xs
xsm
sm
md
lg

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 14

ทางด้านทิวัตถ์กำลังยืนต่อปากต่อคำกับปรมัตถ์อยู่ที่หน้าบ้าน เพราะฝ่ายหลังจะขอตัวลิลินกลับไป แต่เขาไม่ยอม

“ครอบครัวคุณเป็นคนทำร้ายลิน แล้วคุณยังจะให้ลินอยู่ที่นี่อีกงั้นเหรอ คุณคิดอะไรกันแน่”“ผมไม่เคยคิดจะทำอะไร นอกจากทำให้เธอปลอดภัย แล้วเธอก็ต้องอยู่กับผม”
ปรมัตถ์ยิ้มเยาะ
“อ๋อ ผมรู้แล้ว คุณต้องการล้างสมองลิน ต้องการให้ลินคิดว่าพวกคุณจิตใจงดงามเหมือนนักบุญ
แต่มือเปื้อนเลือด”
ขาดคำศุภารมย์ก็เดินนำลิลินเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอเป็นใคร?”
ทิวัตถ์รีบบอก “เขามาตามคุณลินให้กลับไปกับเขาครับ”
ลิลินมองปรมัตถ์ด้วยแววตาว่างเปล่า “จะพาลินไปไหนคะ?”
“ลินกลับกรุงเทพกับมัตนะ”
ศุภารมย์หันมาถามลิลิน “เพื่อนเธอเหรอ?”
ปรมัตถ์จะเดินเข้าไปหาลิลิน แต่ทิวัตถ์ขวางไว้
“บอกเขาไปสิลิน ว่าเรารู้จักกัน”
“ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ คุณกลับไปเถอะค่ะ”
ปรมัตถ์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกสติกลับคืนมาได้
“ก็ได้ลิน ลินจำมัตไม่ได้ไม่เป็นไร แต่มัตสัญญานะ ว่ามัตจะกลับมาพาลินออกไปจากนรกขุมนี้ให้ได้”
ศุภารมย์เหลืออด “มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ไม่มากเกินไปหรอก เพราะที่ผมรู้เรื่องของพวกคุณมา มันมีอะไรสกปรกมากกว่านี้เยอะ ดูแลตัวเองนะลิน”
ขาดคำก็ปรายตามองศุภารมย์อย่างรังเกียจ ก่อนจะเดินออกไป

ศุภารมย์สะดุดใจกับคำพูดของเขา

ปรมัตถ์ออกมาหน้าบ้านด้วยความโมโห ก่อนจะเจอนพกรยืนดักรออยู่

“ฉันไม่อยากเห็นแกที่นี่อีก”
“แกเป็นใคร? มายุ่งอะไรด้วย”
“ฉันคือคนที่ดูแลลินได้ดีกว่าแกไง”
อีกด้านหนึ่งลิลินแอบมองปรมัตถ์อยู่ที่หน้าต่างบ้าน

ขณะที่ศุภารมณ์ออกความเห็นว่าน่าจะให้ลิลินกลับไปพร้อมกับปรมัตถ์ แต่ทิวัตถ์ไม่ยอม
“ถึงเขาจะรู้จักกัน ยังไงผมก็จะเป็นคนดูแลเธอเอง”
ศุภารมย์ย้อนถาม “ถึงแม้ว่าเขาอาจจะสนิทและไว้ใจกันมากกว่าลูกน่ะเหรอ?”
“ตอนนี้ผมเชื่อใจใครไม่ได้อีกแล้วครับแม่”
จังหวะนั้นทรงพลก็เดินเข้ามา ทิวัตถ์รีบบอกว่าจะไปงานศพศิตา แต่ผู้เป็นพ่อห้ามไว้
“แต่พ่อว่าเราไม่ควรไป มันอันตรายลูกก็รู้”
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ครับ”
ทิวัตถ์ตอบอย่างมั่นใจ ทุกคนนิ่งไปสักพัก ก่อนที่ศุภารมย์จะพูดขึ้น
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันว่าเราควรไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งฉันแล้วก็คุณด้วย”
ทรงพลหยุดคิดสักพัก ก่อนจะตอบรับ ขณะที่วรรณิตแอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง

จากนั้นทิวัตถ์ก็เข้ามาหาลิลินที่ในห้องพัก
“ผมขอโทษ แต่คุณไม่โกรธผมใช่มั้ย? ที่ผมไม่ให้คุณกับไปกับเขา”
ลิลินส่ายหน้า “ไม่ค่ะ อยู่ที่นี่ฉันก็อุ่นใจอยู่แล้ว”
“ขอบคุณนะครับ ที่ไว้ใจผม”
ทิวัตถ์ยิ้มอย่างดีใจ ที่เธอยอมไว้ใจเขา
“เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก คุณก็อยู่ในบ้านนี่แหละ ไม่ต้องออกไปไหน”
พูดพลางหยิบโทรศัพท์ยื่นให้
“ถ้ามีอะไรคุณรีบโทร. หาผมทันทีเลยนะ ผมจะรีบไปรีบกลับ”

ทิวัตถ์รีบเดิน ลิลินมองประตูที่ปิดแล้วด้วยแววตาครุ่นคิด

ที่งานศพของสิตา ตำรวจยืนยันเสียงแข็งกับเสี่ยหาญว่าจะต้องหาตัวคนผิดให้ได้ในเร็ววัน แต่อีกฝ่ายกลับคิดหนัก เพราะถึงจะจับคนร้ายได้ เขาก็ต้องแก้แค้นพวกศุภารมย์อยู่ดี

ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงฮือฮาของแขกในงาน พร้อมกับที่กฤษดาเดินตรงเข้าไปขวางพวกทรงพล
เสี่ยหาญหันไปเห็น ก็รีบตามไปประกบทันที
“ห้ามแกขึ้นไปเหยียบบนศาลา ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกแก”
“พวกเรามาดี เราแค่จะขอเข้าไปกราบศพ”
ทิวัตถ์พูดพลางจะเดินเข้าไป แต่แล้วกฤษดากลับยกปืนขึ้นมาขู่
“ห้ามใครเข้าไปทั้งนั้น”
ทั้งเสี่ยหาญ ทั้งกฤษดา มองจ้องพวกทิวัตถ์อย่างเอาจริง
“ถ้ากล้าก็เข้ามา”
ทิวัตถ์เดินเข้ามาประจันหน้ากับปืนของกฤษดา
“ถ้าอยากจะยิง ก็ยิงมาได้เลย ฉันเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่านาย”
กฤษดายิ้มเยาะ
“เสียใจเหรอ ? แกก็พูดได้นี่ในเมื่อตอนนี้น้องฉันตายไปแล้ว”
กฤษดายืนยันไม่ให้พวกของทิวัตถ์เข้าไปเคารพศพ แถมยังทำท่าจะยิงอีกฝ่ายเพื่อชำระแค้น แต่เสี่ยหาญเข้ามาปรามไว้ เพราะมีคนจ้องมองอยู่ทั้งงาน ผู้ว่าฯ ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามาช่วยพูดคลี่คลายสถานการณ์
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่านะ เสี่ยยังร้อนอยู่ ไว้ค่อยมาวันหลังเถอะนะ”
ทิวัตถ์ผิดหวังที่ไม่ได้เข้าไปเคารพศพสิตา

