xs
xsm
sm
md
lg

เงาใจ ตอนที่ 10

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เงาใจตอนที่ 10

แดดอ่อนอุ่น สาดแสงสีส้มเรื่อเรือง ไปทั่วไร่ส้มธนาทรอันกว้างใหญ่ ยิ่งทำให้ยามเช้าตรู่วันนี้แสนสดใสแสงแดดเป็นลำสวยสาดลงที่ห้องนอนของวาทิตบนชั้นสองของเรือนใหญ่ รุทรกับเมทินียังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่ม

สักครู่ เป็นเมทินีที่รู้สึกตัวตื่นก่อน เธอลุกขึ้นมองไปยังรุทรที่นอนหลับสนิทอยู่ ก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้ารุทรที่หลับใหล พลางเล็งโทรศัพท์ไปที่รุทร ใบหน้าเมทินีคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
“อรุณสวัสดิ์นะที่รัก”
เมทินีลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว รุทรยังนอนหลับสนิท

เมทินีฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ในห้องน้ำ เธอมองไปที่อ่างล้างหน้า
“เริ่มตรงไหนก่อนดีน้า”
เมทินีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงวางไว้ให้รุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิต แล้วหันทำโน่น นี้ นั้น ไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข
ด้านรุทรตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ แล้วลุกขึ้นมองด้านข้างเตียง พบว่าเมทินีไม่อยู่ เขามองไปในห้องน้ำที่ประตูเปิดอยู่ ด้วยสีหน้าสงสัย เพราะเห็นเมทินียืนที่อ่างล้างหน้า ทำอะไรยุกยิกๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบมีดโกนหนวดกับโฟมมาถือในมือ รุทรถึงกับต้องขยี้ตา เขม้นมองด้วยความแปลกใจ ด้วยคิดว่าเมทินีจะโกนหนวด

ขณะที่เมทินีเปิดน้ำสำหรับบ้วนปากใส่แก้ว จัดวางผ้าขนหนูเช็ดปาก ไดรเปล่าผม อุปกรณ์แต่งผมให้เป็นระเบียบรอรุทร
“จะโกนหนวดเหรอเม”
เมทินีสะดุ้งเงยหน้ามองกระจก ก็พบว่าที่ด้านหลังรุทรยืนตรงประตูมองเธองงๆ
“บ้าสิ”
“เอ้า แล้วมาทำอะไรตรงนี้ มุมพวกครีมของเมอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ”
เมทินียิ้มหวาน “ฉันก็เตรียมของพวกนี้ให้เธอไง” เธอชี้ให้ดู “แปรงสีฟัน อุปกรณ์โกนหนวดแต่งผม คอนแท็คเลนส์ก็ล้างให้แล้ว ส่วนผ้าเช็ดตัวอาบน้ำก็อยู่นั่น”
เมทินีชี้ไปที่ประตูห้องอาบน้ำที่มีผ้าขนหนูแขวนไว้เรียบร้อย แล้วหันมายิ้มหวานกับรุทรอีกดอก คนถูกมองเลยงงๆ
“ทำไมวันนี้เมดูแปลกๆ ทุกวันไม่เห็นเคยลุกมาทำอะไรให้ผมแบบนี้”
เมทินีจับมือรุทรแล้วมองตาซึ้งๆ รุทรขมวดคิ้วยิ่งสงสัย เอามืออังหน้าผากเมทินีหัวเราะขำ
“ฉันสบายดี และบอกได้เลยว่าทำไปด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน 100%”
เมทินีจูงรุทรเดินออกมาจากห้องน้ำ

รุทรถูกลากมาที่หน้าตู้เสื้อผ้า
“เมื่อคืนนี้ฉันมาคิดๆ ดู เธอเองก็ดีกับฉันมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันตอนมัธยม จนถึงวันนี้ที่เราแต่งงานกัน”
รุทรงงหนัก “ไหนวันก่อนยังว่าผมทำตัวบ้าๆ บอๆ ปิดๆ บังๆ เม”
เมทินีตีหน้าเศร้าระดับออสการ์ “จริงๆฉันก็แค่น้อยใจที่เธอเปลี่ยนไป ฉันยังทำใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าต้องทำตัวยังไง”
รุทรสยอง ยังไม่ไว้ใจ “ยังไงเหรอ”
“ฉันจะยอมรับความเปลี่ยนแปลงของเธอ แล้วก็จะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีให้เธอ”
รุทรมองตาเมทินีอย่างไม่เชื่อใจ แล้วคิดอะไรกวนๆ ได้ เลยส่งยิ้มแววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม
“จริงเหรอ”
“จริงที่สุด”
“ถ้าเมอยากทำหน้าที่ภรรยาผมจริงๆ งั้นก็ช่วยอาบน้ำให้ผมได้ไหม”
รุทรพูดจบก็ยิ้มเพราะคิดว่าเมทินีต้องไม่ทำ แต่เมทินียิ้มจ้องหน้ารุทรอย่างไม่กลัวเกรงแล้วเอามือจับกระดุมเสื้อของรุทรเริ่มปลดกระดุมทีละเม็ด
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันจะดูแลเธอให้ดีดุจทาสในเรือนเบี้ยเลยล่ะ”
เมทินียิ้มหวาน รุทรเจอไม้นี้เข้า ถึงกับอึ้งอ้าปากเหวอตั้งตัวไม่ทันเลย
เมทินีแกะกระดุมจนหมด รุทรที่ยืนนิ่งๆ เริ่มใจไม่ดี เมทินีถอดเสื้อรุทรออกโดยไม่มีท่าทีจะเขินอายแต่อย่างใด รุทรเองเสียอีกกลับเริ่มอายๆ
เมทินีถอดเสื้อให้รุทรเสร็จ ก็ขยับมาจับที่ขอบกางเกงนอนกางเกง รุทรรีบจับมือเมทินีไว้
“ปล่อยสิ ไม่ถอดกางเกงจะอาบยังไง”
“เอ่อ...ผมเอาผ้าขนหนูก่อนนะ”
“จะใส่ผ้าขนหนูอาบน้ำเหรอ”
เมทินีปัดมือรุทรออก แล้วจับขอบกางเกงจะดึงลง รุทรตกใจรีบดึงกลับได้ทัน
“เย้ย...ไม่ต้องแล้ว ผมอาบเองดีกว่า”
“ทำไมล่ะวาทิต ฉันเต็มใจทำให้นะ”
“คือ...ผมปวดท้อง”
รุทรพูดจบก็รีบวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำไปเลย เมทินีมองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์สะใจ

รุทรรีบปิดประตูห้องน้ำแล้วกดล็อกอย่างดี เอามือจับลองเปิดให้แน่ใจว่าเมทินีเข้ามาไม่ได้ จนพอมั่นใจก็เป่าปากโล่งอก แล้วชะงัก คิดดูถูกเมทินีขึ้นมาอีกจนได้
“โธ่ แอ๊บเรียบร้อยอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็เผยธาตุแท้จนได้ ฮึ ใจกล้าแบบนี้นี่เองทั้งวาทิต นายอังกูรถึงได้ติดใจจนจะทะเลาะกันตาย”
บ่นบ้าได้สักพัก ประตูก็เหมือนขยับมีคนพยามเปิดจากด้านนอก
“วาทิต ฉันยังรออาบน้ำให้เธอนะ เสร็จแล้วก็เรียกแล้วกัน”
รุทรตะโกนตอบกลับไป “ไม่ต้องหรอกเม ผมอาบเองดีกว่า”
รุทรส่ายหน้าหนักใจ ผู้หญิงจอมหื่นข้างนอก

ฝ่ายเมทินียืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ จนแน่ใจว่ารุทรไม่ออกมาแน่นอน ก็รีบเดินกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางแอบไว้มุมหนึ่งบนโต๊ะมาดู แล้วยิ้มร้ายสมใจ
ภาพที่หน้าจอเป็นคลิปวิดีโอที่เมทินีแอบถ่าย เริ่มตั้งแต่ที่เมทินีดึงรุทรมายืนที่หน้าตู้เสื้อผ้า

ถัดจากนั้น สองสาวในชุดออกกำลังกายโยคะยืนอยู่ด้วยกัน ในมือของทิปปี้ถือโทรศัพท์มือถือของเมทินีดูอยู่ โดยที่หน้าจอ เป็นภาพเหตุการณ์ตอนท้ายๆ

รุทรร้องลั่น “เย้ย...ไม่ต้องแล้ว ผมอาบเองดีกว่า”
“ทำไมล่ะวาทิต ฉันเต็มใจทำให้นะ”
“คือผมปวดท้อง” พูดจบรุทรก็รีบวิ่งจู้ดเข้าห้องน้ำไปเลย

ทิปปี้ดูคลิปจบก็หัวเราะขำกลิ้ง ขณะส่งโทรศัพท์คืนให้เพื่อน
“เม แกนี่บ้าระห่ำจริงๆ นะ เกิดวาทิตบ้าและปล้ำแกขึ้นมาจะทำไง”
“วาทิตทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แกก็รู้ ถ้าทำจริงก็ได้หัวใจวายตาย แต่ถึงจะกล้าเสี่ยงตายจะปล้ำฉัน ฉันก็ไม่ยอมให้มาทำบ้าๆ กับฉันแน่”
ทิปปี้มองไปยังรุทรที่เดินถ่ายรูปเล่นอยู่ไกลๆ แล้วนึกสงสาร เมทินีมองตาม
“ดูๆ ไปก็สงสารวาทิตนะ เหมือนเรารังแกคนป่วยเลย”
เมทินีไม่สน “ช่วยไม่ได้นี่ คนอย่างฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ ไม่ใช่ว่าใครจะมาปั่นหัวเล่นง่ายๆ ที่จริงถ้าวาทิตมีปัญหาอะไรก็พูดกับฉันตรงๆ แต่นี่ไม่พูด พอฉันไม่อยากจะตอแยด้วยก็ไปฟ้องแม่ ทำให้แม่มาโกรธฉันอีก งานนี้ฉันต้องเอาคืนให้สาสม”
“แล้วไอ้สาสมของแกนี่จะเล่นงานถึงเมื่อไหร่”
“ก็จนกว่าจะได้ความจริงล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับวาทิต แล้วที่วาทิตกำลังเล่นละครต่างๆ นานานี่มันอะไรกัน”
“วาทิตนะวาทิต คิดยังไงของเค้านะ ถึงทำตัวแปลกๆ ให้เราต้องมาเหนื่อยกัน”
“ใครว่าเหนื่อยล่ะ สนุกดีออก อันนี้น่ะแค่เริ่มต้น เดี๋ยวยังมีมันกว่านี้อีก” ว่าพลางตะโกนเรียกรุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิต “วาทิต”
พลางเมทินีโบกมือให้ เห็นรุทรโบกตอบ
เมทินีตะโกนต่อ “คิดถึงเธอจังเลย”
รุทรสะดุ้งเฮือก ทิปปี้สยองปนขำ
“ขนาดนี้เลยเหรอแก”

