ ใส่ และพยักหน้าเป็นเชิงให้ไมตรีกินไอติมสักที ไมตรีตักไอติมกินจนหมดไปหลายถ้วย แล้วเริ่มจะไม่ไหว
วารินแอบมองทั้งขำ ทั้งสงสาร แต่ก็ยังทำเป็นไม่คืนดีด้วย ไมตรีฝืนกินจนไอสำลัก แต่ก็ยังจะกินต่อกลัววารินไม่หายโกรธ วารินเริ่มเห็นว่าไมตรีกินไม่ไหว เลยจับมือห้ามไม่ให้ตักไอติมกินต่อ ไมตรีอึ้ง วารินมองตอบ จนรู้สึกตัวว่าจับมือไมตรีอยู่ ก็รีบชักมือกลับ
“ไม่ต้องกินแล้ว”
ไมตรีมองวารินด้วยความฉงนฉงาย “เธอหายโกรธฉันแล้วเหรอ”
วารินวางฟอร์ม “ก็นิดนึง แต่ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันก็เคยทำไมดีไว้กับนาย เคยดูถูกนาย ฉันก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน” เด็กสาวพูดออกมาจากจริงใจ “ฉันขอโทษนะไมตรี”
ไมตรียิ้มกว้าง “ก็ถือซะว่าเราหายกัน แม่ฉันบอกว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก ให้ดูที่ปัจจุบัน และปัจจุบันของฉันในตอนนี้ ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉันนะวาริน การที่เธอคอยช่วยเหลือฉันทั้งเรื่องสอบและก็เรื่องรายงาน มันทำให้ฉันรู้ว่าการมีเพื่อนดีๆ คอยช่วยเหลือ เป็นคนที่โชคดีมากเลยนะ...เรามาเป็นเพื่อนกันนะวาริน”
วารินซึ้งใจ แต่วางฟอร์มหลบตาตักไอติมกินไม่ยอมตอบตกลง
“กินซิ ไอติมตังเยอะแยะ”
ไมตรีมองวารินรอฟังคำตอบ
“บอกให้กินไง”
ไมตรีไม่กล้าขัดตักไอติมกินตาม
วารินพูดท่าทีเขินๆ โดยไม่มองหน้าไมตรีว่า “รับแอดฉันในเฟซบุ๊คด้วยนะ”
ไมตรีมองวารินแล้วยิ้มดีใจ วารินลอบยิ้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะสบตากัน ต่างคนต่างยิ้มให้กันที่เข้าใจกันได้ในที่สุด
อ่านต่อตอนที่ 2
เงาใจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ฝ่ายเมทินีเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่น ดูจดหมายในมือจะแกะอ่าน แต่เปลี่ยนใจ เดินไปนั่งรอ ครั้นมองไปที่เปียโนในห้อง หญิงสาวหวนนึกถึงตอนที่เคยเล่นเปียโนกับวาทิต สุดท้ายเมทินีเล่นเปียโนอยู่คนเดียวอย่างอารมณ์ดี
รุทรเดินเข้าบ้านมาในจังหวะนี้ พอผ่านห้องนั่งเล่นเห็นเมทินีเล่นเปียโนอยู่เลยหยุดดู
รุทรเห็นเมทินีที่เล่นเปียโนอย่างมีความสุข จนเคลิ้ม และยิ้มออกมา ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเมทินี จนอีกฝ่ายรู้ตัวหยุดเล่น นั่นทำให้รุทรได้สติ
“เธอจะเล่นเหรอ” เมทินีรีบลุกให้
“เอ่อ...ไม่ดีกว่า ผมจะไปอาบน้ำ เหม็นทั้งตัวเลย”
รุทรจะเดินไป เมทินีนึกได้รีบวิ่งเอาจดหมายตามไปให้
“มีจดหมายด่วนถึงเธอ”
รุทรมองจดหมายในมือเมทินี “ของผมเหรอ”
“ใช่ ฉันแกะอ่านเลยนะ”
รุทรพยักหน้าอนุญาต เมทินีแกะจดหมายอ่าน
“เป็นจดหมายเตือนจากทางโรงเรียน เขาส่งมาถามเธอน่ะว่าจะไปงานโรงเรียนเขาถึงกี่โมง”
รุทรทำหน้างง เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้
“ก็โรงเรียนที่เธอชอบไปบริจาคสิ่งของไง พวกของใช้ เครื่องดนตรี เขาจัดกิจกรรมให้กับเด็กๆ เธอสัญญากับเขาไว้ด้วยนิ ว่าจะไป เธอจำไม่ได้เหรอ”
รุทรนิ่งคิดว่าจะเอาไงดี เมทินีก็จ้องมองอยู่
“เอ่อ…” รุทรมองหน้าซองจดหมาย “อ๋อ โรงเรียนบนดอยอ่างขาง”
เมทินียิ้ม “งั้นเราก็ไปร่วมงานกับเขานะ”
รุทรฉงน “เรา”
“ใช่สิ แล้วเราก็ต้องไปพรุ่งนี้เลย”
รุทรยิ่งตกใจ “พรุ่งนี้!”
“โรงเรียนอยู่ไกลนะวาทิต ถึงเธอจะเคยไปมาแล้ว และรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี เราก็ต้องเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง”
“ผมว่าเราอย่าไปเลย เพราะเราต้องดูงานแทนคุณพ่อนะ”
“พี่กูรเป็นผู้จัดการ ทิปปี้ก็ช่วยอยู่ อีกอย่างเธอกับฉันก็แค่มาฝึกมาเรียนรู้งาน เขายังไม่นับเป็นหนึ่งแรงหรอก เป็นว่าตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมของไปแจกน้องๆ ดีกว่า”
เมทินีสรุปตัดบทเสร็จสรรพ แล้วยื่นจดหมายใส่มือเขา ก่อนเดินออกไป รุทรรีบดูจดหมายพลิกหาทุกมุม
“เบอร์โทร.สักเบอร์ก็ไม่มีเหรอวะ จะไปไงวะเนี่ย”
ที่ห้องอาหารมื้อค่ำ เอื้องคำออกอาการตกใจกับข่าวใหม่
“อะไรคะ ไปกันสองคนเองเหรอ”
จั่นเป็งโพล่งขึ้น “นี่คือฮันนีมูนใช่ไหมคะ”
เอื้องคำหยิกจั่นเป็งจนร้องลั่น
รุทร เมทินี และกินรีนั่งกินข้าวที่โต๊ะ
“ฉันกับวาทิตจะไปเยี่ยมโรงเรียนที่เคยบริจาคเครื่องดนตรีน่ะ”
“อุ๊ย ตั้งไกลนะคะ แล้วไปแบบนี้จะอันตรายหรือเปล่าก็ไม่รู้” เอื้องคำปรายตามองเมทินี “คนที่ไปด้วยก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ”
เมทินีโดนเอื้องคำแขวะก็ตัดสินใจเงียบดีกว่า
“คุณวาทิตจะไปสักกี่วันคะ” กินรีถาม
“น่าจะสองสามวัน”
“นรีจะจัดยาให้นะคะ แล้วเอ่อ ถ้าคุณวาทิตไม่อยู่หลายๆ วัน นรีจะขอลากลับไปพักที่บ้านนะคะ”
วาทิตอนุญาต “ได้สิ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นนรีจะไปเตรียมยานะคะ” กินรีเดินออกไป
“เดี๋ยวผมไปสั่งให้หนานเตรียมรถนะ”
รุทรเดินออกไป เอื้องคำยังไม่ยอมแพ้เดินมาแขวะเมทินีต่อ
“หวังว่าไปครั้งนี้คุณคงไม่ทำร้ายคุณวาทิตให้แย่กลับมานะคะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะป้า เมจะดูแลวาทิตให้ดีที่สุด”
“ฮึ ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน อิฉันกลัวจะคุณจะดูแลจนคุณวาทิตแย่ปางตายอย่างคราวที่แล้ว”
เมทินีกลอกตาเหนื่อยใจเหลือเกิน
รุทรตรงมาอยู่ที่ห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ภายในบ้าน เปิดคอมพ์นั่งดู Google map แต่หน้าจอขึ้นว่า สถานที่ที่หาไม่มี รุทรตกใจ
“เฮ้ย กันดารไปไหม ขนาดแผนที่ในกูเกิ้ลยังหาไม่เจอ”
รุทรตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“สวัสดีครับคุณลุง คุณลุงพอจะเขียนแผนที่ไปโรงเรียนที่ดอยอ่างขาง ที่วาทิตกับคุณลุงเคยไปบริจาคของใช้และเครื่องดนตรีได้ไหมครับ งั้นคุณลุงช่วยส่งแฟกซ์ให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
รุทรกดวางสายแล้วยิ้มพอใจ
ด้านกินรีอยู่ในชุดนอนกำลังเก็บของใส่กระเป๋า แล้วโทรศัพท์ดังขึ้น กินรีเดินไปจะหยิบโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะก็ต้องชะงัก หน้าจอเป็นเบอร์ของอังกูร กินรีตัดสินใจกดตัดสายทิ้ง แต่แล้วพอจะเดินกลับไปโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก กินรีเลยปิดเครื่องซะเลย เดินกลับมาจัดกระเป๋าต่อ แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
กินรีรู้สึกสงสัยว่าใคร เดินไปเปิดดู กลายเป็นอังกูรที่ผลักประตูเข้ามาแล้วปิดห้องเลยทันที
