xs
xsm
sm
md
lg

สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 4

เชนก้าวเท้าออกมาจากห้องลองชุดในชุดใหม่ แต่เป็นชุดย้อนยุคสมัยเชน ตฤณกับตังตังหิ้วถุงใส่เสื้อผ้าหลายใบรออยู่
 
“หล่อสุดๆ เลย” ตังตังชม
“ตรงไหน” ตฤณงง
“ต่อไปเป็นปฏิบัติการกิ้งก่าเปลี่ยนสีของเชน”
“หา กิ้งกือเปลี่ยนสี” ตฤณงง
“กิ้งก่า” ตังตังขัด
“มันคือการปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนสีผิวให้มีสีๆ ก็เป็นขั้นตอนหนึ่ง ที่เหลือเชนก็ต้องขอให้ตฤณกับหนูตังตังช่วย”
“ตังตังยินดีช่วยเชนทุกอย่างเลยค่ะ”
“อะไรก็ได้ ขอให้คุณกลับไปในหนังทีวีของคุณเร็วๆ ความสงบจะได้กลับคืนมาสู่ชีวิตผมซะที”
เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง
“คล้ายเสียงปืนเนาะ ว่ามั้ย”
ตฤณ ตังตัง หันกลับมาทางเชน เชนหายไปแล้ว ตฤณถอนหายใจ ตังตังวิ่งตามเชนไป
“เชนรอด้วย”
“อ้าว ตังตัง อย่าไป ปัดโธ่”
ตฤณรีบวิ่งตามตังตังไป

ปวันยิงขึ้นเพดาน หวังให้กลุ่มคนที่จ่อปืนมาทางเธอตกใจ แต่กลุ่มคนพวกนั้นก็ยังนิ่ง ปวันกับจ่าเจี๊ยบหันมามองหน้ากัน แล้วก้มลงพื้น กลิ้งตัวไปคนละทาง แล้วยิงใส่ขากลุ่มคนเหล่านั้น ปวันกับจ่าเจี๊ยบจึงยิงขาหุ่นล้มลงไปทีละตัว
“อ้าว หุ่นนี่นา”
“แล้วไอ้สองคนนั้นมันหายไปไหน หรือมันกลัวเราเลยหนีหางจุกตูดไปแล้ว”
นารีกับอินทุยืนอยู่บนชั้นสองของโรงงาน
“ขอโทษนะ คำว่ากลัวสะกดยังไง”
นารีกับอินทุกระโดดลงมา แล้วแยกกันต่อสู้ นารีเข้าต่อสู้กับปวัน อินทุต่อสู้กับจ่าเจี๊ยบ ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ ปวันเตะนารี นารีหลบได้ ออกหมัดต่อยปวัน แล้วเหวี่ยงขาฟาดจระเข้ฟาดหางอีกที แต่ปวันหลบได้ แล้วจับนารีเหวี่ยงลงพื้น ปวันจะลงไปคลุกวงใน แต่นารีดีดตัวขึ้นมายืนแล้วตีเข่าเข้ากลางตัวปวัน ปวันพลิกตัวหลบแล้วศอกเข้ากลางหลังของนารี นารีหน้าคะมำเซไปกระแทกกับเครื่องจักร เลือดออกจากมุมปากนารี นารีโกรธ ชักมีดขึ้นมาเตรียมซัดใส่ปวัน
ทางฝั่งจ่าเจี๊ยบกับอินทุที่แยกมาต่อสู้อีกมุมหนึ่ง ก็กำลังชกต่อยเตะถีบกันอย่างดุเดือด อินทุควักไพ่ขึ้นมาสับด้วยลีลาเซียนไพ่จนดูแทบไม่ทัน
“อ๊ะๆ ชวนตำรวจเล่นป๊อกเด้ง โดนจับหลายเด้งเลยนะจะบอกให้”
อินทุซัดไพ่ใส่จ่าเจี๊ยบ จ่าเจี๊ยบเด้งหน้าเด้งหลัง โยกซ้าย โยกขวา ยกขาด้วยลีลาเว่อร์ๆ หลบไพ่ของอินทุ
“เป็นไงล้า จ่าเจี๊ยบไม่ใช่กระจอก แค่ป๊อกแปดป๊อกเก้าไม่ได้กินจ่าเจี๊ยบหรอกเว้ย”
“งั้นจัดไปสองเด้งเลย”
อินทุขว้างไพ่ใส่จ่าเจี๊ยบเร็วขึ้น จ่าเจี๊ยบโยกตัวหลบไม่พ้น ไพ่หลายใบรอบทิศทางกรีดเสื้อจ่าเจี๊ยบขาดเป็นริ้วๆ ไพ่ใบสุดท้ายถากเข้าที่ต้นขาจ่าเจี๊ยบ ถึงกับเลือดซึมออกมา จ่าเจี๊ยบหยิบเหล็กแป๊บขึ้นมาจากพื้น
“ให้มันรู้ไป ไพ่กับเหล็ก ใครจะแข็งกว่ากัน”
อินทุปาไพ่ใส่ จ่าเจี๊ยบใช้เหล็กรับไพ่ ไพ่ร่วงลงพื้น จ่าเจี๊ยบหัวเราะชอบใจ อินทุกรีดไพ่ 4 ใบเป็นรูปพัด แล้วขว้างไปพร้อมกัน ไพ่รูปพัดหมุนติ้ว จ่าเจี๊ยบใช้เหล็กแป๊บขึ้นรับ แต่ไพ่รูปพัดตัดเหล็กแป๊บขาดเป็นท่อน จ่าเจี๊ยบงงเป็นไก่ตาแตก
“ไพ่บ้าอะไรวะ ตัดเหล็กได้”
จ่าเจี๊ยบมองเหล็กแป๊บตกลงพื้น พอเงยหน้าขึ้นมา อินทุกระโดดตัวลอยกลางอากาศ เข่าคู่ใส่จ่าเจี๊ยบ

นารีใช้ไซ ซึ่งเป็นอาวุธที่มีลักษณะเป็นสามง่าม พันใส่ปวัน ปวันถอยหลบอย่างคล่องแคล่ว นารีรุกประชิด ใช้เท้าถีบเข้าที่กลางลำตัวปวันอย่างแรง ปวันเซไปกระแทกกับผนัง จุก เจ็บท้องบริเวณชายโครงและหลังที่กระแทกกำแพง นารีจะใช้ไซแทงใส่ปวันอีกครั้ง
ทันใดนั้นเท้าของเชนลอยอยู่กลางอากาศเตะไซของนารีกระเด็นไป นารีกับปวันหันไปมองเชนซึ่งโหนโซ่ที่เป็นรอกสำหรับยกของในโรงงานโรยตัวผ่านไปกระโดดลงที่เครื่องจักรสูง ยืนแอ็คท่าเท่ นารีตกใจ
“แกเป็นใคร”
ทั้งปวันและนารีต่างประหลาดใจที่เห็นเชน ปวันไม่อยากให้เชนเห็นหน้าชัดๆ จะวิ่งหลบไป แต่ยังอยากเห็นเชนชัดๆ ด้วยว่าจะทำอะไร ก็เลยแค่หลบหาที่กำบังแล้วดูเหตุการณ์ต่อ
“แล้วแกล่ะเป็นใคร คลุมหัวคลุมหน้าทำไม ขี้เหร่มาก ชั่วมากจนไม่อยากให้ใครเห็นหน้าล่ะสิท่า จะบอกให้”
นารีโมโห ขว้างมีดใส่เชนอีกเป็นชุด เชนกระชากโซ่ออกจากรอก แกว่งซ้ายขวาอย่างว่องไว โซ่นั้นปัดมีดกลับไปเฉี่ยวเข้าที่หน้าของนารี นารีเอามือแตะก็เห็นว่ามีเลือดซิบออกมาก็ยิ่งแค้น เชนกวัดแกว่งโซ่ในมือ
“คนขี้เหร่ก็ต้องแพ้คนหล่อ ความดีก็ต้องชนะความชั่ว ตราบใดฟากฟ้ายังมีแสงทองแห่งอุทัย พลังเกรียงไกรแห่งธรรมะ ย่อมชนะอธรรมสิ”
ทันใดนั้น ไพ่คมของอินทุก็บินเข้ามา เชนใช้โซ่ปัดไพ่ไปได้ทั้งที่ไม่ได้หันมอง แต่มีไพ่ใบหนึ่งเล็ดรอดมากรีดเข้าที่ต้นแขนของเชนจนโซ่หลุดมือกระเด็นไป อินทุกระโดดเข้ามายืนข้างนารี ทั้งสองคนซัดอาวุธใส่เชนพร้อมกัน เชนแอ่นตัวหงายหลังสะพานโค้งแล้วตีลังกากลับหลังลงไปที่พื้นหลังเครื่องจักร
“มันหนีไปแล้ว”
“ตาม”
เชนโผล่ออกมาจากหลังเครื่องจักร ในมือถืออะไรบางอย่างซ่อนอยู่หลังเครื่องจักร
“ไม่ต้องตาม เชนไม่เคยหนี แต่มีของมาฝาก”
เชนดึงกระจกเงาแบบที่ใช้ติดในห้องน้ำออกมาจากหลังเครื่องจักร ส่องรับแสงแดดที่หน้าต่างให้แสงสะท้อนชิ่งไปเข้าตาอินทุกับนารี ทั้งสองแสบตา รีบหลับตาลง เอามือป้องหน้าตามสัญชาตญาณ
ตฤณกับตังตังวิ่งเข้ามาหาเชน เชนส่งกระจกเงาให้ตฤณ แล้วปราดเข้าไปหาอินทุกับนารี พออินทุกับนารีเปิดตาและเอามือลง เชนก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งสามคนเปิดฉากต่อสู้กันด้วยมือเปล่า เชนต่อสู้ด้วยฝีมือและชั้นเชิงที่เหนือชั้นมาก
“ว้าว สุดๆ เลย” ตฤณทึ่ง
“สายลับเชนของหนูเก่งอยู่แล้ว”
ตฤณหันมาหมั่นไส้

“เชอะ”

ปวันดูเชนต่อสู้ก็รู้สึกทึ่งมาก เมื่อไหร่ที่อินทุกับนารีหยิบอาวุธขึ้นมาใช้ ตฤณกับตังตังจะรีบเอากระจกเงาส่องแสงสะท้อนไปเข้าหน้าอินทุกับนารี ทำให้ทั้งสองใช้อาวุธไม่ถนัด ต่อสู้ด้วยมือเปล่าก็สู้เชนไม่ได้ จึงเริ่มถอยร่น
 
เชนกระชากฮู้ดที่ปิดหน้าของอินทุได้ อินทุรีบเอามือปิดหน้าแล้ววิ่งหนี นารีรีบตาม ตังตังดีใจ
“เย้ มันหนีไปแล้ว”
ตังตังกับตฤณตีมือกัน

เชนเดินไปหาปวัน แล้วส่งมือให้อย่างนุ่มนวล
“เป็นอะไรมั้ยครับคุณผู้หญิง”
ปวันไม่ยอมจับมือเชน แต่รีบก้มหน้างุดเพราะกลัวเชนจำได้ แล้วปวันก็นึกได้ว่าจ่าเจี๊ยบหายไป
“จ่าเจี๊ยบ”
ปวันลุกพรวดแทบจะชนเชน เชนมองปวันด้วยความรู้สึกงงและไม่เข้าใจ
“คุณจะไปไหน ไม่คิดจะพูดอะไรกับเชนสักคำเลยเหรอ”
ปวันรีบเดินหาจ่าเจี๊ยบ เชนเดินตามไป

ตังตังเห็นจ่าเจี๊ยบนอนอยู่ก็วิ่งไปดู ตฤณรีบตามไปดู เห็นจ่าเจี๊ยบมีเลือดออกจากมุมปาก
“ตายรึยัง หน้าตาเหมือนโดนหนอนแทะแล้วนะ”
ตฤณกับตังตังชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ จ่าเจี๊ยบลืมตาโพลงขึ้นมา ทั้งสองตกใจ สะดุ้ง
“ยังไม่ตาย ตกใจกันไปได้ หน้าตาออกจะหล่อ พูดได้ไงว่าโดนหนอนแทะ”
ปวันรีบเข้าไปดูอาการจ่าเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง”
“พอไหวอยู่ครับ โดนเข่าลอยซะเห็นดาวเลย”
“เรารีบไปกันเหอะ”
“ทำไมต้องรีบไปล่ะผู้หมวด”
ปวันพยักเพยิดให้จ่าเจี๊ยบดูเชน
“เออ ช่าย เราไปกันเถอะ”
เชนเดินมาดักหน้าไว้อีก
“คุณผู้หญิงครับ ถ้าไม่บาดเจ็บหรือเป็นอะไรก็น่าจะขอบน้ำใจกันสักคำนะครับ เชนช่วยเหลือโดยไม่หวังอะไรตอบแทนก็จริง แต่มันก็เป็นมารยาทสังคมที่พึงปฏิบัติไม่ใช่เหรอครับ”
ปวันก้มหน้าตอบห้วนๆ เบาๆ
“ขอบคุณ”
ปวันหิ้วปีกจ่าเจี๊ยบ แต่เชนยังคงยืนดักหน้าไม่ให้ไป
“แค่เนี้ย สั้นๆ ด้วนๆ แค่นี้เหรอ เป็นคำขอบคุณที่ไร้ความจริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา”
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ สามขอบคุณเลย ฉันไปได้ยัง”
ปวันก้มหน้า รีบประคองจ่าเจี๊ยบเดินไป แต่เชนดึงแขนเสื้อปวันไว้
“ขอบคุณเป็นล้านครั้งก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งที่คนอื่นช่วยเหลือ เคยมีคนสอนคุณรึเปล่าว่าความกตัญญูคือเครื่องหมายของคนดี”
ปวันลืมตัวปล่อยมือจากจ่าเจี๊ยบ หันมาฉะกับเชน จ่าเจี๊ยบทรุดฮวบ
“แล้วคนดีแบบไหนที่ช่วยคนอื่นแล้วมาลำเลิกซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือจริงๆ แล้วคุณไม่ได้ต้องการแค่คำขอบคุณ”
“คนดีย่อมไม่หวังอะไรตอบแทน แต่ขอเพียงกำลังใจให้มีแรงทำดีต่อไป”
ปวันประทับใจ
“พูดได้ดี เก๋มาก”
เชนมองปวันด้วยสายตาตำหนิ
“คุณนี่แข็งกระด้างไม่สมเป็นกุลสตรีไทยเอาซะเลย”
“พ่อคนดี พ่อฮีโร่ นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน เดี๋ยวแม่ชกปากแตก”
“ฮ้า ก้าวร้าวอีกต่างหาก ผมอยากเจอบุพการีของคุณจังเลย”
“เฮ้ย เล่นพ่อแม่เลยเหรอ”
ปวันเข้าไปจะอัดเชน แต่จ่าเจี๊ยบดึงไว้
“ปล่อยเขาไปเถอะ เราก็รีบเผ่นได้แล้ว เดี๋ยวเขาจำหมวดได้”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ปวันและเชนพูดพร้อมกัน
“ผมว่าแล้ว คุณต้องพูดประโยคนี้”
ปวันเหลือบมองเชนอย่างกวนๆ เชนก็มองปวันอย่างไม่ชอบใจ จ่าเจี๊ยบรีบพาปวันออกไป
“ใครได้ไปเป็นภรรยา ตกนรกทั้งเป็น ไม่เหมือนคุณปลายฟ้าของผมเลย”
“รีบไปเหอะน่า เดี๋ยวตำรวจมา จะยุ่งไปกันใหญ่นะ ยิ่งชอบมาตอนจบอยู่ด้วย”
ตฤณจูงตังตัง แล้วจับต้นแขนเชน จะลากออกไปอีกทาง เชนร้องโอ๊ยออกมา ตฤณกับตังตังหันมามองเชน ที่แขนของเชนมีรอยกรีดของไพ่ที่อินทุขว้างใส่
“เชนมีแผลเลือดออก”
เชนประหลาดใจมาก แตะเลือดตัวเองมาดู
“เลือด เลือดจริงๆ มีสี กลิ่น และความหนืด มันใช่อ่ะ”
เชนหน้าซีดจะเป็นลม

