บางระจัน ตอนที่ 14
ค่ายปากน้ำประสบ ตอนกลางคืน สุกี้นายกองยืนอยู่หน้ากะบะทราย จำลองแผนที่การรบ และ โมเดลค่ายขนาดเล็ก ๓ ค่าย ประกอบด้วย เส้นทางเดินทัพสู่ค่ายระจันให้เนเมียวสีหบดีดู
"บ้านระจันเป็นบ้านดอน อยู่หว่างแคว้นวิเศษไชยชาญสุพรรณและเมืองสิงห์ต่อกัน"
เนเมียวสีหบดีนั่งอยู่บนตั่ง มองลงมาที่สุกี้นายกอง นายกองชาวมอญที่พูดไทยชัด
"พวกมันมีทั้งชาวบ้านจากที่ต่างๆ ทหารอาทมาฎจากแขวงวิเศษไชยชาญ ฝีมือดาบเก่งกล้ามารวมตัวกัน ถ้าสู้กันกลางแปลงตัวต่อตัว เราจะชนะได้ยาก"
เนเมียวสีหบดียิ้มมองสุกี้ที่ประเมินการรบด้วยรูปแบบใหม่
"ข้าจะขอตั้งค่ายเป็นสามค่าย เอาปืนใหญ่ขึ้นหอรบ แล้วขยับค่ายเดินหน้าสลับกัน เพื่อป้องกันพวกมันมาลอบโจมตีอย่างค่ายอากาปันยี แล้วจะเดินค่ายเข้าหามันทีละค่ายๆ ๆ พอประชิดในระยะยิง ข้าจะเอาปืนใหญ่ยิงถล่มเข้าไปในค่ายมันให้แหลก เมื่อกำแพงค่ายมันทลาย ข้าจะให้ไพร่ราบบุกตะลุยข้ามกำแพงค่ายเข้าไปให้ถึงใจกลางค่ายมันอย่างไม่ยากเย็น ทีนี้ต่อให้พวกมันหนังเหนียว มีปีก หายตัวได้ ก็ไม่มีวันรอดกระสุนปืนใหญ่ของข้าได้"
เนเมียวสีหบดีนั่งมองอย่างพอใจ
"มิเสียแรงที่เราส่งท่านมาอยู่ในแผ่นดินโยเดียนับสิบปี ขอให้ท่านใช้ความรู้ความสามารถเอาชนะพวกบางระจันทดแทนคุณแผ่นดินอังวะเถิด ตั้งแต่นี้ ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่งเป็น...ชุกคยี นายกองใหญ่ เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด จะฆ่าใครก็ได้ที่มันขัดขวางแผนการทำลายค่ายระจัน แล้วเมื่อเราชนะปราบโยเดียได้ย่อยยับ เราจะยกแผ่นดินโยเดียให้ท่านปกครอง"
วันใหม่ ระเบิดตกลงมาใกล้ๆลานครัว หลายลูก หลายมุม ชาวค่ายวิ่งกันอลหม่าน ทัพวิ่งมากับแฟง สวนกับชาวค่ายที่กำลังหนี
"พวกมันยิงปืนใหญ่มาตกเต็มไปหมด พวกเราหลบไปทางหลังค่ายก่อน"
ขาบ เฟื่อง จวง สังข์ สไบ วิ่งมาสมทบ
"เอาคนหลบไปอยู่หลังค่ายให้หมด" สังข์บอก
ทัพ สังข์ ขาบพากันวิ่งสวนไปช่วยชาวบ้าน
"ต้อนคนไปที่หลังค่ายเร็ว"
เฟื่อง จวง สไบ ช่วยกันนำชาวบ้านที่อพยพหนีด้วยความกลัว
"มานี่จ้ะ มานี่ ไปรวมกันทางโน้น ไปเร็ว"
ระเบิดตกลงมาอีกหลายลูก ใกล้เรือนใจ เสียงระเบิด เสียงหวีดร้อง เสียงอึกทึก ใจนอนทรุดร่าง อดข้าวอดน้ำได้ยิน ก็พยายามลุกขึ้นมองไปที่ถนน เห็นชาวบ้านพากันวิ่งหนี
เสียงระเบิดดังอีกตูม
"ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย....ช่วยฉันที อย่าทิ้งให้ฉันตายอยู่ที่นี่เลย"
ชายแก่ระจันคนหนึ่งวิ่งมาเห็นก็สงสาร หยิบพร้าที่ใต้ถุนฟันขื่อคาให้ แล้ววิ่งออกไป
ใจ หยิบพร้ามาฟันต่อจนเชือกขาด และเดินโซเซออกไปทันที
ระเบิดตกลงอีก ๒ ตูม เรือนติดไฟ ลุกหลายหลัง ชาวค่ายหอบลูกจูงหลานวิ่งหนี ทัพ สังข์ ขาบ วิ่งมาถึง เอิบ ช่วง ฟัก กับเคลิ้มกำลังช่วยต้อนทุกคนวิ่งหนีไปทางหลังค่าย
ระเบิดลูกปืนใหญ่อังวะถูกยิงมาตกเต็มหน้าค่าย แท่นนอนน้ำตาไหลอยู่ที่เตียง เพราะไม่อาจลุกขึ้นไปช่วยชาวค่ายได้ เสียงระเบิด ยังคงดังอยู่ตลอดเวลา นักรบคนสนิทนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าทิ้งพ่อค่ายไปไหน
พ่อหมอเดินเอายาเข้ามาให้กิน แท่นโมโห ปัดกระเด็น
"พวกมึงจะมัวมาเฝ้ากูทำไม ออกไปช่วยพวกข้างนอกโน้น กูมันไร้ค่า ไม่มีปัญญารบกับศัตรูได้แล้ว ไม่ต้องมาพยาบาลกู ไปช่วยพวกที่เขามีมือ มีตีนจับดาบสู้โน้น"
นักรบและพ่อหมอ ร้องไห้ ไม่กล้าทิ้งพ่อแท่นไป
แท่นยิ่งแค้นใจ
"ไป ออกไป"
พ่อหมอ และนักรบทั้งสองจึงตัดสินใจวิ่งออกไป
เสียงระเบิดยังดังอยู่ตลอด เสียงชาวค่าย ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แท่นกระเสือกกระสน พยายามจะลุกออกไป แต่ก็ทรุดลงที่หน้าเตียง ไม่อาจลุกขึ้นได้ แท่นนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจที่ช่วยใครไม่ได้
ระเบิดตกลงใส่ห้องคลังแสง ลานเรือนพ่อค่ายพังพินาศ เบื้องหน้าคือพระพุทธรูปในห้องนอนพ่อแท่น
ระเบิดตกลงมาหลายลูก เต็มลานหน้าค่าย ใจเดินหลบหลีก สวนกับชาวค่ายที่กำลังวิ่งหนี
เขาถูกชน ล้มลง กำลังจะลุก ก็ถูกกระแทก จนกลิ้งไป ใจที่ตาลายเพราะอดข้าวจนไม่มีแรง เห็นคนวิ่งเข้ามาประคอง ใจเงยมองเห็นเป็นพ่อทองเหม็น ถือขวานคู่กายมา
"ไอ้ใจ เอ็งจะไปไหน พวกข้าศึกมันระดมยิงใส่หน้าค่ายเราเต็มไปหมดแล้ว"
ใจไม่มีแรงตอบ ทองเหม็นมองสภาพอิดโรยของใจ
"ทำไมเมียเอ็งถึงปล่อยให้เอ็งวิ่งหลงทางมา ไม่ดูแลเอ็งเลย"
ทองเหม็นหันไปทางนักรบ 2 คนที่ติดตาม
"พามันไปอยู่ที่หลังค่ายก่อน เร็ว"
ใจบอก"ไม่"
"ไปซะไม่งั้นเอ็งจะโดนลูกหลง เดี๋ยวข้านี่แหละจะออกไปฟันคอไอ้คนยิงปืนใหญ่เอง"
"อย่า ..ออก .. ไป"
ทองเหม็นไม่ฟังจะไป ใจคว้าขานายทองเหม็นไว้อย่างหมดแรง ทองเหม็นก้มลงประคองใจขึ้น
"ไม่ต้องห่วงข้า ไอ้ใจ .. ห่วงตัวเองเถิดไอ้ลูกชาย"
ใจอึ้ง ทองเหม็นเอามือลูบหัวใจเบาๆ ยิ้มให้ ใจมองตื้นตัน
"รีบพามันไปที่หลังค่าย ให้คนหาข้าวหาน้ำดูแลมัน"
นักรบดึงใจขึ้น ใจพยายามดิ้นรน
"อย่า ไป"
ทองเหม็นยิ้มมองใจ ใจพยายามเปล่งเสียงห้าม แต่ทองเหม็นหันหลังถือขวานเดินไปกับหมู่คนยังหน้าค่าย ใจที่ถูกลากไปทางหลังค่าย
ทองเหม็นขี่ควายวิ่งฝ่าดงระเบิดมาอย่างไม่กลัวตาย กระสุนปืนใหญ่ลอยละลิ่ว ตกลงเฉียดร่างนังเผือกกับทองเหม็น
ทองเหม็นถือขวาน ตบหลังควายให้วิ่งเร็วขึ้น
"ไป พาข้าไปบั่นคอไอ้คนยิงปืนใหญ่"
ควายคู่ใจวิ่งพาทองเหม็นทะยานไป
สุกี้ยืนมองอยู่อย่างนึกขำ
"มันคงจนหนทางสู้แล้ว ถึงขี่ควายออกมาหาที่ตาย ทหารออกไปฆ่ามันซะ ข้าเสียดายลูกปืนใหญ่"
ทหารอังวะ 20 คน วิ่งออกมาจากประตูค่ายพร้อมอาวุธ ทั้งดาบและปืนในมือ ทองเหม็นถือขวานขี่อ้ายเผือก เผชิญหน้ากับทหารอังวะที่ดาหน้า ด้วยสายตาไม่กลัวเกรง
เสียงระเบิดปืนใหญ่สงบลงแล้ว แต่ชาวค่ายยังวิ่งหนีอลหม่าน ใจถูกนักรบลากมา ใจกัดฟันออกแรงฮึด สะบัดตัวอย่างแรง นักรบหลุดมือ ใจหันหลังวิ่งกลับไป
ใจล้มลุกคลุกคลาน รวบรวมกำลัง วิ่งฝ่าฝูงคน แล้วใจก็ถูกคว้าไว้อย่างแรงแล้วเหวี่ยงลงไปกับพื้น
ใจที่ล้มคลุกดิน เงยมอง ทัพถือดาบ ยืนจังก้า
"มึงหนีออกมาได้ยังไง"
ทัพเข้าไปกระชากใจ แต่ใจไม่ห่วงตัวเอง นึกถึงแต่เรื่องทองเหม็น พยายามเปล่งเสียงบอกทัพ
"พ่อทองเหม็น"
"มึงว่าอะไร ไอ้ใจ"
"พ่อทองเหม็นออกไปนอกค่าย รีบไปช่วยกลับมา"
ทัพมองไปด้านนอกค่าย สีหน้าเครียด
"พ่อทองเหม็น"
ลานสมรภูมิหน้าค่ายสุกี้ ทองเหม็นมองทหารอังวะ 50 คนที่ กำลังดาหน้า เดินเข้าหา ด้วยสายตาไม่ครั่นคร้าม