“ฉันโทร.ทำไมไม่รับ”
“ไม่อยากรับ”
“ฮึ...อย่าคิดว่าฉันอยากจะง้อคนอย่างเธอนะ”
“ถ้างั้นก็กลับไปสิคะ”
อังกูรฉุนขาดจับแขนกินรีกระชากมาแล้วผลักลงไปที่เตียง ตัวเขาเองก็ลงนั่งข้างๆ
“เห็นคนงานมันคุยกันว่าพรุ่งนี้วาทิตมันจะไม่อยู่ไร่”
“อยากรู้ก็ไปถามคุณวาทิตเองสิคะ”
อังกูรยิ้มเอาใจ “ไม่เอาน่านรี เรามันคนคุ้นเคยกัน มีอะไรก็บอกมาเถอะ”
อังกูรยิ้ม ถอดเสื้อคลุมไหล่กินรีออก แล้วซุกไซ้กอดหอม กินรีพยามบ่ายหน้าหนี แต่อังกูรก็ดึงรั้งมากอด
“ได้ค่ะ นรีจะบอกให้หมด เผื่อคุณกับนรีจะได้เจ็บเหมือนๆ กัน”
อังกูรชะงักไปนิดหนึ่ง กินรียิ้มสะใจ
“พรุ่งนี้คุณวาทิตกับเมจะไปเที่ยวกันสองสามวัน น่าจะเรียกว่าไปฮันนีมูนนะคะ”
อังกูรชะงัก “ไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าจะออกกันไปแต่เช้าเลย คุณกูรจะอยู่รอส่งเขาที่ห้องนี้กับนรีไหมล่ะค่ะ”
กินรีประชดกะให้อังกูรเจ็บ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น อังกูรลุกพรวดด้วยความโมโหแล้วเดินออกไปทันที
กินรีมองตามน้ำตาร่วง แล้วฟุบหน้าร้องไห้บนเตียง
อังกูรนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาในห้องโถงบ้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นสุดจะประมาณที่รู้ว่าทั้งสองจะไปเที่ยวด้วยกัน สุดท้ายขว้างแก้วอัดกำแพงระบายอารมณ์
“ไปฮันนีมูนเหรอ ฉันไม่ยอมแกหรอกไอ้ง่อย”
รุ่งเช้า เมทินีกำลังจัดกระเป๋าเดินทางอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า โดยอีกมุมข้างเตียงฝั่งรุทรซึ่งเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วคอยลอบมองเมทินี พอเห็นเธอหันหลังไม่สนใจ ก็แอบหยิบเอากระดาษแฟกซ์แผนที่ที่พ่อเลี้ยงวิทย์ส่งมาให้ออกมาดู
รุทรกวาดตามองแผนที่อย่างตั้งใจ
เสียงเมทินี ดังขึ้น “เก็บของเสร็จหรือยัง”
รุทรสะดุ้ง “เรียบร้อยแล้ว”
เมทินีพยักหน้ารับรู้ แล้วยกกระเป๋าเดินออกจากห้องไป รุทรรีบพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกงด้านซ้ายแล้วซ้อมโดยขึ้นนั่งบนเตียงทำท่าขับรถแล้วหยิบกระดาษออกมา
“ไม่ได้ ถ้าข้างนี้เมเห็นแน่”
รุทรเลยเปลี่ยนมาใส่ข้างขวาแล้วหยิบก็ไม่พอใจ เปลี่ยนมาจะใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วทำท่าขับแล้วซ้อมเอามือซ้ายหยิบแฟกซ์โดยยกมือขวาทำท่าจับพวงมาลัยบังๆไว้
“พอได้ล่ะวะ”
รุทรไปหยิบกระเป๋าแล้วรีบออกจากห้องไป โดยพบว่าบนเตียงฝั่งรุทรนอน มีจดหมายที่โรงเรียนส่งมาพร้อมซองวางอยู่
พอออกมาหน้าบ้าน รุทรต้องมีสีหน้าผิดหวังเมื่อเห็นรถคันที่หนานเตรียมให้
“ทำไมไม่เอาคันที่มีเนวิเกเตอร์ล่ะ”
“อ๋อ คันหนึ่งพ่อเลี้ยงเอาไปแล้ว อีกคันคุณกูรขอไปใช้เป็นรถผู้จัดการครับ ส่วนรถตู้ก็เข้าศูนย์เช็คระยะ อีกสามวันถึงจะได้ครับ”
เมทินีฉงน “ไหนเธอบอกรู้ทางไง”
“เปล่ามีไว้ก็อุ่นใจ”
รุทรจับหน้าอกตัวเองตำแหน่งที่ใส่กระดาษแฟกซ์ไว้
“ที่จริงให้หนานไปด้วยก็ได้นะคะ จะได้ช่วยขับรถยกของด้วย” เอื้องคำบอก
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะป้า ถ้าวาทิตขับไม่ไหวฉันสลับขับให้ก็ได้”
เอื้องคำค้อน “คุณน่ะควรจะขับ ให้คนป่วยขับได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกป้า ผมขับไหว”
หนานและจั่นเป็งช่วยกันขนกล่องหลายกล่องขึ้นรถ เสร็จแล้วหนานก็มายกกระเป๋าของรุทรกับเมทินีใส่รถระหว่างนั้นอังกูรถือกระเป๋าเดินมาด้วย แล้วตรงมาหารุทร
“ได้ข่าวจะไปเที่ยวกันเหรอ”
“ไปทำธุระน่ะครับ”
อังกูรหันไปยิ้มทักเมทินี “ช่วงนี้พี่ทำงานหนักไม่ได้ลาเลย ขอไปเที่ยวด้วยคนนะเม”
ทั้งรุทร เอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน พากันมองอังกูรทันที ไม่คิดว่าอังกูรจะกล้า
“ก็ดีสิคะ ไปหลายๆ คนสนุกดี” เมทินีว่า
รุทรบอกทันทีว่า “แต่ผมว่าไม่สะดวก”
อังกูรกับเมทินีมองรุทรทันที ไม่คิดว่ารุทรจะกล้าปฏิเสธ
“ธุระนี่เป็นเรื่องของผมกับเม ผมคงให้พี่กูรไปด้วยไม่ได้”
“ไม่เอาน่าน้องชาย พี่ไปด้วยอีกคนมันก็คงไม่เป็นไรหรอก”
“ยังไงก็ไม่ได้ ผมต้องการไปกันแค่สองคนเท่านั้น”
รุทรบอกเสียงแข็ง พลางยิ้มให้อังกูร แล้วดึงเมทินีไปเปิดประตูขึ้นรถ แล้วจะเดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับ อังกูรเดินตามมาจับไหล่รุทรไว้แล้วจ้องหน้านิ่ง
“งั้นก็เดินทางดีๆ ระวังตัวด้วยนะ”
รุทรยิ้มตอบแล้วแกะมืออังกูรออกจากไหล่ เอื้องคำเดินเข้ามาจับไม้จับมือด้วยความเป็นห่วง
“ถ้ามีอะไรรีบโทร.กลับทันทีนะคะ โทร.หาป้าเรื่อยๆ นะคะ อย่าขาดการติดต่อนะคะ ป้าเป็นห่วง”
“ขอบคุณครับป้า”
รุทรยิ้มให้เอื้องคำ แล้วขึ้นรถขับออกไป
อังกูรมองตามด้วยความโกรธแล้วเดินออกไป เอื้องคำ หนาน และจั่นเป็งรู้สึกสงสารอังกูรมาก
เอื้องคำถอนใจเฮือก “เฮ้อ...สงสารคุณกูรนะ”
อังกูรเดินมาที่มุมลับตาคน แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“ไอ้ชาติ แกรีบตามไปจัดการไอ้วาทิตเร็ว มันเพิ่งออกจากไร่”
อังกูรกดวางสายแล้วยิ้มสะใจ
ระหว่างนั้นกินรีถือกระเป๋าลงมาจะกลับบ้าน พอเจออังกูรก็ชะงักไป
“ไงคะ ได้ส่งคนรักไปฮันนีมูนหรือเปล่า”
“แน่นอน”
“ยินดีด้วยนะคะที่คุณกูรทำใจได้”
กินรีเดินไป มีอังกูรพูดไล่หลัง
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันสังหรณ์ว่าเมจะต้องกลับมาเป็นของฉันเร็วๆ นี้”
กินรีไม่เข้าใจที่อังกูรพูดหยุดเดินหันกลับมา
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็วาทิตมันสุขภาพไม่ค่อยดี อีกไม่นานมันก็คง...ตาย”
อังกูรเดินยิ้มอารมณ์ดีออกไป กินรีมองตามไม่เข้าใจคำพูดนั้น
อีกฟาก ที่บริเวณด้านหน้าตลาด กาดบุษบัน แลเห็นรถพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นมาจอด ก่อนที่พ่อเลี้ยงกับวารินลงมาจากรถ
“ให้รินช่วยคุณลุงซื้อของก่อนไหมคะ”
“ไม่เป็นไร รินรีบไปเรียนเถอะ ลุงหาซื้อเองได้”
“งั้นรินบอกร้านให้คุณลุงแล้วกันนะคะ เพราะรินมาซื้อให้แม่ประจำ”
พ่อเลี้ยงวิทย์เยื้อนยิ้มแล้วส่งรายการให้วารินดู
“ถ้าพวกอาหารผู้ป่วย น้ำยาฆ่าเชื้อ สำลี น้ำเกลือนี่ต้องร้านเฮียย้งตรงมุมโน้นค่ะ ส่วนพวกแป้งทาตัว โลชั่นกันผิวแห้งร้านสะดวกซื้อตรงหน้าตลาด แต่ถ้วยตวง” เด็กสาวหน้าเสีย “แหะๆ ที่รินทำแตก แล้วก็ผงซักฟอกกับผ้าขนหนูผืนกลางนี่ร้านท้ายตลาดจะดีกว่าค่ะเพราะมีผงซักฟอกแบบกล่องใหญ่แล้วมีผ้าขนหนูขนาดกลาง”