ปรัตถ์เดินมาที่เคาน์เตอร์โรงแรม ก่อนจะออกปากขอเพิ่มวันพัก ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการ เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับสายย่างงงๆ
“สวัสดีครับ ใครนะครับ?”
ปรมัตถ์หยุดฟังสักพัก ก่อนที่จะตกใจสุดขีด

ขณะที่วาสนากำลังนั่งปลื้มอยู่กับกองบัตรกำนัลของสถานเสริมความงาม วรรณิตก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหา
“ณิตมีเรื่องสำคัญจะมาบอกยายค่ะ ณิตตัดสินใจแล้วค่ะ ณิตจะหย่ากับคุณวัน”
วาสนาตกใจ “แกคิดอะไร? บ้าไปแล้วรึเปล่า”
“ที่ผ่านมาณิตยอมทำทุกอย่างก็เพื่อหาเงินไปรักษาแม่ แต่ตอนนี้แม่ก็ไม่อยู่แล้ว ณิตไม่จำเป็นต้องใช้เงินอีกแล้วล่ะคะ”
วาสนานิ่งใช้ความคิดเพื่อหว่านล้อม
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้นะแม่ณิต วันข้างหน้าไม่ว่าแกหรือฉันก็ต้องป่วยกันทุกคน ถ้าแกอยู่กับพ่อวัน แกก็จะมีเงินรักษา มีค่าหยูกค่ายา แล้วไหนจะคนข้างหลังแกอีกล่ะ”
“แต่ณิตไม่อยา...”
วรรณิตพูดไม่ทันจบประโยค ก็เกิดคลื่นไส้ อาเจียน จนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ วาสนาเดินตามไปดูอาการ
“นี่แกเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า?”

ยังไม่ทันจะตอบ วรรณิตก็เป็นลมล้มพับไป

วรรณิตค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นว่าวาสนามองตัวเองอยู่ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ช่วงนี้แกเป็นแบบนี้บ่อยล่ะสิ”
วรรณิตพยักหน้า “ณิตคงจะเครียดเพราะคิดเรื่องหย่ามากเกินไปมั้งคะ”
“หึ แกเลิกคิดเรื่องหย่าได้แล้ว แกหย่าแล้วลูกในท้องจะทำยังไง?”
วรรณิตตกใจ “อะไรนะยาย ฉันท้องเหรอ?”
วาสนายิ้มเหยียด
“อาการแบบนี้ ฉันฟันธงว่าท้องชัวร์ มิน่าผิวพรรณมันถึงได้ดูเปล่งปลั่ง ว่างๆ แกน่าจะไปให้หมอเขาตรวจดูนะ”
วรรณิตใจหายวูบ พลางมองท้องตัวเองอย่างสับสน

ทิวัตถ์ ทรงพล ศุภารมย์กลับมาถึงบ้าน ศุภารมย์ยังนึกเคืองที่เสี่ยหาญไม่เห็นเกียรติ ทรงพลรีบพูดเตือนสติให้มองอย่างเข้าใจ ขณะที่ทิวัตถ์รีบเลี่ยงไปหาลิลินที่ห้อง แต่กลับต้องแปลกใจ เมื่อไม่พบเธอในห้อง

ปรมัตถ์ยืนแอบอยู่หลังบ้านทิวัตถ์ ชะเง้อไปชะเง้อมาเหมือนรออะไรอยู่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงลิลินดังขึ้น
“มัต”
เขาหันไปมองตามเสียง จากนั้นก็โบกมือให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหา
“ลิน เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ มัตงงไปหมดแล้ว”
“ชู่ว์ เบาๆมัต เดี๋ยวใครได้ยิน”
“สรุปว่าลินจำมัตได้แล้วใช่มั้ย?”
ลิลินส่ายหน้า
“ลินไม่ได้ความจำเสื่อมตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”
ปรมัตถ์ได้ยินถึงกับตกตะลึง
“ทำไมลินไม่บอกมัตก่อน”
“ลินขอโทษนะ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก”
“ลินรู้มั้ย ตอนที่ลินบอกว่าไม่รู้จักมัต มัตรู้สึกยังไง?”
ลิลินพยักหน้าช้าๆ
“ลินจำเป็นนะมัต ลินต้องแกล้งความจำเสื่อมเพื่อจะได้เข้ามาสืบหาข้อมูลในบ้านหลังนี้ง่ายขึ้น”
“แต่มัตว่ามันเสี่ยงเกินไปนะลิน”
“ถึงจะเสี่ยงยังไง มันก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้ลินได้เบาะแสเพิ่มนะมัต”
ปรมัตถ์รีบถามต่อ ” แล้วมีใครรู้อีกมั้ยว่าลินแกล้งความจำเสื่อม”
“มีมัตคนเดียว”
ปรมัตถ์ยิ้มดีใจที่เธอไว้ใจเขา
“ขอบใจนะลิน ที่ไว้ใจมัต แล้วทีนี้ลินจะทำยังไงต่อ?”

ลิลินนิ่งคิด ก่อนจะหันขวับเพราะได้ยินเสียงสวบสาบอยู่ไม่ไกล
 
อ่านต่อหน้า 2

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 14 (ต่อ)

ทิวัตถ์เดินตามหาลิลินอย่างเป็นห่วง พอเดินพ้นมุมมา ก็เห็นเธอยืนอยู่คนเดียว

“คุณลิน คุณออกมาทำอะไรข้างนอกเอาป่านนี้”
“ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ นอนไม่หลับ อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้ก็เลยออกมาเดินเล่นสักหน่อย”
ขณะที่ปรมัตถ์หลบไปอยู่อีกมุมหนึ่งได้ทันอย่างหวุดหวิด
“แล้วทำไมคุณกลับมาเร็วจังล่ะคะ?”
“ผมโดนไล่ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นศาลาเลย”
“เหรอคะ? ไม่ต้องคิดมากนะคุณ”
บังเอิญปรมัตถ์เผลอไปเหยียบถูกกิ่งไม้เสียงดัง ทิวัตถ์หันไปดู ลิลินรีบทำเป็นเดินไปขวางหน้าแล้วดูบ้าง
“คงเป็นหนูน่ะค่ะ เมื่อกี้ลินก็เห็นอยู่ตัวนึง เรารีบเข้าบ้านเถอะค่ะ”
พูดพลางรีบจับแขนเขาพาเดินเข้าบ้านไป ปรมัตถ์ออกจากที่ซ่อน มองตามด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