"ให้กูตายเสียยังดีกว่า ให้พวกมึงเยี่ยมหน้ามาเย้ย นักรบบ้านระจันยอมนอนกลางเลือด มันถึงจะเรียกว่าผู้ชายสยาม"
ทองเหม็นควงขวานในมือ อีกมือลูบหัวอ้ายเผือก ควายคู่ใจ
"อ้ายเผือก เลือดเนื้อมึงกับกู ..จะขอหลั่งทาดิน ฝากธรณีไว้บูชาแผ่นดินที่อาศัย"
ทหารอังวะมองเห็นทองเหม็นยิ้ม คนเป็นหัวหน้าร้องสั่ง
"ฆ่ามัน"
ทองเหม็นเห็นทหารอังวะกรูเข้ามา ก็ควงขวาน ด้วยรอยยิ้ม
" ขอฝากเลือดไว้กับหญ้าเขียว เราบุกมาตายเพราะตั้งใจจะรบตาย รบมันเข้าไป"
สิ้นคำ ควายก็พานายทองเหม็นพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย ทหารอังวะกรูกันเข้ามาฟัน ล้อมรอบทองเหม็นไว้ อ้ายเผือกใช้เขาโง้ง ขวิดกวาดไปรอบวง ให้ทองเหม็นกวัดแกว่งขวาน ฟันทหารอังวะเลือดกระฉูด
ใจมองทัพแล้วดึงแขนทัพไว้ยึดเพื่อยันร่างอ่อนแรง
" ให้ฉันออกไปช่วยพ่อทองเหม็น"
ใจพยายามจะออกไป แต่ทัพไม่ยอม ขาบวิ่งสวนมา ทัพผลักใจไปทางขาบ
"ดูมันไว้ อย่าให้มันรอดออกไป"
ขาบเตะร่างใจที่จะทะยานออกไป ล้มลงกับพื้นทันที สังข์ ฟัก เคลิ้มวิ่งสวนมา
"พวกเอ็งไปกับข้า พ่อทองเหม็นอยู่นอกค่าย"
ทัพวิ่งนำ สังข์ ฟัก เคลิ้มออกไป ใจโดนขาบเหยียบอกไว้
"พ่อทองเหม็น"
ขาบกระทืบลงอกใจที่พยายามจะออกไปช่วยนายทองเหม็น
ลานสมรภูมิ ทองเหม็นเลือดโทรมกายจากแผลที่ถูกรุมแทงฟัน ควายไล่ขวิดทหารอังวะที่รุมล้อมรอบ แต่ทหารฟันขาทั้งสี่ของอ้ายเผือกจนทรุด
ทองเหม็นถูกกระชากลงจากหลังควาย เสียงควายร้องดัง นายทองเหม็นที่ถูกรุมล้อมจากทหาร
ทัพ สังข์ ฟัก เคลิ้มวิ่งเข้ามา พุ่งเข้าฟันทหารอังวะจนแตกกระเจิง ทหารอังวะล้มตาย หลายคนวิ่งหนีแตกกระเจิง จนไม่เหลือทหารอังวะ
ทุกคนหันไปมอง เห็นภาพสะเทือนใจ อ้ายเผือกนอนตายเลือดท่วมอยู่ข้างศพทองเหม็นที่มือยัง
กำขวานแน่น เนื้อตัวมีแต่เลือดจากบาดแผลทั้งถูกรุมแทง ฟัน ใบหน้าแววตาทองเหม็นยังอาจหาญ
ทัพกับทุกคนมองสลดกับความเสียสละของทองเหม็น
ขาบกระชากใจจะลากไปทางด้านหลังค่าย ชาวค่ายยังวิ่งหนีกันอลหม่าน
"มานี่"
ใจรวบรวมกำลัง สะบัดหลุดจากขาบ ขาบกระแทกโดนชาวบ้านที่วิ่งมาล้ม ใจจะวิ่ง ขาบหันมาเห็น ก็โดดล็อกคอ ใจผลักร่างชาวบ้านที่วิ่งมา กระแทกขาบจนกระเด็น ใจหันไปกระชากหม้อดินที่ชาวบ้านหญิงวิ่งมา ขว้างใส่ขาบ หม้อแตกกระจาย ขาบไม่ทันตั้งตัว
ใจโดดถีบอีกครั้ง ขาบกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น ใจอาศัยช่วงชุลมุน วิ่งหนีหายไปท่ามกลางชาวบ้านหนีตายอย่างเร็ว
ขาบลุกขึ้น มองไม่เห็นใจก็วิ่งหาทันที
ใจ วิ่งลัดเลาะตามแนวป่ามา ทรุดลงเพราะหมดแรงหลายครั้ง แต่ก็พยายามทรงตัววิ่งไปจน..เห็น สังข์ / ฟัก / เคลิ้ม / นั่งม้าลัดเลาะมาตามแนวป่า มีทัพและนักรบระจันเดินจูงม้าที่พาดศพทองเหม็นกับ
นักรบควายอีก ๔ คนตามมา
ใจ หลบซุ่มมองเห็นภาพทัพน้ำตาซึมจูงม้าที่พาดร่างทองเหม็นมา ใจมองศพนึกถึงทองเหม็นที่อวยพรให้ใจกับสไบในวันแต่งงาน
ทองเหม็นหัวเราะพูดคุยกับใจหลายครั้ง
"เอ็งเป็นคนดีนะใจ ต่อไปเอ็งจะเป็นกำลังสำคัญของบ้านระจัน"
ใจ น้ำตาคลอ เห็นศพทองเหม็นบนหลังม้า ที่มือที่ห้อยอยู่ และยังมีเลือดไหลย้อยไปตลอดทาง
ใจ นึกถึงยิ้มสุดท้าย ทองเหม็นลูบหัวใจก่อนออกมารบ
"ไม่ต้องห่วงข้า ไอ้ใจ ห่วงตัวเองเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ไอ้ลูกชาย"
ใจนึกย้อนตอนที่ถูก จอกยีโบยิง น้ำตาลูกผู้ชายหยดไหลลงมาด้วยความเสียใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่คนสองคนได้ทำไว้ ใจเดินโผเผออกไปจากตรงนั้น น้ำตากลบตาจนมองไม่เห็นทาง ใจรู้สึกเหมือนสูญเสียคนที่นับถือไป....ก่อนจะได้ยินเสียงม้าควบมา ใจตกใจหันไปมองแล้วรีบวิ่งหนี
ม้าวิ่งไล่ตามใจไปอย่างรวดเร็ว ใจวิ่งหนีสุดฤทธิ์ แต่ด้วยอาการที่ยังไม่มีแรงจึงวิ่งไม่ได้เร็ว ลูกดอกชนิดพิเศษ พุ่งมาปักตามต้นไม้เฉียดตัวใจไปเป็นระยะ...ใจพยามวิ่งหนี
สุดท้าย..ใจหลบไม่พ้น ถูกลูกดอกเข้าที่ไหล่ด้านหลัง ใจสะดุ้ง...แต่พยายามวิ่ง จนหมดแรงตกลงจากเนินสูง ร่างใจร่วงกลิ้งลงจากเนิน ก่อนใจจะหมดสติ ดับวูบไป
ในอดีต ทองเหม็นกำลังพักผ่อน นั่งคุยกับใจอยู่ที่แคร่หน้าเรือนพ่อค่าย ท่าทางอารมณ์ดี เมาๆ
"กูนี่มีอาคม ยิง ฟัน แทงอย่างไรก็มิเข้า กูหนังเหนียว...มิใช่หนังเหี่ยวนะโว้ยไอ้ลูกชาย"
ลูกน้องที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยหัวเราะชอบใจ
"พ่อทองเหม็นมิมีวันตาย...ฮะๆๆ"
"คนเราเกิดมาจะมิตายได้อย่างไรพ่อ"
ทองเหม็นเข้ามาโอบไหล่ กอดคอใจด้วยความเอ็นดู สนิทสนม
"พ่อจะบอกให้...ในฐานะชอบพอเป็นพ่อลูกกัน"
ใจตั้งใจฟัง
"ถ้าเอ็งอยากฆ่าพ่อนะ ต้องแรม ๑๕ ค่ำ คืนพระจันทร์ดับ อาคมในตัวพ่อจะหมดพลัง..วันถึงฆาต เอ็งรู้แล้วอยากบอกใครนะไอ้ลูกชาย"
ใจมองทองเหม็นนิ่ง ตาไม่กระพริบ เราไม่เข้าใจว่าใจคิดอะไร
สุกี้นายกอง ยกมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ ใจมองสุกี้อย่างหนักใจ
"ดีมาก...ดวงไอ้คนขี่ควายมันต้องถึงฆาตตามนี้ ข้าจะเตรียมธนูหัวเงินลงอาคม ล้างมันเอง"
ใจหน้าเสีย
"ไว้ชีวิตพ่อทองเหม็นสักคนมิได้หรือ"
"ไม่ได้...ถ้าต้องการชัยชนะ อย่าสงสารศัตรู"
ใจนิ่งเงียบ เสียใจมากที่นำความลับทองเหม็นมาบอกสุกี้
บรรยากาศในลานค่ายเมื่อตอนกลางคืน ทุกคนนั่งนิ่งเงียบ เต็มไปด้วยความสลดหดหู่ ในศาลาการเปรียญ วัดโพธิ์เก้าต้น ศพพ่อทองเหม็นถูกวางไว้บนตั่ง พ่อค่ายต่างนั่งสีหน้าเครียด รายล้อมรอบศพ
เอิบ- ช่วง เดินถือตาลปัตรนำหลวงพ่อธรรมโชติเดินมา ทุกคนพนมมือกราบ แฟง เฟื่อง สไบ จวง หญิงชาวค่ายหลายคนร้องไห้
พระอาจารย์เดินมามองศพทองเหม็นแล้วหลับตาลง สวดอุทิศกุศลให้แก่ร่างทองเหม็น ช่วงถวายน้ำรดน้ำศพให้พระอาจารย์
"พ่อทองเหม็นสละชีพเพื่อรักษาค่าย รักษาชาวระจันไว้" พันเรืองบอก
"พวกมันตั้งค่ายปืนใหญ่ถึงสามค่าย สลับเดินหน้าเข้าหาเราเรื่อยๆ อีกมินานค่าย เราคงตกอยู่ในระยะยิงของมัน ลูกกระสุนปืนใหญ่ได้ตกมาใกล้ค่ายเราทุกทีแล้วเราจะทำอย่างไรดี"
"พ่อแท่นก็เจ็บหนักมิรู้จะอยู่ได้อีกกี่วัน เสาหลักเราเริ่มกร่อนแล้วหลวงพ่อ" ขุนสรรค์บอก
พระอาจารย์ธรรมโชตินิ่ง สวดพึมพำเงียบๆ
ทัพน้ำตาคลอ เอิบ ช่วง ปาดน้ำตา สงสารพ่อทองเหม็นผู้เสียสละพร้อมนักรบคนอื่นๆ
ดอกไม้บอก
"อีกมินาน ค่ายระจันเราคงแตก"
พวกคนเฒ่าคนแก่ได้ยินพากันร้องไห้เสียงดัง ไปทั้งศาลา โชติวิ่งกระหืดกระหอบมาจากหน้าค่ายด้วยความตกใจ ลงกราบพระอาจารย์
"พระอาจารย์ พ่อแท่นอาการทรุดหนักแล้วขอรับ อยากนิมนต์พระอาจารย์ไปทำพิธีสืบชะตาให้ด้วยขอรับ"