บุษบันเดินเก็บค่าเช่าแผงมากับลูกน้องคนสนิท พอมองไปเห็นพ่อเลี้ยงวิทย์มากับวารินก็ชะงักทันที
บุษบันมองเห็นวารินไหว้ลาพ่อเลี้ยงวิทย์แล้วแยกเดินไปที่ท่ารถ ก็มีสีหน้าแปลกใจระคนสงสัย
“เอ๊ะ นั่นพ่อเลี้ยงวิทย์นี่ แล้วมานี่ทำไม แล้วไปรู้จักกับน้องรินเมื่อไหร่”
“ผมไม่ทราบครับ”
บุษบันค้อนตาคว่ำ “ฉันไม่ได้ถามแก” เจ๊พึมพำอีก “ถ้ารู้จักกับน้องริน ก็ต้องรู้จักรุทร แล้วไปรู้จักกันตอนไหน ก็ตอนเข้าไร่รุทรไม่ได้เจอกับพ่อเลี้ยงนี่” บุษบันนึกไปนึกมาออเออเองเสร็จสรรพ “หรือว่ารุทรไปสัมมนาแล้วเจอกับพ่อเลี้ยงที่กรุงเทพฯ แล้วรุทรก็พาพ่อเลี้ยงมาจีบแม่แรม”
คิดดังนี้แล้งบุษบันออกอาการดีใจ “ต๊าย ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ป๊อกสองเด้งน่ะสิ ได้แฟนหล่อแล้วยังได้เป็นสะใภ้เศรษฐีอีกเหรอเนี่ย”
ลูกน้องแหลมเข้ามาอีก “อันนี้ผมก็ไม่ทราบอีกเหมือนกันครับ”
“โอ๊ย ไม่ต้องออกความเห็นบ้างก็ได้”
ลูกน้องจ๋อยสนิท บุษบันมองพ่อเลี้ยงวิทย์กับวารินแล้วคิดประเมินว่าจะตามไปหาใครดี แต่เห็นวารินขึ้นรถบัสไปแล้ว บุษบันเลยปรับโฟกัสไปที่พ่อเลี้ยง แอบตามไปทันที
มุมตึกใกล้ๆร้านขายอุปกรณ์การแพทย์
บุษบันยืนลับๆล่อๆชะเง้อคอยืดคอยาว
“พ่อเลี้ยงมาร้านเฮียย้งก็แสดงว่าต้องมาซื้ออุปกรณ์การแพทย์เหรอ”
“น่าจะใช่นะครับ” เสียงลูกน้องแหลมมาอีก
บุษบันได้ยินเสียงก็หันไป เจอลูกน้องยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนตัวเองก็ตกใจ
“เอ้า แกมาตามฉันทำไม ไปเก็บค่าเช่าสิ”
“แล้วคุณบุษจะสอดรู้สอดเห็นคนเดียวเหรอครับ”
“เออ...” บุษบันนึกได้ “ไอ้ปั๋นต๊าย...ไป๊” บุษบันด้วยคำด่าทางเหนือแปลว่าไอ้ตายพันครั้ง
ลูกน้องจอมเจ๋อรีบเดินลิ่วไป บุษบันยืนต่อแล้วสักครู่หนึ่ง จึงเห็นพ่อเลี้ยงวิทย์เดินถือถุงพะรุงพะรังออกมา บุษบันจัดหน้าจัดผมให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วรีบวิ่งตามไป
พ่อเลี้ยงถือถุงเพิ่มอีกพอควร เดินออกมาจากร้าน แล้วก็ต้องแปลกใจที่เจอบุษบันยืนยิ้มหวาน พร้อมกับไหว้อย่างอ่อนช้อยย่อเข่าจนศีรษะแทบจะชนเข่า พ่อเลี้ยงวิทย์ตกใจมาก
“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยงวิทย์ จำบุษได้ไหมคะ บุษบันที่เคยไปรับส้มที่ไร่มาขายน่ะค่ะ”
“เอ่อ จะ จำได้ครับ ร้านคุณบุษบันอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่ร้านค่ะ กาดที่นี่ของบุษทั้งหมด ตึกแถวรอบตลาดก็ใช่นะคะ ร้านกาแฟตรงนั้น ร้านข้าวแกงตรงโน้น แม้แต่แผงหวยตรงนี้ก็ของบุษค่ะ สรุปคือที่อำเภอนี้บุษรวยสุดค่ะ ว่าแต่พ่อเลี้ยงมาทำอะไรที่นี่คะ” บุษบันอวดรวยตามธรรมเนียม
“ผมมาธุระน่ะครับ”
“มาธุระเช้า ก็แสดงว่าเมื่อคืนค้างที่นี่เหรอคะ แล้วแวะร้านอุปกรณ์การแพทย์ซื้อของเยอะแยะไปไหนคะ”
พ่อเลี้ยงเห็นบุษบันจุ้นจ้านจนรู้สึกอึดอัด เลยรีบขอแยกตัวไป
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีต้องรีบ”
พ่อเลี้ยงวิทย์รีบเดินหนีไป
“เดี๋ยวสิคะพ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงวิทย์รีบเดินจ้ำโดยเร็วมาขึ้นรถแล้วรีบขับออกไป บุษบันที่เดินตามมาได้แต่โบกมือส่ง
“เลยไม่รู้กันว่ารุทรกลับมาหรือเปล่า”
บุษบันหันกลับมาอีกทางก็เจอลูกน้องยืนหน้าตายอยู่ ถึงกับสะดุ้ง
“อ๊าย...แกดูหนังผีมากไปหรือเปล่า เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แล้วนี่มาทำไมอีก ไม่เก็บค่าแผงล่ะ”
ลูกน้องยื่นเงินให้ “เก็บหมดแล้วครับ”
บุษบันเก็บเงินใส่กระเป๋าถือแบบคุณนาย “แกกลับบ้านไปก่อน ฉันจะไปทำสวย เดี๋ยวเย็นนี้จะต้องไปเอาใจครอบครัวสามีซะหน่อย”
“แน่ใจว่าเขาอยากได้คุณบุษเหรอครับ” ลูกน้องเจ๋ออีก
“โอ๊ย....ไอ้จั๊ดวอก สักวันฉันจะเอาปูนโบกปากแก”
บุษบันเดินเม้งออกไป
ฟากรุทรขับรถมาตามทาง คอยสอดตามองสองข้างทาง ส่วนเมทินีมองวิวด้านข้างอย่างเบิกบาน
โดยทางด้านหลัง พบว่าชาติขี่มอเตอร์ไซค์เล็กๆ ตามอยู่ห่างๆ
รุทรเห็นเมทินีกำลังเผลอก็ยกมือซ้ายขึ้นบังแล้วเอามือขวาแอบหยิบกระดาษแฟกซ์มาคลี่ดูอย่างเบามือ
เมทินีถามโดยไม่ได้หันมามอง “ปกติใช้เวลาเดินทางนานไหม”
รุทรตกใจรีบทิ้งกระดาษไปก่อน “ก็นานนะ อยู่ตั้งดอยอ่างขางนี่”
เมทินีไม่ได้สนใจอะไรอีก รุทรมองที่พื้นแล้วคิดเอาไงดี จนสายตาของรุทรเห็นปั๊มน้ำมันอยู่ไกลๆ
“เดี๋ยวผมขอแวะซื้อกาแฟหน่อยนะ”
เมทินีงง “เมื่อเช้าก่อนออกมาเธอก็เพิ่งกินไปนะ”
“เอ่อ ขับรถทางไกลมันเหนื่อยๆ”
เมทินีหมั่นไส้ “สุขภาพเธอนี่แปลกเนอะ บางวันก็ดีเว่อร์ แต่วันนี้เพิ่งตื่นแท้ๆ เหนื่อยซะงั้น”
“เอาอะไรกับคนป่วยล่ะ”
“งั้นก็แวะเถอะ เดี๋ยวฉันไปซื้อกาแฟให้”
รถของรุทรแล่นเลี้ยวเข้าปั๊ม โดยมีรถชาติเลี้ยวตาม
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
รุทรจอดรถอยู่ในปั๊ม มีรถคันอื่นจอดอยู่ด้วย รุทรออกมายืนรอเมทินี และคอยชะเง้อมองไปในร้านเห็นเมทินียืนซื้อกาแฟอยู่ อีกมุมเห็นชาติจอดรถซุ่มอยู่ มันหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม แต่คนเยอะ หาจังหวะไม่ได้
รุทรเอากระดาษแฟกซ์มาดูแล้วต้องอึ้ง
“เฮ้ย ต้องเลี้ยวแยกเมื่อกี้นี่หว่า” เขาดูต่อพลางไล่มือตามแผนที่ไปด้วย “แล้วตรงไปอีกสองแยกก็เลี้ยวขวา ตรงออกไฮเวย์หาป้ายไปดอยอ่างขาง แล้วเลี้ยวขวาวิ่งไปอีก 30 โล เจอสามแยก” รุทรยิ้มออก “เอาแค่นี้ก่อน”
“กาแฟได้แล้ว”
เมทินีเดินมายืนข้างกระจก รุทรรีบขยำกระดาษแฟกซ์กลัวเมทินีเห็น แล้วรับแก้วกาแฟมาถือไว้โดนซ่อนกระดาษในมืออีกข้าง
เมทินีส่งกาแฟให้รุทร แต่รุทรยังไม่ทันจะรับ ดันมีคนเดินมาชนเมทินีจนเซมาชนรุทรทำให้กาแฟหกเลอะเสื้อรุทร และเลอะที่แขนเมทินี
“ว้าย ตายแล้ว”
“ขอโทษครับๆ” คนที่ชนรีบขอโทษเป็นการใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ”
“เดี๋ยวนะ ฉันหาทิชชู่ให้” พลางส่งแก้วกาแฟให้รุทรช่วยถือ
เมทินีไปเปิดท้ายรถหยิบทิชชู่ รุทรรีบเอากาแฟทั้งสองแก้วไปวางในช่องโดยเอากระดาษแฟกซ์ซ่อนไว้ข้างใต้แก้ว
เมทินีกลับมาพร้อมกล่องทิชชู่ รุทรหยิบมาเช็ดๆตัวแต่มันก็เลอะเยอะมาก เมทินีก็เช็ดตามแขนตัวเอง
“ฉันว่าเธอไปเปลี่ยนเสื้อแล้วล้างตัวหน่อยดีกว่า ไม่งั้นเหนียวแย่”
รุทรพยักหน้ารับ
เมทินียืนรอที่รถ รุทรอยู่ในเสื้อตัวใหม่แล้ว เดินออกมาทางห้องน้ำปั๊ม ตรงไปเปิดท้ายรถเอาเสื้อเก็บในกระเป๋า
ชาติเห็นเป็นโอกาสเหมาะ มันหยิบปืนออกมาเตรียมจะยิง แต่ดันมีรถตำรวจแล่นมาจอดบังพอดี ชาติรีบเก็บปืน ตำรวจสองนายลงมาจากรถ คนหนึ่งไปเข้าห้องน้ำ ชาติเลยนิ่งรอจังหวะ