เช้าวันรุ่งขึ้น ลิลินเดินเข้ามาที่สวนยังบริเวณที่ศุภิสราตกลงมา พลางมองที่พื้นเหมือนจะหาร่องรอยก่อนจะมองขึ้นไปบนห้อง
พลันเธอก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กที่ด้านหลัง เธอรีบหันขวับกลับไป ก่อนจะเดินตรงเข้าไปที่หลังพุ่มไม้ แต่กลับไม่พบใครอยู่ตรงนั้น ทว่าพอหันกลับไปทางเดิม กลับต้องตกใจเมื่อเห็นนพกรยืนอยู่ด้านหลัง
“ผมทำให้คุณตกใจหรือเปล่า?”
ลิลินส่ายหน้าแบบงงๆ
“ตั้งแต่คุณย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เรายังไม่เคยคุยกันเลย”
“เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอคะ?”
นพกรยิ้มให้แทนคำตอบ ลิลินพยายามเก็บความแปลกใจในท่าทีของอีกฝ่ายไว้
“ถ้าคุณต้องการอะไร บอกผมได้ ผมจะทำให้คุณทุกอย่าง”
ลิลินยิ้มรับ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป นพกรมองตามด้วยใจเสน่หา

ลิลินเดินปลีกตัวออกมา พลางหันมองไปด้านหลังอย่างระแวดระวัง พลันความคิดในวัยเด็ก ก็หวนกลับมา ตอนที่เธอก้มลงเก็บดอกลีลาวดีสีแดงที่ตกอยู่ที่พื้น ก่อนที่คนรับใช้ที่ชื่อเจี๊ยบจะเข้ามาขัด
“เจี๊ยบเหรอ?”
เธอครุ่นคิดก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทร. ออก
“มัต ลิลินนึกอะไรออกแล้ว”

แววตาของเธอเป็นประกายด้วยความหวังเรืองรอง

ลิลินกับทิวัตถ์นั่งทานอาหารว่างกันอยู่ตามลำพัง ก่อนที่ฝ่ายแรกจะตัดสินใจพูดขึ้น

“เห็นวิชนีบอกว่า ฉันเป็นนักร้อง ที่ไหนนะคะ?”
“ผับซิลเวอร์โคฟ ชั้นล่างของโรงแรมรอยัลเพิร์ล โรงแรมของศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนสนิทผมเอง”
พูดพลางพยายามสังเกตอาการลิลินไปด้วยหวังว่าเธอจะนึกอะไรออกบ้างไหม แต่เธอกลับไม่แสดงอาการใดๆ ที่บอกว่าจำได้
“คุณวินคะ คุณช่วยพาฉันไปที่นั่นหน่อยสิ เผื่อความทรงจำบางอย่างของฉันจะกลับมา”

ทิวัตถ์พาลิลินเดินเข้ามาในผับซิลเวอร์โคฟ ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เก้าอี้และโต๊ะทุกจัดขึ้นไว้อย่างเป็นระเบียบ
“ฉันเคยร้องเพลงที่นี่เหรอ?”
ทิวัตถ์พยักหน้า “มานี่ซิ”
พูดพลางพาลิลินขึ้นมาบนเวที
“ตรงนี้คือที่ที่คุณยืนอยู่เวลาที่คุณร้องเพลง”
ลิลินลองไปยืนหน้าเวที ก่อนจะหันมาทางทิวัตถ์ที่มองเธออยู่เบื้องหลัง
“ฉันไม่รู้สึกคุ้นเลย มีอะไรเหรอคะ?”
ทิวัตถ์อมยิ้ม
“ผมแค่อยากรู้ว่าเวลาที่คุณยืนอยู่บนนี้ คุณจะมองเห็นผมหรือเปล่า?”
ลิลินแสร้งทำเป็นสงสัยในคำพูดของทิวัตถ์ ทั้งที่ในใจรู้สึกดี
“สมองฉันอาจจะได้รับความกระทบกระเทือนทำให้เสียความทรงจำ แต่หัวใจของฉันไม่ได้เป็นอะไรความรู้สึกของฉันบอกว่า ฉันเห็นคุณอยู่ข้างๆ ฉันตลอด เวลาฉันหน่อยนะ ฉันขออยู่ที่นี่สักพัก บางทีฉันอาจจะจำอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้”
ทิวัตถ์พยักหน้า “งั้นเดี๋ยวผมแวะไปหาเจ้าสิทธิ์ก่อนแล้วกัน”
เธอยืนมองตามเขาที่เดินออกไปจนลับสายตาแล้ว เห็นความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาชั่ววูบก่อนจะเปลี่ยนเป็นลิลินคนเดิม จากนั้นก็มองไปที่ประตูข้างก่อนจะรีบเดินออกไป

ศักดิ์สิทธิ์นั่งหน้าชื่นอยู่ที่ร้านกาแฟ มีวิชนียืนจัดเบเกอรี่อยู่ข้างใน พลางพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
ศักดิ์สิทธิ์จับมือวิชนี พลางมองตาซึ้ง จังหวะนั้นเสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“ให้มันน้อยๆหน่อยคู่นี้”
ทั้งคู่หันไปตามเสียง ก็เห็นทิวัตถ์เดินเข้ามา
“ไอ้วิน มาได้ไงวะ?”
“ฉันพาคุณลินมาเดินเล่นที่ซิลเวอร์โคฟ เผื่อเธอจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
วิชนียิ้มดีใจ “ลินมาด้วยเหรอคะ? ไปหาลินกันเถอะ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ ลินเจอพวกแก อาจจะทำให้ความจำกลับมาเร็วขึ้นก็ได้”

ขาดคำวิชนีก็รีบปรี่ออกไปเป็นคนแรก

ลิลินเดินมาที่ทางเดินออกหลังโรงแรม ก่อนจะเจอกับปรมัตถ์ที่แอบนัดหมายกันไว้

“ลินได้อะไรเพิ่มเติมแล้วเหรอ?”
“สาวใช้เก่าของบ้านนั้นชื่อเจี๊ยบ”
ปรมัตถ์แปลกใจ “สาวใช้เก่าเหรอ?”
“ใช่ ลินเพิ่งนึกออกว่าวันที่แม่คุณวินตาย เธอก็อยู่ที่บ้านด้วย แต่ที่น่าสงสัยก็คือเจี๊ยบก็หายไปจากบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคนชื่อเจี๊ยบนี้ต้องรู้อะไรสักอย่างแน่”
ลิลินพยักหน้า อย่างมีความหวัง

วิชนีเดินนำทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์เข้ามาที่ซิลเวอร์โคฟ แต่กลับไม่เจอลิลินอยู่ข้างใน ทิวัถต์เป็นห่วงขึ้นมาทันที
“งั้นเดี๋ยวฉันไปตามเธอเอง”
วิชนีรีบบอก “แยกกันตามหาดีกว่า ไปเถอะ”
พูดพลางรีบจูงมือศักดิ์สิทธิ์ออกไป
“ถ้าเจอคุณลินเดี๋ยวฉันโทร. หา”
พอศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีออกไป ทิวัตถ์ก็มองไปรอบๆ ก่อนจะหันไปเห็นประตูด้านข้างที่เปิดอยู่ เขารีบเดินออกประตูนั้นไปทันที

“ตอนนี้ถึงเราจะรู้ว่าเจี๊ยบคือคนที่น่าจะรู้เรื่องก็จริง แต่เราจะหาเจี๊ยบได้ที่ไหน?”
ปรมัตถ์หน้าเครียด ลิลินนิ่งนึก ก่อนจะคิดขึ้นมาได้
“คนที่น่าจะยังมีข้อมูลทั้งหมดรวมถึงที่อยู่ของเจี๊ยบด้วยคงมีแค่คนเดียว ผู้กำกับทรงเผ่า!”
“จอมโวยวายที่มัตเห็นในงานแต่งคุณวันนั่นน่ะเหรอ?”
ลิลินพยักหน้า
“ใช่ เพราะผู้กำกับทรงเผ่าคือคนที่ทำคดีนี้ในอดีต เพราะฉะนั้นผู้กำกับก็ต้องมีข้อมูลของทุกคน”
“งั้นถ้าได้เรื่องยังไงมัตจะติดต่อลินไปนะ”
ลิลินรีบแย้ง
“เดี๋ยวลินโทร. หามัตเองดีกว่า ตอนนี้ลินอยู่ในบ้านนั้นมันไม่ค่อยสะดวก”
ปรมัตถ์รีบคำ ก่อนจะรีบออกไป ลิลินมองตามอย่างเป็นกังวล จู่ๆ เสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ทางด้านวรรณิตก็ซื้อเครื่องมือตรวจครรถ์มาตรวจ ก่อนจะถึงกับทรุดลงไป เมื่อพบว่าเธอตั้งท้องจริงๆ พลันก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้อง พร้อมกับเสียงของอนันยชที่เมามาย กำลังคุยกับใครอยู่

“โห นี่ห้องพี่วันเหรอคะ?”
“ถึงห้องพี่อาจจะเล็ก แต่ว่าเตียงพี่ก็ใหญ่พอที่เราจะสนุกกันได้ทั้งคืน”
พอวรรณิตเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นภาพบาดตาพอดี อนันยชปรายตาไปมอง แต่กลับทำเป็นไม่สนใจ
“อ้าว อยู่ด้วยเหรอ? นึกว่าอยู่แต่ในห้องพระ”
พูดพลางหันมาพลอดรักกับสาว ที่หันมองวรรณิตแบบเหยียดๆ
“อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียพี่วัน หน้าตาก็พอใช้ได้อยู่หรอก แต่ดูไร้รสนิยม แบบนี้พี่วันเอามาเป็นเมียได้ยังไง?”
วรรณิตกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ
“ถึงฉันจะไร้รสนิยม แต่ฉันก็ไม่เคยเอาของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง อย่างเธอมันก็ไม่ต่างจากเปรตที่ขอส่วนบุญ ที่ฉันพูด ฉันไม่ได้หวงสามีของตัวเองหรอกนะ แต่ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องตกนรกเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบ”
“ก็เชิญเธออยู่บนสวรรค์ไปคนเดียวก็แล้วกัน อ้อ! ถ้าอยู่บนสวรรค์อย่างเธอแล้วมีความสุข พี่วันคงไม่ต้องมาหาฉันหรอก”
วรรณิตโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะขึ้นเสียงไล่
“ออกไปจากห้องฉันซะ ฉันบอกให้ออกไปไง”
อนันยชที่ทนฟังอยู่นาน หันมาตวาด
“ผมว่าคนที่น่าจะออกไปน่าจะเป็นคุณมากกว่านะไม่เห็นหรือตาบอดกันแน่ฮะ ว่าคนเขากำลังจะมีความสุขกัน อ๋อ อย่างคุณคงไม่ใช่ทั้ง 2 อย่างนั้น เพราะความรู้สึกส่วนนั้นของคุณมันตายด้าน”
จากนั้นวรรณิตกับผู้หญิงของอนันยชก็ตบตีกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่อนันยชจะโมโห ตบวรรณิต อย่างแรง
“คิดจะทำอะไร ?”
วรรณิตน้ำตาไหลพราก “ณิตแค่จะทำสิ่งที่คนเป็นภรรยาเขาทำกัน”
“ภรรยาน่ะเหรอ? คุณยังทำหน้าที่ได้ไม่ถึงครึ่งเลย เลิกทำตัวเป็นเจ้าของผมซะที แล้วออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้ ออกไป”
ขาดคำของอนันยช วรรณิตก็วิ่งออกจากห้องไปทั้งน้ำตา

“ฉันจำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้”
ลิลินบอกกับทิวัตถ์ขณะที่นั่งอยู่ในรถ ที่จอดอยู่ในปั๊มด้วยกัน
“จำเป็น ? เวลาคนทำผิดแล้วขอโทษยังน่าให้อภัย แต่คุณกลับแก้ตัว”
ลิลินพยายามอธิบาย
“แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ฉันคงตายไปแล้ว เพราะว่ารองฯ ศัลย์ต้องการฆ่าฉัน”

ทิวัตถ์ถึงกับตกใจ กับสิ่งที่ได้ยิน
 
อ่านต่อหน้า 3

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 14 (ต่อ)

ขณะที่รถของกฤษดาก็เลี้ยวเข้ามาในปั๊มพอดี เขาเห็นรถของทิวัตถ์จอดอยู่ก็ตาวาวด้วยความแค้น ก่อนจะคว้าปืนขึ้นมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินลงจากรถ ตรงไปยังรถของทิวัตถ์ที่จอดอยู่

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น?”
ทิวัตถ์หันมาย้อนถามลิลิน
“เพราะฉันเห็นรองฯ ศัลย์ทำอะไรบางอย่างกับรถของพี่วิท ก่อนรถพี่วิทจะประสบอุบัติเหตุ ต้องเป็นฝีมือรองฯ ศัลย์ที่ตัดสายเบรก รถที่ฉันนั่งไปกับพี่วิทถึงประสบอุบัติเหตุ”
“แล้วผมจะเชื่อคุณได้ยังไง?”
ลิลินไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“แล้วคุณคิดว่ารองฯ ศัลย์ไปหาฉันที่โรงพยาบาลทำไม?”
ทิวัตถ์นิ่งคิดอย่างสงสัย พลันเสียงเคาะกระจกดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมองก็ต้องตกใจ เพราะเห็นกฤษดายืนถือปืนอยู่
แต่บังเอิญตำรวสายตรวจเข้ามาขัดจังหวะก่อน กฤษดาจึงรีบชิ่งหนีไป ก่อนจะได้ทันลงมือ
ทิวัตถ์กับลิลินถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดไปอย่างหวุดหวิด

