ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 11
วิชนีกำลังล้างจัดเก็บของในครัวอยู่คนเดียว ก่อนจะหันมองไปรอบๆ ห้อง แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นศักดิ์สิทธิ์ยืนยิ้มๆ อยู่ที่หน้าประตูครัว เธอถึงกับทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะเขิน จนทำของหลุดมือ
“เฮ้ย! นะ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ซักพัก แต่ก็ทันเห็นเธอยืนยิ้ม คงมีความสุขที่ทำให้โรงแรมของฉันเกือบจะเจ๊งล่ะสิ”
วิชนีวางของในมือกระแทกลงโต๊ะเสียงดัง
“ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบขี้หน้านาย แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะทำให้โรงแรมเจ๊ง นายรู้มั้ยว่าเพราะอะไร ก็เพราะฉันชอบทำงานที่นี่”
ศักดิ์สิทธิ์มองวิชนีนิ่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย ด้วยการถามถึงพนักงานคนอื่น แต่กลับได้รับคำตอบว่าออกกันหมดแล้ว ทำเอาเขาถึงกับหน้าเครียด พอหันหลังจะเดินไป ท้องเจ้ากรรมดันร้องออกมาเสียงดัง จนเขารู้สึก
เสียหน้า
วิชนีได้ยินเสียงท้องศักดิสิทธิ์ร้องก็รู้ทันทีว่าหิว แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้
“จะกินไรล่ะ? เดี๋ยวฉันทำให้กินเอง”
ศักดิ์สิทธิ์แกล้งอิดออด ก่อนจะอ้อมๆ แอ้มๆ ตอบไปว่า
“งั้นเอาไข่ดาวก็พอ แล้วเธอห้ามคิดใส่อะไรพิสดารลงไปล่ะ เพราะฉันจะจับตาคอยดูเธอทำ หากเธอคิดวางยาฉันล่ะก็ โดนแน่”
วิชนีส่ายหน้าเอือมๆ ก่อนจะเดินไปที่หน้าเตา เปิดเตาทำไข่ดาว พลางยิ้มไปอย่างมีความสุข ศักดิ์สิทธิ์นั่งมองอย่างสงสัย
“นี่ เธอเพี้ยนไปแล้วหรือไง กะอีแค่ทอดไข่ จะยิ้มอะไรนักหนา”
วิชนีมองค้อน พลางตักไข่ดาวฟูๆ โปะลงบนจานข้าวเดินมาเสิร์ฟ ศักดิ์สิทธิ์เห็นไข่ดาวฝีมือวิชนีที่ดูน่ากินกว่าที่คิดก็กลืนน้ำลายเอื้อก
“ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ลงมือทำอาหาร และทุกอย่างในครัวคือสิ่งที่ฉันรัก”
ศักดิสิทธิ์หยิบช้อนส้อมขึ้นมา จะตักข้าวกิน แต่ก็กินไม่ลง
“ฉันกินไม่ลง ในเมื่อปัญหายังเยอะอยู่อย่างนี้”
วิชนีมองอย่างเห็นใจและรู้สึกผิด
“ปัญหาใครใครก็ว่าใหญ่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร มานี่มา”
พูดพลางดึงมือศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากห้องครัว ก่อนจะพามาเดินตลาด ฝ่ายหลังเดินเขย่งเท้า ทำหน้าขยะแขยง
“นี่ แค่เดินตลาดทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย หรือว่านายไม่เคยเดินตลาด”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า วิชนีได้ทีก็แกล้งเร่ง
“เดินเร็วๆ หน่อยสิ”
“เดินเร็วน้ำก็ดีดใส่ขากางเกงฉันเลอะหมด เธอดูสิเชื้อโรคทั้งนั้น กลับไปมีหวังได้แช่ตัวในอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อแน่ๆ”
วิชนีส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
“น้อยๆ หน่อย นายจะบอกว่ากลัวสกปรกว่างั้น งั้นนายก็ดูแม่ค้าพ่อค้าที่นี่ซิมีใครเป็นแบบนายบ้าง
แค่เรื่องความสะอาดเนี่ย มันยังไม่ถึงครึ่งกับปัญหาที่พวกเขาเจอหรอกนะ”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองไปรอบๆ ตัว เห็นพ่อค้าแม่ค้ามีความสุข พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
“นายเห็นมั้ยแต่ละร้านเนี่ยนั่งนิ่งเป็นปลาทูในเข่งมีใครขายดีกันบ้าง บางเจ้าก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก ไหนจะค่าเช่าร้าน ค่าเช่าบ้าน ค่ารถ ค่าเทอม ค่านมลูก แต่ละคน ก็ประสบปัญหาไม่ต่างกันหรอก”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปอย่างเริ่มเข้าใจถึงปัญหาชีวิตที่ทุกคนก็ต้องเผชิญเหมือนกัน วิชนีแอบมองอยู่ เห็นอีกฝ่ายเริ่มเคลิ้ม ก็ลากแขนพาเดินต่อไป จนมาหยุดที่หน้ารานขายขนมจีน ก็กุลีกุลอ ลากแขนอีกฝ่ายเข้ามานั่งที่โต๊ะ
พร้อมกับที่เด็กเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์
“น้ำยาป่ากับน้ำยากะทิอย่างละจาน และก็ไข่ต้มด้วยนะ”
ครู่หนึ่งเด็กเสิร์ฟเอาขนมจีนมาเสิร์ฟ วิชนีจัดแจงหยิบผักใส่อย่างชำนาญก่อนจะตักขนมจีนใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
ศักดิ์สิทธิ์มองตามวิชนีกินก่อนจะมองจานตัวเองแล้วดันออกไป เพราะกลัวสกปรก
“อย่าบอกนะว่าไม่กิน อ๋อ กลัวว่าจะไม่อร่อยล่ะสิ นายต้องลองชิมดูน้ำยากะทิไม่เผ็ดหรอกน่า”
“ไม่ได้กลัว แต่มัน...”
ศักดิ์สิทธิ์อ้าปากเถียงกลับ วิชนีได้ทีจับยัดใส่ปากทันที
“เล่นอะไรของเธอ ดูซิเสื้อฉันเลอะเลย”
พูดพลางก็รู้สึกแปลกใจกับรสชาติขนมจีนที่อร่อยกว่าที่คิด จากนั้นก็หยิบช้อนขึ้นมาตักใส่ปากกินเองอย่างเอร็ดอร่อย
“นายน่ะดีแค่ไหนแล้วที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แค่ต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีแค่นั้นก็พอแล้ว แล้วนายมีคนให้ยืมเงินหรือยัง?”
ศักดิ์สิทธิ์ที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ก็นึกขึ้นได้
“เออใช่ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย ที่เธอไปหาอาม่าฉันถึงบ้าน”
วิชนีถึงกับสำลักขนมจีน “อะไรเนี่ยอาม่า ไหนสัญญาว่าจะไม่บอกไง”
“เธอนี่เองที่เป็นคนเอาเรื่องฉันไปฟ้องอาม่า”
วิชนีรีบเถียง “ฟ้องที่ไหนล่ะ ฉันก็แค่อยากช่วย”
“ช่วยเหรอ? ช่วยสร้างปัญหาเพิ่มให้ฉันล่ะสิไม่ว่า”
“อ้าว ทำไมล่ะ อาม่านายว่าไง?”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าเซ็ง
“อาม่ายื่นเงื่อนไขให้ฉันน่ะสิ เฮอะ! แต่ฝันไปเถอะอาม่า เพราะยังไงฉันก็ไม่สนหรอก”
“พูดถึงฝัน นายมีความฝันมั้ย? ฉันเองก็มีความฝัน ฉันฝันว่าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วฉันจะให้ทุกคนได้กินฟรีทั้งร้านเลย”
วิชนีพูดพลางยิ้มเคลิ้ม ก่อนจะถูกศักดิ์สิทธิ์เบรกจนหัวทิ่ม
“เจ๊งกันพอดี อย่างเธอจะไปรู้อะไร”
“มันเป็นความฝัน เข้าใจมั้ยความฝันอ่ะ ดีแต่ว่าคนอื่นแล้วนายล่ะ ตกลงความฝันนายคืออะไร?”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งคิดไป
จากนั้นทั้งคู่ก็เข้ามาที่ห้างสรรพสินค้า ก่อนจะมาเล่นเกมยิงซอมบี้อย่างเมามัน บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ เหมือนทั้งคู่ต่างก็ปอกเปลือกของตัวเองออก
ศักดิ์สิทธิ์แอบมองวิชนีที่กำลังเล่นเกมอย่างตั้งใจ เขาไม่เคยเห็นภาพนี้ของเธอมาก่อน แต่พอฝ่ายถูกมอง หันมองกลับ เขาก็รีบหลบตา ก่อนจะหันไปไล่ยิงซอมบี้อย่างบ้าระห่ำแก้เขิน
จากร้านเกม ทั้งคู่ก็เดินเคียงกันมาตามถนนสวยแห่งหนึ่ง
“ความฝันบ้าอะไรของนาย แค่เล่นเกมเนี่ยนะ”
ศักดิ์สิทธิ์หัวเราะอย่างมีความสุข “ทำไม หรือว่าเธอไม่สนุกหรือไง?”
“ก็สนุกดี แค่ไม่คิดว่านายจะฝันอะไรแบบนี้ด้วยต่างหากล่ะ อาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งหันมองวิชนีอย่างเอาเรื่อง
“นี่เธอรู้ชื่อนี้ด้วยเหรอ?”
วิชนียิ้มขำ “ไม่รู้ได้ไง อาม่าเล่นเรียกนายชื่อนี้ตลอด อาเม้ง อาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์สวนทันที
“หยุดเลย แค่อาม่าเรียกคนเดียวก็พอแล้ว”
“นี่ฉันถามนายจริงๆ นะ ฝันของนายคือแค่ได้เล่นเกมพวกนี้จริงเหรอ? คือมันดูไม่เข้ากับฐานะของนายเอาซะเลย”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองวิชนี ด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“การเล่นเกมเนี่ยมันเป็นความฝันที่จริงจังที่สุดของฉันเลยนะ พ่อแม่ฉันเสียตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันก็เลยต้องขึ้นเป็นผู้บริหารโรงแรมเองตั้งแต่วัยรุ่น ฉันก็เลยไม่เคยมีช่วงเวลาที่เหมือนวัยรุ่นคนอื่นเขาไง”
วิชนีที่กำลังยิ้มๆ อยู่ถึงกับหุบยิ้ม ไม่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์จะมีมุมนี้
“ฉันขอโทษ ฉันแค่ไม่คิดว่าชีวิตนายมีมุมน่าเศร้ากับเขาด้วย”
“ช่างเถอะ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้ฉันก็คิดได้แล้วล่ะ ในเมื่อครั้งแรกเราเล่นเกมแล้วแพ้
ก็แค่หยอดเหรียญแล้วเริ่มเล่นใหม่จนชนะได้ ชีวิตคนเราก็คงเหมือนกำลังเล่นเกมเกมหนึ่ง แค่จะชนะเมื่อไหร่เท่านั้น”
“โอ้โห นายคิดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ฉันรู้สึกภูมิใจแทนอาม่านายยังไงก็ไม่รู้ โอ้ อาเม้งของอาม่า”
วิชนีพูดพลางกุมมือไว้ที่หน้าอก ทำหน้าล้อเลียน ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างหมั่นไส้ เธอเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งหนีแต่ไม่วายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีเดินกลับเข้ามาที่โรงแรม ต่างคนต่างมีท่าทางเขินๆ พลางอ้าปากจะพูดพร้อมกัน
“ฉัน”
ทั้งคู่หยึดกึก ทิ้งจังหวะ ก่อนจะพุดขึ้นมาพร้อมกันอีก
“นาย / เธอพูดก่อน”
ทั้งคู่หัวเราะอย่างเขินๆ ก่อนศักดิ์สิทธิ์จะเป็นฝ่ายพูดก่อน
“คือฉันแค่จะบอกว่า ฉันพร้อมจะสู้เพื่อโรงแรมที่ฉันรักแล้วนะ”
“ทำไมนายถึงได้เปลี่ยนความคิดเร็วจัง”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม ไม่ตอบอะไร “ตาเธอแล้ว”
“ฉันแค่จะถามว่า นายโอเค. ขึ้นแล้วใช่มั้ย? แต่คงไม่ต้องถามแล้วล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์มองตาวิชนีอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่เคยทำ
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยทำให้ฝันของฉันเป็นจริง”
พูดจบก็เดินออกไป ก่อนจะพึมพำเบาๆ กับตัวเอง
“ฉันกลับมาสู้ต่อได้ ก็เพราะเธอนั่นแหละ”
วิชนียืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม ใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
ทรงพลกลับเข้าบ้านด้วยท่าทางเครียดๆ กำลังจะเดินขึ้นข้างบนตามปกติ แต่แล้วก็สะดุ้งตกใจ เมื่อ
ได้ยินเสียงศุภารมย์ดังขึ้น
“ไปหาลูกค้าทำไมกลับซะเร็วล่ะคะ? เป็นอะไรคะ? ท่าทางคุณดูเครียดๆนะคะ”
ทรงพลอึกอัก
“เรื่องงานน่ะ มีปัญหานิดหน่อย”
จังหวะนั้นทิวัตถ์ก็เดินลงมา พร้อมกับที่ยอดวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณท่านครับ มีกล่องอะไรไม่รู้วางอยู่หน้าบ้านครับ”
ทิวัตถ์รีบถาม “กล่องพัสดุใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่ครับ เพราะที่กล่องไม่มีแสตมป์กับชื่อคนส่งจ่าหน้าเลยครับ”
ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนจะพากันเดินออกมา พลางหยุดยืนอยู่หน้ากล่องใบหนึ่งที่วางอยู่กลางประตูบ้านอย่างจงใจ
ทิวัตถ์จะเดินเข้าไปหยิบ แต่ศุภารมย์ห้ามไว้
“เดี๋ยววิน ในกล่องมีอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเป็นระเบิดขึ้นมามันอันตรายนะลูก”
ทิวัตถ์เดินเข้าไปยกกล่องขึ้นมาฟังเสียง
“ผมว่าไม่น่าจะใช่ระเบิดนะครับ”
จากนั้นก็หยิบกล่องขึ้นมาเปิดดู แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าเป็นสำเนาหนังสือพิมพ์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว พาดหัวข่าวการตายของศุภิสราในอดีต พร้อมข้อความว่า “ฉันรู้ความลับของพวกแก”
ทรงพลตกใจ “นี่มันอะไรกัน ใครกล้ามาเล่นพิเรนทร์แบบนี้?”
ทิวัตถ์ลอบมองทรงพลกับศุภารมย์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร?
เมื่ออยู่กันตามลำพัง ศุภารมย์ก็หันมาถามทรงพล
“คุณคิดว่าเป็นฝีมือใคร?”
ทรงพลนิ่งคิด “มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรองฯ เผ่า หรือรองฯ ศัลย์”
ศุภารมย์สวนขึ้นทันที “หรือไม่ก็เป็นเลขาของคุณ อย่าลืมสิคะว่าวันนั้นกานดาก็อยู่ด้วย”
“อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าเป็นกานดา”
“ฉันก็แค่สงสัย แต่คงไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะกานดาคงไม่ทำร้ายคนที่เธอรัก จริงมั้ยคะ?”
ทรงพลที่กำลังเครียดอยู่ หันมาดุ
“เวลาอย่างนี้คุณไม่ควรเอาเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาพูด แต่ไม่ว่ามันจะเป็นใคร เราต้องหาตัวมันให้พบ
ก่อนที่มันจะคิดลงมือทำอะไร”
ทิวัตถ์ที่แอบฟังอยู่ ครุ่นคิดด้วยความสงสัย จากนั้นก็หลบเข้าไปโทร. มือถือหาลิลิน
“คุณไม่น่าใช้วิธีนี้เลย”
“ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณล่วงหน้า แต่ฉันคิดว่ามันจำเป็นต้องทำจริงๆ”
ทิวัตถ์คุยมือถือหน้าเครียด “จำเป็น ? ผมว่าคุณต้องการทำให้พ่อกับแม่ผมตกใจมากกว่า”
“คุณคิดว่าฉันคิดแค่นั้นจริงๆ เหรอ? ที่ฉันทำอย่างนั้น ก็เพื่อทำให้ครอบครัวคุณสงสัยใครคนนึง แล้วพวกเขาจะนำทางเราไปหาคนคนนั้นเอง”
ทิวัตถ์ถือสายฟังด้วยสีหน้ากังวล
ศัลย์นั่งดูข่าวที่ตัดออกมาจากหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวศุภิสราเมื่อ 15 ปีก่อนกับข้อความในกระดาษที่ถูกส่งมาเมื่อคืนอยู่
“ขอผมดูกล่องหน่อย”
ศุภารมย์ยื่นกล่องใส่รูปให้ ศัลย์รับมาดูอย่างละเอียด
“ต้องเป็นกล่องที่มาส่งเองกับมือแน่ๆ คุณพลกับคุณต่ายคิดว่ามันเป็นใคร?”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ คนที่รู้เรื่องก็มีแค่พวกเรา หมอศรัณย์ ทรงเผ่า แล้วก็คนงานเก่า”
“ตัดหมอศรัณย์ออกไปได้เลย ส่วนพี่เผ่าก็ไม่น่าจะใช่ เขาไม่น่าจะโง่ทำอะไรตื้นๆ และที่สำคัญคุณพลกับคุณต่ายก็ไม่ต่างจากบ่อเงินบ่อทองของเขา เพราะฉะนั้นจะเหลือก็แค่...”
พูดถึงตรงนี้ ศุภารมย์ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เจี๊ยบ? หรือว่าคนที่ส่งมาจะเป็นเจี๊ยบคนงานเก่าที่ฉันไล่มันออกไป เพราะหลังจากวันนั้นเธอก็หายสาบสูญไปไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย”
“อืม มีทางเป็นไปได้ แล้วคุณต่ายสงสัยใครอีกมั้ยครับ?”
ศุภารมย์นิ่งคิด ก่อนที่ทรงพลจะโพล่งขึ้นมา
“คนงานเก่ายังมีอีกคน นายชัย”
“ใช่ นายชัยคนขับรถให้คุณวันนั้น”
ศัลย์ครุ่นคิด “เอาเป็นว่าทั้ง 2 คนนั้นอยู่ในข่ายที่เราต้องสงสัยไว้ก่อน แล้วจะให้ผมเริ่มจากใครก่อนดี?”
ทิวัตถ์กับลิลินหลบอยู่ที่พุ่มไม้หน้าบ้าน เห็นศัลย์ขับรถออกมาจากบ้าน
“ทีนี้คุณจะเชื่อฉันได้หรือยัง ว่าพ่อแม่คุณจะพาพวกเราไปหาเบาะแสคนต่อไปได้จริงๆ”
“ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้น”
พูดพลางจะเดินออกไป ก่อนที่ลิลินจะทักขึ้น
“เดี๋ยว แล้วนี่คุณจะเอารถของคุณขับตามไปเหรอ? ฉันเกรงว่า...”
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมยืมรถคันเล็กของไอ้สิทธิ์มาแล้ว”
ศัลย์ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอยู่ เลยไม่ได้สังเกตเห็นว่าทิวัตถ์กับลิลินกำลังขับตามมาติดๆ รถของศัลย์ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาจอดที่ชุมชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะก้าวลงมาจากรถ พลางหันซ้ายหันขวาแล้วเดินหายเข้าไปในชุมชน
“คุณว่าเขากำลังไปหาใคร?”
ลิลินหันมาถาม ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นคนสำคัญ รองฯ ศัลย์ถึงต้องไปด้วยตัวเอง”
จากนั้นทั้งคู่ก็รีบลงจากรถก่อนจะวิ่งตามเข้าไปในชุมชน
ศัลย์เดินมาตามทางเดิน ก่อนจะเข้าไปหาชาวบ้านคนหนึ่ง
“ลุง ถามอะไรหน่อย”
“หรือว่าจะเป็นลุงคนนั้น คุณคุ้นหน้าลุงคนนั้นบ้างหรือเปล่า?”
ลิลันหันมาถาม ทิวัตถ์เพ่งมองดีๆ อีกทีก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่คุ้นเลย”
พอศัลย์เดินต่อไป ทิวัตถ์กับลิลินก็รีบเข้าไปหาลุงคนนั้นทันที
“สวัสดีค่ะคุณลุง ฉันมากับผู้ชายคนเมื่อกี้ค่ะ ไม่ทราบว่าเขามาคุยอะไรกับคุณลุงเหรอคะ?”
“อ๋อ เขามาถามหาคนน่ะ โน่น เขาเดินไปทางโน้นแล้ว”
ทิวัตถ์ถามต่อ “เขามาถามหาคน แล้วเขาได้บอกชื่อหรือเปล่าครับว่ามาหาใคร?”
“เขามาหาไอ้ชัย”
ลิลินกับทิวัตถ์หันมองหน้ากันอย่างตกใจ
“น้าชัย”
“น้าชัยคือใคร?”
ทิวัตถ์รีบบอก
“คนขับรถเก่าที่บ้านของผมเอง คุณลุงครับแล้วบ้านของน้าชัยอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
“มันไม่อยู่หรอก ไอ้ชัยมันเป็นคนขับรถให้เศรษฐีใหญ่ ตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนฉันไม่รู้หรอกนะพ่อหนุ่ม”
ทิวัตถ์กับลิลินยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกมา
“แล้วคนขับรถจะไปเกี่ยวอะไรด้วย?” ลิลินไม่วายสงสัย
“เพราะน้าชัยเป็นคนขับรถให้พ่อผมตอนผมเด็กๆ ที่รองฯ ศัลย์มาตามหาน้าชัยที่บ้าน ก็แสดงว่าน้าชัยต้องมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์วันนั้น”
“แล้วเราจะตามหาน้าชัยเจอได้ไง? เพราะขนาดรองฯ ศัลย์ยังหาไม่เจอเลย แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็รู้ว่าน้าชัยไม่ได้หายไปไหนไกล ถ้าเราตามรองฯ ศัลย์ต่อไป ต้องเจอตัวน้าชัยแน่”
ทั้งคู่เดินไปตามทาง แต่พอเดินเลี้ยวหัวมุมถนนก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นศัลย์ยืนดักอยู่
“ไม่ทราบว่าคุณวินกับคุณลินมาทำอะไรแถวนี้ คงไม่ได้บังเอิญผ่านมาใช่มั้ยครับ?”
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ก่อนทิวัตถ์จะพูดแก้ตัว
“คุณลินเขาเป็นครูอาสาสอนเด็กร้องเพลงอยู่ที่โรงเรียนแถวนี้”
“แหม ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณลินก็ใจบุญสุนทาน ทีแรกผมก็คิดว่าคุณวินกับคุณลินจะมาหาใครแถวนี้ซะอีก”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็สวนขึ้นทันควัน
“แล้วรองฯ คิดว่าพวกเรามาหาใครล่ะคะ?”
ศัลย์มองหน้าลิลินที่มองตอบอย่างท้าทาย
“คุณคิดว่าผมหมายถึงใคร? ก็พวกเด็กๆที่คุณต้องไปสอนไง”
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ เพราะถึงยังไงพวกเราคงไม่ใช่คนที่รองฯ กำลังหาอยู่”
ศัลย์หลีกทางให้ ทิวัตถ์กับลิลินเดินออกไปอย่างโล่งอก
ทางด้านชัยก็ขับรถมาส่งซือเฟินที่หน้ารอยัลเพิร์ล ก่อนที่จะรีบเดินไปเปิดประตูให้
“นี่อาชัย เดี๋ยวลื้อไปหาที่พักผ่อนให้สบายๆ ก่อนนะ อั๊วมีเรื่องคุยกับอาเม้งยาวหน่อย คงกลับเย็นๆ”
“ครับอาม่า แล้วอาม่าจะกลับกี่โมงครับ?”
ซือเฟินที่กำลังจะก้าวเข้าประตูโรงแรมก็ต้องชะงัก หันมาถอนหายใจใส่อย่างรำคาญใจ
“อั๊วบอกว่ายาวก็คือยาว ช่างเหอะเดี๋ยวอั๊วจะกลับเมื่อไหร่อั๊วจะไลน์ไปบอกลื้อล่ะกัน ไม่ต้องโทร. มาถามอีก เข้าใจมั้ย?”