ฝ่ายเมทินีเปิดรถ แล้วพบว่าแก้วกาแฟทั้งสองเหลือกาแฟไม่มาก จึงหยิบออกมาแล้วเห็นกระดาษที่ถูกขยำใต้ถ้วยกาแฟ แต่เธอก็ไม่สนใจหยิบออกไปด้วย
เมทินีเดินไปที่ถังขยะใกล้ๆ แล้วทิ้งแก้วกาแฟพร้อมกระดาษแฟกซ์ลงถัง
รุทรเก็บเสื้อเสร็จปิดท้ายเดินกลับไปเปิดประตูคนขับ เมทินีขึ้นมาด้วย รุทรมองไปที่ช่องกาแฟเห็นว่างเปล่า
“เฮ้ย กาแฟไปไหน”
“ฉันทิ้งไปแล้ว เห็นมันเหลือนิดเดียว”
“แล้ว เอ่อ เมทิ้งกระดาษที่อยู่นี่ด้วยเหรอ”
“ไอ้กระดาษที่เธอเอามาเช็ดกาแฟน่ะเหรอ ว่าจะถามเหมือนกันมันมาจากกล่องทิชชู่เหรอ ดูแปลกๆ”
“เอ่อ...เปล่าหรอก มันก็กระดาษอะไรไม่รู้ในรถนี่แหละ”
“ไม่รู้แล้วทำไมเธอถึงถามอ่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ถ้าเธอจะเอากาแฟอีกฉันไปซื้อให้นะ”
“ไม่ต้องแล้ว กินตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
เมทินีงง “เธอพูดอะไร”
รุทรถอนใจ “เราไปต่อเถอะ”
เมทินีมองฉงน แล้วเดินขึ้นรถไป รุทรถอนใจเครียด
“ไปตายเอาดาบหน้าเถอะไอ้รุทร ถ้าหลงก็ค่อยหาทางโทร.ถามคุณลุงแล้วกัน”
รุทรขึ้นรถขับออกไป ชาติจะตามแต่ตำรวจที่เข้าห้องน้ำเสร็จกลับมาขึ้นรถพอดี แล้วถอยรถมาเกือบชนชาติที่จะออกรถ ชาติเสียหลักรถล้ม ตำรวจทั้งสองรีบลงมา
ชาติพยุงรถขึ้นจะไปแต่ตำรวจกางมือไว้ ชาติชะงักกังวลสันหลังหวะ
ตำรวจ 1 ถาม “เป็นไรหรือเปล่าน้อง”
“ไม่เป็นไรครับ”
ตำรวจ 1 บอกอีก “ขอโทษนะ”
“ครับ”
ชาติจะไปแต่ตำรวจจับมือชาติไว้อีก
“ถ้ามีอะไรที่พี่ต้องชดใช้ดูแลก็ไปที่สน.นะ อยู่อีกสองแยกนี่เอง พี่ขอโทษนะ”
“ครับๆ ผมไปนะพี่”
ชาติรีบออกรถไป แต่ไปถึงหน้าปั๊มก็ไม่เห็นรถของรุทรแล้ว
“โธ่เว๊ย” ชาติกำหมัดเจ็บใจตัวเอง
กินรีกลับมาถึงบ้าน รู้เรื่องจากกิจจาก็มีสีหน้าตกใจ
“อะไรนะคะ คุณพ่อรับไอ้ชาติมาอยู่กับเรา คุณพ่อ ก่อนจะรับคนจากที่โน่นทำไมไม่ถามนรีก่อน”
กิจจาหงุดหงิด “นี่นรีจะโวยวายทำไมลูก”
“คุณพ่อรู้ไหมว่าไอ้ชาติมันเลวขนาดไหน ทั้งเหล้าทั้งการพนัน คุณพ่อไล่มันไปเถอะค่ะ”
“นรี มีเหตุผลหน่อยสิลูก ที่พ่อรับไม่ใช่เพราะไอ้ชาติ แต่เพราะพ่อกับกูรมีศัตรูคนเดียวกัน เราต้องร่วมมือกัน ถ้าสำเร็จลูกก็จะได้อังกูรอยากที่ลูกต้องการไง” กิจจาหว่านล้อมลูกสาว
กินรีปฏิเสธ “ไม่ค่ะ ต่อจากนี้ไปนรีไม่อยากยุ่งกับคุณกูรอีกแล้ว”
กิจจาหงุดหงิดมากขึ้น “นรี พ่อไม่ได้กำลังเล่นขายของนะ ลูกเองก็ควรจะโตได้แล้ว ไม่ใช่วันนึงคิดจะชอบกูรก็ชอบ วันนี้คิดจะไม่ชอบก็มาสั่งพ่อ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ”
“นรี...นรี” กินรีไม่รู้จะบอกยังไง
“อะไรของลูกพ่องงไปหมดแล้ว”
“เอาเป็นว่าคุณพ่อไล่นายชาติไป แล้วก็เลิกยุ่งกับคุณกูรเค้าเถอะ เชื่อนรีสักครั้งนะคะ”
“ไม่ได้ พ่อตัดสินใจไปแล้ว ลูกจะมาเปลี่ยนความตั้งใจของพ่อไม่ได้”
กินรีอารมณ์เสียหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินขึ้นห้องไป กิจจามองตามอย่างไม่พอใจ
เมื่อกิจจาขับรถมาถึงไร่ พอลงรถเจอคนงานเดินเข้ามาหา
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้”
“คุณกิจจาจะให้พวกผมเข้าไร่เลยไหมครับ”
กิจจาถอนใจรำคาญ “ก็ไปถามหัวหน้าคนงานสิ ฉันเพิ่งประกาศไปเมื่อวานไม่รู้เรื่องกันหรือไง”
“ตั้งแต่เช้าพวกผมยังไม่เห็นหัวหน้าคนงานใหม่เลยครับ”
“ยังอยู่ที่บ้านพักหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ พวกผมหาทั่วไร่แล้วก็ไม่เจอ”
“อะไรวะ เริ่มงานวันแรกก็หายหัวแล้ว”
กิจจาบ่น เริ่มหงุดหงิดที่ชาติเบี้ยวงาน
ทางด้านรุทรขับรถมาตามทางสายเปลี่ยว เมทินีก็นั่งดูวิวสองข้างทาง รุทรพยามเพ่งมองทาง พร้อมกับนึกทบทวนแผนที่
“ตรงออกไฮเวย์หาป้ายไปดอยอ่างขาง แล้วเลี้ยวขวาวิ่งไปอีก 30 โล”
จู่ๆ รุทรค่อยๆ ชะลอความเร็ว แล้วหยุดรถตรงทางแยก ทำเอาเมทินีงง
“มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ ผมปวดฉี่น่ะ ขอแวะข้างทางนะ”
เมทินีพยักหน้ารับรู้ รุทรจอดรถลงข้างทาง
รุทรเดินลงจากรถไปแอบหลังต้นไม้ใหญ่ เช็คให้แน่ใจว่าเมทินีไม่มองมา รุทรรีบเดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ แล้วหันไปดูทางที่ผ่านมาแล้วมองไปรอบๆ
รุทรมองไปรอบๆ นอกจากถนนแล้วก็ไม่มีป้ายอะไรอะไรอีก
“ก็เลยมาสองแยกแล้วนี่หว่า ไม่เห็นมีป้ายเลย”
รุทรหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก แล้วฟังแต่เงียบก็เลยมาดูหน้าจอ
“เอ้า ไม่มีสัญญาณ” รุทรพยามเดินวนเพื่อหาคลื่นแต่ก็ไม่มีสัญญาณ เขาถึงกับกุมขมับ “จีพีเอสก็ใช้ไม่ได้ โอ๊ย จะบ้าตาย”
รุทรทรุดตัวลงนั่งด้วยความเซ็งหลับตาคิดถึงแผนที่
“เมื่อกี้ผ่านมาหนึ่งแยก...สองแยก” เขาลืมตา “เอาละวะ เลี้ยวมันตรงนี้ละ”
รุทรเดินกลับไปที่รถ แล้วออกรถเลี้ยวไปทางขวา ขับตรงไปถึงสี่แยก แล้ววิ่งไปตามทางที่รุทรเคยผ่านมาอย่างเร็ว ผ่านแยกหนึ่ง แยกสอง แล้วย้อนกลับไปจนเจอปั๊มเดิมที่หยุดซื้อกาแฟ พอผ่านแยกที่สอง โดยทางข้างซ้าย เห็นป้ายบอกทางไปพร้าวมีลูกศรชี้ไปทางขวา แต่ดันล้มอยู่ที่พื้น
แท้จริงแล้วรุทรต้องเลี้ยวตั้งแต่แยกที่สอง แต่เขาดันเข้าใจผิดว่าผ่านสองแยกแล้วค่อยเลี้ยว
ที่โรงเพาะกล้าไม้ดอกคณะเกษตร ไมตรี วาริน แต และฝ้าย อยู่ในนั้น กับเพื่อนๆ ทุกคนยืนฟังอาจารย์อยู่
“ก็อย่างที่บอกไป การเพาะกล้าไม้ดอกโดยไม่ใช้เพศเราจะทำได้โดย...” อาจารย์ชี้ไปที่ไมตรี
“ใช้ส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมล็ด เช่น ลำต้น กิ่ง ใบ รากครับ” ไมตรีอธิบาย
“ดี เอาล่ะวันนี้ทุกคนจะได้โจทย์เหมือนกันคือ กุหลาบ ใครจะใช้วิธีไหนก็ได้ ติดตา ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง หรืออะไรก็ตาม แล้วติดตามผลของงานตัวเองจดบันทึกด้วย”
นักศึกษาทุกคนรับคำ แล้วแยกย้ายกันทำงานของใครของมัน
วารินจะไปยกกระถางมาทำงาน แต่เพื่อนๆ เลือกกระถางเล็กไปกันหมด เหลือแต่กระถางใหญ่นางยกไม่ไหว ไมตรีเห็นรีบวิ่งมาช่วยยกให้
“ขอบใจนะ”
ไมตรียิ้มแล้วยกมาวางที่โต๊ะให้ ไมตรียกกระถามของตัวเองมาวางที่โต๊ะใกล้วารินแล้วทำงานด้วยกัน
แตกับฝ้ายสะกิดกันดู
“ตั้งแต่สองคนนี่ปรับความเข้าใจ ก็ดูเข้าใจ๊เข้าใจกันเนอะ”
แตกับฝ้ายหัวเราะคิกคัก จนวารินกับไมตรีได้ยิน
“นี่ หัวเราะอะไร” วารินค้อน
“ก็หัวเราะเธอสองคนนั่นแหละ ดูแลกันเหมือนเป็นแฟนกันเลย” แตบอก
ไมตรีกับวารินพอได้ยินคำแซวตรงๆ ก็เขินทำอะไรไม่ถูก ก้มหน้าก้มตาจับต้นกุหลาบจนวารินโดนหนามตำ
“อุ๊ย...”