เมทินียิ้มร้าย คิดไว้แล้วว่า ช่วงต่อไปต้องสนุกกว่านี้แน่

ถัดจากนั้นเมทินีจูงรุทรมาตรงสระว่ายน้ำ บอกด้วยเสียงหวาน
 
“วันนี้เราจะเล่นโยคะกัน”
เมทินียิ้มหวาน รุทรมองแล้วไม่ไว้ใจ
“ไม่ดีกว่า ผมไปถีบจักรยานก็ได้”
เมทินีออดอ้อน “ไม่เอาอ่ะ เราเป็นครอบครัวนะ ทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน”
“แต่ผมไม่ถนัดโยคะนี่”
“ไม่ถนัดก็หัดให้มันถนัดสิ เธอทำได้อยู่แล้ว”
รุทรนิ่งคิดไปครู่แล้วก็ส่ายหน้าไม่เอาดีกว่า เมทินีเลยต้องงัดไม้ตาย
“ถ้าฉันชวนพี่กูรป่านนี้คงฝึกไปหลายท่าแล้ว ไม่มาเสียเวลาง้องอนอะไรก็ไม่รู้” เมทินีหันไปพยักพเยิดกับทิปปี้ “ทิปปี้เราไปชวนพี่กูรดีกว่า”
รุทรได้ยินก็เขม่นทันที “เอาละ...ผมจะลองเล่นดู”
เมทินีขยิบตาให้ทิปปี้ แล้วสองสาวก็ปูเสื่อลงตรงข้างๆ สระว่ายน้ำ ทิปปี้อยู่ด้านหน้า รุทรกับเมทินีอยู่ข้างกันเพื่อทำตามทิปปี้
“เดี๋ยวฉันนำนะ เธอดูตาม เริ่มจากยืดเส้นยืดสายก่อน หายใจปกตินะ”
ทิปปี้เริ่มลงนั่งกางขาเหยียดแล้วก้ม เมทินีทำตาม รุทรทำด้วย แต่ด้วยความที่เป็นครั้งแรกตัวยังแข็ง เมทินีเห็นแล้วก็อมยิ้มสะใจ แต่พอรุทรรู้สึกตัวหันมามอง เมทินีขยิบตาพร้อมกับยกนิ้วให้ว่าเยี่ยม รุทรยิ้มตอบ
เวลาผ่านไปสักระยะ สามคนเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ จนรุทรเริ่มเมื่อย แต่เมทินีก็พยักหน้าให้กำลังใจ จนกลายเป็นท่ายืนขาข้างเดียวไปด้านหลัง แล้วค้างไว้แต่รุทรทรงตัวได้ลำบากมาก
เมทินีแกล้งเป็นห่วง “เธอทำได้ดีนี่”
“หวังว่าคงจะดีเท่าที่เมคาดหวังจากพี่กูรนะ”
เมทินีหันหน้าหนีแอบค้อน แล้วเบ้ปากยิ้มร้าย นึกถึงตอนถูกรุทรพูดจาดูถูก
โดยตอนนั้นรุทรโมโห โถมเข้ากอดเมทินีทันที เมทินีคิดว่าจะโดนจูบอีกก็รีบหันหน้าหนี
“ไม่ต้องกลัวหรอก เมก็ไม่มีเกียรติพอที่ผมจะจูบเหมือนกัน”
รุทรพูดจบก็อุ้มเมทินีขึ้น เมทินีร้องโวยวายลั่น รุทรไม่ฟังจับโยนลงน้ำทันที เมทินีร้องกรี๊ด รุทรมองดูด้วยความสะใจ
เมทินีดึงตัวเองกลับมา ยิ้มหวานหยด
“รู้ไหมวาทิต เธอทำได้ดีกว่าพี่กูรอีกนะฉันว่า”
รุทรตอบอย่างมั่นใจ “แหงอยู่แล้ว”
“แต่จะดีกว่าถ้าลงไปเล่นโยคะในน้ำ”
รุทรงง “มีด้วยเหรอโยคะน้ำ เคยได้ยินแต่โยคะฟลาย”
“มีสิ เธอนี่ล่ะเล่นเป็นคนแรก”
โดยไม่ทันให้รุทรตั้งตัว เมทินีก็ใช้ขาที่ยกค้างอยู่ถีบเปรี้ยงไปที่รุทรเต็มแรง รุทรแหกปากลั่น “เฮ้ย” พร้อมๆ กับที่ร่างลอยละลิ่วลงน้ำดังตูม
เมทินีกับทิปปี้หัวเราะขำสนุกสนาน
รุทรลอยตัวอยู่ในน้ำมองด้วยความแค้น ว่ายกลับมาจะปีนขอบสระ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกตะคริวกินขา
“เม...เม...ผมตะคริวกิน”
เมทินีหัวเราะ “แหม จะตีเนียนเหรอ”
“เม ช่วยด้วย”
รุทรตะกายน้ำสักพักก็ค่อยๆ จมลงๆ เมทินีกับทิปปี้ยังหัวเราะจนทิปปี้เริ่มกลัว
“เม...เกิดวาทิตเป็นตะคริวจริงๆ ล่ะ”
“ฮึ รอดตายมากี่ครั้ง จะมาตกน้ำตายก็ให้รู้ไปสิ”
เมทินียังหัวเราะสะใจ แต่ทิปปี้เริ่มหยุดนิ่งใจไม่ดีแล้ว เมทินีเริ่มหยุดตาม มองไปในน้ำ ทั้งคู่ เห็นร่างรุทรจมอยู่ใต้น้ำ
“เม...ฉันว่างานนี้ไม่มุขนะ”
เมทินีเริ่มกลัวรีบลงนั่งที่ขอบสระเอามือตะกายน้ำ
“วาทิต...วาทิต”
แล้วจู่ๆ มือของรุทรก็โผล่จากน้ำจับข้อมือของเมทินีไว้หมับ และโดยไม่ทันให้ตั้งตัวรุทรดึงร่างเมทินีลงน้ำไปด้วยกัน เสียงกรี๊ดของสองสาวดังลั่น
“วาทิต เธอแกล้งฉันเหรอ”
รุทรยิ้มกวน “ที่บ้านเรียกแก้เกม”
จากนั้นรุทรจึงปีนขึ้นขอบสระ มองจ้องหน้าทิปปี้เขม็งขณะเดินมา ทิปปี้เริ่มถอยหนีทันที รุทรยิ้มกวนแล้วเดินไป

เมทินีที่อยู่ในน้ำ มองตามด้วยความโมโห

ในเวลาต่อมา บนโต๊ะอาหารเช้าในห้องอาหารเรือนใหญ่ รุทรหยิบยากับแก้วน้ำที่กินรีจัดให้ขึ้นมากินด้วยอาการมือสั่น กินรี เอื้องคำ จั่นเป็ง มองกันสงสัย ช่วงกินน้ำมือสั่นน้ำหกจากปาก ทุกคนตกใจ จั่นเป็งจะเอาผ้ามาเช็ดให้

“ฉันทำเองจั่นเป็ง”
เมทินีเอาผ้าเช็ดปากค่อยๆ เช็ดให้ “ตายแล้ว เลอะหมดเลยที่รัก”
กินรี เอื้องคำ จั่นเป็งได้ยินก็รู้สึกแปร่งๆ หู สะดุดตากับท่าทีแปลกๆ ของเมทินี จั่นเป็งสะกิดเอื้องคำยิกๆ คุณแม่บ้านใหญ่แอบค้อนคิดว่าเมทินีแกล้งทำ
“ทานได้ไหม หรือให้ฉันป้อน”
เมทินีจะหยิบมีดส้อมหั่นเบค่อน ไข่ดาวให้รุทรแต่รุทรเขินเลยยกมือกัน
“ผมทานเองได้ ขอบคุณนะเม”
รุทรหยิบมีดกับส้อมมาจะหั่นแต่มือสั่นทำให้หั่นลำบากเสียงมีดส้อมกระทบจานดังแกกๆๆๆ
“คุณวาทิตเป็นอะไรคะ ทำไมมือสั่นอย่างนั้น” กินรีแปลกใจ
“อ๋อ ฉันไปออกกำลังกายมานะ”
“ถีบจักรยานเหรอคะ แต่ก็ไม่เห็นเคยสั่นขนาดนี้นี่” เอื้องคำก็แปลกใจ
รุทรบอกว่า “โยคะ”
“นี่แสดงว่าเล่นหักโหมใช่ไหม เพราะกล้ามเนื้อคุณวาทิตไม่ชิน ทำไมไม่เล่นเบาๆ ทำเท่าที่ได้ไปก่อน แล้วคุณวาทิตไปเล่นทีไหนใครสอนคะ ทำไมไม่แนะนำให้ดีก่อน” กินรีบ่นเป็นเชิงตำหนิ
“เอ่อ...ฉันกับทิปปี้สอนเอง”
กินรีมองด้วยแววตาประหลาดใจสงสัยว่าเมทินีกำลังทำอะไร
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของรุทรดังขึ้น รุทรดูโทรศัพท์เห็นเป็นพ่อเลี้ยงวิทย์
“เดี๋ยวผมมานะ”

พอรุทรลุกไปแล้ว เอื้องคำรีบเข้ามาหาเมทินีทันที
“ถ้าคราวหน้าคุณเล่นพิเรนทร์อะไรให้คุณวาทิตเจ็บตัวอีก ฉันจะฟ้องพ่อเลี้ยง”
เอื้องคำโมโหมาก เดินออกไปเลย จั่นเป็งเดินตามไป เหลือแต่กินรีที่มองเมทินีสีหน้านิ่ง
“เธอพอมียาที่ช่วยเรื่องกล้ามเนื้ออักเสบ หรือคลายกล้ามเนื้ออะไรไหมอ่ะ ขอให้วาทิตหน่อยสิ”
กินรีจ้องหน้าเมทินีแล้วยิ้มมุมปาก
“เธอกำลังทำอะไรน่ะเม แกล้งคุณวาทิตให้เจ็บแล้วก็กลับมาเอาใจ คิดแผนชั่วอะไรอีก”
เมทินียัวะ “นรี ถ้าไม่รู้อะไรก็หุบปากดีกว่า ฉันไม่อยากมีเรื่องกับเธอ”
“กลัวฉันจะกระชากหน้ากาก จนเห็นความเลวเธอหรือไง”
พูดจบกินรีก็ลุกเดินหนีไป เมทินีฟังแล้วได้แต่ถอนใจไม่รู้จะอธิบายให้กินรีเข้าใจยังไง

พ่อเลี้ยงวิทย์อยู่ในห้องนอน กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางในระหว่างคุยกับรุทรไปด้วย
“เมื่อคืนนี้แรมวัดชีพจรของวาทิตแล้วอ่อนมาก แต่ตอนนี้ตามหมอแล้ว ลุงเลยอยากจะไปดูสักหน่อย”
“ให้ผมไปด้วยนะครับ” รุทรห่วงน้อง
พ่อเลี้ยงวิทย์ส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ถ้ารุทรไปกับลุงเราจะบอกคนอื่นยังไง”
รุทรถอนใจเครียด
“แล้วอย่างที่เราก็รู้กันอยู่ ตอนนี้ลุงอยากให้รุทรช่วยดูไร่ให้ลุงหน่อย ไม่ต้องห่วงนะลุงจะดูแลวาทิตอย่างดี”
“ครับผม”
“ขอบใจมาก”
ชายสูงวัยยิ้มให้แล้วปิดกระเป๋า

กินรีนั่งอยู่ตรงหน้ากระเป๋ายาสามัญประจำบ้าน แล้วค้นดูยาจนได้ตามต้องการก็ปิดกระเป๋า เมทินีเดินหน้าตึงเข้ามามองหน้ากินรี อีกฝ่ายมองตอบหน้านิ่งๆ แล้วส่งยาให้
“ยาคลายกล้ามเนื้อ”
เมทินีรับไป กินรีจะลุกขึ้นเมทินีขวางไว้
“นรี ฉันหมดความอดทนกับเธอแล้วนะ”
กินรีจ้องหน้า “ช้าไปนะ ของฉันน่ะหมดไปตั้งแต่ก่อนเธอเข้าบ้านนี้ซะอีก”
กินรีเบ้ปาก สีหน้าขยะแขยง จะเดินไป เมทินีผลักกินรีเลย
“ไปไหนไม่ได้ วันนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง เธอเองก็รู้ว่าฉันแต่งงานกับวาทิตเพราะอะไร เธอไม่น่าจะมาพาลลงที่ฉัน”
กินรีงง “คุณวาทิตมาเกี่ยวอะไร”
“ฉันรู้ว่าเธอชอบวาทิต”
“ฉันน่ะเหรอ”
“ฉันไม่ได้สบายใจนะที่มีเรื่องแบบนี้ บางทีฉันอาจจะให้พวกเราสามคนคุยเรื่องนี้กัน เพื่อหาทางออกของปัญหาดีไหม”
กินรีเหยียดยิ้มมุมปาก “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าให้เธอไปตายซะ ปัญหาจะได้จบ ทำซะสิมาพล่ามบ้าบออะไรอยู่ได้”
เมทินีชักโกรธ “ก็ได้ ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันช่วย งั้นต่อไปนี้ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเธอล้ำเส้นฉัน ฉันก็จะไม่เกรงใจ”
เมทินีกับกินรีจ้องหน้ากันเป็นการประกาศศึกอย่างเป็นทางการ
พอกินรีเดินถือกระเป๋ายาออกไปแล้ว เมทินีทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาด้วยความโกรธ พอละสายตามองออกไปนอกห้อง ก็เห็นรุทรช่วยพ่อเลี้ยงวิทย์ถือกระเป๋าเดินทางผ่านไป เมทินีสงสัยรีบลุกเดินตามไปดูที่หน้าบ้าน

รุทรไหว้ส่ง พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มให้ ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เมทินีเดินออกมาจากบ้านเห็นก็สงสัย
“คุณพ่อต้องไปค้างนอกไร่อีกแล้วเหรอ”
“เอ่อ...ไปประชุมน่ะ ไม่กี่วันก็กลับ”
“แล้วทำไมไม่ให้พี่หนานขับรถล่ะ”
“เห็นว่าขับเองคล่องตัวกว่า”
เมทินียิ่งสงสัย “ช่วงนี้คุณพ่อไม่ค่อยอยู่บ้านเลยเนอะ”
“อืม ท่านคงธุระเยอะ”
“ไปไหนมาไหนขับรถคนเดียว แล้วเธอไม่ห่วงท่านเหรอ”
“ห่วงสิ แต่จะให้ทำไง” รุทรตัดบท “เอาน่า เราไปทำธุระของพวกเราเถอะ ยังมีงานที่ต้องเรียนกันอีกเยอะนะ ไปเข้าบ้านเถอะไหนเมว่าจะทำข้าวต้มให้ผมไงเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วเข้าไปกินสิ”
รุทรเดินนำเข้าไป เมทินีมองตามรุทร แล้วหันไปมองทางที่รถของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นไป