ตฤณกับตังตังพาเชนมานั่งบริเวณข้างทาง พยายามทำแผลให้ แค่แตะเพียงนิดเดียว เชนก็ร้องลั่น
“ไม่ๆ ๆ อย่าๆ ๆ มันแสบ มันเสียว เชนไม่พร้อม เชนกลัว อย่า”
ตฤณถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ไว้
“เฮ้ย แตะโดนนิดเดียวเอง อยู่เฉยๆ อยากให้แผลติดเชื้อตายหรือไง ตังตัง”
ตฤณพยักเพยิดให้ตังตังอ้อมไปดักจับอีกด้าน ช่วยกันล้อมเอาไว้
“เป็นพระเอก แต่งตัวซะหล่อ อย่ามากลัว มาให้ทำแผลซะดีๆ”
“เชนไม่ได้กลัว แต่ครั้งนี้มันแสบไปถึงทรวง เชนว่าปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็หายเอง”
“ระวัง”
ตฤณแกล้งหลอก เชนเผลอ ตฤณกับตังตังกระโดดเข้าตะครุบ ล็อกไว้ แล้วเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์แปะไปที่แผลทันที

“อ๊าก”

ดร.อาทิตย์ตบโต๊ะด้วยความโกรธจัด นารีกับอินทุยืนก้มหน้าอยู่
 
“ฉันสั่งให้พวกแกไปจัดการสั่งสอนไอ้หมวดปวัน แล้วทำไมกลับมาสภาพนี้”
“มันมีคนมาช่วยค่ะนาย เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ มีหนวด แต่งตัวหลงยุค”
“แต่ฝีมือการต่อสู้มันเก่งมาก”
“ใครมันจะมาเก่งกว่าพวกแก”
อินทุ นารีก้มหน้า
“พวกแกสองคนมันไม่ได้เรื่อง”
ดร.อาทิตย์ดีดนิ้วสองมือพร้อมกัน ตรงหน้านารีกับอินทุ แล้วตบเข้าที่หน้าอกทั้งสอง อินทุกับนารีหันมาบีบคอกันเอง ทั้งสองหน้าดำหน้าแดงหายใจไม่ออก ดร.อาทิตย์มองลูกน้องอย่างหงุดหงิด อินทุกับนารีเหมือนใกล้จะขาดใจตาย ดร.อาทิตย์ดีดนิ้ว
“จำไว้นะ ถ้าโดนเล่นงานกลับมาเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกแบบนี้อีก แกจะต้องโดนมากกว่านี้หลายเท่า”
อินทุกับนารีปล่อยมือออกจากกัน หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“นายคะ เราเจอเด็กที่เอาแว่นสามมิติไปจากร้านเนรมิตกับน้าของมันอยู่กับหมวดปวันด้วยนะคะ”
“แล้วทำไมไม่รีบบอก ไอ้หมวดปวันเกี่ยวอะไรกะเด็กคนนั้น หรือว่ามันรู้เรื่องแว่นสามมิติของเรา แกสองคนไปสืบมาว่าหมวดปวันเข้ามายุ่งอะไรด้วย”
นารีกับอินทุคำนับแล้วเดินออกมา ดร.อาทิตย์เคียดแค้นมาก

นารีกับอินทุสะบักสะบอมจากการต่อสู้กับเชน แล้วยังโดนดร.อาทิตย์ทำโทษ จนมีรอยช้ำที่ลำคอ นารีเดินผ่านกระจกเงา เห็นรอยช้ำ ก็เคียดแค้นจนตาวาว เป็นประกายเพลิง
“มันต้องตาย”
นารีพุ่งตัวไป อินทุรีบดึงไว้
“จะไปไหน”
“จะไปเอาคืนพวกมันน่ะสิ”
“ไปไม่ได้ อย่าทำนอกเหนือคำสั่งนายเด็ดขาด โดนลงโทษยังไม่พออีกเหรอ”
นารีทำท่าเหมือนคิดได้ หันมายิ้มให้อินทุ
“จริงด้วย ขอบใจนะที่เตือน”
นารีลูบไล้ใบหน้าของอินทุเบาๆ
“โชคดีที่ฉันมีนายเป็นคู่หู”
อินทุยิ้มให้ นารีตบหน้าอินทุเต็มแรง
“แกไม่ใช่เจ้านายฉัน เพราะฉะนั้นอย่าออกคำสั่งกับฉันอีก จำไว้”
นารีสะบัดหน้าเดินไป อินทุมองด้วยความแค้น

ตังตังปิดสก็อตเทปติดแผลให้เชนเสร็จ เชนนั่งหน้าบึ้ง ซาบซึ้งถึงความเจ็บปวด
“ความเจ็บปวดที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เชนสู้กับมิสเตอร์โอเค ซัดกับลูกน้องเป็นร้อย ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ตีลังกาปาระเบิด เชนไม่เคยเจ็บแม้แต่ขี้เล็บ”
“นี่มันโลกแห่งความจริง เล่นจริง เจ็บจริง โนสแตนด์อิน นายต้องระวังตัว เพราะนายมีสิทธิตายได้ เหมือนทุกคน เข้าใจมั้ย”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง เชนซาบซึ้งน้ำใจคุณมาก”
“ใครห่วงนาย ฉันก็แค่ทำไปตามหน้าที่”
“นายช่วยเหลือเชนแล้ว ถ้าอยากให้เชนตอบแทน ช่วยแนะนำวิธีง้อคนรัก เชนยินดีนะ”
“เฮ้ย ง้ออะไร”
“อย่าคิดว่าเชนไม่เห็น อย่าคิดว่าเชนไม่รู้ ตอนที่คุณเจนเอาเงินมาให้ยืม ปฏิกิริยาระหว่างคุณสองคนถูกบันทึกไว้ในนี้ หมดแล้ว เชนดูออกว่าพวกคุณรู้สึกยังไงต่อกัน ไม่งั้นจะมีคนเรียกเชนว่า สายลับเจ้าเสน่ห์รึ ฮึๆๆ”
“น่าน ถ้าน้าตฤณให้สายลับเชนช่วย น้าตฤณจะต้องฮอตยังกับไฟเอ้อร์แน่ๆ”
“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ตัวนายนั่นแหละ ถึงกับต้องให้ตังตังโทรไปรบกวนยืมเงินเจนมาซื้อสูท แล้วดูซินั่น”
เชนเห็นสูทที่เปื้อน
“เฮ้ย สูท สูทเชนเลอะ ไม่ๆๆ ทำไงดี สูทเลอะหมดเลย”
“สูทนี่มันสำคัญยังไงเหรอคะ”
เชนหันไปเห็นร้านขายดอกไม้ เห็นกุหลาบแดงวางขายอยู่
“สำคัญสิครับ สำคัญมากที่สุดเลย”

ปวันฉุนขับรถไป กัดฟันกรอดไป
“มันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่า ว่าไอ้โม่ง 2 คน นั่นต้องการอะไร คือ ใครส่งมันมา ฮึ่มๆ”
“ท่าทางหมวดจะเจ็บมากนะเนี่ย กัดฟันซะลั่นเชียว” จ่าเจี๊ยบแซว
“ฉุนเฟ้ย ไม่ได้เจ็บ เรื่องเจ็บตัวมันเรื่องจิ๊บๆ แต่เรื่องที่ถูกลูบคม ส่งโจรมาตื๊บตำรวจนี่ พ้มยอมไม่ได้หรอกคับ”
“หมวดแน่ใจเหรอว่ามีคนส่ง 2 ไอ้โม่งนั่นมาเก็บเรา”
“หรือจ่าคิดว่าไอ้ 2 ตัว นั่นมันจะส่งตัวเองมาเข้าประกวดล่ะ”
“ก็ไม่รู้ซินะ เราลากคอโจรเข้าคุกมาเป็นโหลๆ อาจจะมีสักตัวที่มันคิดแค้นเรา”
“หึ ฝีมือระดับใช้ของประหลาดพวกนั้นเป็นอาวุธไล่ฆ่าเราได้ มันไม่ใช่โจรกระจอกๆ แล้วจ่า มันเป็นนักฆ่ามืออาชีพเลยครับพ้ม”
“ว้าว แสดงว่าเราคงไปเหยียบตาปลาใครสักคน”
“แหงม และมี 2 อย่างที่เราต้องทำ คือ วัน ต้องระวังตัว แอนด์ ทู ต้องหาตัวผู้บงการส่งมือฆ่ามาเก็บเราให้ได้”
“โอ้ว เค”
จ่าเจี๊ยบกับปวันยกมือขึ้นตีกัน
“ดีแล้วล่ะครับที่เราจะไม่ตามนายนักเขียนการ์ตูนกับนายเชนกรมเจ้าท่าไป พวกมันเห็นหน้าตาเราแล้ว ขืนมันจับได้ มีหวัง โดนเตะสันหลังหักแน่นอน ตะกี้เห็นแล้วฉี่แทบเล็ด หมอนั่นมันเก่งสุดยอดไปเลย”
“จ่า จ่าว่านายเชน กับผู้ชายตัวขาวดำที่เข้าไปทำตัวฮีโร่ในธนาคาร เหมือนกันมั้ย”
“สีผิวปกติกับสีผิวขาวดำ จะเหมือนกันได้ไงครับ”
“ถ้าไม่นับเรื่องสีผิวล่ะ”
“อื้ม ไม่แน่ใจครับ”
“ดูเผินๆ เขาก็ดูปกตินะ แต่ฉันว่าเขามีอะไรไม่ปกติ”
”เอ้า ถ้าหมวดสงสัย หมวดนั่นแหละที่ต้องหาคำตอบ ลงทุนไปเช่าบ้านข้างๆ เขาแล้ว อย่าให้เสียเปล่าสิครับ ความเป็นกุลสตรีสงวนเอาไว้ให้สามีที่ยังหาไม่เจอเถอะครับ ตอนนี้เอามารยามาใช้ก่อน”
“เดี๋ยว จ่าจะเจอมารยาฉันคนแรก”

จ่าเจี๊ยบยิ้มแห้งๆ ขำๆ ปวันครุ่นคิดจะสืบ

เชนรีบวิ่งกลับเข้าบริเวณบ้านเช่า ตฤณกับตังตังวิ่งตามมา แต่แล้วเชนหยุด จัดเสื้อผ้า ทรงผม สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง
 
“เชน จะทำอะไรเหรอคะ”
“เชนมีธุระส่วนตัวต้องคุยกับคุณปลายฟ้าสักหน่อย มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้เชนอยู่กับคุณปลายฟ้า สองต่อสองนะครับ”
ปวันวิ่งออกมาจากบ้าน เรียกหาเชนเสียงสดใส น่ารัก
“คุณเชน”
“คุณปลายฟ้า”
“ว่างมั้ยคะ ปลายฟ้ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณสองคน”
“เชนก็มีเช่นกันครับ”
“งั้นเราไปหาที่เงียบๆ คุยกันนะคะ”
“เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ”
ปลายฟ้าคว้ามือเชนลากไป แต่เชนชะงัก จับมือปลายฟ้าออก ทำแขนเป็นวง แล้ววางมือปลายฟ้าให้มาเกาะที่แขนตน แบบสุภาพบุรุษ”
“เฮ้ย เดี๋ยว ยังไงของเขาเนี่ย” ตฤณงง
“คนจะมีความรัก อย่าไปขัดเขาน่าน้าตฤณ ไปๆๆ”
“นายเชน อุตส่าห์ไปซื้อสูทเพราะยังงี้นี่เอง”

ปวันเดินควงเชนมาถึงมุมหนึ่งในบ้าน
“คุณปลายฟ้ามีอะไรจะบอกเชนครับ”
ปวันคิดล้วงความลับจากเชน ทำตัวน่ารัก มารยาร้อยเล่มเกวียน
“เอ่อ คือ เรื่องของเราน่ะค่ะ เอ่อ ฮือๆ”
ปวันแกล้งร้องไห้กระซิก น้ำตาคลอ
“คุณปลายฟ้า เสียใจ เพราะสิ่งที่เชนทำกับคุณ ใช่มั้ยครับ”
ปวันพยักหน้ารับไป
“ฉันไม่อยากพูดถึงมัน”
ปวันสะบัดหน้าหนี สะอึกสะอื้น
“คุณปลายฟ้า”
เชนเข้าไปโอบปลายฟ้าให้หันหน้ากลับมา ปาดน้ำตาให้ หวานซึ้ง
“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณเสียน้ำตา ผมขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ยครับ”
“ไม่ต้องพูดอะไรค่ะ ฉันไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ ฉันเสียใจที่เราควรจะรู้จักกันให้ดีก่อน ก่อนที่จะ”
“เชนทราบดีครับ เชนรู้สึกผิดต่อการกระทำของเชนอย่างสูง และถ้าคุณปลายฟ้าจะเมตตา เชนยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“ค่ะ ฉันก็แค่อยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้”
“ด้วยความยินดีครับ”
เชนคุกเข่าลง เปิดเสื้อสูท หยิบดอกกุหลาบดอกหนึ่งที่ซุกไว้ออกมา
“คะ”
“แต่งงานกับเชนนะครับ”
“คะ”
“เชนเตรียมทุกอย่างมาเพื่อการนี้ เพื่อแสดงออกให้คุณปลายฟ้าเห็นถึงความจริงจังและความตั้งใจจริงที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำเยี่ยงสัตว์ป่าของเชน”
“เดี๋ยวค่ะ คุณไม่ต้องรับผิดชอบอย่างนี้ ก็ได้”
“ไม่ได้ครับ ความรับผิดชอบต่อสัญชาตญาณคือสิ่งที่แสดงให้รู้ว่ามนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์ ได้โปรดแต่งงานกับเชนนะครับ”
เชนก้มหน้า ยื่นดอกกุหลาบให้
“คุณเชน คือ นี่มันมาก มากเกินไปแล้วค่ะ”
“คุณยอมรับแล้วว่าเชนย่ำยีคุณ ยังจะมีอะไรมากไปอีกเหรอครับ”
“ฉันแค่อยากรู้เรื่องราวของตัวคุณแค่นั้น แค่บอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับตัวคุณก็พอ”
“ไม่พอครับ”
“พอค่ะ”
“ไม่พอครับ”
“เว้ย”
ปวันฉุน สะบัดหน้าเดินหนี ครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่
“อะไรของเขา จะมารับผิดชอบอะไรเนี่ย บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
เชนวิ่งตามมา
“คุณปลายฟ้า”
“คุณคิดว่าวิธีการรับผิดชอบมันมีแค่การแต่งงานวิธีเดียวเหรอคะ”
“แต่มันเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดที่จะรักษาเกียรติของสุภาพสตรีเอาไว้ ไม่ใช่เหรอครับ”
“การแต่งงานไม่ได้ง่ายขนาดนั้น คุณเป็นใคร มาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชอบทำอะไร มีความคิดความอ่านยังไง เป้าหมายหรือความฝันที่คุณอยากได้ในชีวิต ฉันก็ไม่เคยทราบ คนที่ไม่รู้จักกันดีพอ จะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันได้ยังไงคะ ฮือๆๆ”
“หมายความว่า ถ้าคุณปลายฟ้ารู้จักเชนดีพอ ก็จะแต่งงานกับเชนใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ ก็ ค่ะ ฉันอยากรู้จักคุณให้ดีก่อน”
“แสดงว่าคุณปลายฟ้าไม่ได้ปฏิเสธเชน งั้นก็ รับกุหลาบแทนใจเชนนะครับ”
ปวันเผลอดุ “ฉันบอกแล้วไงว่าอยากรู้จักคุณก่อน”
ปวันรู้ตัวว่าดุไป รีบลงท้ายอย่างหวานแหวว
“ค่ะ”
“กุหลาบดอกนี้ ถือเป็นการยอมรับไมตรีที่คุณมีให้ต่อเชน เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กัน เพื่อนำไปสู่การแต่งงาน นะครับ”
“เอ่อ ถ้าฉันไม่รับ คุณก็จะไม่บอกอะไรใช่มั้ยคะ”
เชนยิ้ม พยักหน้า
“โอเคค่ะ”
ปวันจำใจรับดอกกุหลาบมา เชนดีใจมาก
“จะบอกเรื่องของคุณให้ฉันรู้ได้หรือยังคะ”