“ริน”
ไมตรีรีบจับมือวารินมาดูเห็นเลือดออกก็เอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับให้
“ระวังหน่อยสิ”
แต และฝ้ายร้องพร้อมกัน “ชัดเรย”
วารินจะชักมือออกด้วยความอาย ไมตรีเข้าใจยิ้มให้แล้วให้ผ้าเช็ดหน้าไป
“ไว้ให้เลือดหยุดค่อยมาคืนฉันก็ได้”
“ขอบใจนะ”
ไมตรีกับวารินยิ้มให้กัน
ถัดจากนั้น วาริน แต และฝ้าย เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะโรงอาหาร วารินมองหาไมตรี
“ไมล่ะ”
แตกับฝ้ายช่วยกันมองหา
“ไม่เห็นนะ สงสัยไปซื้อข้าวมั้ง”
“แกนั่งจองที่ไว้นะริน เดี๋ยวฉันสองคนไปซื้อข้าวก่อน แกเอาเหมือนเดิมนะ” ฝ้ายบอก
วารินพยักหน้ารับ สองสาวเดินออกไป
ระหว่างนี้วารินได้ยินนักศึกษาชายและหญิง คุยกันกระหนุงกระหนิง โดยนักศึกษาหญิงนั่งบิดตัวม้วนไปมาด้วยความเขินอาย นักศึกษาชายยิ้มหวาน เขินกันทั้งคู่
“ถ้าตัวเองไปทะเล 3 สิ่งที่ตัวเองจะเอาไปด้วย ตัวเองจะเอาอะไรไป” ฝ่ายหญิงถามขึ้น
ฝ่ายชายมองแล้วยิ้ม ใช้นิ้วจิ้มแขนฝ่ายหญิง “1 ก็ตัวเอง 2 ตัวเอง 3 ตัวเองไง”
นักศึกษาหญิงเขินมาก ใช้มือทุบแขนผู้ชายใหญ่ “บ้าๆๆๆๆ”
วารินได้ฟังเบ้หน้าใส่ “เชยชะมัด น้ำเน่าสุด”
ไมตรีเดินเข้ามาตัวเปล่า เขานั่งลงตรงหน้าวาริน แล้วหยิบพลาสเตอร์ออกมา
“เอามือมา เดี๋ยวฉันติดพลาสเตอร์ให้”
วารินเขินจนไม่กล้ายื่นมือให้ ไมตรีพยักหน้าให้ยื่นมือมา วารินยอมยื่นมือข้างที่เจ็บให้ และยิ่งเขินมากขึ้นไมตรีจับมือแปะพลาสเตอร์ให้ อีกฝ่ายมองยิ้มเขินอยู่นั่น
พอเสร็จวารินยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้ แต่นึกได้ว่าเปื้อนเลือดตัวเองรีบชักกลับคืน
“ฉันลืมไป มันเปื้อนเลือดฉันอยู่อ่ะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันเอากลับไปซักเอง”
ไมตรีหยิบผ้าเช็ดหน้าเก็บ วารินยิ้มขอบคุณ พอดีกับที่นักศึกษาชายหญิงคู่รักเดินออกไป วารินมองตาม แล้วหันกลับมามองไมตรี
“ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะถามนายหน่อย”
“ได้ซิ”
“แต่นายต้องตอบจากใจจริงนะ”
“ได้”
“ถ้านายไปทะเล สามสิ่งสำคัญที่นายจะต้องเอาไปด้วยมีอะไรบ้าง”
ไมตรีมองหน้าวารินงงๆ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า
“1 กระเป๋าเสื้อผ้า 2 โทรศัพท์ แล้วก็…” ไมตรีทำท่าคิด
วารินลุ้นว่าจะมีชื่อตัวเองไหม
“3 กระเป๋าสตางค์ไง ถ้าไม่เอาไปแย่เลยนะ”
วารินผิดหวังที่ไมตรีไม่ตอบชื่อเธอเลย บ่นในใจ “ทำไมไม่มีฉันอยู่ในนั้นเลยอ่ะ”
วารินพยายามอีกครั้ง “เออ ถ้างั้นเพิ่มอีกอย่างนึง นายจะเอาอะไรไป”
“ก็...”
วารินสวนขึ้นทันที “แต่นายต้องคิดให้ดีๆ ก่อนตอบนะ”
วารินลุ้นคำตอบ ไมตรีจ้องหน้าวาริน วารินยิ้ม เขินๆจ้องไมตรี
“ก็…ก็…กล้องถ่ายรูปไง ไปทะเลสวยๆ ก็ต้องถ่ายรูปเก็บภาพกันสักหน่อย”
วารินเซ็ง ผิดหวังสุดๆ
“ริน เป็นอะไรหรือเปล่าทำหน้าเซ็งจัง”
วารินบอกเสียงสูง “เปล๊า ไม่มีอะไรจริงๆ”
“เอ่อ ฉันมีธุระน่ะ เดี๋ยวเจอกันนะ”
พูดจบไมตรีก็ยิ้มแล้วเดินไป สักพักไมตรีหยุด หันมามองวาริน
“ฉันขออีกข้อได้ไหม ข้อสุดท้าย ก็พาเธอไปด้วย”
ระหว่างนี้ แต กะ ฝ้ายเดินถืออาหารเข้ามา มองตามไมตรีไป แล้วหันมามองหน้าวารินที่ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมอยู่อย่างงงๆ
ไมตรีนั่งอ่านหนังสือกันเป็นกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ แต่ไมตรีเข้าใจ อ่านและตอบไม่ได้
“ไมตรี นายลองอ่านประโยคนี้ซิ”
ไมตรีมองทุกคนเหวอๆ แต่ก็ก้มลงพยายามจะอ่าน แต่ก็อ่านไม่ค่อยได้ เสียงตะกุกตะกัก ทุกคนมองแล้วพากันขำ
“ประโยคนี้ซิ” เพื่อนชี้บอก
ไมตรีพยายามอ่าน แต่ก็อ่านไม่ได้
“Jimmy tries to เพอ...”
ทุกคนก็หัวเราะขัน ครื้นเครง
“ประโยคง่ายๆ เองนะ ทำไมยังอ่านไม่ได้อีกล่ะ”
เสียงวารินอ่านประโยคทั้งหมดดังเข้ามา
“Jimmy tries to persuade Nora to join his trip to New York.”