ทุกคนได้ยินก็เสียใจหนัก ร้องไห้ระงม พระอาจารย์หันมามองหน้าพ่อค่ายทุกคนแล้วเดินออกไปไม่พูดอะไร พ่อค่ายรีบลุกตามออกไป
แฟงนั่งพนมมือสั่น...น้ำตาไหล
"พ่อแท่น"
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
ในเรือนพ่อค่าย โยงสายสิญจน์ผ่านพระพุทธรูปไปที่พระอาจารย์ธรรมโชติ แล้วโยงเข้าไปในห้องพ่อแท่นทางด้านหลัง
หลวงพ่อธรรมโชติกำลังสวดสะเดาะเคราะห์ให้แท่น เอิบ-ช่วงคอยช่วยจัดของ พันเรือง-ทองแสงใหญ่-จันเขียว-ขุนสรรค์ และ ชายฉกรรจ์ชาวค่ายนั่งอยู่รายรอบ
ฟัวแท่นที่นอนอยู่ที่มีสายสิญจน์ครอบอยู่ แท่นนอนสีหน้าขาวซีด ที่เข่ามีบาดแผลถูกยิงเน่าแฟะ มีอิน-เมือง-โชติ-ทองแก้ว-ดอกไม้ คอยดูแล เสียงสวดของหลวงพ่อธรรมโชติดังก้อง มาถึงในเรือน
แท่นฟังแล้วสะเทือนใจ น้ำตาไหลลงจากหางตา มองทุกคนแล้วเอ่ยสั่งเสีย
"พระเสื้อเมืองทรงเมืองช่วยรักษาข้าให้หายทีเถิด ข้าจะได้ออกไปช่วยปกป้องพ่อแม่พี่น้องข้า ข้านอนฟังเสียงปืนใหญ่แล้วอยากจะจับดาบออกไปสู้กับมันจริงๆ"
"พี่แท่นต้องได้สู้กับมันแน่ ขอเพียงรักษาตัวให้ดีก่อน"
แท่นส่งมือควานหามืออิน อินจับมือแท่นไว้
"อิน...เอ็งกับข้าร่วมตายกันมาหลายศึก เอ็งอย่ากลัวมันนะ" แท่นบอก
"ข้าไม่เคยกลัวมัน ขอพี่แท่นรักษาตัวให้หายเร็วๆเถอะ ข้ารอจับดาบยืนข้างพี่แท่น"
โชติ เมือง เอื้อมมือมาจับมือแท่น ทั้งสี่ประสานมือกัน
"ถ้าพ่ออินยืนข้างซ้าย ข้าจะจับดาบยืนข้างขวาเอง" โชติบอก
เมืองบอก
"เราสี่คนไม่เคยทิ้งกัน เราจะรบเพื่อพี่น้องเรา"
"พี่น้องข้า เราหนีร้อนจากศรีบัวทองมาที่บ้านระจัน เพราะหวังที่จะรวมกันรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้คนไท เราอย่าทิ้งกัน...จงสามัคคีกัน เพื่อรักษาค่ายระจันนี้ไว้ด้วยชีวิต"
ทองแก้ว กับดอกไม้ อดร้องไห้ตามไม่ได้ มองแท่นที่พยายามพูด
"รักษาที่มั่นไว้ จนลมหายใจสุดท้าย รักษาค่ายนี้ไว้ ...ด้วยเลือดเนื้อของเรา"
แท่นมองหน้าทุกคนอย่างฝากฝัง แล้วค่อยหมดแรงลงไปเรื่อยๆ แต่มือที่ทั้งสี่จับกุมกันไว้ ยังมั่นคง
ที่เรือนแฟง จันทร์ เฟี้ยม นำสวด กับ เฟื่อง แฟง จวงอีกแรง ให้พ่อแท่นหายจากอาการบาดเจ็บ ด้วยความหวังอย่า งริบหรี่ สังข์ ขาบ เดินร้องไห้มา ทัพเดินตามหลัง
สังข์ ขาบ ลงทรุดนั่งที่แคร่หน้าบ้าน ทัพยืนร้องอยู่ห่างๆ จันทร์ เฟี้ยมหันมามองอย่างเฉลียวใจ
"ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ"
ทั้งหมดรีบวิ่งลงมาหาสังข์ ขาบ ด้วยใจสังหรณ์
"เอ็งมาร้องไห้ทำไมกัน" เฟี้ยมถาม
จันทร์ถาม
"พ่อแท่นเป็นอย่างไรบ้าง"
"พ่อแท่น...จากเราไปแล้วจ๊ะแม่" ขาบบอก
เฟี้ยมถึงกับทรุด เฟืองรีบประคองแม่ลง
จันทร์เข่าอ่อน จวงรีบจับไว้
"คุณพระคุณเจ้า"
"โธ่พ่อ...มาตายเพราะพยายามช่วยพวกเราให้พ้นภัยแท้q"จันทร์ว่า
ชาวบ้านที่เข้ามาฟังเพราะอยากรู้ข่าวถึงกับร้องไห้โฮ ต่างแยกย้ายกันไปนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจ
แฟงหันมาเห็นทัพ เดินเข้ามาหา ต่างมองหน้ากันด้วยความเสียใจ
"พี่แท่น จากเราไปแล้วจริงๆหรือ พี่แท่นที่ช่วยชีวิตฉันไว้ สิ้นบุญแล้วจริงๆหรือ"
ทัพพูดไม่ออก รีบกอดแฟงไว้แน่น เพราะรู้ว่าแฟงเคารพพ่อแท่นมาก อาจทำอะไรที่ร้ายแรง
แฟงปล่อยโฮอย่างสุดจะเก็บอารมณ์ได้
"ไม่...ไม่ พ่อแท่นต้องอยู่ช่วยเราฆ่าไอ้พวกอังวะ พ่อแท่นต้องช่วยเรารบ...พ่อแท่นต้องไม่ตาย พี่ทัพบอกฉันซิว่าพ่อแท่นจะอยู่ช่วยพวกเราฆ่าพวกอังวะ"
ทัพพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะปลอบแฟงอย่างไร ได้แต่กอดแฟงไว้แน่นน้ำตาไหลพราก
พระจันทร์ครึ่งดวง....วันนี้เป็นสีส้มแดง น่าวังเวงใจ ทัพนั่งมองไปไกล เครียด แฟงเข้ามาโอบกอดทัพไว้จากด้านหลัง
" วันนี้ทั้งค่ายมีแต่เสียงร่ำไห้ พ่อทองเหม็น พ่อค่ายคนสำคัญมาจากเราไป"
ทัพดึงร่างแฟงมากอดไว้ในอก แฟงมองผัวด้วยความเห็นใจ
"วันหน้าคงถึงตาพี่"
ทัพมองแฟงที่มีสีหน้าตระหนก แต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยเข้มแข็ง
"ตายเพื่อไท ไม่มีอะไรต้องเสียดาย"
ทัพปลื้มกับหัวใจคนรัก ก้มลงจูบหน้าผากแฟง แล้วมองด้วยสายตาห่วงใย
"แฟง พวกข้าศึกเอาปืนใหญ่มายิงเกือบถึงกำแพงค่ายเราแล้วนะ"
แฟงมองสายตาทัพแล้วอ่านใจคนรักออก
"พี่อย่าบอกให้ฉันหนี"
"พี่"
"พี่ทัพ พี่ก็รู้ว่าฉันจะไม่หนี"
"พี่เห็นแก่ตัวใช่มั้ยแฟง พี่ทนไม่ได้..ถ้าเห็นแฟงต้องเป็นอะไรไป"
ทัพประคองใบหน้าเมียรักไว้ด้วยความเป็นห่วง
"พี่รักแฟงเหลือเกิน"
"ฉันก็รักพี่จ้ะพี่ทัพ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ พี่ทัพจ๋า เราต้องชนะศึก เราจะได้กลับไปอยู่บ้านคำหยาดของเรา"
ทัพมองแววตาสุกใส มีแต่ความหวังของแฟง แล้วดึงเมียรักเข้ามาแนบอก
"นอนเถิดแฟง นอนในอกพี่"
ทัพประคองแฟงลงกอดในอกแล้วโอบไว้แน่น แฟงยิ้มมองไปไกลในความมืด มีดวงระยิบระยับอยู่บนฟ้า
"ชีวิตพี่มีความสุขเหลือเกิน ชื่นใจนักที่ได้กอดแฟงไว้ในอกทุกคืนทุกวันอย่างนี้"
แฟงยิ้มปลื้ม เบียดชิดซุกลงในอกทัพ
"พวกเราสู้ศึกด้วยกตัญญูแผ่นดิน เสียดายนักถ้าแผ่นดินนี้ต้องตกเป็นของคนอื่น ผีปู่ผีย่าคงอยากให้พวกเรารักษาบ้านรักษาเมือง เหมือนที่พวกท่านรักษาไว้ให้พวกเรา ผีค่ายผีเมืองต้องคุ้มครองรักษาพวกเราที่ทำเพื่อแผ่นดินนะจ๊ะ"
"แฟงอยู่ใกล้พี่ไว้นะ พี่จะป้องกันแฟงของพี่ พี่ต้องตายก่อน แฟงเอ๋ย ให้ข้าศึกล้นฟ้ามานับหมื่น พี่ก็จะผลาญมันให้ย่อยยับ มิให้ล้ำมาถึงแฟง ดาบสองเล่มพี่ไม่หัก ก็อย่าหมายเลยที่ศัตรูหน้าไหนจะได้ล่วงเข้ามาใกล้แฟงของพี่"
แฟงฟังแล้วชื่นใจ ขยับมาหอมที่แก้มผัว ทัพกอดแฟงไว้แน่น สองคนสบตาและยิ้มให้กันอย่างเปี่ยมกำลังใจ
ในเต้นท์จอกยีโบ ค่ายวิเศษไชยชาญ ใจลืมตาฟื้นขึ้นมามองไปรอบๆเห็นทหารอังวะยืนเฝ้าอยู่
ใจพยุงร่างขึ้น จอกยีโบที่ก้าวเข้ามาใกล้ที่นอน
"ข้านึกว่าเอ็งตายไปแล้ว เอ็งไปช่วยพวกระจันทำไม"
จอกยีโบตะคอกถาม ใจยังไม่ทันตอบ จอกยีโบตบหน้าใจอย่างแรง ใจหน้าสะบัด
"เพราะสไบ ผู้หญิงโยเดียที่เปลี่ยนใจเอ็งใช่ไม๊"
"ข้าช่วยพวกบ้านระจันเพราะพวกเขาช่วยข้า พวกเขาไว้ชีวิตข้า"
จอกยีโบตบหน้าใจอีกสองฉาด เลือดซึมออกจากปากใจ
"ข้าอยากจะตัดหัวเอ็ง ไอ้คนทรยศ"
"สยายิงข้าไปแล้ว"
"ทำไมเอ็งไม่ตายเสียตอนนั้น"
ใจเงยมองจอกยีโบ ประสานสายตาตรงๆ
"ถ้าอยากให้ตาย ทำไมถึงพาข้ากลับมา"
"ข้าเลี้ยงเอ็งมากับอูทิน เห็นเป็นลูกคนนึง"