ตฤณกับตังตังเดินเข้ามาในบ้าน
“อ่ะ น้าตฤณ เงินที่เหลือ น้าตฤณเอาไปคืนน้าเจนด้วยนะคะ”
“ทำไมตังตังไม่เอาไปคืนล่ะ”
“น้าตฤณไม่อยากมีข้ออ้างไปเจอน้าเจนเหรอ อย่าฟอร์มเลย ตังตังก็ดูออก เอาไป แล้วก็ไปง้อน้าเจนนะคะ”
ตฤณอึกอัก ใจหนึ่งก็อยาก อีกใจก็ไม่อยาก แต่อยู่ๆ ทิวากับราตรีถือแกงหม้อเข้ามา
“ตังตัง ตฤณ กลับมาแล้วเหรอ”
“แล้วพ่อหน้าเข้มเสียงทุ้มล่ะ”
ตังตังกับตฤณอึกอัก ไม่อยากบอก แต่มือถือของตฤณดังขึ้นมาก่อน ตฤณดูเบอร์
“เบอร์ไอ้วิศวะ”
“ฮ้า รับสิคะๆๆ”
ตฤณรีบรับสาย ทิวา ราตรีตามฟังด้วย
“นายจะโทรมาบอกข่าวดีใช่มั้ย”

ตฤณตะลึง

สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ปวันพาเชนมานั่งลงด้วยกันที่ม้านั่งด้านหนึ่ง
 
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเชนถามมาได้เลยครับ”
“คุณชื่อจริง นามสกุลจริงว่าอะไรคะ”
“ชื่อเชนครับ”
“นามสกุล”
“นามสกุล อื้ม นั่นสิ เชนนามสกุลอะไร ปกติใครๆ ก็เรียกเชนว่า เชน สายลับเจ้าเสน่ห์ อ๋อ ใช่ๆๆนามสกุล สายลับเจ้าเสน่ห์ครับ”
ปวันลุกขึ้นยืน
“ชื่อ เชน นามสกุล สายลับเจ้าเสน่ห์”
“ครับ คุณลุกยืนทำไมครับ”
“คือ นั่งแล้ว ฉันไม่รู้จะถามอะไร มันไม่ชิน คุณมีบัตรประชาชนมั้ยคะ ขอดูหน่อย”
“อื้ม ไม่มีนะครับ”
“ไม่มีหรือไม่ให้ดูกันแน่คะ”
“ไม่มีจริงๆ ครับ คุณจะลองค้นดูก็ได้”
“งั้นลุก ลุกสิคะ แล้วก็หันหลัง เอามือเกาะกำแพงค่ะ”
เชนทำตาม ปวันค้น
“เบาๆ ครับ อย่าล้วงกระเป๋าลึกครับ เชนจั๊กจี๋ คุณปลายฟ้าทำอย่างนี้ เชนรู้สึกเหมือนถูกตำรวจจับเลย ฮ่าๆๆ”
“อ้อ ค่ะ คือ ฉันกำลังอินกับนิยายสืบสวนที่แต่งอยู่อะค่ะ ฮะๆๆ”
“ไม่มีใช่มั้ยครับ”
“ไม่มีจริงๆ ด้วยค่ะ ฮะๆๆ คุณเป็นอะไรกับนายตฤณกับหลานสาวเขาคะ”
“อื้ม อ๋อ ผมเป็นฮีโร่ของน้องตังตังครับ แต่ไม่รู้ว่าใช่ฮีโร่ของนายตฤณด้วยหรือเปล่า แต่เขาเคยบอกคุณทิวากับราตรีว่าผมเป็นรุ่นพี่ของเขาสมัยเรียน ก็แสดงว่าเขายอมรับผมในระดับหนึ่ง”
“สรุปว่าพวกคุณรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน”
“ไม่ใช่ครับ เขาสองคนรู้จักผมก่อนแล้ว แต่ผมเพิ่งจะได้เจอและรู้จักพวกเขาไม่นานมานี้เองครับ”
“ถ้าเราจะเรียนรู้กัน คุณอย่าตอบยอกย้อนได้มั้ยคะ”
“เชนไม่ได้ยอกย้อนนะครับ เชนพูดจริง ไม่ได้หลอกลวงสักคำ”
“ถ้าไม่รู้จักกัน แล้วก่อนหน้านี้คุณไปอยู่ที่ไหนมา”
“นายตฤณบอกว่าผมไปทำวิจัยซากอารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห แต่จริงๆ แล้ว ผมก็เร่ร่อนไปหลายที่นะครับ แต่หลักๆ ก็คือ ที่ไหนมีความเดือดร้อน ที่นั่นมีเชน”
“หา ฉันไม่เข้าใจ”
เชนจะอธิบายต่อ แต่อยู่ๆ ตฤณกับตังตังวิ่งเข้ามาก่อน
“เชนๆๆ น้าตฤณติดต่อพี่วิศวะได้แล้ว เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ ไปๆๆ”
“ไปไหนคะ”
“เอาไว้ว่างๆ ค่อยมาจู๋จี๋กันใหม่นะครับ”
ตฤณกับตังตังเอาตัวเชนออกไป ปวันเจ็บใจ
“โธ่ ยังไม่ทันรู้อะไรเลย วิศวะคือใคร”
ปวันจะวิ่งตามไป แต่ต้องชะงัก ทิวา ราตรีมายืนขวาง
“จะไปไหนไม่ทราบ”
ปวันจะขยับหลบ ทิวา ราตรีขยับขวางตาม จ้องหน้าปวันไม่ขยับเขยื้อนให้
“ขอโทษนะคะ หนูจะต้องไปข้างนอก”
“หยุด อย่ามาแอ๊บ”
“คะ”
ปวันรีบแสดงเป็นปลายฟ้าสาวหน้าใสหัวใจแหววทันที
“มาแอบพบปะอะไรกับพ่อเชนของฉัน”
“ของฉัน” ทิวาเถียง
“หนูจำเป็นต้องบอกเรื่องส่วนตัวกับเจ้าของบ้านเช่าด้วยเหรอคะ”
“ตายแล้ว เธอหาว่ายัยราตรีสาระแนเหรอ”
“หล่อนด้วย” ราตรีย้อนทิวา
“ฟังนะ ถ้าคิดจะเช่าบ้านอยู่ที่นี่ เธอต้องมีศีลธรรมอันดีงาม อยู่ในความถูกต้อง ถ้าเธอประพฤติผิดศีล 5 ฉันจะไม่ว่าเลย”
“อ้าว”
“แต่อย่ามายุ่งกับผู้ชายในบ้านหลังนี้ เพราะเขาเป็นของฉัน”
“ของฉัน”
“แต่หนูจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้วนะคะ”
“รู้ ว่าเราไล่เธอออกไม่ได้ แต่ห้ามเธอเข้าใกล้บ้านของตฤณอีก”
“พูดให้ชัดๆ ก็คือ ห้ามเข้าใกล้เชนของฉัน”
“ของฉัน”
“เธอเช่าบ้านเพื่อเขียนนิยาย เธอก็ควรเขียนนิยายไป ไม่ต้องออกมาเพ่นพ่าน ตั้งแต่นี้ไป เราจะจับตาดูพฤติกรรมเธอให้มากขึ้น”
ทิวา ราตรีหยิบกล้องส่องทางไกลมาพร้อมกัน
“หา”
“เข้าบ้านเธอไป ไป”
ทิวา ราตรีเอากล้องส่อง กดดันปวัน

ตฤณกับตังตังลากเชนมาที่หน้าร้านวิศวะ
“ตะกี้วิศวะโทรมา มันบอกให้รีบมาหามันด่วน มีเรื่องจะแจ้งเรื่องแว่นสามมิติ มันต้องซ่อมแว่นสำเร็จแล้วแน่ๆ”
“เชนจะได้กลับไปหาลินดาและไปปกป้องโลกในหนังแล้ว”
“จริงเหรอ เดี๋ยว ถ้าเชนกลับไป แล้วคุณปลายฟ้าล่ะ เชนทิ้งคุณปลายฟ้าไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ”
“ไม่ ช่างไม่ได้ หรือว่าเชนจะเอาปลายฟ้ากลับไปด้วย”
“เฮ้ย”
“นายไม่ต้องมาห่วงเชน สติปัญญาของเชนจะหาคำตอบให้กับปัญหาเอง นายควรจะเอาเวลาไปห่วงเรื่องคุณเจนจิรามากกว่า”
“นายกลับไปในหนังเมื่อไหร่ ฉันก็จะแก้ปัญหาฉันเองเหมือนกัน”
“ไม่มีทาง นายไม่มีทางง้อคุณเจนสำเร็จ ถ้าไม่ได้คำแนะนำจากสายลับเจ้าเสน่ห์”
เชนหันไปคว้าต้นกระบองเพชรในกระถางเล็กๆ ที่มีดอกสีสดสวยงามที่วางอยู่หน้าร้านวิศวะยื่นให้ตฤณ
“สิ่งที่เชนเห็น คุณเจนจิรายังมีเยื่อใยให้นาย เพียงแค่เขาต้องการความเชื่อมั่นในตัวนายก็เท่านั้น เชนรู้ว่านายก็เห็นเหมือนเชน คิดให้ดีๆ จะนอนกอดทิฐิต่อไป หรือจะไปตามยอดดวงใจคืนมา”
เชนยัดกระถางดอกไม้ใส่อก
“เชนจะไปกับนาย จะช่วยนายให้คืนดีกับคุณเจนให้ได้ ตอบแทนนายคืนบ้าง”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน ไปจัดการเรื่องของนาย”
“เรื่องของนายสำคัญกว่า”
“หยุดๆๆ เอางี้ เพื่อให้ทั้งคู่ได้ประโยชน์ น้าตฤณไปง้อน้าเจน เดี๋ยวตังตังจะพาเชนไปหาพี่วิศวะเอง ไม่ต้องวอรี่เลย แค่เรียกแท็กซี่ บอกทางไปร้านน้าวิศวะ ตังตังทำได้ ไม่ต้องห่วงอันตรายด้วย เพราะนี่ใคร ตกลงตามนี้นะ ไปสิ ไปๆๆ”
ตังตังลากเชนแยกไปอีกทาง ตฤณถือกระบองเพชรในมือ สับสน เชนโดนลากไป แต่ยังตะโกนให้คำแนะนำ

“นายต้องทำให้สำเร็จ อย่าทิฐิ อย่าประชด ผู้หญิงชอบความจริงใจ”

ตังตังผลักประตูร้านวิศวะ พาเชนเดินเข้ามาในร้าน เชนมีอาการระวังตัว โดยเฉพาะบั้นท้ายด้านหลัง ที่หันผวามองตลอดเวลา
 
“ทำไมเงียบๆ แปลกๆ ฮัลโล่ มิสเตอร์วิศวะ อยู่ป่าวคะ”
อยู่ๆ วิศวะโผล่พรวดขึ้นมาหลังกองข้าวของ ด้านหลังเชน โดยสวมหมวกทหารที่มีเครื่องไม้เครื่องมือแปะติดอยู่บนหมวกบ้าๆ บอๆ เต็มไปหมด
“เขาอยู่นี่”
วิศวะพูดพลางจับก้นเชนปุ๊บ เชนสะดุ้งพรวด พร้อมเงื้อหมวดสวนไปที่หน้าวิศวะ
“เฮ้ย นึกว่าไอ้ก้นย้อย”
เชนหยุดหมัดไว้ทัน แต่มันก็ทิ่มอยู่ที่ครึ่งปากครึ่งจมูกวิศวะพอดี
“เชนเอง พ่อหนุ่มสติเฟื่องนี่เป็นโรคจิตเภทหรือไง ชอบสัมผัสทางเบื้องหลัง”
“ชิ้ว อย่าเพิ่งเอะอะไป”
“ทำไมคะ”
เสียงกริ่งเตือนภัยดังลั่น แล้วตามด้วยเสียงนับถอยหลัง เก้า แปด เจ็ด หก ห้า เชนตื่นตัวระวังภัย ดึงตัวตังตังมาคอยป้องกันทันที
“เสียงอะไร”
“มันอยู่นั่น”
วิศวะชี้ไปข้างหน้า เห็นระเบิดเวลาที่หน้าปัดตัวเลขกำลังถอยหลัง ระเบิดติดอยู่ที่กล่องพลาสติกใบเล็กๆ มีฝาปิด
“ห่ะ นั่นมัน ระเบิดเวลา”
ตังตังตกใจ
“เหมือนระเบิดของมิสเตอร์โอเคเลย เอาไงดีสายลับเชน”
“เราต้องร่วมมือกันยับยั้งระเบิดอีกครั้ง สายลับตังตัง”
พอได้ยินว่าตัวเองเป็นสายลับ ตังตังสุดแสนดีใจ
“เย้ ได้เลย”
“เอ่อ เดี๋ยว นั่นมัน”
วิศวะจะบอก แต่เชนกับตังตังก็รีบเข้าไปถึง
“คราวที่แล้วเราตัดสายไฟสีอะไร”
“สีแดง เอ๊ย ไม่ใช่ สีน้ำเงิน โอ๊ย ตังตังไม่รู้ มันเป็นขาวดำ ตัดผิดก็เลยระเบิด เชนถึงต้องมาอยู่ที่นี่กับตังตังไงคะ”
เชนจับที่สายไฟ ตัดสินใจหน้าเครียด
“งั้นไม่มีเวลาแล้ว เชนจำเป็นต้องเสี่ยง พิฆาตเขียวแล้วกัน ย้าก”
“เฮ้ย อย่า”
วิศวะร้องห้าม แต่ไม่ทันแล้ว เชนกระชากสายไฟสีเขียวจนขาดติดมือมา วิศวะอ้าปากค้าง ตัวเลขที่ระเบิดหยุดวิ่ง เชนกับตังตังดีใจ
“ในที่สุด เชนก็ปกป้องโลกไว้ได้อีกครั้ง คุณธรรมปกป้องคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ หยุดเหล่าร้าย สายลับเชน ฉลาดก็เท่านั้น หล่อก็เท่าโน้น”
“ปกป้องโลกอะไร ปกป้องไข่น่ะดิ”
“ไข่อะไร” ตังตัง งง
“ก็นี่มันเครื่องต้มไข่แบบจับเวลา อ่ะ เชิญดูนวัตกรรมซะ”
วิศวะเปิดฝากล่องออกมา มีไข่ไก่วางเรียงอยู่เป็นตับ
“อ้าว”
“ใส่ไข่เข้าไป ปิดฝาแล้วตั้งเวลา พอครบเจ็ดนาทีก็จะมีเสียงระเบิดตู้ม บอกให้รู้ว่าไข่ต้มยางมะตูมเสร็จแล้ว”
“โอ๊ย ปวดเฮด แล้วแบบนี้ แว่นของสายลับเชนที่เอามาซ่อมไว้ จะถูกแปลงสภาพเป็นอย่างอื่นไหมเนี่ย”

เจนจิราเดินเข้ามาในสถานี แล้วต้องชะงัก เพราะประมุขอยู่กับบารมี จับไม้จับมือเป็นสัญญากัน ตรงบริเวณนั้นมีป้ายคัทเอ้าท์รูปบารมีขนาดเท่าตัวจริงวางอยู่
“อ้าวๆๆ เจนจิรามาแล้ว”
“สวัสดีค่ะ คุณประมุข บารมี คุณมาทำอะไรคะ”
“ก็มาหาเจนน่ะสิครับ แล้วก็เลยแวะมาคุยธุรกิจกับคุณประมุขด้วย”
ประมุขสั่งพนักงานที่ยกคัทเอ้าท์อยู่
“เอาไปวางไว้ตรงหน้าลิฟท์เลย ให้ทุกๆ คนได้เห็นชัดๆ ไม่ต้องแปลกใจ นี่ไม่ใช่ป้ายโฆษณา แต่เป็นป้ายสปอนเซอร์ คุณหมอบารมีจะมาเป็นสปอนเซอร์รายการตามล่าชายตัวขาวดำให้กับเจน”
“สปอนเซอร์”
“ตะลึงไปเลยล่ะสิ แล้วคุณหมอจะแจกว้อยเชอร์ทดลองทำหน้าเด๊ะและส่วนลดให้กับพนักงานที่นี่ทุกคนด้วย ผมได้เพียบเลย”
“ผมไม่ได้บอกเจนก่อนเพราะอยากเซอร์ไพรส์น่ะครับ ไม่ต้องขอบคุณนะ ขอแค่เจน ทำตัวให้สวยกับทำสกู๊ปล่าตัวชายขาวดำคนนั้นมาให้ได้ แค่นั้นพอ นะครับ”
เจนอึ้ง