วารินเดินเข้ามาในกลุ่มของไมตรี ต่อว่าพวกเพื่อนๆ ทันที
“ฉันไม่รู้นะว่าเธอติวหนังสือให้เพื่อนกันยังไง แต่ก็ไม่ควรทำกับเพื่อนแบบนี้ ถ้าไม่อยากช่วยสอน ช่วยติว ก็อย่ามาแกล้งกัน”
ไมตรีปราม “ใจเย็นๆ ซิริน”
วารินดึงแขนไมตรีออกไปคุยกันสองคน
“ไมตรี ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆ ว่านายไปรวมกลุ่มติวกับพวกเขาทำไม รู้ก็รู้ว่าเขาต้องคอยแกล้งนายนะ เอาอย่างนี้ฉันจะช่วยติวให้นายเอง รับรองผ่านชัวร์” วารินต่อว่าอย่างไม่พอใจ และเป็นห่วง
ไมตรีนิ่งคิดไปชั่วครู่ วารินคิดว่าไมตรีต้องตอบตกลงแน่
“ไม่ดีกว่า” ไมตรีว่า
วารินผิดหวัง “อ้าว! ทำไมล่ะ”
“ริน ขอบใจนะที่จะช่วย แต่ฉันพึ่งเธอทุกเรื่องไม่ได้หรอก คราวที่แล้วเธอก็ช่วยฉันเรื่องรายงาน แล้วถ้าคราวนี้ภาษาอังกฤษอีก ฉันว่ามันเกินไป”
“ฉันไม่เข้าใจ เกินไปยังไง”
“ถึงฉันจะเข้ามาเรียนด้วยโควตานักกีฬา แต่ฉันก็อยากเห็นความสำเร็จที่มาจาก ตัวฉัน...ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นช่วยเหลือฉันทุกเรื่อง เธอเข้าใจฉันนะ”
วารินนิ่งคิด แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ฉันดีใจนะที่เธอจะพยายามด้วยตัวเอง แต่ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ ต้องบอกฉันนะ”
ไมตรียิ้มรับ วารินชูนิ้วก้อยขึ้นมาทำสัญลักษณ์ว่าสัญญา
“สัญญาก่อน”
“สัญญาแบบนี้เชยไปแล้ว ต้องแบบนี้”
ไมตรีจับมือวารินแบออก แล้วใช้นิ้วโป้งของตัวเองแสตมป์ไปที่มือของวาริน กุมมือวารินไว้อีกด้วย
วารินมองการกระทำของไมตรีแล้วยิ้มเขิน ต่างคนต่างยิ้มให้กัน เขินทั้งคู่
พอแตกับฝ้ายฟังเรื่องจากวารินถึงกับตาโต
“โห...อย่างเท่อ่ะ หล่อ นิสัยดี กล้าหาญ และหยิ่งในศักดิ์ศรี” ฝ้ายนึกได้ “แต่เกิดหยิ่งแล้วตกนี่มันก็ไม่ดีนะ”
วารินถอนใจกังวล “ก็นี่ล่ะที่ฉันห่วง ไมตกกลางภาคมาแล้ว สอบปลายภาคต้องได้หกสิบขึ้นไปถึงจะผ่าน”
“และถ้าอังกฤษตัว 1 ไม่ผ่านเทอมหน้าก็ลงตัว 2 ไม่ได้ จบเห่ ไม่พ้นโปร” แตเสริม
ฝ้ายว่า “โดนไล่ออกแหงๆ”
วารินคิดแล้วกลุ้มหนัก
ทางฝ่ายอังกูรกระชากปืนจากเอวชาติ แล้วตบหน้าชาติอย่างแรง
“ไอ้โง่ ไหนคุยว่าเก่งนักเก่งหนาไง ง่ายๆ แค่นี้ทำไมพลาด”
“ก็มันดันมีไอ้ตำรวจสองคนมาขวางน่ะสิครับ ไม่งั้นผมฆ่ามันไปแล้ว”
“แกมันไม่ได้เรื่อง”
“ผมขอโทษครับนาย คราวหน้าผมจะไม่พลาดอีก”
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเป็นคราวหน้าของแก ห๊า”
อังกูรยิงไปตามต้นไม้ระบายให้หายแค้น แล้วส่งปืนกลับให้ชาติ
“ไปเลย ไปให้พ้นๆก่อนที่ฉันจะฆ่าแก”
ชาติขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป อังกูรเจ็บใจที่รุทรยังไม่ตายสักที
ทางด้านรุทรกำลังขับรถอย่างใช้ความคิดว่าจะเอาไงดี ส่วนเมทินีมองสงสัยแว่บหนึ่ง แล้วผินหน้าไปดูวิวข้างทางด้วยความรู้สึกสดชื่น สักพักเมทินีก็ร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“โห แถวนี้มีทุ่งบัวตองด้วยเหรอ”
รุทรมองตามเมทินี ก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อเห็นทุ่งบัวตองกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
“นั่นสิ สวยนะ”
เมทินีหันกลับมามองด้วยความสงสัยทันที
“เธอก็เพิ่งรู้เหรอ”
รุทรรีบกลบเกลื่อน “เอ่อ...เปล่า ผมน่ะรู้อยู่แล้ว แต่คราวก่อนที่มา มันไม่ได้ออกดอกสวยแบบนี้”
เมทินีพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองทุ่งบัวตองอีกเพื่อดื่มด่ำให้เต็มที่
“ถ้าเมชอบจะแวะก็ได้นะ”
เมทินีดีใจ “จริงเหรอ ขอบคุณนะวาทิต”
รุทรยิ้มรับแล้วเร่งความเร็วรถ
มองจากมุมสูงลงมา เห็นรถของรุทรแล่นอยู่ท่ามกลางภูเขาทุ่งบัวตองอันสวยงามสุดตา รถแล่นขึ้นไปบนยอดเขาลูกหนึ่ง
เมทินีมองบรรยากาศสวยงามรอบๆ อย่างตื่นตา และดื่มด่ำ
“ช้าๆ หน่อยสิวาทิต บอกจะแวะแต่ขับซะเร็วเลย”
เมทินีพูดโดยไม่ได้หันไปดูรุทรว่ากำลังคร่ำเครียดกับการพยามเบรก จนรู้สึกว่าเขาไม่ได้ตอบเธอจึงหันไปหา
“นี่วาทิต ตกลงเธอจะให้แวะหรือเธอจะรีบไปกันแน่”
“ผมก็อยากให้แวะนะ”
“แวะแล้วเร่งเครื่องทำไม นี่มันจะลงเขาแล้วนะ”
“ผมไม่ได้เร่ง เครื่องมันเร่งเอง”
เมทินีงง “หมายความว่าไง”
“ผมเบรกไม่อยู่”
เมทินีตกใจ “เบรกไม่อยู่ เบรกแตกน่ะเหรอ”
รุทรพยักหน้ารับ
สองคนมองหน้ากันอึ้งไปทั้งคู่ แล้วหันไปดูด้านหน้า พบว่าทางที่รถแล่นลงมานั้นเป็นเนินเขาซึ่งชันมาก
“แล้วเราจะทำไงกันดีล่ะ”
“ทำใจ!” รุทรบอก
จากนั้นสองคนแหกปากร้องออกมาพร้อมกันลั่นรถ
“อ๊าก...”
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
สองคนยังร้องเสียงดังลั่น ขณะรถแล่นลงจากเขาอย่างเร็ว พอเจอทางโค้ง รุทรหักรถโค้งตามทางอย่างน่าหวาดเสียว
รุทรหักพวงมาลัยตามโค้ง เมทินีเอียงตัวตาม พอรถเอียงกลับอีกด้าน ร่างทั้งสองก็เอียงไปด้วยกัน
“เบรกมือล่ะ ดึงเบรกมือสิ” เมทินีตั้งสติ
“ไม่ได้ รถกำลังเร็วขืนดึงก็เสียหลักน่ะสิ”
“แล้วจะทำไงล่ะ...แอร๊ย ข้างหน้าหักศอกนะวาทิต”
เมทินีร้องกรี๊ดๆ รุทรเห็นทางข้างหน้าโค้ง และแคบมาก ก็กำพวงมาลัยแน่น
“เอนตัวพิงเบาะไว้นะเม”
“เธอจะทำอะไรวาทิต แอร๊ย...”
เสียงกรี๊ดของเมทินีสะท้อนไปทั่งรถ
รถของรุทรแล่นออกจากโค้ง ทะยานลงเนิน ตะลุยเข้าทุ่งบัวตองไหล ลงไปด้านล่าง รถแล่นลงไปชนกับพงหญ้าหนาทึบที่ตีนเขา แล้วจอดแน่นิ่ง
ภายในรถถุงลมนิรภัยเริ่มยุบตัว เผยให้เห็นรุทรกับเมทินีฟุบไปกับคอนโซลทั้งคู่ รุทรได้สติก่อนรีบปลดเข็มขัดแล้วเขย่าตัวเมทินี
“เม...เม”
เมทินีค่อยๆ รู้สึกตัว เอนพิงร่างลงกับเบาะ รุทรมองด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เมทินีส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เธอล่ะวาทิต เมื่อกี้ตกใจช็อกหรือเปล่า”
รุทรรีบกุมหัวใจ “ก็...ก็หายใจไม่ออก”
“ฉันหยิบยาพ่นก่อนนะ”
เมทินีรีบปลดเข็มขัดรุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิตจับแขนเขาไว้
“ผมไม่เป็นไรแล้ว” เมทินีมองฉงน “คือ...ตอนรถไหลผมกลัวมากเลยหลับตามันก็ไม่ค่อยน่ากลัว”
เมทินีงงๆ มองเลยไปที่หน้ารถ “แล้วเราจะไปต่อได้ไหม”
สองคนมองไปด้านหน้ารถ ด้วยสีหน้าเป็นกังวลหนัก
เมทินียืนมองรุทรที่ก้มๆ เงยๆ ดูเครื่องยนต์ที่เสีย
“ซ่อมได้ไหม”
รุทรส่ายหน้า “สายอ่อนเบรกมันแตก ต้องเปลี่ยนอะไหล่”
“งั้นหาร้านซ่อมก่อน”
รุทรกับเมทินีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูแล้วอารมณ์เสีย
“เฮ้ย นี่มันมุมไหนของประเทศเนี่ย ทำไมไม่มีคลื่นเลย” รุทรโวยลั่น
“ฉันจะไปเดินๆ ดูแถวๆ นี้ดีกว่า เผื่อจะมีบ้านคนให้ขอความช่วยเหลือ เธอรออยู่ที่นี่แหละ”
“แล้วเมจะไปไงคนเดียว”
“ฉันก็ต้องไป เนินสูงขนาดนี้เธอปีไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเหนื่อยหัวใจวาย”
“แล้วเมปีนไหวเหรอ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
เมทินีตัดสินใจปีนขึ้นไปอย่างอยากลำบาก แล้วตกมาแต่พอรุทรจะไปช่วยก็ไม่ยอม ปีนขึ้นไปใหม่ได้สูงขึ้น แต่คราวนี้พลาดอีกแถมกลิ้งเป็นลูกบอลตกลงมาข้างล่างพร้อมเสียงกรี๊ดดังลั่น จนรุทรต้องวิ่งไปรับ
เมทินีจับข้อเท้าที่เหมือนจะแพลง รุทรดูอาการ
“เป็นไงบ้าง”
เมทินีจับข้อเท้ารู้สึกเจ็บแปลบ “สงสัยข้อเท้าแพลง แต่ไม่เป็นไรไปได้”
เมทินีทำเก่งจะลุกขึ้น แต่เจ็บต้องลงนั่งอีก
“ผมหาทางต้มน้ำร้อนประคบให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอก รีบไปหาทางซ่อมรถกันดีกว่า ของฉันเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“งั้นเมอยู่นี่แหละ ผมจะขึ้นไปเดินดูเอง”
พอรุทรจะเดินไป เมทินีมองรอบๆ แล้วรู้สึกกลัวขึ้นมา
“เฮ้ย ไม่ได้นะวาทิต เธอจะมาทิ้งฉันคนเดียวไม่ได้นะ ฉันกลัว”
รุทรเง็ง “แล้วจะทำไงล่ะ”
เมทินีมองรุทรลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไงก็ได้ แต่ฉันไปด้วยนะ”
รุทรยิ้มแล้วลงนั่งคุกเข่าหันหลังให้ เมทินีงง
“อะไรเหรอ”
“หนังเกาหลีน่ะเคยดูไหม” เห็นเมทินีลังเลอยู่นั่น “ข้อแรกถ้าผมพยุงเมขึ้นไปเมจะเจ็บมากขึ้น ข้อ 2 ให้ผมอุ้มก็คงไม่ได้ เพราะผมจะเดินลำบากและเราสองคนอาจจะตกมาอีกทั้งคู่ ข้อ 3 ถ้าไม่ขี่คอก็ต้องรอที่นี่”
เมทินีตัดสินใจขี่คอรุทร ให้รุทรแบกพาเดินขึ้นเนินไป
ทางฝ่ายบุษบันอยู่ในชุดสวย และทรงผมเป๊ะ เดินนวยนาดออกมาจากร้านทำผมที่ตลาด จะตรงไปขึ้นรถ
ระหว่างนั้นรถโดยสารแล่นมาจอดที่ป้ายหน้าตลาด วารินลงมาท่าทางเร่งรีบเดินไปขึ้นรถสองแถวที่จอดรออยู่ บุษบันเห็น ก็รีบวิ่งไปดึงลงมา
“น้องริน วันนี้กลับบ้านกับพี่นะ”
วารินแปลกใจ “ทำไมล่ะเจ๊”
“แน๊ะ...ยังมาแอ๊บ เมื่อเช้าพี่เห็นนะว่าพ่อเลี้ยงวิทย์มาส่งริน”
วารินตกใจ “เจ๊เห็นเหรอ”
บุษบันยิ้ม “ถ้าให้พี่เดา แสดงว่ารุทรกลับมาแล้ว และพาพ่อเลี้ยงมาจีบแม่แรมใช่ไหม”
วารินตั้งหลักไม่ทัน “มะ..ไม่ใช่...คือ...”