ชัยก้มหัวรับคำ ก่อนที่ซือเฟินจะเดินผ่านประตูโรงแรมเข้าไปในล็อบบี้
วิชนีเดินถือถาดอาหารมาหยุดที่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ พลางเงื้อมือจะเคาะประตู แต่ก็หยุดชะงัก ก่อนจะขยับเท้าเข้าไปชิดประตู แล้วแนบหูฟัง
“ทำไมในห้องมันถึงได้เงียบอย่างนี้ล่ะ หรือว่าหลับอยู่”
ศักดิ์สิทธิ์ที่เดินเข้ามาเห็นพอดี
“จะไม่เงียบได้ไง ก็ผมไม่ได้อยู่ในห้อง”
วิชนีหันขวับไปมองด้านหลังแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่
“เฮ้ย ! นายมาทำอะไรตรงนี้?”
“เธอนั่นแหละมาทำอะไรที่หน้าห้องฉัน อย่าบอกนะว่าจะมาชวนฉันไปเล่นเกมอีก ไปสิฉันกำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี”
พูดพลางคว้าแขนจะพาเดินออกไป แต่วิชนีขืนไว้
“จะบ้าหรือไง เล่นเกมไรกันแต่เช้า”
ศักดิ์สิทธิ์ปล่อยมือแล้วมองไปที่ถาดอาหารในมือวิชนี
“แล้วเธอจะเอาอาหารขึ้นมาด้วยทำไม?”
“ฉันแค่เห็นว่าคุณปกติไม่อยู่ แล้วแขนนายก็เดี้ยง ฉันก็เลยทำอาหารเช้ามาให้ ก็เห็นเมื่อวานนายบอกจะสู้ใหม่ กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง”
ศักดิ์สิทธิ์อมยิ้ม ก่อนจะสงวนท่าทีเอาไว้
“ไหนๆ ก็ยกขึ้นมาแล้วฉันจะกินให้ก็ได้ เธอจะได้ไม่ต้องมาเสียเที่ยว วางไว้ตรงนั้นแหละ”
พลันเสียงลิฟท์ก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงของซือเฟิน
“ไอ้หยา ทำไมถึงได้เปิดแอร์จนหนาวอย่างนี้นะ ถ้าบ่ายๆ หิมะไม่ตกเลยหรือไง”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเสียงไกลๆ ก็จำได้ทันที
“อาม่า”
“อาม่ามาเหรอ? งั้นนายช่วยฉันถือถาดหน่อย ฉันจะไปรับอาม่าเอง”
ศักดิ์สิทธิ์รับถาดมาถืองงๆ แล้วรีบวางถาดลง เพราะกลัวขึ้นมาว่าซือเฟินจะจับคู่กับวิชนีเข้า
“เฮ้ย เธอไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
พูดพลางหันมองที่ทางเดิน ก่อนจะหันมองที่ประตูห้อง แล้วคว้าแขนวิชนีวิ่งเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูทันที ก่อนจะมองหาที่ซ่อน พร้อมๆ กับที่ซือเฟินเคาะประตูเรียก
“อาเม้ง อาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าตาตื่นตกใจ ซือเฟินไม่รีรอเปิดประตูผั้วะเข้าไป ยืนมองอยู่ที่หน้าห้อง ด้วยความสงสัยที่ไม่เจอศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนหลบอยู่หลังม่าน แบบใกล้ชิดกันมาก
“ฉันว่านายเขยิบออกไปหน่อยก็ได้นะ”
“เธอนั่นแหละเขยิบไป ขืนฉันเขยิบออกไปอีก อาม่าได้เห็นว่าฉันอยู่กับเธอน่ะสิ”
วิชนีโมโหผลักศักดิ์สิทธิ์ ทั้งคู่ผลักกันไปผลักกันมาจนม่านกระเพื่อม ซือเฟินที่กำลังจะลุกออกไป เห็นบางอย่างขยับอยู่ที่หลังม่าน ก็ค่อยๆ เดินเข้าไป
“นั่นใคร? อั๊วถามว่าใครอยู่ตรงนั้น?”
ซือเฟินที่เดินเข้ามาใกล้ผ้าม่านเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะจับที่ม่านกำลังจะแหวกออกดู ศักดิ์สิทธิ์รีบคว้ามือวิชนีวิ่งสวนพรวดออกจากประตูห้องไป
“อาเม้ง นั่นลื้อจะไปไหน? อย่าให้อั๊วจับได้นะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
ศักดิ์สิทธิ์ที่พาวิชนีวิ่งมาตามทาง ก่อนจะหยุดที่มุมหนึ่ง ต่างคนต่างหายใจหอบ
“จริงๆ นายจะหนีก็หนีไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากฉันมาด้วย”
“ก็....” ศักดิ์สิทธิ์ที่เกือบหลุดปากบอกไป แต่นึกขึ้นได้รีบชะงักไว้ วิชนีสงสัยจึงคาดคั้นถาม
“ก็อะไร พูดให้จบสิ”
“ก็ ก็ไม่มีอะไรไง ฉันแค่ยังไม่อยากเจออาม่าก็เท่านั้น”
“หรือว่านายมีความลับอะไร ได้ งั้นฉันไปถามอาม่าเอง”
วิชนีพูดพลางหันหลังกลับเดินหนี แต่ศักดิ์สิทธิ์รีบรั้งไว้
“เออๆ บอกก็ได้ แต่บอกนิดเดียวนะ อาม่ายอมให้เงินฉันแล้ว แต่ต้องแลกกับเงื่อนไขบางอย่าง แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันทำไม่ได้”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ทางด้านทิวัตถ์กับลิลินก็เปิดประตูเข้ามาในล็อบบี้ของรอยัลเพิร์ล ทั้งคู่ยังคงขบคิดเรื่องที่ศัลย์กำลัง
ตามหาชัย
“ฉันว่าเราต้องรีบหาตัวน้าชัยให้เจอก่อนรองฯ ศัลย์แล้วล่ะ”
ทิวัตถ์หันมามองอย่างสงสัย “ทำไม?”
“ฉันกลัวว่าจะเหมือนกรณีลุงบุญช่วยน่ะสิ”
ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงโวยวายดังเข้ามา ก่อนจะหันไปเห็นปกติกำลังยืนทะเลาะกับผู้ชายคนหนึ่งทั้งคู่รีบเข้าไปห้าม
“เรื่องอะไรกันครับ?”
“คุณวินกับคุณลินมาก็ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้เดินชนผมแล้วไม่ขอโทษน่ะสิครับ”
ทิวัตถ์หันไปมองชายคนนั้นก่อนจะจำได้
“น้าชัย”
ลิลินได้ยิน ก็ยิ้มดีใจ ปกติเห็นไม่มีใครสนใจ ก็เดินออกไปอย่างหงุดหงิด
“น้าชัย ผมเอง จำผมได้มั้ยครับ?”
“คุณวิน ทำไมน้าจะจำคุณวินไม่ได้ล่ะครับ แหม โตขึ้นเป็นกองเลยนะครับ”
“น้าชัยเป็นไงบ้าง ตอนนี้ทำอะไรที่ไหนอยู่ครับ?”
“ตอนนี้น้าขับรถให้อาม่าของคุณสิทธิ์ครับ”
ทิวัตถ์นึกประหลาดใจ “จริงเหรอครับ? อยู่ใกล้แค่นี้ทำไมผมไม่เคยเจอน้าชัยเลย”
ชัยนิ่งไปเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง จึงพยายามพูดตัดบท
“น้าขอตัวก่อนนะครับ พอดีน้า...”
ทิวัตถ์รีบพูดแทรกทันที
“น้าชัยว่างมั้ยครับ? ผมอยากจะคุยอะไรกับน้าชัยหน่อย”
จากนั้นทั้งคู่ก็ดึงชัยมาคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง
“คุณวินอยากรู้เรื่องอะไรหรือครับ?”
ท่าทางของชัยดูกังวล
“น้าชัยพอจะจำเหตุการณ์วันที่คุณแม่ผมเสียชีวิตได้มั้ย?”
ชัยได้ยินก็ถึงกับสะอึก ก่อนจะรีบปฏิเสธ
“วันนั้นน้าไม่ได้เห็นเหตุการณ์อะไรหรอกนะครับ คุณพลให้น้านั่งรอในรถกับคุณกานดา แล้วน้าก็เห็นแค่คุณพลอุ้มคุณวินที่หัวแตกเลือดไหลเต็มตัวมาให้น้าพาไปส่งที่โรงพยาบาล ได้โปรดอย่าซักไซ้อะไรน้าอีกเลยครับ เรื่องอื่นน้าไม่รู้อะไรจริงๆ ถ้าคุณวินอยากรู้อะไรลองไปถามคุณกานดาดูนะครับ”
ชัยสีหน้าไม่ค่อยดีที่ต้องเล่าเหตุการณ์ในอดีต โชคดีที่ซือเฟินเข้ามาทันเวลา ทิวัตถ์กับลิลินรีบหันไปยกมือไหว้
“อ้าว แหม นึกว่าอาชัยคุยกับหนุ่มหล่อที่ไหนอยู่ ที่แท้อาวินนี่เอง เป็นไงบ้างลื้อสบายดีมั้ย? นี่เมียลื้อเหรอ? แหมสวยไม่เบาเชียวนะ พวกลื้อก็รีบมีลูกกันเร็วๆ นะเดี๋ยวจะไม่ทันใช้ แล้วนี่เมื่อไหร่อาเม้งจะมีเมียกับเขาซะทีดูซิแก่จนปูนนี้ฟงแฟนก็ยังไม่มี สู้ลื้อก็ไม่ได้เนอะอาวิน”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธ
“เอ่อ นี่คุณลินนักร้องประจำผับของไอ้สิทธิ์ครับอาม่า ไม่ใช่แฟนผม”
ซือเฟินได้ยินก็ตกใจ มองลิลินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเข้าไปกระซิบทิวัตถ์
“ไอ้หยา ! นี่ลื้อสนใจพวกผู้หญิงเต้นกินรำกินกับเขาด้วยเหรอ ระวังโดนอีฮุบสมบัติหมดล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าอาม่าไม่เตือน”
“เธอไม่ใช่คนอย่างที่อาม่าคิดหรอกครับ”
ซือเฟินพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะขอตัวเดินแยกไป พร้อมกับชัยที่ถิอโอกาสเดินเลี่ยงตามไปทันที
ลิลินมองทิวัตถ์ที่คิดบางอย่างอยู่
“วันนั้นพ่อกับแม่ต่ายบอกผมว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แต่ทำไมน้าชัยถึงบอกว่าพ่อเป็นคนอุ้มผมลงมา”
“ทีนี้คุณเชื่อฉันหรือยัง? ว่าวันนั้นมีคนอยู่ในบ้านคุณจริงๆ”
“ว่าอะไรนะ ? เจอวินกับคุณลินเหรอ?”
ศุภารมย์อุทานอย่างตกใจ เมื่อได้ยินศัลย์เล่าให้ฟัง
“คุณวินบอกว่าคุณลินมาเป็นครูอาสาสอนร้องเพลงให้เด็กๆ ที่นั่น ผมว่าระยะนี้คุณวินดูท่าทางแปลกๆนะครับ”
ศุภารมย์เริ่มสงสัยลิลิน
“วินดูไม่แปลกหรอกถ้าไม่มีใครเอาอะไรไปเป่าหูเขา”
“คุณต่ายหมายถึงคุณลิน?”
ศุภารมย์พยักหน้า
“ใช่ แววตาเด็กคนนั้นเหมือนต้องการอะไรบางอย่างจากครอบครัวฉัน ยังไงรองฯ ก็ช่วยดูๆ หน่อยแล้วกัน”
ศัลย์รับคำ พร้อมๆ กับที่ทรงพลโทร. มือถือมาหาศุภารมย์พอดี
“วันนี้ผมคงกลับบ้านดึกหน่อยนะ ต้องไปกินเลี้ยงกับลูกค้า”
ศุภารมย์นิ่งฟัง อย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูด
“เมื่อวานก็ไปกินเลี้ยงกับลูกค้า วันนี้ก็ไปอีก เหนื่อยแย่เลยนะคะ แล้วนี่ลูกค้าจากบริษัทอะไรคะ?”
ทรงพลอ้ำอึ้ง “ก็ลูกค้าใหม่น่ะ คุณยังไม่รู้จักหรอก”
“ถ้างั้น เอาไว้วันหลังคุณพาฉันไปรู้จักด้วยก็แล้วกันค่ะ”
ศุภารมย์วางสายอย่างระแวงในคำพูดของทรงพล
ลิลินกับทิวัตถ์เดินคิดเรื่องคำพูดของชัยกันมาเงียบๆ
“ทั้งที่เจอคนที่อยู่ในวันนั้นแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย”
ทิวัตถ์พูดเหมือนรู้สึกหมดหนทาง
“ไม่ใช่คุณที่ทำอะไรไม่ได้ แต่เพราะไม่มีใครกล้าเล่าเหตุการณ์วันนั้นต่างหาก”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่มีใครอยากเล่าความจริงให้ผมฟัง”
“บางทีน้าชัยเขาอาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้ แต่เมื่อกี๊ตอนน้าชัยเล่า ดูเหมือนน้าชัยจะกลัวอะไรบางอย่าง”
ทิวัตถ์ขมวดคิ้วสงสัย “กลัวอะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงฉันก็จะไม่ยอมแพ้ เราเจอน้าชัยได้ เราก็ต้องเจอคนอื่นๆ ได้ ยังไงคุณก็เตรียมคำแก้ตัวดีๆ ก็แล้วกัน เพราะรองฯ ศัลย์คงจะกลับไปรายงานพ่อกับแม่คุณแล้วแน่ๆ”
ทิวัตถ์ถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
เมื่อลิลินกลับมาถึงห้องพัก ก็ต้องยิ้มดีใจ เมื่อได้รับจดหมายตอบจากแม่ดา
“ถึงหนูลี แม่ดาคิดถึงและอยากเจอหนูลีมาก แม่ดาอยากขอโทษสำหรับสิ่งที่ผ่านมา ที่แม่ดาไม่เคยตอบจดหมายกลับ ไม่เคยแม้แต่จะทำหน้าที่แม่บุญธรรมที่ดีให้หนูลี แต่แม่ดารับรู้เสมอมาว่าหนูลีเป็นเด็กดีแค่ไหน ตอนนี้หนูลีคงจะโตเป็นสาวและสวยมาก ถ้าได้เจอกัน แม่ดาไม่แน่ใจว่าจะจำหนูลีเด็กผมเปียของแม่ดาในวันนั้นได้มั้ย? แต่วันนี้แม่ดามีโอกาสเข้ามาทำธุระที่โรงแรมหนูลีพอดี และแม่ดาจะไม่ปล่อยเวลาสำคัญนี้ทิ้งไปอีก 1 ทุ่มตรง แม่ดาอยากให้หนูลีลงมาเจอกันที่ร้านอาหารชั้นล่าง ขอให้แม่ดาได้ทำหน้าที่แม่บุญธรรมของหนูลีเพื่อชดเชยเวลาที่ผ่านมาสักครั้ง แม่ดาอยากเจอหนูลีเหลือเกิน รัก จากแม่ดา”
ลิลินอ่านจบก็แนบจดหมายเข้าที่อก พร้อมกับน้ำตาคลอ
“ในที่สุดหนูลีก็จะได้เจอแม่ดาสักที หนึ่งทุ่ม”
พูดพลางพลิกดูนาฬิกา เห็นว่าหกโมงแล้ว เธอรีบวางจดหมายลง ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปทันที
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ลิลินเดินเข้ามาที่ร้านอาหาร พลางมองหาผู้หญิงที่คิดว่าจะเป็นแม่ดา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกานดานั่งอยู่ เธอนิ่งคิดด้วยความสงสัย เพราะรู้สึกคุ้นหน้า ก่อนจะนึกออกว่าเคยเห็นในงานแต่งงานของอนันยช
“คนของพ่อคุณวินนี่”
จังหวะนั้นศุภารมย์เดินเข้ามาหากานดา ลิลินรีบถอยกลับไปแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเธอจะมานั่งในร้านอย่างนี้ตามลำพังหรอก จริงมั้ยคุณกานดา?”
กานดาที่หันไปเห็นศุภารมย์เดินเข้ามาก็ตกใจ รีบลุกขึ้น
“ทำไม ตกใจมากสินะที่เห็นฉันแทนที่จะเป็นคุณพล”
กานดารีบปฏิเสธ “เปล่าค่ะคุณต่าย”
“เจอกันที่บริษัทยังไม่พออีกหรือไง ถึงได้ต้องแอบนัดมากินกันข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ อย่างว่า เธอคงตัดใจไม่ได้สินะ รู้ว่าเธอคงยังไม่ลืมคุณพล”
กานดาพยายามจะอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณต่าย”
“อย่าปฏิเสธเลย เพราะฉันเห็นมันในแววตาของเธอทุกครั้งที่มองคุณพล ปกติฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบ
ในเมื่อเรามีสามีที่สมบูรณ์แบบกว่า ก็แบ่งๆ ให้คนอื่นชื่นชมบ้างถือว่าทำบุญให้นกให้กาไป เพราะฉันแน่ใจว่า นกกาอย่างเธอ ก็แค่ความเพลิดเพลินชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น”
กานดาทนไม่ไหว พูดย้อนกลับ
“ถึงกานจะเป็นแค่กา แต่ก็ยังดีกว่าหงส์บางตัวที่คิดว่าตัวเองขาวสะอาดแต่สิ่งที่ทำกลับดำมืดยิ่งกว่ากา”
“กานดา เธอก็เป็นได้แค่เครื่องรองรับอารมณ์เท่านั้น วันๆ ก็ซุกหัวแอบอยู่ในที่มืด รอกินน้ำใต้ศอกจากฉัน”
กานดายิ้มเยาะ
“แล้วคนที่กินของเหลือจากน้องตัวเองต้องเรียกว่าอะไรคะ?”
กานดายังพูดไม่ทันจบ ศุภารมย์ที่เข้าใจผิดว่าทรงพลกับกานดากำลังเล่นชู้กันลับหลังก็โมโหตัวสั่น ก่อนจะเข้าไปตบที่หน้าอีกฝ่าย จนหน้าหัน
“เธอคงเจ็บ ที่คนที่คุณพลเลือกกลับเป็นฉันไม่ใช่เธอ”
กานดาหน้าชา ก่อนจะหันมาถามศุภารมย์ทั้งน้ำตา
“กานไม่เคยต้องการอะไร กานรู้ว่ากานเป็นได้แค่ไหน แล้วคุณต่ายยังจะมาเอาอะไรจากกานอีกคะ?”
“ฉันแค่ต้องการให้เธอรู้ไว้ด้วยว่า เรื่องในอดีตของเธอกับคุณพลก็แค่สิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิตของคุณพลเท่านั้น จำเอาไว้ หวังว่าเธอคงรู้นะว่าหลังจากนี้ควรทำยังไง ถ้าเป็นฉันคงไม่อยู่ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน เธอเข้าใจใช่มั้ยกานดา”
ขาดคำศุภารมย์ก็เดินออกไป กานดาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ลิลินซุ่มมองด้วยความสงสัย ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้
เมื่อทรงพลที่กลับมาที่บ้าน ก็เห็นศุภารมย์นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้ฉันไปเจอกับกานดาที่รอยัลเพิร์ล คุณก็เห็นว่าตอนนี้บ้านเรามีแต่เรื่องวุ่นๆ มันยังไม่พอเหรอคะ? แทนที่เราจะช่วยกันหาคนที่ส่งกระสุนกับกล่องบ้าๆ นั่นมาเมื่อวาน แต่คุณกลับไปหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงอย่างนั้น”
ทรงพลตวาดกลับด้วยความโมโห
“คุณต่าย คุณจะคิดอะไรก็เชิญ แต่ผมกับคุณกาน เราไม่ได้ทำอะไรสกปรกๆ อย่างที่คุณคิด”
“ถ้าไม่ได้คิดเรื่องสกปรก แล้วนัดกานดาทำไม?”
ทรงพลนิ่งไป ก่อนจะพูดขึ้นมา “ผมให้กานดาไปทำธุระ”
ศุภารมย์ไม่ฟัง แต่กลับย้อนกลับอย่างมีอารมณ์ จนทรงพลทนไม่ไหวต้องเดินเลี่ยงไป
ทิวัตถ์ที่แอบดูอยู่ นึกเป็นห่วงศุภารมย์ขึ้นมา
ลิลินเดินถือจดหมายที่แม่ดาส่งมา ก่อนจะนั่งลงมองที่กระจกนึกย้อนกลับไปเรื่องเมื่อครู่
“กานดาเหรอ? จะใช่คนเดียวกับแม่ดาของหนูลีหรือเปล่านะ?”
พลันเธอก็สะดุ้งตกใจ เมื่อเสียงมือถือดัง เธอรีบคว้ามากดรับสาย
“ว่าไงมัต?”
“นี่ตั้งแต่หมอศรัณย์ตาย คลีนิกก็ปิดตัวจนถึงวันนี้ มัตไม่รู้จะเข้าไปได้ยังไงเลยลิน”
“ช่างเถอะมัต มัตรู้มั้ยวันนี้ลินไปเจอใครมา”
ปรมัตถ์สงสัย “ใครเหรอลิน ?”
“น้าชัยที่เป็นคนขับรถเก่าที่บ้านคุณวิน น้าชัยน่าจะเป็นอีกเบาะแสสำคัญ เพราะน้าชัยเล่าว่าวันนั้นเขานั่งคอยพ่อคุณวินอยู่ในรถด้วย แต่น้าชัยบอกไม่เห็นเหตุการณ์อะไรนะมัต นอกจากเห็นพ่อคุณวินอุ้มคุณวินมาส่งให้ไปโรงพยาบาล”
ปรมัตถ์ได้ยินก็ยิ้มออก เพราะพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้
“เดี๋ยวนะลิน ถ้าลินบอกว่าน้าชัยรออยู่ในรถ นั่นก็พอจะยืนยันได้แล้วว่าทุกคนยังอยู่ในบ้าน”
“ใช่ น้าชัยเป็นคนเดียวที่จะยืนยันว่าสิ่งที่ลินพูดเป็นความจริง”
“แล้วลินจะเจอน้าชัยอีกเมื่อไหร่?”
“ทำไมเหรอมัต? แต่ถึงลินเจอน้าชัย น้าชัยก็คงไม่ยอมบอกอะไร”
ปรมัตถ์รีบอธิบาย
“แค่นั้นก็มากพอแล้ว เพราะถ้าเราเอาน้าชัยมาเป็นพยานได้ ก็เท่ากับยืนยันว่าทุกคนให้การเท็จ”
ลิลินยิ้มอย่างมีความหวัง
ทิวัตถ์เดินเข้ามาหาศุภารมย์ด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายรีบปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะย้อนถามกลับ
“วิน วันนี้วินไปทำอะไรในชุมชนนั่นน่ะลูก?”
ทิวัตถ์ที่เตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว ยิ้มขำ
“ผมคิดไว้แล้วว่ารองฯศัลย์ต้องรีบมาบอกแม่ต่าย คือคุณลินเขาไปเป็นครูอาสาสอนร้องเพลงให้เด็กแถวนั้นน่ะครับ ผมก็เลยถือโอกาสไปเดินเล่นด้วย”
ศุภารมย์ยังไม่ปักใจเชื่อ “พักนี้ลูกดูสนิทกับคุณลินนะ”
“ไอ้สิทธิ์เขามาขอร้องให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณลิน ผมก็แค่อยากจะช่วยเพื่อนน่ะครับ ทำไมเหรอครับ?”
“แม่แค่เป็นห่วง แถวนั้นมันอันตราย ไปนอนเถอะวินดึกมากแล้ว”
ทิวัตถ์รับคำ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ศุภารมย์มองตาม ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดโทร. ออกหาศัลย์
“วินบอกอย่างที่รองฯบอกฉันจริงๆ”
“แล้วคุณต่ายเชื่อเหรอครับ?”
ศัลย์ย้อนถาม ศุภารมย์นิ่งไป ก่อนจะถามกลับ
“แล้วรองฯ คิดว่าวินไปแถวนั้นได้ยังไง?”