ตฤณเดินถือตกระบองเพชรมาที่หน้าสมายล์ทีวี สับสน ลังเล ชั่งใจ และ ฮึดเดินเข้าตึกไป อินทุกำลังเดินออกจากลิฟท์ เดินมาเห็นตฤณกำลังเดินถือกระบองเพชรเข้ามาก็ชะงักมองอย่างตื่นเต้น แปลกใจ ที่ดันมาเจอตฤณที่นี่ อินทุหันไปเห็นรูปคัทเอ้าท์เท่าตัวจริงของบารมีที่ทีมงานนำมาวางโฆษณาคลินิกความงามอยู่ข้างๆ เลยรีบหันหลบเข้าไปทำเป็นยืนหันหลังเล่นโทรศัพท์อยู่หลังป้าย
ตฤณเดินตรงมายังลิฟท์นั้น แต่แทนที่จะผ่านไปก็หยุดหันมายืนมองรูปของบารมี จ้องเขม่น แล้วทำเป็นยกมือจับไหล่รูป ทักทาย
“อ้าว มาหลบทำไรตรงนี้ไอ้หน้าวอก”
อินทุฟังแล้วแปลกใจ
“หน้างี้เด้งเด๊ะยังกะแช่ฟอร์มาลีนเลยนะตะเอง แต่สมัยนี้เขาไม่ชอบใสๆ หรอก มันต้องแมนๆ หน่อย”
ตฤณหยิบปากกาขึ้นมาจากกระเป๋า หมั่นไส้ กำลังจะวาดหนวดลงบนคัทเอาท์
“จะทำอะไร”
บารมีเดินเข้ามา ตฤณชะงักหันมามอง แล้วเก็บปากกา ลอยหน้าลอยตา แล้วจะเดินผ่านไป บารมีตามมากระชากคอเสื้อตฤณ พูดใส่หน้าราวเหนือชั้นกว่า
“ทำอะไรฉันไม่ได้ใช่ไหม เลยมาทำกับรูปฉัน”
“ใช่ ฉันอิจฉา คนอะไรหน้าเด๊ะ ดั้งปลอม แก้มเฟค เห็นแล้วอดใจไม่อยู่ อยากจะ”
ตฤณพูดพลางยกหมัดขึ้นใส่หน้า บารมีถึงกับผงะที่ตฤณตอบโต้ ไม่ถอยอีก
“จับให้เสียมือเล่น”
“แก”
อินทุฟังแล้วเก็บข้อมูล เจนจิราเดินมาจากอีกด้าน เห็นเข้า
“จ้องหน้ากันทำไม ตรวจสภาพผิวกันอยู่เหรอคะ”
ตฤณกับบารมีหันมาฉีกยิ้มให้เจนจิราพร้อมกัน
“เรานัดกันไว้เหรอ”
เจนจิราถามตฤณเสียงแข็ง
“ฮ่ะๆๆนั่นซิ นัดเจนไว้เหรอ”
ตฤณขำ นึกว่าเจนจิราถามบารมี
“เขาถามตัวเอง มาทำไม”
ตฤณหน้าจ๋อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
บารมียกแขนขึ้นปิดปากขำทีหลังดังกว่า
“ไม่นัด เขามาหาไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ เพราะนายมันเป็นอดีตไปแล้ว อย่าตามมารังควานเจนอีกเลย ไปเถอะครับเจน ผมอยากคุยเรื่องรายละเอียดรายการของเจนครับ”
บารมีจูงมือเจนจิราเดินไปที่ลิฟท์ เจนจิราแอบหันมามองตฤณ
“เดี๋ยวเจน เจน”
ประตูลิฟท์เปิด บารมีรีบพาเจนจิราเข้าลิฟท์ไป แล้วกดปิดทันที บารมีโบกมือลาเยาะเย้ยตฤณ
“เจน”

ตฤณกดๆ ลิฟท์จะตาม แต่ลิฟท์ไม่เปิด เขามองกระถางกระบองเพชรในมือ ร้อนใจเกินจะรอลิฟท์ เลยรีบวิ่งขึ้นบันได อินทุเห็น แอบตามหลังไป

ตฤณผลักประตูหนีไฟชั้น 1 เข้ามา รีบวิ่งขึ้นบันได โดยมีเสียงของเจนจิราและเชนดังก้องหัว สร้างแรงฮึด
 
“เขาไม่เคยเสียใจที่ตัวเองไม่เก่ง ต่อให้ห่วยกว่านี้ หรือไม่เคยประสบความสำเร็จในอะไรเลย เขาก็ไม่เสียใจ เท่ากับการที่ใจของตัวเองยอมแพ้อย่างหมดรูป ไม่ดิ้นรน ไม่ต่อสู้ ไม่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความฝันและความสุขมา”
“สิ่งที่เชนเห็น คุณเจนจิรายังมีเยื่อใยให้นาย เพียงแค่เขาต้องการความเชื่อมั่นในตัวนายก็เท่านั้น..เชนรู้ว่านายก็เห็นเหมือนเชน คิดให้ดีๆ จะนอนกอดทิฐิต่อไป หรือจะไปตามยอดดวงใจคืนมา”
ตฤณวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างเร็ว โดยมือประคองกระถางต้นกระบองเพชรไว้อย่างดี อินทุกำลังกระโจนตามมาอย่างตัวเบา ซ้ายที ขวาที ตฤณรู้สึกเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เขาหยุดวิ่งหันไปมอง อินทุไหวตัวทันกระโจนหลบอยู่หลังขั้นบันได ตฤณไม่เห็นก็รีบหันกลับวิ่งขึ้นต่อไป

ประตูลิฟท์เปิด เจนจิรากับบารมีเดินออกมา ตฤณก็วิ่งขึ้นมาถึงพอดี ผลักประตูหนีไฟวิ่งพรวดเข้ามาขวางหน้าเจนกับบารมีไว้
“เจน”
“ตฤณ นี่ตัวเองวิ่งตามขึ้นมาเหรอ”
เจนจิราแปลกใจมากที่เห็นตฤณพยายามขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตฤณหอบเหนื่อย
“เปล่า ไม่ได้วิ่ง เดินมาขำๆ แต่มันดันทัน”
“จะตามมาป่วนอะไรอีก ไปเถอะเจน”
อินทุแอบแง้มประตูมองไป เห็นบารมีจูงมือเจนจิราจะพาเข้าออฟฟิศ แต่ตฤณถือกระถางกระบองเพชรเข้ามาขวางทาง ยื่นให้หญิงสาว
“เดี๋ยวเจน เขาเอานี่มาให้ตัวเอง”
อินทุปิดประตูรีบหลบไป
“อ๋อ นี่กะจะสื่อว่า เจน เธอมันยัยถึก ทนแดดทนฝน ตายยากตายเย็น ใช่มั้ย” บารมีเสี้ยม
“เฮ้ย”
“หรือไม่ก็คงจะสื่อว่า แม่หนามรอบตัว ใครจับเธอก็ต้องเจ็บจี๊ดๆ”
“ไม่ใช่ เขาตั้งใจจะสื่อว่า เขาก็เหมือนกระบองเพชรกระถางนี่ ไม่มีค่าอะไร มีแต่หนามคอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด แต่ ถ้าตัวเองให้เวลาเขา ขอแค่ให้เวลา ไม่ต้องดูแลอะไร แค่วางเอาไว้เฉยๆ ตรงไหนก็ได้ เขาสัญญาว่า ในที่สุด เขาจะออกดอกมาให้ตัวเองชื่นชม เหมือนกระบองเพชรต้นนี้ให้ได้”
เจนจิราอึ้งกับคำพูดที่ดูจริงจังของตฤณอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“โถ ไอ้กระบองเพชร ไม่มีใครโง่นั่งทิ้งเวลารอให้แกออกดอกสวยงามหรอก ยุคนี้มันยุคสวยได้เลย สวยได้จริง ปิ๊งโป๊ะโชะเด๊ะ ทันตาเห็น อย่ามารั้งเจนให้จมปลักอยู่กับแกเลย ไปเถอะเจน”
บารมีดึงเจนจิราเข้าออฟฟิศ ตฤณจะคว้าแขนเจนไว้
“ตัวเอง ถ้าเขารู้ว่ากระบองเพชรต้นนี้ออกดอกแน่ๆ นานแค่ไหนเขาก็รอได้ แต่บางที ตัวเองอาจไม่ใช่พันธุ์ที่มีดอกไง เข้าใจป่ะ”

บารมีขำก๊าก เจนจิราหันเดินเข้าออฟฟิศไปกับบารมี โดยแอบเหล่มองต้นกระบองเพชรที่หล่นพื้น ตฤณได้แต่ยืนหน้าจ๋อย

ภายในห้องทดลอง วิศวะใช้ 2 นิ้วของตัวเองทำเป็นแว่นตา มองส่องไปที่แว่นสามมิติที่วางอยู่บนแท่นแก้วที่ทำเป็นขาตั้งอย่างดี กระจกแว่นที่แตกได้รับการซ่อมแล้ว แต่ยังเป็นรอยแตกอยู่
 
“อัจฉริยะอย่างวิดวะ รู้ว่าอะไรควรเปลี่ยนแปลง อะไรควรจะดำรงสภาพเก่าแก่ของมันไว้”
ตังตังดีใจ
“กระจกติดไว้เหมือนเดิมแล้วนี่ สภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง” “แต่กระจกยังแตกร้าว” เชนท้วง “นั่นดิ ทำไมไม่เปลี่ยนกระจกล่ะน้าวิศวะ” “สัญชาตญาณมันบอกว่าไม่ควรเปลี่ยน” “ไม่เปลี่ยนแล้วมันทำงานได้เหมือนเดิมไหมล่ะ” “ไม่” “อ้าว”
วิศวะถอดฝาครอบด้านข้างของแว่นให้ดู “มันมีฟันเฟืองชิ้นส่วนอันหนึ่งของแว่นที่หายไป แว่นก็เลยไม่ทำงาน ถ้าเราควานหาชิ้นส่วนนี้เจอ แว่นมหัศจรรย์อันนี้ อาจจะกลับมาใช้งานเหมือนเดิมก็ได้”
นะโมเข้ามา ถือถาดวางแก้วน้ำมาด้วย
“หยุด วางอาวุธเดี๋ยวนี้” เชนตกใจ ชักปืนขึ้นมาส่องใส่นะโม ”โอ๊ะโอ๋ เขาย้อเย่น จะรีบไปไหนๆๆ พักดื่มน้ำกันก่อนสิครับ” วิศวะมองปืนของเชนที่เห็นชักมา 2 ครั้งแล้ว ”ปืนของคุณนี่มันสะกิดต่อมคันของผมมาก ผมขอยืมดูหน่อยได้มั้ย” เชนส่งให้วิศวะดู ”วู้ แค่สัมผัส รอยยักในสมองผมก็เต้นตุ๊บๆ มันส่งสารเคมีมาบอกทันทีว่านี่ มันไม่ใช่อาวุธธรรมดา แต่
ว่า ทำไมไม่มีกระสุน อย่าบอกนะว่าคุณพกเอาไว้เท่ๆ”
“นั่นน่ะซิ กระสุนมันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ หมดได้ยังไง สายลับเชนปราบเหล่าร้ายมานับล้าน กระสุนไม่เคยหมด”
วิศวะลองเหนี่ยวไกปืน ตู้ม ปืนฉมวกพุ่งออกมาจากปืนไปปักที่ฝาข้างหนึ่ง ส่วนวิศวะกระเด็นไปติดข้างฝาอีกด้านหนึ่ง “ไหนว่ากระสุนหมดแล้วไง อ๋อย”
วิศวะค่อยๆ รูดลงไปกองที่พื้น “แฮ เชนลืมบอกว่าปืนคู่กายของสายลับมันทำอะไรได้หลายอย่าง”

ปวันกำลังชะเง้อมองผ่านหน้าต่างบ้านเช่า ไปที่บ้านของตฤณ
“ตอนนี้บ้านนั้นไม่มีใครอยู่ ทางสะดวก หึๆ ทีนี้จะได้รู้กันไปว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า”
อยู่ๆ มีเสียงทิวา ราตรีดังมา สองคนตะโกนมาจากด้านล่าง “ยิ้มอะไร” “มองอะไร” “บอกแล้วไงว่าห้ามยุ่งกับคนบ้านนี้” “ปิดหน้าต่างแล้วเข้าห้องไปซะ”
ปวันเซ็งที่สองป้าตามเฝ้าไม่เลิก ปิดหน้าต่าง หงุดหงิด
“ต้องจัดการสองป้านี่ก่อน”

วิศวะเดินถือปืนเข้ามามุมหนึ่ง เชนกับตังตังตามมา
“ทิ้งปืนไว้ที่นี่ เดี๋ยวผมจะเติมกระสุนให้เอง”
วิศวะวางปืนเชนเข้าไปเครื่องไมโครเวฟ แล้วกดเปิดสวิชต์
“อย่าค่ะ เดี๋ยวระเบิด เขาห้ามใส่โลหะเข้าไปในเครื่องไมโครเวฟนะคะ” “จริงเหรอ” เชนตกใจ รีบจะเปิดไมโครเวฟ แต่วิศวะเอามือกันไว้ ”สต็อป มันอาจจะดูเหมือนเครื่องไมโครเวฟ แต่มันไม่ใช่”
“แล้วมันเป็นอะไร” เสียงไมโครเวฟดังเตือน มีแผ่นพิมพ์เขียวไหลออกมาจากเครื่องไมโครเวฟ ”เครื่องเอ็กซเรย์” เชนทึ่ง มองรูปปืนในกระดาษ
“แม่เจ้าโว้ย มันเชยไป เอาใหม่ อุต๊ะ ยุคสมัยนี้ อะไรมันทันสมัยจริงๆ”
วิศวะเปิดเครื่องเอาปืนออกมา
“รับรองว่าปืนของเชนจะต้องสุดยอดไม่แพ้บุ๋มบิ๋ม ปืนแมชชีนกันของมิสเตอร์โอเค เพราะผมคือ วิศวะ อัจฉริยะซ่อมได้”
“สายลับเชนดีใจจริงๆ ที่มีโอกาสได้รู้จักกับยอดมนุษย์เช่นคุณบนโลกนี้” เชนยิ้มตบไหล่วิศวะแทบทรุด
ดร.อาทิตย์กำลังดูพิมพ์เขียวอาวุธต่างๆ อยู่ อินทุยืนอยู่ด้วย
“น้าของไอ้เด็กแสบที่แฮ้บแว่น 3 มิติของฉันไป มันมาที่ตึกนี่งั้นเหรอ” “ครับนาย มันกำลังง้อขอคืนดียัยเจนจิราพิธีกรสาวสวยอยู่ที่ฝ่ายรายการ”
“ง้อขอคืนดี หึๆๆ ตอนนี้แม่พิธีกรนั่นกำลังคั่วอยู่กับไอ้หมอบารมีหน้าเด๊ะ งั้นแปลว่าไอ้นั่นมันก็อยู่ในฐานะแฟนเก่า ศรัทธามีจริง ไม่ต้องวิ่งไปหาตัวมันให้เสียเวลา มันเป็นฝ่ายที่วิ่งมาหาเราเอง” “ไปเอาตัวมันมาให้เลยไหมครับ” “ใจเย็น อย่าเพิ่งให้ไก่ตื่น อย่าใช้ความรุนแรง เราต้องนุ่ม เราต้องเนียน”
ดร.อาทิตย์ยิ้มร้าย
บารมีกำลังแจกของให้เพื่อนๆ ร่วมงานของเจนจิรา เพื่อนๆ รับของแล้วกิ๊วก๊าวดีใจ เจนจิราหันไปมอง เห็นตฤณยังไม่ยอมไป และมองมาที่เธอขอโอกาสจะคุยด้วย เจนจิราถอนใจหันหน้ากลับ พยายามใจแข็ง
“สำหรับน้องกบ ผิวสวยใสอยู่แล้ว เอาผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สบู่ไวเทนนิ่ง คอลลาเจนสกินแคร์ครีม กับครีมกันแดดบารมี SPF 8000 ไปใช้รักษาความสวยให้คงที่นะคะ ส่วนน้องแนน เอานี่ไปเลยค่ะ กลูต้า ดับเบิ้ล ซุปเปอร์ ไวท์เทนนิ่งครีม ส่วนของคุณเอาไปเลยไวท์เพอเฟ็คทูอินวันครีม ใช้แล้วทั้งใสทั้งเด๊ะ”
บารมีทำท่าประจำตัว สาวๆ ทำตาม แล้วพูดพร้อมกัน “เด๊ะ”
บารมียิ้มชอบใจ หันไปเจอตฤณ
“จะมายืนรอออกดอกอะไรอีก” บารมีชักฉุน จะเดินเข้าไปหา เจนจิรารีบพูดดักขอร้องไว้ ”ช่างเขาเถอะค่ะ” ”ป่าว ผมแค่จะไปผูกมิตรกับเขา”
บารมีพูดเสร็จก็เดินเข้าไปหาตฤณ ยื่นบัตรกำนัลให้
“อ่ะ บัตรทำโฟโนหน้าฟรี 10 ครั้ง ไปทำด้วยนะ หน้าจะได้บางลง”
ทุกคนทั้งออฟฟิศต่างมองไปที่ตฤณเป็นตาเดียว เจนจิราได้แต่ยืนทำหน้าลำบากใจ ตฤณจ้องหน้าบารมี คว้าแก้มด้วยสองมือ “บางแบบนี้ใช่มั้ย” “เฮ้ย ปล่อยๆๆ เอามือออกไปจากหน้าฉัน”
บารมีหวงหน้ามาก ผลักตฤณออกอย่างแรง ตฤณฉุนผลักอกคืน แต่เจนจิราเข้ามาเสียก่อน
“ตฤณ ถ้าไม่มีมารยาทจะรับน้ำใจก็อย่าทำตัวระรานคนอื่น” ”เจน”
“รู้ไว้ด้วยนะว่าคุณบารมีเป็นสปอนเซอร์รายใหม่ของสมายล์ทีวี จะทำอะไรให้เกียรติกันด้วย”
ตฤณอึ้งมอง เหมือนถูกดาบทิ่มแทงใจ ขณะที่สาวๆ ในออฟฟิศชื่นชมบารมี ออกอาการอิจฉาเจนจิรากันใหญ่ “ไม่กี่ล้านเอง เบาๆ เพื่อเจน มากกว่านี้ก็ไม่สะเทือน”
บารมีทำนิ้วเป็นรูปหัวใจส่งให้เจนจิรา แล้วชายตามองเยาะเย้ยตฤณอย่างเหนือกว่า แต่ตฤณไม่สนใจ เข้ามาคว้ามือเจนจิรา “เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” “เฮ้ย ปล่อยมือแฟนฉัน” “บารมีคะ ถ้าเจนไม่คุย เขาก็คงไม่กลับ ขอเวลาเจนแป๊บนะ เชิญ”
เจนจิราเดินนำฉุนๆ ออกไป ตฤณตาม บารมียืนเท้าเอวมองอย่างเจ็บใจ

