บ้านศิลาแดง ตอนที่ 6
ตรัยเปิดประตู เดินเข้ามาในบ้าน ยังหงุดหงิดไม่หาย สุดาที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ หันมาเห็นจึงยิ้มล้อๆ
“เป็นไงพี่ตรัย โห หน้าตาอารมณ์ดีมาก ทะเลาะกะแฟนมาอีกอ่ะดิ?”
เขาทำหน้าตึงไม่พูดอะไร รีบเดินตรงรี่ขึ้นชั้นบนไป พร้อมกับปิดประตูเสียงดังปังเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะเดินมากำหมัดชกลงกับเตียงเต็มแรง
“มันจะเปลี่ยนเยอะไปล่ะ คิดอะไรอยู่กันแน่นะน้องพร”
“รำคาญจริง จะบอกได้ยังเนี่ย มองหาใคร?”
เชาว์ส่ายหน้าอย่างรำคาญ ก่อนจะหันมาตอบแบบเสียไม่ได้
“ยัยพร ยัยพรกับ...เดือนฉายเหรอ?”
วาทินีมองเชาว์อย่างแปลกใจ
“ฉันว่าพี่ละเมอไปเองแล้วล่ะ ตะกี๊ตอนออกมาฉันยังเห็นมันนั่งเล่นอยู่กับหมาอยู่เลย”
ทันใดนั้นรถก็จอดติดไฟแดงอีกครั้ง รถของเดือนฉายขับมาจอดข้างๆ เชาว์หันไปเห็น ก็รีบชี้บอกวาทินี
“เฮ้ย นั่นไง”
“ไหน โอ๊ย มองไม่ชัด”
“แต่ฉันว่าน่าจะใช่นะ ลงไปดูให้มันรู้เลยล่ะกัน”
ขาดคำก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินลงไป วาทินีรีบตามลงไปด้วย โชเฟอร์รีบตะโกนบอก
“เดี๋ยวสิคุณ จะไฟเขียวแล้วนะ คุณๆ”
แต่ทั้งคู่ไม่สนใจ รีบเดินอาดๆ ตรงไปที่รถของเดือนฉายทันที
“มาเดี๋ยวฉันเคาะกระจกเอง ให้เห็นกันไปเลยว่าใช่หรือไม่ใช่?”
วาทินีเดินแซงมา พลางกำลังจะเคาะที่กระจก แต่บังเอิญไฟเขียวขึ้นมาก่อน รถของเดือนฉายรีบเคลื่อนออกไป พอดีกับที่ฝ่ายนั้นกำลังเคาะกระจกเลยวืดไป พร้อมๆ กับเสียงแตรรถบีบไล่
วาทินีกับเชาว์ทำหน้าเซ็งๆ จะเดินกลับไปที่รถ โชเฟอร์มองมาอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนรถออกไป ทั้งคู่เลยได้แต่ยืนเหวอคอยหลบรถอยู่กลางถนน
เพ็ญพรนั่งที่พื้นพิงหลังกับเตียงเอกสิทธิ์ ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค สีหน้าดูจริงจัง
“โอเค. User กับ Password เอิ่ม...”
พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระดาษที่จดออกมาดู แล้วรีบคีย์ลงบนแป้นพิมพ์ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะณัฐพงษ์ ที่แต่โดนเธอใช้มารยาล่อหลอกก็ถึงกับยอมให้มาง่ายๆ
“ได้แล้วหนึ่ง ต่อไปก็อีกอย่าง มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย?”
เอกสิทธิ์ที่นอนอยู่ แต่สายตาจดจ้องมาอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊คเช่นเดียวกัน พลางพยายามจะพูดอะไรออกมา
“อือ อือ”
เพ็ญพรหันขวับมาตามเสียง คิดว่ารบกวนเอกสิทธิ์
“แสงเข้าตาคุณพ่อสินะคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ เดี๋ยวหนูไปทำข้างนอกดีกว่า คุณพ่อจะได้พักผ่อน”
พูดพลางจัดแจงดึงผ้าห่มให้ แล้วปิดไฟที่หัวเตียงก่อนเดินถือโน้ตบุ๊คออกไป เอกสิทธิ์พยายามจะขยับตัว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ได้แต่หลับตาลงอย่างหมดแรง
ทางด้านวิทวัสที่ยังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบเอกสารต่างๆ ขึ้นดูไปมา ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออก
“ไงคุณ นอนหรือยัง?”
เพ็ญพรที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็น พูดสวนกลับทันที
“นอนแล้วมั้ง อีตาบ้า โทร. มาอะไรดึกดื่นป่านนี้ ว่าไง มีอะไรยะ?”
วิทวัสได้ยินเสียงน้องหมาร้องหงิงงๆ ก็สงสัย
“เฮ้ย คอนโดคุณเค้าให้เลี้ยงหมาได้ด้วยเหรอ? เอ๊า อยากรู้ก็ผิดอีก โอเค.ๆเข้าเรื่องก็ได้ คืองี้ เดี๋ยวเดือนหน้าบริษัทเราจะเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ เป็นน้ำผลไม้ ผมเลยจะโทร. มาขอความเห็นคุณเรื่องจัดงาน คุณคิดว่าไง?”
“จะรอพรุ่งนี้ก่อนไม่ได้หรือไงยะ แล้วทำไมไม่ปรึกษาแม่ฉัน?”
วิทวัสตกใจรีบยกโทรศัพท์ออกห่าง
“คุณเดือนหลับแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่มันเวลาพักผ่อนนะคุณ”
“แล้วฉันไม่ต้องพักผ่อนเหรอไง? อีตาบ้า เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันดูให้ พลาด? ระดับฉันไม่เคยทำงานพลาดย่ะ ถ้าฉันพลาดนะ ฉันยอมเป็นเบ๊ทำตามที่นายสั่งทุกอย่างเลยแค่นี้นะ ฉันจะไปนอนแล้ว”
เพ็ญพรกดวางสายอย่างอารมณ์เสีย หันไปดูลูกหมาเห็นครางหงิงๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“ตายแล้ว พี่พร หนูขอโทษ”
ส่วนวิทวัสพอวางสาย ก็รีบเอามือขยี้หูตัวเอง
“สงสัยองค์นางมารลงอีกแล้ว แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าอยู่ในโหมดนางมารร้าย นางก็อาจจะมีไอเดียมีอะไรเจ๋งๆ ก็ได้”
เดือนฉายค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง พลางมองไปรอบๆ หาพรเพ็ญ ก่อนจะเดินเข้ามาในส่วนของห้องรับแขก เห็นอีกฝ่ายนั่งอ่านอะไรอยู่ที่โต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียด
“ทำอะไรแต่เช้าลูก”
พรเพ็ญหันมาตามเสียง ก่อนจะยิ้มให้แม่
“คุณแม่ เดี๋ยวหนูไปชงกาแฟให้นะคะ”
พูดพลางรีบกุลีกุจอลุกขึ้นเดินไปชงกาแฟให้ เดือนฉายเดินมาที่โต๊ะ หยิบแฟ้มเอกสารและหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจที่ลูกสาวอ่านเมื่อครู่ขึ้นมาดู พลางทำหน้าแปลกใจสงสัย พอดีกับที่อีกฝ่ายยกกาแฟมาให้
“ขอบใจจ้ะ นี่หนูอ่านพวกนี้แต่เช้าเลยเหรอลูก?”
พรเพ็ญพยักหน้ายิ้มๆ แต่ฉายแววกังวลอยู่
“ค่ะ หนูอยากรู้เรื่องธุรกิจให้มากขึ้นกว่านี้ จะได้ไม่ทำงานของคุณแม่เสียอีก”
เดือนฉายเดินมาลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู
“ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็ได้ลูก เดี๋ยวอีกหน่อยก็คล่องเอง”
“กว่าจะคล่อง งานคุณแม่คงเสียหมดสิคะ คุณวิทวัสอีก เกรงใจเค้าค่ะ”
พอพูดถึงวิทวัส พรเพ็ญก็รู้สึกวูบๆ หน้าแดงขึ้นมาทันที
“ตาวัสเค้าก็ไม่ได้อะไรหรอกลูก เค้าก็แค่ชอบพูดชอบแหย่ไปแบบนั้นล่ะ”
“เค้าคงรำคาญพรมากเลยนะคะ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ไม่เหมือน...”
เดือนฉายร็ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง รีบบอก
“ใครว่าล่ะลูก? แม่ว่าผู้ชายอย่างตาวัสน่ะ เค้าน่าจะชอบผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน อย่างลูกแม่ไง”
พรเพ็ญหน้าแดงขึ้น ท่าทางเขินอาย
“หนูไปแต่งตัวก่อนนะคะ จะได้ไม่ช้า”
เดือนฉายยกกาแฟขึ้นดื่ม มองตามพรเพ็ญไปอย่างแสนรัก ก่อนจะเรียกไว้ พลางเดินมากอดอีกฝ่ายไว้แน่น
“ขอแม่กอดทีนะลูก”
พรเพ็ญได้สัมผัสอันอบอุ่นจากแม่ที่โหยหามาตลอด ก็หลับตาพริ้ม กอดแม่ไม่ปล่อยเข่นกัน
“คือ หนูมีอะไรจะบอก”
เดือนฉายยิ้มๆ รู้ว่าอีกฝ่ายยากจะบอกอะไร จึงรีบพูดแทรก
“ไม่เอา ไปแต่งตัวก่อนไป เดี๋ยวจะสาย”
พรเพ็ญได้แต่จำใจเดินจากไป เดือนฉายพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ห่วงก็แต่... เฮ้อ แล้วใครเค้าจะมาชอบผู้หญิงซ่าๆแซ่บๆแบบเธอน้า ยัยแพร์รี่เอ๊ย”
ตรัยเดินตรงมาที่รถจะไปทำงาน ขณะที่เดินจามมาตลอดทาง สุดารีบเดินตามมาก่อนจะรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนพี่ตรัย เมื่อคืนเป็นอะไร?”
ตรัยยักไหล่ ส่ายหน้า แกล้งตีเนียน
“พี่ต้องรีบไปทำงาน ไม่มีเวลามาเล่นติงต๊องหรอกนะ”
สุดารีบดึงกุญแจรถออกมาทำท่าจะเขวี้ยงทิ้ง
“จะบอกดีๆ หรือจะนั่งรถเมล์ไปทำงาน? พี่ทะเลาะกับแฟนพี่? ทะเลาะกันเรื่องอะไรอ่ะ? เดาเอาเองก็ได้ หน้าหงิกแบบนี้จะมีเรื่องอะไร้ นอกจากหึง”
ตรัยหันขวับมาจ้องหน้าน้องสาวทันที
“เอากุญแจพี่มาเลย”
ขาดคำก็แย่งกุญแจคืนมาได้สำเร็จ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมๆ แล้วขับรถออกไป สุดายืนมองอย่างขำๆ
“โถ ขุ่นพี่ ท่าทางงานนี้จะหนักกว่าจับคนร้ายแฮะ แสบไปอ่ะย่ะ ยัยแพร์รี่”
เพ็ญพรอ้าปากหาวหวอดๆ จนป้าแจ่มที่กำลังยกอาหารเช้าออกมาตั้งโต๊ะ ต้องหันมาบอก
“คุณหนู ไม่ไหวก็ไปนอนก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวตรงนี้ป้าจัดการเองก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกป้า หนูแค่นอนน้อยไปหน่อย ไอ้ตัวเล็กน่ะสิ ร้องทั้งคืนเลย”
“คุณหนูออกมาดูมันตลอดเลยเหรอคะ?”