“ผมว่าคุณวินคงจะสะกดรอยตามผมไป”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรที่วินจะสะกดรอยตามรองฯไปหานายชัย”
“กับคุณวินอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่กับคนอื่นก็ไม่แน่”
ศุภารมย์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งไม่สบายใจ
“ฉันอยากให้นายชัยออกไปจากจังหวัดนี้ซะ”
ขาดคำก็วางสายลง ศัลย์วางสายตาม พร้อมกับความอำมหิตผุดขึ้นมาในแววตา
ทางด้านซือเฟินก็ย้อนกลับมาหาศักด์สิทธิ์ที่โรงแรมอีกครั้ง ก่อนจะยื่นคำขาด
“ในเมื่อลื้อยังทำตามเงื่อนไขของอั๊วไม่ได้ อั๊วก็แค่อยากจะช่วยสงเคราะห์ลื้อหรอกนะ”
ศักดิ์สิทธิ์งงหนัก “อะไรของอาม่า ผมงงไปหมดแล้ว”
“ลื้อไม่ต้องทำเป็นงงหรอก อั๊วมีคนอยากให้ลื้อเจอ ป่านนี้อีคงจะมาถึงพอดีแล้วล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนต่อหน้าหมิ่นหลิง สาวอวบอ้วนหน้าหมวยคนหนึ่ง ก่อนที่ซือเฟินจะแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน
“อาหมิ่นหลิงเป็นหลานของเพื่อนอาม่า อีนิสัยดีนะรู้จักกันไว้สิอาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์เห็นท่าไม่ดีรีบดึงซือเฟินออกไปคุย
“อะไรของลื้อฮะ”
“ผมน่าจะถามอาม่ามากกว่า ทำไมอาม่าทำอย่างนี้?”
ซือเฟินยิ้มขำ
“จะขอบใจอั๊วใช่มั้ย? ไม่เป็นไรน่า อั๊วแค่เห็นว่าลื้อไม่มีเวลาจีบผู้หญิงดีๆ น่ะสิ อั๊วก็เลยหาให้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะอาม่า ผมไม่ได้ชอบเธอ”
ซือเฟินทำหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนจะตบเข้าที่ไหล่ศักดิ์สิทธิ์
“เอาน่า อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองซือเฟินกับหมิ่นหลิงอย่างกลุ้มใจ
ขณะที่วิชนีพร้อมกับพนักงานก็มาแอบซุ่มดูการดูตัวของศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกมุมหนึ่ง
“อาเม้ง ลื้อนั่งเงียบทำไมชวนอาหมิ่นหลิงคุยสิ”
ซือเฟินหันมาบอกศักดิ์สิทธิ์ ที่มองหน้าหมิ่นหลิงแบบเจื่อนๆแต่ก็ไม่ยอมพูด จนอีกฝ่ายที่นั่งเขินๆ จะแย่งพูดขึ้นมาเอง
“เฮีย เฮียว่าคนที่เกิดมาอ้วนอย่างหมิ่นหลิงเนี่ยผิดมั้ย?”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าแบบงงๆ “ไม่ผิด”
“แล้วจะผิดมั้ยถ้าหมิ่นหลิงจะขอคบกับเฮีย”
ซือเฟินเห็นทั้งสองคุยกัน ก็ยิ้มพอใจ ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองอาม่าอย่างเหนื่อยใจ
บังเอิญพนักงานที่เขย่งเบียดแย่งกันดู ดันกันเองจนล้มไปกองกับพื้น ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเสียง ก็หันไปดู แล้วก็เห็นวิชนียืนอยู่ ทั้งคู่มองสบตากัน ก่อนที่วิชนีจะรีบหลบตาหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัว
ศักดิ์สิทธิ์นึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วรีบวิ่งไปดึงตัววิชนีออกมา ซือเฟินกับหมิ่นหลิงมองอย่างงงๆ
“อ้าวลื้อนี่เอง ลื้อเล่นอะไรของลื้อฮะอาเม้ง?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก “ผมไม่ได้เล่น ผมเอาจริง นี่แหละคนที่ผมชอบ”
วิชนีได้ยินเข้าก็ตกใจ รีบเอียงหน้าไปกระซิบ
“เล่นบ้าอะไรของนาย แบบนี้ฉันไม่ขำด้วยหรอกนะ”
“อาเม้ง นี่ลื้อล้ออาม่าเล่นใช่มั้ย?”
ศักดิ์สิทธิ์คว้ามือวิชนีมากุม
“เปล่าครับ ผมชอบเธอจริงๆ”
วิชนีตะลึงทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะแกล้งขอตัวเดินเลี่ยงออกมา อดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้มกับตัวเองอย่างสุขใจ
ทางด้านศักดิ์สิทธิ์ที่เดินออกมากับซือเฟินที่ทางเดิน ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายที่เอาแต่กระหยิ่มยิ้มย่องจนน่าแปลกใจ
“นี่อาม่าไม่โกรธผมเหรอ?”
“ให้อาม่าโกรธลื้อเรื่องอะไรล่ะอาเม้ง”
“ก็เรื่องที่ผม...”
ซือเฟินหัวเราะขำ
“ถ้าเรื่องอาหมวยคนนั้นที่ลื้อบอกว่าชอบอี เรื่องดีอย่างนี้อั๊วจะโกรธลื้อทำไม”
ศักดิ์สิทธิ์ดีใจที่คิดว่าซือเฟินหลงเชื่อ
“จริงเหรออาม่า อย่างนี้อาม่าก็ให้เงินผมได้แล้วสิครับ”
ซือเฟินส่ายหน้า
“เดี๋ยวก่อนอาเม้ง อั๊วบอกว่าเรื่องดีแต่ก็ไม่ได้แปลว่าอั๊วจะต้องเชื่อลื้อนะ อย่าลืมสิอั๊วอาบน้ำร้อนมาก่อนลื้อ”
ลิลินเดินผ่านมาเห็นซือเฟินกับศักดิ์สิทธิ์แล้วนึกขึ้นได้
“อาม่าคุณสิทธิ์มา ถ้าอย่างนั้นน้าชัยก็ต้องมาด้วย”
ลิลินเดินมาที่ลานจอดรถ พลางมองไปรอบๆ เพื่อหาชัย จนเห็นซือเฟินเดินออกมาพร้อมกับหมิ่นหลิง จึงรีบปราดเข้าไปทักทาย
“สวัสดีค่ะอาม่า วันนี้อาม่าขับรถมาเองเหรอคะ คนขับรถไปไหนล่ะคะ?”
ซือเฟินถอนหายใจ
“ลื้ออย่าถามได้มั้ย อั๊วยิ่งหงุดหงิดอยู่ อาชัยนะอาชัย จู่ๆ อีก็โทรมาขอลาออกน่ะสิ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับอีหรือเปล่า?”
ลิลินตกใจ “ลาออก? ทำไมล่ะคะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“นั่นแหละที่อั้วอยากรู้ พออั๊วถามอี อีก็ไม่ยอมบอก”
ทางด้านกานดา ก็เดินเข้ามาหราทรงพลถึงในห้องทำงาน ด้วยท่าทางเหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
“เมื่อคืนเจอคุณต่ายได้ยังไง?”
“กานก็ไม่ทราบค่ะว่าคุณต่ายเธอมาได้ยังไง กานนั่งอยู่ที่โต๊ะ แล้วคุณต่ายก็เดินเข้ามา”
กานดามองที่ซองจดหมายในมือ ก่อนจะยื่นส่งให้ทรงพล ที่พอเปิดออกอ่าน ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณต่ายบังคับคุณให้ลาออกใช่มั้ย?”
กานดาอ้ำอึ้ง ทรงพลเห็นก็รู้ทันที
“บอกผมมาเถอะว่าคุณต่ายทำอะไรคุณ ผมรู้จักคุณต่ายดี ตกลงคุณต่ายทำอะไรคุณ?”
ทรงพลถามพลางเดินมาประชิดตัวกานดา จังหวะเดียวกับที่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ทิวัตถ์จะเปิดประตูเข้ามา
ทรงพลรีบปล่อยมือออกจากกานดาทันที
“คุณพ่อครับ ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณพ่ออยู่คนเดียว”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณวิน กานกำลังจะออกไปพอดีค่ะ”
ทรงพลยื่นซองจดหมายคืนให้ “เอาจดหมายของคุณกลับไปด้วย ผมไม่อนุมัติ ผมตัดสินใจแล้ว คุณออกไปทำงานต่อเถอะ”
กานดาจำต้องรับคืนมา ก่อนจะเดินออกไป
“เมื่อคืนผมได้ยินคุณพ่อมีปากเสียงกับแม่ต่าย เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ทรงพลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“วิน เรื่องบางเรื่องเรากลับไปแก้ไขในอดีตไม่ได้ แต่พ่อไม่เคยรักใครนอกจากแม่ต่าย”
“แล้วแม่ต้อยล่ะครับ?”
ทิวัตถ์ย้อนถามทำเอาทรงพลถึงกับอึ้งไป จังหวะนั้นลิลินก็โทร. มือถือพอดี เขาจึงถือขอตัวเดินเลี่ยงออกมา ก่อนจะกดรับสาย
“เมื่อกี๊ฉันเจอกับอาม่าของคุณสิทธิ์ คุณรู้หรือยังว่าน้าชัยลาออกจากอาม่าแล้ว”
ทิวัตถ์ตกใจ
“อะไรนะ เมื่อวานก็ยังเห็นดีๆ อยู่นี่ ทำไมน้าชัยไม่เห็นบอกอะไรเลย”
“ใช่ ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ฉันจะไปตามน้าชัยเอง”
ทิวัตถ์รีบห้าม “ไม่ได้ คุณจะไปคนเดียวได้ยังไง แถวนั้นมันอันตรายนะคุณ”
“แต่สิ่งที่จะช่วยให้พ่อฉันหลุดจากข้อกล่าวหาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ต่อให้เป็นหน้าผา ฉันก็พร้อมจะกระโดดลงไป”
“งั้นผมจะไปกับคุณเอง”
พูดพลางวางสายก่อนจะรีบเดินออกไป นพกรที่นั่งรออยู่หน้าบริษัทอย่างหงุดหงิด รีบลุกจะเดินไปที่รถ แต่ทิวัตถ์เรียกเอาไว้ก่อน
“นายไม่ต้องไป เอากุญแจมาให้ฉัน ธุระใกล้ๆ นายไม่ต้องไปด้วยหรอก”
นพกรยื่นกุญแจรถให้ทิวัตถ์ ที่รับมาพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ส่งเงินให้อีกฝ่าย
“เอาไว้เป็นค่ารถ แล้วนายก็กลับบ้านไปเลยไม่ต้องรอฉัน แล้วถ้าใครถามหาฉันก็บอกว่าฉันไปหาลูกค้าแล้วกัน”
พูดจบก็เดินออกไป นพกรมองตามด้วยความสงสัย
ทิวัตถ์ขับรถพาลิลินกลับมาที่ชุมชนเดิม ก่อนจะพาเดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาเข้าไปตามซอกซอย พร้อมๆ กับเข้าไปถามชาวบ้านคนแล้วคนเล่า
ชาวบ้านคนหนึ่งชี้ให้เดินตรงไป ทั้งคู่รีบเดินไป ชาวบ้านอีกคนรีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทร. ออกหาศัลย์ทันที
ทิวัตถ์กับลิลินเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ทั้งคู่ลองเคาะประตู และตะโกนเรียกแต่กลับไม่มีเสียงขานรับ และบ้านดูเงียบผิดปกติ เมื่อลองหมุนลูกบิดประตู ก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อก ทั้งคู่จึงพากันเดินเข้าไปด้านใน
ก่อนจะเดินสำรวจแต่ละห้อง แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าของบ้าน
“หรือว่าน้าชัยจะย้ายออกไปแล้ว?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “ไม่น่าใช่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ก็ยังอยู่”
แต่พอลิลินเปิดตู้เสื้อผ้าออก กลับไม่เห็นเสื้อผ้าแม้แต่ชุดเดียว
“แต่ไม่มีเสื้อผ้าแล้ว”
สีหน้าของลิลินผิดหวังขึ้นมาทันที ขณะที่ศัลย์ยืนมองอยู่หน้าบ้านด้วยความสงสัย
ทิวัตถ์กับลิลินออกจากบ้านของชัย ก็เดินคุยกันมาตามทาง
“ฉันคิดว่า น้าชัยคงกลัวอะไรบางอย่างแน่ๆ”
ลิลินโพล่งขึ้นมา แต่ทิวัตถ์ไม่เห็นด้วย
“ผมไม่เห็นว่าน้าชัยต้องกลัวอะไรเลย”
“หรือว่า คุณจำที่เราเจอรองฯศัลย์แถวบ้านน้าชัยได้มั้ย?”
ทิวัตถ์พยักหน้ารับ แล้วนิ่งคิด
“คุณคิดว่าที่น้าชัยหนีไปเพราะกลัวรองฯศัลย์?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี แต่ฉันกลัวว่าน้าชัยจะเป็นอะไรไปก่อนแบบลุงบุญช่วย”
ทิวัตถ์เห็นลิลินเครียดเลยพูดปลอบ
“เราก็ยังไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้อะไรนี่ อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยคุณ ถ้าน้าชัยหนีไปจริงๆ อย่างน้อยเราก็ยังพอจะมีโอกาสได้เจออยู่”
ลิลินหน้าเครียด “ขออย่าให้เป็นอย่างที่ฉันกลัวเลย”
ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองอยู่
ทิวัตถ์เดินมาส่งลิลินที่หน้าห้องพักที่รอยัลเพิร์ล พลางเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ที่หน้าห้อง
ลิลินแปลกใจมองหน้าทิวัตถ์ก่อนจะเข้าไปหยิบขึ้นมาดู
“ไม่ใช่ฝีมือคุณใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า เมื่อลิลินเปิดกล่องออก ก็พบว่าเป็นผ้าคลุมไหล่สีแดง พร้อมกับมีเศษกระดาษหล่นออกมา เขารีบก้มลงหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
“มันเหมาะกับชุดสีแดงของคุณ สงสัยจะเป็นแฟนคลับของคุณ ท่าทางคืนนี้คุณต้องร้องเพลงอินเดียแล้วล่ะ”
พูดพลางคลี่ผ้าคลุมไหล่ออกขึ้นมาปิดหน้าทำเป็นสาวอินเดีย ลิลินถึงกับอมยิ้มขำ เพราะไม่เคยเห็นเขาในมุมอย่างนี้มาก่อน
“ฉันไม่คิดว่าคนซีเรียสอย่างคุณจะมีมุมตลกอย่างนี้เหมือนกัน”
ทิวัตถ์ยิ้ม พลางเก็บผ้าคลุมไหล่ส่งให้ลิลิน
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณเครียด ผมกลัวว่าคุณจะเครียดเรื่องน้าชัยมากเกินไป”
“คุณเลยพยายามทำให้ฉันยิ้มสินะ”
นพกรแอบมองทั้งคู่อย่างแค้นเคือง ทิวัตถ์รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ก็เลยหันไปมอง แต่ฝ่ายนั้นกลับหลบฉากออกไปก่อน
จังหวะนั้นมือถือทิวัตถ์ก็ดังขึ้น เขารีบกดรับสาย
“ครับน้ากาน อ๋อ ผมฝากไว้ที่คฑาวุธแล้วครับ สวัสดีครับ”
พอเขาวางสาย ลิลินจะถามขึ้นทันที
“น้ากานนี่ใช่คุณกานดาหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์พยักหน้า เธอนึกขึ้นได้ รีบถามต่อ
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ คุณกานดานี่ทำงานกับพ่อของคุณมานานหรือยัง?”
“นานแล้วนะตั้งแต่ผมยังเด็กๆ คุณถามทำไม?”
ลิลินรีบแก้ตัว
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เห็นหน้าเขาแล้วรู้สึกถูกโฉลกยังไงก็ไม่รู้ แถมดูเป็นคนเรียบร้อย สงสัยเราคงมีอะไรคล้ายๆ กันมั้ง แล้วนี่คุณกานดายังไม่มีครอบครัวเหรอ?”
“ไม่มี นี่ผมว่าวันนี้คุณตั้งคำถามกับผมเยอะแล้วนะ พอได้แล้วหมดช่วงตอบคำถามแล้วครับคุณผู้หญิงเชิญเข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้วครับ”
ลิลินยิ้มรับ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป พร้อมกับปิดประตู ทิวัตถ์หันกลับไปมองที่มุมที่เห็นเหมือนคนยืนอยู่อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป
นพกรพ้นมุมออกมามองสีหน้านิ่ง
เมื่ออยู่ตามลำพัง ลิลินก้มานั่งคิดเรื่องคำพูดของทิวัตถ์ที่พูดถึงกานดา
“คุณกานดาจะใช่คนเดียวกับแม่ดาหรือเปล่านะ?"
ครู่หนึ่งก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ต้องใช้เหยื่อล่อ”
ลิลินที่เดินถือจดหมายมาตามทางในล็อบบี้ด้วยแววตามุ่งมั่น พลางนึกถึงข้อความที่เขียนในจดหมาย
“แม่ดาคะ ขอโทษที่วันนั้นหนูลีไม่ได้ไปตามนัด เพราะช่วงนี้หนูลีกำลังคิดแผนเล่นงานคนที่ทำกับหนูลีและพ่อป้อง แล้วตอนนี้หนูลีก็มีแผนที่จะเล่นงานพวกคนที่ทำลายครอบครัวหนูลีได้แล้ว”
พลันเสียงปรมัตถ์ก็ดังขึ้น
“ลิน”
ลิลินหันไปก็ตกใจเมื่อเห็นปรมัตถ์
“มัตมาทำอะไร?”
“พอดีมัตมาทำคดีใกล้ๆ จังหวัดนี้ มัตเลยแวะมาหาลิน”
ลิลินถามดักคออย่างที่รู้ทัน “แน่ใจเหรอมัต?”
ปรมัตถ์ที่อ้ำอึ้งก่อนจะยอมสารภาพ
“มัตเป็นห่วงลินนี่ เพราะตั้งแต่หมอศรัณย์ตาย เรื่องนี้มันดูจะยิ่งอันตรายนะลิน แล้วลินกำลังจะไปไหน?”
“ไปหาที่คุยที่อื่นดีกว่า”
ปรมัตถ์พยักหน้าก่อนจะเดินตามลิลินออกไป
“ลินคิดดีแล้วเหรอที่จะส่งจดหมายไปหาแม่ดา”
ปรมัตถ์ถามย้ำอย่างเป็นห่วง
“ถ้าลินไม่ทำอย่างนี้ ลินก็ไม่รู้ซะทีว่าคุณกานดาคือแม่ดาหรือเปล่า? แล้วเรื่องที่ลินฝากมัตไปถามครูใหญ่ล่ะ”
“ครูใหญ่บอกไม่ได้ เพราะมันเป็นกฎของโรงเรียนระหว่างผู้อุปการะกับเด็กอย่างเรานะลิน แต่ครูใหญ่บอกได้อย่างเดียวว่าจดหมายนั่นถูกส่งมาที่จังหวัดนี้”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นยิ่งทำให้มั่นใจว่าแม่ดาคือกานดาจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกมัต ลินจะส่งจดหมายนี้ไปที่บริษัท ลินบอกแม่ดาไปว่าลินจะจัดการกับพวกคุณทรงพลกับคุณต่าย แล้วถ้าแม่ดากับคุณกานดาเป็นคนคนเดียวกันจริงๆ ล่ะก็ รับรองว่าครอบครัวนั้นต้องมีการเคลื่อนไหวอะไรแน่นอน”
ปรมัตถ์ได้ยินก็ยิ่งไม่สบายใจ
“แต่มันอันตรายเกินไป ลินเอาจดหมายมาให้มัต เดี๋ยวมัตเอาไปส่งที่นั่นเอง”
ลิลินเป็นห่วงจึงรั้งไว้ “ไม่ได้นะมัต”
“ไม่ต้องห่วงมัตหรอก ลินอย่าลืมสิว่าที่นั่นไม่มีใครรู้จักมัต ถ้ามัตเป็นคนถือจดหมายเข้าไปส่ง เขาคงคิดว่ามัตเป็นแค่คนส่งเอกสารธรรมดา แต่มัตอยากจะขออะไรลินอย่าง คืนนี้ลินว่างมั้ย? มัตอยากจะคุยอะไรบางอย่างกับลิน”
ลิลินมองอย่างสงสัย “เรื่องอะไรเหรอมัต?”
“ไว้คืนนี้นะ”
วิชนีหลบเข้ามาแต่งหน้าในห้องน้ำหญิงของโรงแรม ครู่หนึ่งลิลินก็เดินเข้ามา พอเห็นหน้าฝ่ายแรก
ที่ผัดแป้งขาวจนลอย เขียนคิ้วหนา ติดขนตาห้อย ทาตาสโม้กกี้เป็นปื้นๆ ก็อดขำไม่ได้
“นีเป็นอะไรหรือเปล่า? พักนี้นีดูเปลี่ยนไปนะ ปกตินีไม่แต่งหน้านี่”
วิชนีอึกอัก
“เอ่อ ก็ ก็มีคนบอกว่าฉันว่าอาหารฉันหน้าตาไม่สวย ฉันก็เลยอยากลองแต่งหน้าดู เผื่อไปประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าอาหารไง”
ลิลินรู้ว่าคงเป็นเหตุผลส่วนตัว จึงไม่รบเร้า พลางเดินเข้ามายืนข้างๆ
“เออลิน ฉันมีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”
แต่พอกำลังจะอ้าปากจะเล่าก็ได้ยินเสียงกดชักโครกดังขึ้น
“ไปคุยที่อื่นดีกว่า”
“จริงเหรอนี? คุณสิทธิ์ชอบเธอ”
ลิลินอุทานอย่างตกใจ เมื่อวิชนีเล่าให้ฟัง
“ชู่ว เบาๆ หน่อยสิลิน เดี๋ยวใครก็เข้ามาได้ยินเข้าหรอก”
“แล้วเธอว่าไง?”
วิชนีส่ายหน้า “แต่ฉันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่หมอนั่นจะมาชอบฉัน”
“แต่ฉันว่าคุณสิทธิ์ไม่น่าจะมีอะไร ต้องถามเธอต่างหากว่าชอบคุณสิทธิ์มั้ย?”
วิชนียิ้มเขินๆ ทำหน้าไม่ถูก
ทางด้านปรมัตถ์ใส่แจ็คเก็ตใส่หมวกเดินเข้ามาในบริษัทของทรงพลอย่างระวังตัว ก่อนจะหยิบจดหมายส่งให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์
“ฝากให้คุณกานดาด้วยครับ”
จากนั้นก็รีบเดินเลี่ยงไป โดยอีกฝ่ายยังไม่ทันได้อ้าปากถาม
ศุภารมย์วางสายจากศัลย์ที่โทรมารายงานเรื่องทิวัตถ์ จังหวะนั้นทรงพลก็เดินเข้ามาทันที ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“วันนี้กานดามาขอลาออก ฝีมือคุณใช่มั้ย?”
ศุภารมย์ยิ้มเยาะ
“ทำไมคุณไม่คิดว่าบางทีต่อมจิตสำนึกชั่วดีของเธออาจจะเพิ่งทำงานก็ได้”
“ผมคิดไม่ผิดจริงๆว่าต้องเป็นฝีมือคุณ คุณจะทำอะไรทำไมไม่เห็นหัวผมบ้าง”
ศุภารมย์ได้ยินก็สวนทันควัน
“แล้วคุณล่ะคะเคยเห็นหัวฉันบ้างมั้ย? ฉันที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาคุณ ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจ แล้วทำไมตอนนั้นคุณไม่เลือกแม่เลขานั่นมาเป็นเมียซะเลยล่ะ”
“หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้วนะ ถึงผมจะพูดอะไรไปคุณก็คงไม่เชื่อ”
“แล้วคุณลองพูดหรือยัง?”
ศุภารมย์ย้อนถาม จังหวะนั้นทิวัตถ์กลับเข้ามาพอดี ทั้งคู่จึงจำต้องเงียบเสียง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ทรงพลรีบเดินเลี่ยงไป ศุภารมย์เป็นฝ่ายหันมาตอบ พร้อมๆ กับย้อนถามกลับ
“ไม่มีอะไรหรอกพ่อเขาเครียดๆ เรื่องงาน แล้ววันนี้วินไปไหนมา?”
“แม่ต่ายรู้ได้ไงครับ? อ๋อ นพกรคงจะมารายงานแม่ต่ายแล้วสิครับ”
“แม่ก็แค่เป็นห่วง ตอนนี้หมอศรัณย์ไม่อยู่แล้วแม่ไม่อยากให้วินไปไหนมาไหนคนเดียว เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแล ทีหน้าทีหลังก็ให้นพกรไปด้วย แล้วจะทำอะไรก็ระวังหน่อย อย่าคิดว่าแม่อยู่แต่บ้านจะไม่รู้ไม่เห็นนะวิน”
พูดพลางมองหน้าทิวัตถ์เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอรู้ความเคลื่อนไหวเขาตลอด
ฝ่ายนพหรพอเดินออกจากห้องครัว ก็เจอทิวัตถ์ดักไว้ทันที
“เดี๋ยว ฉันขอคุยด้วยหน่อย นายเป็นคนขับรถให้ฉัน แต่ไม่ต้องเอาเรื่องฉันไปบอกแม่ต่ายก็ได้”
นพกรสงสัย “พูดเรื่องอะไร?”