"สยาไม่เคยเห็นข้าเป็นลูก สยาเห็นข้าเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ฝึกให้ข้าแกร่ง...เพื่อไว้ใช้งาน"
จอกยีโบชักดาบขึ้นมาจ่อคอ แต่ใจมองนิ่งไม่สะทกสะท้าน
"บุญคุณสยายิ่งใหญ่ท่วมหัวเด็กกำพร้าอย่างข้า ฟันเถอะสยา ข้าดีใจที่ได้กลับมาตายด้วยมือคนที่ป้อนข้าวป้อนน้ำ"
ใจมองจอกยีโบด้วยสายตายอมตาย ใจนิ่ง จอกยีโบฟันขวับลงเฉียดร่างใจ
"ข้าให้คนลากเอ็งกลับมา เพราะทุกอย่างที่เอ็งรู้จะทำให้เราวางแผนหักค่ายบ้านระจันได้"
ใจมองจอกยีโบที่สั่งเด็ดขาด
"ชุกคยีนายกองมอญ กำลังเดินหน้าป้อมปืนใหญ่เข้าใกล้ค่ายระจันแล้ว...ค่ายบ้านระจันมันต้องแหลกสิ้นชื่อ ในอีกไม่กี่วันนี้แน่นอน"
จอกยีโบหันหลังเดินออกไป ใจฟังแล้วนั่งนิ่ง ตัวชา
ขาบที่กำลังงัดเชือกที่เคยผูกใจหลุดออก สไบกับเฟื่องยืนมองอยู่ด้านหลังขาบ
"ฉันจะถือว่าฉันกับพี่ใจตายจาก สิ้นวาสนากันแค่ชาตินี้"
"ดีแล้วสไบ ...ใจ มันเป็นศัตรู ทุกอย่างที่ทำ..ก็เพื่อพวกมัน" ขาบบอก
"แต่ฉันรู้ ... พี่ใจรักสไบด้วยใจจริง" เฟื่องบอก
สไบมอง เฟื่องเดินเข้ามากุมมือให้กำลังใจ
"ถ้าทำเพราะหน้าที่ พี่ใจคงเผาค่ายนี้ไปเสียตั้งนานแล้ว แต่หัวใจเขาอยู่ที่สไบ พี่ใจถึงรั้งรอ ไม่กล้าจะลงมือ"
สไบยืนยัน
"เรารักกันไม่ได้อีกแล้ว"
"รักเถิด สไบ"
สไบมองเฟื่องที่ยิ้มให้กำลังใจ
"หัวใจรักใช่บังคับด้วยเหตุด้วยผล รักก็คือรัก พี่ใจเองก็รู้ข้อนี้ดี"
"แต่บุญคุณแผ่นดินสำคัญกว่ารัก ชาตินี้เราไม่อาจเคียงคู่กันได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นคนไท เกิดมาร่วมแผ่นดิน ได้รักกันอีกสักครั้งเถอะ"
เฟื่องปลอบและมองสงสาร สไบมองไปไกล กลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจไว้อย่างที่สุด
ใจที่แต่งตัวเช่นทหารคนอื่นๆ ก้าวออกมาจากที่พัก มองไปรอบค่าย เห็นทหารกำลังคุมเชลยไทยทำงานสร้างค่ายอย่างหนัก
เชลยไทยหลายคนถูกทุบตี หลายคนถูกเจาะตรวนไว้ที่เอ็นร้อยหวาย เดินลากขาด้วยความเจ็บปวด เชลยไทย ชายแก่คนหนึ่งแบกไม้ไม่ไหว ทหาร 2 คนเข้าไปรุมทุบตี
ใจเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปห้าม
"หยุด"
ทหารมองใจแล้วถอย ใจมองเชลยที่ล้มพับไปกับพื้น แล้วดึงแขนขึ้นมา เชลยไทยชายแก่มองใจ แล้วเดินเลี่ยงไปทางที่เชลยไทยรวมกันอยู่ เชลยพอเห็นใจที่เป็นทหารมองมา ก็พากันเดินหนี ใจสีหน้าอึดอัด ทหารอังวะมองมาที่ใจด้วยสายตาแปลกประหลาดที่ใจช่วยเชลย แล้วพากันเดินไป
ใจที่ยืนอยู่ท่ามกลางความอึดอัด สับสน
แฟงเปิดหม้อนึ่งขนมใส่ไส้ที่กำลังสุก มีลำดวนกับเด็กๆที่อยากกินเต็มแก่
"หลีกไปไกลๆร้อนนะ...ไปนั่งตรงโน้นแล้วพี่แฟงจะยอมให้กิน ใครดื้อ..อด"
เด็กๆพากันรีบวิ่งไปนั่งรอที่แคร่ แฟงยกขนมใส่ไส้มาให้ แกะป้อนอย่างมีความสุข
ทัพตักน้ำมาเทใส่ตุ่ม มองอย่างมีความสุข แฟงหันมามอง ทำหน้าดุใส่ ทัพทำท่าว่าเขาอยากมีลูกแบบนี้ 3คน แฟงส่ายหัว ทำท่าคนเดียว ทัพต่อลองเหลือสอง แฟงส่ายหน้า ยืนยันคนเดียว
เด็กๆเห็นแฟงช้า จึงแย่งห่อขนมในมือไป แฟงทำท่าให้ทัพดูว่า...เห็นมั้ย เด็กซนอย่างนี้เลี้ยงไม่ไหวหรอก ทัพหัวเราะชอบใจ
สุกี้นายกองกำลังวางแผนอยู่กับนายกองคนอื่นๆ จอกยีโบมองสุกี้นายกองด้วยสายตาเห็นด้วย
ใจก้าวเข้ามา ทุกคนหันไปมอง ใจมองหน้าสุกี้ จอกยีโบมองวัดใจ
ในอดีต ใจกับชินอ่องเมื่อตอนอยู่สำนักดาบอังวะ ชินอ่องร่ายทวนดูน่ากลัว ใจ - เจิด - ชินอ่อง อาบน้ำว่านด้วยกัน เจิดบอกให้ใจอย่าใจอ่อน เนเมียวสีหบดีให้ทหารคนสนิทมารับตัวชินอ่องไปจากสำนักดาบอังวะ
ชินอ่องปลอมตัวมาพบใจอยู่เสมอ แต่เป็นมุมด้านหน้า เพราะก่อนนั้นเห็นแต่ด้านหลังกับรอยสัก
ใจเดินตรงเข้ามามองค่ายบางระจันจำลองที่อยู่บนกระดานแผนการรบ ใจตัดสินใจเข้านั่งประจำที่ สุกี้มองใจนิ่ง
"หอปืนใหญ่เราเดินหน้าเข้าใกล้ระยะยิงเต็มทีแล้ว ใกล้เวลาที่เราจะได้เห็นค่ายบางระจันมันย่อยยับลงต่อหน้าต่อตาเสียที ข้าจะเอาปืนใหญ่ยิงทำลายขวัญมันให้กระเจิง แล้วเอากองทหารบุกล้อมเข้าไปพร้อมกันทุกทิศทุกทาง ทีนี้ก็คอยดู...แม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มีวันเล็ดลอดออกมาได้"
ใจมองทุกคนแล้ว นิ่งอยู่อึดใจ แล้วก้มมองแผนผังจำลองบนกระดาน
"ไม่ต้องใช้กำลังล้อมค่ายขนาดนั้น เข้าตีแค่เพียงด้านหน้าทางเดียว พวกระจันก็รักษาค่ายไม่ได้แล้ว"
ใจเลื่อนที่เป็นปืนใหญ่อ้อมมาวางด้านหน้าระเนียดจำลอง จอกยีโบแย้งขึ้นทันที
"แต่เจ้าเคยแจ้งว่ามันมีทางเข้าออกหลายทาง รอบค่าย"
สุกี้มองใจอย่างระแวงใจ ใจยังสีหน้าปกติ ไม่มีพิรุธ
"พวกค่ายบ้านระจันทำทางเข้าออกหลายทางไว้หลอกพวกเรา" ใจขยับทัพสุกี้ใหม่ "ทำลายจากทางด้านหน้า ตรงเข้าใจกลางค่าย เป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุด ไม่ต้องเปลืองแรงทหาร ค่ายบางระจันไม่มีปืนใหญ่ พวกเราสามารถล้อมจับมันมาเป็นเชลยได้ไม่ยาก"
"ทำอย่างเจ้าว่า พวกที่ไม่คิดสู้ก็หนีออกทางด้านหลังได้"
"เขาไม่สู้ก็ปล่อยให้เขาหนีไปซิ"
สุกี้นายกองบอก
"ข้าไม่ปล่อย ไม่ต้องการเชลย"
ใจตกใจ มองสุกี้ตาวาวทันที
"ศึกนี้..เนเมียวไม่ต้องการให้คนในบางระจันรอดไปได้แม้แต่ชีวิตเดียว เราจะไม่เก็บใครไว้เป็นเชลย"
ใจรู้ทันทีว่าจอกยีโบ และสุกี้ทำได้จริงๆ
"ข้าอยู่ในกรุงศรีมาหลายปี ข้ารู้จักพวกมันดี คนไทรักอิสระ พวกมันจะสู้จนตัวตาย แต่จะไม่ยอมเป็นทาสใคร"
ใจมองสุกี้ที่ประเมินทุกอย่างไว้แล้ว
"เราไม่ควรเอามันไว้ ข้าจะถล่มค่ายบ้านระจันให้แหลก...ฆ่ามันให้หมดทั้งค่าย แม้เด็กกินนมก็จะไม่ให้เหลือ...ด้วยปืนใหญ่นี้"
สุกี้ขยับปืนใหญ่กลับมาล้อมค่ายบางระจันด้านข้างไว้เหมือนเดิม
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
ในเรือนค่าย แท่นนอนสงบนิ่ง ศพตั้งอยู่กลางห้อง ทุกคนนั่งซึมล้อมรอบ คนที่ตำแหน่งน้อยก็จะนั่งอยู่นอกห้อง บางคนยังร้องไห้ไม่หยุด
พระอาจารย์ธรรมโชติ เดินเข้ามาเงียบๆ ทุกคนเห็นก้มลงกราบ พระอาจารย์เดินไปนั่งที่ตั่งมุมห้องเหนือเตียงเงียบๆ
โชติบอก
"สิ้นบุญพ่อแท่นแล้ว ขวัญชาวค่ายระจันคงฝ่อ หมดกำลังใจสู้กับพวกอังวะแล้วหลวงพ่อ"
"เราคงปลุกพ่อแท่นขึ้นมามิได้อีก คนที่อยู่นี่แหละจะต้องคิดต่อ ถ้าไม่สู้ก็หนีเข้าป่าไป" หลวงพ่อบอก
"ถ้าเข้าป่า ก็หมายว่าเรายอมยกแผ่นดินนี้ให้ไอ้พวกอังวะง่ายๆ"
"แล้วลูกหลานเราก็จะกลายเป็นเชลย กลายเป็นคนอาศัยแผ่นดินคนอื่นอยู่"
ทองแก้วบอก
"ฉันไม่มีวันยอม"
"ฉันก็ไม่ยอม ฉันจะอยู่ที่ค่ายนี้ ที่นี่คือบ้านที่ฉันเกิด ฉันไม่หนีไปไหน" ทองแสงใหญ่บอก
โชติบอก