เพ็ญพรพยักหน้ารับ พร้อมกับอ้าปากหาวต่อ
“นี่มันอะไรกัน?” สโรชาเดินถือรองเท้าเข้ามา สีหน้าท่าทางดูเกรี้ยวกราด พลางชูรองเท้าไฮโซที่มีสภาพเหมือนถูกแทะขึ้นมา
“รองเท้าของฉันคู่ตั้งเท่าไหร่พวกแกรู้กันไหม? เงินเดือนพวกแกทั้งปียังซื้อร้องเท้าฉันไม่ได้เลย”
“อะไรกันคะคุณแม่? เสียงดังเป็นตลาดแตกแต่เช้าเลย”
อาภาพรเดินเข้ามา โดยมีมากส์หน้าติดมาด้วย
“แกก็ดูเอาสิ”
“โดนตัวอะไรแทะมาเนี่ย? เยินซะขนาดนี้”
พูดพลางมองกวาดไปรอบๆ จนเห็นเพ็ญพรที่ยืนหาวหวอดๆ กำลังอุ้มลูกหมาอยู่ ไม่ได้สนใจสโรชาเลย
“หนูว่าหนูรู้แล้วล่ะค่ะ ตัวอะไรแทะรองเท้าคุณแม่”
สโรชาเดินหน้าง้ำเข้ามาหาเพ็ญพร พร้อมกับหิ้วรองเท้ามาด้วย
“แกเอาไอ้หมาปากเปราะตัวนี้ไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เพ็ญพรยืนหาวไป ปากก็เถียงไป
“อ้าวๆ จะมาโทษซี้ซั้วแบบนี้ได้ไง มีหลักฐานอะไรหรือเปล่า?”
“ยังจะต้องใช้หลักฐานอะไร? รองเท้าฉันโดนมันแทะซะขนาดนี้ แกคิดว่าจะมีตัวอะไรตะกละขนาดจะแทะรองเท้าฉันเหรอ?”
“หิวจังมีอะไรให้กินให้เคี้ยวเล่นบ้างเนี่ย?”
ทุกคนหันขวับไปมองที่เชาว์เป็นตาเดียว
“เอ่อ หนูพร เมื่อคืนได้ออกไปไหนมาหรือเปล่าจ๊ะ?”
เพ็ญพรมองอีกฝ่ายแบบงงๆ “ไม่มีนี่คะ”
สโรชาหันมาวายต่อ
“ไม่ต้องมานอกเรื่อง วันนี้ถ้าแกไม่เอาไอ้หมาบ้านี่ออกไปโยนทิ้ง แกได้เจอดีแน่”
เพ็ญพรเหลืออด
“ที่นี่ก็เป็นบ้านของฉันเหมือนกัน แล้วฉันก็ยืนยันว่าจะเลี้ยงไอ้ตัวเล็กนี้ด้วย ใครไม่พอใจจะอยู่ร่วมกับหมาของฉันก็เชิญออกไปอยู่ที่อื่น”
ขาดคำก็สะบัดหน้าจะเดินไป แต่กลับนึกอะไรขึ้นมาได้เลยหันกลับมามองพวกสโรชาอย่างเหยียดๆ
“บางทีเลี้ยงหมาไว้ก็ดีกว่าเลี้ยงคนนะคะ เพราะคนบางคนมันก็เลี้ยงไม่เชื่อง ซื่อสัตย์ไม่ได้เท่าหมาเลยด้วยซ้ำ คุณน้าว่าจริงไหมคะ?”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินเชิดกลับเข้าไป ป้าแจ่มเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเดินตามไปด้วย
สโรชาหน้าแดงก่ำ ปากคอสั่นอย่างโกรธจัด
“นังพร แกรู้จักฉันน้อยไป”
วิทวัสกำลังจะเดินเข้าออฟฟิศ ทันใดนั้นรถของเดือนฉายก็แล่นส่ายๆ เข้ามา ก่อนจะเบรคเอี๊ยดตรงหน้า เฉียดจะจ่อตรงเป้าเขาอยู่นิดเดียว
พรเพ็ญเปิดประตูรถออกมาอย่างตกใจ
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เดือนฉายเปิดประตูรถเดินตามลงมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าตาวัส?”
“นี่มันอะไรกันครับ จะฆ่าผมเหรอ?”
พรเพ็ญมองหน้าวิทวัสแล้วยิ้มแหยๆ
“ขอโทษจริงๆ นะคะ”
วิทวัสหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขียว
“สนุกไหมคุณ แกล้งผมแบบเนี้ย”
“ฉันไม่ได้จะแกล้งคุณ”
“ทำยังกะคนเพิ่งหัดขับ หัดขับเหรอ?”
วิทวัสมองมาอย่างสงสัย พรเพ็ญอึกอัก ไม่รู้จะแก้ยังไง ดือนฉายรีบช่วยเปลี่ยนเรื่อง
“แดดร้อนจัง เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ”
พูดจบก็เดินนำเข้าออฟฟิศไป พรเพ็ญหันมายิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไป
วิทวัสยืนสงสัย หันไปมองที่รถอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้า พยายามไม่คิดอะไร
วิทวัสวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน ตายังคงมองมาที่พรเพ็ญอย่างสงสัย เดือนฉายรีบพูดเข้าเรื่องทันที
“เอาล่ะ ว่าเรื่องธุระกันเลยดีกว่า วันนี้เตรียมมาพร้อมแล้วใช่มั้ยลูก? ยัยพรน่ะเค้าเกรงใจเรา เมื่อเช้าไปขนพวกตำราธุรกิจมานั่งอ่านยกใหญ่เลย”
“ผมว่าเอาเรื่องเมื่อคืนก่อนดีกว่า ตกลงคุณรับปากผมแล้วนะ ว่าคุณจะจัดการงานนี้เองไม่ให้พลาด”
พรเพ็ญทำหน้าเหรอ “ คะ?”
“อย่าลืมที่สัญญาล่ะ คุณพนันกับผมเองนะ”
พรเพ็ญงงหนักกว่าเดิม หันไปมองหน้าเดือนฉายที่ทำหน้างงพอๆ กัน
“บอกให้ป้าฟังหน่อยสิจ๊ะ”
“คืองี้ครับ น้ำผลไม้ของเรา ที่จะเปิดตัวเดือนหน้าน่ะครับ ผมอยากจะให้งานเปิดตัวอลังการซะหน่อย ก็เลยกะว่าจะไปจ้างบ.ออแกไนซ์ เมื่อคืนก็เลยลองโทรคุยกับคุณเพ็ญเค้าดู คุณเพ็ญเธออาสาจะจัดการเองน่ะครับ”
พรเพ็ญตกใจหันขวับไปจ้องเดือนฉาย
“คุณวัสคะ แต่ว่าฉัน...
วิทวัสมองหน้าพรเพ็ญแล้วทำเป็นถอนหายใจ
“นี่คุณเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ ว่างั้น ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวผมลองโทร. หาบริษัทออแกไนซ์เอง”
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 6 (ต่อ)
เพ็ญพรลุกขึ้น พลางวางสมุดกับปากกาไว้ที่เตียงใกล้ๆ มือพ่อ แล้วเดินออกจากห้องไป เอกสิทธิ์พยายามกระดิกนิ้ว เขยิบมือเลื่อนเข้าหาปากกากับสมุด
ครู่หนึ่งเพ็ญพรก็เดินถือแก้วน้ำกลับเข้ามา ก่อนจะเดินลงมานั่งที่เดิม พลางหันไปหยิบสมุดกับปากกาที่วางเอาไว้ขึ้นมาจะลงมือเขียนต่อ แต่พอมองไปที่สมุด ก็เห็นมีรอยปากกาขีดเป็นเส้นๆ อยู่ในสมุด เธอทำหน้าแปลกใจ ยกสมุดขึ้นมาดูใกล้ๆ แต่มันยังคงดูไม่เป็นตัวอักษร เส้นหักไปมา เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองพ่อที่นอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง
“คุณพ่อ นี่คุณพ่อเขียนเหรอคะ?”
เอกสิทธิ์กระพริบตาถี่ๆ มือเกร็งพยายามจะขยับ เพ็ญพรตื่นเต้น จนเสียงสั่น
“คุณพ่ออยากจะบอกอะไรหนูใช่มั้ยคะ?”
พูดพลางเลื่อนมือไปบีบมือพ่อที่พยายามขยับอยู่
เดือนฉายมองหน้าพรเพ็ญสลับกับวิทวัสแล้วตัดสินใจพูดขึ้น
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ”
-พรเพ็ญถึงกับอึ้ง พยายามจะปฏิเสธ “คุณแม่คะ หนูทำ...”
“ลูกทำได้ ลูกไม่ได้ตัวคนเดียว แม่เชื่อ ว่าทุกอย่างจะออกมาโอเค.”
พรเพ็ญนั่งนิ่ง เถียงอะไรไม่ออก
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ ตกลงตามนี้ เดี๋ยวผมส่งรายละเอียดให้คุณอีกที”
วิทวัสมองหน้าพรเพ็ญแล้วยิ้มอย่างพอใจ เดือนฉายหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น
“วันนี้ก็เหมือนเดิมนะ ตาวัสฝากน้องหน่อย ป้ามีนัดลูกค้าอื่นไว้ เดี๋ยวตอนเย็นเจอกันจ้ะ”
เดือนฉายยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป วิทวัสรอจนฝ่ายนั้นเดินออกไปแล้ว จึงหันมาทำหน้า
ยียวนใส่พรเพ็ญ
“อะแฮ่ม ยังไงกติกาเราก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะครับ”
พรเพ็ญทำหน้างง “กติกาอะไรคะ? รบกวนช่วยบอกอีกทีด้วยค่ะ”
วิทวัสทำท่าหมั่นไส้ นึกว่าอีกฝ่ายแกล้งลืม แต่ก็ต้องจำใจบอก
“ก็ไอ้ที่คุณบอกว่าถ้าคุณทำงานนี้พลาด คุณจะยอมเป็นเบ๊ผมไง”
พรเพ็ญอึ้งไป แต่ก็ตัดสินใจยอมรับ
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าฉันทำได้ล่ะคะ คุณจะให้อะไรฉัน?”