“เอาเป็นว่าฉันไม่อยากให้นายมายุ่งเรื่องของฉันอีก ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่เกรงใจยายน้อย หวังว่านายจะเข้าใจเรื่องที่ฉันพูดนะ”
พูดจบก็เดินออกไป นพกรมองตามอย่างเคียดแค้น
ทิวัตถ์เข้ามาในห้องปิดประตู ก่อนที่เม็ดนุ่นจะเคาะประตู พลางเดินเข้ามายื่นโทรศัพท์ไร้สายให้
“คุณวินคะโทรศัพท์ถึงคุณวินค่ะ”
เขามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะยื่นมือไปรับ พร้อมๆ กับที่ฝ่ายแรกเดินเลี่ยงออกไป
“ฮัลโหล”
“นั่นใช่คุณวินหรือเปล่าครับ”
ทิวัตถ์ตกใจเมื่อได้ยินเสียงของชัย
“น้าชัย”
ชัยที่ยืนคุยอยู่ที่ตู้สาธารณะรีบถาม
“วันนี้คุณวินไปหาผมใช่มั้ยครับ? คุณวินอย่าเข้ามายุ่งกับผมอีกเลยครับ ผมยังไม่อยากเดือดร้อน เอ่อผมไม่มีอะไรแล้ว งั้นรบกวนคุณวินแค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยวครับน้าชัย น้าชัยช่วยเล่าเหตุการณ์วันที่แม่ผมเสียให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ?”
“คุณวินจะรู้ไปทำไมครับ?”
ทิวัตถ์หน้าเครียด
“สำหรับน้าชัย มันอาจจะเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่น้าชัยไม่อยากพูดถึง แต่สำหรับผม มันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตผม นะครับน้าชัย”
ชัยมองซ้ายมองขวา ก่อนจะพูดต่อ
“งั้นคุณวินมาพบผมวันพรุ่งนี้”
“ครับ ได้ครับน้าชัย แล้วผมจะไปตามนัดพรุ่งนี้”
ทิวัตถ์กดตัดสาย ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ลิลินกำลังจะโทร. ออก แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจกดวางสาย
“ขอโทษนะ เรื่องนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับเธอ”
นพกรที่แอบฟังอยู่อีกเครื่อง ค่อยๆ วางสายลงเบาๆ
ลิลินที่เพิ่งร้องเพลงเสร็จก็เดินออกมาเจอกับปรมัตถ์ที่สวน
“มัตมีอะไรจะคุยกับลินเหรอ?”
“ลินจำได้มั้ยว่าวันนี้วันอะไร?”
ลิลินนิ่งคิดไป ก่อนจะส่ายหน้า
“วันนี้วันเกิดมัต”
“ตายจริง ลินลืมไปซะสนิทเลย ขอโทษนะมัต ลินไม่ทันได้เตรียมของขวัญไว้ให้มัต ลินนี่มันแย่จริงๆ เลย”
“ไม่เป็นไร แต่มัตมีของจะให้ลิน”
พูดพลางล้วงกล่องกำมะหยี่ออกมา ก่อนจะเปิดออก เห็นแหวนวงเล็กๆ อยู่ด้านใน
“มัตตั้งใจจะให้ลินตั้งแต่ตอนที่อยู่กรุงเทพฯแล้ว มัตตั้งใจให้แหวนวงนี้กับลิน เพราะจากวันนี้ไปมัตก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก ไม่รู้ซิ ตอนนี้มัตรู้สึกสับสนน่ะ รับไว้ซิลิน”
ลิลินส่ายหน้า “ลินคงรับไว้ไม่ได้”
“รับไว้เถอะลิน ไม่ต้องห่วงว่าแหวนวงนี้จะผูกมัดอะไรลิน มันเป็นแค่ความรู้สึกของมัตที่มีต่อลินเท่านั้น”
ปรมัตถ์พูดพร้อมกับเอื้อมจับมือลิลินขึ้นมา ก่อนจะส่งแหวนใส่มือ
“อย่างน้อยก็ขอให้แหวนวงนี้เป็นตัวแทนของมัตได้อยู่ข้างๆ ลินเถอะนะ”
ลิลินมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้ารับไป ปรมัตถ์ยิ้มจริงใจ อยากบอกความในใจ แต่ก็ไม่กล้า
ทิวัตถ์กำลังจะออกจากบ้าน ศุภารมย์ที่เพิ่งลงมาจากด้านบน ทั้งที่ยังคงมีทีท่ามึนตึงกับทรงพล รีบถามขึ้นทันที
“นี่วินจะออกไปข้างนอกเหรอลูก แม่ว่า...”
เขารีบขัดขึ้น “วันนี้ผมไปเองได้ครับแม่ต่าย ไม่ต้องให้นพกรขับรถให้หรอกครับ”
“ไม่ได้หรอกวิน เกิดลูกเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีคนคอยดูแลลูกนะ เชื่อแม่เถอะ หรือลูกอยากให้แม่ไม่สบายใจ”
จบประโยค มือถือศุภารมย์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นหน้าจอปราฏชื่อของอนันยช เธอก็รีบกดรับสาย
“วัน อะไรนะ ลูกกับหนูณิตกลับมาแล้วเหรอ? ได้ แล้วแม่จะรีบไปรับลูกแล้วกันนะวัน”
พอวางสายก็รีบหันมาบอกทิวัตถ์
“วันกับหนูณิตกลับมาแล้ว ตอนนี้อยู่ที่สุวรรณภูมิ”
“อ้าว ไหนว่าจะไป 2 อาทิตย์แล้วทำไมถึงกลับมาก่อนกำหนดล่ะครับ?”
“แม่เองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน”
ทิวัตถ์ได้โอกาสรีบเสนอคนขับรถให้
“แม่ต่ายไม่ต้องไปรับเองหรอกครับ ผมว่าให้นพกรขับไปรับดีกว่า เพราะผมเองก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ยังไงก็ไม่ได้ แล้วถ้าอาการของวินกำเริบขึ้นมาอีกล่ะ”
ทิวัตถ์เห็นศุภารมย์ไม่ยอมจึงหันมาพูดอ้อน
“โธ่ แม่ต่ายครับ แม่ต่ายก็เห็นนี่ครับว่าผมไม่ได้ปวดหัวมาสักพักแล้ว ให้นพกรไปรับวันเถอะนะครับ
ขับทางไกลๆ แบบนี้เกิดแม่ต่ายเป็นอะไรขึ้นมาผมคงต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต แม่ต่ายคอยวันอยู่บ้านให้สบายดีกว่านะครับ”
สุดท้ายศุภารมย์ก็ใจอ่อน “ เฮ้อ ยังไงลูกก็ขับรถดีๆนะวิน”
ทิวัตถ์ยิ้มรับ ก่อนจะเดินออกไปอย่างโล่งอก
ทางด้านศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจมาหาซือเฟินถึงที่บ้าน พออีกฝ่ายเห็นหน้า ก็อดจะพูดประชดไมได้
“ยังมาบ้านนี้ถูกหรือไง”
ศักดิ์สิทธิ์รีบกอดออดอ้อน
“แหม ก็งานผมยุ่งตลอดนี่ อาม่าก็เห็นอยู่”
“อั้วเห็นลื้อสร้างหายนะให้กับโรงแรมมากกว่านะ แล้วอาหมวยอยู่ไหน?”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าเหรอ “อาหมวยอะไรครับ?”
“อ้าว ลื้อไม่ได้จะพาอาหมวยมายกน้ำชาเหรอ?”
“เอ่อ วันนี้เธอไม่ว่างน่ะครับ ผมก็เลยมาคนเดียว”
“แล้วลื้อมาทำไม?” ซือเฟินย้อนถาม 30 ล้านตามที่ตกลงกับอาม่าไง”
ซือเฟินพยักหน้า ก่อนจะเอาพัดเคาะหัวศักดิ์สิทธิ์โป๊กใหญ่
“ร้อยนึงอั้วก็ไม่ให้ ลื้อยังทำตามเงื่อนไขของอั๊วไม่ครบ แล้วจะมาเอาเงินได้ไง?”
“ทำไมล่ะอาม่า นี่อาม่าคิดจะเบี้ยวผมเหรอ? ก็ผมมีแฟนแล้ววันนั้นอาม่าก็เห็นนี่ แล้วไหนล่ะเงินของผม ไม่รู้ล่ะอาม่าจ่ายมาเลย”
ซือเฟินหัวเราะขำ ที่เห็นศักดิ์สิทธิ์เป็นเดือดเป็นร้อน
“อาเม้งเอ๊ย เงื่อนไขของอั๊วไม่ได้แค่หมายความว่าให้ลื้อมีแฟนแล้วได้เงินไปใช้สบายๆ ซะทีไหนล่ะ มันง่ายไป ลื้อฟังอั๊วดีๆ นะ อั๊วต้องการให้ลื้อมีหลาน”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ “มีหลาน !?”
วิชนีกำลังก้มดูตู้เค้กอยู่ พอหันมาเห็นศักดิ์สิทธิ์ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางกลุ้มใจ ก็รีบวิ่งไปหลบ ก่อนจะชะเง้อมองหา
“เมื่อกี้นายนั่นจะเห็นเราหรือเปล่านะ แล้วนี่หายไปไหนแล้วล่ะ?”
ขณะเดียวกันศักดิ์สิทธิ์กลับเดินครุ่นคิดมาตามทางด้านหลังวิชนี
“แล้วจะเอาไงดีวะเนี่ย นั่นมัน...”
จังหวะนั้นวิชนีที่หันมาพอดี ทั้งคู่สบตากันโดยไม่ทันตั้งตัว
“นาย”
“เธอ”
ปกติเข้ามาเห็น ก็รีบหลบไปแอบฟัง
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าไม่ถูก ต่างคนต่างทำท่าทางเคอะเขินใส่กัน
“คือฉันไม่ได้อู้งานนะ ฉันแค่จะมาเข้าห้องน้ำ”
“เหรอ? ฉันก็กำลังจะขึ้นห้อง งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ”
พอศักดิ์สิทธิ์จะเดินไป วิชนีก็ตัดสินใจถามตรงๆ
“ทำไมนายถึงชอบฉัน?”
ปกติที่แอบฟังถึงกับตกใจ ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็หน้าแดงก่ำ ก่อนจะหลุดปากบอก
“แล้วเธอจะให้ฉันแต่งงานกับยัยหมูตอนนั่นหรือไง?”
วิชนีได้ยินก็เข้าใจทันที
“อ๋อ ที่แท้นายก็หลอกใช้ฉันเพื่อจะได้ไม่ต้องคบกับคนที่อาม่าจับคู่ให้นี่เอง”
ศักดิ์สิทธิ์อ้ำอึ้ง ส่วนวิชนีก็เดินปึงปังออกไป โดยไม่ทันสังเกตว่าปกติหลบอยู่
ศักดิ์สิทธิ์เดินกลุ้มใจขึ้นมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะเห็นปกติยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ที่หน้าห้อง
“ผมรู้แล้วนะครับ ว่าคุณหนูชอบเชฟนี”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ ก่อนจะเถียง “ไม่ได้ชอบ”
“แต่ผมได้ยินเต็มสองรูหูเมื่อกี้ตอนอยู่ข้างล่างเลยนะครับ”
“ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้นแล้วจะเอาเงินจากอาม่าได้ยังไง?”
พูดแล้วก็นึกได้ที่หลุดปากให้ปกติฟังจนหมด
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แหม คุณหนูนี่เลวกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะครับ ผมหมายถึงคุณหนูฉลาดกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ แต่จริงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ครับ”
“จะไม่มีได้ไง ตอนนี้เขาโกรธฉันแล้ว แถมอาม่าสั่งให้ฉันต้องแต่งงานกับยัยนั่นด้วย”
ปกติได้ยิน ก็ยืดตัวขึ้นพูดอย่างผู้เชี่ยวชาญ
“ถ้าเรื่องการจับคู่คุณหนูต้องถามผม ถ้าผมอยากได้ผู้หญิงคนไหนปั๊บ ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องมาสยบที่แทบเท้าผมปุ๊บ ผมมันคาสโนว่าตัวพ่อ เรื่องเอาชนะใจผู้หญิงนั้นไม่ยากเลยครับคุณหนู”
“จริงเหรอ คุณมีวิธีหรือไง?”
ปกติยิ้มเจ้าเล่ห์
ทิวัตถ์มายืนรอชัยตามนัด พลางพลิกมองที่นาฬิกาข้อมือ
“หรือว่าน้าชัยจะหลอกเรา”
พลางตัดสินใจหันหลังกลับ แต่แล้วก็เจอกับชัยที่เดินเข้ามาพอดี
“น้าชัย ผมเห็นว่าเลยเวลานัดมานานแล้ว ผมคิดว่าน้าชัยจะไม่มาซะอีก”
“ขอโทษครับคุณวิน ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ให้คุณวินต้องคอยนาน คือผมแค่อยากมั่นใจว่าคุณวินมาคนเดียวไม่ได้พาใครมาด้วย”
ทิวัตถ์พยักหน้าก่อนเปิดประเด็น
“ตกลงความจริงในเหตุการณ์วันนั้นมันคืออะไร?”
“อย่างที่ผมบอกครับ ผมไม่เห็นว่าใครเป็นคนฆ่าคุณต้อย”
“ช่างเหอะ แต่ที่ผมอยากรู้มากกว่านั้นคือ วันนั้นน้าชัยพาพ่อกลับไปที่บ้านจริงๆ ใช่มั้ย?”
ชัยย้อนนึกถึงภาพวันเกิดเหตุ ขณะที่เขาขับรถมาตามทาง โดยมีทรงพลนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในรถด้วย
“ผมถึงแล้วนี่ไง ใจเย็นๆ นะต้อยผมอยู่หน้าบ้านแล้ว”
ทรงพลตัดสาย ก่อนจะบอกให้ชัยจอดรถ
“จอดที่ประตูด้านหลังแล้วกัน”
ชัยรับคำ ก่อนจะจอดรถ ขณะที่ทรงพลกำลังจะเปิดประตูลงไป กานดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เรียกไว้
“คุณพลจะให้กานลงไปด้วยมั้ยคะ?”
“ไม่ต้อง ถ้าคุณต้อยเห็นคุณเธออาจจะยิ่งคลุ้มคลั่ง คุณรออยู่ที่นี่แหละ”
ทรงพลลงจากรถก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้านไป พักใหญ่ๆ ก็เสียงปืนก็ดังขึ้น กานดากับชัยที่รออยู่ที่รถ ตกใจหันมามองหน้ากัน
ไม่นานทรงพลกับศุภารมย์ก็อุ้มทิวัตถ์ที่ร่างโชกเลือดเข้ามา ชัยรีบเปิดประตูรถให้ทันที
“คุณวินเป็นอะไรไปคะ? เกิดอะไรขึ้นกานได้ยิน...”
“อย่าเพิ่งถาม ชัยรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ผมฝากวินด้วย”
ชัยกับกานดารับคำแล้วรีบขึ้นรถขับออกไป
ทิวัตถ์นิ่งฟังอยู่อย่างสงสัย
“แล้วทำไมพ่อกับแม่ต่ายถึงได้บอกว่าวันนั้นไม่มีใครอยู่ตอนที่แม่ต้อย... น้าชัยแน่ใจนะครับว่าไม่ได้จำเวลาผิด”
ชัยพยักหน้า “แน่นอนครับ”
“แล้วทำไมน้าชัยต้องลาออก”
“ผมไม่ได้ลาออกครับ ผมถูกบังคับให้ออก เรื่องที่ผมรู้ก็มีเท่านี้ครับคุณวิน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ชัยขยับตัวจะเดินออกไป ก่อนที่ทิวัตถ์จะถามขึ้น
“แล้วน้าชัยจะไปไหน?”
“ไปไหนก็ได้ครับ ถ้าขืนผมยังอยู่ที่นี่ คงจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ”
ทิวัตถ์ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย
“ทำไม เหมือนคนอื่นๆ ยังไง?”
“อย่าถามอะไรที่ผมตอบไม่ได้เลยครับคุณวิน วันเกิดเหตุ ผมรู้เรื่องข้างนอกเพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องที่อยู่ในบ้าน คุณวินต้องไปถามคุณพลกับคุณต่ายเองครับ โชคดีนะครับคุณวิน”
พูดจบชัยก็เดินออกไป ทิ้งให้ทิวัตถ์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
วาสนาเดินจูงมือวรรณิตเข้ามาในบ้านของทรงพล อนันยชเดินตามอย่างเซ็งๆ ครู่หนึ่งศุภารมย์กับป้าจวนก็เดินลงมา
“ไม่คิดว่าป้าน้อยจะไปรับถึงสนามบินด้วยนะคะ”
วาสนายิ้มประจบ “แหม หลานกลับมากันทั้งทีก็ต้องไปรับขวัญกันหน่อยสิจ๊ะ”
อนันยชรีบพูดขัดขึ้น “ยายคิดถึงผมกับณิตหรือว่าคิดถึงของที่ฝากซื้อกันแน่ครับ”
วาสนามองค้อนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ อนันยชไม่สนใจเข้าไปกอดศุภารมย์
“เป็นไงบ้างลูก หนูณิตไปเที่ยวสนุกมั้ย?”
“สนุกครับ สวิสสวยมากครับแม่ อาหารก็อร่อย ผมอยากให้ทุกคนไปเที่ยวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาจริงๆ เลย”
“ไปได้ไง วันไปฮันนีมูนนะ ไว้รอให้คุณน้าว่างก่อนแล้วเราค่อยไปกันใหม่นะวัน”
จังหวะนั้น นพกรก็กระแทกกระเป๋าที่หนักอึ้งลงบนพื้นด้วยท่าทางหงุดหงิด ศุภารมย์หันมาทำหน้านิ่วใส่
“อย่าเอามาวางแถวนี้ ยกขึ้นไปห้องคุณวันเลย แล้วยกไปดีๆ ระวังด้วย ไม่รู้ว่าของข้างในแตกหักได้หรือเปล่า เข้าใจมั้ย?”
นพกรแค่นเสียงรับคำในคอ ก่อนจะออกแรงยกกระเป๋าเดินขึ้นไป
ศุภารมย์หันมาถามต่อ
“แล้วทำไมวันถึงได้กลับก่อนกำหนดล่ะลูก ตามกำหนดก็อีกตั้งหลายวันนี่”
วรรณิตเผลอพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “ณิตผิดเองค่ะคุณแม่”
“หนูณิตหมายถึงเรื่องอะไร?”
อนันยชหันมองวรรณิตก่อนจะพูดแดกดัน
“จริงๆ สวิสก็สวยนะครับ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ผมเลยเบื่อๆ น่ะครับ ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับแม่ ข้างล่างนี่มันร้อนจริงๆ”
อนันยชเดินออกไปอย่างไม่สนใจวรรณิตแม้แต่น้อย ศุภารมย์สัมผัสได้ถึงความมึนตึงของทั้งคู่
วาสนนาเองก็นึกแปลกใจจนต้องมาคาดคั้นถามกับวรรณิตเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“นี่ฉันถามจริงๆเถอะแม่ณิตว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้กลับมากันก่อนกำหนดอย่างนี้ฮะ”
วรรณิตอ้ำอึ้ง “คือ คุณวันจ้ะยาย คุณวันติดงานเลยต้องกลับมาก่อน”
“งั้นก็แล้วไป ฉันก็นึกว่าแกไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบใจ นี่เป็นเมียก็ต้องรู้จักปรนนิบัติพัดวีสามีเข้าล่ะ มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนน่ะแกรู้จักมั้ย ใช้มันเข้าไป แกต้องทำให้พ่อวันติดใจอยู่กับแกจนอยู่หมัดให้ได้ รับรองต่อให้สาวที่ไหนมายั่วผู้ชายก็หนีไปไหนไม่รอด ฟังแล้วไม่ใช่ยืนทื่อแบบนี้ กลับไปทำอย่างที่ฉันบอกด้วยเข้าใจมั้ย?”
ขาดคำวาสนาก็เดินขึ้นรถ ก่อนนพกรจะขับออกไป วรรณิตมองเข้าไปในบ้านอย่างหนักใจ
เช่นเดียวกับศุภารมย์ที่เดินตามอนันยชเข้ามา พลางถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็อย่างที่ผมบอกแม่นั่นแหละครับ มันไม่ค่อยสนุก”
“ไม่สนุก แค่นั้นจริงๆ เหรอ?”
อนันยชแอบถอนหายใจ
“แล้วแม่คิดว่าผมจะหงุดหงิดเรื่องอะไรล่ะครับ? เรื่องที่ยายน้อยฝากซื้อของจนน้ำหนักกระเป๋าเกินต้องเสียเงินไปหลายพัน หรือว่าเรื่องที่ยายน้อยบ่นตลอดทางตั้งแต่สนามบินจนถึงบ้านล่ะครับ”
“เรื่องนั้นแม่ก็พอจะเดาได้นะ แต่ที่แม่ถามคือเรื่องของลูกกับหนูณิตต่างหาก ไม่มีอะไรใช่มั้ย?”
อนันยชไม่อยากตอบ จึงตัดบทขอตัวนอน ศุภารมย์จำต้องเดินออกจากห้องพร้อมกับครุ่นคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
กานดากำลังเก็บของที่โต๊ะแล้วสะพายกระเป๋ากำลังจะกลับ ระหว่างนั้นทรงพลที่เดินออกมาจากห้องทำงานพอดี พลางเอ่ยปากจะไปส่ง แต่อีกฝ่ายกลับบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากมีปัญหา เขาจึงจำต้องเดินออกไป เพราะไม่อยากรบเร้า
ครู่หนึ่งก็มีพนักงานเดินถือจดหมายเข้ามาให้กานดา พอพลิกซองกลับเห็นชื่อผู้ส่งด้านหลังซอง “จากหนูลี” เธอก็ถึงกับตกใจ
วิชนีที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัวไป พลางบ่นโกรธศักดิ์สิทธิ์ไปพลาง
“หนอย นึกแล้วเชียวว่าคนอย่างนายไม่เคยรักใครหรอก นอกจากตัวเอง ดีนะที่ฉันไม่ใช่คนหูเบาจะได้หลงคารมผู้ชายกระล่อนอย่างนายง่ายๆ”
สักพักปกติก็เดินเข้ามา “เชฟๆ มีออเดอร์เข้ามาเพียบเลย”
“จริงเหรอ? ทั้งๆ ที่ไม่มีแขกแบบนี้เนี่ยนะ ใครสั่ง”
“ไม่ต้องสนใจหรอกเชฟ เขาบอกแค่ว่าชอบฝีมือของเชฟมาก นี่ยังย้ำมาด้วยนะว่าต้องให้เชฟทำหมดนี่เลย”
วิชนีหน้างง ก่อนจะรับออเดอร์จากมือปกติไปดู แล้วก็ยิ้มออกมา
ปกติแอบยืนมองวิชนีที่กำลังง่วนกับการทำอาหาร ก่อนจะแอบกดโทรศัพท์คุยกับใครบางคน
“ตอนนี้กำลังดำเนินการตามแผนอยู่ ไม่มีปัญหาครับ มือชั้นนี้แล้ว”
จากนั้นก็กดวางสาย ก่อนจะหันไปยิ้มแหะๆ ให้วิชนีที่ยกชามสุดท้ายออกมาวางที่โต๊ะ พลางเช็ดที่
ขอบจาน
“คนที่มาสั่งอาหารท่าทางเขาจะชอบอาหารที่นี่มากนะไม่งั้นไม่สั่งเยอะแยะขนาดนี้”
วิชนียิ้มดีใจ “แล้วเขาเป็นใครเหรอคะ?”
จู่ๆ ไฟในครัวก็ดับลง เธอรีบบอก “เดี๋ยวฉันไปโทรเรียกช่างก่อนนะ”
“ผมว่าเชฟนีไม่ต้องไปไหนหรอก เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า”
คล้อยหลังที่ปกติเดินออกไป เสียงกีต้าร์ก็ดังขึ้น ก่อนจะเห็นศักดิ์สิทธิ์สะพายกีต้าร์เดินร้องเพลงเข้ามา
“ฝีมือนายนี่เอง ทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
วิชนีกำลังจะเดินหนี ศักดิ์สิทธิ์รีบวิ่งไปร้องเพลงขวางไว้
“นี่มันที่ทำงานฉัน กรุณาออกไปด้วย”
“ไม่ออก”
“นี่ ฉันทำงานไม่ได้ แขกกำลังรออาหารอยู่”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มกวน “แขกคนนั้นก็คือฉันเอง”
“อะไรนะ ทำไมนายต้องทำแบบนี้?”
วิชนีหงุดหงิดเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับเหวอ ก่อนจะรีบวิ่งตามออกมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดือดดาลจึงยอมสารภาพ
“โอเค. ฉันยอมรับว่าฉันโกหก ฉันเป็นคนให้คุณปกติลงไปสั่งให้เธอทำอาหารทั้งหมดเอง แต่ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะเวลาที่ฉันเห็นเธอเข้าครัวทำอาหารแล้วเธอดูมีความสุขนี่ แต่ในเมื่อตอนนี้โรงแรมไม่มีลูกค้า ฉันก็แค่อยากให้เธอยิ้มได้”
“นายอย่าคิดว่าตบหัวแล้วลูบหลังอย่างนี้ แล้วฉันจะให้อภัยนายนะ ปล่อย”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าทะเล้น “ไม่ปล่อย”
“ได้”
วิชนีพูดพร้อมกับกระทืบเท้าศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะเดินออกไป แต่แล้วตัวเองก็กลับหวั่นไหว อดที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้
พอเหลือบไปเห็นปกติยืนรออยู่ เธอก็รีบปั้นหน้าขรึม
“เชฟนีโกรธคุณหนูจริงๆ เหรอ? แต่พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่ที่ผมทำงานกับคุณหนูมา ผมไม่เคยเห็นคุณหนูจะทุ่มเทให้ผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อนเลย เชฟนีเป็นคนแรกที่คุณหนูใส่ใจเลยก็ว่าได้นะครับ”
วิชนีแอบยิ้มคนเดียว “จริงเหรอ?”
“จริงสิครับ เชฟนีอย่าโกรธคุณหนูเลยนะครับ ถ้าจะโกรธก็โกรธปกติที่มีความคิดไม่ปกติแทนเถอะครับ”
“ทีหน้าทีหลังก็อย่าให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกแล้วกัน”
พูดพลางหันหลังก่อนจะแอบอมยิ้มแล้วเดินออกไป
ทรงพลกลับเข้ามาในบ้าน พอเห็นวรรณิตก็ถึงกับแปลกใจ ศุภารมย์รีบอธิบาย
“พอดีตาวันกับหนูณิตกลับมาจากฮันนีมูนก่อนกำหนดน่ะค่ะ”
ครู่หนึ่งป้าจวนก็เข้ามาบอกว่าตั้งโต๊ะอาหารพร้อมแล้ว
“ไปหนูณิต ไปทานข้าวกัน”
วรรณิตอึกอักมองขึ้นไปข้างบน “แต่คุณวันยัง....”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ให้คนขึ้นไปตามวันเอง”
ศุภารมย์หันมาพยักหน้าให้ป้าจวนขึ้นไปตามอนันยชอย่างรู้กัน
วรรณิตนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พลางมองที่ศุภารมย์กับทรงพลอย่างรู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขณะเดียวกับที่อนันยชก็เดินนำป้าจวนเข้ามานั่งข้างๆ วรรณิต
“สวัสดีครับคุณน้า ผมนึกว่าคุณน้ายังไม่กลับ เลยไม่ทันได้หยิบของฝากติดมือลงมาให้”
“ขอบใจมากพ่อวัน เห็นแม่เราบอกว่าไปเที่ยวไม่สนุกเหรอ?”
อนันยชเหลือบมองหน้าวรรณิต
“ครับคุณน้า ไปกัน 2 คนจะสนุกอะไรล่ะครับ”
“ถ้าไปแล้วไม่สนุกกลับมาก็ดีแล้วล่ะ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่กับคนที่เรารัก ยังไงก็มีความสุข
จริงมั้ย?”
ศุภารมย์ได้ยินทรงพลพูด ก็แขวะขึ้นมาทันที
“มิน่าล่ะ พักนี้คุณถึงได้ขลุกอยู่แต่ที่ทำงาน”
อนันยชรู้ทันทีว่าศุภารมย์กับทรงพละกำลังตึงๆ กันอยู่
“แล้ววินล่ะครับ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ? พอดีผมมีของฝากให้น้องด้วยน่ะครับ”
“เดี๋ยวคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ ทานข้าวเถอะ”
อนันยชก้มหน้าก้มตากินข้าว พร้อมกับลอบสังเกตไปที่ทรงพลกับศุภารมย์ที่ตึงๆใส่กัน
ศุภารมย์เห็นอนันยชกินข้าวไม่สนใจวรรณิต จึงพูดขึ้นมา
“วันตักกับข้าวให้หนูณิตหน่อยสิ”
วรรณิตเห็นอนันยชดูไม่สบอารมณ์ก็รีบพูดแย้งขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ณิตตักเองได้ค่ะ”
อนันยชวางช้อน ก่อนจะตักอาหารรสจัดใส่จานให้วรรณิต พร้อมกับพูดประชด
“กินแต่ต้มจืดมันจะไปได้รสชาติอะไร้ ณิตลองทานนี่ดูบ้างสิ เผื่อจะทำให้ณิตมีรสชาติขึ้นมาบ้าง”
วรรณิตอายจนหน้าชา ศุภารมย์รีบปราม
“วันทำไมพูดแบบนั้น ให้เกียรติหนูณิตบ้าง”
“แหม คุณแม่ครับ ผมก็แหย่เล่น ณิตคงไม่ถือผมอยู่แล้วใช่มั้ย?”
วรรณิตทำหน้าสงบเสงี่ยม พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์เดินเข้ามาพอดี
“วัน คุณณิต ฮันนีมูนสนุกมั้ย?”
อนันยชยิ้มแห้งๆ
“ก็งั้นๆ ว่ะ อยากให้ครอบครับเราไปกันให้หมดบ้าน ฉันว่าน่าจะสนุกกว่านี้ เออ ฉันมีของมาฝากนายด้วยนะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาให้”
อนันยชที่กำลังจะลุกออกไป แต่ทิวัตถ์รีบรั้งไว้ ก่อนจะทำหน้าเคร่งเครียด
“วัน อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวก่อนก็ได้ คุณพ่อ แม่ต่ายครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามทุกคนหน่อย”
ศุภารมย์ที่เห็นทิวัตถ์หน้าเคร่งเครียด ก็รีบถามด้วยความเป็นห่วง
“ลูกมีอะไร พักนี้ลูกดูเครียดๆ ไปนะ”
“ผมอยากรู้ว่าวันที่แม่ต้อยตาย ทุกคนยังอยู่ในบ้านใช่มั้ยครับ?”
ศุภารมย์กับทรงพลและอนันยชชะงักกึกทันที !!
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ศุภารมย์รวบช้อนก่อนจะดื่มน้ำตาม อนันยชหน้าซีดเผือด กลัวทรงพลกับวรรณิตรู้เรื่องเขากับศุภิสรา
“ณิตขึ้นห้องไปก่อน บอกให้ไปก็ไปซิ”
วรรณิตจำยอมต้องทำตาม ก่อนที่ศุภารมย์จะหันมาตำหนิทิวัตถ์
“วิน ทำไมลูกถึงมาถามเรื่องอะไรอย่างนี้?”
“ผมอยากรู้ความจริงครับ”
ทรงพลรีบแย้ง “แต่เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
“ทำไมครับ? หรือว่าเพราะมีคนเห็นคุณพ่อกลับมาบ้านก่อนที่แม่จะตาย”
ศุภารมย์ตกใจแต่ยังเก็บอาการอยู่
“วิน ใครบอกอย่างนี้กับวิน?”
“ไม่สำคัญหรอกครับ มันสำคัญที่ทุกคนโกหกผม”
“วิน”
ศุภารมย์ขึ้นเสียงใส่ ทรงพลรีบปรามไว้
“ใช่ วันนั้นพ่อกับแม่ต่ายอยู่ที่บ้าน แต่ที่พ่อไม่เล่าความจริง เพราะพ่อเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร
รังแต่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นอีก”
อนันยชรีบพูดบ้าง
“นั่นสิ นายจะให้คุณน้ามาวุ่นวายอีกทำไม ขยับเวลานิดๆ หน่อยๆ ไม่เห็นจะเสียหายอะไร”
“ไม่เสียหาย? ทำไม? หรือว่านายเองก็ขยับเวลาเหมือนกันหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์ย้อนถาม ทำเอาอนันยชนิ่งอึ้งเพราะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ขณะที่ศุภารมย์ชะงักไปเพราะไม่อยากให้ทรงพลรู้ว่าอนันยชอยู่บนห้องกับศุภิสรา
“แกเป็นบ้าอะไรของแกวะไอ้วิน? จู่ๆ มาหาเรื่องพวกเราแบบนี้”
อนันยชโพล่งขึ้นอย่างอึดอัดและไม่เข้าใจ ศุภารมย์รีบเสริม
“จริงอย่างที่พี่เขาพูดนะวิน ที่พ่อกับแม่ทำไปก็เพื่อลูกนะ”
“แล้วทำไมต้องทำเพื่อผม? ทำไมครับ ทุกคนกำลังปิดบังอะไรผมอยู่ใช่มั้ยครับ?”
ทรงพลกับศุภารมย์นิ่งอึ้งไป อนันยชเองก็แปลกใจว่าทำไมทั้ง 2 คนเหมือนมีความลับอะไรบางอย่าง
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยครับ พ่อถึงให้อาหมอเปลี่ยนความทรงจำผม”
“พ่อแค่คิดว่า ลูกยังไม่พร้อมที่จะรับความจริง”
“ความจริงอะไรครับ?” ทิวัตถ์ย้อนถาม
“วินแน่ใจเหรอว่าจะรับมันได้”
คำถามของศุภารมย์ทำให้ทิวัตถ์ชะงักไป ก่อนจะตัดสินใจ
“ได้ครับ”
“แม้ว่ามันจะทำร้ายและทำลายครอบครัวของเราน่ะเหรอ? เชื่อแม่นะวิน ที่พวกเราทำทุกอย่าง ก็เพื่อปกป้องลูกและครอบครัวของเรา”
ทิวัตถ์มองศุภารมย์ ทรงพลและอนันยช ความเสียใจและผิดหวังฉายขึ้นมาในแววตา
“ครอบครัวเราทำลายไม่ได้ แต่เราทำลายครอบครัวอื่นได้ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?”
ขาดคำก็ผลุนผลันออกไปด้วยความโกรธ ศุภารมย์ ทรงพล และอนันยช ถึงกับชะงักงัน
วรรณิตยืนแง้มประตูห้องนอนเอาไว้ เพื่อฟังว่าทุกคนคุยเรื่องอะไรกัน แต่พอเห็นอนันยชเดินขึ้นมา
ก็รีบปิดประตูก่อนจะเดินมานั่งที่เตียง
“เรื่องร้ายแรงเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก”
อนันยชตอบพลางเดินเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า
“คุณวันจะไปไหนคะ?”
“ไปเที่ยว”
“แล้วจะกลับดึกมั้ยคะ? ณิตจะได้คอย”
อนันยชทำหน้าเซ็ง
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ณิตไม่ต้องคอยผมหรอก ง่วงก็นอนไปเลย”
“ณิตว่าคุณวันอยู่พักผ่อนก่อนดีมั้ยคะ เพิ่งเดินทางกลับมากันเหนื่อยๆ”
“ผมไม่อยากพักผ่อน ผมอยากสนุก”
วรรณิตสะอึกกับคำพูดกระทบของอีกฝ่าย ขณะที่อนันยชกำลังจะเดินออกจากห้อง พลางหันมาย้ำ“ถ้าดึกก็ไม่ต้องรอนะนอนไปก่อน ถ้าผมอยากมีอะไรกับคุณ เดี๋ยวปลุกเอง”
ทรงพลนั่งดื่มเหล้าระบายด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนที่ศุภารมย์เดินเข้ามา
“หรือว่า ถึงเวลาที่เราต้องบอกความจริงวินแล้ว?”
“ถ้าคุณทำอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าคุณกำลังทำให้วินเจ็บปวดอีกครั้ง เราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ
ว่าเรื่องในวันนั้นจะตายไปพร้อมกับพวกเรา”
ทรงพลนิ่งคิดอย่างหนักใจ ก่อนจะหยิบขวดเหล้าจะเทใส่แก้วอีก ศุภารมย์เห็นอย่างนั้นก็รีบพูดต่อ
“แทนที่เราจะยอมแพ้ ฉันว่าเราน่าจะหาคนที่บอกเรื่องนี้กับวินมากกว่า”
จังหวะนั้นเสียงไลน์ของทรงพลก็ดังขึ้น เขารีบคว้ามือถือขึ้นมากดดู
“คืนนี้ผมไปนอนห้องรับรองแล้วกัน”
ศุภารมย์เหลือบมองอย่างสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีไรหรอก ผมแค่อยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวหน่อย”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น ทิวัตถ์เดินลงมาจากชั้นบน ขณะที่ทรงพลนั่งอยู่ที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ห้องรับแขก
“วิน เรื่องเมื่อคืน”
“ขอโทษครับ ผมมีประชุมตอนเช้า”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ทรงพลหนักใจก่อนจะเดินตามออกไป
ศุภารมย์เดินออกมาจากมุมหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่โต๊ะ เห็นมือถือของทรงพลวางอยู่ ก็รีบเดินเข้ามาหยิบพลางกดไลน์ดู แล้วพบว่าช่วงเวลา 4 ทุ่มครึ่ง มีเพียงข้อความเดียว คือข้อความจากกานดา
“กานอยากคุยกับคุณตอนนี้”
ศุภารมย์โกรธขึ้งขึ้นมาทันที
วรรณิตลงมาช่วยป้าจวนเตรียมอาหารในครัว พักใหญ่อนันยชก็เดินเข้ามาในสภาพเมามาย กลิ่นเหล้าคลุ้ง ก่อนจะกระชากแขนเธอพาขึ้นมาบนห้องนอน พลางผลักลงที่เตียง
“อย่าค่ะคุณวัน อาบน้ำก่อนเถอะค่ะ”
อนันยชมองหน้า แววตาหื่น “ผมอยากตอนนี้”
ขาดคำก็ก้มลงคลอเคลีย แต่วรรณิตก็ไม่มีการตอบสนองอะไร ได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ อีกฝ่ายจึงผุดลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
“ออกไป ผมบอกให้ออกไปไง”
วรรณิตลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป อนันยชทิ้งตัวลงที่เตียง ก่อนจะทุบกำปั้นลงที่เตียงอย่างหัวเสีย
ทางด้านศุภารมย์ก็ให้คฑาวุธแอบเช็คตารางงานของกานดา ฝ่ายหลังรีบเข้าไปรื้อค้นเอกสารต่างๆ แต่ก็ไม่พบอะไร
“ไม่พบอะไรเลยครับคุณต่าย”
พลันก็เห็นซองจดหมายฉบับหนึ่งหล่นลงที่พื้น
“เห็นมีแต่จดหมายอะไรเนี่ย ถึงแม่ดา จากหนูลี”
ศุภารมย์ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักขึ้นมาทันที
“จดหมายจากใครนะ?”
“หนูลีครับ”
สีหน้าของศุภารมย์เปลี่ยนไปทันที
ส่วนทิวัตถ์ก็ชั่งใจอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจกดมือถือหาลิลิน
“เมื่อวานผมไปเจอน้าชัยมา”
ลิลินถึงกับตกใจ “อะไรนะ แล้วทำไมคุณไม่บอกฉัน”
“ผมไม่รู้ว่าเป็นแผนของใครหรือเปล่า? ผมไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย”
ลิลินได้ยินทิวัตถ์พูดอย่างนั้นก็ทำให้เย็นลง
“แล้วน้าชัยยอมพูดอะไรมั้ย?”
“คุณว่างมั้ย? ผมว่าเราต้องเจอกัน”
“ฉันขอตอนบ่ายได้มั้ย? ตอนนี้ฉันติดนัดสำคัญ โอเค. แล้วเจอกัน”
ลิลินวางสายด้วยแววตาเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความหวัง
คฑาวุธนำจดหมายจากหนูลีถึงแม่ดามาให้ศุภารมย์ที่บ้าน ก่อนจะพูดย้ำว่า
“รับรองครับว่าผมไม่ได้เปิดอ่านตามที่คุณต่ายสั่งไว้แน่นอน ว่าแต่หนูลีนี่คือใครเหรอครับ”
ศุภารมย์ไม่ตอบ กลับยื่นซองที่มีเงินให้ “หมดหน้าที่เธอแล้ว”
คฑาวุธจำต้องเดินออกไป ศุภารมย์เปิดจดหมายออกมาอ่าน แล้วก็ถึงกับตกใจ
“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง”
กานดานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างกระสับกระส่าย พลางยกกล่องจดหมายของลิลินที่ส่งถึงแม่ดาขึ้นมาดูความประหม่าฉายชัดในแววตา
ขณะเดียวกันลิลินก้าวออกมาจากลิฟต์สีหน้าเครียด เพราะไม่รู้ว่ากานดาจะเป็นแม่ดาจริงหรือไม่?
และที่สำคัญฝ่ายหลังจะซ้อนแผนของเธอให้กับพวกศุภารมย์หรือเปล่า?
พอเดินออกมาก็เจอศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาทัก
“คุณลินมาคนเดียวเหรอครับ?”
“ค่ะ จะให้ฉันมากับใครเหรอคะ?”
“อ๋อ...เปล่าครับ ผมก็ถามไปอย่างนั้นเอง เอ่อ...คุณลินเห็นคุณปกติมั้ย? พอดีผมให้เขาไปสั่งงานวิชนีน่ะ”
ลิลินรู้ทันรีบบอก
“เห็นออกมาจากห้องตั้งนานแล้วนี่คะ ไม่ได้อยู่ที่ห้องครัวเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าแตกที่ลิลินรู้ทัน
“เธอคงไปไหนไม่ไกลหรอกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
พอกำลังจะเดินออกไป ศุภารมย์ก็มาขวางหน้าซะก่อน ลิลินแอบเก็บซ่อนความตกใจเอาไว้
“อ้าวคุณน้า สวัสดีครับ มาแต่เช้าเลยนะครับ เจ้าวินไม่ได้มาที่นี่ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ยกมือสวัสดี พลางพูดทัก
“น้ารู้ ที่มานี่ เพราะน้าอยากคุยกับคุณลินหน่อย”
“ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ พอดีวันนี้ฉันมีธุระ”
ลิลินกำลังจะเดินออกไป แต่อีกฝ่ายรีบเรียกไว้
“จะไปพบแม่ดาเหรอ? หนูลี”
ลิลินชะงักใจหายวาบ หันมองหน้าศุภารมย์ ศักดิ์สิทธิ์มองทั้งสองคนอย่างงงๆ
จากนั้นศุภารมย์ก็พาลิลินเข้ามาคุยในบริเวณที่ลับตาคน
“ตรงนี้ไม่มีใคร ฉันว่าเรามาพูดตรงๆ กันดีกว่า เธอคือลูกสาวของนายปองภพใช่มั้ย?”
ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังยกน้ำส้มมาเสิร์ฟได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย
“ปองภพไหนวะ? ปองภพ คนที่ฆ่าแม่ไอ้วินนี่”
ลิลินสบตาศุภารมย์ ก่อนจะประจันอย่างองอาจ
“ใช่”
“เธอคือเด็กผู้หญิงคนนั้น” ศุภารมย์มองลิลินอย่างพิจารณา “เปลี่ยนไปมากจริงๆ เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้ในวันนั้นอีกแล้ว”
“น้ำตาคงไม่ทำให้พิสูจน์ได้ว่า พ่อของฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
ศุภารมย์ชะงัก เมื่อได้รู้ความต้องการของลิลิน
“ฉันเข้าใจว่าเธอคงรักพ่อของเธอมาก แต่ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ทั้งหลักฐาน ทั้งพยาน และที่สำคัญ
พ่อเธอเองก็ยอมรับว่า เขาเป็นคนฆ่าน้องสาวฉัน”
ลิลินยิ้มหยัน
“แปลกนะคะ เพราะพ่อกลับบอกฉันว่าพ่อไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น แต่ทันทีที่พ่อต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำพ่อกลับยอมรับว่าทำก่อนที่พ่อจะตาย”
ศุภารมย์นิ่งไปอย่างหยั่งเชิงอีกฝ่าย
“เอาเถอะ เธอมีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างนั้น แต่ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ไม่ว่าเธอจะพยายามสืบหรือรื้อฟื้นอะไรขึ้นมา เธอจะไม่พบอะไร ทำไมเธอไม่เลิกยุ่งกับเรื่องนี้ซะ แล้วไปไหนก็ได้ ฉันพร้อมจะให้เงินเธอก้อนนึงเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ลิลินส่ายหน้า
“คุณต่ายเก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ เผื่อวันนึงคุณอาจจะต้องใช้มันเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่คุณเคยทำเอาไว้”
“จะมากเกินไปแล้วนะ คิดเหรอว่าคำขู่ของเด็กอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้”
ลิลินโต้กลับทันควัน
“ไม่คิดหรอกค่ะ เพราะคนที่ฆ่าน้องสาวตัวเองเพื่อแย่งสามีเธอ คงจะทำอะไรได้มากกว่าที่ฉันคิด”
ขาดคำฝ่ามือของศุภารมย์ก็ซัดเข้าที่หน้าของลิลิน แต่เธอกลับหันมาพร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับมองด้วยความแปลกใจ
“ทุกอย่างที่ฉันพูด มันคงไปกระตุ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณซินะ ไม่อย่างนั้นคุณต่ายคงไม่โกรธขนาดนี้ จริงมั้ยคะ?”
ศุภารมย์ชะงักไปที่เสียท่าให้กับลิลิน
“แล้วยังไง? เธอคิดว่าเธอจะทำอะไรฉันได้ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นใครในจังหวัดนี้”
“ค่ะ ฉันอาจจะไม่มีอาวุธหรืออำนาจเหมือนอย่างคุณ แต่ฉันมีความจริง ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
ขาดคำศุภารมย์ก็เดินเข้ามาประชิดตัว
“มันไม่ง่ายนักหรอก”
ทางด้านทิวัตถ์ที่มานั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะ พักใหญ่เสียงของลิลินดังขึ้น
“คุณอยากพบฉันเรื่องอะไร?”
“เมื่อคืนผมถามทุกคน เรื่องคำให้การในวันเกิดเหตุแล้ว”
ลิลินยิ้มเยาะ “พวกเขาคงจะปฏิเสธเหมือนเดิมละซิ”
“ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น ทุกคนยอมรับว่าพวกเขาอยู่ในบ้าน แต่ที่ผมอยากคุยกับคุณ เพราะคำพูดของทุกคน ทำให้ผมแปลกใจ”
พูดพลางหันไปมองลิลินที่นิ่งเงียบไป “คุณเป็นไรหรือเปล่า?”
“คุณได้เผลอพูดให้ใครฟังหรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“เปล่านี่ ผมรู้ว่ามันสำคัญกับคุณมาก มีอะไรเหรอ?”
“คุณต่ายรู้แล้วว่าฉันเป็นลูกพ่อป้อง”
ทิวัตถ์ตกใจ “อะไรนะ แม่ต่ายรู้ได้ยังไง แล้วคุณบอกว่าไง?”
“ความจริงก็คือความจริง ในเมื่อเธอรู้แล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะปิดบัง”
“มีใครที่รู้ความลับนี้ของคุณอีกบ้าง?”
ลิลินนึกถึงวิทยากับปรมัตถ์
“มีอีก 2 คน แต่ 2 คนนั้น ฉันมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้น แม่ต่ายรู้เรื่องนี้จากใคร?”
คำถามของทิวัตถ์ ทำให้ลิลินนึกถึงกานดาขึ้นมา
กานดาจะเดินออกมาจากร้านอย่างผิดหวัง เพราะลิลินไม่มาตามนัด ก่อนจะหยุดกึกอย่างตกใจ
“คุณต่าย”
ทันใดนั้นศุภารมย์ก็ยกมือขึ้นตบหน้ากานดาเต็มแรง
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณต่าย?”
“เธอมันงูพิษชัดๆ เธอคิดว่าเธอติดต่อกับลูกสาวปองภพทางจดหมายแล้วฉันจะไม่รู้เหรอ?”