เจนจิราเดินออกมายืนกอดอกรอ ตฤณเดินตามมา “เจน เขาเอ่อ”
“ลากออกมา แล้วก็มาอ้ำอึ้ง ไม่เห็นปากดีเหมือนตะกี้เลย” “เขากำลังบิ้วท์อยู่ ขอเวลาแป๊บสิ” “ขอเวลาบิ้วท์อีก จะขอเวลาทุกเรื่องเลยใช่มั้ย”
เจนจิราจะเดินไป ตฤณรีบพูดทันที
“ตัวเองไม่ได้อยากเลิกกับเขาใช่มั้ย เขารู้ ตัวเองบอกว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเองเสียใจที่สุดคือการที่เขายอมแพ้ ไม่พยายามอย่างที่สุดเพื่อให้ได้สิ่งที่เรียกว่าความฝันและความสุข เขารู้ เขาเข้าใจแล้ว เขาจะพยายามอีกครั้งเขาอาจจะออกดอกช้า แต่เขาดอก เอ๊ย ดอกเขามาแน่ ให้โอกาสเขานะ”
“ตัวเองเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่เขาพูด ไม่ได้แปลว่าเขาอยากกลับไปคบตัวเอง แต่เพราะเขาอยากเห็นตัวเองดีขึ้น เขาไม่อยากให้ตัวเองปล่อยชีวิตไปอย่างไร้ค่า”
“ไม่จริง”
“เรื่องของเรามันผ่านไปแล้วนะตฤณ และมันจะไม่กลับมาเป็นอย่างเดิมอีก”
“เจน ถ้าไม่มีเจน แล้วเขาจะดีไปเพื่ออะไร” ”ตัวเองยังมีตังตังต้องดูแลนะ ไม่สงสารตัวเอง ก็สงสารตังตังบ้าง”

ตฤณจ๋อย เจนจิราเดินแยกจากไป ตฤณได้แต่มอง เห็นบารมีเข้ามารอรับเจนจิราพอดี โอบพากันไป

สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ตฤณเดินคอตกแยกออกมา พอดีกับดร.อาทิตย์เดินสวนมา โดยมีอินทุ นารีตามหลัง ตฤณชะงักที่มีคนยืนขวาง พอเงยหน้ามาจึงเห็นเป็นดร.อาทิตย์
 
“สวัสดี นายตฤณ ตรงวุฒิ” “โอ้ว คนดังแห่งยุค รู้จักผมด้วย”
“ก็ถ้าคุณเขียนการ์ตูนกัดผมให้มันน้อยๆ ลงหน่อย ผมก็คงจำคุณไมได้หรอกครับ มาหาเจนจิรา อดีตแฟนเหรอครับ น่าเสียดายนะครับ เคยวางแผนจะแต่งงานกันด้วย”
ตฤณเหมือนถูกแทงใจจำ “หึ นอกจากเล่นโชว์มายากลหลอกเด็กแล้วยังเป็นหมอดูด้วยเหรอ”
“คุณรู้มั้ย อะไรที่ทำให้คุณพลาดหวังจากทุกอย่าง เพราะคุณไม่มีศรัทธา ไม่งั้นคุณประสบความสำเร็จไปแล้ว”
“หรือไม่ ถ้าผมเลิกวาดการ์ตูน แล้วหันไปเอาดีด้านหลอกลวงผู้คน ก็น่าจะประสบความสำเร็จไปนานแล้วเหมือนกัน”
“เฮ้ย”
อินทุไม่พอใจ ดร.อาทิตย์ยกมือปราม ตฤณผยอง มองหน้าดร.อาทิตย์แล้วเดินผ่านไปเลย ดร.อาทิตย์ หันไปพยักหน้าให้อินทุ อินทุทราบคำสั่ง รีบออกไป “ไอ้นักเขียนการ์ตูนหน้าอ่อน มันประกาศตัวเป็นศัตรูกับเจ้านายโจ่งแจ้ง” นารีบอก
“รอฉันได้แว่นสามมิติมาจากหลานมันเมื่อไหร่ มันจะได้เห็นว่าการ์ตูนที่มันเขียนน่ะ สู้จินตนาการของฉันไม่ได้เลย หึๆๆ”

ตฤณเดินล้วงกระเป๋ามาเซ็งๆ ผู้คนหนาแน่น มีเพียง 2-3 คนเดินผ่านไปมา เขาเดินๆ ได้สักพัก ก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา ตฤณหยุดเดิน อินทุเห็นอย่างนั้นก็หยุดตาม ตฤณตัดสินใจหันขวับเหลียวหลังไปมอง อินทุตกใจ รีบหลบเข้าหลังเสาอย่างรวดเร็ว ตฤณไม่เห็นอินทุ แต่คิดว่ามีใครตามมาแน่ รีบหลบไป อินทุค่อยโผล่หน้าออกมาจากเสา แต่ตฤณไม่ยืนอยู่ที่เดิม
“โธ่เว้ย”
อินทุรีบวิ่งตามไป แต่พอผ่านเสาบริเวณที่ตฤณเคยยืนอยู่ ตฤณกลับโผล่ขาออกจากเสา ขัดขาอินทุไว้ สัญชาตญาณระวังตัวของอินทุ ทำให้อินทุกระโจนหลบขาตฤณกลิ้งลงไปกับพื้น ไปนั่งก้มหน้าอยู่ ตฤณโผล่ออกมาชี้
“เฮ้ย จะตามปล้นกันเหรอ ดูนี่”
ตฤณล้วงกระเป๋ากางเกงดึงไส้ในเป๋าทั้งสองข้างออกมา
“ตังค์ไม่มี แถมอกหัก อารมณ์ไม่ดี อยากตื้บใครสักคนอยู่พอดี”
อินทุค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ก้มหน้าที่อยู่ในฮู้ด ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ตาเหล่มองไปที่ตฤณ ตฤณกำหมัดตั้งการ์ด
“เข้ามาเลย ท่าต่อสู้ของซุปเปอร์ฮีโร่ของฉันมีเยอะ ทะลวงเป้ากำจัดจุ๋ม ย๊าก”
ตฤณกระโดดเตะเข้าใส่อินทุ อินทุกระโดดหมุนตัวหลบ หันมาอีกที ตฤณวิ่งจู๊ดไปแล้ว อินทุวิ่งตาม
ตฤณวิ่งทางสถานีรถไฟฟ้า กระโดดข้ามราวบันได วิ่งขึ้นบันได “ไม่รู้จักแชมป์โดดเรียนสมัยมัธยมซะแล้ว”
ตฤณวิ่งหนีขึ้นบันไดเลื่อนมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน หันกลับไปมองด้านหลังเห็นอินทุวิ่งตามมา เขาหันกลับไปมองทางหนีทีไล่ อินทุวิ่งขึ้นมา ไม่เห็นตฤณแล้ว ยืนหงุดหงิด ตัดสินใจวิ่งตามไปอีกทาง
วินมอเตอร์ไซค์อีกด้าน ชายคนที่สวมหมวกกันน็อคหันมา ถอดหมวกกันน็อคออกกลายเป็นตฤณ “ชิ ไอ้โจรตาถั่ว จี้ใครไม่จี้ มาจี้คนถังแตก เซ็งจริงๆ”

ทิวา ราตรีนั่งอยู่บริเวณบ้าน คอยยกกล้องส่องปวันเป็นระยะๆ อยู่ๆ มีเสียงโครมดังมา ทั้งสองตกใจ รีบวิ่งไปดู ปรากฏว่ามีรถยนต์พุ่งเข้ามาชนรั้วบ้าน “ตายแล้ว”
ทิวากับราตรีรีบเข้าไปดูแล คนขับรถลงมา เป็นจ่าเจี๊ยบที่ติดหนวดสวมแว่น อำพรางตัว มีท่าเมา ยืนแอ๋แอ่นไปมา “บ๊ะ ทำไมมาตั้งบ้านเกะกะขวางถนนยังงี้ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” “ว่าไงนะ”
“ไม่มีมารยาท ไร้การศึกษา เอ้า เอาบ้านออกไป เกะกะ” ทิวา ราตรีแค้นมาก โกรธมาก คว้าอุปกรณ์ทำสวนแถวนั้นขึ้นมาจะไล่ตี จ่าเจี๊ยบกวนประสาท วุ่นวาย
วิ่งวุ่นกันไปมา ปวันได้โอกาสแอบย่องออกไปจากบ้าน รีบไปบ้านตฤณ

หน้าต่างเลื่อนขึ้น มีมือมาเกาะขอบหน้าต่าง คนที่โผล่หน้าขึ้นมา คือ ปวัน เธอกระโดดช่องหน้าต่างเข้ามาในบ้านเช่าตฤณ เปิดไฟฉายส่องดูไปทั่วๆ
“มันต้องมีหลักฐานซิว่าไอ้ขาวดำเป็นใคร มาจากไหน แล้วตอนนี้อยู่ไหน แล้วกลับมามีนายเชนขี้เก๊กโผล่มาแทน”
มีเสียงตีกันของทิวา ราตรี จ่าเจี๊ยบดังมาตลอด จ่าเจี๊ยบขึ้นรถ ถอยออกไป ทิวากับราตรีด่าไล่หลัง “อย่าโผล่มาให้เห็นอีกนะ” “ไม่งั้นฉันตีหัวแตกแน่”
จ่าเจี๊ยบขับรถออกมาด้านนอก จอดรถ เจ็บหัวและตามเนื้อตัวที่ถูกตีทำร้าย “ผมยอมเจ็บขนาดนี้ ผู้หมวดต้องทำให้สำเร็จนะ”

หลังทานอาหารเสร็จ บารมีและเจนจิราถือเครื่องดื่มในแก้วกระดาษเดินกินกันเข้ามา บารมีถือถุงขนมมาด้วย ที่หน้าฝ่ายรายการ บารมีเช็ดปากให้เจนจิรา เธอเบนหลบ เอาผ้ามาเช็ดเอง
“ทำไมคุณยังทำรายการอยู่อีก บอกแล้วไงว่าให้ทำแต่สกู๊ป”
“ก็งานนี้ทำค้างอยู่ ต้องดูเขาตัดต่อให้เสร็จ พรุ่งนี้ต้องออกอากาศแล้ว เคลียร์ให้เสร็จ แล้วจะได้ไปทำสกู๊ปไงคะ” “งั้นเอาขนมนี่ไปแจกทีมงานแก้ง่วงนะครับ กู๊ดไนท์”
บารมีโผเข้าจะกอดเจนจิรา แต่เธอห้ามไว้ “ขอบคุณค่ะ อ่ะๆ กู๊ดไนท์แค่นี้ก็พอค่ะ”
เจนจิราทำมือส่งจูบให้ บารมีฝืนยิ้ม เธอไม่ยอมให้บารมีใกล้ชิดมากกว่าจับมือ ทำให้บารมียังรอวันที่จะได้ตัวเจนจิรามาเป็นของตัวเองตลอดเวลา
“โอเค บ๊ายบาย”
เจนจิราถือขนมเดินเข้าออฟฟิศไป บารมียืนโบกมือส่ง จนเจนจิราเดินลับตาไปแล้ว บารมีหันเดินไปหน้าเซ็งๆ
“เอาใจขนาดนี้ แค่ขอกอดหน่อยก็ไม่ได้ ก็เอา ดูต่อไปว่าจะใจแข็งกับบารมีไปได้สักกี่น้ำ”
บารมีเดินเข้าลิฟท์หายไป เจนจิราค่อยๆ เดินโผล่กลับออกมาอีก
 
พอแน่ใจว่าบารมีไปแล้ว ก็หันกลับมาที่ถังขยะ เห็นต้นกระบองเพชรของตฤณที่ถูกทิ้ง ยังคงอยู่ แต่เลอะติดขยะเจนจิรามองอย่างชั่งใจชั่วครู่ แล้วรีบหยิบกระถางกระบองเพชรจากถังขยะ เดินเข้าออฟฟิศไป

ตังตังเดินนำเชนกับวิศวะมาที่บ้านเช่า ”น้าตฤณจะง้อน้าเจนสำเร็จไหมน้า”
 