เขามองหน้าเธอยิ้มๆ อย่างนึกสนุก
“ผมจะยอมเป็นเบ๊คุณเหมือนกัน”
พรเพ็ญยิ้มออกมาได้ รู้สึกถึงความมั่นใจของตัวเองที่เพิ่มขึ้น
เพ็ญพรยังคงนั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊คเหมือนเดิม ครู่หนึ่งป้าแจ่มก็เข้ามาบอกว่าตรัยมาหา เธอกำลังจะลุกขึ้น แต่พอนึกเรื่องเมื่อวานขึ้นได้ เลยนั่งลงต่อ
“ก็ช่างเค้าสิ เค้าไม่ได้มาหาเพ็ญนี่ ป้าก็ได้ยิน เมื่อวานเค้าบอกจะมารับคุณน้องภาไปกินข้าว สองต่อสอง”
พูดพลางเบะปากอย่างไม่พอใจ ป้าแจ่มเห็นท่าทางแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้
“แหม คุณหนูหึงเหรอคะ?”
เพ็ญพรหน้าแดงขึ้นมาทันที
“หึงเหิงไรป้า มั่วแล้ว”
“เหรอคะ ไม่หึงก็ไม่หึง ว่าแต่จะไม่ออกไปจริงๆ เหรอคะ?”
เพ็ญพรทำเป็นไม่สนใจ นั่งทำงานต่อ ป้าแจ่มแอบยิ้ม พลางทำท่าจะออกไป
“เออ ป้าแจ่ม ไอ้ตัวเล็กอยู่ข้างนอกป่ะ เพ็ญไม่ได้ยินเสียงเลย”
“เอ ไม่แน่ใจนะคะ ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ”
“เหรอ? ถ้างั้นเพ็ญอกไปดูหน่อยดีกว่า ดูไอ้ตัวเล็กนะ ไม่ได้ดูคนอื่น”
เพ็ญพรแกล้งตีเนียนถือโอกาสลุกเดินนำออกไป ป้าแจ่มแอบขำ เดินตามออกไปอย่างเงียบๆ
ตรัยนั่งรออยู่ที่โซฟา พร้อมๆ กับที่แอบเปิดดูรูปคนร้ายที่เซฟไว้ในไอแพด สายตาก็มองไปรอบๆ เหมือนหาใครอยู่
ป้าแจ่มถือแก้วน้ำเข้ามาเสิร์ฟให้ ตรัยรีบเก็บไอแพดทันที ก่อนจะแกล้งถามหาคนในบ้าน
“ก็เหมือนเดิมล่ะค่ะ คุณภา คุณพร ส่วนคุณณัฐกับคุณสโรชาเธออกไปข้างนอก คุณเชาว์กับแม่นั่น เอ่อ คุณวาทินีอยู่ในห้องค่ะ”
“เค้าไม่ออกมาบ้างเหรอ?”
“ก็จะออกมาเฉพาะเวลาทานข้าวหรืออกไปข้างนอกน่ะค่ะ คุณตรัยมีอะไรหรือเปลาคะ? เดี๋ยวป้าไปตามให้ก็ได้”
“อ๋อ ไม่ต้องๆ ครับป้า ถามดูเฉยๆ”
ป้าแจ่มพยักหน้ารับ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ก่อนที่วิทวัสจะถามต่อ
“แล้วน้องพรล่ะครับ?”
“หาไอ้ตัวเล็กอยู่มั้งคะ คุณตรัยไม่ไปช่วยเธอหาหน่อยเหรอคะ?”
ตรัยแกล้งวางเฉย “ไม่ล่ะ เค้าคงไม่อยากให้ช่วย”
“ค่ะ ถ้าเปลี่ยนใจคุณหนูเธออยู่หลังบ้านนะคะ”
ป้าแจ่มแอบชี้เป้า ก่อนจะเดินยิ้มๆ ออกไป
ตรัยทำนั่งวางท่าอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาแล้วเดินไปที่หลังบ้านไป
“ตัวเล็ก ตัวเล็กอยูไหน โม่ๆๆ”
เพ็ญพรเดินถืออาหารลูกหมา พลางกวาดสายตามองหา
“ตัวเล็ก ไปซนที่ไหนเนี่ยตัวเล็ก”
จู่ๆ ตรัยก็เดินตามมาทางด้านหลัง
“ตัวเล็ก อยู่ไหน อย่าดื้ออย่าซนให้มันเหมือนเจ้าของนะ”
เพ็ญพรหันขวับมาทันที พอเห็นว่าเป็นตรัยก็แกล้งสะบัดหน้าหนี
“ตัวเล็ก ออกมาลูก เดี๋ยวตำรวจใจร้ายจับไปกินนะ”
พูดพลางหันมาแลบลิ้นใส่ แล้วเดินหนีเข้าไปทางด้านหลัง ตรัยส่ายหน้าอย่างหมั่นไส้แล้วเดินตามเข้าไป จนเกือบจะชนกับอีกฝ่ายที่ยืนชะงักอยู่ เขาเห็นเธอยืนนิ่ง ก็เลยรีบเดินไปข้างหน้า
เพ็ญพรยืนตาค้างน้ำตาเอ่อล้นเต็มตา ตรัยหันไปมองตาม ก็เห็นลูกหมานอนแข็งน้ำลายฟูมปาก
“ตัวเล็ก...ตัวเล็ก ..ตัวเล็ก”
เธอทรุดลงกับพื้น พลางอุ้มลูกหมาที่หมดลมหายใจขึ้นมากอดไว้ ร้องไห้น้ำตาพรั่งพรู ตรัยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เข้าไปโอบกอดเธอไว้
ตรัยโกยดินกลบหลุม ส่วนเพ็ญพรยืนถือดอกไม้อยู่ข้างๆ น้ำตาอาบแก้ม ก่อนจะนั่งลงวางดอกไม้ไว้ที่หลุม พลางสะอึกสะอื้น
“ไปเกิดในที่ดีๆ นะตัวเล็ก อย่าได้ไปเจอคนใจร้ายที่ไหนอีกเลยนะ”
พลันสโรขาที่ขับรถเข้ามาก็ชะลอ ก่อนที่เปิดกระจกลงแล้วมองยิ้มเยาะ
“ทำอะไรกันน่ะ?”
เพ็ญพรหันขวับมามองจ้องสีหน้าโกรธแค้น
“ฝังเจ้าตัวเล็กน่ะครับ”
“ไอ้หมาบ้านั่นน่ะเหรอ? ต๊าย ตายซะแล้วเหรอ? เป็นอะไรตายล่ะ?”
ตรัยถอนหายใจเหลือบมองเพ็ญพรที่ยังคงจ้องสโรชาอยู่
“มันโดนยาเบื่อน่ะครับ”
สโรชาทำเป็นตีหน้าเศร้า
“โถน่าสมเพช เป็นหมาแล้วยังจะโง่อีก นี่คงตะกละตะกรามไปกินอะไรที่ไหนมาล่ะสิ”
เพ็ญพรทนไม่ไหว รีบลุกพรวดขึ้นทันที
“ตัวเล็กมันไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น มันโดนยาจากในบ้านนี่แหล่ะ คนใจร้าย หมามันก็มีชีวิตเหมือนกัน ทำกันแบบนี้ได้ไง?”
สโรชาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อย่ามากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้นะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย หมามันโง่เอง กินอะไรไม่รู้จักระวัง”
“ก็ถ้าไม่มีคนใจคออำมหิต วางยาให้มัน มันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“น่ารำคาญจริง นี่พ่อตรัยเสร็จแล้วก็อย่าลืมจัดเก็บให้เรียบร้อยล่ะ จริงๆ นี่น้ายังไม่ได้อนุญาตให้มาฝังอะไรในสวนของน้าเลยนะ แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเวทนาก็แล้วกัน”
พูดจบก็ขับรถเข้าไปทันที เพ็ญพรยืนกำหมัดแน่น มองตามด้วยความโกรธ
“เลว เลวที่สุด ระวังไว้เหอะ เวรกรรมจะต้องตามทัน ทำอะไรไว้ก็ต้องได้คืนอย่างนั้น”
ตรัยรีบเดินเข้ามาโอบไหล่ปลอบใจ เพ็ญพรสีหน้าดุดัน น้ำตาไหลอาบแก้ม
เพ็ญพรเดินหน้าจ๋อยเข้ามานั่งที่โต๊ะในครัว ตรัยเดินตามมานั่งข้าง พลางมองอย่างสงสาร ก่อนจะเอื้อมมากุมมือไว้
“หาตัวใหม่มาให้เอาไหม?”
เพ็ญพรส่ายหน้าเศร้าๆ
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากให้มันต้องมาเจอสภาพแบบนี้อีก”
ป้าแจ่มที่เตรียมอาหารอยู่หันมามาปลอบอีกแรง
“ทำไมเค้าถึงใจร้ายกันได้ขนาดนี้นะป้า”
“คุณหนูหมายถึงใครคะ?”
เพ็ญพรเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูโกรธขึ้นมาทันที
“จะมีใคร ก็ยัยแม่เลี้ยงบ้านั่นไง”
ป้าแจ่มตกใจเอามือทาบอก
“คุณหนู คุณหนูแน่ใจได้ยังไงคะ ว่าคุณสโรชาเธอเป็นคนทำ บางทีไอ้ตัวเล็กมันอาจจะเผลอไปกินโดนยาเอาเองก็ได้นะคะ”
ตรัยรีบค้าน
“ไม่ใช่หรอกครับป้า ตรงที่ตัวเล็กตาย มันมีจานข้าวที่คลุกมาวางไว้ให้อย่างดี ไม่ได้บังเอิญหรอกครับ”
“ตายจริง จริงเหรอคะคุณตรัย”
เพ็ญพรนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติหันไปบอกตรัย
“เดี๋ยวป้าช่วยไปจัดการทำความสะอาดด้วยนะจ๊ะ ส่วนคุณกลับไปก่อนเถอะ”
เขารอจนป้าแจ่มเดินออกไปแล้วก็หันมาบอก
“ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนดีกว่า”
เพ็ญพรส่ายหน้าปาดน้ำตา พลางพูดประชด
“ต้องพาคุณน้องภาไปทานข้าวไม่ใช่เหรอ?”
ทำเอาอีกฝ่ายหน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“ก็เพราะน้องพร นั่นแหล่ะ ก็พี่โมโหน้องพร กับไอ้เจ้าพี่ชายต่างพ่อต่างแม่นั่นไง”
“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอไง? คุณกลับไปก่อนเถอะ ขอร้องล่ะ วันนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวจริงๆ”
ตรัยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินจะออกไป เพ็ญพรทอดสายตามองเหม่อออกไปสายตา
พรเพ็ญนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่โซฟา มือจิกหมอนแน่น น้ำตาคลอพาลจะไหลออกมา เดือนฉายเดินเข้ามาเห็นเข้า ก็ทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ
“เป็นอะไรลูก ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
เธอรีบหลบหน้า แกล้งทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่รู้สิคะคุณแม่ อยู่ๆก็รู้สึกแปลกๆ เศร้าๆ ยังไงไม่รู้ หนูขอตัวก่อนนะคะ”
เดือนฉายมองตาม พร้อมกับพูดลอยๆ ออกมา
“เหมือนกันจริงๆ”
พรเพ็ญเดินเลี่ยงมา ก่อนะจะตัดสินใจโทร. หาเพ็ญพร
“เพ็ญที่บ้านมีอะไรหรือเปล่า? คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง? ฮัลโหล.เพ็ญ น้องเป็นอะไร? เพ็ญ”
เพ็ญพรสะอึกสะอื้น
“พี่พร ตัวเล็กตายแล้ว หมาที่เพ็ญเก็บมาไง เพ็ญเสียใจพี่พร เพ็ญไม่น่าเก็บมันมาให้เจอกับคน ใจร้ายเลย”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะเพ็ญ ค่อยๆ เล่ามันตายได้ยังไง อะไรนะ?”