กานดาตกใจ หน้าเสีย
“ทำไม เธอคิดจะยืมมือนังเด็กนั่นทำลายฉันใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่นะคะ”
ศุภารมย์จ้องหน้ากานดาด้วยความโกรธแค้น
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วเธอส่งเสียเลี้ยงดูนังเด็กนั่นทำไม”
“กาน กานบอกคุณต่ายไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“ไปซะ ฉันจะให้เวลาเธอแค่คืนนี้ พรุ่งนี้ฉันไม่อยากเห็นเธอในจังหวัดนี้อีก”
ศุภารมย์จิกตาร้ายใส่ ก่อนจะเดินหายออกไป ขณะที่กานดาช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว
“หลังจากที่ผมค่อยๆ รู้ความจริง ผมแน่ใจว่าครอบครัวของผมสามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อรักษาอดีตให้เป็นอดีตต่อไป”
ทิวัตถ์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดินมาส่งลิลินถึงหน้าโรงแรม
“ที่ผ่านมาฉันได้แต่หลบอยู่ในที่มืด จนบางครั้งก็สงสัยเหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด แต่หลังจากนี้ฉันจะไม่หนีอีกต่อไป ฉันจะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อให้ความจริงปรากฏออกมาให้ได้”
ทิวัตถ์เห็นความเด็ดเดี่ยวที่ออกมาจากสายตาและท่าทางของลิลิน แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
ศักดิ์สิทธิ์นั่งหน้าเครียด ปกตินั่งจ้องอย่างสงสัย จนอดที่จะถามไม่ได้
“ตกลงว่าไงครับ คุณหนูเครียดอะไรอีก?”
“ก็คุณลินน่ะสิ ความจริงแล้ว เธอเป็นลูกสาวของปองภพ ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมแม่นายวินเมื่อ 15 ปีที่แล้วไง”
ปกติตาโต “เรื่องจริงเหรอครับ?”
“ผมได้ยินมาเต็ม 2 รูหู แล้วตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเธอดี ถ้าให้อยู่ต่อไปคงได้มีปัญหาแน่ๆ”
จังหวะนั้นวิชนีถือกล่องข้าวเดินเข้าห้องมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้นกับลิน?”
ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เธอหายไปไหนมา อ่อ ไปทำมื้อเที่ยงให้ฉันใช่มั้ย?”
“นายไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าลินเป็นปัญหาอะไร บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
“ก็คุณลินเป็นลูกสาวฆาตกรที่ฆ่าแม่คุณวินไงครับ”
วิชนีตกใจ ศักดิ์สิทธิ์หน้าเหรอ เพราะไม่อยากบอกให้ใครรู้ แต่ปกติดันหลุดปากออกมา
“อะไรนะ แล้วคุณต่ายไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณวินเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “เธอไม่ใช่คนที่นี่จะไปรู้อะไร”
“ก็ไม่บอกแล้วจะรู้เหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ “ก็เรื่องมันยาว”
“ฉันมีเวลาทั้งวัน จะเล่าไม่เล่า”
วิชนีถึงกับอึ้งไปเมื่อได้รู้ความจริงจากศักดิ์สิทธิ์
“โห ฉันไม่คิดเลยว่าลินกับคุณวินจะมีอดีตที่โหดร้ายอย่างนี้”
“ฉันเล่าให้เธอฟังทุกอย่างแล้ว คราวนี้ฉันไปได้หรือยัง”
วิชนีส่ายหน้า “ยัง นายยังไม่บอกเลยว่าจะทำยังไงกับลิน?”
“เธอก็รู้นี่ว่าฉันกับไอ้วินซี้กัน แล้วถ้าขืนฉันให้คนที่เป็นลูกของฆาตกรที่ฆ่าแม่ไอ้วินอยู่นี่ เธอคิดว่าไอ้วินจะว่ายังไง”
วิชนีได้ยินก็ตกใจ
“ลูกฆาตกร? แล้วไงอ่ะ นายก็เลยจะไล่ลินออกงั้นสิ ทำไมนายต้องตัดสินคนจากอดีตของเขาด้วย แค่นี้ลินก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ถ้าหากนายยืนยันว่าจะไล่ลินออก ฉันก็จะออกด้วย ฉันพูดจริง”
พูดพลางหันหลังกลับเดินเหวี่ยงออกไปทันที
ลิลินเดินมาตามทางด้วยแววตากังวล จู่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่เข้ามา
“คุณลินครับ”
เธอเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายก็นึกรู้ทันที “คุณสิทธิ์มีอะไรรึเปล่าคะ?”
ศักดิ์สิทธิ์อ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะตัดสินใจถามเพื่อความแน่ใจ
“คือ เรื่องเมื่อตอนกลางวัน เป็นความจริงรึเปล่าครับ? เรื่องที่คุณคือลูกสาวของปองภพ พอดีผมเดินไปได้ยินคุณต่ายคุยกับคุณลินน่ะครับ”
ลิลินพยักหน้าช้าๆ
“ลินขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกคุณสิทธิ์ตั้งแต่แรก ถ้าคุณสิทธิ์ไม่สบายใจ จะให้ลินออกก็ได้ค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปก่อนจะตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน
“แต่คุณลินก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ครับ ผมจะไล่คุณออกทำไม?”
“ลินรู้ตัวดีว่าลินกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ลินไม่อยากทำให้คุณสิทธิ์เดือดร้อนค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างจริงใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไล่คุณออกไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าผมอยากจะขออะไรคุณลินสักหน่อย ถ้าคุณลินจะทำอะไรก็ขอให้คิดถึงโรงแรมผมหน่อย ตอนนี้ก็แย่พออยู่แล้ว ขืนมีเรื่องอะไรอีกโรงแรมผมเป็นต้องเจ๊งแน่ๆ”
“ลินสัญญาค่ะ ว่าจะไม่ทำให้รอยัลเพิร์ลแล้วก็คุณสิทธิ์เดือดร้อน ขอบคุณนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่ตัดสินใจได้ซะที
วรรณิตเดินลับๆ ล่อๆ เข้ามาในสวน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออก เพื่อถามอาการของแม่จากพยาบาล ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนห้องนอน พอเห็นอนันยชว่านอนหลับอยู่ ก็รีบเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าตัวเอง แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
ทรงพลเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจที่เห็นศุภารมย์นั่งรออยู่
“ตกใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
เขารีบปรับท่าทางให้ปกติ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? หรือว่าคิดจะมาจับผิดผมกับกานดาใช่มั้ย?”
“เรื่องแบบนั้นฉันไม่เก็บมาคิดให้เปลืองสมองหรอกค่ะ เรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นฝีมือของลูกสาวนายปองภพ”
ทรงพลได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ลูกสาวนายปองภพ คุณแน่ใจเหรอ?”
“แล้วคุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร? คุณลินคือลูกสาวนายปองภพ”
ทรงพลตกใจ “คุณลิลินเนี่ยนะ?”
“ใช่ ฉันน่าจะเอะใจตั้งแต่ทีแรก ไม่อย่างนั้นเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”
“คุณแน่ใจนะว่าเป็นคุณลินจริงๆ”
“เธอเพิ่งยอมรับกับฉันเอง แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ฉันยังมีอีกเรื่องนึง คุณจำได้มั้ยที่วินเคยถามถึงลูกสาวปองภพ ฉันคิดว่าที่ท่าทีของวินเปลี่ยนไป เพราะเธอ”
ทรงพลหน้าเครียดขึ้นมาทันควัน
“คุณคิดว่าวินรู้ว่าคุณลินคือลูกสาวปองภพแล้วไม่ยอมบอกพวกเรางั้นเหรอ?”
“ฉันกลัวว่าเธอกำลังจะใช้วินเป็นเครื่องมือ”
ศักดิ์สิทธิ์นั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องทำงาน เพราะปัญหารุมเร้า ทั้งเรื่องโรงแรม แล้วก็เรื่องของลิลิน จนปกติต้องพูดปลอบ
“คุณหนูใจเย็นๆนะครับ ค่อยๆ คิด ผมว่าคุณหนูต้องเริ่มเคลียร์จากปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก่อน”
“ใหญ่เหรอ ? ผมเห็นว่ามันก็ใหญ่ทุกเรื่องนั่นแหละ”
ปกติส่ายหน้า
“ใครบอกล่ะครับ ปัญหาใหญ่และสำคัญที่สุดตอนนี้ก็ต้องเป็นนี่เลยครับ พยุงโรงแรมให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องคุณลิน ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องคุณลิน ฉะนั้นก็ต้องปล่อยให้คุณลินจัดการ ทีนี้ก็เหลือแต่หาเงินมาหนุนให้โรงแรมฟื้นตัว นั่นก็คือคุณหนูต้องได้เงินจากท่านประธานใหญ่ แล้วทำยังไงจะได้เงินจากท่านประธานใหญ่?”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งฟังพลางคิดตาม “ฉันต้องมีหลานให้อาม่า”
“ถูกต้องครับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ที่คุณหนูต้องทำก็คือพิชิตหัวใจเชฟนีให้ได้”
วรรณิตมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล พร้อมกับยื่นซองเงินให้กับพยาบาลที่คอยดูแลแม่ให้เป็นพิเศษ ขณะเดียวกันพยาบาลอีกคนที่เดินผ่านมา พร้อมกับพยาบาลลูกแก้ว ก็รีบชี้บอก
“นั่นมันแฟนพี่วันของแกไม่ใช่หรือไง”
พยาบาลลูกแก้วมองอย่างสำรวจสักพัก ก่อนจะนึกออก
“จริงด้วย มาทำอะไร ได้ข่าวว่าไปฮันนีมูนอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
พลางลอบมองวรรณิตที่เปิดประตูห้องแล้วพาตัวเองเข้าไปอย่างสงสัย
วรรณิตค่อยๆ เดินเข้ามานั่งข้างเตียง พลางจับมือแม่มากุมไว้
“แม่จ๊ะ แม่เป็นยังไงบ้าง ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้มาหาแม่ตั้งนาน ฉันแต่งงานแล้วนะแม่ แม่ต้องแข็งใจอีกหน่อย ถ้าฉันได้เงินเมื่อไหร่ ฉันจะรีบพาแม่ไปหาหมอเก่งๆ ที่กรุงเทพทันทีเลยนะ”
สาไอคอกแคก ก่อนจะตื่นขึ้นมา
“อ้าวหนู”
วรรณิตตกใจ รีบยกมือสวัสดี ก่อนจะรินน้ำให้ดื่ม
“ขอบใจ ปรางล่ะ”
“ปรางไม่ได้มาค่ะ ตอนนี้ปรางไปทำงานที่ไกลมากๆ”
วรรณิตตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของสาไหลออกมา
“แม่ เอ่อ คุณน้า คุณน้าร้องไห้ทำไมคะ?”
“ถ้าน้าตาย ปรางก็ไม่ต้องลำบาก”
วรรณิตน้ำตาซึม
“ไม่นะคะ ปรางทำทุกอย่างเพื่อรักษาคุณน้า คุณน้าไม่สงสารปรางเหรอคะ ถ้าคุณน้าไม่อยู่ สิ่งที่ปรางเขาทำมาทั้งหมดจะมีประโยชน์อะไร”
สามองวรรณิตอย่างซึ้งใจ
“หนูจะว่าอะไรมั้ย น้าคิดถึงปราง น้าขอกอดหนูแทนลูกสาวน้าได้มั้ย?”
วรรณิตยิ้มก่อนจะโผเข้ากอดแม่ พร้อมกับหยดน้ำตาที่รินไหลลงมาตามแก้ม
ทิวัตถ์เดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วก็ต้องชะงักที่เห็นทรงพลกับศุภารมย์นั่งอยู่ พลางคิดว่าฝ่ายหลังคงจะบอกเรื่องลิลินเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเพื่อดูท่าที
ทรงพลหันมายิ้มให้ “นั่งก่อนสิวิน ช่วงนี้พบลูกค้าเยอะเหรอ พ่อไม่ค่อยเห็นเราเข้าบริษัท”
ทิวัตถ์พยายามไม่ให้มีพิรุธ “ครับ”
ศุภารมย์ถามต่อทันที “แล้ววินได้เจอคุณลินบ่อยมั้ย?”
“พ่อกับแม่ต่ายอยากถามอะไรผม ถามมาตรงๆ ได้เลยครับ”
“วินรู้รึเปล่าว่าเธอเป็นใคร?”
ทิวัตถ์นิ่งเงียบ ทรงพลเลยพูดเสริม
“คุณลิลินเป็นลูกสาวนายปองภพ”
“ลูกรู้อยู่แล้วใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์ตัดสินใจตอบตามตรง
“ผมรู้นานแล้วครับ ว่าคุณลิน เธอเป็นลูกสาวของปองภพ”
ศุภารมย์กับทรงพลสบตากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“วิน ฟังแม่นะ เลิกยุ่งกับเธอซะ”
“ทำไมครับ?”
ทรงพลมองจ้องลูกชายอย่างคาดคั้น
“เธอเป็นลูกสาวของฆาตกรที่ฆ่าแม่เรา เหตุผลแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ?”
“เธอเป็นลูกสาวนายปองภพก็จริง แต่เธอไม่ใช่นายปองภพนี่ครับ ผมคงทำตามที่พ่อกับแม่ต่ายต้องการไม่ได้”
“ทำไมถึงทำไม่ได้”
ทิวัตถ์นิ่งไปก่อนตัดสินใจบอก “เพราะผมชอบเธอครับ”
ศุภารมย์และทรงพลพากันอึ้งไป นพกรแอบฟังอยู่อีกด้านหนึ่ง ตาวาวขึ้นมาด้วยความโกรธ
ลิลินสวมสร้อยข้อมือลีลาวดีของแม่นั่งมองรูปของปองภพอยู่ในห้อง ครู่หนึ่งวิชนีก็เดินเข้ามาหา
“อยู่นี่นี่เอง รูปใครน่ะ? ต้องเป็นนายปองภพที่ทุกคนกลัวแน่ๆ ใช่มั้ย?”
ลิลินมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“นีรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“ใช่ รู้จากนายศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ” พูดพลางกุมมือให้กำลังใจ “ลิน ถึงคนอื่นจะมองเธอแปลกๆ แต่ยังไงฉันก็จะอยู่ข้างๆ เธอ ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ขอบใจนะนี ที่เข้าใจลิน”
ลิลินยิ้มให้วิชนีอย่างซาบซึ้ง
“แล้วถ้าเธอจะต้องไปจริงๆ ฉันก็จะไปด้วย”
“ไปไหน? ลินไม่ได้จะไปไหนซะหน่อย”
วิชนีแปลกใจ “อ้าว นายนั่นไม่ได้ไล่ลินออกเหรอ?”
“เปล่านี่ ทำไมเหรอ? คุณสิทธิ์แค่เตือนไม่ให้ฉันทำเรื่องวุ่นวายที่โรงแรมเท่านั้น”
“ค่อยโล่งอกหน่อย นึกว่าต้องหาที่ทำงานใหม่ซะแล้ว”
ลิลินตัดสินใจพูดขึ้น
“แต่ช่วงนี้ ลินอยากให้นีย้ายไปนอนห้องอื่นก่อน ลินกลัวว่าช่วงนี้มันจะไม่ปลอดภัย”
“ถ้าอย่างนั้นลินยิ่งต้องการนี เอ้า ไม่เคยได้ยินเหรอ คนเดียวหัวหาย แล้วถ้า 2 คนล่ะ?”
“2 คนเพื่อนตาย”
ลิลินยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ
ทรงพลนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่สวน พอหันมาเห็นอนันยชเดินมา ก็รีบเรียกไว้
“วัน มานั่งด้วยกันก่อนสิ”
อนันยชเดินเข้ามาเห็นทรงพลที่กำลังดื่มก็แปลกใจ
“คุณน้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไร มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ แล้วเรื่องหนูณิตล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”
อนันยชหน้าเซ็ง ทรงพลมองอย่างรู้ทัน
“แววตาวันปิดน้าไม่ได้หรอก การใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาเนี่ยนะ มันก็เหมือนกับการเสี่ยงโชค ที่มีทั้งดีและ
ไม่ดี แล้วเราก็ไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่ามันจะออกมารูปแบบไหน”
“น้าพลรู้ได้ไงครับ บางทีการเสี่ยงโชค เราก็กำหนดผลที่จะออกมาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว“
ทรงพลได้ฟัง ก็ย้อนถาม
“วันก็ดูน้าสิ ตอนน้าต้อยยังอยู่ วันคิดว่าน้ามีความสุขมั้ย?”
“น้าต้อยทั้งสาวทั้งสวยอย่างนั้น คุณน้าทำให้ผู้ชายทั้งเมืองอิจฉาคุณน้านะครับ”
ทรงพลฝืนหัวเราะ
“เหรอ? แต่น้ากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย สามีภรรยาคู่อื่นอาจจะอยู่กันด้วยความรัก แต่น้ากับน้าต้อยเหมือนเราอยู่กันด้วยความเกลียด”
คำพูดของทรงพลทำให้อนันยชอยากรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายมีต่อศุภิสรา
“แล้วตอนที่น้าต้อยเสีย น้าพลรู้สึกยังไง?”
ทรงพลนิ่งไปเหมือนสำรวจความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมา
“มันเป็นคำถามที่น้าไม่เคยถามตัวเองตั้งแต่วันที่ต้อยตาย แต่น่าแปลกนะ เมื่อน้าถามความรู้สึกตัวเองจริงๆ ว่าความตายของต้อยทำให้น้ารู้สึกยังไง น้ารู้สึกดีใจ”
อนันยชได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้ง พลางสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย แว่บหนึ่งเขาคิดว่าหรือว่า
ทรงพลจะเป็นคนฆ่าศุภิสรา?
“คุณน้าดีใจเหรอครับ?”
“อย่าพูดถึงเรื่องเก่าๆ เลย แค่จำไว้ว่า ชีวิตคู่ควรทำให้เรามีความสุข”
อนันยชเพิ่งรู้ความในใจของทรงพลก็วันนี้เอง
ลิลินในชุดนักร้อง สวมสร้อยลีลาวดีที่ข้อมือ กำลังเช็ดหน้าอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางมองตัวเองอยู่หน้ากระจก ก่อนจะนึกไปถึงตอนที่ศุภารมย์มาหาเธอที่โรงแรม และคำถามของทิวัตถ์ที่ถามว่าถ้าเขาไม่ได้บอกศุภารมย์แล้วใครบอก จนทำให้เธอนึกถึงกานดาขึ้นมา
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ลิลินตะโกนถามออกไป “ใครคะ?”
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบ เธอจึงคว่ำจดหมายลงก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่ที่หน้าห้อง กลับมีเพียงความว่างเปล่า ครั้นเธอปิดประตูเดินกลับเข้ามาในห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ลิลินเริ่มสงสัย พลางหยิบปืนออกมาแล้วเดินไปเปิดประตู
ไอ้โม่งที่ซุ่มดูอยู่ เห็นเธอยืนหันหลังให้ ก็ค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้
ลิลินรู้สึกตัวรีบหันกลับพร้อมกับยกปืนขึ้น แต่กลับถูกมันเตะมือจนปืนหล่นกระเด็น พอจะก้มลงเก็บปืน ไอ้โม่งก็เข้ามาเตะปืนกระเด็นแล้วคว้าข้อมือข้างที่ใส่สร้อยข้อมือของเธอไว้ จนสร้อยหลุดร่วงลงพื้น
ลิลินดึงข้อมือเข้าหาตัวก่อนที่จะพุ่งตัวใส่ไอ้โม่ง จนมันกระแทกเข้ากับกำแพง ล้มลงข้างๆ สร้อย
เธอรีบฉวยโอกาสรีบวิ่งหนีทันที
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนร้าย”
ไอ้โม่งนั่งจุกพิงกำแพงอยู่ กำลังจะลุกขึ้น พลางเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือตกอยู่ มันรีบหยิบขึ้นมา ก่อนจะลุกแล้ววิ่งตามลิลินออกไปจนทัน พร้อมกับรีบคว้าแขนเธอไว้
“แกเป็นใคร แกต้องการอะไร?”
ไอ้โม่งพยายามปัดป้อง ขณะที่ลิลินก็ทุบตีไม่ยอมหยุด มันโมโหเลยตบหน้าเธอไปหนึ่งที
ลิลินตะโกนเสียงดัง “คนร้ายอยู่ทางนี้ค่ะ”
ไอ้โม่งรีบเอามือปิดปาก แต่กลับถูกเธอกัดที่มือ มันร้องโอดโอย ก่อนจะปล่อยมือหลุด
ลิลินกำลังจะหนี มันรีบต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง จนเธอถึงกับทรุดลงกับพื้น มันรีบเข้ามาจะอุ้มไป แต่จู่ๆ ก็กระเด็นไปเพราะแรงถีบของวิทยา
ไอ้โม่งลุกขึ้นมาพุ่งตัวเข้าใส่ วิทยาหลบทัน พลางต่อยสวนเข้าที่หน้า จากนั้นทั้งคู่ก็โรมรันกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่วิทยาจะเป็นฝ่ายตะโกนขึ้นมา
“ทางนี้รปภ.”
ไอ้โม่งหยุดชะงัก ก่อนจะลุกลี้ลุกลนแล้ววิ่งหนีไป พร้อมกับที่วิทยาก้มลงมาถามลิลินด้วยความเป็นห่วง
“หนูลี เป็นไงบ้าง?”
ลิลินเห็นวิทยามองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะค่อยๆ เลือนหายไป
อนันยชเข้ามากิน-ดื่มกับเพื่อนในผับอย่างมีความสุข พร้อมกับเหล่มองสาวๆ ตามประสาเจ้าชู้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพยาบาลลูกแก้วที่นั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะหนึ่ง เพราะเพื่อนๆ ลุกไปเต้นกันหมด
“ไม่เจอกันตั้งนาน ยังจำกันได้มั้ยเอ่ย?”
ลูกแก้วหันมาเห็นก็แปลกใจ
“อ้าวพี่วัน ลูกแก้วไม่คิดว่าจะได้เจอพี่วันที่นี่อีกนะเนี่ย?”
“พี่ก็แค่แต่งงาน ไม่ได้ถูกตัดไม้ตัดมือซะหน่อย ตอนมาที่นี่ พี่ขับรถตามสิบล้อคันนึง ท้ายรถมันเขียนว่าไงรู้มั้ย รักพี่อย่าถามถึงเมีย”
ลูกแก้วอมยิ้มรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะบอกอะไร ก่อนจะเก็บกระเป๋าทำท่าจะเดินออก แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้
“จะไปไหนล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยู่คุยด้วยกันก่อนซิลูกแก้ว”
“เสียงดังอย่างนี้จะคุยกันได้ยังไงล่ะคะ”
ลูกแก้วพูดพลางสบตากับอนันยชอย่างรู้กันว่าจะไปไหนกันต่อ ก่อนที่ทั้งคู่จะคล้องแขนแล้วพากันเดินออกไป
อนันยชเปลือยท่อนบนเดินออกมาจากห้องน้ำในโรงแรมแห่งหนึ่ง หลังจากเสร็จกิจเรียบร้อยแล้ว
“พี่วันยังเหมือนเดิมเลยนะคะ ก่อนเคยเป็นยังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น”
ลูกแก้วนอนอยู่บนเตียงปรายตามองอนันยชอย่างหลงใหล
“แน่นอน จะให้พี่เปลี่ยนไปเป็นยังไงล่ะ”
“ก็เปลี่ยนให้เราเจอกันบ่อยๆ ก็ได้นะคะ เมื่อตอนกลางวัน ลูกแก้วคิดว่าจะได้เจอพี่วันซะแล้ว”
อนันยชใส่เสื้อเสร็จ ก็เดินไปนั่งลงที่เตียงข้างๆ ลูกแก้ว
“ทำไมถึงคิดว่าจะเจอพี่ที่โรงพยาบาลล่ะ”
“ลูกแก้วเจอเมียพี่นะสิ ก็เลยคิดว่าพี่จะต้องมาด้วยแน่ๆ แต่ก็ไม่เห็น”
อนันยชได้ยินอย่างนั้นก็นึกแปลกใจ
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว พี่วันอยู่กับลูกแก้วต่อเถอะนะ”
ลูกแก้วออดอ้อนด้วยการกอดเอว และทำหน้าน่าสงสาร
“ก็ได้จ้ะ”
อนันยชตอบรับด้วยการโอบ แต่แววตายังคงสงสัยเรื่องวรรณิต
วรรณิตเดินกลับเข้ามาในบ้าน ด้วยหน้าตาหมองเศร้า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเร่งฝีเท้าเพื่อไปยังห้องนอน แต่พอกำลังจะขึ้นบันไดก็เห็นแสงสว่างออกมาจากห้องครัว
นพกรล้างแผลที่เกิดจากการต่อสู้กับลิลินและวิทยาอยู่ในครัว หน้าตาเคียดแค้น ทว่ากลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ
จังหวะนั้นวรรณิตก็เดินเข้ามา
“อ้าว นายเองเหรอ?” พลางเดินเข้ามาดูนพกรใกล้ๆ “ตายจริง ไปโดนอะไรมา”
“ไม่ต้องมาทำเหมือนคนสนิทกัน อย่ามายุ่ง”
“แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นหรอก มา ฉันช่วยทำแผลให้เฉยๆ ก็ได้”
วรรณิตพูดพร้อมกับยื่นมือจะหยิบยา แต่นพกรรีบชักมือหนี
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง แล้วแกก็อย่าเสล่อเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเขาด้วย”
วรรณิตมองนพกรด้วยความหวาดกลัว
วรรณิตนั่งอ่านหนังสือการรักษาโรคมะเร็งอยู่ในห้องโถง พักใหญ่อนันยชก็เดินเข้าบ้านมาในชุดเดียวกับเมื่อวาน พอเห็นเธอ เขาก็หยุดชะงักทันที
“มารอผมเหรอ?”