"พ่อแท่นพาพวกฉันมาอยู่บางระจันก็เพราะจะช่วยกันรักษาแผ่นดินปู่ย่าตายายไว้ จะให้ฉันหนีเข้าป่า ก็เท่ากับฉันทรยศคำที่ให้พ่อแท่นไว้"
ดอกไม้บอก
"พวกฉันเคยหนีเข้าป่ามาแล้ว จะไม่มีวันตาขาวอย่างนั้นอีก"
หลวงพ่อธรรมโชติบอก
"แล้วพวกผู้หญิงกับเด็กๆล่ะ จะให้เขาไปอยู่ไหน จะให้เขาสู้ด้วยอย่างนั้นหรือ"
ทุกคนเงียบ
"อาตมาเป็นแค่พระ เป็นผู้อุทิศตนอยู่ใต้คำสอนของพระพุทธโคดม การจะแสดงความคิดเห็นให้คนฆ่าฟันกันนั้น...ไม่ใช่กิจของอาตมา"
พันเรืองบอก
"ขออย่าให้บาปของพวกเรา ไปเปื้อนชายจีวรของพระคุณเจ้าเลย พวกเราตั้งมั่นแต่แรกแล้วว่าเราจะไม่หนี เราสร้างค่ายรวมชีวิตกันมา...ด้วยมีจุดประสงค์ร่วมกันว่าจะพลีชีพ รักษาแผ่นดินเกิดไว้ให้ลูกหลาน"
"ขอพระคุณเจ้าอย่าข้องแวะกับกิจนี้เลย เราจะประชุมชาวค่ายทั้งหญิงและชายเองว่าใครคิดจะอยู่ หรืออยากจะไป แล้วแต่สมัครใจ ส่วนพวกข้าตรงนี้ เห็นที่จะขอตายลงทีนี่" ทองแสงใหญ่บอก
ทองแสงใหญ่ก้มลงกราบพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นคนแรก คนอื่นๆคิดได้ แล้วก้มลงกราบทีละคนๆ
พระอาจารย์ธรรมโชติมองทุกคนนิ่ง....เหมือนกำลังบริกรรมคาถาอยู่เงียบๆ พวกทัพมองด้วยความสะเทือนใจ
แฟงนั่งร้องไห้เสียใจอย่างหนัก คอยทัพอยู่หน้าบ้าน ทัพเดินเข้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่พูดอะไร แฟงหันมาซบไหล่ร้องไห้ต่อ โดยไม่ได้กอดกัน
"พ่อแท่นเป็นคนพาฉันมาอยู่บางระจันนี่ ไม่มีพ่อแท่น ฉันก็จะไม่ไปไหน ฉันจะไม่หนีไปไหนแล้ว"
"แล้วแม่...แม่ของเราทั้งสองคนจะทำอย่างไร แกทั้งสองคนแก่แล้ว คงไม่มีแรงจับดาบสู้พวกมันดอก พี่อยากให้แฟงพาแกไปอยู่ที่อื่น"
แฟงขยับหน้ามามองทัพอย่างไม่แน่ใจ แต่ทัพยังคงนั่งมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ไม่กล้าสบตาแฟง
"พี่พูดจริง พี่สงสารแม่ สงสารแฟง เราไม่มีทางเลือกดอกแฟง พรุ่งนี้พ่อค่ายจะเรียกประชุม แฟงต้องตัดสินใจ"
ทั้งสองต่างกอดกันร้องไห้
รุ่งกำข้าวสารก้นกระบุงขึ้นมองด้วยสายตาหนักใจที่ข้าวเหลือไม่มาก..แต่ก็ตัดสินใจโกยลงกระบอก
ชาวบ้านอีกหลายคนต่างช่วยกันเก็บข้าวของ อาหารแห้ง ถ้วยชามหม้อไหใส่ห่อผ้า
ปริก ปลวก โปรย เดินยกกระจาดข้าวสารจะมาเก็บ เห็นเงาคนตะคลุ่มๆอยู่ก็ตกใจ
"ใคร...มาทำอะไรในครัวนี่" ปริกถาม
รุ่งและทุกคนชะงัก
"ฉันเองแม่ปริก ปลวก โปรย" รุ่งบอก
"มาทำลับๆล่อๆอะไรกันนี่แม่รุ่ง" ปลวกถาม
"ฉันขอข้าวสารก้นกระบุงนี่เถอะนะ ฉันจะไม่อยู่ที่ค่ายระจันนี่ต่อไปแล้ว"
โปรยบอก
"จะออกจากค่ายไปจริงๆหรือแม่รุ่ง ข้างนอกมีแต่พวกข้าศึกอยู่ทุกหย่อมหญ้า อยู่ที่นี่ยังช่วยกันได้นะ"
"อยู่ไม่ไหวแล้ว มันยิงปืนใหญ่มาใส่ทุกวันๆ อกสั่นขวัญแขวนหมดแล้ว นี่..ข้าวปลาอาหารก็งวดลงทุกที จะออกไปเก็บไปหาอะไรนอกค่ายกินก็ไม่ได้"
ปริกบอก
"ออกไปนอกค่าย เท่ากับออกไปให้พวกมันจับเอาง่ายๆนะ"
"ออกไป อาจจะรอดหูรอดตาพวกมันได้ แต่ถ้าอยู่ในนี้ ไม่รู้จะตื่นมาโดนปืนใหญ่ตายวันไหน"
ชายแก่บอก
"อย่าโกรธพวกข้าเลยนะ พวกข้าต้องไป"
ปริก ปลวก โปรย มองอย่างเห็นใจ
ปลวกบอก
"งั้นเอาข้าวสารนี่ติดตัวไปอีกเยอะๆนะ ไว้หุงหากินกันกลางทาง"
ปลวกรีบดึงกระบอกข้าวมาเทเพิ่มให้อีก
รุ่งมองอย่างซาบซึ้งน้ำใจ รีบดึงกระบอกกลับ
"ไม่เอา พวกเอ็งเอาไว้เถิด คนในค่ายอีกตั้งมาก ข้าวยังต้องปล่อยให้แห้งคานา เก็บเกี่ยวอะไรกไม่ได้.....ข้าไปล่ะนะ"
"ข้าอยากไปกับพวกเอ็งจริงๆ แต่กลัวไปหมดแรงกลางทางเสียก่อน"
"คนเราต้องกล้าเสี่ยง อยู่ก็ตาย ไป..อาจจะรอด"
"บุญรักษานะแม่รุ่ง" ปลวกบอก
ปริก ปลวก โปรยได้แต่อวยพรมองตามด้วยสายตาเศร้าๆ รุ่ง ชาวบ้านพากันออกไป
รุ่งนำชาวบ้านหอบข้าวของ จูงลูกหอบหลาน เล็ดรอดมาในความมืด ตรงไปที่สะพาน สไบนั่งเหงาๆอยู่มุมหนึ่งเห็น รีบลุกมาหา
"พี่รุ่งจ๊ะ จะไปไหนกัน"
รุ่งสะดุ้งหันมามองสไบ ไม่ตอบ
"นี่พวกเราจะไปไหนกัน"
"ฉัน...ไม่อยู่นี่กันแล้ว"
"นี่พี่รุ่งจะออกไปจากค่ายระจันหรือ พี่รุ่งจะหนีไปอยู่ที่ไหน พวกอังวะมันเต็มทุ่งไปหมด"
"ก็ยังดีกว่างอมืองอตีนอยู่ในค่าย จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้"
"เรายังมีพ่อค่ายอีกตั้งหลายนายคอยปกป้องเราอยู่ อย่าออกไปเสี่ยงเลย"
"ฉันไม่เอาด้วยดอก พ่อแท่นก็ตาย พ่อทองเหม็นก็ตาย ไป..ไป พวกเราเดี๋ยวจะสางเสียก่อน"
รุ่งดึงคนอื่นๆตามตัวเองไป สไบพยายามรั้งไว้
"อย่าไปเลยพี่รุ่ง นอกค่ายยิ่งอันตราย อยู่ที่นี่กันก่อน"
รุ่งสะบัดสไบจนกระเด็น
"เอ็งก็รู้อยู่แก่ใจนะสไบว่า เรามิมีวันเอาชนะพวกอังวะได้ เอ็งจะให้พวกข้าอยู่สู้เพื่ออะไร ยศถาบรรดาศักดิ์อื่นใดข้ามิเคยอยากได้ จะอังวะหรือไทข้าก็เป็นแค่ไพร่ เอ็งจะให้พวกข้าอยู่รอให้มันเข้ามาฆ่า มันคุ้มหรือ"
รุ่งรีบพาพวกผู้หญิงออกไป สไบได้แต่มอง เข้าใจในเหตุผลของรุ่งดี
รุ่งลุยน้ำนำคนอื่นๆ 4-5 คน มาขึ้นฝั่งที่ห่างจากค่ายพอสมควร
"เราทวนน้ำขึ้นเหนือมาไกลแล้ว ขึ้นฝั่งตรงนี้เถอะ"
ทุกคนตามรุ่งขึ้นน้ำมา รุ่งพาทั้งหมดลุยป่าต่อ
"เดินเร็วๆ ถึงแถวนี้จะไม่มีพวกอังวะเราก็จะได้พ้นป่านี่ก่อนรุ่งสาง มา..เร็ว"
รุ่งเดินนำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเจอดาบอังวะปักขวางทางอยู่ รุ่งเดินมาหยิบดู สงสัย
"ดาบใครนี่ ดาบไทหรืออังวะ ดูทีซิ"
รุ่งยื่นให้ชายแก่ที่ตามมาดู
เสียงทหารอังวะดังขึ้น
"ดาบข้าเอง"
รุ่งหันไปตามเสียง เห็นทหารอังวะ 2-3 คน เดินออกมาจากข้างทาง รุ่งตกใจ หันหลังกลับ วิ่งหนีกระเจิง
"พวกอังวะ....ว้าย"
รุ่งวิ่งมาเจอกับทหารอังวะอีกกลุ่มใหญ่ ตกใจไม่รู้จะทำอย่างไร
"นายกองสุกี้บอก...ถ้าเจอพวกระจัน ให้ฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือ"
"ฉัน...ไม่ใช่คนระจัน อย่า...อย่า อยากได้อะไรเอาไปให้หมด"
ทหารอังวะไม่ฟัง ตรงเข้าฟันอย่างไม่ปรานีปราศรัย รุ่งกลัว ร้องไห้วิ่งหนีไม่คิดชีวิต ทหารอังวะตามไป 3 คน รุ่งวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ไม่สนว่าจะเป็นพงหนาม พงไม้ วิ่งฝ่าไปจนเป็นแผลขีดข่วนเต็มตัว
รุ่งวิ่งมาติดพงหนามแหลมไปต่อไม่ได้ พยายามดิ้น แต่ไม่หลุด ทหารอังวะวิ่งตามมา หยุดมองชอบใจ ถือดาบตรงเข้าหา รุ่งร้องขอชีวิตสุดฤทธิ์
"อย่าฆ่าฉันเลย ฉันกลัวแล้ว อย่าฆ่าฉัน อย่าเข้ามา"
"ตัดหัวมันส่งไปให้ไอ้พวกระจันดู"
รุ่งร้องไห้ ตัวสั่นจนน่าสงสาร แต่ไม่อาจหนีไปได้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ ทหารอังวะตรงเข้าตัดหัวรุ่ง ขาดกระเด็น.....