แววตาเมทินีเต็มไปด้วยความสงสัย

อ่านต่อหน้า 2

เงาใจตอนที่ 10 (ต่อ)

ที่โรงอาหารของไร่ธนาทร หนานนั่งน้ำตาซึมเจียนจะไหล สุดท้ายฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเสียใจ

“โอ๋ๆๆ ไม่เอาน่าพี่หนานไม่ต้องเสียใจนะ”
“จะไม่ให้เสียใจได้ไง น้องจั่นเป็งลองมาเป็นพี่ดูสิ”
จั่นเป็งปลอบหนานยกใหญ่ เอื้องคำเดินเข้ามาพอดี
“อ้าว เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ป้า สงสัยฉันต้องตกงานแน่ๆ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง” เอื้องคำว่า
“เอ้า แล้ววันนี้จะได้รู้ไหมเนี่ย” จั่นเป็งเซ็ง
“คุณทิปปี้เพิ่งบอกฉันว่าพ่อเลี้ยงมีธุระสองสามวัน แต่แกขับรถไปเองแกไม่ให้ฉันขับรถให้อีกแล้ว ป้า...พ่อเลี้ยงต้องโกรธอะไรฉันแน่ๆ ป้ารู้ไหม” หนานน้อยอกน้อยใจ
เอื้องคำเองก็แปลกใจ “พ่อเลี้ยงไปอีกแล้วเหรอวะเนี่ย”
“คราวนี้ไปเงียบๆเลยนะป้า ดีที่คุณวาทิตกับคุณเมยังรู้
“ป้า...สงสัยพ่อเลี้ยงจะไล่ฉันออกแน่ๆ” หนานบอก
“เฮ้ย...ไม่หรอก พ่อเลี้ยงเป็นคนรักลูกน้องจะตาย ไม่เห็นเหรอลูกหลานคนงาน ใครอยากเรียนอะไรแกก็ส่งหมด ขอแค่ทำงานอยู่ด้วยกันนานๆ แล้วจะมาไล่เอ็งออกทำไม”
หนานคิดได้ หยุดร้องไห้ “เออ...ก็จริง”
“หรือพ่อเลี้ยงจะมีกิ๊ก เลยไปหาบ่อยๆ” จั่นเป็งว่า
เอื้องคำค้อนใส่วงใหญ่ “คิดได้สร้างสรรค์มากนะอีจั่นเป็ง”
“งั้นป้ารู้เหรอที่พ่อเลี้ยงหายไปบ่อยๆ นี่ไปไหน”
เอื้องคำก็อึ้งตอบไม่ได้เหมือนกัน
“ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆ พ่อเลี้ยงไม่มีวันไปทำอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ ข้ามั่นใจ”
“แล้วมันจะมีอะไรที่สำคัญกว่าคุณวาทิตความจำเสื่อมเหรอป้า ถึงทำให้พ่อเลี้ยงต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ”
จั่นเป็งพูดชวนคิด
ดูเหมือนการหายไปของพ่อเลี้ยงวิทย์ จะทำให้ทุกคนในไร่ธนาทรสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

พ่อเลี้ยงบึ่งรถมาจนถึงบ้านท้ายไร่ของรุทร เวลานี้หมอกำลังตรวจอาการของวาทิต ฟังหัวใจเต้น ดูม่านตา และเอากล้องเล็กๆ ส่องเข้าในรูจมูก
บนจอโน้ตบุ๊คของหมอ เห็นเป็นภาพโพรงจมูกของวาทิตที่เริ่มบวม
“ถ้าดูจากภาพผมคิดว่าคงเป็นเพราะอาการภูมิแพ้ของคุณวาทิตด้วยนะครับ อาจจะเพราะช่วงกลางคืนอากาศเย็นโพรงจมูกเลยบวมทำให้หายใจไม่สะดวก คงต้องระวังเรื่องความอบอุ่นในห้องให้มากขึ้นนะครับ”
“ฉันผิดเองที่ไม่รู้” แรมหน้าเศร้าลง
“อย่าโทษตัวเองสิแรม เธอทำดีที่สุดแล้ว”
“ใช่ครับ คุณแรมดูแลดีมากนะครับ กล้ามเนื้อของคุณวาทิตก็แข็งแรง แผลกดทับก็ไม่มี” หมอบอก
“ฉันอาศัยอ่านจากหนังสือน่ะค่ะ เลยทราบว่าคนป่วยที่นอนกับที่แบบนี้ต้องจับพลิกตัวบ่อยๆ แล้วก็ทำกายภาพบำบัดไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ชม “นี่ไงเธอก็ทำดีแล้วนะ ฉันว่าดีกว่าฉันอีก”
“แต่เรื่องเมื่อคืน” สีหน้าแรมกังวลมาก
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจะให้ยาไว้แล้วจะสอนวิธีให้ยาคุณวาทิต”
“วาทิต แม่ขอโทษนะ มันจะไม่เกิดขึ้นนะลูก”
แรมลูบหัวลูกที่หลับเป็นผัก แล้วกอดตามด้วยความรัก พ่อเลี้ยงมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสงสาร

บริเวณหน้าอาคารเรียนคณะเกษตร วาริน ฝ้าย และแต นั่งรอเข้าเรียนกันอยู่ที่โต๊ะหน้าคณะ จนไมตรีเดินผ่านมา วารินรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
“ฉันขอแอดเฟซไปเห็นหรือเปล่า”
ไมตรีมองหน้าวารินอย่างเฉยชา “มาแอดทำไม”
“ก็อยากเป็นเพื่อนไง”
“ฉันไม่ค่อยได้เล่น”
ไมตรีตอบเลี่ยงๆ แล้วจะเดินไปแต่วารินเดินตามต่อ
“แล้วที่ฉันเห็นว่าออนไลน์ทุกวันนี่ใคร หรือว่าเป็นตัวปลอม”
“จะตัวจริงตัวปลอมมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอนี่ มายุ่งอะไรด้วย”
เจอไมตรีว่าขนาดนี้วารินถึงกับไปไม่เป็น ไมตรีเดินหนีไปเลย วารินโมโหเดินกลับไปหาเพื่อน
“โดนมาอีกแล้วล่ะสิ” แตถาม
ฝ้ายเสริม “แล้วเดี๋ยวไอ้รินก็จะต้องพูดว่า คอยดูนะ ต่อไปฉันจะไม่ยุ่งอีกแล้วเป็นหนที่ห้า”
วารินงอน “พวกแกอ่ะ ฉันกำลังโมโหนะ”
“ก็รู้ว่าคุยกับเค้าแล้วโมโห จะคุยทำไมให้รมณ์เสีย” แตแขวะ
“ก็ฉันเห็นว่าไม่มีเพื่อนเลยสงสาร ฮึ ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็ได้ คอยดูนะ...”
“ฉันจะไม่ยุ่งกับนายไมตรีอีกเลย”
ฝ้ายกับแตพูดขึ้นมาพร้อมกับวาริน ซึ่งวารินยิ้มหน้าเจื่อนจ๋อย บอกเพื่อนซี้ว่า

“แกช่วยคิดประโยคอื่นได้ไหม ฉันก็เริ่มเบื่อประโยคนี้แล้ว”

ฝ่ายไมตรีนั่งดักรออาจารย์อยู่ที่หน้าห้องเรียน พอเห็นอาจารย์เดินมาไมตรีรีบลุกขึ้นเดินไป

“เป็นไง รายงานเรียบร้อยมั้ย”
“ผมจะมาเรียนอาจารย์เรื่องนี้แหละครับ คือผมยังทำไม่เสร็จเลยครับ”
เมื่ออาจารย์ได้ยินก็ถอนใจเอือมระอากับไมตรี
“คุณนี่ดูท่าทางก็ดี ไม่น่าเป็นคนไม่รับผิดชอบแบบนี้เลยนะ ถ้ารู้ว่าทำเดี่ยวไม่ได้แล้วจะขอทำทำไม”
อาจารย์จ้องหน้าคาดคั้น
“ผมรู้ว่าไม่มีใครอยากทำงานกับคนไม่ดีอย่างผม”
“ไมตรี คุณรู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่คุณทำลงไปคุณตั้งใจทำดีเพื่อจะช่วยเพื่อน”
“ครับ”
“คนหลายคนอาจจะไม่เห็นไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำคือความดี และตัดสินคุณจากผลของการกระทำ แต่โลกนี้มันยังมีคนอีกหลายๆกลุ่ม ลองเปิดใจดูดีๆ นะคุณจะเห็นคน อีกกลุ่มที่เค้าตัดสินคนที่ดีชั่ว ลองหาดูนะแล้วคุณจะมีความสุขกับคนที่เข้าใจคิด ดีกว่ามาทุกข์เพราะปิดตัวเองแบบนี้”
“ขอบคุณครับอาจารย์”
“ส่วนเรื่องคะแนนผมก็คงต้องพิจารณาตามเนื้อผ้าแล้วกัน”
อาจารย์ว่าแล้วก็เดินผละเข้าห้องเรียนไป
ไมตรีถอนหายใจก่อนจะเดินตามเข้าไป

อาจารย์เดินเข้าห้องเรียนแล้วก็เดินไปที่โต๊ะ ไมตรีตามเข้ามาแต่เดินเลี่ยงไปนั่งหลังห้อง อาจารย์เรียกไว้
“คุณไมตรี”
“ครับอาจารย์”
“ไหนบอกว่ารายงานไม่เสร็จ แล้วนี่อะไร มุขเยอะเหลือเกินนะคุณ”
อาจารย์ชูรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะให้ดู ไมตรีงงรีบเดินมาหน้าห้อง อาจารย์ก็ส่งรายงานให้ดู
“จะล้อเล่นอะไรกับครูบาอาจารย์ ก็อย่าให้มันเกินไปนะ” อาจารย์ตำหนิ
“เอ่อ...แต่ผม”
“คุณทำผมเสียเวลาสอนมามากแล้วนะ”
ไมตรีพยักหน้ารับแล้วเดินกลับไปที่นั่งด้วยความรู้สึกงุนงงว่ามีรายงานมาส่งได้ไง แล้วมองเลยไปยังวารินที่กำลังตั้งใจฟังอาจารย์แล้วจดใหญ่ ไมตรีกังวลแต่ตัดใจเรียนก่อน พอไมตรีก้มลงจด วารินก็หันมามองเห็นไมตรีจดใหญ่
แตกับฝ้ายที่เห็นวารินสมาธิเสียก็ช่วยกันจับหัววารินให้หันกลับไปหาอาจารย์

หลังเลิกเรียน วาริน แต ฝ้าย เดินคุยกันมา ไมตรีเดินมาดักหน้า ท่าทางซีเรียส
“ฉันสองคนไปรอที่โรงอาหารนะแก ท่าทางไมตรีเขามีเรื่องจะเคลียร์กับแก”
แตบอกแล้วก็รีบดึงมือฝ้ายเดินหายไป
ไมตรีถามทันที “รายงานนั่นฝีมือเธอใช่มั้ย”
“รายงานอะไรฉันไม่รู้เรื่อง” วารินทำเป็นไขสือ
“ก็รายงานที่ส่งอาจารย์ไปน่ะ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร” ไมตรีคาดคั้น
“เธอจะสนใจทำไมว่าใครทำ เธอมีคะแนนรายงานก็ดีแล้วนี่ ถ้าเธอตกวิชานี้จะไม่ผ่านโปรนะลืมไปแล้วหรือไง”
“แต่ถ้าฉันผ่านด้วยการช่วยเหลือของเธอฉันก็ไม่ชอบ”
“ไมตรี การที่ฉันตอบแทนบุญคุณเธอมันผิดมากใช่ไหม” วารินน้อยใจยิ่งนัก
“เธอทำทำไม ในเมื่อเธอไม่ได้อยากเป็นเพื่อนฉันตั้งแต่แรก”
“แต่ตอนนี้ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ ฉันอยากแก้ไขความผิดที่ฉันเคยทำกับเธอ ฉันยอมรับว่าฉันดูเธอผิด ฉันใช้อารมณ์ ฉันโกรธเธอตั้งแต่แรกเห็นที่เธอชนฉันที่ตลาด ฉันไม่ชอบหน้าเธอที่เธอเรียนไม่เก่งเลยดูถูกเธอ ฉันคิดว่าฉันเก่งฉันเจ๋งที่สุด แต่พอมีเรื่องจริงฉันก็เอาตัวไม่รอด ยิ่งพอเธอช่วยฉันๆ ก็รู้สึกผิด ฉันโกรธ ตัวเองที่เคยทำไม่ดี
กับเธอ เธอให้อภัยฉันไม่ได้เหรอ”
วารินร่ายยาวความในใจ ไมตรีได้แต่ยืนฟังในอาการอึ้งๆ
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากัน วารินลุ้นอยากฟังคำตอบจากไมตรีแต่ไม่มีคำตอบใดๆ รอดไรฟังเขาออกมา วารินเริ่มน้ำตาไหลออกมาเพราะความน้อยใจ จนกลั้นไม่อยู่
“เอาละ ฉันรู้คำตอบแล้ว ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอลำบากใจตลอดเวลา ยังไงฉันก็ขอบคุณมากนะสำหรับสิ่งดีๆที่เธอเคยทำให้ฉัน ฉันดีใจนะที่ครั้งหนึ่งได้เจอเพื่อนอย่างเธอไมตรี”
วารินพูดน้ำตาคลอก่อนจะเดินหนีไป ไมตรีมองตามสีหน้ารู้สึกผิดนิดๆ