ขณะที่ทรงพล ศุภารมย์ กำลังนั่งคุยงานกับผู้ว่าฯ ที่ร้านอาหารหรู หลังจากจบเรื่องงาน ฝ่ายหลังก็ถามย้ำขึ้นมาเพื่อความแน่ใจ
“ว่าแต่ที่ลูกสาวเสี่ยหาญตายไม่ใช่ฝีมือคนในบ้านคุณอย่างที่เขาสงสัยกันใช่มั้ย?”
ทรงพลกับศุภารมย์รีบปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น ผู้ว่าจึงรับปากว่าจะไปช่วยเจรจากับเสี่ยหาญให้ ระหว่างนั้นมือถือศุภารมย์ก็ดังขึ้น เธอรีบขอตัวเดินเลี่ยงออกมากดรับสาย
“ฮัลโหล อะไรนะวินมีเรื่องเหรอ?”

ตำรวจกำลังเก็บปลอกกระสุน ตรวจหลักฐาน และสอบปากคำคนที่เห็นเหตุการณ์ตรงจุดเกิดเหตุบริเวณปั๊มน้ำมัน
ครู่หนึ่งทรงพลกับศุภารมย์ขับรถเข้ามาจอด ด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะรีบเข้ามาที่เกิดเหตุ ขณะที่ศัลย์
ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“นี่มันฝีมือใคร กฤษดาใช่มั้ย?”
ศัลย์พยักหน้า
“ใช่ครับ จากพยานในที่เกิดเหตุกับภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นชัดว่า เป็นฝีมือของกฤษดากับพวกบ้านบ่ออิฐครับ”
ทรงพลรีบหันมาบอกให้ทิวัตถ์พาลิลินกลับไปพักที่บ้าน ก่อนที่ศุภารมย์จะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พวกเสี่ยหาญมันไม่จบแค่นี้แน่”
ทรงพลรีบบอก
“ผมว่าเรารอดูทางผู้ว่าก่อนดีมั้ย ท่านอาจจะไปพูดกับเสี่ยหาญให้เข้าใจก็ได้”
“คนอย่างเสี่ยหาญต่อหน้าท่านผู้ว่าก็คงจะทำเป็นเข้าใจ แต่ถ้าลองเปิดศึกแบบนี้แล้วมันคงไม่จบแค่นี้แน่ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง”

ศัลย์พูดพลางยิ้มร้ายออกมา

ทางด้านทิวัตถ์ที่เดินแยกออกมาพร้อมกับลิลิน ก่อนที่ฝ่ายหลังจะถามขึ้นมาด้วยความข้องใจ

“ทำไมคุณไม่บอกพ่อแม่คุณไปว่าฉันไม่ได้ความจำเสื่อม”
“ถ้าทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คุณว่า วิธีนี้คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณปลอดภัย”

ทางด้านกฤษดาพอมาถึงงานศพของสิตา ครู่หนึ่งศัลย์ก็นำตำรวจก็เข้ามาล้อมจับ
“ทางเราต้องขอเชิญคุณกฤษดาและลูกน้องไปที่โรงพักด้วยครับ”
เสี่ยหาญเห็นท่าไม่ดี รีบพูดไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยลูก
“อะไรกันรองฯ แค่เด็กทะเลาะกันอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ใหญ่ไม่ใหญ่เดี๋ยวสอบปากคำคุณกฤษดาก็รู้”
เสี่ยหาญพยายามเก็บความไม่พอใจไว้
“ได้ ฉันจะไปด้วย ก็อยากรู้เหมือนกันว่าแค่เด็กทะเลาะกันมันจะมีข้อหาอะไร? คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย
รองฯ”
“ดีเหมือนกันครับ จะได้จบๆ เรื่องกันไป”
ศัลย์พูดพลางลอบยิ้มด้วยแววตาเหี้ยม

ทิวัตถ์เข้ามาส่งลิลินในห้องพัก ก่อนที่ฝ่ายแรกจะถามขึ้นมา ด้วยสีหน้ากังวล
“แล้วคุณคิดว่าเพื่อนคุณจะได้อะไรจากผู้กำกับหรือเปล่า?”

ลิลินนิ่งคิดอย่างหนักใจ

ขณะที่ทรงเผ่านั่งดื่มเหล้าเมามายอยู่ที่บ้านตามลำพัง ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็โผล่เข้ามา ฝ่ายแรกหันไปมองอย่างไม่คุ้นหน้า

“ใครวะ?”
“ผมมาหาผู้กำกับครับ”
ทรงเผ่ายิ้มยืดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะเอะใจ
“ฉันนี้แหละผู้กำกับทรงเผ่า แต่ช่างเถอะฉันเลิกเป็นมานานแล้วตั้งแต่ขาฉันเดี้ยงแบบนี้ แล้วแกเป็นใคร.มาทำอะไรที่บ้านฉันฮะ?”
“ผมจะมาถามข้อมูลเกี่ยวกับคดีฆาตรกรรมคุณศุภิสราเมื่อ 15 ปีก่อนครับ ผู้กำกับพอจะบอกรายละเอียดให้ผมได้มั้ย?”
ทรงเผ่าหัวเราะร่วน “ทำไมจะไม่ได้ งั้นรอก่อน เดี๋ยวฉันมา”
พูดพลางเดินหายเข้าไปในบ้านครู่หนึ่ง ปรมัตถ์ดีใจที่ดูเหมือนจะง่ายกว่าที่คิด แต่แล้วอีกฝ่ายกลับออกมาพร้อมปืนลูกซอง พลางเล็งมา จนเขาถึงกับตกใจ
“บอกฉันมา ว่าใครส่งแกมาหาฉัน?”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ ผมว่าเราน่าจะคุยกันได้นะครับ”
พูดพลางหยิบขวดเหล้าฝรั่งออกมาโชว์ให้ดู ทรงเผ่าเห็นเหล้าก็ลดปืนลง ก่อนจะเดินมาที่หน้าประตูแล้วคว้าขวดมากอดไว้แน่น

“ถ้าเอาไอ้นี่ให้ดูแต่แรกก็ไม่ต้องมายืนให้เมื่อยแบบนี้หรอก มาๆ เข้ามาก่อน แล้วนี่มีกลับแกล้มมาด้วยมั้ยล่ะ?”