“ไม่ต้องเขินหรอก พี่กับพ่อเลี้ยงก็รู้จักกัน ไป เดี๋ยวไปกับพี่ พี่จะไปหารุทร รุทรเค้าจะได้แนะนำสะใภ้ให้พ่อเลี้ยงรู้จัก”
บุษบันจะดึงวารินขึ้นรถแต่วารินขืนตัวไว้
“เอ่อ เจ๊...คือที่เจ๊เข้าใจน่ะมันผิดหมด”
บุษบันงง “ผิดหมด”
“คือมันไม่เกี่ยวอะไรกับพี่รุทรเลย พ่อเลี้ยงเค้ามาติดต่อของซื้อผักน่ะ”
บุษบันนิ่งคิดตามแต่ไม่อยากจะเชื่อ
“นี่น้องริน พ่อเลี้ยงต้องออกจากเชียงใหม่กี่โมงถึงจะมาถึงนี่หกโมงเช้า”
“แหม...ก็พ่อเลี้ยงเค้ามาก่อนหน้าแล้ว แต่ค้างที่บ้านรับรองของศูนย์วิจัย”
บุษบันมองประเมิน “จริงเหรอ แล้วทำไมดูเค้าสนิทกับน้องริน”
“ก็พี่วัตรพามาที่สวนผักเมื่อเช้า แล้วแกจะมาตลาด รินก็เลยขอติดรถมาด้วย”
“แค่นี้เหรอ แล้วรุทรล่ะ”
“เจ๊ ถ้าพี่รุทรกลับมามีเหรอเจ๊จะไม่รู้ อำเภอเราเล็กแค่นี้เอง”
บุษบันชักคล้อยตาม “ก็จริงนะ”
“ถ้าเจ๊ไม่เชื่อก็ไปถามพี่วัตรได้”
บุษบันยืนคิดว่าจะเอาไงดี วารินมองลุ้นให้เจ๊เชื่อตัวเอง
ทุกคนอยู่ที่เตียงนอนวาทิตในบ้านท้ายไร่ เมื่อแรมได้ฟังจากวารินก็มีสีหน้าตกใจ
“อะไรนะเจ๊บุษรู้เรื่องแล้วเหรอ”
“รินเดาว่าคงรู้ไม่เยอะหรอกจ้ะแม่ เพราะแกเห็นแค่พ่อเลี้ยงส่งรินแล้วที่เหลือก็มโนล้วนๆ”
“แม่ผิดเองที่ขอให้พ่อเลี้ยงไปซื้อของใช้ให้วาทิต”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับแม่แรม ผมเองก็ไม่ทันคิดเรื่องที่เจ๊บุษกับพ่อเลี้ยงรู้จักกัน”
พ่อเลี้ยงวิทย์ที่ฟังอยู่เงียบๆ ด้วยความรู้สึกงุนงง เอ่ยถามขึ้น
“นี่คุณบุษบันรู้จักกับทุกคนที่นี่เหรอ”
“รู้ดีเลยล่ะครับ เพราะแกมารับผักที่นี่ไปขาย แล้วก็...แกก็ชอบไอ้รุทร” อนุวัตรหน้าม่อยตอนท้ายคำ
“มิน่า เมื่อเช้าเขาพยามเข้ามาพูดคุยกับฉัน”
“แล้วพ่อเลี้ยงบอกอะไรหรือเปล่าคะ” แรมถาม
“เปล่า ฉันรำคาญที่เขาถามซอกแซกเลยเดินหนี”
“เฮ้อ...ไม่รู้จะปิดเจ๊บุษได้อีกนานแค่ไหน” วารินหนักใจ
“นานแค่ไหนก็ต้องปิด จนกว่าวาทิตจะฟื้น” อนุวัตรว่า
ทุกคนมองไปยังวาทิตด้วยความหวังว่าเขาจะฟื้นในเร็ววัน แรมจับมือลูกชายบีบเบาๆ ด้วยความสงสาร
อีกฟาก รุทรแบกเมทินีเดินมาตามทาง ทั้งสองมองไปรอบๆ ด้วยหวังจะเจออะไรสักอย่าง สุดท้ายทั้งสองแบกกันเดินมาท่ามกลางบรรยากาศเวิ้งว้าง รอบบริเวณไม่มีผู้คนเลย นอกจากความเหลืองอร่ามของทุ่งบัวตอง
“เดินมาตั้งนานยังไม่เจอคนสักคน แล้วนี่มันจะมีบ้านอยู่เหรอ” เมทินีกังวลมากขึ้น
“พักก่อนไหม”
“ไม่เอาอ่ะ นี่จะเย็นแล้ว อย่าพักเลยเสียเวลา”
รุทรหันขวับมองเมทินี “เอ่อ...แต่ว่าผมแบกเมอยู่น”
เมทินียิ้มแหยๆ “อุ๊ย ขอโทษ มิน่าไม่ค่อยเหนื่อย”
รุทรแบกเมทินีไปนั่งพักที่มุมหนึ่ง แล้วไปยืนสำรวจมองดูรอบๆ ก็เห็นมีแต่ต้นไม้กับทุ่งบัวตอง
“ผมว่าเรากลับเถอะ” รุทรว่า
“ถ้าเรากลับแล้วยังไง รถก็ซ่อมไม่ได้”
“แต่ถ้าเราเดินต่อคงอีกนานกว่าจะเจอบ้านแล้วอาจไม่เจอ แล้วเกิดมืดล่ะจะกลับถูกเหรอ”
เมทินีนิ่งคิดแล้วถอนใจเครียด
“ถ้ากลับไปที่รถ ก็หมายความว่าคืนนี้เราต้องพักที่นี่”
เมทินีกับรุทรมองหน้ากัน เมทินีมีสีหน้ากังวลหนักจนรุทรต้องปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะเม ผมจะดูแลเมเอง”
รุทรยิ้มปลอบเมทินีมองหน้ารุทรแล้วยิ้มบางๆ
เมื่อย้อนกลับมาที่รถ รุทรหยิบพวก เต็นท์ และกระเป๋าสัมภาระออกมาจากรถ เมทินีมองฉงน
“นี่เธอเอาเต็นท์มาด้วยเหรอวาทิต”
“เอาติดมาเผื่อฉุกเฉิน ขับรถทางไกลเราควรมีของพวกนี้ไว้”
เมทินีมองเขาอย่างแปลกใจ “เธอนี่มีอะไรแปลกๆ มาให้ฉันเห็นเรื่อยๆ นะ”
รุทรชะงักไปนิด แต่ทำเป็นไม่สนใจขนของต่อ ขณะจะหยิบถุงอาหารกระป๋องที่เตรียมไปบริจาค เมทินีพอเห็นดังนั้นก็รีบคว้ามือห้ามทันที
“จะทำอะไรน่ะ นั่นมันของบริจาคเด็กๆ นักเรียนนะ”
“รู้แล้ว แต่ถ้าไม่กินของพวกนี้ คืนนี้จะกินอะไร”
เมทินีไม่เห็นด้วย “อดทนคืนเดียวไม่ตายหรอก คิดซะว่าลดความอ้วน”
รุทรมองเหล่ “แสดงว่าถ้าทำของพวกนี้เมจะไม่กิน”
เมทินียืนคิด ท่าทีลังเลมากเอาการ
เย็นจวนค่ำ ตรงมุมที่ห่างออกมาจากบริเวณที่รถจอดอยู่นั้น รุทรกางเต็นท์อย่างแข็งแรง และคล่องแคล่วมาก เมทินียืนสังเกตตลอดจนเขาทำเสร็จ
“ฉันว่ากลับไปวันพรุ่งนี้ คุณพ่อเธอต้องแปลกใจแน่ๆ หลงป่าคืนเดียวลูกชาย เปลี่ยนราวกับคนละคน”
รุทรทำตาใสถาม “ยังไงเหรอ”
“ก็การกางเต็นท์ของเธอน่ะสิ ทั้งคล่องแคล่วทั้งเร็ว เท่าที่ฉันรู้วาทิตไม่เคยไปเรียนรด. ไม่แม้แต่จะไปเข้าค่ายลูกเสือด้วยซ้ำ”
รุทรแถไปเรื่อย “บ้านผมมีทีวีนะเม ดูหนังผจญภัยบ่อยๆ มันก็เห็น แล้วเต็นท์พวกนี้ก็ไม่ได้อยากอะไร ถ้าเมสงสัยผมจะรื้อใหม่แล้วเมมาลองทำดูไหม”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก ไว้งี้แหละ”
ค่ำลงแล้ว กองไฟถูกจุดไล่ยุงและแมลง พร้อมกับให้แสงสว่าง รุทรกับเมทินีนั่งตรงข้ามกัน รุทรนั้นนั่งกินปลากระป๋องยั่วเมทินี จนได้ยินเสียงท้องเธอร้อง รุทรอมยิ้มขำ แล้วยื่นปลากระป๋องให้
“เอาน่า เรากินไปก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เมทินีลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเอาปลากระป๋องมากินอย่างเอร็ดอร่อย รุทรเห็นแล้วขำ แล้วก็ไปเปิดเต็นท์ เอาผ้าห่มจัดที่นอน หันมาอีกทีเห็นเมทินีกำลังทานกระป๋องที่สอง
รุทรขำ “โห นี่จะลดความอ้วนใช่ไหมเนี่ย”
“ก็คนมันหิวนี่”
รุทรมองเห็นริมฝีปากเมทินีเลอะ เลยหยิบทิชชู่แล้วเดินไปนั่งข้างๆ จะเอาทิชชู่เช็ดแต่เมทินีจะปัด
“อยู่เฉยๆ สิ” รุทรบรรจงเช็ดหน้าให้อย่างทะนุถนอมที่สุด “ก็แค่นี้แหละ”
“เอ่อ...ขอบใจนะ”
รุทรหยิบเอาน้ำขวดที่เตรียมมาบริจาค เทใส่กระป๋องน้ำสำหรับเดินป่า แล้ววางกระป๋องบนกองไฟ
“ทำอะไรน่ะ”
รุทรไม่ตอบแค่ยิ้มให้
ถัดมารุทรเอาผ้าขนหนูจับกระป๋องที่ร้อน เทน้ำใส่ผ้าขนหนู แล้วมาประคบที่ข้อเท้าเมทินี อีกฝ่ายสะดุ้ง