ถัดมา ไมตรีนั่งอยู่ในห้องสมุด กำลังดูรายงานที่วารินทำให้อยู่บนโต๊ะ หน้าปกรายงาน เขียนว่า A เสียงอาจารย์ดังก้องขึ้นในหัวหู
“หัวข้อรายงานคุณเรื่อง การผลิตปุ๋ยชุมชน นี่มันดีมากนะ แต่ที่ดีกว่านั้นคือแนวความคิดการสร้างความสามัคคีและการแบ่งปันในชุมชน ยิ่งวิธีนำเสนอยิ่งดีเลย ตั้งใจนะผมอยากเห็นวันที่คุณจะนำเสนอกับเพื่อนๆ”
ไมตรีกุมขมับเครียดจัด มองรายงานตาไม่กระพริบ

อีกด้านวาริน เดินเข้ามามีแตกับฝ้ายเดินมาด้วย พอวารินเห็นไมตรีก็เดินไปทางอื่นไม่ได้สะบัดหรือแสดงความโกรธเหมือนแต่ก่อน มีแต่แตกับฝ้ายที่จ้องหน้าไม่พอใจก่อนสะบัดหน้าเดินตามวารินไป

ไมตรีรู้สึกเศร้าและเสียใจไม่รู้จะทำตัวยังไง

ขณะเดียวกัน รุทรอยู่ในห้องทำงานพ่อเลี้ยงที่ออฟฟิศ กำลังพยักหน้าให้ทิปปี้มานั่งที่โต๊ะแล้วหันคอมพ์ให้ทิปปี้ดู

“ฉันนั่งดูแฟ้มทั้งหมดแล้ว เราสั่งปุ๋ยกับยาฆ่าวัชพืชเยอะมาก ทำไมต้องสั่งเยอะขนาดนี้ แล้วเธอดูในคอมพ์สิ ตัวเลขของปีนี้มีการสั่งล่วงหน้าไปก่อน แล้วก็มาสั่งเพิ่มอีก มันเยอะไปนะ”
ทิปปี้งง “อุ่ย ฉันไม่รู้เรื่องหรอก ก็ทำใบสั่งมายังไงฉันก็ทำตาม”
“พี่กูรไม่รู้เรื่องนี้อีกตามเคยใช่ไหม” รุทรสวมมาดวาทิตดักคอ
“ฉันก็ไม่รู้นะ แต่คนเปิดออร์เดอร์คือนายชาติ” พูดไปแล้วทิปปี้ชักไม่แน่ใจ “หรือพี่กูรควรจะรู้ เพราะนายชาติเองก็ต้องส่งรายงานให้พี่กูรดู ถ้าเธอคิดว่ามีอะไรผิดปกติจะให้ฉันบอกพี่กูรไหม”
“เอ่อ....อย่าเพิ่งดีกว่า ฉันเพิ่งเข้ามาดูงาน บางทีอาจจะยังไม่รู้รายละเอียดพอ เดี๋ยวฉันถามพี่กูรเองดีกว่า ขอบใจนะ”
ทิปปี้เดินออกไป รุทธนั่งคิดไปคิดมา แล้วก็เปิดดูในแฟ้ม อ่านออกเสียง “พนักงานขาย นีรนุช”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของรุทรก็ดังขึ้น เขาดูชื่อแล้วรีบกดรับ
“ครับคุณลุง” น้ำเสียงรุทรดีใจมาก “วาทิตไม่เป็นอะไรเหรอครับ” แฝดพี่ถอนใจโล่งอก “ผมค่อยสบายใจหน่อย ทางนี้เหรอครับ” รุทรมองแฟ้มบนโต๊ะแว่บหนึ่ง “เอ่อ...มันก็มีบางอย่างที่ผมสงสัย แต่คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลให้เรียบร้อย”

ถัดมาเมทินีกับทิปปี้นั่งคุยกันอยู่
“แต่ฉันก็บอกแล้วต้องถามพี่กูร เค้าว่าจะไปถามเอง”
“แค่นี้เองเหรอ”
“แกกำลังสงสัยใช่ไหมว่าวาทิตกำลังคิดจะทำอะไร”
เมทินีพยักหน้ารับ “ใช่ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะนั่งสะกดจิตให้รู้ไปเลยว่าวาทิตคิดอะไร แกพอจะหาหมอสะกดจิตเก่งๆได้ไหม”
“หมอสะกดจิตเหรอ เฮ้ย ฉันนึกออกแล้ว”
ทิปปี้ยิ้มดีใจ เมทินีมองทิปปี้สงสัยว่าทิปปี้มีแผนอะไร

เย็นนั้นทุกคนนั่งทานของว่าง และคุยกันอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านท้ายไร่ของรุทร
วารินซึ่งเพิ่งกลับจากมหา’ลัยถามอย่างดีใจ “พี่รุทรสบายดีจริงๆ ใช่มั้ยคะคุณลุง”
“รินนี่ถามแปลกๆ พ่อเลี้ยงเขาจะโกหกทำไม เสียมารยาทจริงๆ” แรมตำหนิลูกสาว
“ก็รินเป็นห่วงพี่รุทรนี่นา”
“อ้าว...นี่แสดงว่าตอนพี่บอกว่าไอ้รุทรสบายดี รินไม่เชื่อเหรอ” อนุวัตรเย้า
“เชื่อ แต่เป็นพี่วัตรน่ะรินเลยเชื่อครึ่งของครึ่ง”
“25%” อนุวัตรเซ็ง
วารินเสริมอีก “แต่ถ้าเอามั่นใจก็หักอีกครึ่งนะ”
อนุวัตรยิ่งเซ็ง “สรุปคือไม่เชื่อ”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับแรมจันทร์หัวเราะขำที่เด็กๆ เถียงกัน
“เอาเป็นว่าต่อไปนี้รินก็ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วนะลูก เดี๋ยวจะเที่ยวไปถามให้ทั่วจนคนอื่นรำคาญ”
วารินหน้างอที่แม่เอ็ด พ่อเลี้ยงยิ้มเอ็นดู
“อย่าไปว่าลูกเลยแม่แรม น้องสาวเป็นห่วงพี่ชายน่ารักดีออก นี่ถ้าวาทิตฟื้นขึ้นมาคงจะดีใจนะที่รู้ว่ามีพี่ชายกับน้องสาวน่ารักแบบนี้”
“รินก็พยามสวดมนต์ให้พี่วาทิตฟื้นทุกวันนะคะ เพราะรินรอจะแนะนำตัวกับพี่วาทิตอยู่ค่ะ ไม่รู้อีกนานไหมกว่าพี่เขาจะฟื้นนะคะ”
คำถามนี้ทำให้พ่อเลี้ยงกับแรมถึงกับอึ้งไป ทุกคนเหลียวมองเข้าไปในบ้านเห็นวาทิตนอนหลับบนเตียง
“ลุงก็ใจจดใจจ่อรอพี่เค้า เหมือนกับริน”

ทานของว่างเสร็จแล้ว แรมล้างชามอยู่ในครัว วารินถือสิ่งจานของกินเมื่อครู่เข้ามา
“วางนั่นแหละลูกเดี๋ยวแม่ล้างเอง”
“หนูช่วยนะแม่”
“ไม่ต้องหรอก ของแค่นี้มือเลอะเปล่าๆ”
วารินไม่ฟังช่วยแม่ล้าง
“ดีจริงลูกแม่ พูดอยู่หยกๆ ว่าไม่ต้องก็จะล้าง งั้นแม่ปล่อยให้ล้างให้หมดคนเดียวดีไหม”
“ไม่ดีจ้ะแม่”
แรมถอนใจ “เฮ้อ...ตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ดื้อ ดื้อมากแล้วก็ดื้อที่สุด”
วารินหัวเราะ “ถ้าไม่ดื้อแม่จะรักอย่างนี้เหรอ”
แรมเขกหัวโป๊ก
“อุ๊ย แม่ หัวรินสกปรกหมดแล้ว”
วารินพูดจบเข้าสวมกอดแรม ทั้งสองคนกอดรัดกันหัวเราะหัวใคร่

ด้านอนุวัตรกำลังจัดเตียงกับกางมุ้งให้พ่อเลี้ยงวิทย์นอนบนเตียงของรุทร
“เรียบร้อยแล้วครับพ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงลงนั่งบนเตียงแล้วยิ้มให้อนุวัตร
“ขอบใจมากนะวัตรที่ไม่บอกเรื่องที่รุทรโดนทำร้ายให้แรมกับหนูรินรู้”
“ผมไม่อยากให้แม่แรมกับน้องรินเป็นห่วงนายรุทรน่ะครับ เดี๋ยวจะพาลอยู่ไม่เป็นสุขกัน”
“ดีแล้วแหละ ลุงจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องราวอะไรอีก”
“บางเรื่องมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยนะครับคุณลุง จะไปห้ามไม่ให้มันเกิดคงยาก แต่นายรุทรคงจะระวังตัวมากขึ้นละครับ คุณลุงมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้ม “ลุงดีใจแทนรุทรนะที่มีเพื่อนดีดีแบบนี้ ถ้าวาทิตเขาฟื้นขึ้นมาลุงก็ฝากน้องอีกคนนะ วาทิตเขาไม่มีสังคมไม่มีเพื่อน”
“ได้เลยครับคุณลุง วาทิตฟื้นเมื่อไหร่ผมจะจับเข้าแก๊งสามโจ๊กทันทีเลย” อนุวัตรพูดติดตลก
พ่อเลี้ยงยิ้มปนเศร้าเพราะไม่รู้ว่าวาทิตจะมีวันนั้นไหม
“ลุงไม่รู้จะตอบแทนวัตรยังไงดี ที่ช่วยทั้งดูแลวาทิตทั้งคอยช่วยรุทรอีก”
“ขอไร่ส้มสักร้อยไร่ก็พอครับ แฮะ แฮะ ผมล้อเล่นนะครับ ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ ผมกับไอ้รุทรรู้จักกันมาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมีอะไรก็ช่วยกันไปครับ ไม่คิดมาก”
“แต่ลุงก็ยังอยากตอบแทนอยู่ดี เอาอะไรดีล่ะ” พ่อเลี้ยงนึกได้ “เอางี้ดีกว่าถ้าวัตรรักใครชอบใครเดี๋ยวลุงเป็นเจ้าภาพให้ ดีมั้ย ว่าแต่มีคนที่หมายตาหรือยังล่ะ”
“คนที่ชอบเหรอครับ”

อนุวัตรพึมพำคล้ายจะถามใจตัวเอง

อ่านต่อหน้า 3

เงาใจตอนที่ 10 (ต่อ)

ห้องนอนทั้งห้องปิดไฟมืดสนิท พ่อเลี้ยงวิทย์นอนหลับอยู่เตียงหนึ่ง ส่วนที่เตียงอนุวัตร พบว่าอนุวัตรนอนคิดอยู่ยังไม่หลับ

“คนที่เราหมายตา คนที่เราชอบ...” หนุ่มเสียงแปร๋นยิ้มค่อยๆ หลับตาลง

เวลานั้นอนุวัตรนั่งเซ็ง มองดูผักในสวน รถของบุษบันแล่นมาจอด บุษบันลงมาจากรถเดินหน้าตึงมาหาอนุวัตร
“นี่ ตกลงรุทรไม่ติดต่อมาบ้างเลยเหรอ”
อนุวัตรนั่งเงียบไม่ตอบ บุษบันไม่พอใจ
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”
“ได้ยินแต่ไม่อยากฟัง”
บุษบันงง “เป็นอะไรอีกล่ะ”
“ฮึ...ถามทำไม ถ้าถามแล้วไม่ได้คิดถึงใจคนอื่นจะถามทำไม”
“นี่ไอ้หน้าลิง อยู่ๆ มาวีนฉันเรื่องอะไร ฉันถามดีๆ นะ”
อนุวัตรหันขวับแล้วเดินมาจับไหล่บุษบันบีบจนบุษบันเจ็บ
“ถามดีๆ เหรอ ถามดีๆ แล้วทำไมผมเจ็บ เจ๊...ในใจเจ๊เคยมีผมบ้างไหม จะมีแต่ไอ้รุทรกับน้องไนกี้แค่นั้นเหรอ เหลือที่เล็กๆ ให้ผมบ้างได้ไหม”
บุษบันตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ไอ้หน้าลิง...นี่เธอ...” เจ๊พูดไม่ออก
อนุวัตรตอบให้ว่า “ใช่ ผมชอบเจ๊ ชอบตั้งแต่วันแรกที่เห็น ชอบมานาน ชอบแบบไม่เคยชอบใครมาก่อนได้ยินไหม”
บุษบันแกะมืออนุวัตรออก แล้วหันหลังเดินหนีไปโดยเร็วด้วยความช็อก
อนุวัตรมองตามน้ำตาไหลรินออกมาเองด้วยความเสียใจ
บุษบันที่เดินไปจะถึงรถแล้วก็หันมามอง “คนแก่อย่างฉันจะมีคนชอบจริงๆ เหรอ”
“ถ้าเจ๊คิดว่าผมพูดเล่นจะลองคบกันไหมล่ะ”
อนุวัตรกับบุษบันจ้องหน้ากันนิ่ง
บุษบันยิ้มบางๆ “ฉันควรตอบว่าได้ใช่ไหม”
อนุวัตรตาโต หัวใจพองโต ไม่อยากจะเชื่อหู
“เจ๊...นี่เจ๊...”
บุษบันพยักหน้ารับด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ อนุวัตรดีใจยิ้มกว้าง แล้วออกวิ่งไปหาบุษบัน
“ผมรักเจ๊”
อนุวัตรวิ่งตรงไปหาบุษบันแล้วสะดุดหินตรงหน้าร้องจ๊าก
ร่างอนุวัตรลอยละลิ่วจะตกพื้นรอมร่อ