พรเพ็ญได้ฟัง ก็เอามือปิดปาก ตกใจ เดือนฉายที่เดินเข้ามาทางด้านหลังเอื้อมมือมาจับไหล่
ลูกสาว ก่อนจะลูบหัวเบาๆ พลางเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ในมือไป น้ำตาคลอเบ้าไม่ต่างกัน
“เพ็ญ...ลูก...”
เพ็ญพรที่กำลังร้องไห้อยู่ ถึงกับตกใจ “คุณแม่”
“แม่เป็นห่วงลูกมากนะ มีอะไรหรือเปล่าลูก? เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่ลูกอยู่ที่ ที่บ้านศิลาแดงใช่ไหม?”
เพ็ญพรพยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้
“ค่ะ แม่ หนูอยู่ที่บ้านศิลาแดงอยู่กับคุณพ่อ แม่คะ เพ็ญขอโทษ เพ็ญกับพี่พร เราก็แค่อยากรู้เรื่องของเรา ของครอบครัวเรา”
เดือนฉายถึงกับน้ำตาอาบแก้ม พลางเอื้อมมือมาลูบหัวพรเพ็ญ
“แม่เข้าใจลูก แม่เข้าใจ หนูหนีกันไม่พ้นจริงๆ แม่เองสิ ต้องขอโทษที่ปิดบังลูกมาตลอด แม่แค่รอให้มันถึงเวลา แล้วนี่ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ทำไมลูก?”
“ไม่มีอะไรค่ะ แม่คะ นี่หนูอยู่กับคุณพ่อนะคะ คุณพ่อ...”
เดือนฉายรีบตัดบท
“ยังไงก็ดูแลตัวเองนะ เดี๋ยวแม่โทร? ไปหาใหม่ รักลูกมากนะจ๊ะ”
พุดพลางรีบวางสายทันที เพ็ญพรวางสายตาม ก่อนจะถอนหายใจ พลางมองเลยไปที่เอกสิทธิ์
ที่นอนหลับอยู่
“มันเกิดเรื่องอะไรกับคุณพ่อคุณแม่กันแน่คะ?”
เดือนฉายเดินมานั่งที่โซฟา ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พรเพ็ญเดินตามออกมาหยุดยืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามานั่งคุกเข่าลงที่พื้น ก่อนจะค่อยๆ ก้มกราบเดือนฉายลงไปอย่างรู้สึกผิด
“พรกราบขอโทษคุณแม่ค่ะ พรกับน้องไม่ได้มีเจตนาจะหลอกคุณแม่กับทุกคนเลยนะคะ เพียงแต่.“ เดือนฉายรีบประคองอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน
“แม่ได้ไม่โกรธลูกกับน้องเลย แม่ซะอีก ขอโทษนะลูก แม่ไม่เคยได้ดูแลพรเลย ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกเป็นอยู่ยังไง แม่ไม่เคยได้รับรู้เลย”
พรเพ็ญโผกอดแม่ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ แค่พรได้รู้ว่าหนูยังมีแม่ ยังมีน้อง แล้วก็มีคุณตา แค่นี้พรก็ดีใจมากแล้ว” เดือนฉายเชยหน้าของพรเพ็ญขึ้นมา
“เค้าดูแลลูกดีไหม ปล่อยให้ลูกลำบากบ้างหรือเปล่า?”
พรเพ็ญยิ้ม ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ? ภรรยาใหม่ของคุณพ่อเค้าน่ะ”
พรเพ็ญอึ้งไป ก่อนจะรีบก้มหน้าหลบสายตา
“ค่ะ คุณน้าเค้า ก็ ก็ดีค่ะ”
เดือนฉายมองท่าทีของลูกสาวอย่างสงสัย
“มองหน้าแม่ ไหนตอบแม่มาใหม่ซิ เค้าดีกับลูกไหม? พรตอบแม่มาสิลูก มีอะไรหรือเปล่า?”
พรเพ็ญอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ถูก
“คุณน้าเค้า.....”
เธอค่อยๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง เดือนฉายถึงกับเศร้าใจในชะตากรรมของลูกสาว
“เพราะแม่ เพราะแม่เอง ลูกถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ แม่อ่อนแอเกินไป ยอมปล่อยให้ลูกไปอยู่กับพ่อ เพราะคิดว่าเค้าจะดูแลลูกได้ เพราะแม่เอง”
พรเพ็ญสะอื้นไห้ “แม่อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิคะ”
เดือนฉายพยายามปรับอารมณ์ให้เข้มแข็ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“แม่จะไปพาน้องกลับมา แม่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกของแม่ต้องไปอยู่ร่วมกับคนพวกนั้นอีกหรอก”
พรเพ็ญตกใจ รีบลุกขึ้นตาม พลางเกาะแขนแม่ไว้
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ? พรจะกลับไปเองค่ะ น้องจะได้กลับมาอยู่กับคุณแม่”
“พร เราต้องได้อยู่ด้วยกันต่างหาก”
พรเพ็ญส่ายหน้า น้ำตาคลอ
“ไม่ได้หรอกค่ะ พรทิ้งคุณพ่อไม่ได้”
“ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกกลับไปให้พวกนั้นรังแกอีกเป็นอันขาด”
พรเพ็ญมองหน้าแม่ แล้วยิ้มเศร้า
“พรชินแล้วล่ะค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงหนูจะพาน้องกลับมา”
“ไม่กลับ ยังไงฉันก็ไม่กลับ”
เพ็ญพรสะบัดหน้ากลับมา สุดายืนพิงรถกอดอกมองอย่างอ่อนใจ
“นึกแล้วไม่มีผิด นี่ถ้าไม่ใช่พี่สาวแกขอร้องให้มาช่วยพูด ฉันก็ไม่มาหรอก”
เพ็ญพรถอนหายใจ พลางมองเพื่อนหน้าเจื่อนๆ
“แม่เค้ารู้เรื่องที่ฉันกับพี่พรสลับตัวกันแล้วว่ะแก”
สุดาตกใจ “ตายแล้ว แล้วแม่แกว่ายังไงบ้างอ่ะ?”
“ไม่รู้สิ ยังไม่ทันได้อะไรเลย
“ฉันว่าเป็นแม่แกมากกว่า ที่อยากให้แกกลับ”
เพ็ญพรส่ายหน้า ก่อนจะยืนยันคำเดิม พลางย้ำว่าจะรอให้ “คนพวกนั้น”ถูกบาปกรรมจัดการไม่ได้ เธอต้องเป็นคนจัดการเอง
สุดาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะรีบพูดให้เพื่อนเคลียร์เรื่องตรัยให้เรียบร้อยด้วย
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 6 (ต่อ)
หลังจากสุดากลับไปแล้ว เพ็ญพรก็อดถึงเหตุการณ์ตอนที่คุยกับณัฐพงษ์ จนเป็นเหตุให้ตรัยเคืองไม่ได้
“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง เอาสิจ๊ะเดี๋ยวพี่จัดการให้”
เพ็ญพรยิ้มอ้อน “พี่ณัฐใจดีจังเลย”
ณัฐพงษ์หยิบโทรศัพท์ออกมา จัดแจงเปิดเข้าที่หน้าอีเมล์ของตัวเอง เพ็ญพรตาโตขึ้นมาทันที
รีบตีเนียนเขยิบเข้าไปดู แล้วแอบจำรหัสไว้
“โอเค. น้องพรเอาเมล์ของร้านที่จะสั่งมาสิจ๊ะ”
เพ็ญพรทำเป็นยืนบิด ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะแกล้งบอกว่าไม่สั่งแล้ว เพราะเปลืองเงิน เขารีบออกปากว่าจะเป็นคนออกเงินให้ แต่เธอก็รีบปฏิเสธพร้อมกับเดินเลี่ยงไป ก่อนจะลอบยิ้มอกมา พลางมองไปที่กระดาษที่แอบจดชื่อและพาสเวิร์ดของเมล์ไว้
เพ็ญพรถอนหายใจ พลางเดินกำลังจะเข้าบ้าน จังหวะเดียวกับที่สโรชาเดินสวนออกมา ก่อนจะปรายตามามองแล้วยิ้มเยาะ
“ไงจ๊ะ รีบตื่นขึ้นมาดู เผื่อหมาจะฟื้นเหรอ?”
เพ็ญพรขี้เกียจเถียง รีบจะเดินหนีเข้าบ้าน
“เดี๋ยว เมื่อคืนแกจัดการขุดสวนฉันซะเละเทะ ช่วยจัดการคืนสภาพให้มันด้วย อ้อ แล้วไหนๆ
ก็ไหนๆ แล้วรดน้ำต้นไม้ ใส่ปุ๋ยให้ไปเลยซะด้วยนะ”
เธออ้าปากจะเถียง แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบแกล้งทำเป็นรับคำ
พรเพ็ญบอกกับเดือนฉายว่าเพ็ญพรไม่ยอมกลับมา พลางออกปากว่าเธอจะหาทางช่วยพูด และจะเป็นฝ่ายกลับไปอยู่ที่บ้านศิลาแดงแทน
“พร แม่บอกแล้วไง แม่ไม่ยอมให้หนูกลับเข้าไปเหมือนกัน”
“พรทำอยางนั้นไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณแม่ ถ้าพรไม่อยู่ใครจะดูแลพ่อ”
“ก็ภรรยาเค้าไง รักกันจะตายเดี๋ยวเค้าก็ดูแลกันเองนั่นล่ะ”
เดือนฉายกระแทกเสียงประชดประชัน ไม่พอใจ พรเพ็ญบีบมือแม่แน่นขึ้น
“แม่คะ พรไม่รู้วาเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ยังไงท่านก็เป็นพ่อของพรกับน้อง
พรจะต้องกลับไปหาท่าน ไปดูแลท่านค่ะ”
“แล้วกับแม่ล่ะ? เราไม่ได้เจอกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำไมลูกไม่อยู่ให้ชื่นใจแม่บ้าง”
“ก็เพราะว่าพรรู้ว่าคุณแม่สบายแล้วนี่คะ รอบๆ ตัวก็มีทั้งครอบครัวและคนดีๆ ทั้งคุณตา น้องกอล์ฟ แล้วก็คุณ...”
พูดพลางก็หน้าแดงขึ้นมา เมื่อนึกถึงวิทวัส เดือนฉายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจถาม
“พ่อเค้าอาการเป็นยังไงบ้างล่ะลูก?”
“หลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้อาการของคุณพ่อน่าเป็นห่วงค่ะ”
เดือนฉายได้ฟังก็หน้าเศร้า แต่พยายามไม่คิดอะไร รีบพูดตัดบทชวนให้อีกฝ่ายลุกไปทำงาน
“เดี๋ยววันนี้แม่จะให้ตาวัสพาลูกไปดูที่โรงงานของเราด้วย”
พูดพลางเดินออกไป พรเพ็ญมองตาม รู้ว่าแม่ยังรักพ่อ
เพ็ญพรถืออุปกรณ์ทำสวน เนื้อตัวเลอะเทอะ พลางยิ้มอย่างสะใจ
“สวนคุณนาย ฉันคืนสภาพให้ สะใจแล้ว หวังว่าคุณนายจะถูกใจนะเจ้าคะ”
จากนั้นก็สะบัดๆ ผ้าขี้ริ้ว จนน้ำกระเด็นไปเปื้อนอาภาพรที่เดินเข้ามา ฝ่ายนั้นโวยวายเสียงดังลั่นบ้าน
“ชุดนี้ราคาตั้งเท่าไหร่แกรู้มั้ย?”
เพ็ญพรมองอีกฝ่ายหัวจดเท้าด้วยสายตาเหยียดๆ
“ของตกรุ่นแล้วราคาก็ไม่เท่าไหร่หรอก คอลเล็คชั่นนี้มันเอ้าท์ไปเป็นปีแล้วย่ะ”
อาภาพรอ้าปากค้างไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรู้เรื่องแฟชั่น
“แกไม่ต้องมาทำสะเออะรู้ดี ฉันก็แค่ใส่ขำๆ ฉันเตรียมจะเหมาคอลเล็คชั่นใหม่อยู่แล้วย่ะ”
“ถลุงเงินเก่งกันจริงๆ เลยนะ ทั้งพี่ทั้งน้อง ระวังไอ้ที่ที่ยักยอกอะไรไว้ มันจะหมดเร็วกว่าที่คิดนะ”
อาภาพรตกใจ หน้าตาเลิ่กลั่ก “แกพูดอะไร? ใคร? ยักยอกอะไร?”
“ไม่รู้สิ ฉันก็แค่พูดลอยๆ แต่ดูเหมือนจะมีบางคนร้อนตัว”
อาภาพรไม่กล้าสู้สายตา แกล้งโวยวายกลบเกลื่อนแล้วรีบเดินหนีไป เพ็ญพรมองตามอย่างเหยียดๆ ก่อนจะหันกลับมาเจอณัฐพงษ์ที่เดินลงมาพอดี
ฝ่ายหลังออกปากชวนเธอออกไปเที่ยวสนุก แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าอยู่บ้านเดี๋ยวก็มีเรื่องสนุกแล้ว
ข่าดคำก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นออกมาจากในสวน
ณัฐพงษ์รีบวิ่งออกมาตามเสียงกรี๊ด เห็นอาภาพรยืนอยู่ตรงแปลงดอกไม้ ท่าทางตกใจ ก่อนที่
สโรชาจะเดินตามหลังออกมา
“อะไรกัน กรี๊ดแตกซะลั่นบ้าน ไม่อายคนอื่นบ้างเหรอไง?”
อาภาพรรีบชี้มือให้ดูสภาพสวน สโรชามองตาม แล้วก็ตาโตตกใจอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเห็นดอกไม้ที่ปลูกไว้ถูกตัดกระจุยกระจาย บางต้นที่ที่ตัดแต่งไว้สวยงาม กลับถูดตัดแหว่งซะเละเทะ
“สวนของฉัน ดอกไม้ของฉัน”
ลุงเติมได้ยินเสียงโวยวาย ก็รีบวิ่งมาตาลีตาเหลือกออกมา แล้วก็ตกใจตาม ก่อนจะรีบปฏิเสธว่า
ไม่ได้เป็นคนทำ สโรชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก
“ฉันว่าฉันรู้แล้วฝีมือใคร?”
“ใครคะคุณแม่ เอ๊ะ อย่าบอกนะคะว่านังพร”
สโรชาเม้มปากแน่น “ดี ปล่อยให้มันทำไป”
“ดีเดออะไรกันคะคุณแม่ เดี๋ยวภาไปจัดการมันเองค่ะ”
พูดจบก็รีบเดินจ้ำเข้าบ้านไปทันที ณัฐพงษ์ส่ายหน้าเบื่อหน่ายแล้วรีบเดินหนีไป สโรชาปราตามองสวนที่เลอะเทอะแล้วแทนที่จะโกรธกลับยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว
“นี่ออกมานะ ฝีมือแกใช่ไหม? นังพร ออกมาสิยะ”
อาภาพรโวยวายเสียงดังอยู่หน้าห้อง
เพ็ญพรที่ทำกายภาพให้เอกสิทธิ์อยู่ยิ้มแย้มปกติโดยไม่ได้ใส่ใจ
วิทวัสเดินนำพรเพ็ญเข้ามาภายในโรงงาน ก่อนจะยื่นน้ำผลไม้ตัวใหม่ให้ดู
“ผลไม้ที่เอามาใช้ทำเนี่ย มาจากสวนของคุณตาทั้งหมดเลยเหรอคะ?”
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก มีบ้างที่สั่งมาจากที่อื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากสวนของคุณนั่นล่ะ”
พรเพ็ญพยักหน้ารับ พลางมองดูโน่นดูนี่ต่อ
“เออ ไอ้แพลนงานเปิดตัวที่คุณคิดมาเนี่ย น่าสนใจดีนะ”
พรเพ็ญทำหน้างง ก่อนจะนึกออก เลยรีบพยักหน้ารับทำเนียนๆ ไป
“ลงทุนนะเนี่ย จะขึ้นโชว์เองเลยด้วย ไม่ยักรู้ คุณทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”
พรเพ็ญมองตาปริบๆ “โชว์? โชว์อะไรคะ?”
“เอ๊า ก็โชว์เปิดตัวที่คุณบอกคุณจะร่วมด้วยไง นี่คุณไอ้มุกแกล้งลืมเนี่ย เลิกซะทีเหอะ เอาเหอะ ยังไงจะคอยดู แล้วอย่าลืมที่พนันไว้ก็แล้วกัน อ้าว เงียบ เงียบ ทำไมกลัวแพ้ขึ้นมาล่ะสิ?”
พรเพ็ญยิ้มเจื่อนๆ “แพ้ไม่กลัวหรอกค่ะ แต่กลัวทำคุณแม่ขายหน้ามากกว่า”
“ถ้าคิดว่าทำไม่ได้แล้วเสนอมาทำไม?”
พรเพ็ญทำหน้านิ่ง ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“เอาน่าคุณ ผมเชื่อว่าคุณทำได้”
จากนั้นพรเพ็ญก็รีบหลบมุมออกมาโทร. หาเพ็ญพรทันที
“ฮัลโหล เพ็ญ ได้ไป ตกลง ส่งเมล์แพลนงานอะไรคุยกะคุณวิทวัสเขานอกรอบ ที่พี่ไม่รู้มั่งรึเปล่าเนี่ย?”
เพ็ญพรนิ่งนึก “อ๋อ งานเปิดตัว เขาเมล์มา เพ็ญก็เลยต้องตอบไป แต่ไม่ต้องห่วง เพ็ญพูดไปกว้างๆ ไม่ได้ผูกมัดอะไร”
“ไม่ผูกมัดที่ไหน เขาบอกมีขึ้นเวทีด้วย”
“อูย เขาก็ขู่เราไปงั้นเเหละ เขาไม่เอาเพ็ญขึ้นหรอก เอ่อ หมายถึงพี่พรน่ะ”
“นี่เราจะรอดใช่มั้ยเนี่ย?”
“รอดสิ พี่พร ไม่ต้องห่วง พวกที่ไม่รอดน่ะ ไม่ใช่เราหรอก”
พรเพ็ญหน้าเครียด เป็นกังวล ตรงข้ามกับเพ็ญพร ที่แววตามุ่งมั่น
ทางด้านอาภาพรก็คุยมือถือกับตรัยอยู่ในห้องนอนด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดที่อีกฝ่ายผิดนัด จู่ๆ เชาว์ก็โผล่เข้ามาในห้อง ก่อนจะออกปากขอเงิน
อาภาพรรีบเอามือปิดโทรศัพท์ พลางส่งสายตาดุๆ ให้พ่อ ก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบเงินยื่นให้
“ ร้อยละยี่นะ แล้วคุณพ่อจะไปไหน ก็รีบไปเลยค่ะ”
เชาว์รับเงินมาแล้วรีบระริกระรี้ เดินออกจากห้องไป อาภาพรมองตาม ก่อนจะหันมาคุยมือถือต่อ
“นะคะพี่ตรัย ว้าย โอเค. ค่ะ งั้นตกลงตามนี้นะคะ”
จากนั้นก็กดวางสาย รีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าทันที
ตรัยพาอาภาพรมาทานอาหารที่ร้านหรู พลางออกปากว่าถ้าอีกฝ่ายอยากไปไหนต่อ เขายินดีเต็มที่ เพื่อชดเชยกับความผิด ฝ่ายหลังเริงร่าอย่างดีใจ ขณะที่ฝ่ายแรกแอบยิ้มดูทีท่า ก่อนจะรอจังหวะพูด
“เออ น้องภาจ๊ะวันนี้ที่บ้านมีใครอยู่บ้างน่ะ? พี่หมายถึงคุณน้าหรือว่าคุณพ่อของน้องภา”
“คุณแม่ออกไปบริษัท ส่วนคุณพ่อ น้องภาไม่รู้ว่าออกไปไหนน่ะค่ะ”
“เอ๊ะ แล้วปกติคุณพ่อน้องภานี่ เค้าทำอะไรจ๊ะ?”
อาภาพรทำสีหน้าครุ่นคิด
“ก็เห็นว่ามีธุรกิจกับเพื่อน แต่ไม่รู้อะไรน้องภาไม่ค่อยได้สนใจหรอกค่ะ”
“เหรอ? แล้วเมื่อวันสองวันก่อนนี่เค้ากลับบ้านหรือเปล่าจ๊ะ?”
“ ก็กลับนะคะแต่กลับมาในสภาพเยิน ไม่รู้ไปมีเรื่องกับใครมา เอ๊ะ นี่มีตรัยมีอะไรหรือเปล่าคะ? ถามเรื่องคุณพ่อเยอะจัง”
ตรัย รีบส่ายหน้าปฏิเสธ พูดแก้ตัวไป
“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร พี่ก็แค่อยากรู้เรื่องคนในครอบครัวของน้องภาบ้าง ก็แค่นั้นเอง”
อาภาพรหน้าแดง อมยิ้มแบบขวยเขิน ตรัยพยักหน้ายิ้มๆ แต่ซ่อนความคิดอะไรบางอย่างไว้
“นี่คุณต้องดูแลงานทั้งที่นี่กับที่ออฟฟิศด้วยเหรอคะ?”
พรเพ็ญเอ่ยถามขณะที่นั่งทานข้าวอยู่กับวิทวัสที่โรงอาหารของโรงงาน
“เก่งจังเลยนะคะ”
วิทวัสสำลักข่าว จนต้องรีบหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
“นี่คุณชมผมเหรอเนี่ย?”