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ทรงเผ่านั่งโงนเงนไปมา เพราะโดนปรมัตถ์มอมเหล้าเพื่อเค้นความจริง

“ผู้กำกับพอจะนึกออกมั้ยครับ?”
ทรงเผ่านิ่งนึก “เจี๊ยบเหรอ อืม ฉันว่าชื่อนี้มันคุ้นๆ หูอยู่นะ อ๋อ นึกได้ว่าข้อมูลพวกนั้นฉันทำหายไปหมดแล้ว”
ปรมัตถ์ทำหน้าผิดหวัง แต่แล้วอีกฝ่ายก็ทำท่านึกอะไรบางอย่างออก
“เดี๋ยวนะๆ”
พูดพลางเดินออกไปหยิบต้นฉบับนิยายเข้ามา
“แกคิดว่าที่พวกนั้นไม่ฆ่าฉันเพราะอะไรล่ะ? เพราะว่าฉันทำตัวน่ารักไง ไม่ฆ่าน้องไม่ฟ้องนายไม่ขายเพื่อน ฮึ แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่าเรื่องชั่วๆ ทั้งหมดที่มันทำเอาไว้ มันอยู่ในนี้”
จากนั้นก็เอาต้นฉบับนิยายขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“คืออะไรครับ? ผมไม่เข้าใจ”
“มันคือต้นฉบับนิยาย แต่มันไม่ใช่นิยายธรรมดานะ เพราะฉันเอาข้อมูลฆาตกรรมจากเรื่องจริงมาเขียนเป็นนิยาย”
ปรมัตถ์ยิ้มดีใจ “งั้นก็ต้องมีข้อมูลของเจี๊ยบด้วยสิครับ”
ทรงเผ่ายกแก้วขึ้นมาหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกระดกจนหมดแก้ว พลางหยิบนิยายมาเปิดดู
“เจี๊ยบเหรอ? คุ้นๆ ว่าคนชื่อเจี๊ยบน่าจะอยู่แถวๆ นี่ไง บ้าน บ้านหวาย”
ขาดคำก็ฟุบหลับไป ปรมัตถ์มองไปที่ต้นฉบับนิยาย ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้

ทรงพลกับศุภารมย์กลับเข้ามาในบ้าน จังหวะเดียวกับที่อนันยชจะพาสาวออกไปเที่ยวพอดี ฝ่ายหลังรีบบอกให้สาวออกไปรอที่รถก่อน
ศุภารมย์มองลูกชายอย่างตำหนิ
“วัน จะทำอะไรทำไมไม่ไว้หน้าหนูณิตบ้าง ถ้าเป็นแต่ก่อนแม่จะไม่ว่า แต่ตอนนี้วันแต่งงานแล้ว”
ทรงพลรีบพูดเสริม
“เราเป็นผู้ชายควรจะให้เกียรติผู้หญิงนะ”
อนันยชได้ยิน ก็สวนกลับ
“ผมก็ไม่เคยเห็นคุณน้าให้เกียรติน้าต้อยเลยนี่ครับ”

พูดพลางทำหน้าเซ็งเดินออกไป ศุภารมย์รีบหันมาพูดขอโทษทรงพล ก่อนที่ป้าจวนจะเข้ามารายงานข่าวว่าเสี่ยหาญกับกฤษดาขัดขืนการจับกุมถูกวิสามัญไปเรียบร้อยแล้ว
 
อ่านต่อหน้า 4

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 14 (ต่อ)

ทรงพลยืนมองออกไปนอกหน้าต่างคิดบางอย่างอย่างกลุ้มใจ ก่อนจะหันมาหาศุภารมย์

“ผมไม่ชอบที่รองฯ ศัลย์ทำอย่างนี้ ถ้าเราปล่อยให้รองฯ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่มือเราจะหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้สักที ผมว่าเราควรจะเลิกใช้รองฯทำงานได้แล้ว”
“คุณคิดว่ามันจะง่ายอย่างที่คิดงั้นเหรอคะ?” ศุภารมย์ย้อนถาม
“หรือคุณจะปล่อยให้รองฯทำแบบนี้ต่อไป แต่ผมคงยอมไม่ได้”
“แต่ยังไงรองฯ ก็ยังมีประโยชน์กับเรา”
ทรงพลยิ้มเยาะ “มีประโยชน์ หรือจะเก็บเอาไว้เพื่อบริหารเสน่ห์ของคุณกันแน่? คิดว่าผมดูไม่ออกเหรอว่ามันคิดอะไรกับคุณ?”
ศุภารมย์ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ พูดย้อนเรื่องของทรงพลกับกานดา
“เขาก็รู้กันทั่วบริษัทว่ากานดาคิดอะไรกับคุณ”
ทรงพลถอนหายใจ พลางสะกดอารมณ์โกรธไว้
“เอาเถอะ ผมคงไปห้ามความคิดของใครไม่ได้ แต่ที่ผมเตือนคุณเพราะหวังดี แต่ถ้าคุณคิดจะเลี้ยงงูพิษอย่างรองศัลย์ไว้ก็เชิญ”
พูดจบทรงพลเดินออกจากห้องไป ขณะที่ศัลย์ที่ได้ยินทั้งหมด ก็โผล่มาจากที่ซ่อน พลางมองตามด้วยความแค้น

ส่วนทิวัตถ์ก็หลบมายืนครุ่นคิดอยู่ในสวนตามลำพัง พักใหญ่ลิลินก็เดินเข้ามา
“กำลังคิดเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า?”
เขาหันมามองเธอ ก่อนจะรีบพูดเตือน
“คุณไม่ควรออกมาเดินกลางดึกอย่างนี้ แม่ต่ายไม่ใช่คนที่ใครจะโกหกได้ง่ายๆ ถ้าแม่ต่ายรู้ว่าคุณแกล้งความจำเสื่อมล่ะก็ แม่ต่ายไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ”
ลิลินทำหน้านิ่ง “ฉันเชื่อค่ะ”
“เอ่อ ผมขอถามคุณอีกเรื่องได้มั้ย? ปืนของคุณใช้กระสุนขนาดเท่าไหร่?”
“. 36”
พอได้ฟังคำตอบทิวัตถ์ก็ถึงกับอึ้งไป อีกฝ่ายสังเกตอาการก็รีบถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์นิ่งมองลิลินอย่างสำนึกผิด เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของเธอจริงๆ
“ผมขอโทษ ที่ผมไม่เชื่อคำพูดของคุณ ขนาดกระสุนของคุณไม่ตรงกับปืนที่ใช้ยิงแม่ผม”
ลิลินมองทิวัตถ์ ก่อนจะจับมือเขาขึ้นมา
“งั้นคุณช่วยฉันค้นหาความจริงอีกครั้งได้มั้ย?”
“ผมจะไม่ยอมทิ้งให้คุณต้องเผชิญอันตรายคนเดียว ผมสัญญา”

ลิลินยิ้มขึ้นอย่างมีความหวังอีกครั้ง

นพกรลอบเข้ามาในห้องพักของลิลินด้วยแววตาหื่น พลางสูดดมกลิ่นไอของเธอภายในห้อง ก่อนจะหยิบข้าวของขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอม
 