ร่างอนุวัตรกลิ้งตกเตียงดังโครม อนุวัตรร้องกรี๊ดเสียงแปร๋น พ่อเลี้ยงวิทย์สะดุ้งตื่น รีบเปิดไฟหัวเตียงมองไปที่เตียงอนุวัตรแต่ไม่เห็นใคร
“วัตร...วัตร”
อนุวัตรค่อยๆ ตะกายขึ้นมายิ้ม
“ไม่มีอะไรครับผมฝัน”
พ่อเลี้ยงจ้องหน้า “ฝันร้ายละสิ”
อนุวัตรคิดแล้วไม่แน่ใจ “มันร้ายไหมหว่า”
“โบราณว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี นอนเถอะ”
อนุวัตรขึ้นมาบนเตียงแล้วนอน พ่อเลี้ยงวิทย์ปิดไฟจะหลับตา อนุวัตรสะดุ้งลุกพรวด
“พ่อเลี้ยงครับ”
“อะไร”
“แล้วฝันดีจะกลายเป็นร้ายไหมครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์งง “เออ...อันนี้ลุงก็ไม่รู้นะ อาจจะเป็นก็ได้ ตกลงวัตรฝันร้ายหรือดี”
“เอ่อ...มันก็...จำไม่ได้ครับ”
“งั้นก็นอน อย่าไปคิดอะไร”
พ่อเลี้ยงลงนอนหลับต่อ อนุวัตรนอนลงแล้วใจเสียพึมพำคนเดียว
“เจ๊ มาเข้าฝันใหม่นะ เอาแบบเตะถีบกระทืบได้เลย ไม่ต้องทำดีนะเจ๊ ฝันร้ายจะได้กลายเป็นดี”

รุ่งเช้า เมทินีกับทิปปี้ช่วยกันจัดเสื่อเล่นโยคะริมสระ รุทรที่ยืนข้างๆ เห็นแล้วสยองไม่หาย
“เอ่อ...วันนี้ผมไม่เล่นโยคะได้ไหม”
“ได้สิ ฉันรู้แล้วว่าเธอต้องฝึกอีกนาน ไว้ค่อยๆ เริ่มก็ได้นะ”
“งั้นผมไปเดินเล่นดีกว่า”
ทิปปี้กับเมทินีพยักหน้า รุทรเดินออกไป สองสาวพอรุทรไปแล้วก็มองตามจนแน่ใจทิปปี้ก็หยิบกระดาษออกมาส่งให้เมทินี
“นี่ไงที่ฉันว่าดีกว่าหมอสะกดจิตอีก เพราะเป็นตารางการนัดหมายหาหมอประจำตัวของวาทิต ปกติพ่อเลี้ยงจะส่งให้ฉันลงคอมพ์เอาไว้เตือน”
เมทินีดูตารางแล้วชะงัก “อ้าว นี่มันเลยวันที่นัดมาสองวันแล้วนี่”
“เลย...หมายความว่าไง” ทิปปี้งง
“ก็วันก่อนไม่เห็นวาทิตจะไปเลย”
“เฮ้ย แต่ฉันจำได้ว่าฉันเตือนพ่อเลี้ยงแล้วนะ หรือว่าพ่อเลี้ยงลืม”
“ช่างมันเถอะ แต่ยังไงเราก็รู้แล้วว่าจะสืบประวัติการป่วยของวาทิตยังไงที่ไหน”
“งั้นเริ่มแผนเลยนะ”
เมทินีเก็บตารางนัดแล้วพยักหน้าให้ ทิปปี้ร้องครวญครางเสียงดังราวกับจะเป็นจะตาย
“อ๊อยยย...”
รุทรที่เดินเล่นอยู่ไกลๆ ได้ยินรีบวิ่งมาหาทันที
“ทิปปี้เป็นอะไรน่ะเม
“เห็นบ่นว่าปวดท้อง เดี๋ยวฉันพาไปหาหมอนะ”
“ดี ผมไปด้วย”
“อุ๊ยไม่เอา เธอเป็นผู้ชายไปได้ไง”
“ไม่เห็นเป็นไร ฉันก็แค่ไปส่งเธอแล้วก็รอรับกลับ”
“ไม่เอา ฉันอาย เธอไม่ต้องไป ฉันไปกับเมเอง” ทิปปี้ว่า
รุทรลังเลเมทินีรีบพูดทันที
“ตามใจทิปปี้เถอะ”
รุทรหลงกล พยักหน้ารับ แล้วช่วยพยุงทิปปี้เดินไป

ไม่นานต่อมา เมทินีกับทิปปี้อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์โรงพยาบาล
“คุณหมอประกิตไม่อยู่ค่ะ ไปธุระที่กรุงเทพฯ อีกสองสามวันถึงจะกลับค่ะ”
“ฉันขอเช็ควันนัดพบคุณหมอของวาทิตได้มั้ยคะ”
“อ๋อ..คุณวาทิตเหรอคะ ทางญาติเจ้าของไข้ทำเรื่องย้ายตัวไปรักษาที่กรุงเทพฯ ตั้งหลายเดือนแล้วนี่คะ”
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันงงๆ
“แต่เค้ากลับมาแล้วนะคะ ที่นี่ไม่ได้รับแจ้งเหรอคะ”
พยาบาลก็งง เช็คในคอมพ์แล้วส่ายหน้า
“ไม่นะคะ”
เมทินีส่งใบนัดให้ดู “นี่ไงคะ ใบนัดยังลงวันไว้เลย”
พยาบาลรับมาดู “อ๋อ...นี่เราทำนัดไว้ก่อนที่จะเกิดปัญหาสุขภาพครั้งหลังสุดของคนไข้ค่ะ แต่ในเครื่องของดิฉัน ถูกยกเลิกไปแล้วค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะคนไข้ย้ายไปรักษาที่กรุงเทพฯ ทางโน้นก็ดูแลต่อ”

เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันอึ้งๆ สองสาวสงสัยว่ามีอะไรแปลกๆ อีกแล้ว

ถัดจากนั้น สองสาวนักสืบก็ออกมานั่งหารือกันในร้านกาแฟโรงพยาบาล เมทินีนั่งเหม่ออยู่นานจนทิปปี้สงสัย

“เป็นอะไรแก ฉันเห็นเหม่ออยู่นานแล้ว”
“กำลังคิดเรื่องคุณพ่อ”
“นี่ๆๆๆ อย่าบอกนะว่าเราจะต้องสืบเรื่องพ่อเลี้ยงกันอีก”
“แล้วก็เองก็สงสัยไม่ใช่เหรอว่าพ่อเลี้ยงแปลกๆ”
“ก็ใช่นะ แต่พ่อเลี้ยงก็มีงานนี่”
“แกไม่คิดเหรอว่า คุณพ่อให้ความสำคัญกับงาน มากกว่าวาทิตที่กำลังไม่สบายเพราะความจำเสื่อมอีกนะ”
“ก็จริงนะแก เมื่อก่อนพ่อเลี้ยงแทบไม่ค่อยไปไหนเลยเพราะห่วงวาทิตมาก แต่เดี๋ยวนี้เหมือนเค้าไม่ห่วงเลยนะ แถมยังให้วาทิตทำงานอีก แปลกจริงๆ”
“ฉันว่าวาทิตกับพ่อเลี้ยงน่าจะร่วมมือกัน” เมทินีมั่นใจในความคิดมาก
“เฮ้ย เม แกจะไปกันใหญ่แล้วนะ พ่อเลี้ยงกับวาทิตจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร โอเควาทิตน่ะฉันยังคิดว่าเป็นไปได้ เพราะอาจจะหึงแกเลยทำอะไรบ๊องๆ เพื่อลองใจแก หรือเพื่อกันแกจากพี่กูร แต่พ่อเลี้ยงเค้าจะมาหลอกแกทำไม”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันมั่นใจว่าสองพ่อลูกนี่ต้องกำลังทำอะไรบางอย่างที่...ไม่น่าไว้ใจ”
เมทินีนิ่งเครียดคิดไม่ตก

ส่วนที่ห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ ในอาคารสำนักงานไร่ส้มธนาทร รุทรเปิดคอมพ์ดูเบอร์แล้วกดโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานโทร.ออก
“สวัสดีครับ คุณนรีนุชใช่ไหมครับ ผมจากไร่ธนาทรนะครับ วาทิตครับ...ฮัลโหล...”
สายตัดไปเฉยๆ รุทรงง กดโทรศัพท์ใหม่
“สวัสดีครับ เมื่อกี้สายหลุดครับ...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
เสียงสายหลุด รุทรวางสายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ในเวลาต่อมารุทรมองจ้องหน้าชาติอยู่ที่หน้าโรงเก็บปุ๋ย “แล้วทำไมจะเปิดให้ไม่ได้”
“ตามกฎผู้จัดการไร่จะถือกุญแจได้คนเดียว”
“แต่ฉันรู้ว่านายเป็นหัวหน้าคนงาน ก็มีอีกชุด”
“ใช่ ผมมี แต่คุณต้องไปขอคุณกูรก่อนไม่งั้นก็เปิดไม่ได้”
“งั้นก็รีบไปบอกพี่กูรสิ”
ชาติมองหน้ารุทรกวนโทสะ แล้วเดินไป รุทรมองตามสีหน้าเอาเรื่อง

อังกูรนั่งอยู่ตรงมุมพักผ่อนในไร่ส้ม และฟังชาติรายงานจบแล้ว
“แล้วมันไปที่นั่นทำไม”
“ผมก็ไม่ทราบครับ”
“กุญแจล่ะ”
“ผมไม่ได้ให้มันครับ บอกว่าต้องรอคุณกูรก่อน แต่ผมว่าคุณอังกูรรีบไปดูดีกว่า รู้สึกไอ้คุณวาทิตนี่มันจะวุ่นวายมากเกินไปแล้ว”
“ไม่จำเป็น ให้มันรู้ไปสิว่าถ้าฉันไม่ไปมันจะมีปัญญาทำอะไรได้”
โทรศัพท์ชาติดังขึ้น ชาติกดรับ
“ว่าไงวะ” ชาติมีสีหน้าตกใจ “เฮ้ย มันกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ เออๆๆ” ชาติวางสายแล้วรีบรายงานนาย “คุณกูรครับมันให้คนงานทุบกุญแจแล้วครับ”

อังกูรโมโหตบโต๊ะปัง ด้วยความโกรธจัด

เมื่ออังกูรกับชาติขับรถมาจอดที่หน้าโรงปุ๋ย เห็นประตูเปิดอยู่ โดยมีรุทรยืนดูถุงปุ๋ย และขวดน้ำยาต่างๆ อยู่ ก็ไม่พอใจรีบลงไป

“วาทิต ทำอะไร ทำไมไม่คอยพี่
“ก็พี่กูรมาช้า ผมนึกว่าชาติมันลืมไปบอกพี่น่ะสิ”
“นายโทร.ก็ได้นี่ ทำไมต้องทุบกุญแจด้วย”
“ผมลืมเอาโทรศัพท์มา ไม่เป็นไรหรอกพี่กูร เดี๋ยวกุญแจพวกนี้ผมจะจัดใหม่ เอาแบบมีลูกกุญแจหลายดอกหน่อย ไม่ใช่มีแค่สองดอกถือกันอยู่สองคน”
“ถือสองคนก็ดีแล้ว ถ้าถือหลายคนของหายไปใครจะรับผิดชอบ” อังกูรแถไปเรื่อย
“ผมรับเอง” รุทรจ้องหน้าอังกูรอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วนี่นายจะเข้ามาดูอะไร ถึงไม่ปรึกษาพี่ก่อน”
“ผมแค่อยากดูว่าเราใช้ปุ๋ยแบบไหนบ้าง แล้วก็อยากดูว่ายาฆ่าวัชพืชที่คุณพ่อบอกให้เลิกใช้เรายังใช้อยู่หรือเปล่า”
อังกูรบอกเสียงขุ่นว่า “เรื่องยาน่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เขาทิ้งให้หมดพอใจไหม ส่วนเรื่องปุ๋ยนายดูรู้เรื่องเหรอ เพราะอายุต้นไม้แต่ละช่วงมันใช้ไม่เหมือนกันนะ”
“ผมทราบ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะส่งกุญแจชุดใหม่มาให้นะครับ ขอตัวไปเรียนงานต่อ”
รุทรเดินขึ้นรถขับออกไป ชาติเริ่มใจไม่ดีกระซิบกับอังกูร
“คุณกูรว่ามันจะรู้ไหมครับ”
“มันก็ทำเก่งไปงั้นแหละ คนที่มันนั่งๆ นอนๆ มาตลอดชีวิต มันจะรู้ได้ไงว่าคนทำงานเขาทำอะไรบ้าง”
อังกูรกับชาติมองตามรถของรุทรไปด้วยสายตาไม่พอใจ