“ยัง” เชนขัด
”แล้วกัน แปลว่าหมดหวัง” ”ยัง ยังไม่หมดหวัง เชนหมายถึงว่าของแบบนี้ต้องใช้เวลา” ”น้าตฤณยังมีหวัง เย้” วิศวะมองไปที่บ้านไฟปิดมืด ”ว่าแต่บ้านปิดไฟมืดเชียว สงสัยไอ้ก้นย้อยคงยังไม่กลับ” เชนมองไปทางบ้านปวันเห็นแสงไฟเปิดอยู่
“คุณนายสายลับกลับมาแล้ว เชนขอไปรายงานตัว ตามหน้าที่คนรักเสียก่อน”
เชนรีบเดินไปทางบ้านเช่าของปวัน
“คุณนายสายลับ ใครอ่ะ หรือว่า ละ ละ ละ ลินดาก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“โนะ โนะ โนะ โนวค่ะ เชนออกมาคนเดียว ชั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวตังตังเล่าให้ฟัง เราเข้าไปหาชิ้นส่วนแว่นกันเถอะค่ะ”
ตังตังชวนวิศวะเข้าบ้านไป
ปวันกำลังส่องไฟฉายเข้าไปในห้องนอนตังตัง ส่องไฟไปตามตุ๊กตุ่นตุ๊กตา และโปสเตอร์หนังบนผนังห้อง ผ่านโปสเตอร์หนังมิสเตอร์โอเค วายร้ายถล่มโลก แล้วแสงไฟก็ย้อนกลับมาอีกที มองโปสเตอร์อย่างฉงนนิดๆ “หนังอะไร ไม่เห็นจะรู้จักเลย”
ปวันควานหาเอกสารตามโต๊ะตู้ต่อไป แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียง ตังตังเปิดประตูเข้ามาในบ้าน คุยกับวิศวะ “ห่ะ มีคนกลับมา”
ปวันโผล่หน้าไปที่หน้าต่างเพื่อดูลาดเลาด้านนอก ก็เห็นเชนเดินเข้าไปในบ้านเช่าของตัวเอง “คุณปลายฟ้าครับ” “ว้ายปลวก อีตานั่นเข้าไปในบ้าน ฉันทิ้งหลักฐานอะไรไว้ป่าววะเนี่ย”
ปวันร้อนตัว รีบย่องไปที่ประตู ค่อยๆ เปิดออกไป ก็เห็นตังตังกำลังยืนชี้อยู่ในห้องกับวิศวะ “อึ๋ย” “ตังตังว่าน่าจะตกอยู่ในบ้านชัวร์”
ปวันเบรกเอี๊ยดรีบถอยหลังกลับ ตังตังเหมือนเห็นอะไร “เอ๊ะ อะไรแว้บๆ”
ตังตังเงยหน้ามองไปที่บันได ไม่เห็นปวันแล้ว ประตูห้องนอนตังตังค่อยๆ ปิดลง เพราะปวันกลับเข้าไปในห้องอีก
“แว้บๆ นี่ หมายถึงคนหรือพลังงานชนิดหนึ่ง” “ผีน่ะเหรอคะ”
“เฮ้ย ผีไม่มีจริง” “ใครบอกไม่มี อยู่ข้างหลังน้าไง” “เฮ้ย”
วิศวะกระโดดโหย่งขึ้นไปยืนบนโต๊ะ ตังตังเป่าปาก เซ็ง
“โด่เอ๊ย ไสยศาสตร์มาชนะวิทยาศาสตร์ก็ตรงคำว่าผีนี่แหละ”
เชนยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่นกลางบ้านเช่าของปวัน ”คุณปลายฟ้าครับ คุณปลายฟ้าอยู่มั้ย เชนกลับมาแล้ว” เวลานั้น ปวันกำลังปีนลงมาจากบ้านเช่าตฤณ
“ทำไมคุณปลายฟ้าไม่ตอบ หรือว่าจะเสียใจเพราะเรา ไม่ได้การละ เราต้องขึ้นไปดู แต่ว่าเราก็ไม่ควรเข้าไปในห้องนอนของคุณปลายฟ้า แต่ถ้าเขาไม่สบาย”
เชนตัดสินใจเดินขึ้นไปด้วยมาดพระเอก แหงนหน้าส่งเสียงขึ้นไปชั้นสอง “คุณปลายฟ้าครับ ผมกำลังจะขึ้นไปแล้วนะครับ”
ปวันกระโดดลงมาจากหน้าต่างบ้านตฤณแบบกลิ้งตัวลงมาอย่างมืออาชีพ แล้วชันเข่าลุกขึ้นนั่ง ปวดท้องแปลบ มือจับท้อง มองไป เห็นเชนกำลังเดินขึ้นบันไดไปห้องตัวเองชั้นบนที่มีระเบียงห้องอยู่ “นายขี้เก๊กเอ๊ย จะขึ้นไปทำไม”
ปวันมองขึ้นไปบนระเบียงชั้นสองของบ้านเช่าตัวเอง “เอาวะ”
ปวันลุกขึ้นวิ่งไป กระโดดขึ้นจับชายคาบ้าน แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนชายคาชั้น 2 อย่างคล่องแคล่วราวกับนักยิมนาสติกทีมชาติ “อ๊าก”
ปวันจับท้องตัวเอง เจ็บแปลบขึ้นมาทันที

เชนเดินขึ้นบันไดมาหยุดที่หน้าห้อง แล้วเคาะห้องเบาๆ ”คุณปลายฟ้าครับ” ที่ระเบียงห้อง ปลายฟ้ากระโดดข้ามราวระเบียงทั้งกระโปรงเข้ามาอย่างสวยงาม แต่ประตูระเบียง
ติดล็อคเปิดไม่ได้ เธอเขกตัวตัวเอง “เฮ้ย ดันล็อคไว้อีก” “คุณปลายฟ้า คุณปลายฟ้าครับ”
ปวันชะโงกมองไปที่หน้าต่างห้องนอน แล้วก็ปีนออกไปเกาะอย่างหวาดเสียว “คุณปลายฟ้าครับ นี่เชนนะครับ คุณปลายฟ้า”
ปวันกำลังห้อยโหน เกาะผนังบ้านไปที่หน้าต่าง “เรียกทำไมนักหนา” “คุณไม่สบายรึเปล่า เปิดประตูหน่อยครับ คุณปลายฟ้า” “เดี๋ยวสิโว้ย กำลังปีนเข้าไปอยู่เนี่ย”
“งั้นผมขออนุญาตถือวิสาสะเปิดเข้าไปเองนะครับ” “เฮ้ย อย่าเพิ่ง”
ปวันกระโดดเกาะหน้าต่าง ท้องที่เจ็บอยู่แล้วกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างอีกรอบ “โอ๊ย แผลเก่าเลย”
เชนเปิดประตูเข้ามา ปวันนอนอยู่ใต้ผ้าห่มแล้ว เหงื่อแตกซิก มือกุมท้อง “คุณปลายฟ้าเป็นอะไรครับ เหงื่อท่วมตัวเลย หน้าก็ซีด” “ปลายฟ้าปวดท้องค่ะ” “คุณปวดท้อง” “ค่ะ ปวดท้อง ปวดมากด้วย”
“คุณนอนพักอยู่นี่ก่อนนะ ผมจะรีบกลับมา”
“ไม่ต้องรีบค่ะ ไปนานๆ เลยหรือไม่ต้องกลับมาก็ยิ่งดีค่ะ”
“ไม่ได้ ยังไงผมก็ต้องกลับมา ผมไม่มีทางทิ้งคุณไปเด็ดขาด”
เชนส่ายหน้า เป็นห่วงมาก แล้วเดินออกไป ปวันถอนหายใจโล่งอก เปิดดูที่ท้องตัวเอง เห็นว่าเขียวช้ำ จึงหยิบยาแก้ปวดมากิน หลับตาพักอย่างเหนื่อยล้า

ปวันนอนหลับ เหงื่อแตกเต็มหน้า เชนเช็ดหน้าให้ด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก แล้วเช็ดตัวให้ ปวันลืมตาขึ้นมามึนๆ
“เฮ้ย คุณ”
ปวันนึกขึ้นมาได้ เปลี่ยนเสียงและสีหน้ามาเป็นปลายฟ้า
“คุณเชน”
“ตื่นแล้วเหรอครับคนดีของเชน คุณเป็นไข้ ตัวร้อนจี๋เลย เชนก็เลยเช็ดตัวให้ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องแตะเนื้อต้องตัวคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ไม่เคยมีใครทำให้ฉันแบบนี้เลย”
ปวันแอบขัดเขิน “แต่คุณก็ไม่น่าลำบากเลย” “มันเป็นหน้าที่ของเชนที่ต้องดูแลคุณไปชั่วชีวิตอยู่แล้วครับ” “ชั่วชีวิต นี่อะไรของคุณ มัน”
“คุณหิวมั้ยครับ”
เชนยกถ้วยข้าวต้มมาวางบนตัก แล้วป้อนให้ “ข้าวต้มปลาร้อนๆ ครับ แล้วก็มีอาหารบำรุงครรภ์อีกเพียบเลย”
ปวันกำลังอ้าปากกินข้าวต้ม ถึงกับสำลัก เชนรีบใช้กระดาษเช็ดปากให้ด้วยความนุ่มนวล “อาหารบำรุงครรภ์ ซื้อมาทำไมคะ” “ก็คุณปวดท้อง เพราะเรากำลังจะมีทายาทกันไม่ใช่เหรอครับ”
ปวันอ้าปากค้าง ทำท่าจะพูดแต่พูดไม่ออก
“เชนเห็นว่าในบ้านของคุณไม่มีอาหารเลย ก็เลยซื้อมาให้ คุณกำลังท้องกำลังไส้ ต้องนอนพักมากๆ นะครับ”

“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ” “รับประทานเยอะๆ เลยครับ ลูกจะได้แข็งแรง”

เชนพูดอย่างจริงใจมาก ปวันยิ้มแหยๆ พยักหน้ารับสมอ้าง เชนป้อนข้าวต้มให้อีกด้วยความตั้งใจ ปวันแอบมองเชนอย่างซาบซึ้ง และสังเกตว่าที่แขนของเชนมีเลือดซึมออกมาจากพลาสเตอร์
 
“แขนของคุณมีเลือด”
เชนชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจ “นิดหน่อย ห่างไกลหัวใจ แผลแค่นี้ทำอะไรเชนไม่ได้หรอกครับ” “แต่ว่าคุณควรจะทำแผลใหม่นะคะ”
ปวันแย่งชามข้าวต้มออกจากมือเชน แล้วหยิบกล่องยามา หยิบสำลี แอลกอฮอล์และยาออกมา “เขยิบมาใกล้ๆ ฉันสิคะ”
เชนยิ้มแล้วเลื่อนตัวไปนั่งบนเตียงเดียวกับหญิงสาว ปวันตัดสินใจทำแผลให้ เพราะเชนมาช่วยตนเองจากอินทุและนารี เชนมองปวันอย่างเอ็นดู “คุณเป็นกุลสตรีที่อ่อนหวานน่ารัก”
ปวันนึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่เชนว่าเธอเป็นม้าดีดกะโหลกแล้วแอบเคือง “ถ้าคุณรู้จักฉันมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะคะ” “เชนไม่เคยเปลี่ยนใจ เชนจะดูแลคุณและลูกอย่างดีที่สุด แม้ว่าวันหนึ่งเชนอาจจะต้องไปในที่ที่ห่างไกล แต่ขอให้คุณมั่นใจได้ว่าเชนจะกลับมา”
เชนมองตาปวันด้วยความจริงจังและจริงใจ เป็นโอกาสที่จะรู้ความจริง ปวันในคราบปลายฟ้าเลยแกล้งโผกอดเชน “แล้วคุณจะไปไหนล่ะคะเชน ที่ว่าไกลนะ ปลายฟ้าอยากรู้”
เชนลำบากใจ
“เงียบทำไมล่ะค่ะ ถ้าคุณจริงใจ คุณต้องบอกปลายฟ้า บอกซิคะ คุณจะไปไหน”
“ก็ ที่ๆ ผมจากมาไงครับ” “แล้วมันที่ไหนล่ะคะ”
เชนฉลาดพอที่จะตัดบท
“คงโน่นกระมังครับ ดาวอังคาร ใครๆ ก็มักบอกว่าผมหล่อเหมือนมนุษย์ดาวอังคาร ราตรีสวัสดิ์ อย่านอนดึกนะครับ”
เชนรีบเดินออกจากห้องไป “เอ่อ เดี๋ยว”
ปวันยืนเซ็ง ยกหมัดใส่ “เกือบจะล้วงคอมันได้อยู่แล้ว หลบไวยังกับแมลงวันเชียวนะ เออ หลบให้มันได้ตลอดไปแล้วกัน ฮึ่ม”

ตังตังกับวิศวะซุ่มหมอบมองเข้าไปในบ้าน เชนเดินกลับมา เห็นตังตังกับวิศวะกำลังย่องก็สงสัย “มีสิ่งผิดปกติใช่ไหมตังตัง”
“ในบ้านมีขโมยค่ะ”
เชนตั้งท่าพร้อม ระแวดระวังทันที
“ลุยเลย”
เชนคว้าไม้แถวๆ นั้นขนาดเหมาะมือขึ้นมา วิศวะรื้อกระเป๋าแล้วหยิบแว่นตาอินฟาเรดสำหรับใส่ในที่มืดออกมาสวม มองไปรอบๆ บ้าน “ตามผมมา”
เชน ตังตัง เดินตามวิศวะเข้าไปในบ้านอย่างระแวดระวังภัย จนเจอร่างหนึ่งนั่งซุกหลังผ้าม่านในห้องดูทีวี วิศวะหันมาส่งสัญญาณให้เชนกับตังตัง “ไอ้โจรกระจิบ” “กระจอก” “ยอมมอบตัวซะดีๆ พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว”
ตังตังรีบเอามืออุดหูทันที “แมลงเข้าหูเหรอตังตัง” “เปล่า ถ้าเป็นในหนัง พอพูดแบบนี้ปุ๊บต้องยิงกันจอแตก เลือดสาด โจรตายไม่เหลือหลอ” “แต่นี่คงไม่ยิงหรอก เชนไม่มีปืน” วิศวะกระซิบ "ชู่ว ตังตังรู้แล้วค่ะ แต่พูดขู่ให้โจรกลัว”
“เอาละนะ เชนจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ออกมา คงต้องมีการใช้กำลังเพื่อกำราบความชั่วร้ายให้สิ้น เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด”
“หนึ่ง” “สอง” “หนึ่ง” “อ้าว” “ถึงสาม”
เชนลงมือตี คนในผ้าม่านก็ออกวิ่ง ผ้าม่านหลุดตามตัวมาด้วย “อย่า อย่าตี”
คนในผ้าม่านวิ่งหนี เชน วิศวะ และตังตังก็ไล่ตาม คนในผ้าม่านวิ่งไปชนกำแพงแล้วล้มลง เชนกับวิศวะรีบจับผ้าม่านห่อตัวคนร้ายไว้แน่น ก่อนจะเปิดหน้าออกมา
“น้าตฤณ”

ตฤณกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟา “บ้านตั้งกว้างมีไม่นั่ง ต้องไปนั่งซุกในซอก ดีนะไม่มัดตราสังข์ส่งสัปเหร่อ” วิศวะต่อว่า
“ถ้าหากใจเธอนี้ มีผู้ใดครอบครอง มีเจ้าของจับจองเอาไว้ก่อน ขอซอกเพียงเล็กๆ ที่จะพอซุกนอน ตื่นขึ้นมาก็พร้อม จะจากไป คิดๆ แล้วแค้นสุดขีด สุดฤทธิ์สุดเดช ว่าทำไมๆ ต้องทำร้ายกันอย่างนี้”
เชนมองอย่างอนาถ
“เชนไม่เข้าใจอารมณ์ของตฤณเลย เพราะทุกอย่างที่เชนทำ เชนใช้สมอง ไม่เคยใช้อารมณ์ มีบางครั้งที่เราอาจจะทำผิดพลาด เราก็ต้องแก้ไขมันตามวิถีทางของลูกผู้ชาย”
“ใครจะดีจะร้ายยังไง ฉันไม่ต้องการฟัง อยากจะปลดปล่อยทุกๆ อย่าง อยากอยู่ลำพัง อยากอยู่คนเดียว”
“นี่แกนึกว่ากำลังเที่ยวคาราโอเกะเพลงแนวมะจังชันแนลอยู่หรือไง อย่าลืมว่าเรามีภารกิจยิ่งใหญ่ เราต้องส่งเชนกลับไปกู้โลกก่อนที่มิสเตอร์โอเคจะทลายราบเป็นผุยผง และชิ้นส่วนของแว่นสามมิติที่หายไป มันอาจกระเด็นตกอยู่ในบ้านหลังนี้”
ตังตังดึงมือวิศวะมาชี้จุดที่แว่นตกแตก
“ตรงนี้เลยค่ะพี่วิศวะ ตังตังกระเด็นออกมาจากทีวีร่วงลงตรงนี้ แล้วแว่นก็แตก”
ตังตังชี้ที่หน้าทีวี ทุกคนช่วยกันลงมือค้นหา “เดี๋ยวครับ มีใครรู้บ้างว่าชิ้นส่วนแว่นหน้าตาเป็นยังไง”
วิศวะ ตฤณ ตังตัง มองหน้ากันเหรอหรา “เจอก็รู้เองแหละครับ”
“ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร แล้วเราจะไปถูกทางได้ยังไง เชนว่าเราควรจะมีเข็มทิศ”
“เข็มทิศเหรอ ตังตังมีในห้องนอนค่ะ”
“ไม่ใช่ เชนหมายถึงแว่นสามมิติ” วิศวะดีดนิ้ว
“ใช่แล้ว ในเมื่อแว่นสามมิติเป็นตัวดึงดูดมิติสองมิติเข้าหากันได้ แว่นก็ต้องดึงดูดชิ้นส่วนของตัวมันเอง
มาหาได้สิ เชน คุณนี่มันเทพไปเลย”
วิศวะหยิบแว่นจากกระเป๋าขึ้นมาถือแล้วใช้แว่นเป็นเหมือนเข็มทิศ โดยใช้ด้านที่ไม่แตก ส่องหาชิ้นส่วน ทันใดนั้น มีเสียงกริ๊งๆ เหมือนเสียงเหรียญกระทบพื้นดังขึ้นเบาๆ
“เสียง”
ทุกคนเงี่ยหูฟัง พอวิศวะขยับแว่น ก็มีเสียงกริ๊งๆ ดังขึ้นมาอีก
“ค่อยๆ ขยับแว่นนะครับ”
วิศวะขยับแว่น แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางเสียง
“เสียงมาจากทางนั้น” เชนขี้บอก
ทุกคนค่อยๆ ทรุดตัวลงไปคลานกับพื้น ตังตังเห็นแสงสีฟ้าเรืองรองออกมาจากใต้โซฟา ตังตังตาโต “เชน แสงอะไร”
ที่พื้นใต้โซฟา มีฟันเฟืองทองเหลืองตัวเล็กๆ วางอยู่ ทุกคนก้มลงมาดู ดีใจ
“ใช่แล้ว ฟันเฟืองตัวนี้นี่เอง”
วิศวะเอื้อมมือไปหยิบ แต่เหรียญกลับกลิ้งหนีมือวิศวะเข้าไปข้างในใต้โซฟาลึกๆ เขาเอื้อมมือเข้าไปจนสุด “หายไปไหนแล้วล่ะ” “ลองเอาแว่นเข้าไปใต้โซฟามั้ย เผื่อมันจะดูดกันแบบขั้วบวกขั้วลบ” เชนเสนอ
วิศวะพยักหน้าแล้วยื่นแว่นเข้าไปใต้โซฟา ผิดคาด ฟันเฟืองกลับกลิ้งออกมานอกโซฟา “นั่นไง มันออกมาแล้ว”
ทุกคนตาโต แล้วตะครุบฟันเฟืองพร้อมกัน แต่ฟันเฟืองกลับกลิ้งหลบหายไป ทุกคนหัวโขกกันเต็มแรง
“ทำไมมันหนีไปล่ะคะ”
“เราอาจจะหันแว่นผิดข้าง ลองใหม่”
วิศวะหันแว่นข้างที่แตกส่องหาชิ้นส่วน เสียงกริ๊งๆ ดังขึ้น ฟันเฟืองเรืองแสงสีฟ้าวิ่งเข้ามาหาแว่นเอง วิศวะหยิบฟันเฟืองมาด้วยความดีใจ “ผมขอรีบเอาแว่นกลับไปซ่อมเลยนะครับ”
วิศวะเก็บแว่นและฟันเฟืองลงกระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปจากบ้าน “เย้ เชนจะได้กลับบ้านแล้ว”
เชนดีใจ แล้วกลับชะงัก นึกเรื่องปลายฟ้า “แต่ถ้าเชนไป แล้ว คุณปลายฟ้าล่ะ”
ตฤณทรุดลง เหม่อลอย ครวญเพลงเบาๆ
“ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหม เลือกมา ว่าจะรักใคร ก็อยากให้เธอปักใจซะที หากว่าเขาดี ก็ไม่ว่าไร ก็จะเข้าใจ และจะไปซะที ฮือ”