พ่อค่ายทั้งหมด นั่งประชุมลับ
พันเรืองบอก
“สุกี้นายกองมันฉลาดนัก ตั้งค่ายบัญชาการอยู่ที่ทุ่งขุนโลก แล้วสร้างหอปืนใหญ่ปืนไฟ เดินหน้ามายิงใส่ค่ายเราทุกวัน คนเราก็เจ็บตายมากขึ้น”
“ยิ่งเสียพ่อแท่น พ่อทองเหม็น ขวัญชาวค่ายก็กระเจิดกระเจิง” จันเขียวว่า
“ทุกวันนี้พวกเราคิดแต่จะอพยพพากันไปตายเอาดาบหน้า ไม่มีใครคิดจะอยู่ในค่ายเราอีกแล้ว”ทองแสงใหญ่บอก
ขุนสรรค์ออกความเห็นน
“เรามีแค่ดาบ มีดไม้ ปืนไม่กี่กระบอก เห็นจะทานปืนใหญ่ไว้ได้ไม่นาน ทางเดียวคือเราต้องมีปืนใหญ่ ยิงสู้กับมัน”
ทุกคนมองขุนสรรค์
“แล้วค่ายที่ทุ่งขุนโลกของพวกมัน ก็สร้างแน่นหนา ยากที่จะเข้าตีชิงเอาปืนใหญ่” โชติว่า
ทองแก้วบอก
“บุกไปชิงเอาปืนใหญ่พวกมัน ก็มีแต่จะเสียกำลังคน หากได้ปืนจากกรุงศรีมาช่วยศึกนี้ก็ไม่ยากที่จะชนะ”
ดอกไม้ถาม
“แล้วกรุงศรีเขาจะให้ปืนใหญ่เราหรือ”
เมืองบอก
“อย่าหวังว่าเขาจะให้ แค่จะเข้าไปอาศัยอยู่ในกำแพงเมืองเขายังไม่ยอม ข้าสงสารแต่คนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดง แล้วก็พวกผู้หญิงในค่ายนี้เท่านั้น ถ้าอังวะมันเข้ามาถึงในค่ายได้ เราจะป้องกันเขาอย่างไร”
ทุกคนมองที่เมืองอย่างหนักใจ
อินเสนอความเห็น
“ต้องมีคนพาเขาหนี...ก่อนที่พวกมันจะบุกมา”
“”พูดเช่นนี้ หมายความเราจะแพ้เช่นนั้นหรือ” จันเขียวว่า
โชติบอก
“ฉันจะสู้ตายอยู่ที่นี่..ไม่หนี ใครตาขาวจะเป็นคนพาหนีก็พาไป”
ทุกคนต่างมองหน้ากันว่าใครจะเป็นคนพาหนี
ทุกคนกำลังเถียงกันอยู่กลางลาน หน้าเรือนพ่อค่าย
ปลิวบอก
“ฉันไม่อยู่...ขืนอยู่ก็ตายซิ พวกแกดูสังขารฉันซิ จะไปจับดาบจับเคียวสู้มันได้ยังไง”
“พวกอังวะซุ่มอยู่ล้อมรอบค่ายเรา ออกไปก็ตาย”ดอกไม้ว่า
“แต่ค่ายเรากำลังจะแตก เราสู้มันไม่ได้ เราไม่มีปืนใหญ่”
“ใช่...แค่ดาบ จะสู้อะไรมัน” ปลวกว่า
ขุนสรรค์บอก
“เรากำลังคิดจะหาปืนใหญ่สู้กับมันอยู่”
“ปืนใหญ่...ปืนใหญ่ที่ไหนมี อย่ามาหลอกให้ฉันอยู่ต่อเลย ฉันไม่อยู่” โปรยว่า
เสียงชาวบ้านดังขึ้นเซ็งแซ่
“อย่ามาหลอกกัน ปืนไฟกระบอกเท่าวายังมีไม่ถึงสิบ จะเอาปืนใหญ่ที่ไหน แล้วใครจะยิง เรายิงกันไม่เป็นดอก ไม่เคยฝึก....ฉันไม่อยู่ดอก พ่อแม่ฉันแก่แล้ว”
“ขอพ่อแม่พี่ป้าน้าอาใจเย็นๆลงก่อน เอาอย่างนี้ ใครที่คิดจะไม่อยู่บอกมา”
ทุกคนเงียบ
โชติบอก
“ว่าไง...ใครจะไม่อยู่ ฉันจะพาหลบพวกอังวะมันขึ้นไปที่ป่าชัยนาทเองW
ทุกคนดีใจ หันมายิ้มให้กัน....
ปริกถาม
“แล้วถ้าเจอพวกอังวะละ”
ทุกคนหน้าเสีย
“ก็นั่นนะซิ....พ่อโชติคนเดียวคงสู้ไม่ได้ดอก เพราะพวกฉันจะรบอยู่ที่นี่”
โชติบอก
“แต่ฉันยอมตาย ฉันจะนำพ่อแม่พี่น้องขึ้นไปป่าชัยนาทเอง แต่ฉันไม่รับปากนะว่าพวกเราจะรอดไปถึงชัยนาท”
ทุกคนหันมาถามกันเซ็งแซ่ เพราะกลัวตาย
“พ่อโชติพูดอย่างนี้ได้อย่างไร พาหนีหรือพาไปตาย...ออกไปตายใครจะไป”
เมืองถามอีก
“ว่าไง..ใครจะไป”
คนอื่นๆยังตัดสินใจไม่ถูก แต่ปลิวเดินออกมา...