รถของเมทินีแล่นมาที่หน้าไร่ธนาทรแล้วจอดกึก เมื่อมองไปเห็นว่าวาทิตเลี้ยวรถออกไปอีกทาง
ทิปปี้งง “แกจอดทำไม”
“ฉันว่าฉันเห็นวาทิตขับรถออกไปนะ”
ทิปปี้มองตาม “จริงด้วย เค้าไปไหนของเค้า”
“อยากรู้ก็ต้องตามไปดูสิ”
“เฮ้ย...เม ฉันมีงานต้องทำนะ”
“ไว้ก่อน”
เมทินีออกรถ ตามไป โดยทิ้งระยะห่างๆ ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

รุทรขับรถมาตามทาง โดยมีเมทินีที่ออกอาการมั่นใจในความฉลาดของตนขับรถอยู่รั้งท้ายต่อรถกระบะอีกคันเพื่อไม่ให้รุทรสังเกตเห็น
“นี่วาทิตขับรถเก่งขนาดนี้เลยเหรอแก ไม่น่าเชื่อเนอะว่าคนที่วันๆ เอาแต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านจะขับรถได้ขนาดนี้” ทิปปี้ตั้งข้อสังเกต
“นั่นสิ ฉันก็ไม่เคยเห็นวาทิตขับคล่องขนาดนี้นะ”
“หมอที่รักษาวาทิตนี่เก่งนะ เหมือนจะสอนขับรถด้วย”
เมทินียิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย

เมทินียังคงขับรถตามรุทรมาอย่างไม่ลดละ รถแล่นเข้ามาย่านในเมืองเชียงใหม่แล้ว เมื่อมาถึงจุดหนึ่งรถกระบะดันเลี้ยวไปเมทินีเลยไม่มีรถบังให้ เมทินีเลยต้องขับทิ้งระยะให้ห่างไว้หน่อย รุทรเองก็ไม่ทันสังเกต จนเข้าเมืองเชียงใหม่รุทรมองไปก็เริ่มสงสัยว่ามีรถตาม รุทรแกล้งขับช้าจนแน่ใจว่าเป็นรถของเมทินีตามมา
รุทรยิ้มร้ายแล้วแกล้งเร่งให้เร็วขึ้น จนไปอยู่หน้ารถบัส
ในรถของเมทินี ทิปปี้ร้องขึ้น เมื่อมองไปข้างหน้า
“อุ๊ยเม วาทิตหายไปแล้ว”
“ไม่หายหรอก ฝีมือฉันไม่มีพลาด”
ส่วนวาทิตมองหลัง แล้วไม่รถเมทินีก็มั่นใจว่าพ้นแน่ พอถึงแยกรุทรตัดสินใจหักเลี้ยวซ้ายเข้าซอยทางลัดตรงคูเมือง
รถของเมทินีขับตามรถบัสไป เลยรถวาทิตที่เลี้ยวเข้าซอยไป
“เฮ้ย เม วาทิตเลี้ยวไปแล้วอ่ะ”
“บ้าจริงๆ ไม่เป็นไรวาทิตไม่เห็นใช่ไหม”
“คิดว่าไม่นะ”
“เดี๋ยวฉันกลับรถก่อน”
เมทินีกลับรถมาแล้วขับไปเรื่อยๆ สอดตามองหา
“หายไปแล้วอ่ะเม”
“ไม่น่าเลย”
รถวาทิตจอดซุ่มอยู่ในซอย ยิ้มสมใจเมื่อเห็นรถของเมทินีผ่านไป

วาทิตออกรถ เลี้ยวกลับไปทางเดิมอย่างสบายใจเฉิบ

อ่านต่อหน้า 4

เงาใจตอนที่ 10 (ต่อ)

รถของรุทรแล่นมาจอดด้านหน้าบริษัทปุ๋ย เขาก้าวลงมาจากรถ แล้วมองเข้าไปด้านในอาคารเบื้องหน้า รุทรเปิดประตูเดินเข้ามามองไปรอบๆ ห้อง พบว่ามีพนักงานทำงานอยู่หลายคน โดยแบ่งเป็นแผนกต่างๆ รุทรมองเห็นป้ายแผนกขายแขวนอยู่ก็ตรงไปที่โต๊ะด้านหน้าเพื่อถามพนักงานสาวนางหนึ่ง

“เซลส์ที่ชื่อนีรนุชอยู่ไหมครับ”
“จากไหนคะ” สุนิสาพนักงานสาวถาม
“วาทิตจากไร่ธนาทรครับ”
“พี่นุชชี่ไม่อยู่ให้ดิฉันดูแลแทนได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ครับ”
น้ำเสียงของรุทรทำเอาสุนิสาอึ้ง “อะไรนะคะ”
รุทรยิ้ม “บอกคุณนุชชี่ให้เขาเลิกหลบผมดีกว่า ไม่งั้นได้คุยกับตำรวจแน่”
พนักงานอึ้งหนัก มองรุทรงงๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก

รุทรนัดพบนีรนุชที่ร้านกาแฟบรรยากาศดี ผู้คนไม่พลุกพล่าน นีรนุชหยิบแฟ้มออกมาจะส่งให้รุทรแต่เปลี่ยนใจดึงกลับ
“คุณจะไม่เอาเรื่องกับฉันแน่นะคะ”
รุทรพยักหน้ารับ นีรนุชส่งแฟ้มให้รุทรดู
“ใบออร์เดอร์กับใบรับเงินจริงทางไร่ธนาทรจะได้ส่วนลด 30% เพราะสั่งกับนุชชี่เยอะมาก”
“แสดงว่าทางไร่จ่ายเงินคุณเต็ม 100% แต่คุณหักส่งบริษัทแค่ 70% ส่วนลดที่ได้ก็เข้ากระเป๋าคุณ”
“ฉันได้ 10% เท่านั้นเองนะ ที่เหลือคนของคุณเอาไป”
“คุณอังกูร ผู้จัดการไร่ผมใช่ไหม”
“ฉันก็ไม่รู้นะว่าใคร แต่ที่แน่ๆ คุณอังกูรเป็นคนมาทำสัญญาเท่านั้น หลังจากนั้นคุณชาติหัวหน้าคนงานเป็นคนติดต่อทำทุกอย่าง ดูชื่อคนรับของสิชื่อคุณชาติทั้งนั้นแหละ”
“แล้วเขาสั่งตั้งเยอะ ทำไมผมเช็คของแล้วไม่เห็นจะเยอะอย่างนี้เลย”
“โอ๊ย ที่เขาสั่งน่ะส่งเข้าไร่คุณแค่หนึ่งในสาม”
รุทรอึ้งไปนิด “แล้วที่เหลือล่ะ”
“เห็นว่ามีที่ปล่อยนะคะ ฉันก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก คุณชาติเค้าใช้บริษัทขนส่งของไร่คุณนั่นแหล่ะมารับของเองไปจัดการทั้งหมด”
“นี่คุณหมายความว่า คนของผมเอาของที่สั่งจากคุณไปขายต่อโดยไม่ต้องลงทุนสักบาทงั้นเหรอ”
นีรนุชประชด “ค่ะ ขายลดราคา 50% ยังรวยเลย”
รุทรได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วเครียดหนัก เขามองเอกสารในมืออย่างกลัดกลุ้ม ว่าจะเอาไงดีต่อไป

ทางด้านเมทินีกับทิปปี้ขับรถมาจอดที่มุมหนึ่งของถนนในคูเมือง เมทินีมองหารถรุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิตไปรอบๆ ด้วยความเสียดาย
“แกคิดว่าวาทิตจะเข้ามาในเมืองเหรอ”
“ฉันก็เดาๆ เอาน่ะ เพราะถ้าไม่มาในเมือง ตามเส้นทางที่เรามาก็ต้องเห็นรถวาทิตบ้างสิ”
“โอเค แล้วถ้าวาทิตเข้ามาเราจะหาเจอเหรอ รถเยอะแยะขนาดนี้”
เมทินีถอนใจด้วยความโมโหเจ็บใจตัวเอง
“เจ็บใจจริงๆ ฉันไม่น่าพลาดเลย”
“ที่แล้วก็แล้วไปเถอะ มาคิดต่อดีกว่าว่าจะเอาไงดี จะเสียเวลาตามโดยไร้ทิศทางแบบนี้เหรอ”
“ถ้างั้นก็กลับไปตั้งหลักที่ไร่แล้วกัน”
เมทินีออกรถขับออกไป
หากเมทินีและทิปปี้มองเลยไปทางฝั่งตรงข้ามอีกนิดเดียว สองสาวจะเห็นรุทรที่นั่งคุยกับนีรนุชในร้านกาแฟที่อยู่ห่างกันปลายจมูก ชนิดว่าถ้าเมทินีเลยมาอีกนิดเดียวเจอแน่ เพราะรถของรุทรจอดหราอยู่หน้าร้านกาแฟนั่นเอง

เวลานั้นอังกูรยืนคุมการไถพรวนหน้าดิน เพื่อเตรียมลงต้นส้มในส่วนที่ขยายใหม่ ชาติวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“หายไปไหนวะไม่มาดูเตรียมดิน”
“ผมไปดูบูธที่หน้าไร่ เลยรู้ว่าไอ้วาทิตมันออกไปข้างนอก”
อังกูรนิ่วหน้าสงสัย “มันไปไหน”
“ไม่ทราบครับ ผมถามไอ้หนานป้าเอื้องคำไม่มีใครรู้เลย คุณกูรว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องโรงเก็บปุ๋ยเมื่อเช้าไหมครับ”
“คงไม่มั้ง มันเพิ่งจับงานไม่กี่วัน งานพื้นฐานยังไม่รอด จะไปรู้เรื่องอื่นได้ยังไง” อังกูรปรามาส
“แต่ผมไม่สบายใจเลยนะครับ คุณกูรลองคิดดูอยู่ๆ ทำไมมันอยากเปิดโรงเก็บปุ๋ยแล้วก็หายหัวไปข้างนอก”
อังกูรนิ่งคิดตาม “เดี๋ยวฉันสืบเอง”

เมทินีขับรถมาจอด ลงรถพร้อมทิปปี้ กำลังจะเดินเข้าสำนักงาน อังกูรกับชาติก็ขับรถมาจอดตาม สองหนุ่มลงจากรถ อังกูรรีบตรงไปหาสองสาวทันที
“ไปไหนกันมา”
“เอ่อ...พาทิปปี้ไปธุระค่ะพี่กูร”
“วาทิตไปด้วยหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เห็นออกไปข้างนอกแต่เมก็ไม่รู้ว่าไปไหน พี่กูรมีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่จะตามไปเรียนงานน่ะ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร”
อังกูรกับชาติจะเดินไป ทิปปี้นึกได้
“พี่กูร วันนี้ตัวแทนกล่องเจ้าใหม่จะมาอย่าลืมนะ”
“ถ้าเขามาทิปปี้ให้ไปเจอที่พี่โรงบรรจุเลยนะ”
อังกูรยิ้มแล้วเดินแยกไปที่รถกับชาติ ทิปปี้กับเมทินีเลยเดินเข้าสำนักงาน
อังกูรกับชาติเห็นสองสาวเดินเข้าไปแล้ว
“มันแปลกๆ นะครับ จู่ๆหายไปขนาดคุณเมยังไม่รู้” ชาติตั้งข้อสังเกต
อังกูรคิดได้ “แกโทรหาเซลส์ของเราสิ”
ชาติกดโทร.ออก “คุณนุชชี่ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมแค่อยากรู้ว่าวันนี้คุณนุชชี่จะต้องเจอลูกค้าที่ไหนบ้าง...อ๋อ...โอเค งั้นแค่นี้ล่ะครับ” ชาติกดวางสาย “ไปพบลูกค้าที่ลำปางครับ”
“เห็นไหม แกมันตื่นตูมไม่เข้าเรื่อง พาฉันประสาทไปด้วย”
อังกูรกับชาติอารมณ์ดีขึ้น สองคนขึ้นรถขับออกไป