วรรณิตวางหนังสือลง “เปล่าค่ะ”
“แล้วเมื่อวานณิตหายไปไหนมา?”
วรรณิตก้มหน้างุด ก่อนจะรีบปด
“ไปหายายน้อยค่ะ”
“แน่ใจเหรอว่าไปหายายน้อย”
วรรณิตอ้ำอึ้ง ก่อนจะหาคำพูดมาแก้ตัว
“ทำไมคะ? ทีคุณวันไปไหน ณิตยังไม่เคยถามเลย”
อนันยชโมโห ท่าจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ศุภารมย์เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“เอะอะอะไรกันแต่เช้า”
วรรณิตรีบก้มหัวให้ ก่อนจะเดินออกนอกบ้านไป อนันยชมองตามอย่างอารมณ์เสีย
“เพิ่งกลับอีกแล้วเหรอวัน รู้ตัวมั้ยว่าวันทำตัวแย่ยิ่งกว่าก่อนแต่งงานอีกนะ”
อนันยชไม่ตอบ แต่กลับเดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปอย่างหัวเสีย สวนกับทิวัตถ์ที่เดินลงบันไดมาพอดี
“ ผมไปทำงานแล้วนะครับ”
ทิวัตถ์พูดจบก็เดินออกไป โดยไม่หันมามองศุภารมย์สักนิด อีกฝ่ายถึงกับเครียดที่ถูกทำเย็นชาใส่
ทิวัตถ์เดินออกมาที่โรงรถ ก่อนจะเห็นนพกรยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาเหลือบเห็นรอยแผลบนใบหน้าของอีกฝ่าย ก็สงสัย
“หน้าไปโดนอะไรมา”
นพกรตอบส่งๆ “ซ่อมรั้วหลังบ้าน เครื่องมือมันเกี่ยว”
ทิวัตถ์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ
“ไปได้แล้ว”
จังหวะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นรถ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขามองเบอร์แล้วรีบรับสาย
“มีอะไรไอ้สิทธิ์? อะไรนะ เมื่อคืนคุณลินโดนทำร้ายเหรอ?”
ทิวัตถ์ตกใจ นพกรมองอย่างระแวง เหมือนคนมีชนักปักหลัง
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ทรงพลนั่งทำงานอยู่ในห้อง พักหนึ่งก็มีพนักงานเดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามายื่นให้
“ทำไมคุณถึงต้องมาเอง มันเป็นหน้าที่คุณกานดาไม่ใช่เหรอ?”
“ค่ะ ทุกทีคุณกานดาจะมารับไปแต่เช้า แต่วันนี้ไม่เห็นมา”
ทรงพลพยักหน้ารับรู้ “อืม ไม่เป็นไร คุณเอาแฟ้มพวกนี้กลับไปด้วยเลยแล้วกัน”
พอพนักงานยกแฟ้มที่อยู่บนโต๊ะเดินออกไป ทรงพลจึงเหลือบเห็นซองจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขารีบหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วก็ถึงกับตกใจ เพราะมันคือจดหมายลาออกของกานดา เขารีบกดมือถือโทร.หาเธอทันที แต่กลับไม่มีคนรับสาย
ตำรวจกำลังสอบปากคำปกติที่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์
“ถ้าตรวจหลักฐานจากกล้องวงจรปิดใกล้เคียงพบอะไรผิดสังเกต ทางเราจะรีบแจ้งกลับมาครับ”
ปกติยิ้มรับ ก่อนจะหันมาเคาะประตูห้องศักดิ์สิทธิ์ แล้วเปิดประตูเข้าไป เห็นเจ้าของห้องกำลังนั่งทำงานซังกะตายอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ตำรวจกลับไปกันหมดแล้วใช่มั้ย?”
“กลับไปหมดแล้วครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ขยี้หัวอย่างหัวเสีย
“ยังไม่พอใช่มั้ยเนี่ย โอ๊ย นี่ผมไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีแต่เรื่อง”
“คือในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว คุณหนูจะต้องเริ่มแผนการเดินหน้าขั้นต่อไปอย่างเด็ดขาดแล้วล่ะครับไม่อย่างนั้นโรงแรมถึงคราวอวสานภายในสามเดือนแน่ๆ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเครียด
ทันที่ที่พยาบาลตรวจอาการลิลินเสร็จ วิทยาก็รีบลุกเข้าไปหา
“คุณลินเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ความดันปกติค่ะ”
วิทยาถอนหายใจโล่งอก “แล้วเมื่อไหร่เธอจะฟื้นครับ?”
“คงอีกสักพักค่ะ เท่าที่ดูอาการ คนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะคะ”
พูดพลางเข็นรถอุปกรณ์เดินไป
วิทยามองที่ลิลิน ก่อนจะยกเก้าอี้ไปวางข้างเตียงคนไข้ พลางนั่งลงลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“พี่วิทอยู่นี่แล้วนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรหนูลีได้อีก”
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงลิลินเรียกเบาๆ “พี่วิท”
วิทยาหันไปมอง พอเห็นลิลินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาก็ยิ้มอย่างดีใจ
“หนูลี หนูลีรอเดี๋ยวนะ พี่ไปเรียกพยาบาลก่อน”
พูดพลางรีบลุกขึ้น แต่ลิลินกลับคว้ามือไว้
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมหนูลีมาอยู่ที่นี่ได้”
“เมื่อคืนมีคนทำร้ายหนูลี โชคดีที่พี่ไปหาหนูลีพอดีก็เลยช่วยไว้ได้ทัน”
“แล้วจับคนร้ายได้มั้ยคะ?”
วิทยาส่ายหน้าแทนคำตอบ ทำเอาลิลินถึงกับกังวลใจ
“หนูลี ตอนที่พี่ไม่อยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย? หนูลี พี่รับปากกับลุงป้องไว้ว่าจะดูแลหนูลี เล่าให้พี่ฟังเถอะ”
ลิลินได้แต่นิ่งไป
รถของทิวัตถ์แล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล ก่อนที่ทิวัตถ์กับนพกรจะก้าวลงมาจากรถ
“รออยู่นี่แหละ”
ทิวัตถ์พูดพลางวิ่งเข้าโรงพยาบาลไป นพกรมองตามอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบสร้อยข้อมือลีลาวดีออกมามองอย่างหลงใหล
“อะไรนะ พวกนั้นรู้ว่าหนูลีเป็นใครแล้วเหรอ?”
วิทยาได้ฟังที่ลิลินเล่าก็ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
“นี่หนูลีกำลังจะบอกพี่ว่าคนร้ายเมื่อคืน คือคนที่พวกนั้นส่งมาใช่มั้ย?”
ลิลินพยักหน้า พลางกระเถิบตัวจะลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกหน้ามืด จนวิทยารีบเข้ามาประคอง จังหวะเดียวกับที่ทิวัตถ์ก็โผล่พรวดเข้ามาด้วยความเป็นห่วง พอเห็นภาพนั้น ก็ถึงกับชะงักไป
ทิวัตถ์กับวิทยามองหน้ากัน
“คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ทิวัตถ์สวนกลับทันที “ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณมาทำอะไรที่นี่?”
วิทยาได้ยินก็โมโหจะเข้าไปเอาเรื่องทิวัตถ์
“ที่หนูลีต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกคุณ”
ทิวัตถ์ได้ยินวิทยาเรียกชื่อลิลินว่าหนูลีก็รู้สึกสะดุดหู
“ทำไมคุณเรียกเธอว่าหนูลี?”
“เอ่อ คือจริงๆ แล้วพี่วิทกับฉันรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ”
ทิวัตถ์ได้ยินก็เข้าใจและสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่เขาไม่รู้
“ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน?”
ลิลินกำลังจะอธิบาย แต่วิทยาชิงพูดขึ้นมาก่อน
“มีอีกหลายเรื่องที่คุณไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณตอบเรื่องที่ผมคิดว่าคุณต้องรู้ก่อน พวกคุณส่งคนมาทำร้ายหนูลีใช่มั้ย?”
ลิลินเห็นท่าไม่ดี รีบขัดขึ้น
“พี่วิทคะ เรื่องนี้คุณวินเขาไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ไว้หนูลีเล่าให้ฟังนะคะ แต่ตอนนี้พี่วิทกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
วิทยามองลิลิน แล้วก็จำใจยอมเดินออกไป พอคล้อยหลัง ทิวัตถ์ก็ออกพูดเชิงตัดพ้อ
“ที่จริงจะให้ผมเป็นฝ่ายไปก็ได้นะ”
“ฉันเป็นอย่างนี้คุณยังหาเรื่องทะเลาะอีกหรือไง”
ทิวัตถ์แอบพอใจที่ลิลินไม่ออกปากไล่เขาเหมือนกับวิทยา
“ไอ้สิทธิ์โทร. บอกผมเมื่อเช้าว่าคุณถูกทำร้าย เป็นยังไงบ้าง?”
“จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ยังดีที่พี่วิทมาช่วยฉันไว้ทันตอนที่สลบไป ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“แล้วอย่างนี้คุณพอจะจำได้มั้ยว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น?”
ลิลินนิ่งไปเพื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
พอวิทยาเดินออกมาที่หน้าโรงพยาบาล นพกรที่ยืนอยู่บริเวณนั้นก็เพ่งมองเขาอย่างจำได้ ว่าเป็นคนที่ทำร้ายเขานั่นเอง มันจ้องมองเขาอย่างอาฆาต
ทิวัตถ์ฟังเรื่องราวจากลิลินก็เครียดขึ้นมาทันที
“เท่าที่คุณเล่าให้ฟัง เหมือนมันต้องการลักพาตัวคุณ”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น”
ทิวัตถ์มองลิลินอย่างเป็นห่วง ทั้งคู่สบตากัน เธอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขาที่ส่งมาให้
“แล้วคุณแจ้งตำรวจหรือยัง?”
“ยัง ฉันกลัวว่าจะเป็นฝีมือของตำรวจซะเอง”
ทิวัตถ์ชะงักไปเพราะรู้ว่าลิลินหมายถึงศัลย์ หรืออาจจะเป็นฝีมือของทรงพลและศุภารมย์?
ขณะที่ศุภารมย์นั่งคุยโทรศัพท์ต่อรองเรื่องราคาเพชรอยู่ในห้องรับแขก พอเห็นทรงพลก็เดินหน้าตาเอาเรื่องเข้ามา เธอก็รีบตัดบทวางสาย พลางปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา
“คุณไล่กานดาออกเหรอ?”
ศุภารมย์จิบน้ำชา ทำหน้านิ่ง
“ค่ะ ฉันเห็นว่าเราไม่ควรเลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัว”
“แต่กานดาเป็นเลขาผม ผมรู้ดีว่าเธอเป็นคนยังไง”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าคะ? ว่าเธอส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวปองภพไว้”
ศุภารมย์ย้อนถาม ทำเอาทรงพลถึงกับอึ้งไป
“คุณรู้ได้ยังไง?”
“ฉันเห็นจดหมายที่แม่เลขาของคุณเขียนติดต่อกับนังเด็กนั่น ฉันเพิ่งรู้ว่ากานดาร้ายกาจกว่าที่เราคิดเธอคงเลี้ยงลิลินเอาไว้เพื่อให้กลับมาทำลายพวกเรา”
“แต่คุณจะทำอะไรก็น่าจะปรึกษาผมก่อน”
จังหวะนั้นทิวัตถ์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับยิงคำถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณพ่อกับแม่ต่ายทำแบบนี้ทำไม?”
ศุภารมย์กับทรงพลเห็นสีหน้าของทิวัตถ์ ก็นึกสงสัย
“ทำอะไร? มีเรื่องอะไรหรือวิน”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณพ่อกับแม่ต่ายจะใช้วิธีอย่างนี้เล่นงานคุณลิน”
“วิน พูดอะไรน่ะลูก”
ทิวัตถ์จ้องหน้าทั้งคู่อย่างคาดคั้น
“อย่าบอกว่าคุณพ่อกับแม่ต่ายไม่รู้เรื่อง ที่คุณลินโดนทำร้ายเมื่อคืนนะครับ”
ทรงพลหันมองศุภารมย์
“ใครทำร้ายคุณลิน พวกเราไม่รู้เรื่องนะวิน”
“คิดซะว่าผมขอเถอะนะครับ ผมไม่อยากให้คุณพ่อกับแม่ต่ายทำแบบนี้อีก เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้”
พูดพลางทำท่าจะเดินออกไป แต่ศุภารมย์รีบรั้งไว้
“พ่อกับแม่ไม่ทำแบบนั้นหรอก วินก็น่าจะรู้”
ทิวัตถ์นิ่งไปเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบปฏิเสธ
“ผมไม่ได้มาเพื่อคาดคั้นหรือสอบสวนพ่อกับแม่ต่าย ที่ผมมาก็เพื่ออยากให้รู้เอาไว้ว่า ถ้าคุณลินเป็นอะไรขึ้นมา ผมนี่แหละจะเป็นคนสานเรื่องที่เธอทำต่อเอง เราจะได้รู้กันสักทีว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของเธอ”
พูดจบก็เดินขึ้นบันไดออกไป ทรงพลกับศุภารมย์มองหน้ากัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือคุณ”
ศุภารมย์มองอีกฝ่ายด้วยแววตาตัดพ้อ
“ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเลวร้ายในสายตาคุณไปแล้วเหรอคะ?”
“ถึงคุณจะพูดว่าไม่ใช่ฝีมือคุณ แต่วินก็รู้ว่าคนที่ต้องการให้คุณลินออกไปจากชีวิตของวินมากที่สุดคือพวกเรา”
“ฉันก็คิด ว่ายัยเด็กนั่นก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ทรงพลสงสัยว่าศุภารมย์กำลังคิดอะไรอยู่
“ผมไม่คิดเลยว่าแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในวันนั้นจะกลายมาเป็นหนามยอกอกพวกคุณในวันนี้ได้” ศัลย์พูดด้วยสีหน้าเครียด ขณะนั่งคุยอยู่กับศุภารมย์และทรงพล
“ฉันมั่นใจว่าเรื่องเมื่อคืนต้องเป็นการจงใจของเด็กคนนั้น เธอคงต้องการปั่นหัววิน ให้วินเกลียด
พวกเรา”
“ให้ผมจัดการเธอเลยมั้ยครับ?”
ทรงพลรีบห้าม “อย่าเพิ่ง ผมเห็นว่าแค่นี้ทุกคนก็สงสัยเราแล้ว โดยเฉพาะวิน”
ศุภารมย์เห็นด้วย
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันมีวิธีอื่น”
“ไม่ว่าจะวิธีไหนก็แล้วแต่ ผมไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะพวกเราอีกแล้ว เข้าใจตรงกันนะ”
ศัลย์พยักหน้ารับคำ ก่อนจะลอบมองไปที่ศุภารมย์ ที่แววตากร้าวขึ้นมาเมื่อนึกถึงแผนการเอาคืน
ลิลิน
ทิวัตถ์เดินถือช่อดอกไม้จะมาเยี่ยมลิลิน แต่กลับได้ยินเสียงศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีโต้เถียงกันดังแว่วออกมา เขาตกใจ รีบวิ่งไปทันที เพราะคิดว่ามีคนมาทำร้ายลิลินอีก
ทันทีที่ทิวัตถ์เปิดประตูผั้วะเข้ามา ศักดิ์สิทก็ธิ์ปราดเข้าไปยืนหลบด้านหลังทันที ก่อนจะมีหมอนลอยเข้ามา ทั้งคู่รีบหลบ
“คิดว่าหลบหลังคุณวินแล้วจะรอดหรือไง?”
ทิวัตถ์มองทั้งคู่อย่างงงๆ“เดี๋ยวครับเชฟนี นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
“จะเรื่องอะไร ก็เธอหาว่าที่คุณลินเป็นอย่างนี้ก็เพราะฉัน ฉันยังงงอยู่เลยว่าเป็นเพราะฉันได้ยังไง?”
“แล้วไม่ใช่เพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยห่วยๆ ของโรงแรมนายเหรอลินถึงเป็นแบบนี้ คราวที่แล้วก็ฉัน คราวนี้ก็ลิน ทำไมไม่หัดว่าตัวเองบ้าง”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าไม่พอใจ
“แต่ยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์ว่าฉันแบบนี้ ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนะไม่ใช่หัวหน้ารปภ.”
“หนอย นายพูดแบบนี้คิดจะปัดความรับผิดชอบใช่มั้ย?”
วิชนีพูดพลางปราดจะเข้าไปหาเรื่อง ทิวัตถ์วางช่อดอกไม้ลง ก่อนจะเข้าไปพยายามแยกทั้งคู่ออกแต่ไม่สำเร็จ พร้อมกับเสียงของลินดังเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทั้งคู่นั่นแหละ นี ขอบคุณมากนะแต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันต้องขอโทษแทนนีด้วยนะคะยังไงคุณสิทธิ์กับนีกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์อ้าปากจะแย้ง แต่กลับโดนยวิชนีกระทุ้งศอกเข้าที่ท้อง เพราะอยากให้ลิลินกับทิวัตถ์อยู่ด้วยกัน
“ลินบอกให้กลับได้แล้ว นายหูแตกหรือไง”
ศักดิ์สิทธิ์จะนึกขึ้นได้
“ไอ้วินแกมาก็ดีแล้ว ฉันกับเชฟนีกำลังจะกลับพอดี ยังไงฝากนายดูแลคุณลินต่อเลยแล้วกัน เรื่องร้องเพลงคุณลินไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง “
พูดพลางเดินนำวิชนีออกจากห้องไป พร้อมกับที่ทิวัตถ์เดินถือดอกไม้มาส่งให้ลิลิน เธอรับไปอย่างเขินๆ
ศักดิ์สิทธิ์เห็นวิชนีเอาแต่ถอนหายใจ ทำหน้าเครียด ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เป็นอะไร?”
“นายคิดเหมือนฉันมั้ยอ่ะ? เรื่องที่ลินโดนทำร้าย ฉันคิดว่าเป็นฝีมือแม่ของคุณวิน”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจรีบหันรีหันขวาง แล้วเข้ามาพูดกับวิชนีเสียงเบาราวกระซิบ
“จะบ้าเหรอไง คิดได้ไงเนี่ย?”
“เอ้า ก็ลินไม่มีศัตรูที่ไหน นอกจากแม่คุณวินนี่”
ศักดิ์สิทธิ์คิดตาม สีหน้ากังวลขึ้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้ฉันชักเริ่มเป็นห่วงไอ้วินแล้วสิ คิดดู ถ้าเกิดไอ้วินรักคุณลินขึ้นมาจริงๆ
จะทำยังไง? เพราะฝั่งนึงก็ครอบครัว อีกฝั่งนึงก็คนรัก”
“แค่แอบรักมั้ง ฉันยังไม่เห็นว่าลินจะตกลงปลงใจกับคุณวินซะหน่อย นายเอาโรงแรมตัวเองให้รอดก่อนที่จะห่วงคนอื่นเหอะ”
ศักดิ์สิทธิ์แอบมองวิชนี พลางคิดว่าต้องรีบทำให้เธอหลงรักให้ได้
“ฉันหิวแล้วล่ะ เธอไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
วิชนีได้ยินก็ทำหน้าแปลกใจ
“อะไร เมื่อเช้าฉันเพิ่งทำข้าวต้มให้นายกินไปหม้อเบ้อเริ่ม นี่หิวอีกแล้วเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบพูดแก้ตัว
“ก็ตอนนี้ปัญหามันเยอะก็เลยต้องใช้สมองเยอะ พอใช้สมองเยอะมันก็หิวเร็ว เธอไม่เคยได้ยินเหรอ?กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เธอคงไม่รู้สินะว่าฉันต้องกินอาหารให้เป็นเวลา เพราะฉันเป็นโรคกระเพาะ แล้วถ้าอดอาหารฉันก็จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ แล้วฉันก็จะตาย แล้วโรงแรมก็ต้อง....”
วิชนีมองค้อนขำๆ “ไปก็ไป แค่นี้ทำไมต้องพูดซะ”
ศักดิ์สิทธิ์แอบยิ้มที่เข้าแผน
ทิวัตถ์กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกัน ลิลินแอบสังเกตว่าเขามีสีหน้าเครียด ก็นึกสงสัย
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“คุณพ่อกับแม่ต่ายบอกผมว่าไม่ได้ส่งคนมาทำร้ายคุณ”
“คิดว่าคุณเองก็พอจะรู้คำตอบจากพ่อแม่คุณอยู่แล้ว”
ลิลินเดาได้ว่าทิวัตถ์คงลำบากใจ จึงตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ฉันว่าช่วงนี้เราควรอยู่ห่างๆ กันเอาไว้ก่อน ฉันไม่อยากให้คุณต้องลำบากใจ เพราะเป็นฉัน ฉันก็คงลำบากใจถ้าต้องเลือกระหว่างครอบครัวหรือความถูกต้อง”
ขณะที่วิทยาเดินมาถึงหน้าห้อง กำลังจะเปิดประตูเข้ามา พอได้ยินเสียงคุยกันเลยชะงัก
“ถ้าเรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอถึงเวลานั้นหัวใจผมจะบอกเองว่าต้องทำยังไง ผมว่าคุณอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยดีกว่า เออ จริงสิ ผมลืมซุปที่ยายจวนทำมาฝากไว้ที่รถ เดี๋ยวผมมานะ”
ทิวัตถ์พูดจบก็เดินออกไป ลิลินมองอย่างเห็นใจ
ทิวัตถ์เดินออกมาตามทางเดิน เห็นวิทยายืนรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง ทั้งคู่มองสบตากัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเดินเข้าไปหา
“เจอคุณก็ดีแล้ว ผมอยากจะคุยเรื่องที่คุณคิดว่าครอบครัวผมส่งคนมาทำร้ายคุณลิน”
“ทำไม คุณจะแก้ตัวแทนงั้นเหรอ?”
“ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร? แต่คุณไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นฝีมือของพ่อแม่ผมจริง ผมนี่แหละที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างเอง”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่วิทยาก็เรียกไว้
“คุณวิน ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ทิวัตถ์หันมองอย่างสงสัย
“คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าหนูลีเป็นใคร? ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณก็รู้ว่าพ่อของหนูลีเป็นคนฆ่าแม่ของคุณ แล้วคุณจะมายุ่งเกี่ยวกับหนูลีอีกทำไม?”
ทิวัตถ์มองหน้าวิทยาก่อนจะตัดสินใจบอกความรู้สึกของเขาออกมา
“เพราะผมชอบเธอ ผมรู้ว่ามันอาจจะดูแปลกๆ ที่ผมรักลูกสาวของฆาตกรที่ฆ่าแม่ตัวเองได้ยังไง
แต่บางทีความรักก็ไม่มีเหตุผล”
“แสดงว่าผมคิดไม่ผิด”
“ผมบอกความรู้สึกของผมไปแล้ว แล้วผมก็อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเธอเหมือนกัน”
ทิวัตถ์ย้อนถามบ้าง
“เธอคือรักแรก และเป็นรักเดียวของผม ในเมื่อคุณบอกว่าคุณชอบเธอ ผมเองก็อยากเห็นว่าคุณจะพิสูจน์ความรักที่มีต่อหนูลีได้แค่ไหน?”
ทั้งคู่ต่างสบตากันเหมือนประกาศสงครามความรักกันนับแต่ตอนนี้
“หมายความว่าไง?”