พูดพลางมองหน้าอีกฝ่ายท่าทางไม่เชื่อถือ พลางหยิบมือถือขึ้นมายื่นไปข้างหน้า
“ขออีกสักครั้งได้ไหมครับ จะอัดเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอาจริงๆ นะ ผมยังเก่งไม่เท่าคุณแม่คุณเลยเลย ผู้หญิงตัวคนเดียวบุกเบิกจนมาถึงทุกวันนี้ ผมว่าคุณน้าคงเหนื่อยน่าดู”
พรเพ็ญอึ้งๆ ไป แต่ก็พยักหน้ารับ นิ่งกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะออกปากชวนเธอไปดูหนัง
“ขอโทษนะคะ แต่ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสะดวกน่ะค่ะ”
วิทวัสทำหน้าผิดหวัง แต่ทำเป็นตลกกลบเกลื่อน
“ไม่เป็นไร ผมก็ลองชวนไปอย่างนั้นแหล่ะ แหม ดีใจล่ะสิ มีหนุ่มหล่อชวนไปดูหนังเนี่ย?”
“ค่ะ ก็ขอสรุปตามที่แจ้งให้ทุกท่านทราบนะคะ ดิฉันจะให้คุณณัฐพงษ์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการ เข้ามาช่วยบริหารงานให้กับพวกเราค่ะ”
สโรชาที่นั่งเป็นประธานอยูที่หัวโต๊ะ พูดต่อหน้าที่ประชุม ก่อนที่ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งจะออกปากถาม
“แล้วคนน้องที่เข้ามาวันนั้นล่ะครับ ที่สวยๆ เก่งๆ ชื่อะไรนะผมจำไม่ได้ ขอโทษที”
สโรชายิ้มร่า เพราะนึกว่าหมายถึงอาภาพร
“อ๋อ น้องภา ลูกสาวคนเล็กของดิฉันค่ะ”
“ไม่ใช่ครับ ที่เป็นลูกสาวของคุณเอกสิทธิ์ ที่ชื่ออะไรนะพรเพ็ญ อ่าใช่ๆๆ คุณพรเธอดูเก่งมากเลยนะครับ ไม่มารับตำแหน่งด้วยเหรอ?”
สโรชาหน้าเสีย แต่พยายามปั้นหน้าฝืนยิ้ม
“อ๋อ รายนั้นเค้าไม่มาหรอกค่ะ เค้าจริงเอาจังซะที่ไหน ทำอะไรเล่นๆ ไปงั้น”
“แหม น่าเสียดานะครับ เธอดูทั้งสวยทั้งเก่งเลย”
สโรชาแอบเบะปาก รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ยังไงก็ต้องฝากตาณัฐด้วยนะคะ ดิฉันกล้ารับรองในความสามารถเลยค่ะ”
พอณัฐพงษ์รู้เรื่อง ก็โวยวายใส่สโรชาทันที
“คุณแม่คิดจะถามผมซักคำไหม?”
“ทำไมฉันจะต้องถาม ก็ฉันบอกแกไปแล้วไงว่าต้องมาช่วยงานฉัน เลือกเอา จะไปทำงานหรือจะให้ฉันตัดเงิน”
ณัฐพงษ์เดินกระฟัดกระเฟียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรับคำ
“ทำก็ทำ แล้วถ้ามีอะไรเสียหาย อย่ามาโทษณัฐล่ะกัน”
พูดจบก็เดินกระแทกออกไปทันที พร้อมกับที่อาภาพรเดินนำตรัยเข้ามา ฝ่ายหลังมองไปรอบๆ เหมือนมองหาใคร ก่อนจะรีบขอตัวเดินเลี่ยงไปเยี่ยมเอกสิทธิ์
สโรชามองตามตรัยรู้สึกผิดสังเกตกับท่าทีของอีกฝ่ายร
ตรัยเคาะประตูห้องนอนของพรเพ็ญ ก่อนจะเดินตรงเข้ามา เพ็ญพรตกใจรีบปิดโน้ตบุ้คลงอย่างรวดเร็ว
“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็เหมือนเดิม แต่มีบางทีเริ่มขยับนิ้วได้แล้ว” เพ็ญพรพูดพลางยิ้มอย่างดีใจ “แล้วคุณไปไหนมาเนี่ย?”
“ก็ไป ไปกับน้องภามาน่ะ”
เพ็ญพรหน้าเจื่อนลงแต่ก็รีบทำไม่สนใจ
“เหรอ ก็ดีนี่”
“พี่ขอโทษ”
“ขอโทษทำไม?”
ตรัยถอนหายใจ พลางจ้องหน้าเพ็ญพร
“คุณนี่ช่างยอกย้อนจริงๆ เลย ไม่เหมือนเมื่อก่อนสักนิด”
เพ็ญพรหันมามองค้อน “ทำไม? ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ถ้าใครไม่ชอบแบบนี้ก็ไม่ต้องมายุ่ง”
“ชอบแบบนี้”
ตรัยพูดสวนขึ้นทันควัน ก่อนจะออกปากชวนอีกฝ่ายดูหนัง
“ต้องดูแลคุณพ่อ จะไปได้ยังไง?”
“ก็ฝากป้าแจ่มดูก่อน เราจะได้แวะซื้อของใช้ของคุณลุงด้วยไง นะครับ พี่มีเรื่องจะถามน้องพรด้วย”
“อยากถามอะไร ก็ถามมาสิ”
เขาเหลือบตาไปมองทางเอกสิทธิ์ ก่อนจะหันมาบอก
“พรุ่งนี้ดีกว่า”
“ก็ได้ งั้นก็ตามนั้น”
เพ็ญพรก็ได้แต่คอยแอบเหลือบมองอย่างสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่?
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ในที่สุดณัฐพงษ์ก็จำต้องไปทำงานที่บริษัท โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าเดินออกมาจากตัวบ้านด้วยท่าที หงุดหงิด ตรงข้ามกับสโรชาที่ยิ้มอย่างดีใจ ฝ่ายแรกจึงยื่นเงื่อนไขขอให้ซื้อรถคันใหม่ให้
“ก็ถ้าแกช่วยสร้างภาพ ทำงานให้มันดี ฉันอาจจะเก็บไว้พิจารณา”
ณัฐพงศ์ยิ้มกริ่ม “ได้ ณัฐถือว่าคุณแม่รับปากณัฐแล้วนะ”
“เออๆ รีบๆ ไปกันได้แล้ว”
จากนั้น 2 แม่-ลูก ก็เดินขึ้นรถไป โดยมีลุงเติมทำหน้าที่เป็นคนขับ
เพ็ญพรยืนยิ้มมองอย่างพอใจ หลังจากเทหม้ออาหารลงในถังขยะเรียบร้อยแล้ว ป้าแจ่มเห็นเข้าก็นึกแปลกใจ
“แต่นั่นคุณท่านยังไม่ได้ทานเลยนะคะ”
“หนูเตรียมไว้ให้แล้วอยู่นั่นไง?”
“แต่หม้อนั้น คุณสโรชาเธออุตส่าห์ทำไว้นะคะ”
เพ็ญพรเปิดก๊อกน้ำล้างทิ้งอย่างไม่สนใจ
“ป้าเอาที่หนูเตรียมไว้ใส่ชามเลยนะ เดี๋ยวหนูจะเอาไปให้คุณพ่อ”
ป้าแจ่มอึกอัก “แต่ว่า...คุณหนูก็รู้นี่คะ ว่าเรื่องอาหารนี่คุณสโรชาเธอไม่ให้ใครมายุ่ง”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หนูจะทำอาหารให้คุณพ่อเองเท่านั้น”
“ถ้าคุณสโรชาเธอรู้...”
เพ็ญพรสวนขึ้นมาทันที
“ป้าไม่บอก หนูไม่บอก แล้วใครจะรู้ หนูเอาขยะไปทิ้งก่อนนะจ๊ะ”
พูดพลางเดินหิ้วถุงขยะออกไป ป้าแจ่มมองตามท่าทางกังวล
เพ็ญพรเปิดประตูรั้วออกมาอย่างอารมณ์ดี จัดแจงหย่อนถุงอาหารลงถังขยะ พลางกำลังจะเดินหันหลังเข้าบ้าน ทว่า
“เพ็ญ...”
พอเธอหันกลับมาตามเสียง ก็ต้องตกใจ
“คุณแม่”
เดือนฉายยืนมองลูกสาวด้วยสายตาที่เป็นห่วง
เพ็ญพรนั่งหน้าจ๋อยอยู่ในรถ ก่อนจะค่อยๆ หันมาทางเดือนฉาย ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
“มีอะไรจะสารภาพบ้าง พูดมา”
“อย่างที่บอกไป เพ็ญก็แค่อยากรู้เรื่องตัวเอง”
“ก็เลยสลับตัวกับพี่เค้ามาหลอกแม่”
เพ็ญพรยิ้มเจื่อน รีบพูดกลบเกลื่อน
“เพ็ญบังเอิญเจอพี่พรเข้า แล้วเพ็ญก็รู้ว่าถ้าถามคุณแม่ตรงๆ คุณแม่คงไม่ยอมบอก แม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะว่าเราสลับตัวกัน?”
“ตั้งแต่วันแรกที่เจอพร เพ็ญ แม่เป็นแม่นะ ถึงจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงพี่เค้ามาก็เถอะ แต่แม่ก็รู้ว่าไม่ใช่เพ็ญแน่”
“แล้วทำไมคุณแม่ยัง....”
เดือนฉายจ้องมองลูกสาวนิ่ง
“แม่ก็รอให้รู้ก่อนสิ ว่าเพ็ญอยู่ที่ไหน? เพ็ญคิดบ้างไหมล่ะว่าแม่จะเป็นห่วงเราแค่ไหน?”