อีกฟาก ภายในร้านกาแฟนรีนุชเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
“รับรองคุณอังกูรกับคุณชาติเชื่อสนิทว่าฉันไม่ได้เจอคุณ”
นีรนุชแบมือขอหลักฐานคืน
“ตอนนี้ฉันบอกคุณหมดแล้ว ช่วยโกหกก็แล้ว ขอหลักฐานคืน ฉันจะได้กลับ”
“หลักฐานเหรอ ผมขอได้ไหม”
นีรนุชฉุน “ได้ยังไง เกิดคุณปล่อยหลุดไปฉันก็แย่สิ เอาคือมาฉันจะได้กลับ”
“ยังกลับไม่ได้หรอกนุชชี่”
นีรนุชจำเสียงได้ หันขวับไปด้านหลังเห็น ธนกฤต ผู้จัดการฝ่ายขายเจ้านายตัวเอง กับตำรวจยืนอยู่ก็ตกใจ
“ผู้จัดการ” นีรนุชหันขวับมาหารุทร “ไหนคุณบอกจะไม่เอาเรื่องฉันไง”
“ถามผู้จัดการคุณดีกว่า”

นีรนุชหันไปมองผู้จัดการสีหน้าเป็นคำถาม

ที่แท้ ตอนที่รุทรอยู่ในห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ที่สำนักงาน เขาเปิดคอมพ์แล้วดูเบอร์แล้วกดโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานโทร.ออก

“สวัสดีครับ คุณนรีนุชใช่ไหมครับ ผมโทร.จากไร่ธนาทรนะครับ...วาทิตครับ...ฮัลโหล ...”
รุทรงง กดโทรศัพท์ใหม่
“สวัสดีครับ เมื่อกี้สายหลุดครับ...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
เสียงสายหลุดอีก รุทรวางสายขมวดคิ้วสงสัย
รุทรดูคอมพ์แล้วกดโทรศัพท์อีกหมายเลข
“สวัสดีครับ คุณธนกฤต ผู้จัดการฝ่ายขายใช่ไหม ผมโทรจากไร่ธนาทรลูกค้ารายใหญ่ของคุณ ผมพยามโทร.หาเซลล์ของคุณแต่เธอไม่รับสาย เลยอยากจะถามอะไรกับคุณสักหน่อยครับ”
อีกฟาก ที่โต๊ะผู้จัดการเห็นธนกฤตนั่งคุยโทรศัพท์กับรุทรที่สวมบทวาทิตอยู่ แต่ตามองที่นีรนุชกำลังคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน
ธนกฤตดูในคอมพ์ “แต่จากรายงาน เราให้ส่วนลดกับทางธนาทรตลอดนะครับ ถ้าคุณไม่เชื่อผมจะเอารายงานให้คุณดูทั้งหมด...ได้สิครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับคุณ เพราะถ้าลูกน้องผมโกงจริง ผมก็ต้องจัดการตามกฎบริษัท เอาเป็นว่าผมจะจับตาดูเค้าไว้ ยังไงวันนี้ผมไม่ให้เขาไปไหนแน่ครับ”

ตำรวจเดินควบคุมตัวพานีรนุชขึ้นรถตำรวจไปแล้ว รุทรกับธนกฤตเดินตามออกมาจากร้าน
“หลังจากที่ผมให้ปากคำกับตำรวจแล้ว ผมจะรีบไปขอโทษทางไร่ธนาธรอีกครั้งนะครับ ขอความกรุณาคุณวาทิตช่วยเรียนพ่อเลี้ยงด้วย”
“เรื่องขอโทษไม่เป็นไรหรอก แค่ที่ช่วยล็อกตัวคุณนุชชี่จนผมได้หลักฐานทุกอย่างก็พอแล้วครับ ตอนนี้ผมก็จะกลับไปจัดการกับคนของผมบ้าง”
รุทรยิ้มให้ธนกฤต ในใจคิดว่าเรื่องนี้ต้องจบโดยเร็ว

บ่านคล้อยจวนเย็น เมทินีนั่งดูหน้าจอเรียนรู้งานของไร่ มีทิปปี้คอยสอนงานให้
“ตกลงก่อนที่จะลงค่าแรง ฉันต้องเช็ควันลาวันหยุดของคนงานก่อนใช่ไหม”
“ถูกต้อง”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือทิปปี้ดังขึ้น ทิปปี้หยิบมาดูแล้วบอกเมทินี
“วาทิต” ทิปปี้รีบกดรับสาย “วาทิตว่าไง อ๋อ...ตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงบรรจุนะ พอดีมีเซลส์ บริษัทกล่องมาขอพบน่ะ โอเคจ้ะ”
ทิปปี้กดวางสาย เมทินีถามทันที “มีอะไรเหรอ”
“วาทิตโทร.มาถามหาพี่กูร”
“แสดงว่ากลับมาแล้วสิ”
“คงงั้นมั้ง”
เมทินีงง “อะไรของเค้า หายไปทั้งวัน กลับมาก็ถามหาพี่กูร ทั้งๆ ที่ปกติไม่เห็นจะทำ”
“อ๊ะๆๆๆ นี่อย่าบอกว่าน้อยใจที่สามีถามหาพี่ไม่ถามหาเมียนะ”
“บ้าเหรอ ฉันแค่สงสัย หรือแกไม่สงสัย ปกติสองพี่น้องนี่ถูกกันที่ไหน เมื่อเช้าพี่กูรก็มาถามหาวาทิต นี่วาทิตก็ถามหาพี่กูร มันมีอะไรหรือเปล่า”
“นี่ แม่พยัคฆ์สาวนักสืบ ฉันว่าแกชักจะสงสัยเกินไปใหญ่แล้ว ก็วาทิตเรียนงานกับพี่กูร เมื่อเช้าหายไปพี่กูรก็ต้องตาม ตอนนี้วาทิตกลับมาก็ต้องถามหาคนสอนงานสิ”
เมทินีเถียงไม่ออก แต่ในใจก็รู้สึกแปลกๆ

ที่โรงบรรจุส้ม คนงานบรรจุส้มลงกล่องกระดาษเตรียมส่ง โดยที่มุมหนึ่งเห็นอังกูรยืนถือกล่องแบบใหม่มองอย่างไม่ค่อยสนใจ แล้วส่งคืนให้ตัวแทนบริษัท มีชาติยืนอยู่ด้วยข้างๆ อังกูร
“คุณภาพกระดาษ การพับสำหรับปิดเปิดง่าย ถือสะดวกแล้วยังรองรับน้ำหนักได้ดีกว่าเจ้าเดิมที่คุณกูรเคยใช้อยู่แน่นอนครับ” เซลส์ยิ้มประจบ
“คุณกูรใช้เจ้านี้นะครับ ผมคุยเรื่องเงื่อนไขพิเศษไว้หมดแล้ว เหมือนเดิมครับ คุณกูรแค่ทำสัญญาในฐานะผู้จัดการไร่ ที่เหลือผมออกหน้าเอง”
อังกูรตกลง “โอเค งั้นคุณไปเตรียมสัญญาให้พร้อมแล้วนัดวันมาเลย”
ระหว่างนั้นรุทรเดินเข้ามาพอดี “จะทำสัญญาอะไรกันอีกเหรอพี่กูร”
อังกูรกับรุทรมองหน้ากัน
“ไม่มีอะไรหรอก สัญญากล่องบรรจุส้มกับรายเก่าจะหมด รายใหม่เขามาเสนอ พี่ว่าน่าสนใจดีนะ”
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เราน่าจะปรึกษาคุณพ่อด้วย”
“ปกติคุณลุงก็ให้อำนาจผู้จัดการตัดสินอยู่แล้วนี่”
“แต่ตอนนี้ผมมาช่วยคุณพ่อ ผมเลยอยากปรับเปลี่ยนระบบ”
อังกูรเริ่มฉุน “จะปรับเปลี่ยนอะไร ทุกอย่างมันก็ดีอยู่แล้ว”
รุทรสวมบทวาทิตยิ้ม “เอาเป็นว่าผมขอคุยกับพี่กูรและนายชาติส่วนตัว” เขาออกตัวกับเซลส์ “ส่วนคุณถ้าเราจะทำสัญญากับคุณผมจะติดต่อไปเอง”
อังกูรกับชาติมองรุทรด้วยสายตาเขม่นไม่พอใจแม้จะเก็บอาการแล้ว เซลส์เองก็ไม่พอใจเก็บกล่องกระดาษเดินออกไป

รุทรเดินนำอังกูรกับชาติมาที่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าโรงบรรจุ
“เมื่อเช้าผมร่วมมือกับผู้จัดการบริษัทปุ๋ยจับพนักงานของเขาฐานฉ้อโกง”
อังกูรกับชาติเริ่มเหลือบมองตากัน แต่ยังพยามรักษาอาการ
“แล้วนายไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย”
“เกี่ยวโดยตรงเลยล่ะครับ เพราะหลังจากวันที่ผมห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ผมก็เลยอยากรู้ว่าเรายังเหลืออีกเท่าไหร่ เลยไปดูรายงานและเจอว่าเราสั่งของเยอะมาก ทั้งปุ๋ยชนิดต่างๆ อาหารเสริม ทุกอย่างสั่งมาเยอะมาในราคาเต็มแบบไม่ลด แม้แต่บาทเดียว แต่ของที่สั่งทั้งหมดมาที่ไร่ไม่ครบ พี่กูรพอจะรู้ไหมครับว่ามันคืออะไร”
อังกูรแกล้งตกใจ “นี่หมายความว่าบริษัทมันโกงเหรอ เลวจริงๆ พี่ไม่คิดเลยว่าบริษัทใหญ่ๆ จะทำเราแบบนี้”
“บริษัทไม่ได้โกงง่ายๆหรอกครับ ถ้าไม่มีคนของเราร่วมมือกับคนของเขา”
อังกูรพยามนิ่งไม่ให้ผิดสังเกต “คนของเรา เป็นไปได้ไง”
“มันเป็นไปแล้ว และก็เป็นมานานด้วย”
อังกูรยิ้ม “พูดแบบนี้ไม่ดีนะวาทิต นายต้องเอาหลักฐานมาพูด ไม่ใช่มั่วขึ้นมา”
รุทรยิ้ม พลางเปิดประตูรถหยิบแฟ้มส่งให้ อังกูรเปิดดู ชาติร้อนตัว ขอมาดูด้วยแล้วสองคนก็เริ่มใจไม่ดี
ชาติโวยวายลั่น “หลักฐานปลอมหรือเปล่า”
“นั่นสิ หลักฐานพวกนี้ใครๆ ก็ทำปลอมมาได้ ระวังจะโดนเล่นงานกลับนะ” อังกูรทำเป็นห่วง แต่ขู่อยู่ในที
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผม งั้นคงต้องให้ตำรวจกับศาลเป็นคนตรวจสอบซะแล้ว”
“นายหมายความว่าไง”
“ที่พูดไปมันก็เข้าใจไม่อยากไม่ใช่เหรอพี่กูร”
อังกูรโกรธ “นี่นายกำลังปรักปรำว่าพี่โกงนะ ไอ้วาทิต”
“ผมยังไม่ได้กล่าวหาพี่กูรเลย เพราะหลักฐานทุกอย่างมันหยุดที่นายชาติหมด พี่กูรแค่คนทำสัญญาไม่เกี่ยวไม่ใช่เหรอครับ จะร้อนตัวทำไม”
อังกูรกับชาติมองหน้ากันจะเอาไง แล้วก็ตัดสินใจเล่นตามเกมรุทรไปก่อน
“ไอ้ชาติ แกไม่น่าทำแบบนี้เลย”
ชาติบอกด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน “ผมขอโทษครับคุณกูร คุณวาทิต ผมจะไม่ทำอีก”
อังกูรตัดบท “เอาเป็นว่าพี่จะลงโทษไอ้ชาติมันเอง”

“ไม่จำเป็นครับ เพราะผมเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”

ขาดคำตำรวจที่รออยู่แล้ว ก็เดินตรงเข้ามาที่ชาติ ทำการจับกุมแล้วใส่กุญแจมือไขว้หลังทันที ชาติพยามดิ้นขัดขืน ร้องโวยวายดังลั่น