“ฉัน...แม่ฉันแก่แล้ว ลูกฉันก็ยังเล็ก ฉันไม่อยู่ที่นี่””
“เอ๊า..หนึ่งล่ะ ใครอีก ใครจะไม่อยู่” เมืองว่า
“ฉัน” ปริกว่า
ปลวกรับอีกคน
“ฉันก็ไม่อยู่”
โปรยบอก
“พวกฉันไม่ใช่คนระจัน ฉันไม่ตายที่นี่ดอก”
ชาวบ้านอีกเป็นสิบคนยกมือไม่อยู่ พวกพ่อค่ายต่างยืนนิ่ง เสียใจ
พวกทัพ แฟง มองอย่างเสียใจเหมือนกัน
“พวกนี้ไม่รักแผ่นดิน ถึงเวลาเข้าตาจนก็คิดแต่เอาตัวรอด นึกถึงตอนที่พวกพ่อๆเขาออกรบเอาชนะอังวะมาตั้งหกเจ็ดศึกซิ พ่อแท่นตายเพราะใคร พ่อทองเหม็นตายเพราะใคร ทำไมเวลานี้ถึงจะมาทิ้งเขาไป ทำไมไม่ช่วยกันรบ” แฟงบอก
ทัพเสียใจนิ่ง ไม่คิดห้ามแฟง
ปลิวบอก
“ก็พวกฉันรบไม่เป็น”
“ใครจะอยู่ดูแลพ่อแม่ฉัน....ใครจะเลี้ยงลูกฉัน...ผัวฉันฉันก็ไม่ให้อยู่รบ”
แฟงบอก
“งั้นก็ไป จะไปตายที่ไหนก็ไป ไอ้คนไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อน ไม่รู้คุณคน”
เฟื่องกับเฟี้ยมเข้ามาจับแฟงไว้
เฟี้ยมบอก
“พอแล้วแฟง ใครจะอยู่ใครจะไปก็เป็นความเต็มใจเขา เราต้องนึกถึงหัวอกเขาบ้าง”
แฟงทำอะไรไม่ได้ยืนร้องไห้
เสียงชาวค่ายเรียก
“พ่อค่าย...พ่อค่าย”
ทุกคนหันไปมอง....เงียบกริบ
พวกชายฉกรรจ์แบกแคร่ศพรุ่ง ที่มีแต่ร่างเข้าประตูรั้วมา มีศพอื่นๆอีก 2-3 ศพ มาวางกลางลาน
ทองแสงใหญ่และพ่อค่ายวิ่งออกมาดู...เห็นสภาพศพแล้วตกใจ ไม่มีศพไหนมีหัวติดร่างเลย
ทองแสงถาม
“อะไรกัน...ไอ้บุญ ทำไมศพถึงเป็นอย่างนี้”
“พวกอังวะ มันฆ่าตัดคอแม่รุ่งกับพวกที่แอบหนีออกจากค่ายไปเมื่อคืนนี้”
ทุกคนตกใจ กอดกันร้องไห้กลัว สไบตกใจเดินออกมาดูศพ
ทุกคนหันมามองสไบเป็นตาเดียว
ปลิวบอก
“ผัวนังนี่แหละ ผัวนังสไบมันเป็นใส้ศึก ไปบอกพวกมันให้มาฆ่าเรา”
สไบรู้สึกผิด ร้องไห้เสียใจ
“จวง..พาสไบกลับไปก่อน” สังข์บอก
จวงรีบเข้าไปประคองสไบออกไป
“เอาซิ...ทีนี้ใครอยากจะออกไปจากค่ายก็ไป ออกไปเลย ไปให้มันตัดหัวอย่างแม่รุ่งให้หมดเลย” แฟงบอก
ทุกคนเงียบ
“ที่นี้จะทำยังไงออกไปก็ตาย อยู่ในนี้ก็ตาย โธ่...พวกเรามารวมตัวกันตายแท้ๆ” ปริกบอก
ทุกคนพากันร้องไห้โฮ เสียงดังระงม
ทัพเดินออกมากลางลาน เสียใจมาก
“ฉันขออาสาไปขอปืนใหญ่ที่กรุงศรีเอง”
ทุกคนมองทัพ
“ฉันเคยเป็นทหารอาทมาตของจหมื่นศรีสรรักษ์ พ่อฉันเคยเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ฉันจะไปขอปืนใหญ่พระองค์ที่กรุงศรีอยุธยาเอง”
จันทร์ กับจวงตกใจวิ่งเข้าหาทัพ
“ทัพ..ทัพจะฝ่ากองทัพอังวะออกไปถึงกรุงศรีได้อย่างไร กองทัพหลวงมันเต็มทุ่งล้อมกรุงอยู่เป็นแสนเลยนะลูก”
“ฉันจะไปจ๊ะแม่...ฉันต้องไป ไม่งั้นค่ายบางระจันเรายับแน่”
“พี่ทัพ...ถ้าพี่ไปไม่ถึงกรุงศรีล่ะ” จวงถาม
“ก็ถือว่าวาสนาชีวิตพี่ ได้ตอบแทนคุณแผ่นดินได้เพียงแค่นี้ พี่ฝากแฟงด้วยนะจวง”
แฟงยืนร้องไห้ ไม่เข้ามาหาทัพ ต่างคนต่างมองกันด้วยความรักและห่วงใยกัน...อย่างที่สุด
ทองแสงใหญ่ พันเรือง จันหนวดเขี้ยว และพ่อค่ายคนอื่นๆเดินเข้ามาหา
ทองแสงบอก
“พวกข้าขอบน้ำใจเอ็งนักไอ้ทัพ...ถ้าพวกเรามีบุญ เอ็งคงได้ปืนใหญ่มา”
ชาวบ้านทุกคนร้องไห้ ไม่มีใครคิดจะออกไปจากค่ายอีก
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 14 (ต่อ)
สังข์ ขาบมองทัพที่กำลังเตรียมอ้ายเลา
“เอ็งจะฝ่าค่ายของพวกมันที่ตั้งอยู่รายทาง ลงไปถึงกรุงศรีเชียวหรือ ไอ้ทัพ” สังข์ถาม
“ข้าต้องไป ปืนใหญ่จากกรุงศรีเท่านั้นที่จะช่วยให้ค่ายเราทานกำลังมันได้”
“ข้าจะไปกับเอ็ง” ขาบบอก
“ไม่ต้อง พวกเอ็งสองคนต้องช่วยพ่อค่ายดูที่นี่ ไอ้ใจมันหนีไปได้ พวกเรายิ่งต้องระวัง”
สังข์กับขาบยังสีหน้าไม่ดี
“ข้ากับอ้ายเลาจะเอาปืนใหญ่กับทหารกรุงมาช่วยพวกเราที่นี่ แต่ตอนไม่อยู่ ข้าอยากจะฝากแฟง”
“เอ็งไม่ต้องห่วง แฟงก็เหมือนน้องสาวข้าคนนึง” สังข์บอก
“เพลานี้มีแต่คนอยากหนีออกจากค่ายไปทุกวัน”
ทัพเอ่ยขึ้น สังข์มองอย่างเข้าใจ
“เอ็งอยากให้แฟงมันออกไปจากค่ายรึ แต่ข้าเดาไม่ผิดหรอก แฟงมันไม่ยอมไป”
“ถ้าแฟง เฟื่อง จวง สไบจะพาพวกผู้หญิงออกจากค่ายเสียก่อน ข้าอาจจะห่วงน้อยกว่านี้”
ขาบถาม
“เอ็งทนได้จริงๆหรือ ทัพ ที่จะต้องห่างแฟง”
“ไม่ได้”
“ข้าก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยเฟื่องห่างตัว เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ขอให้ได้อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นหน้ากัน” ขาบบอก
“ข้ารู้ว่าจากเป็นมันทุกข์แค่ไหน ตอนที่ข้ายอมไปอยู่ในค่ายอังวะ ให้มันทรมานข้าหนักหนาแค่ไหน ใบหน้าเดียวที่ข้านึกถึงทุกลมหายใจคือ จวง”
“เอ็งไปเอาปืนใหญ่มาให้ได้เถอะไอ้ทัพ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้าสองคนจะช่วยดูแลแฟง รอข่าวดีจากเอ็งกลับมา”
ทัพยิ้มมองขาบกับสังข์ที่ให้สัญญา
พวกพ่อค่าย และทุกคนยืนรอทัพอยู่กลางลาน ทัพเดินเข้ามาไหว้พวกพ่อค่าย มีสังข์จูงม้า ขาบถือดาบตามมา ทุกคนรู้ว่าทัพจะออกไปขอปืนใหญ่ที่กรุงศรี ต่างมองด้วยสายตาห่วงใย
“ความกล้าของเอ็ง จะเล่าขาน จะจดจำไปชั่วลูกชั่วหลานไอ้ทัพ” พันเรืองว่า
“ฉันไม่ต้องการคำสรรเสริญใดใดเลยจ้ะ พ่อค่าย ขอแค่ให้ได้ปืนใหญ่จากกรุงศรีกลับมาช่วยต้านศึก”
ทองแสงใหญ่บอก
“กรุงศรีคงเห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เอ็งไปบอกท่าน ท่านก็คงให้กองทหารมาช่วยรบด้วย”
ทุกคนฟังด้วยสีหน้ามีความหวัง
เฟี้ยมบอก
“พวกเราไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเลย ที่อดทนสู้ศึก หลบระเบิดกันไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งหมดนี่...ก็เพื่อแผ่นดินของเรา”
นางจันทร์มองแล้วกอดทัพไว้
“คนดีพระต้องคุ้มครอง ไปเถิดลูกแม่ เกิดมาชีวิตเดียว ได้ทำดีตอบแทนแผ่นดินนับว่าสมชาติเกิดแล้ว เอ็งเกิดมาเป็นลูกแม่...แม่เลี้ยงเอ็งมา ลมหายใจนี้มีค่าเหลือเกินแล้ว”
ทัพมองแม่ด้วยสายตาปลาบปลื้มใจ ก้มลงกราบที่เท้า แล้วเดินมาที่ม้า ขาบ ยื่นดาบให้
ทัพรับมาสะพาย จะขึ้นม้า...หันมามองแฟง
แฟงผวาเข้ามากอด...ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยด เหมือนแฟงกลั้นไว้
“ขอให้พี่รอดปลอดภัย แฟงจะคอย”
ทัพพยายามไม่แสดงความห่วงใยให้แฟงเห็น จูบที่หน้าผาก ยิ้มให้ แล้วกระโดดขึ้นม้า
พันเรืองสั่ง
“เปิดประตูค่าย”
ประตูค่ายเปิดออก ทัพควบม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนมองตามอย่างเอาใจช่วย จนเมื่อทัพควบออกไปไกลลิบตาแล้ว ประตูค่ายก็ปิดลง
ทัพควบม้าออกจากประตุ มุ่งสู่กรุงศรีไปอย่างรวดเร็ว
แฟงเดินเข้ามากับเฟื่อง แล้วรู้สึกเวียนหัว โลกหมุนติ้ว จนโงนเงน เซไปชนรั้วบ้าน
“แฟง”
แฟงฝืนยิ้ม
“ไม่มีอะไรจ้ะ”
“หน้าเอ็งซีดๆนะ แฟง” เฟื่องว่า
“ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็คงหาย”
แฟงเดินเร็วมาหยุดลงหน้าเรือน แล้วยืนโก่งคอ อาเจียน เฟื่องเดินตามมาด้านหลังลูบหลังให้น้องสาว แฟงหันมามอง
“ระดูขาดใช่มั้ย แฟง”
“จ้ะ ฉันเวียนหัว”
เฟื่องอมยิ้ม แฟงมองสงสัย
“พี่เฟื่องยิ้มทำไม ฉันไม่ได้ปดนะ ใจฉันมันหวิวๆ แต่ไม่ใช่ว่าฉันกลัวศึก”
“พี่รู้ว่าแฟงเป็นอะไร”
แฟงมองพี่สาว เฟื่องยิ้ม
“แม่กับพี่กำลังจะมีหลานตัวเล็กๆ”
เฟื่องเอามือแตะลงไปที่ท้องแฟง
“อยู่ในนี้”
แฟงยิ้มตื่นเต้น
“จริงหรือจ๊ะ จริงหรือพี่เฟื่อง”
เฟื่องโอบกอดน้องไว้ด้วยความดีใจ
“นี่พี่ทัพยังไม่รู้ใช่มั้ย”
แฟงนิ่งลง ส่ายหน้า
“ถ้าพี่ทัพนำปืนใหญ่กลับมารู้เข้า...ต้องดีใจมากเลย”
แฟงกลับรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
สไบนั่งแกะห่อดาบของพ่อ ร้องไห้อยู่ที่ชานเรือน
“ต่อไปนี้ ฉันจะฆ่าพวกอังวะทุกคนที่เข้ามาเหยียบแผ่นดินเรา ฉันจะขอตาย ล้างคำว่าผัวฉันฆ่าคนไท จะขอตายอยู่ที่ค่ายนี้”