“เพ็ญขอโทษค่ะแม่ อย่าโกรธเพ็ญนะคะ”
“ถ้าไม่อยากให้โกรธ ก็ไปเก็บของแล้วกลับบ้านกับแม่”
เพ็ญพรชะงักไปทันที
ขณะที่นั่งอยู่ในรถ สโรชาก็ก้มลงรื้อค้นกระเป๋าเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง จนณัฐพงษ์อดถามขึ้นมาไม่ได้
“สมุดเช็คฉันน่ะสิ ฉันว่าฉันใส่มาแล้วนะ สงสัยต้องกลับไปเอาแล้วล่ะ วันนี้ฉันมีเรื่องต้องใช้ด้วย”
ณัฐพงษ์ถอนหายใจมองหน้าแม่อย่างรำคาญ
“คนแก่นี่ขี้ลืมจริงๆ เอางี้ล่ะกัน เดี๋ยวณัฐเสียสละไปที่บริษัทก่อน คุณแม่ก็นั่งแท็กซี่กลับไปเอาล่ะกัน
เอ้า ลุงเติม เดี๋ยวจอดข้างๆ นั่นล่ะ คุณแม่เดินไปหน่อยล่ะกันนะ”
สโรชาหันมามองค้อนลูกชายขวับๆ ก่อนจะลงจากรถมายืนโบกแท็กซี่
“ไม่ต้องมาต่อรองอะไรทั้งนั้น กลับกับแม่ซะดีๆ ไปอยู่ด้วยกัน 3 คนแม่-ลูก”
เดือนฉายยืนกรานเสียงแข็ง เพ็ญพรรีบแย้งขึ้นมาทันที
“4 คนค่ะ ถ้าจะให้เพ็ญกลับ ต้องพาคุณพ่อไปด้วย”
“เค้าก็อยู่ส่วนเค้า เราก็อยู่ส่วนเราสิ”
“ไม่ค่ะ เพ็ญไม่ทิ้งคุณพ่อเด็ดขาด”
เดือนฉายจ้องหน้าลูกสาวด้วยสายตาดุ ขณะที่สีหน้าของเพ็ญพรก็จริงจังไม่ยอมเหมือนกัน
“คุณแม่คะ คุณพ่อกับคุณแม่โกรธกันเพราะอะไรคะ? เล่าให้เพ็ญฟังสิคะ”
“เพ็ญก็กลับไปกับแม่สิ แล้วแม่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง พร้อมกับพี่เค้าด้วย”
เพ็ญพรส่ายหน้า พยายามอ้อนเดือนฉายต่อ
“แม่คะ เพ็ญจะทำย่างนั้นได้ยังไง? แม่รู้ไหมตอนนี้คุณพ่อมีสภาพเป็นยังไง?”
เดือนฉายรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น น้ำตาคลอ
“คุณแม่ ถึงแม้เพ็ญจะไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักพ่อเลยตั้งแต่จำความได้ แต่เพ็ญก็ดีใจจนบอกไม่ถูกเมื่อได้เห็นหน้าพ่อแท้ๆ ของเพ็ญเป็นครั้งแรก และก็เจ็บใจจนบอกไม่ถูกเหมือนกันทั้งเห็นคนพวกนั้นทำกับพ่อ เพ็ญขอโทษนะคะ ตอนนี้แม่ก็มีพี่พรอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ขอให้เพ็ญอยู่ดูแลคุณพ่อก็แล้วกัน”
พูดพลางยกมือไหว้แม่แล้วเปิดประตูเดินลงจากรถไป เดือนฉายน้ำตาไหลอาบแก้มได้แต่เหม่อมองออกไป
กอล์ฟนั่งเอาไม้เขี่ยพื้นเล่นอยู่อย่างเหงาๆ เคนเดินมามองแล้วก็ขำๆ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเปรยขึ้นมาว่าเดี๋ยวนี้เพ็ญพรดูแปลกใจ ไม่ค่อยเล่นเฮฮากับเขาเหมือนก่อน
“แต่ฉันก็เห็นแกยังตามเค้าต้อยๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“มันก็ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนนี่ แล้วจริงๆ อ่ะนะ ที่กอล์ฟชวนคุณเพ็ญเค้าไปเล่นโน่นเล่นนี่น่ะ เพราะกลัวคุณเพ็ญเค้าเหงาหรอก เกิดเป็นลูกคนเดียวนี่มันเหงานะครับคุณตา”
เคนได้ฟังก็ถึงกับชะงักไป พลางไล่ให้กอล์ฟไปวิ่งเล่นที่อื่น ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับถอนหายใจเฮือก ท่าทางครุ่นคิด พลันภาพในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่เดือนฉายยืนอุ้มเด็กทารกยืนอยู่หน้าบ้านศิลาแดง โดยมีเคนยืนอยู่ข้างๆ
“ออกมานะคุณเอก เอาลูกฉันคืนมา เอายัยพรคืนมา”
“ไอ้เอกสิทธิ์ เอาหลานฉันคืนมา แกจะอยู่กับเมียใหม่ของแกก็อยู่ไป”
สโรชาเดินออกมา จ้องมองทั้งคู่ด้วยสายตาเย็นชา แกมยิ้มเยาะ มีณัฐพงษ์วัยเด็กเดินมาเกาะอยู่ข้างๆ
“เธอจะเอาไปทำไมเดือน คุณเอกเค้าอุตส่าห์ใจดีรับเลี้ยงไว้ให้คนหนึ่ง ไม่ดีเหรอไง?”
“ลูกของฉัน ฉันเลี้ยงเองได้”
“จะเลี้ยงยังไงล่ะเดือน ลำพังตัวเองเธอกับลูกคนเดียวยังจะไม่รอด”
เคนทนไม่ไหว ตอกกลับทันควัน
“แกหุบปากไปเลยนะนังเมียน้อย ลูกหลานฉัน ฉันไม่ปล่อยให้ลำบากแน่”
สโรชายิ้มหยัน
“โถ คุณลุงคะ กะอีแค่มีสวนผลไม้เล็กๆ จะทำอะไรได้ คุณลุงเองจะมีแรงจับจอบจับเสียมไปได้อีกซักเท่าไหร่?”
“ไม่ต้องมาพูดมาก เอาลูกฉันคืนมา”
เดือนฉายพูดพลางพยายามจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่สโรชารีบปราดมากัน พลางผลักอีกฝ่ายจนเซ เคนต้องรีบเข้ามาประคองไว้
“อย่าบังคับฉันนะเดือน ไม่งั้นฉันจำเป็นต้องเรียกตำรวจมานะ”
“สโรชา ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะใจร้ายได้ขนาดนี้ ฉันดีกับเธอแค่ไหน ทำไมเธอกับทำกับฉันแบบนี้?”
สโรชาลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ จนเคนเลือดขึ้นหน้า
“ไม่ต้องไปพูดกับคนแบบนี้หรอกลูก คนแบบนี้พูดดีแค่ไหนก็ไม่เข้าหูมันหรอก”
“คุณลุงไม่พูดน่ะดีแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเป็นลมตายก่อน”
“นังปลวกอกตัญญู นัง..”
“คุณพ่อ”
เอกสิทธิ์เดินออกมา สีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ”
“คุณเอก คืนลูกให้ฉันเถอะ คุณมีคนใหม่แล้ว คุณก็ใช้ชีวิตของคุณไปสิ”
สีหน้าเอกสิทธิ์ดุเดือดขึ้นมาทันที
“เธอเองก็มีใหม่แล้วเหมือนกัน ที่ฉันยอมให้เธอเอายัยเพ็ญไปเลี้ยงคนหนึ่ง มันก็มากพอแล้วนะ”
“ทำไมคุณไม่ฟังฉันบ้าง คุณเข้าใจผิดมาตลอด ฉัน..”
สโรชาฉวยจังหวะรีบพูดแทรกทันที “เห็นเต็มตาซะขนาดนั้น เธออย่าแก้ตัวอีกเลยจ้ะเดือน คุณเอก
เค้าไม่ได้โง่นะจ๊ะ”
เอกสิทธิ์ถอนหายใจ ก่อนจะเมินหน้าหนีจากเดือนฉาย
“กลับไปเถอะเดือน ฉันจะดูแลยัยพรเอง เธอไม่ต้องห่วงหรอก”
พลันก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากในบ้าน เดือนฉายถึงกับกลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่
“คุณเอก ฉันขอร้อง คุณจะพรากลูกพรากแม่ พรากพี่น้องเค้าจากกันเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เอายัยเพ็ญมาให้ผมสิ แกจะได้อยู่ด้วยกัน”
พูดพลางเดินตรงเช้ามาจะมาเอาเพ็ญพรไป แต่เดือนฉายกอดไว้แน่น พร้อมกับที่เคนรีบเข้ามากัน
“หยุดเลยนะ แกลองเข้ามาแตะหลานฉันแม้แต่นิดเดียวแกได้เห็นดีแน่”
เช่นเดียวกับสโรชาที่รีบเข้ามาดึงเอกสิทธิ์ไว้
“เราเลี้ยงไว้คนเดียวก็พอค่ะคุณเอก ยังไงก็ถือซะว่าสงสารเดือนเค้าล่ะกัน ถ้ากลัวแกลำบากคุณก็ให้เงินเค้าไปซะก้อนหนึ่งสิคะ”
เดือนฉายร้องไห้โฮ พยายามพูดอ้อนวอน แต่กลับโดนเอกสิทธิ์ผลักไสให้รีบออกจากบ้านไป
“ถ้าคุณรักลูกจริง ก็อย่าให้แกรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ต้องให้แกมารับรู้อะไรทั้งสิ้น”
“คุณเอก อย่าทำแบบนี้ คุณเอก”
ถึงตรงนี้ เดือนฉายถึงกับทรุดลงร้องไห้โฮ เคนรีบเข้ามาประคอง
เอกสิทธิ์มองเมินก่อนจะเดินเข้าบ้านไป พร้อมกับสโรชาและณัฐพงษ์
เดือนฉายน้ำตาไหลพราก จังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงแตรรถแท็กซี่ดังจากด้านหลัง เธอรีบปาดน้ำตาพลางสตาร์ตรถ แล้วขับออกเพื่อหลีกทางให้
ในจังหวะที่รถสวนกันนั้น สโรชาเห็นเดือนฉายแว่บๆ แต่ไม่มั่นใจนัก รีบบอกให้แท็กซี่รีบจอดทันที แต่พอลงจากรถ ก็ไม่เห็นรถของเดือนฉายแล้ว
สโรชารีบวิ่งพรวดเข้ามาในบ้าน ตะโกนเรียกป้าแจ่มเสียงดัง อาภาพรที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ตะกี้ใครมาที่บ้านเรา?”
ป้าแจ่มทำหน้างง คิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ใครมา ไม่มีนี่คะ”
“มีสิ มันต้องมี อยู่บ้านกันยังไงใครไปใครมาไม่รู้เรื่อง แล้วยัยคุณหนูของป้าอยู่ไหน?”
“คุณหนูอยู่ในครัวค่ะ จะให้เรียกให้ไหมคะ”
“ไม่ต้อง”
สโรชามองค้อน ก่อนจะเดินอาดๆ เข้าไปในครัวทันที
เมื่อเข้าไปในครัว สโรชาก็คาดคั้นถามกับเพ็ญพรทันทีว่าพาใครเข้ามาในบ้านหรือเปล่า? อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับทำหน้ายียวน พูดจากกวนประสาทใส่
“แกอย่านึกนะว่าฉันไม่รู้นะ ฉันเห็นอยู่ นังพร ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนนะ ที่นี่ บ้านศิลาแดงหลังนี้ฉันเป็นคนดูแลทั้งหมด แกจะพาใครเข้าใครออกตามใจแกไม่ได้ทั้งนั้น”
เพ็ญพรทนฟังต่อไม่ไหว ถึงกับเขวี้ยงผ้าเช็ดชามลงที่โต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินปราดเข้าหาจนอีกฝ่ายต้องถอยหนี
“ใครที่ว่านี่คงเป็นคนที่คุณน้ากลัวสินะคะ ทำไมคะ? เคยทำอะไรไว้กับใครเหรอ? ถึงได้กลัวเค้าจะมาเอาคืนน่ะ”
“แกพูดบ้าอะไรของแก แกรู้อะไรแล้วเหรอไง?”