เชนอึ้งไปด้วย

ตอนเช้า ตฤณกำลังวาดการ์ตูน ลายเส้น ความรวดเร็วในการวาดบ่งบอกว่าเป็นมืออาชีพ แต่ เรื่องราวของตัวการ์ตูนดูสับสน ที่สุด ตฤณขีดฆ่าแล้วดึงกระดาษขยำทิ้งลงที่พื้น แล้วก็เริ่มวาดใหม่ โดยมีเสียงของเจนจิราดังก้องเป็นแรงผลักดัน
 

“ถ้าเขารู้ว่ากระบองเพชรต้นนี้ออกดอกแน่ๆ นานแค่ไหนเขาก็รอได้ แต่ บางที ตัวเองอาจไม่ใช่พันธุ์ที่มีดอกไง เข้าใจป่ะ”
“มีซิ เขามีดอก ดอกใหญ่ซะด้วย”
ตฤณยิ่งพยายามก็ยิ่งวาดไม่ได้ แถมยังไร้สมาธิ วาดรูปดอกลงไปด้วย
“เฮ้ย”
ตฤณรีบขีดฆ่าทิ้ง ขยำกระดาษทิ้งลงตะกร้าถังขยะอีก

เจนจิรานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ดึงลิ้นชักโต๊ะข้างๆ เปิดออก มีต้นกระบองเพชรที่แอบเก็บจากถังขยะวางอยู่ เธอหยิบขึ้นมาดู แล้วบรรจงรินน้ำในแก้วรดที่ดินแต่น้อยๆ
“ที่เก็บมาเพราะเขาห่วงดอกของต้นนี้หรอก”
เจนจิรานึกถึงคำพูดของตฤณ
“เขาอาจจะออกดอกช้า แต่เขาดอก เอ๊ย ดอกเขามาแน่ เชื่อเขาสิ” “ถ้าเชื่อ เขาก็จะกลับไปจมปลักอย่างเดิมน่ะซิ ชิ”
เจนจิราค้อน วางกระถางแอบๆ ไว้ที่กองหนังสือ ปากบอกไม่รอ แต่กลับเก็บต้นไม้ไว้ใกล้ตัว
เชนเดินลงมา ต้องสะดุ้ง เมื่อมีกระดาษโยนเข้าใส่ตัว เชนรับกระดาษไว้ได้ด้วยท่าแบบสายลับ คลี่ออกดู เห็นตัวการ์ตูนของเชนแล้วขำกลิ้ง
“ว้าก นี่มันวายร้ายจากพิภพวานรหรือไง ถึงขี้เหร่จุงเบย ฮ่ะๆๆ”
ตฤณหันขวับมา
“วายร้ายตรงไหน นั่นมันการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ของตฤณ ตรงวุฒิเฟ้ย”
“ซุปเปอร์ฮีโร่ดูประหลาด ดาบก็มี ธนูก็ใช้ มีปืนอีกกระบอก ฮั่นแน่ มีระเบิดซีโฟว์อีก ดูไร้จุดยืน ราวพริตตี้ค้าอาวุธ ไร้เอกลักษณ์”
“แหม เดี๋ยวนี้รู้จักพริตต้งพริตตี้กะเขาด้วยนะ ใครเขาจะไปมีเอกลักษณ์เหมือนนายล่ะ พ่อสายลับหลงยุคเชนกางเกงแดง”
“ไม่ใช่กางเกง ผ้าพันคอแดงแผลงฤทธิ์”
“ตัวละครฉันไม่ใช่พวกวินเทจยุคคุณปู่อย่างนาย สรุปง่ายๆ นายไม่ใช่ต้นแบบซุปเปอร์ฮีโร่ของฉัน”
“ไม่รักเชน ไม่เห็นเชนเป็นไอดอล เชนไม่บังคับ ซุปเปอร์ฮีโร่ในใจแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เชนแค่จะแนะ แต่คุณจะนำไปใช้หรือเปล่าก็แล้วแต่วิจารณญาณของคุณ ตัวละครเอก ต้องมีเอกลักษณ์ เชนขอยืนยัน ไปล่ะ”
ตังตังโผล่มาขวางทาง
“Stop สายลับเชน นายจะไปไหน”
“เชนนอนคิดมาทั้งคืน จะมารอให้วิดวะยอดมนุษย์ซ่อมแว่นอยู่ไม่ได้ ต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน สายลับเชนต้องจะไปที่นั่น”

ภาพจากกล้องส่องทางไกลจากตึกตรงข้ามกำลังส่องไปที่ตึกสมายล์เคเบิลทีวี ที่กระจกห้องทำงานของดร. อาทิตย์ อินทุคุมตัวชายคนหนึ่งใส่กุญแจมือด้านหลัง มีผ้าคลุมหน้าเข้ามา ดร.อาทิตย์หันไปมอง จ่าเจี๊ยบกำลังส่องกล้องอยู่ ร้องดีใจเห็นหน้าเจิดชัดเจน
“ชัดเลย นั่นไงชายปริศนาที่ถูกจับตัวมา”
อินทุดึงผ้าคลุมหัวเจิดออก เจิดพยายามปรือตาขึ้นสู้แสง สีหน้าอิดโรย มือถูกใส่กุญแจเอาไว้ เห็นภาพเบลอๆ ของดร.อาทิตย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เจิดอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะถูกสะกดจิตจนเบลอ
“ผม ม่าย รู้เจงๆ ว่าแว่นอยู่ที่ไหน”
“ฮ่ะๆ ถึงแกรู้ก็ช้าไปแล้ว เพราะฉันรู้แล้วว่าแว่นอยู่กับไอ้เด็กนั่น”
“เด็กคนหนาย ผมม่ายรู้ ม่ายรู้เจงๆ ปล่อยผมปายเถอะ” ”อย่าเพิ่งรีบซี อยู่ด้วยกันนานๆ รอให้ฉันได้แว่นนั่นกลับมาซะก่อน ฉันไม่แน่ใจ ว่าแว่นมันจะกลับมา
อาการครบ 32 รึเปล่า แล้วฉันก็มั่นใจว่าไม่มีเทวดาหน้าไหนจะแก้ไขแว่นนั่นได้ นอกจากอัจฉริยะรุ่นเดอะ อย่างแก ป๋าเจิด”
ดร.อาทิตย์หยิบผ้าพันคอมาถือไว้ ร้องเพลงเชียร์ลิเวอร์พูล นารีเดินหน้าตาตื่นเข้ามาขัดจังหวะ
“นายคะ คุณประมุขมาขอพบ เอ่อ”
ไม่ทันขาดคำ ประมุขก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ทำท่าชื่นชมโอเว่อร์
“ว้าว รัศมีความขลัง เข้ามาที่นี่ทีไร ผมรู้สึกศรัทธา ขนลุกเกลียวทุกที ฮ่ะๆๆ นี่ซ้อมมายากลกันอยู่เหรอ”
“ซ้อมมายากล” ดร.อาทิตย์งงๆ
“อ้าว ยืนใส่กุญแจมืออยู่นี่ไงครับ หึ กลแบบนี้ผมเห็นจนเกลื่อนแล้ว แต่เชื่อว่าของด็อกเตอร์อาทิตย์ต้องมีอะไรดีกว่า เหนือกว่า คาดไม่ถึงกว่า และยิ่งใหญ่กว่าแน่ๆ ฮ่ะๆ”
เจิดเห็นอย่างนั้นก็จะขอความช่วยเหลือจากประมุข
“ม่ายใช่ มายากล ช่วย”
ดร.อาทิตย์รีบดีดนิ้วใส่หน้าเจิด สะกดจิตให้เจิดคอพับเหมือนหลับไปทันที ประมุขเห็นอย่างนั้นก็ตื่นเต้น
“โอ้ว้าว เห็นไหม แค่ดีดนิ้วหมอนี่ก็ป๊อกไปเลย” ดร.อาทิตย์หันไปบอกอินทุ นารี
“พาไอ้หมอนี่ไปที่อื่นก่อน ฉันจะคุยธุระ”
ดร.อาทิตย์มองตาทั้งคู่อย่างรู้กันว่าจะพาไปที่ไหน

จ่าเจี๊ยบใช้กล้องส่องทางไกลจากดาดฟ้าตึกตรงข้ามสมายล์เคเบิลทีวี เห็นภาพอินทุกับนารีหิ้วปีกเจิดออกจากห้องไป “เฮ้ย มันพาไปไหนอีกแล้ว วันนี้เจี๊ยบสะเดิดต้องรู้ให้ได้”
จ่าเจี๊ยบรีบเก็บอุปกรณ์วิ่งลงจากดาดฟ้า ลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ล้อรถแล่นไปบนถนนอย่างเร็ว คนในชุดหนังดำสวมหมวกกันน็อคดำซิ่งบิ๊กไบค์ไปตามถนน กำลังขี่ตามรถแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นอยู่ข้างหน้าห่างๆ คนขี่เลยเปลี่ยนเกียร์เร่งเครื่องแซงปาดซ้ายขวารถข้างหน้า ตามไปกระชั้นชิด
ภายในรถแท็กซี่ มีเชน ตฤณ ตังตังนั่งมา ตฤณนั่งเบาะหน้าคู่คนขับ โดยเอาสมุดวาดรูปมาวาดการ์ตูนของตัวเองไปด้วยตลอดเวลา พลางบ่น
“อยู่เฉยๆ สงบๆ มั่ง ได้ไหม ไม่ได้ หัดทำตัวนิ่งๆ สงบๆ มั่ง ได้มั้ย ไม่ได้ ต้องไฮเปอร์ ต้องทำนั่น ทำนี่ ต้องไปนั่น ไปนี่ ตลอดเวลา แล้วไปไหนที ก็ต้องไปกันหมด ไอ้เราจะอยู่บ้านทำงานเพื่อความเจริญก้าวหน้ามั่ง ไม่ได้ ต้องออกไปกับมันทั้งขบวนตลอดๆๆ”
ตฤณกระแทกดินสอไปพร้อมๆ กับจังหวะพูด เชนนั่งเบาะหลังกับตังตัง ร้อนใจอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ
“เชนบอกแล้ว ว่าคุณไม่ต้องมาก็ได้”
“ช่าย ตังตังก็บอกแล้ว ว่าตังตังไปกะเชนสองคนได้ น้าตฤณอยากมาด้วยเองตะหาก”
“น้าอยากมาด้วยที่ไหน แต่น้าจะปล่อยให้หลานตัวเองไปเสี่ยงภัยกับคนเพี้ยนๆ ได้ไง น้าต้องมาคุ้มครอง”

“คุ้มครองเนี่ยนะ” ตังตังกลอกตา
 
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.



สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 4 (ต่อ)

รถจอดเรียงติดไฟแดงกันอยู่ยาวเหยียด คนในชุดดำขี่บิ๊กไบค์ลัดเลาะมาจอดข้างๆ รถแท็กซี่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ด้วย
 
คนในชุดดำหันมองสังเกตการณ์เข้าไปในรถแท็กซี่ ขณะที่เชนหันมองโน่นนี่แล้วหันมาเห็นคนในชุดดำสวมหมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตากำลังมองอยู่ ก็มองจ้องตอบ แต่มองไม่เห็นหน้าคนสวมหมวกกันน็อค เชนชื่นชมรถบิ๊กไบค์สุดเท่ โบกมือทักทาย แต่คนในชุดดำรีบหันหน้ากลับ มองไปข้างหน้า ทำเป็นไม่สนใจเชน
เชนโบกมือเก้อ ทำเป็นหันหน้ากลับ แล้วหันกลับมาอีกที พบว่าคนชุดดำมองจ้องอยู่อีก เชนชักเอะใจสงสัยมองจ้องจับผิด คนในชุดดำหันหน้ากลับทำไม่สนใจอีก แล้วทำเป็นออกรถขี่เลยแท็กซี่ไปข้างหน้า เชนมองตาม สัญชาตญาณสายลับทำให้รู้สึกระแวงๆ แต่มองอีกที่มอเตอร์ไซค์ก็ขี่หายไปแล้ว
จ่าเจี๊ยบวิ่งจากตึกตรงข้ามเข้ามาถึงตึกสมายล์เคเบิลทีวี หยุดหอบเก็บอาการเดินผ่านรปภ.ตึกเข้ามาภายใน แล้วก็รีบวิ่งปรู๊ดไปที่ลิฟท์จะขึ้นไปยังออฟฟิศของดร.อาทิตย์ แต่ต้องเบรกเอี๊ยดแทบหงายหลัง เมื่อเห็นลิฟท์ตัวหนึ่งเปิดออก อินทุ นารีคุมตัวเจิดเดินตาลอยๆ ออกมา โดยมีสมุนตามคุ้มกันอีก 3-4 คน จ่าเจี๊ยบรีบทำเป็นมายืนดูโปสเตอร์โฆษณารายการดร.อาทิตย์ พลางแอบหันไปยกมือถือถ่ายหน้าเจิดไว้ได้ อินทุ นารีและสมุนรีบพาเจิดเดินออกไปทางประตูตึกจอดรถ จ่าเจี๊ยบรีบวิ่งตามไป
อินทุกับนารีรีบพาเจิดขึ้นรถตู้ โดยมีลูกน้องตามไปด้วยทั้งหมด จ่าเจี๊ยบวิ่งตามออกมา แต่รถแล่นออกไปแล้ว
“อ้าวเฮ้ย ไปไหนวะ รอจ่าเจี๊ยบด้วย”
จ่าเจี๊ยบยืนเต้นแร้งเต้นกามองตามหลังรถตู้ที่แล่นไป