“เฮ้ย จับกูได้ไง คุณกูรช่วยผมด้วย”
อังกูรคาดไม่ถึง “วาทิต เห็นแก่พี่ได้ไหม ยังไงไอ้ชาติมันก็ช่วยงานพี่ได้เยอะ”
“ช่วยได้มากหรือน้อยไม่เกี่ยวครับ ถ้าเป็นคนโกงยังไงเราก็เอาไว้ไม่ได้” รุทรหันไปทางตำรวจ “เชิญครับ เดี๋ยวผมกับพี่กูรจะตามไปให้ปากคำ”
ตำรวจพาชาติที่เดินโวยวายเรียกให้อังกูรช่วยไปขึ้นกระบะหลังแล้วออกไป
อังกูรเจ็บใจมาก เดินมาจ้องหน้ารุทรด้วยความแค้นใจ
“พี่เป็นผู้จัดการ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ธุระอะไรของนาย นายไม่ควรยุ่ง”
“ที่จริงผมอยากยุ่งมากกว่านี้ซะอีก เสียดายหลักฐานมันสาวไปไม่ถึงคนบงการ”
อังกูรทำเป็นใจดีสู้เสือ “พูดอะไรของนาย จับไอ้ชาติไปยังไม่พอใจอีกเหรอไง”
“ยังครับ เพราะผมมั่นใจว่าไอ้ชาติไม่มีปัญญาคิดแผนแยบยลแบบนี้ได้เองคนเดียว แต่ผมก็หวังว่าจากการที่ไอ้ชาติโดนจับ จะช่วยให้ผมเจอตัวคนที่อยู่เบื้องหลังนะครับ”
อังกูรจ้องหน้าวาทิตอยากชกหน้ามาก แต่ทำได้แค่เพียงกำมือแน่นด้วยความแค้นใจ
“เดี๋ยวเราออกไปให้ปากคำกับตำรวจด้วยกันประสาพี่น้องนะครับ”

รถตำรวจที่คุมตัวชาติแล่นมาตามถนนสายเปลี่ยว มุ่งหน้าเข้าเมือง ชาตินั่งนิ่งมองสองข้างทางคิดแผนร้าย
“พี่ๆ ผมหายใจไม่ออก”
ตำรวจ 1 ไม่เชื่อนัก “เป็นอะไร”
“ผมเป็นหอบหืด พี่ช่วยเอายาในกระเป๋ากางเกงให้ผมหน่อยสิ”
ตำรวจทั้งสองมองหน้ากัน แล้วพยักหน้ารับ รถจอดลงข้างทาง แล้วตำรวจ 2 ก็มาเปิดประตูหลัง
“ยาอยู่ในกระเป๋ากางเกงครับพี่”
จังหวะที่ตำรวจ 2 เผลอชาติก็เอาหัวโขกหน้าตำรวจเข้าเต็มๆ จนตำรวจหน้าหงายล้ม ชาติรีบลงจากรถเตะกระทืบตำรวจ 2 จนจุก
ตำรวจ 1 ที่ทำหน้าที่ขับรีบลงจากรถวิ่งอ้อมไป แต่ชาติวิ่งหายไปในป่าแล้ว ตำรวจ 1 วิ่งไปดูตำรวจ 2
“ไปตามจับมันก่อน”
ตำรวจ 1 ควักปืนออกมาวิ่งไล่ยิ่งเข้าไปในป่าข้างทาง

ตำรวจ 1 วิ่งตามเข้ามาในป่าเปลี่ยวอย่างระมัดระวังตัว ชาติหลบอยู่หลังต้นไม้พอได้จังหวะก็กระโดดถีบออกมาจากหลังต้นไม้ ตำรวจเสียทีล้มลง
ชาติกระหน่ำเตะจนตำรวจ 1 หมดแรง แล้วรีบวิ่งหนีไป ตำรวจ 2 ที่วิ่งตามมาก็ช่วยดูแลตำรวจ 1

ไม่นานหลังจากนั้น อังกูรได้รับการติดต่อจากชาติ เวลานี้นั่งคุยกับชาติอยู่ในบ่อน โดยชาติถือกุญแจมือที่ถูกไขแล้วควงเล่นๆ
“ไอ้วาทิตมันคงคิดว่ามันเก่งตายแล้ว เอาตำรวจแค่สองคนมาจับผม”
“แต่ยังไงฉันก็ประมาทมันไม่ได้อีกแล้ว ไม่คิดว่ามันจะเก่งขึ้นมาก”
“แล้วตอนนี้เราจะเอาไงดีครับ”
“ฉันต้องหาที่กบดานให้แกก่อน”
“ให้ผมไปอยู่ต่างจังหวัดไหมครับ แต่ผมคงต้องขอเงินคุณกูรสักก้อนนะครับ”
อังกูรหยิบเงินมาให้ปึกใหญ่ ชาติรีบตะครุบ
“แบบนี้ผมขออยู่ต่อทุนสักหน่อยก่อนไปนะครับ”
“แกไม่ต้องไปที่อื่น ฉันจะหาที่ให้แกกบดานเอง”
“คุณกูรจะให้ผมไปอยู่ไหนครับ”

อังกูร และชาติ นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านกิจจาในตอนเย็นวันนั้น กิจจายืนมองสองคนอย่างไว้เชิงและประเมินเหตุการณ์จริง
“โชคดีที่หลักฐานปลอม ที่มันทำขึ้นมาทำอะไรผมไม่ได้ แต่ไอ้ชาติเลยซวยแทน”
อังกูรเล่าเรื่องอย่างที่หวังว่าจะหลอกกิจจาได้
“กูร อาว่าถ้าเอาเรื่องจริงมาเล่าให้อาฟังตรงๆ จะดีกว่านะ”
อังกูรกับชาติมองหน้ากันแล้วอึ้งไปชั่วขณะที่กิจจารู้ทัน
กิจจายิ้มร้าย “เอาเป็นว่า อาจะให้ไอ้ชาติอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
“ในเมื่อคุณอารู้ว่าผมโกหก ทำไมยังช่วยผม” อังกูรแปลกใจ
“เพราะกูรคิดโกงไอ้วิทย์ไง อาก็เคยทำมาก่อน” ชายสูงวัยเดินมาตบไหล่อังกูร “และสิ่งที่กูรทำมันช่วยแสดงให้เห็นว่าเราเชื่อใจกันได้” แล้วบอกกับชาติว่า “ส่วนแก ฝีมือคงไม่เบาถึงหนีตำรวจมาได้ ฉันชอบ”
ชาติไหว้ “ขอบคุณครับคุณกิจจา”
“ขอบคุณคุณอามากครับที่ช่วยผมกับไอ้ชาติ”
“อย่าเรียกว่าช่วยเลย ถือว่าอาพิสูจน์ความจริงใจที่จะร่วมมือกับกูรก็แล้วกัน เรายังต้องพึ่งพากันอีกนาน คราวนี้อาช่วยกูร คราวต่อกูรก็ต้องช่วยอา”
“ด้วยความยินดีครับ”
กิจจาหันมาทางชาติอีก “ส่วนแก ก็มาอยู่ที่นี่ในฐานะคนสนิทฉันแล้วกัน”
ชาติยิ้ม “ครับผม”
กิจจากับอังกูรยิ้มให้กันด้วยความเป็นมิตร

ขณะที่เมทินีกับทิปปี้เลิกงานเดินออกมาจากสำนักงาน ก็เห็นหนานขับรถกระบะขนคนงานมาจอด หนานกับคนงานทั้งหมดรีบลงมา
“คุณทิปปี้ปิดสำนักงานแล้วเหรอครับ”
ทิปปี้มองฉงน “ปิดสิ ก็เลิกงานแล้วนี่ พี่หนานมีอะไรเหรอ”
“ไอ้คนงานรายวันพวกนี้สิครับ มันยังไม่ได้เซ็นชื่อเลย จะขอมาเซ็นที่นี่ครับ”
เมทินีงง “อ้าว ทิปปี้ไหนเธอบอกว่าพวกนี้จะเซ็นกับหัวหน้าคนงานไง”
ทิปปี้เองก็งงมาก แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากถามหนานก็พูดก่อน
“คุณวาทิตเอาตำรวจมาจับไอ้ชาติไปแล้วครับ”
สองสาวตกใจ เมทินีรีบถาม “มีเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องอะไรคุณเมคงต้องไปถามคุณวาทิตหรือคุณกูรเองนะครับ เพราะเห็นคนงานบอกว่าพอตำรวจจับไอ้ชาติไป คุณวาทิตกับคุณกูรก็ตามไป เลยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมทินีกับทิปปี้มองหน้ากันงงกับข่าวใหม่จากหนาน

รุทรเปลี่ยนเสื้อผ้าจะอาบน้ำ เมทินีเพิ่งจะเปิดประตูเดินเข้ามา เขาหันไปมอง
“นี่เมฝึกงานเพิ่งเสร็จเหรอ”
“คนงานยกโขยงมาขอเซ็นชื่อทำงานก็เลยอยู่ช่วยทิปปี้” เมทินีเดินยิ้มมาหารุทร “วันนี้หายไปไหนมาทั้งวัน รู้ไหมว่าฉันคิดถึง”
รุทรแปลกใจระคนตกใจ “ห๊า”
“ก็เธอบอกให้ฉันอยู่ในสายตา ให้ตัวติดกันแล้วไหงเธอมาทิ้งกันล่ะ ตกลงไปไหนมาจ๊ะ”
เมทินีพูดจบก็โอบคอรุทรยิ้มแววตายั่วยวนจนรุทรสงสัย
รุทรในคราบวาทิตแกะแขนออก “ไม่มีอะไรหรอก ผมไปธุระน่ะ ผมยังแต่งตัวไม่เสร็จ ขอตัวนะ”
รุทรหันจะเดินหนี แต่ก็ต้องสะดุ้งหยุดชะงัก เพราะรู้สึกเหมือนมีของมีคมมาจ่อหลัง
“อะไรน่ะเม”
“ที่บ้านเรียกกรรไกร...คมๆ”
รุทรทำเป็นตกใจกลัว “เมจะทำอะไร ไม่ดีนะ พลาดพลั้งไปนี่ตายได้นา”
“งั้นก็บอกมาสิว่าวันนี้ไปไหน”
รุทรหันหลังกลับมาหา เมทินียิ้มยั่วแบบคนเหนือกว่า รุทรแกล้งยิ้มแหยเหมือนจะเป็นผู้แพ้
“เมนี่ดุเหมือนกันนะ”
เมทินียิ้มย่ามใจ “พอดีฉันเป็นพวกลูกผู้หญิงพูดจริงทำจริงน่ะ บอกมาให้หมดว่าวันนี้ไปทำอะไร ทำไมชาติถึงโดนไล่ออก”
รุทรยิ้มทำท่าจะอ้าปากเล่า แต่พอเห็นเมทินีเผลอตั้งใจฟัง รุทรใช้จังหวะเผลอจับข้อมือเมทินียกขึ้นหยิบกรรไกรออกจากมือโยนทิ้ง เมทินตกใจจะดิ้นหนี
“ไปไหนล่ะผมจะเล่าแล้วไง”
จังหวะนั้นรุทรดึงร่างเมทินีกระชากแล้วเหวี่ยงขึ้นเตียง ตัวเขาก็กระโดดขึ้นคร่อมทันที ล็อคเมทินีไว้ไม่ให้ดิ้น
“ปล่อยฉันนะวาทิตา ปล่อยสิ”
“ขอผมเล่าให้ฟังก่อนนะ”
รุทรโน้มตัวลงมาเหมือนจะจูบ เมทินีเบือนหน้าหนีพร้อมกับหลับตาปี๋ รุทรโน้มตัวลงจนจมูกชนแก้มเมทินีแล้วเล่า
“ผมสืบเจอว่ามันมีอะไรแปลกๆ ในการสั่งของ เลยไปเช็คกับบริษัทพอเจอว่าใครทุจริตก็จัดการ และคนๆนั้นก็คือชาติ”
“แล้วเรื่องแค่นี้ทำไมต้องไปทำคนเดียว ทำไมต้องปิดบังฉัน”
“ก็เมพาทิปปี้ไปหาหมอ ถ้าเมอยู่บ้าน ผมพาไปด้วยแล้ว”
“แน่ใจเหรอที่พูด เธอเจอทุจริตเมื่อไหรฉันก็ไม่รู้เรื่อง แล้ววันนี้เธอก็จัดการทุกอย่างโดยไม่คิดจะบอกฉัน ถ้าไม่เกิดเรื่องคนงานฉันก็คงไม่รู้เรื่อง”
“คิดมากน่าเม ผมน่ะอยากจะอยู่เคียงข้างเมจะตาย ให้ผมพิสูจน์ไหม”
พอพูดจบรุทรก็โน้มตัวลงใกล้เมทินีอีก เมทินีชักรู้สึกกลัวรีบโวยวาย
“โอเครู้แล้ว ปล่อยได้หรือยัง”
รุทรปล่อย เมทินีเด้งตัวได้ก็รีบถอยห่างรุทรทันที เมทินีมองรุทรอย่างประเมิน รุทรฉีกยิ้มให้ดูจริงใจที่สุดแล้วเดินไปหยิบกรรไกรมาส่งคืนให้เมทินี เมทินรับแล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป
รุทรเปลี่ยนจากยิ้มแสนดีเป็นสีหน้าร้ายทันที

ฝ่ายเมทินีปิดประตูห้องน้ำแล้วมายืนหน้ากระจกคิดเรื่องที่รุทรพูด
“ทำไมวาทิตเหมือนไม่ใช่วาทิต นี่มันอะไรกัน”

เมทินีรู้สึกขยะแขยงตัวเองรีบเอาสำลีชุบโทนเนอร์เช็ดๆๆๆ ตามซอกคอเป็นการใหญ่ แลดูน่าขัน

อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น