เพ็ญพรยิ้มเยาะ
“รู้เหรอ? คุณน้าคิดว่าเพ็ญรู้อะไรล่ะ? บางทีเรื่องที่ว่าคุณน้าอาจจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ได้”
สโรชาจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกไป เพ็ญพรยิ้มสะใจ
“หนี? คนดีเค้าไม่หนีความจริงกันหรอกค่ะคุณน้า แต่ถ้าคนชั่วล่ะก็ อย่าคิดว่าจะหนีแพร์รี่ไปได้”
พรเพ็ญหยิบแฟ้มต่างๆ ขึ้นมาถือไว้ พลางสำรวจตรวจตราเพื่อความเรียบร้อยอีกครั้ง ครู่หนึ่งวิทวัสก็เปิดประตูโผล่หน้าเข้ามา ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายเดินตามออกมา
ทางด้านตรัยก็นั่งทำงานง่วนอยู่ที่บ้าน มีแฟ้มเอกสารหลายแฟ้มวางสุมอยู่เต็มโต๊ะ สุดาเดินเข้ามาพูดแหย่ตามประสา ก่อนที่ฝ่ายแรกจะหลุดปากว่าเย็นนี้เขามีนัดไปดูหนังกับเพ็ญพร
“เดี๋ยวนี้ยัยแพร์รี่ยอมออกไปดูหนังกะพี่ตรัยแล้วเหรอ?”
“ใคร? ยัยแพร์รี่”
สุดาสะดุ้ง รีบแก้ตัว “อ่อ พูดผิด น้องพรอะไรของพี่ตรัยอ่ะค่ะ”
“ทำไม? น้องพร เค้าก็ไปไหนมาไหนกับพี่มาตั้งนานแล้ว”
สุดาไปต่อไม่ถูก รีบตัดบทด้วยการเดินเลี่ยงออกไปในครัว ตรัยส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก้มหน้าดูรูปภาพคนร้ายในแฟ้มต่อ
สโรชาเก็บความสงสัยไม่ไหว จนต้องดอดมานั่งปรึกษากับเชาว์ ที่ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ
“เธอคิดมากไปหรือเปล่า? ใช่เปล่าเหอะ? แล้วเธอคิดว่าเค้าจะมาหาใคร? ลูกเลี้ยงคุณมันก็ไม่รู้อะไรไม่ใช่เหรอ?”
“มันจะมารู้ได้ยังไงเล่า ก็ตอนนั้นมันยังแบเบาะแหกปากร้องอยู่ในเปลอยู่เลย ถ้าเกิดว่าเป็นมันจริงๆ
นังเดือนฉายมันมาแถวนี้ทำไม?”
เชาว์รีบตอบส่งๆ แบบตัดรำคาญ “บังเอิญป่ะ หนีรถติดอ่ะ”
“แล้วถ้ามันไม่บังเอิญล่ะ?”
“แล้วไง เธอคิดว่ามันจะมาทำอะไร?”
สโรชาแอบหวั่นวิตก
“มันก็มาทวงของของมันคืนไง”
วาทินีที่เดินมาที่หน้าห้องพอดี ได้ยินเสียงทั้งคู่คุยกัน ก็ทำหน้าสงสัย ก่อนจะตัดสินใจแนบหูกับประตู ด้วยความอยากรู้
“ทวงสมบัติ ทวงสิทธิ์แล้วก็ทวงลูกแฝดของมัน”
“คิดมากไปหรือเปล่า? มันจะมาทวงอะไรป่านนี้ ต่อให้ไอ้แก่มันรู้ความจริงเรื่องนั้นก็เหอะ พะงาบๆ
อยู่แบบนั้นจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
สโรชาเม้มปากแน่นสีหน้าครุ่นคิด พร้อมกับที่เรื่องราวในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง
เดือนฉายที่กำลังท้องแก่นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าเรียบเฉย ขณะที่สโรชาแกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้
“ฉันขอโทษเดือน ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเพื่อนที่ฉันคอยช่วยเหลือ คอยเป็นห่วงจะทำกับฉันแบบนี้”
“ฉันขอโทษเดือน แต่ฉันกับคุณเอก เรารักกันจริงๆ”
เดือนฉายสะบัดมือออกอย่างแรง
“รักเหรอ? เธอกล้าใช้คำนี้เหรอสโรชา เงินตะหากที่เธอควรจะพูด เลิกเสแสร้งซะทีเถอะ ผู้หญิงอย่างเธอน่ะ จริงๆ แล้วก็ควรเหมาะที่จะอยู่กับผู้ชายแบบนายเชาว์นั่น ฉันไม่น่าใจดีช่วยเธอเลย”
สโรชาแอบจิกตาแค้น ก่อนจะรีบแกล้งกลบเกลื่อน แสร้งเป็นคนดี
“ฉันไม่เคยลืมที่เธอเคยช่วยเลยนะ เธอคือเพื่อนคนสำคัญที่สุดของฉันนะ”
พูดพลางทำทีเป็นเข้าไปกอด เดือนฉายพยายามดิ้น
“ปล่อยฉันนะ ฉันไม่มีเพื่อนอย่างเธอ เพื่อนที่หักหลังแย่งของของเพื่อน”
“ใจเย็นๆ สิเดือน เธอกำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ”
เดือนฉายพยายามสะบัดจนหลุดแล้วผลักสโรชาล้มลงไป พลางมองจ้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะคว้ากระเป๋าจะเดินออกประตูไป
จังหวะนั้นเชาว์ก็เดินโผล่มาทางด้านหลัง ก่อนจะใช้ผ้าโปะยาสลบที่จมูก จนเดือนฉายค่อยๆ หมดสติไป
สโรชาลุกขึ้นเดินมาดู แล้วก็แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ปากดีนัก ดูซิ คราวนี้จะแก้ตัวยังไง? เอามันไปไว้ในห้องแล้วเรียกคนของแกมา”
เชาว์ทำหน้าเซ็งๆ พลางบ่นอุบอิบ
“จะเรียกทำไมให้เปลืองอีกก็ไม่รู้ ให้ฉันจัดการเองก็สิ้นเรื่อง”
“อย่านอกเหนือคำสั่ง ฉันจ้างแกมาแค่ไหนก็แค่นั้น”
เชาว์ทำเสียงอ้อน “ทำไมพูดกับสามีอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?”
“ตกคำว่าอดีตไปคำนะ แกอยู่ได้แค่ในฐานะลูกจ้าง ตั้งแต่ตอนที่แกทิ้งฉันไปมีใหม่แล้ว ไม่ต้องพูดมาก รีบจัดการเร็วๆ เข้า”
พูดพลางยืนมองเชาว์ที่จัดแจงอุ้มเดือนฉายเข้าห้องไป พลางแสยะยิ้มร้ายออกมา
เดือนฉายค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาในห้องนอน สายตายังคงพร่าเลือน ขณะที่กลับได้ยินเสียงของสโรชาชัดเจนทุกถ้อยคำ
“เดือน ทำไมเธอทำแบบนี้ กำลังท้องกำลังไส้อยู่แท้ๆ โธ่ นี่เธอเห็นบ้านฉันเป็นโรงแรมหรือไง? คุณเอกอย่าโกรธเดือนเลยนะคะ เดือนเค้าคงไม่ได้ตั้งใจ...ให้จับได้”
ในความพร่าเลือนนั้น เดือนฉายเห็นสโรชายืนอยู่กับเอกสิทธิ์ เธอพยายามดันตัวลุกขึ้น พลางสะบัดหัวไล่ความมึนงง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น
เอกสิทธิ์ยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นอยู่ สโรชายืนอยู่ข้างๆ แอบเบ้ปากมองอย่างสะใจ
เดือนฉายกุมขมับ พลางก้มมอง แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นตัวเองในสภาพเปลือยเปล่า เมื่อหันไปมองข้างๆแล้วก็ยิ่งตกใจหนักขึ้น เมื่อเห็นผู้ชายอีกคนนอนเปลือยอยู่บนเตียงข้างๆ กัน
“เลว เลวที่สุด”
เดือนฉายตกใจทำอะไรไม่ถูกได้แต่ดึงผ้าห่มให้กระชับขึ้น
“ไม่ใช่นะคะคุณเอก เดือนไม่รู้เรื่อง”
สโรชายิ้มร้าย “เห็นเต็มตาซะขนาดนี้ เธออย่าแก้ตัวเลยนะเดือน”
“สโรชา ฝีมือเธอใช่ไหม?”
“โธ่เดือน ฉันจะทำอะไรเธอได้ ก็ฉันเพิ่งกลับเข้ามากับคุณเอก”
เอกสิทธิ์เดินตรงเข้ามา ผู้ชายที่อยู่บนเตียงฉวยจังหวะจัดแจงรวบผ้าแล้ววิ่งหนีออกไป
“เดือนฉาย ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าเธอจะเป็นแบบนี้ สำส่อน”
เดือนฉายสีหน้าเปลี่ยนจากตกใจเป็นโกรธ
“สำส่อนงั้นเหรอ? ถ้าฉันสำส่อน แล้วอย่างคุณที่ไปเป็นชู้กับสโรชา จะให้เรียกว่าอะไร?”
สโรชาเห็นท่าไม่ดี รีบพูดแก้ตัว
“เธอพูดอย่างนั้นไม่ถูกนะเดือน ฉันเลิกกับเค้าแล้ว ถึงจะมามีคุณเอกนะ”
“เธอไม่ต้องมาโทษคนอื่น ดูสภาพตัวเธอเองซะก่อน ท้องไส้อยู่แท้ๆ ยังมาทำอะไรทุเรศแบบนี้”
เดือนฉายน้ำตาคลอด ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ
“คงทุเรศไม่เท่าพวกคุณหรอกมั้ง ผู้หญิงหน้าเงินกับผู้ชายมักมาก มันก็เหมาะสมกันดี สำส่อนด้วยกันทั้งคู่”
เอกสิทธิ์เผลอตัวง้างมือตบหน้าเดือนฉายเข้าเต็มแรง จนเลือดซึมที่มุมปาก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม พลางอีกฝ่ายด้วยสายตาที่น้อยใจ สโรชาได้ทีแกล้งยุแยงต่อ
“คุณเอก ทำไมต้องทำรุนแรงกับเดือนแบบนี้? ถึงเดือนเค้าจะมีชู้ก็เถอะไม่น่าทำแบบนี้เลย”
เอกสิทธิ์หันมาบอกเดือนฉายหน้านิ่ง
“ผมว่าถึงเวลาแล้วล่ะ เราคงต้องลากันจริงแล้ว เราหย่ากันเถอะ”
เดือนฉายน้ำตาริน ส่วนสโรชาแอบยิ้ม
“เรื่องลูก ผมจะเป็นคนดูแลเอง”
“ไม่มีทาง ลูกเป็นของฉัน ฉันไม่มีทางให้คุณหรอก ไม่มีทาง”
เดือนฉายร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียง มองตามเอกสิทธิ์กับสโรชาที่เดินออกไป
โดยที่สโรชาส่งสายตาเหยียดหยัน เยาะเย้ยอย่างสะใจมาให้จนลับตาไป
อ่านต่อตอนที่ 7