จากนั้นก็ตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก พลางหยิบผ้าคลุมไหล่สีแดงที่เคยให้เธอขึ้นมาดอมดม
จังหวะนั้นเสียงข้อความไลน์จากมือถือลิลินที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น มันรีบเดินไปหยิบมือขึ้นมากดเปิดอ่านข้อความ
“ผู้กำกับทรงเผ่ามีข้อมูลเจี๊ยบอย่างที่ลินว่าจริงๆ ลินต้องเห็น มัตเชื่อว่าข้อมูลที่ผู้กำกับมีจะต้องเอาผิดพวกนั้นได้แน่ๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ มัตมีอะไรจะให้”

ทางด้านกานดาก็กำลังทยอยพับเสื้อผ้าเก็บใส่กระเป๋าเดินทาง จู่ๆ เสียงกริ่งหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้น เมื่อเธอเดินไปดูก็ถึงกับตกใจ เมื่อเห็นทรงพลยืนอยู่หน้าห้อง เธอรีบหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง
“คุณพลมาทำอะไรคะ?”
“ขอผมเข้าไปหน่อยได้มั้ย? ตอนนี้ผมแค่ต้องการคุยกับใครสักคน แล้วผมก็คิดถึงแต่คุณเท่านั้น”
กานดาสายตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความหนักใจ ก็ยอมใจอ่อนเปิดประตูรั้วให้ทรงพลเข้ามา
ศัลย์ที่ยืนดูอยู่ แอบถ่ายรูปของทั้งคู่ ก่อนจะยิ้มด้วยสายตาอำมหิต

ทรงพลรู้ว่ากานดาเตรียมจะย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ตกใจ
“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปทำงานกับผม?”
“กานไม่อยากให้คุณพลต้องมีปัญหากับคุณต่ายเพราะกานอีก แล้วคุณพลมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเหรอคะ?”
ทรงพลถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
“เรื่องรองฯ ศัลย์ ผมรู้ว่ารองศัลย์รับใช้ผมมานาน แต่ผมก็รู้ว่าคนอย่างรองฯ ศัลย์ไม่ได้อยู่เพราะเงิน เขาอยู่เพราะอยากใกล้ชิดกับคุณต่าย แต่ผมไม่กลัวว่า 2 คนนั้นจะมีสัมพันธ์อะไรกันหรอกนะ เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณต่ายก็ยังรักผม และผมก็ยังรักเธอ แต่ตอนนี้รองฯ ศัลย์เหมือนหมาบ้า เขาแทบจะฆ่าทุกคนที่คิดว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณต่าย”
กานดาหน้าชาเมื่อได้ยินทรงพลพูดถึงความรักที่มีต่อศุภารมย์ แต่พยายามหักใจ
“แล้วคุณจะทำยังไงคะ? รองฯ ศัลย์เองก็กุมความลับของครอบครัวคุณไว้หลายเรื่อง”
“ผมคงต้องยอมให้มือเปื้อนเลือดอีกครั้ง ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป”

ศัลย์แอบฟังอยู่ได้ยินที่ทรงพลพูด แววตาก็วาวโรจน์ด้วยความแค้น

กานดาเหลือบเห็นมือถือของทรงพลที่วางลืมไว้บนโต๊ะ พร้อมกับที่เสียงกริ่งหน้ารั้วดังขึ้น เธอคิดว่าอีกฝ่ายกลับมาเอามือถือ ก็รีบเดินไปเปิดประตูรั้วให้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ก้าวออกมาจากมุมมืด กลับกลายเป็นศัลย์

เธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจึงรีบจะปิดประตู แต่อีกฝ่ายเข้ามาขวางไว้ พลางชกเข้าที่ท้อง จนเธอทรุดลงที่พื้น ก่อนจะถูกอีกฝ่ายลากเข้าบ้านไป
ขณะที่ทรงพลพอรู้ตัวว่าลืมมือถือ ก็เดินย้อนกลับมาที่บ้านของกานดาอีกครั้ง เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ แต่เห็นไฟในบ้านปิดมืด พอตะโกนเรียกก็ไม่มีคนตอบ เขารีบเดินเข้ามาเปิดไฟ ก่อนจะเห็นร่องรอยการต่อสู้ และข้าวของที่กระจัดกระจาย
พอเหลือบมองไปที่ห้องน้ำ ที่เปิดประตูแง้มอยู่ ก็รีบเดินไปเปิดไฟ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป แล้วก็ถึงกับตกตะลึงตัวชา เมื่อเห็นกานดานอนน้ำลายฟูมปากอยู่ในห้องน้ำ

เช้าวันรุ่งขึ้น ศุภารมย์หน้าเครียดที่ติดต่อทรงพลไม่ได้ ขณะที่ทิวัตถ์เดินนำลิลินลงมา พลางบอกกับ
ศุภารมย์ว่าจะพาลิลินไปโรงพยาบาล เพราะหมอนัดเช็คอาการ
ศุภารมย์มองลิลินที่ยืนนิ่งตาใสอย่างสังเกต พลางมองตามทิวัตถ์ที่พาลิลินออกไป ก่อนที่จะหุบยิ้มลง แล้วก็นิ่งเครียดที่ทรงพลหายไปติดต่อไม่ได้

ทางด้านวิชนีก็ถึงกับตกใจเมื่อได้ยินศักดิ์สิทธิ์บอกว่ากำลังหาทำเลเปิดร้านหมูกระทะ
“แล้วโรงแรมนี้ล่ะ นายจะทำยังไง?”
“ถ้าเรื่องนี้เธอไม่ต้องห่วง ฉันว่าจะปล่อยขายให้คนอื่น แล้วเอาเงินก้อนนั้นไปเปิดร้านหมูกระทะของเราไง”
วิชนีรีบร้องห้ามเสียงดัง
“ไม่ได้นะ ทำไมนายไม่ปรึกษาฉันก่อน”
ครู่หนึ่งปกติก็เดินนำสุชาติเข้ามาพบ ศักดิ์สิทธิ์รีบลุกขึ้นต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณสุชาติ ผมศักดิ์สิทธิ์ครับ นี่เชฟนีว่าที่คู่หมั้นของผมครับ”
วิชนีสงสัย แอบกระซิบถาม
“คุณสุชาตินี่เป็นใคร?”
“คุณสุชาติก็คือคนที่จะเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมเรา”
วิชนีอ้าปากค้าง ด้วยความตกใจ

ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังพาสุชาติเดินชมโรงแรม วิชนีกับปกติเดินตามมาข้างหลังคอยสังเกตการณ์
“โรงแรมเราได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมปี 2546เลยนะครับ”
“ไอ้รางวัลนั่นมันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วนะ เพราะถ้าสมัยนี้ผมว่าแบบนี้แถวบ้านผมเรียกเชย”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าเจื่อน ขณะที่วิชนีได้ยินก็โมโหแทน
สุชาติพูดต่อ
“ผมว่าโรงแรมคุณไม่อึดอัดดีนะ รู้สึกอากาศปลอดโปร่ง แล้วทำไมถึงเจ๊งซะล่ะ?”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าถอดสี วิชนีที่ได้ยินก็เริ่มโมโหจะเข้าไปหาเรื่อง แต่ปกติห้ามไว้
“ใจเย็นก่อนเชฟนี ผมว่าคุณสุชาติกำลังสนใจโรงแรมเรานะเนี่ย”