“ชาวบ้านพวกนั้นมันขี้ขลาด มันก็พูดไปตามปาก พี่สไบอย่างเก็บมาคิดให้รกหัว” จวงบอก
“ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่า...ทำไมคนเราถึงได้เกลียดชังกันจนฆ่าแกงกันได้ แต่เวลานี้ ฉันรู้แล้วว่าทำไมคนเราต้องฆ่ากัน”
“ทำไมหรือ”
สไ”เราต้องฆ่ากันเพราะคนอื่น เราเกลียดคนอังวะเพราะเขาฆ่าพ่อแม่พี่น้องเรา ฉันต้องฆ่าคนอังวะเพราะพี่ใจทรยศต่อคนบางระจัน ทำไมเราต้องฆ่ากันด้วยจวง”
สไบสุดจะทน ยิ่งร้องไห้หนัก จวงต้องเข้ามากอด
“จวง...ต่อไปนี้ฉันต้องจับดาบฆ่าคนแล้ว ฉันต้องฆ่าคนโดยที่ไม่เคยคุย ไม่เคยรู้จัก ฉันต้องฆ่าเขาเพราะเขาเกิดมาเป็นคนอังวะ”
“ถ้าเราไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเรานะ”
“พี่ใจไม่เคยคิดฆ่าฉัน แต่ฉันจะฆ่าเขาเอง...ฉันจะฆ่าพี่ใจด้วยมือฉันเอง จวง”
จวงรู้สึกขนลุก หนาวไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก
ใจเดินมาหยุดยืนมองไปทางค่ายระจันอย่างครุ่นคิด จอกยีโบเดินมาด้านหลัง
“อย่าพยายามคิดช่วยพวกบางระจัน อย่าใจอ่อน อองนาย”
“สยาสอนข้ากับชุกคยีให้เชื่อมั่นแต่การฆ่า เชื่อในวิถีแห่งชัยชนะ แพ้ใครไม่ได้ แต่ข้า...ค้นพบสิ่งหนึ่งที่สยาไม่เคยสอน”
“อะไร”
“การให้อภัย”
“อองนาย แกคิดจะเปลี่ยนคำสั่งข้า”
“สยา...อย่าให้ข้าเข้าไปช่วยวางแผนอะไรอีก ยิ่งข้ารู้มาก ข้ายิ่งมั่นใจ...คนบางระจันนั้นประเสริฐนัก ข้าอยู่ที่นั่น ข้ารู้จักพวกระจันทุกคน รู้จักมันทั้งความคิด ทั้งหัวใจ ถึงเราจะชนะ...แต่เรามีแต่จะเสียใจ”
“อองนาย แกเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่น่าส่งแกเข้าไปอยู่กับพวกมันเลย มันกล่อมแกจนกลายเป็นพวกมัน แกจะไม่ช่วยข้าก็ได้ แต่แกห้ามทรยศต่อแผ่นดินอังวะ..ของเรา”
จอกยีโบโกรธ หันหลังเดินออกไป ใจหันกลับมาสีหน้าครุ่นคิดกับตัวเอง
“สไบ ค่ายบ้านระจันคงไม่รอดน้ำมือสยากับชุกคยีในอีกไม่กี่มื้อวันนี้แน่ พี่ต้องพาสไบออกมาให้ได้”
จวงวิ่งถือพวงมะยมที่เพิ่งสอยมาใหม่ๆ แฟงกำลังอาเจียนลงกระโถน มีเฟื่องคอยลูบหลัง
จวงรีบคลุกเกลือ พริกในถ้วย แล้วยื่นให้
แฟงหยิบมะยมกัดกิน สีหน้าอร่อย เฟื่อง จวง มองแบบขนลุกกับความเปรี้ยว แต่แฟงกินหน้าตาเฉย
“หลานฉันจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” จวงถาม
“มาพนันกันมั้ย ฉันว่า อีหนู”
“พี่ว่าไอ้หนู” เฟื่องว่า
จวงถาม
“แฟง แฟงอยากได้ลูกสาวหรือ”
แฟงยังไม่ทันตอบ ก็อาเจียนอีก เฟื่อง จวงพากันลูบหลัง ตักน้ำให้ล้างปาก เฟื่องประคองแฟงนั่ง
จวงคอยบีบนวด ช่วยกันดูแลแฟงกันแบบประคบประหงม
ทัพควบอ้ายเลา บึ่งเร็วทะยานไปข้างหน้า
“หากนักรบบ้านระจันจะสิ้นชีวิต วอดวายจนหมดค่าย ข้าก็หาน้อยใจไม่ ขอให้ได้สู้กัน ให้มีปืนใหญ่..ได้ตั้งกราดยิงตอบโต้ให้สมหน้าเท่านั้น “
กองทหารอังวะกำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ 4-5 กระบอก มีทหารกำลังสับเวรยามกันไปมาคึกคัก สุกี้พระนายกองบนหลังม้า มีใจร่วมขบวนมากับจอกยีโบ ควบออกจากค่ายมาหยุดลงที่หน้าหอสูง ซึ่งมีปืนใหญ่ตั้งอยู่บนหอปืนหลายกระบอก
จอกยีโบบอก
“พรุ่งนี้..หอปืนใหญ่เราก็จะเคลื่อนเข้าในระยะยิงแล้ว”
“ดี...ข้าจะรอให้หอปืนเคลื่อนมาพร้อมกันทั้งสามค่าย แล้วจะระดมยิงทีเดียวให้มันแหลกสมใจท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี”
ใจมองปืนใหญ่หลายกระบอกที่หันหน้ายิงไปทางค่ายบ้านระจัน ด้วยสีหน้าวิตก
ทัพควบอ้ายเลาวิ่งลัดเลาะป่าอย่างเร็ว ไม่มีหยุดพัก
“ค่ายระจัน...มันเป็นแค่บางบ้านนอกที่ไร้สมบัติ อาวุธก็หากันตามมีตามได้ พวกอพยพหนีร้อนก็มีแต่ผ้าพันกายมากับพร้าเล่มเดียว เพลานี้จำต้องนั่งให้เขายิงนั่งคอยวันตาย แต่ไม่มีหนี ไม่มีทิ้งค่าย คงต้องกลายเป็นซากศพเกลื่อนค่ายดังว่า.. หากต้องตาย ข้าขอยึดค่ายระจันนี้เป็นป่าช้าฝังผีเสียจะดีกว่า”
ชาวค่ายบางระจันกำลังทำงาน และนั่งหงอยเหงา ทุกคนดูไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้
ลูกปืนใหญ่ตกตูมลงมากลางค่าย เปลวไฟลุกวาบ ไฟไหม้ติดเรือนชาวค่าย เสียงหวีดร้อง เสียงชาวบ้านวิ่งหนีตายดังอลหม่าน กรีดดังในความมืด เปลวไฟโหมลุกติดแดงวาบ ลมพัดแรง ชาวค่ายพากันวิ่งหนีตายท่ามกลางเปลวเพลิง
ลูกปืนใหญ่อีกลูกลอยเข้ามาซ้ำ ตกลงพื้น ระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
แฟงสะดุ้งพรวดลุกขึ้น
“ไฟไหม้ ไฟไหม้ค่าย”
เฟื่องที่นอนอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมองแฟงที่เหงื่อกาฬเต็มหน้า
“แฟง .. ไม่มีอะไร ไม่มีไฟไหม้”
“”ฉันฝัน พี่เฟื่อง ฝันร้าย ..ฉันเห็นแสงไฟลุกไปทั้งค่าย”
แฟงมองพี่สาวสีหน้าตระหนกสุดขีด
เฟื่องส่งขันน้ำให้แฟงล้างหน้า แฟงเอาน้ำเย็นลูบหน้า เฟื่องมองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ แฟง”
“ป่านนี้ ไม่รู้พี่ทัพจะถึงกรุงศรีรึยัง” แฟงยกมือไหว้ฟ้าดิน “เจ้าประคุณ เจ้าป่าเจ้าเขา ขอเมตตาปกป้องคุ้มครองพี่ทัพให้แคล้วคลาดจากพวกอังวะด้วยเถิด”
เฟื่องยกมือไหว้ตาม
“ขอให้พี่ทัพได้ปืนใหญ่มาคุ้มครองพวกเรา และชาวบางระจันด้วย”
แฟงมองพี่สาวสีหน้ามีหวัง
ทัพควบอ้ายเลามาอย่างรวดเร็ว
“เร่งฝีเท้าอีกหน่อยเถิดอ้ายเลาเกลอยาก ข้ารู้ว่าเอ็งล้ามาก แต่เราต้องไปให้ถึงกรุงศรี เราต้องได้ปืนใหญ่ไปให้ค่ายระจัน”
ฝีเท้าอ้ายที่พยายามเร่งเต็มที่ ทัพควบอ้ายเลาต่อมาอีกหน่อย ก็เห็นทหารอังวะกรูกันออกมาจากสองข้างทางเต็มไปหมด ทัพดึงอ้ายเลาหยุดเกือบไม่ทัน ทัพชักดาบออกมาทันที
“เราอย่ายอมตายนะอ้ายเลา...เราต้องฝ่าไปให้ถึงกรุงศรีให้ได้”
อีกด้านหนึ่ง กองทหารอังวะก็กรูกันออกมาอีก ทัพไม่รอช้า ควบอ้ายเลาพุ่งไปข้างหน้าทันที
ทัพฟันตะลุยกองทหารอังวะจำนวนมากมายมหาศาล...ตรงไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
นายทหารม้าคนหนึ่งชักปืนออกมายิง กระสุนเฉียดทัพไปนิดเดียว...ทัพรีบเร่งอ้ายเลาตรงไปจนหลุดฝูงทหารทั้งหมด กองทหารม้าอังวะควบตามออกไปทันที
ทัพควบม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว กองทหารม้าอังวะยังติดตามมาอย่างไม่ลดละ ระดมยิงปืนเข้าหาทัพหลายกระบอก ทัพหมอบแนบตัวลงกับหลังอ้ายเลา
"พาข้าไปให้รอดนะอ้ายเลาเกลอร่วมตาย ขอข้าไปให้ถึงกรุงศรีเท่านั้น"
กองทหารอังวะควบม้าตามมา พร้อมกับระดมยิงมาไม่ยั้ง ทัพกับอ้ายเลากำลังจะหมดแรง ทหารอังวะควบม้าตามมาเต็มด้านหลัง
เสียงปืนใหญ่ ระดมยิงมา แต่ไปตกลงในกลุ่มทหารอังวะที่ตามมา ...หลายลูก ทัพตกใจ หันรีหันขวาง มองไปทางปืนใหญ่ เห็น...กองปืนใหญ่เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่บนเนิน กำลังยิงใส่ทหารอังวะไม่ยั้ง เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ยืนบัญชาการอยู่ ท่าทางสง่างาม
"ยิงสกัด ไล่มันไปให้หมด"
คราวนี้ทั้งปืนใหญ่ และปืนยาวคาบศิลา ต่างระดมยิงไปไม่ยั้ง จนนายทหารม้าอังวะ รีบสั่งทหารถอย
"ถอย...ทหาร ถอยกลับค่าย"
ทหารอังวะที่โดนปืนใหญ่ระดมยิง พากันควบม้าหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น
กองทหารม้ากรุงศรีฯควบนำเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ มาหาทัพที่ยังตกใจอยู่
เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์มองทัพนิ่ง พิจารณา ทัพโดดลงม้า ก้มกราบด้วยความดีใจ
"เป็นความกรุณาท่านเจ้าคุณเป็นล้นพ้น...ที่ช่วยชีวิตเกล้ากระผมไว้"
"เอ็งรู้จักข้าหรือ"
"ท่านเจ้าคุณ...เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์"
เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ จ้องมองทัพอย่างอยากรู้ว่า...เป็นใคร
อ่านต่อตอนที่ 15