“ร้อนหน่อยนะ”
รุทรมองตาเมทินีเป็นเชิงปลอบ เมทินีต้องหลบตาวูบ เพราะกลัวหวั่นไหว
รุทรประคบต่อ และนวดให้เบาๆ เมทินีลอบมอง แต่พอรุทรมองมาก็ทำหันไปทางอื่น จนเมทินีรู้สึกดีขึ้น
“พอเถอะวาทิต ฉันดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณนะ”
“งั้นก็ไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปดูว่าจะเอาไงต่อไป”
รุทรหยิบขวดน้ำส่งให้ เมทินีรับมา หันไปเปิดกระเป๋าหยิบของใช้ส่วนตัวออกมา รุทรหยิบขวดน้ำกับแปรงสีฟันออกมาด้วย แล้วไปพยุงเมทินี พากันเดินไปที่มุมหนึ่ง รุทรเดินแยกไปอีกมุม แล้วหันกลับไปมองเมทินีที่ยืนล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอยู่ บอกกับตัวเองว่า
“อย่าใจอ่อนไอ้รุทร ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ร่วมมือทำร้ายวาทิต”
ที่ห้องนั่งเล่นบ้านกิจจาตอนนี้ กินรีนั่งดูทีวี แต่ใจลอยคิดแต่เรื่องอังกูร กิจจาเดินมาเห็นก็แปลกใจ
“กลับบ้านมาคราวนี้ดูเหมือนลูกพ่อไม่มีความสุขเลยนะ คิดถึงอังกูรใช่ไหม”
กินรีส่ายหน้า “นรีไม่อยากคิดถึงเขาอีกแล้ว”
กิจจางง “ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
กินรีหลบตาวูบ “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“นรี อย่าปิดพ่อเลย เมื่อก่อนพ่อห้ามไม่ให้ชอบกูร ลูกก็ดื้อจะชอบ แต่ตอนนี้พ่อยอมลูกแล้ว ทำไมเกิดจะเปลี่ยนใจ”
กินรีพูดออกมาด้วยความโมโห “ก็นรีไม่ชอบ นรีไม่อยากรักคนที่ไม่เห็นค่านรี พ่อเข้าใจไหม”
พอพูดจบน้ำตากินรีก็ไหลรินออกมา กิจจารู้สึกแปลกใจมาก
“นรี ตกลงมันคืออะไรบอกพ่อมาให้หมด”
กินรีซบอกกิจจาร้องไห้ กิจจาเอามือลูบหัวกินรีแต่ก็สงสัยว่าเกิดอะไร
กินรีนั่งเหม่อลอยคิดถึงอังกูรอยู่มุมหนึ่งนอกบ้าน ชาติกลับจากอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อกล้ามตัวเดียว เห็นกินรีที่นั่งเหม่อก็ยิ้มกริ่มเดินเข้ามาหา
“มานั่งเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้ครับคุณนรี”
เสียงทักของชาติทำให้กินรีสะดุ้งตกใจ หันมามองชาติอย่างรังเกียจแว่บเดียว แล้วเบือนหน้าหนี
“ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ฉันจะอยู่ตรงไหนก็ได้ แล้วก็อย่าสะเออะมายุ่งเรื่องของฉัน”
ชาติอึ้งไปนิดกับคำพูดของกินรี แต่ก็ไม่สนใจ ยิ้มใส่และขยับเดินเข้ามาใกล้อีก กินรีเขยิบหนี
“ผมก็แค่เห็นคุณนรีดูเศร้าๆ ผมเลยอยากเข้ามาคุยด้วยเผื่อจะทำให้คุณนรีรู้สึกดีขึ้น”
กินรีมองชาติอย่างรังเกียจก่อนจะหมุนตัวเดินหนี แต่ถูกชาติรั้งแขนเอาไว้ กินรีรีบสะบัดออกด้วยความไม่พอใจ กิจจาเดินออกมาเห็นเข้าพอดี
“นรีเข้าบ้าน”
กิจจาสั่งกินรี แต่สายตามองชาติอย่างไม่พอใจมาก
กินรีรีบเดินเข้าบ้านไป ชาติมองตามกินรียิ้มกริ่ม และหันมาเจอกิจจาที่มองอยู่ แต่ไม่สนใจจะเดินกลับที่พัก
“แกคิดจะทำอะไรไอ้ชาติ”
ชาติยักไหล่หันมามองกิจจาอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็ไม่มีอะไร ผมก็แค่มาคุยกับคุณนรีเท่านั้น”
กิจจาฉุนกึก “นรีเป็นใคร แล้วแกเป็นใคร ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงด้วยนะ”
“หึ บางทีไอ้ของที่เราเห็นว่าอยู่สูงๆ แต่แค่สะกิดนิดเดียวก็ร่วงลงมาแล้ว” ชาติพูดเน้นคำว่า “มันง่ายจะตาย”
กิจจาโกรธตบหน้าชาติเต็มแรง ชาติจะสู้ แต่กิจจาชักปืนออกมาจ่อหน้า ทั้งสองจ้องมองกันอย่างไม่มีใครกลัวใคร
“มึงอย่ามาคิดลองดีกับกูไอ้ชาติ ถึงมึงจะเป็นมือปืน และจำไว้ว่ากูคุ้มกะลาหัวมึงอยู่” กิจจามองชาติอย่างเอาจริง ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ชาติมองตามกิจจาโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้
ไมตรีนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษแล้วง่วง สักพักเสียงสัญญาณข้อความดังเข้ามาในเครื่องของไมตรี ไมตรีหยิบโทรศัพท์มาดู
วารินส่งข้อความมาว่า “อ่านภาษาอังกฤษอยู่หรือเปล่า”
ไมตรีพิมพ์ตอบไป “ยังหรอก กำลังทำงานบ้าน เดี๋ยวค่อยอ่าน”
“ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้นะ ฉันยังยืนยันจะช่วยติว”
“ขอบใจมาก ”
“สู้ๆ นะ”
ทั้งคู่ส่งสติ๊กเกอร์ให้กัน ไมตรีมองสติ๊กเกอร์น่ารักของวารินแล้วยิ้มขำ ก่อนวางโทรศัพท์แล้วอ่านหนังสือต่อ
อีกฟาก เมทินีออกมาหน้าเต็นท์ เปิดขวดน้ำ แปรงฟันพร้อมบ้วนน้ำในขวด ขณะที่แปรงหันมาพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่ได้ ยังไงเราก็ไว้ใจไม่ได้เด็ดขาด”
เมทินีบ้วนน้ำแล้วคลานเข้าเต็นท์ ค่อยๆ โผล่หัวออกมามองไปที่รุทรซึ่งกำลังจัดของเก็บอยู่ที่หน้ากองไฟ เมทินีจัดแจงเปลี่ยนขาสั้นรัดกุม
เมทินีมองรุทรที่กำลังถอดเสื้อบริหารร่างกาย ก่อนจะเดินไปบ้วนปากล้างหน้าแล้วแปรงฟัน เมทินีมองเพ่งทุกกิริยาของรุทร
รุทรบ้วนปากแปรงฟันเห็นสัดส่วน
เมทินีมองตาลอย รุทรถอดเสื้อเดินมาในเต็นท์ เมทินีผวาเอาผ้ามาคลุมขาตัวเอง รุทรคว้าเสื้อมาจะใส่แล้วหันมอง
“มองอะไร”
รุทรยิ้มกรุ้มกริ่ม ขยับเข้าหา
เมทินีตกใจถดตัวถอยหนี “นี่นายวาทิตอย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ”
“ขอกอดหน่อยมันหนาว” รุทรคว้าตัวเมทินีมากอดหมับ
“อย่ามาพูดทะลึ่งกับเมนะวาทิต หนาวแล้วถอดเสื้อทำไม”
“ไม่ใช่ถอดเสื้ออย่างเดียว เดี๋ยวจะถอดกางเกงด้วย”
เมทินีโวยลั่น “อย่ามาทำบ้าๆ กับฉันนะ หนาวก็ออกไปผิงไฟซิ”
“ผิงทำไมไฟ มีผ้าห่มดิ้นได้ผืนเบ้อเร่อ ไม่เอามาห่มก็บ้าและอย่าหนีนะ มา มาซะดีๆ”
รุทรเข้าจู่โจมเมทินี แม้จะพยายามตบตีผลักไสเต็มที่ แต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ เมทินีใกล้จะเสียทีแล้ว
“ปล่อยฉัน ปล่อยฉันได้ไหม ปล่อย โอ๊ย...”
อ่านต่อตอนที่ 12