วิชนีหันมองอย่างงงๆ ที่ปกติดูมีทีท่าชื่นชมสุชาติ จากนั้นศักดิ์สิทธิ์จะเดินหน้าพาชมส่วนอื่นต่อ

ทางด้านศุภารมย์ก็นึกร้อนใจที่ติดต่อทรงพลไม่ได้ ลองโทร.ไปที่ทำงาน ก็ได้รับรายงานว่ายังไม่เข้าบริษัท ครู่หนึ่งป้าจวนก็เข้ามาบอกว่าศัลย์มาขอพบ เธอหันมาตวาดอย่างหงุดหงิด

“บอกไปแล้วกันว่าฉันไม่ว่าง”
แต่เสียงของศัลย์กลับดังขึ้นมา
“แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของคุณทรงพลน่ะเหรอครับ?”

ศุภารมย์เดินนำศัลย์เข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่ฝ่ายหลังจะปิดประตูล็อก
“มีอะไร? ทำไมต้องเข้ามาคุยในห้องด้วย”
“เพราะผมไม่อยากให้คนอื่นมาได้ยิน ไม่อย่างนั้นคุณพลจะเสียหาย”
ศุภารมย์นึกสงสัย
“เสียหายเรื่องอะไร? แล้วคุณพลไปเกี่ยวอะไรด้วย”
ศัลย์รีบกดโทรศัพท์ เปิดรูปถ่ายทรงพลที่แอบไปหากานดาเมื่อคืนส่งให้ศุภารมย์ดู
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“คุณพลแอบไปหาเธอเมื่อคืน ผมขอโทษ แต่ที่ผมต้องตามดูคุณพลเพราะผมเกรงว่าคุณพลจะนอกใจคุณต่าย แล้วพอผมตามไป มันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ”
ศุภารมย์นิ่งชะงัก “งั้นตอนนี้คุณพลก็อยู่กับเธอใช่มั้ย?”
“คงไม่ใช่ เพราะผมกำจัดหนามยอกอกนั่นให้คุณต่ายแล้ว”
“หมายความว่าไง?”
ศุภารมย์ย้อนถามด้วยความตกใจ
“ใช่ ผมฆ่านังนั่นไปแล้ว ต่อไปนี้คุณก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องของเธอกับคุณพลอีกต่อไป”
“แต่ฉันสั่งแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง”
ศัลย์เห็นศุภารมย์หงุดหงิดก็พูดตัดพ้ออย่างน้อยใจ
“ผมทำทุกอย่างไปก็เพื่อคุณนะ”
ศุภารมย์สังเกตเห็นท่าทีของศัลย์แปลกไป ก็หันมาตะล่อมถามถึงทรงพล
“แล้วตอนนี้คุณพลอยู่ที่ไหน?”
“คุณต่ายจะไปสนใจมันอีกทำไม? ในเมื่อมันไม่ได้รักคุณ ผมต่างหากที่รักคุณ”
พูดพลางเข้ามาจับไม้จับมือศุภารมย์ แต่อีกฝ่ายสะบัดออก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“ปล่อย รองฯ คิดจะทำอะไร?”
“ป่านนี้แล้ว คุณต่ายไม่รู้เลยหรือไง? ว่าที่ผมคอยรับใช้คุณมาตลอดก็เพราะผมรักคุณ”
อีกฝ่ายตะคอกด้วยความหงุดหงิด
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”
แต่คำพูดของเธอกลับไม่เป็นผล เพราะศัลย์ทำเหมือนไม่ได้ยิน
“แล้วคุณต่ายรู้มั้ยว่าผมต้องปวดใจแค่ไหนเมื่อเห็นคุณต้องเสียใจ แต่มันกลับไม่สนใจใยดีคุณเลย”
ขาดคำก็เข้ามาดึงศุภารมย์ไปกอด
“อยู่กับผมนะ ผมดูแลคุณได้”
ศุภารมย์ที่ขัดขืน ก่อนจะพยายามเดินออกจากห้อง
“ปล่อย ฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“ไม่ ผมจะไม่ยอมเสียคุณไป”
ศุภารมย์เหลืออด หันไปคว้าแจกันบนโต๊ะขึ้นมาฟาดหัวศัลย์ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตู อีกฝ่ายหันมามองตาขวาง ขณะที่เลือดไหลออกจากแผลที่ศีรษะ
อีกด้านหนึ่งอนันยช ที่กำลังจะเดินเข้าห้อง ได้ยินเสียงเอะดังออกมาจากห้องทำงานของทรงพล ก็รีบเดินไปดู
ศุภารมย์มาถึงประตูกำลังจะเปิดออกไป แต่กลับถูกศัลย์คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้”
ศัลย์ที่เลือดโชกเต็มใบหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหี้ยม ก่อนจะคว้าคอบีบ
“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องไปอยู่กับมันอีก ไม่มีทาง”
พลันเสียงอนันยชหมุนลูกบิดแล้วเคาะประตูเรียก ก็ดังขึ้น
“แม่”
ศุภารมย์พยายามร้องขอความช่วยเหลือ
“วัน วัน ช่วยแม่ด้วย”
อนันยชเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป พอเห็นศัลย์กำลังทำร้ายศุภารมย์ ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปต่อยหน้า แต่อีกฝ่ายสวนหมัดกลับไม่ยั้ง จนเขาถึงกับรุดลงกับพื้น ก่อนที่ศัลย์จะชักปืนออกมาจะยิง ศุภารมย์รีบร้องโวยวาย
“หยุดนะ ห้ามทำอะไรลูกฉันเด็ดขาด”
ศัลย์หันขวับไปที่ศุภารมย์
“ถึงมันอยู่ไปก็คอยสร้างแต่ปัญหาให้เรา”
ศุภารมย์น้ำตาคลอ รีบเข้าไปกอดขาร้องขอ
“ไม่ ไม่ ฉันขอร้อง”
ศัลย์เปลี่ยนเป็นแววตาอ่อนโยนเพราะสงสารศุภารมย์ พลางจะเข้าไปปลอบ แต่แล้วกลับถูกอนันยชใช้กรรไกรแทงเข้าที่คอจนเลือดทะลัก ก่อนจะต่อยซ้ำจนล้มลงกับพื้น จากนั้นก็ปราดไปขึ้นคร่อม พร้อมกับระดมหมัดต่อยไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายแน่นิ่งตายคามือ
 
ศุภารมย์เข้ามาดูอย่างตื่นตระหนก
 
อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น