“ผมอยากให้คุณเลิกติดต่อกับเธอ เพราะการเข้ามาของคุณทำให้หนูลีไม่ปลอดภัย ถ้าคุณรักหนูลีจริงๆ และอยากให้เธอปลอดภัย ผมว่าคุณควรจะอยู่ห่างจากหนูลีให้มากที่สุด”
ทิวัตถ์ถึงกับอึ้งไป
ศักดิ์สิทธิ์เดินนำวิชนีมาตามทาง ขณะที่ฝ่ายหลังมองไปรอบๆ อย่างไม่วางใจ
“นายแน่ใจนะว่าร้านที่ว่าอยู่ในซอยนี้ แต่ฉันว่าซอยเปลี่ยวขนาดนี้คงไม่มีใครคิดเปิดร้านหรอก มีหวังได้เจ๊งกันพอดี ดูสิแมวสักตัวจะเดินยังไม่มีเลย”
“เธอไม่เคยได้ยินเหรอ ของอร่อยมักอยู่ในที่ลึกลับ”
วิชนีไม่ค่อยอยากไว้ใจเท่าไหร่
“ไม่เคยอ่ะ แล้วนี่ใกล้ถึงหรือยัง?”
“พ้นมุมนั่นก็ถึงแล้ว”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางแอบยิ้มสมใจ
วิชนีมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นมีสิ่งปลูกสร้างหรือคนเดินผ่าน แต่จู่ๆ กลับมีคนร้ายถืออาวุธท่อเหล็กกรูกันเข้ามาล้อมทั้งคู่ไว้ ปกติที่ปลอมตัวเป็นคนร้าย แอบพยักหน้าส่งสัญญาณ ศักดิ์สิทธิ์แกล้งตกใจ
“เธอมาหลบข้างหลังฉันไว้ พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร?”
ปกติยืนเท้าเอวหัวเราะเก๊กเสียงหล่อแบบหนังไทยสมัยก่อน
“ส่งแม่สาวน้อยคนนั้นมาให้พวกข้าซะเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆ”
“ไม่มีทาง พวกแกกลับไปซะถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“ไป กลับ”
ปกติกับลูกน้องหันหลังเดินกลับไป วิชนีมองงงๆ ก่อนศักดิ์สิทธิ์จะรีบท้วงขึ้น
“เฮ้ย ! ไอ้พวกขี้ขลาด พวกแกจะไปไหนวะ?”
ปกติกับลูกน้องนึกได้ รีบหันกลับมา วิชนีเริ่มเอะใจ
“มากับพวกพี่เถอะนะน้องสาว”
ศักดิ์สิทธิ์ทำท่าโชว์แมน
“พวกแกฝันไปเถอะ ถ้าพวกแกอยากได้เธอไป ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน”
ปกติหัวเราะ ก่อนสั่งให้ลูกน้องลุย
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะปกป้องเธอเอง”
วิชนีวิ่งไปหลบมุมหนึ่ง ขณะที่ลูกน้องของปกติตรงเข้ามาล้อมศักดิ์สิทธิ์ไว้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร
“เข้ามาสิวะ”
ศักดิ์สิทธิ์แอบกระซิบ ลูกน้องคนหนึ่งเลยเข้ามาเตะเบาๆ อีกคนเข้ามาเอาท่อนเหล็กฟาดเข้าที่หลังเขาแกล้งล้มลง ก่อนจะลุกขึ้นมาคว้าไม้ปลอมที่วางไว้ขึ้นมาฟาดกลับ
วิชนีที่มองดูเหตุการณ์อยู่ชักเอะใจ
“หนอย คิดจะเล่นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างน้องนีโง่นักหรือไง?”
พูดพลางก็เดินอาดๆ ออกมา ศักดิ์สิทธิ์เห็นเข้าแต่ก็ยังเล่นละครอยู่
“ออกมาทำไมอันตราย กลับเข้าไป”
วิชนีเดินเข้ามาหยุดมองที่ท่อนเหล็กของคนร้ายก็รู้ทันทีว่าเป็นของปลอมพ่นสี เธอรีบคว้าท่อนเหล็กปลอมขึ้นมา ตรงเข้ามาฟาดลูกน้องไม่ยั้ง ก่อนจะหันมาฟาดศักดิ์สิทธิ์ต่อ
“โอ๊ย เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ? ฉันกำลังช่วยเธออยู่นะ”
“ช่วยเหรอ? คิดว่าฉันดูไม่ออกเลยหรือไง คนพวกนี้ก็พนักงานโรงแรมที่นายจ้างมาเล่นละครตบตาทั้งนั้น ใช่มั้ยคุณปกติ”
ปกติปิดตาไม่กล้ามองภาพหวาดเสียว
“ชะ ใช่ครับ”
วิชนีหันขวับไปโวยวายใส่ศักดิ์สิทธิ์ทันที
“ทำนิสัยอย่างนี้อีกแล้วนะ เมื่อไหร่นายจะเลิกหลอกฉันซะทีฮะ นายเห็นฉันเป็นคนโง่นักหรือไง? หรือนายมีความสุขกับการที่ได้แกล้งฉันนัก”
ศักดิ์สิทธิ์กำลังอ้าปากจะพูดแก้ตัว แต่กลับโดนวิชนีเอาท่อนเหล็กปลอมฟาดใส่อีก จากนั้นก็เดินออกไปอย่างมีโมโห
“คุณหนู เร็วสิครับ รีบไปง้อเชฟนีสิครับคุณหนู”
“หา นี่ฉันต้องตามไปอีกเหรอ?”
ปกติรีบปราดเข้าไปประคองศักดิ์สิทธิ์ที่เข่าอ่อนหมดแรง
วิชนีที่เดินหงุดหงิดมาตามทาง ศักดิ์สิทธิ์วิ่งเหยาะๆ ตามมา
“เดี๋ยวก่อนสิ ฟังฉันอธิบายก่อน”
วิชนีหยุดกึก พลางหันมาถลกแขนเสื้อเดินเข้ามาหา
“ไหน จะอธิบายอะไร รีบๆ พูดมาก่อนที่นายจะไม่มีโอกาสพูด”
“เดี๋ยวๆ จเย็นก่อนสิ”
“แล้วถ้าฉันทำกับนายแบบนี้บ้าง นายยังจะใจเย็นอยู่มั้ย?”
พูดจบวิชนีก็หันหลังจะเดินหนีไป ก่อนที่ศักดิ์สิทธิ์จะโพล่งขึ้น
“แล้วทำไมเธอไม่ใจอ่อนซะทีล่ะ?”
วิชนีหยุดกึกหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะหันกลับมามองศักดิ์สิทธิ์อย่างสงสัย
“ใจอ่อนอะไร?”
“เธอก็รู้ที่ฉันทำแบบนี้ไปเพราะอะไร?”
วิชนีถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาหา
“ถึงฉันจะดูแข็งๆ แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ แล้วผู้หญิงต้องการความเอาใจใส่ ความอ่อนโยน การทนุถนอม ถ้านายรู้สึกกับใครจริงๆน ายต้องทำแบบนี้” พลางจับมือตัวเองขึ้นมา “ นายควรจะจับมือเขาขึ้นมาเบาๆ แล้วสบตาเขาอย่างจริงใจ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาหา ก่อนจะจับมือวิชนีขึ้นมาเบาๆ เธอมองตามเคลิ้มๆ
“ที่ฉันทำไปทั้งหมด เพราะฉันชอบเธอ แล้วเธอล่ะคิดยังไงกับฉัน?”
วิชนีรู้สึกตัว รีบชักมือกลับ “ฉัน...ฉัน...”
จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้วยความรู้สึกสับสน ศักดิ์สิทธิ์มองตามอย่างใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าวิชนีคิด
ยังไง?
ศุภารมย์กำลังยืนมองรูปศุภิสราอยู่ในห้อง
“สะใจเธอแล้วใช่มั้ย?”
จังหวะนั้นเม็ดนุ่นก็เคาะประตู ก่อนจะเปิดเข้ามา
“คุณผู้หญิงคะ คุณวินกลับมาแล้วค่ะ”
พอทิวัตถ์เดินเข้ามาในบ้าน ศุภารมย์ก็รีบทักขึ้น
“วิน แม่อยากจะคุยกับลูกหน่อย”
“ไว้วันหลังได้มั้ยครับ วันนี้ผมเหนื่อยๆ ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบก็เดินออกไป ศุภารมย์มองตาม ด้วยความกังวลใจ เพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เพราะลิลิน
ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ศุภารมย์หยิบขึ้นมามองก่อนจะกดรับ
“พร้อมแล้วใช่มั้ย?”
ศัลย์ที่อยู่ทางปลายสาย มีสีหน้ากังวล
“ครับ แต่คุณต่ายแน่ใจแล้วเหรอที่จะให้ผมทำแบบนี้”
“ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะให้เด็กนั่นออกไปจากชีวิตฉันได้”
ศัลย์หน้าเครียด “แต่คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ผมว่ามันเสี่ยงเกินไป”
“หรือว่ารองฯ ไม่เชื่อใจตัวเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่อย่างน้อยผมก็พอจะมีทางอื่นที่เสี่ยงน้อยกว่า”
ศุภารมย์เสียงแข็งขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ เพราะตอนนี้วินอยู่ข้างนังเด็กนั่นไปแล้ว ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”
ดวงตาของศุภารมย์แข็งกร้าวขึ้นมาทันที
ทิวัตถ์ที่ปิดประตูเดินเข้ามาในห้องอย่างเครียดๆ ก่อนจะนั่งลงนึกถึงคำพูดของลิลิน ที่บอกให้อยู่ห่างๆ กัน และคำพูดวิทยาที่ให้ตัดใจจากลิลิน ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจพูดกับตัวเอง
“ถ้าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับคุณ. ผมจะเป็นคนแรกที่จะตายแทนคุณเอง”
รุ่งขึ้นทิวัตถ์ก็มาเยี่ยมลิลินที่โรงพยาบาลตามปกติ พร้อมทั้งออกปากชวนให้เธอมาอยู่ที่บ้านเขาเพื่อความปลอดภัย
“คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า? หรือคุณอยากเห็นฉันตายจริงๆ”
ทิวัตถ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมพูดจริงๆ ถ้าคุณอยู่ใกล้ผม คงไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณ”
ลิลินแอบอมยิ้มที่เขาเป็นห่วงเธอ ก่อนจะปฏิเสธ
“อย่าดีกว่า ฉันว่าฉันกลับไปพักที่โรงแรมคุณสิทธิ์เหมือนเดิมน่ะดีแล้ว ถึงมันจะอันตรายก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยกว่าไปอยู่บ้านคุณ”
“แล้วถ้าคนร้ายมันย้อนกลับมาอีกทีล่ะ คุณจะทำยังไง?”
ลิลินนิ่งคิด อย่างกังวลใจ
สุดท้ายทิวัตถ์ก็จำยอมต้องมาส่งลิลินที่รอยัลเพิร์ล แต่ไม่วายพูดย้ำด้วยความเป็นห่วง
“งั้นคุณต้องสัญญากับผมข้อนึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณต้องโทร. บอกผม”
ลิลินพยักหน้ายิ้มๆ จังหวะเดียวกับที่ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเดินตรวจตรารอบโรงแรม เดินเข้ามาพอดี
“คุณลิน นี่หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ?”
ทิวัตถ์รีบบอก
“ยังหรอก แต่ลูกน้องนายน่ะสิดื้อจะกลับมาทำงานให้ได้ สงสัยกลัวเจ้าของโรงแรมจะไล่ออก”
ลิลินมองค้อน
“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อยนะคะคุณสิทธิ์ แต่พอเกิดเรื่องขึ้นอีกฉันกลับยิ่งเป็นห่วงโรงแรม”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม
“เห็นทีพนักงานดีเด่นปีนี้คงหนีไม่พ้นคุณลินแน่ๆ ครับ”
ทิวัตถ์รีบพูดออกปากเตือนให้ศักดิ์สิทธิ์เพิ่มกล้องวงจรปิดเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะที้หน้าห้อง
ลิลิน
“ไม่ต้องห่วง เรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็แกล้งพูด “ไอ้วิน ถ้าห่วงคุณลินขนาดนี้ แกก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ซะเลยสิวะ”
“หน้าสิ่วหน้าขวานแกยังจะมาพูดเล่นอีก”
ทิวัตถ์เริ่มหงุดหงิดที่ศักดิ์สิทธิ์เอาแต่พูดเล่น จนลิลินต้องพูดห้าม
“คงไม่มีอะไรหรอกจริงมั้ยคะคุณสิทธิ์ ตอนนี้ฉันว่าคนที่ทำ คงยังไม่กล้าลงมืออีก อย่างน้อยก็ระยะนึง”
ทิวัตถ์ถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา
“คุณอย่าชะล่าใจหรือไว้ใจใครเด็ดขาด ถ้ามีอะไรโทร. หาผมได้ทันที”
ลิลินพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินผละไป ทิวัตถ์มองตามอย่างเป็นห่วง
พอเข้ามาถึงในห้องพัก ลิลินก็รีบเปิดลิ้นชัก พลางหยิบกล่องแห่งความทรงจำขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงรีบเปิดดูที่ที่ตู้หนึ่งแล้วหยิบปืนขึ้นมาดูเพื่อความอุ่นใจ
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ลิลินตกใจหันมองที่ประตู พลางเอาปืนแนบหลังแล้วเดินไปที่ประตู
“นั่นใคร ?”
“วีเองครับพี่ลิน”
ลิลินนึกถึงคำพูดของทิวัตถ์ ที่ไม่ให้ไว้ใจใคร รีบถามกลับ
“มีอะไร?”
“คนทิ้งโน้ตไว้ให้พี่ลินครับ”
ลิลินนิ่งไปก่อนจะแง้มประตูออก เห็นพนักงานต้อนรับยืนยิ้มแหยๆ อยู่ที่หน้าห้อง ก่อนจะยื่นโน้ตให้ เธอรีบรับมาเปิดอ่าน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ใครฝากมา?”
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ สงสัยจะเป็นแฟนคลับพี่นั่นแหละ”
พนักงานยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ลิลินปิดประตูก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ พลางวางปืนแล้วนั่งลงอ่านโน้ต
“ถ้าอยากรู้ความจริง ฉันจะเป็นคนบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอง มาพบฉันตามแผนที่นี้ ห้ามบอกใคร ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันรู้ความจริงไปตลอดกาล จากผู้หวังดี”
ทิวัตถ์เดินมาตามทางเดินมุ่งหน้าไปที่รถ ระหว่างทางก็เจอกับศัลย์ที่เดินพ้นมุมออกมาพอดี
“รองฯ มาทำอะไรที่นี่?”
“ผมมารอพบคุณวิน”
ทิวัตถ์มองอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ผมอยากคุยกับคุณวินหรือคุณลิลินหน่อย”
“อะไรนะครับ รองฯ สงสัยว่าเมื่อคืนคุณลินไม่ได้ถูกทำร้ายจริงๆ เหรอ?”
ทิวัตถ์ถามย้ำกับศัลย์
“ใช่ เพราะเท่าที่ดูพยานในที่เกิดเหตุก็ไม่มี แต่ที่น่าแปลกก็คือ กล้องวงจรปิดก็มาเสียตอนช่วงเวลาเกิดเหตุพอดี”
“แต่คุณลินเธอมีบาดแผลจริงๆ”
ศัลย์ยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดขึ้น
“เรื่องนั้นใครๆ ก็ทำขึ้นเองได้”
ทิวัตถ์เริ่มคิดตาม จังหวะนั้นเสียงมือถือของศัลย์ก็ดังขึ้น เขารีบหยิบมือถือขึ้นมามอง พลางทำท่าสงสัย ก่อนจะกดรับ
“ครับคุณต่าย อะไรนะครับ เธอนัดคุณต่ายออกไปเหรอครับ แต่ผมไม่อยากให้คุณต่ายออกไป มันอันตรายเกินไป คุณต่าย คุณต่าย”
ศัลย์หน้าเครียด รีบกดโทรศัพท์ออกไปหาศุภารมย์อีกทีแต่ก็ไม่ติด
“เกิดเรื่องอะไรกับแม่ต่ายหรือเปล่าครับ?”
ศัลย์ทำสีหน้ากังวล ก่อนจะเล่าให้ทิวัตถ์ฟัง
“คุณต่ายโทร. มาบอกว่าคุณลิลินนัดให้ไปพบ”
ทิวัตถ์ได้ยินก็ไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เพราะผมเพิ่งแยกกับเธอเมื่อครู่นี่เอง”
พูดพลางรีบตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดโทร. ออก แต่ลิลินกลับไม่ยอมรับสาย
“ขอโทษนะคะคุณวิน แต่เรื่องนี้ฉันจะบอกให้ใครรู้ด้วยไม่ได้จริงๆ”
ทิวัตถ์ตัดสินใจวิ่งย้อนกลับเข้าไปที่โรงแรม
ลิลินก้าวขึ้นรถตู้ที่มาจอดรับที่หน้าโรงแรม จังหวะเดียวกับที่ทิวัตถ์มาถึงล็อบบี้และเห็นพอดี เขาจะตะโกนเรียกแต่ไม่ทัน ศัลย์ตามเข้ามา ทำเป็นไม่เห็นลิลิน
“เป็นไงบ้างครับ?”
“แม่ต่ายบอกมั้ยว่าเขานัดกันที่ไหน?”
“เห็นว่าตึกเก่านอกเมืองครับ”
ทิวัตถ์ได้ฟังคำตอบ ก็รีบพุ่งตัวออกไป ศัลย์มองตามก่อนจะกดมือถือโทร. ออก
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนครับ”
ลิลินเดินมาตามทางที่นัดหมาย พลางครุ่นคิดถึงข้อความที่บุคคลคนลึกลับส่งมา
“ความจริง ความจริงเรื่องอะไร?”
เธอเดินมาหยุดที่จุดนัดพบ ก่อนจะเห็นว่าเงียบและไม่มีใคร จนเริ่มเอะใจ
“ทำไมต้องนัดในที่เปลี่ยวแบบนี้ด้วยนะ”
คิดพลางเปิดกระเป๋าถือก่อนจะเห็นปืนอยู่ในนั้น ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เธอรีบหันไป ดู แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นศุภารมย์เดินเข้ามา
“คุณต่าย”
ศุภารมย์เดินนิ่งๆ ตรงเข้ามาที่ลิลิน พยายามระงับอารมณ์โกรธไว้
“ตกใจมากนักเหรอที่เจอฉัน”
“เปล่าค่ะ แค่ไม่คิดว่าจะเจอคุณต่ายที่นี่ หรือว่าคุณต่ายจะเป็น คุณเป็นคนเขียนจดหมายนัดฉันมาที่นี่ใช่มั้ย?”
“ฉลาดดีนี่”
ลิลินมองรอยยิ้มของศุภารมย์ที่ดูเยือกเย็น ก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น
ทิวัตถ์ขับรถตามมาตามทางด้วยใจที่ร้อนรน
“คุณคิดจะทำอะไรของคุณ?”
“เธอนี่แผนสูงกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ ยอมลงทุนถึงขนาดจ้างคนมาทำร้ายตัวเอง”
ศุภารมย์พูดด้วยแววตาเย้ยหยัน
“ว่าไงนะ?”
“ยอมรับเถอะ ไหนๆ ตรงนี้ก็ไม่มีใครอยู่ เลิกตีหน้าซื่อได้แล้ว เธอทำอย่างนี้เพื่อจงใจใส่ร้ายฉัน ให้วินเกลียดฉันใช่มั้ย?”
“คุณจะทำอะไรกันแน่?”
ศุภารมย์มองลิลินอย่างเยือกเย็น
“แย่งวินกลับคืนมาจากเธอไง”
ขาดคำก็มีผู้ชายใส่หมวกไอ้โม่งเข้ามา ลิลินหันไปเห็นก็ต้องตกใจ เพราะมันเล็งปืนมาที่เธอ ก่อนที่จะวาดปืนไปที่ศุภารมย์แทน
“ระวัง”
แต่ไม่ทัน ไอ้โม่งยิงเข้าไปที่ศุภารมย์จังๆ
ทิวัตถ์ได้ยินเสียงปืนดังปัง ก็รีบวิ่งตามเสียงปืนไปทันที ขณะที่ศุภารมย์ทรุดตัวลงกับพื้นเพราะถูกยิง
ลิลินตั้งสติได้ รีบหยิบปืนในกระเป๋าหันมาเล็งที่ไอ้โม่ง แต่มันกลับหายตัวไปแล้ว
“คุณต่าย เป็นไงบ้างคะ?”
ลิลินจะวิ่งเข้าไปดู แต่แล้วก็ต้องชะงักกับคำพูดของศุภารมย์
“มันจบแล้ว”
ขาดคำเสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“แม่ต่าย”
พลางรีบวิ่งเข้ามาดู เห็นศุภารมย์เลือดเต็มตัว
“แม่ต่าย เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“วิน ช่วยแม่ด้วย”
ศุภารมย์กุมแผลด้วยความเจ็บปวด ทิวัตถ์เข้าไปประคอง แล้วหันไปมองลิลินที่ถือปืนอยู่ ในหัวประมวลผลทันทีว่าเธอเป็นคนยิง
“ถอยไป ผมบอกให้ถอยไป”
ลิลินชะงักไปเมื่อเห็นสายตาของทิวัตถ์มองมาแปลกๆ พลางพยายามจะเข้ามาเพื่ออธิบาย
“นี่คุณคิดว่าฉันยิงคุณต่ายเหรอ?”
ทิวัตถ์นิ่งไปยังมองมือของเธอที่ถือปืนอยู่ ลิลินอึ้งไป เพราะจำนนต่อหลักฐาน พลางมองไปที่
ศุภารมย์ เห็นรอยยิ้มร้ายอย่างคนที่ได้ชัยชนะ
“แม่ไม่ไหวแล้ววิน”
ศุภารมย์ก็แกล้งสลบไป ทิวัตถ์หันมาเห็นก็ตกใจ
“แม่ต่าย แม่ต่าย ทำใจดีไว้นะครับ”
ทิวัตถ์ก็อุ้มศุภารมย์ออกไปทันที ก่อนที่จะรีบโทร. ไปบอกทรงพล
ทางด้านวรรณิต ก็กำลังคุยโทรศัพท์กับทางโรงพยาบาล ด้วยสีหน้าเคร่งเครีบด
“ค่ะ แล้วฉันจะรีบหาเงินไปจ่ายให้เร็วที่สุดนะคะ”
พอวางสาย ก็รีบลุกไปเปิดตู้ พลางหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเปิดดูหลายเล่มอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา ตัดสินใจโทร. ออกไปหาวาสนา แต่กลับไม่มีคนรับสาย
ขณะนั้นอนันยชก็เดินเข้ามา วรรณิตกำลังจะเอ่ยปากพูดเรื่องเงิน แต่เสียงมือถือกลับดังเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“ว่าไงวิน”
“แม่ต่ายถูกยิง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
อนันยชตกใจ “อะไรนะ แล้วตอนนี้เป็นอะไรมากมั้ย? ได้ เดี๋ยวฉันจะรีบไป”
พออนันยชวางสาย วรรณิตก็รีบเข้ามาถาม
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณวัน?”
“คุณแม่ถูกยิง”
ทิวัตถ์วางสายลง ก่อนจะทรุดนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นทรงพลก็เข้ามา
“วิน เกิดอะไรขึ้น?”
“แม่ต่ายถูกยิงครับ”
ทรงพลตกใจ “แล้วหมอว่าเป็นยังไงบ้าง?”
“หมอยังไม่ออกมาบอกอะไรเลยครับ”
ทันทีที่หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทิวัตถ์กับทรงพลรีบเข้าไป
“ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“กระสุนเข้าที่หัวไหล่ ไม่ได้ถูกจุดสำคัญ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ”
ทิวัตถ์กับทรงพลถอนหายใจโล่งอก พร้อมๆ กับที่หมอเดินเลี่ยงออกไป
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง?”
ทรงพลหันมาถาม สีหน้าเคร่งเครียด ทิวัตถ์นิ่งไป
“ทุกอย่างเป็นเพราะผม ผมผิดเอง ผมผิดที่เชื่อใจเธอ”
“วินหมายถึงใคร? หรือว่าคุณลิน?”
ทิวัตถ์พยักหน้าช้าๆ ขณะที่ทรงพลเองก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ลิลินนั่งอยู่ในห้อง ก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาดู แล้วครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด พลางนึกถึงรอยยิ้มร้ายของศุภารมย์หลังจากโดนยิง ที่เหมือนจะบอกว่าเธอชนะแล้ว
“มันยังไม่จบหรอก”
แววตาลิลินฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
อ่านต่อตอนที่ 12