ประมุขมีสีหน้าเจ้าเล่ห์ขณะคุยกับดร.อาทิตย์
“ในฐานะกรรมการผู้จัดการสมายล์ทีวี ผมศรัทธาในตัวด็อกเตอร์มาก”
“ใครศรัทธาจริงหรือหลอก ผมดูออก หึๆ”
“และในขณะเดียวกัน ผมก็อยากเห็นประชาชนทั้งประเทศ ศรัทธา คลั่งไคล้ ในสมายล์ทีวีของผมด้วยเหมือนกัน ชนิดที่ออกมาสรรเสริญ เยินยอ รักหัวปักหัวปำ ปกป้อง ด่าทอคู่แข่งแบบในเว็บไซต์พันทิปน่ะ”
“ตอนนี้เรตติ้งสมายล์ทีวีไม่ดี สู้คู่แข่งไม่ได้เหรอ ถึงต้องทำอย่างนั้น”
“โอ้ มีรายการ Faith ศรัทธาสร้างพลัง ของด็อกเตอร์อาทิตย์ทั้งที มีเหรอเรตติ้งจะไม่ดี แต่ที่สมายล์ทีวียังขาดคือกระแส ช่องอื่นมันขยันหาดาราหน้าใหม่มาปั้น ปั่นกระแส จนมีแฟนคลับติดกันงอมแงม แต่สมายล์ทีวี นอกจากด็อกเตอร์อาทิตย์แล้ว ก็โนบอดี้ ไม่มีใครหน้าไหนโดดเด่นขึ้นมาเลยสักคนเดียว”
“สรุปมาดีกว่าครับ ง่ายๆ สั้นๆ คุณประมุขต้องการให้ด็อกเตอร์อาทิตย์ช่วยอะไร”
“ก็ใช้ศรัทธาเปลี่ยนชีวิตของด็อกเตอร์ เปลี่ยนชีวิตใครสักคนในสมายล์ทีวีให้ดังฝุดๆ น่ะซิครับ”
“ก็แล้วทำไมด็อกเตอร์อาทิตย์ต้องลดตัวลงไปทำอย่างงั้น”
“น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไงครับด็อกเตอร์ ด๊อกเตอร์ต้องทำให้คนในช่องของผมคนหนึ่ง กลายเป็นดาว เป็นที่หลงที่รักของคนดูอย่างไม่มีเหตุผล และไม่มีวันสิ้นสุด โอเค”
“คนในช่องคุณ มีตั้งเยอะแยะ ผมต้องมานั่งเฟ้นหาทำหน้าที่พัฒนาบุคลากรให้คุณรึไง”
“แหม มันน่าจะเป็นของหมูๆ สำหรับด็อกเตอร์นี่นา ก็ด็อกเตอร์อาทิตย์มีญาณทิพย์หยั่งรู้ ด็อกเตอร์แค่กวาดตามองผ่านๆ ก็น่าจะเห็นด้วยเซ้นส์แล้วครับ ว่าใครเวิร์คที่สุด สมควรจะเป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวทำเงินทำทองของช่องไปได้นานๆ จากนั้น ด็อกเตอร์ก็ช่วยดลบันดาลให้เป็นจริง”
ดร.อาทิตย์แอบเซ็ง
“ผมไม่ใช่หมอผีทำเสน่ห์ลงนะหน้าทองนะ คุณประมุข”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เร็วหน่อยนะครับ ผมใจร้อน รบกวนแค่นี้แหละครับ ออฟฟิศด็อกเตอร์นี่เต็มไปด้วยพลังศรัทธาจริงๆ ฮ่ะๆ”
ประมุขลุกเดินออกไป ดร.อาทิตย์เซ็ง ไม่ชอบใจ
“ไอ้เขี้ยวลากดิน ไอ้งก บังอาจมาใช้ด็อกเตอร์อาทิตย์”

เจิดอยู่ในรถตู้ รถเลี้ยวทำให้หัวโขกกับหน้าต่างกระจกรถ เจิดกุมหัว คราง แล้วกระพริบตาถี่ ดวงตาเริ่มมีโฟกัสขึ้นมา เริ่มมีสติจากการสะกดจิต เห็นอินทุกับนารีนั่งคุมอยู่เบาะตรงหน้า เจิดกวาดตามองหาทางหนี เหลียวมองมือตัวเองด้านหลังที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่ แล้วอยู่ๆ เจิดก็เป็นลมชักตาตั้งขึ้นมา นารีกับอินทุหันมามอง
“เฮ้ย เป็นไรวะ อยู่ๆ ก็ชักขึ้นมา”
“รีบช่วยมันเร็ว เดี๋ยวมันตายขึ้นมา นายต้องฆ่าเราแน่ๆ”
ลูกน้องขับรถอยู่ตกใจ รีบขับรถชิดฟุตบาท จอด นารีกับอินทุช่วยกันดึงเจิดให้นอน แต่ติดที่มือถูกใส่กุญแจไพล่หลัง นารีตัดสินใจใช้เข็มที่ซ่อนอยู่ในปลอกข้อมือของตัวเอง ไขกุญแจ พอมือเป็นอิสระ เจิดก็แย่งปืนมาจากลูกน้องคนหนึ่ง
นอกรถตู้ มีเสียงปืนดังออกมาจากในรถ ปัง ปัง ปัง รถจ่าเจี๊ยบขับตามมาหลังมา ต้องเบรกอย่างแรง งงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจ่าเจี๊ยบก็เห็นเจิดกระโดดลงมาจากรถตู้
“เฮ้ยๆ นั่นมัน
เจิดวิ่งหนีเข้าตรอกข้างทางไป นารีและอินทุโดดตามลงมา ภายในรถ ลูกน้องนอนตายอยู่ นารีเจ็บจุกหน้าอก กัดฟันลุกขึ้นนั่งชันเข่า เขวี้ยงมีดไปที่เจิด เจิดหันมาพอดี เห็นมีดบินมา เลยก้มหลบ มีดไปปักที่ผนังตึก เจิดตกใจรีบวิ่งหนีไปทางตลาดที่มีทางลัดซอยซับซ้อน นารีหันไปตวาดลูกน้องที่ขับรถและนั่งหน้า
“รีบไปซี เอาตัวมันมาให้ได้”
นารีกับอินทุกับสมุนทั้ง 2 คนรีบวิ่งตามไป สมุนคนขับรีบกลับขึ้นรถ ขับรถเลี้ยวเข้าซอยตามไป
จ่าเจี๊ยบรีบกดมือถือโทรหาปวัน
“โหลๆ ผู้กอง ชายปริศนาคนนั้นมันหนีลงจากรถได้ไงไม่รู้ โธ่ไม่ได้พูดเล่น เรื่องจริง ลูกน้องดร.อาทิตย์กำลังไล่ตามไป เจี๊ยบจะส่งรูปหน้าตาชายปริศนาคนนั้นไปให้ดูเดี๋ยวนี้”
จ่าเจี๊ยบรีบกดรูปส่งไปให้ปวัน แล้ววางมือถือขับรถตามพวกนารีเข้าตลาดไปทันที
ตฤณ เดินนำเชน ตังตังมาตามถนนย่านตึกสวยๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเนรมิต
“ขอบใจมากนะที่ช่วยประหยัดค่าแท็กซี่ให้ แทนที่จะให้รถจอดส่งถึงที่” ”นั่นดิ ต้องเดินไปอีกตั้งโน่นแน่ะ ทำไมอ่ะสายลับเชน อย่าบอกนะว่าเมารถ”
“เชนทำเพื่อความปลอดภัย อาจมีใครกำลังสะกดรอยตามเราอยู่”
เชนพูดพลางหันมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง ทำเอาตฤณกับตังตังหยุด รีบหลบเข้ากำแพงอย่าง
ระแวดระวังทันที
“โธ่ แล้วก็พึ่งบอก”
“มันอยู่ไหนสายลับเชน” ”เชนก็ยังไม่เห็น” ”อ้าว”
“สัญชาตญาณของเชนมันบอกน่ะ และสัญชาตญาณของเชนมันก็ไม่เคยพลาด”
“เฮ่ย พอเหอะ เมื่อไหร่นายจะแยกออกซะทีว่านี่มันโลกในความเป็นจริง ไม่ใช่โลกโอเวอร์เซอร์เรียลใน
หนังสายลับของนาย”
ตฤณเดินเซ็งๆ ไป ตังตังเดินตามเตือน
“น้าตฤณพูดจาได้ใจร้ายมาก”
เชนยิ้มกับตังตัง แล้วมองตามตฤณไป อย่างผู้มากประสบการณ์กว่า
“แต่ก็มีบางคนที่แยกโลกในความเป็นจริงกับโลกในความฝันไม่ออก จริงไหมตังตัง”
เชนเดินตามไป

ที่ซอยข้างตึกมุมไกล คนในชุดดำค่อยๆ ขี่บิ๊กไบค์โผล่ออกมา แอบมองตามทั้งสามไป

เชน ตังตัง ตฤณ มองหน้าจิ้มกับกระจกเข้าไปในร้านเนรมิต ที่บรรยากาศยังคงเงียบ ร้าง ป้ายหน้าร้านยังแขวนว่าปิดเหมือนเดิม
 
“ลุงเจ้าของร้านปิดร้านนานเกินไปแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นกะแกรึเปล่า” ตังตังสงสัย
“แกคงจะรู้ว่านายสายลับหลงทางนี่จะมาไง เลยปิดร้านหนีไปเลย” ”เจ้าของร้านนี้ไม่เคยเจอเชน จะรู้ได้ยังไงว่าเชนจะมา” ”เอ่อ น้าตฤณเขาประชดเชนน่ะ”
“หึ สุภาพบุรุษยุคนี้ประชดเก่งไม่แพ้ผู้หญิง โลกมันกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว”
“นี่นาย ด่าฉันเหรอ” ”ใช่ ฮ่ะๆ” ตังตังขำ ”ตังตัง” ตฤณดุ ”มีคนอยู่ในร้าน” เชนบอก
ตังตังรีบทำเป็นมือปิดปาก แต่ตามองไปในร้าน ตฤณมองเข้าไปในร้าน
“ไหนอ่ะไม่เห็นมีใคร”
ตฤณและตังตังพยายามมองเข้าไปในร้าน
“งั้นเราเอ่อ”
ตฤณหันมาจะพูดกับเชน
“อ้าวเฮ้ย หายไปไหนแล้ว”
เชนเดินอยู่ในร้านอย่างเบาเท้า หันมองอย่างระแวดระวัง ”เชน” เชนหันขวับไป เห็นตังตังกับตฤณเดินเข้ามาทางประตูหลัง
“ชิ้ว”
“อยู่ๆ ก็เข้ามา ไม่ชวนกันเลยนะ”
“ประตูหลังเปิดอยู่ เชนเลยเข้ามา ในนี้อาจจะมีอันตราย ออกไปรอข้างนอกก่อน”
เชนดันตังตังกับตฤณจะให้กลับออกไปจากประตูหลัง แต่มีลำกล้องลูกซองแฝดโผล่มาอยู่ข้างหลังเชน หูเชนกระดิกได้ยิน ชะงักทันที
“ไม่ทันการแล้ว”
ตังตังกับตฤณเลยหันขวับมามอง เห็นเจิดยืนถือปืนอยู่ สองน้าหลานยกมือห้าม
“ยะ อย่ายิง”
แต่ไม่ทันแล้ว ด้วยความกลัวเพราะเพิ่งหนีพวกดร.อาทิตย์มาก็เลยสติแตก เจิดลั่นไกยิง
“จะตามล่าฉันไปถึงไหน มึงตาย”
ตูม สายลับเชนกระโจนคว้าน้าหลานหลบทัน แล้วพุ่งตัวออกไปหันเหความสนใจเจิด เจิดเลยหันไปเล็งปืนหาเชน ซึ่งวิ่งหลบแว้บไปแว้บมาอยู่ที่กล่องใส่ข้าวของหลังร้าน
“เป็นตายยังไง กูไม่ยอมให้พวกมึงจับกูไปสะกดจิตอีก”
เจิดยิงใส่เชนอีกนัด เชนก็กลิ้งหลบไปได้อีก ข้าวของระเนระนาด เจิดหักลำกล้องปืน รีบบรรจุกระสุนใหม่ 2 นัด ตฤณร้องห้าม
“อย่ายิงครับลุง ใจเย็น”
“อย่ามาจับกู กูไม่ไปกับพวกมึง” ”พวกเราไม่ได้มาจับลุงนะครับ โอ๊ะ” ”พวกเราจะมาให้ลุงช่วยนะคะ ไม่ได้มาทำร้ายลุง”
เจิดเหมือนสติแตก หูอื้อตาลายไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
“กูไม่เชื่อ”
เชนสำแดงเดช กระโจนตัวออกมาอย่างรวดเร็วราวสายลม แย่งปืนไปจากมือเจิดราวกับหายตัวได้ เจิดอึ้งมองมือตัวเองที่ตอนนี้ว่างเปล่า
“ห่ะ ปืน ปืนของกูหายไปไหน”
อยู่ๆ เสียงเชนก็ดังขึ้น ”ตราบใดฟากฟ้ายังมีแสงทองแห่งอุทัย พลังเกรียงไกรแห่งธรรมะ ย่อมชนะอธรรมสิ”
เจิดหันมองหาให้ควั่ก และแล้วก็ตะลึงเมื่อเงยหน้ามองไปมุมสูงข้างหน้า เห็นสายลับเชนยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนนั่งร้านสูง 2 ชั้น ที่ใช้เก็บของ ปืนลูกซองพาดอยู่บนไหล่ โดยมีแขนทั้ง 2 ข้างพาดอยู่บนปืนอย่างเท่ๆ หน้าหันมองไปด้านข้าง เจิดมองเห็นสายลับเชนเต็มตาเป็นครั้งแรกก็จำได้ สายลับเชนหันมามองเจิด ยิ้มน้อยๆขยิบตาให้ข้างหนึ่ง แล้วทำท่าประจำตัว
“คุณธรรมปกป้อง คุ้มครองผู้บริสุทธิ์ หยุดเหล่าร้าย สายลับเชน ฉลาดก็เท่านั้น หล่อก็เท่าโน้น”
“สะๆ สายลับเชน”
เจิดตะโกนดีใจ
“คุณพระช่วย สะๆ สายลับเชนจริงๆ ด้วย”
เชนลุกเดินเข้ามาหาเจิด พร้อมกับยื่นปืนลูกซองคืนให้
“สายลับเชนผู้ผดุงคุณธรรมแห่งแดนสยาม ฉันติดตามดูสายลับเชนทุกตอนเลย ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะจำคำพูดของสายลับเชนได้ทุกฉาก สายลับเชนจริงๆ เหรอเนี่ย ดีใจจริงๆ ฮ่ะๆ เอ๊ะ แล้ว แล้วสายลับเชนออกมาจากหนังได้ยังไง”
“ก็แว่น 3 มิติของลุงน่ะดิ ทำให้หนูพาสายลับเชนออกมาจากจอ”
“หา เอ็งนี่เองเหรอนังหนู ที่เอาแว่นฉันไป” ตังตังหลบหลังตฤณ
“หนูเปล่านะ ไม่ได้มีนิสัยขี้ขโมย หนูแค่ลองเทส เกิดลืมคาดไว้บนเฮด ก็เลยแฮ็บติดกลับบ้านไป”
“แว่นได้ผลจริงๆ ด้วย ตลอดเวลามานี่ ฉันไม่เคยลองเลย แต่ยังไม่สายนะ ฮ่าๆ ซุปเปอร์แมน แบทแมน พ่อนาคพระโขนง เออ แล้วตอนนี้แว่นอยู่กับเอ็งรึเปล่านังหนู”
ตังตังฝืนยิ้มพยักหน้า
“แต่ว่า” ตฤณขัดขึ้น
“แต่อะไรห่ะ”
“แคร็ก” ”อะไรของเอ็งวะแคร็ก”
“แตก” ”ห่ะ แว่นแตก”
เจิดเผลอยกปืน ตฤณกระโดดโหยง เชนเข้ามาจับกระบอกปืนเจิดไว้ให้ปลอดภัยจากตฤณและตังตัง
“เพราะเหตุนี้แหละครับ เชนถึงต้องการให้คุณช่วย”

เจิดนำทุกคนเดินไปทางประตูหน้าร้าน
“ไปที่บ้านฉันกันก่อน ต้องลองหาทางดู แต่ข้าไม่รับปากนะว่าจะช่วยได้”
เจิดกำลังไขจะเปิดล็อคประตู แต่เชนนึกอะไรขึ้นได้
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เชนจับใจความที่คุณพูดได้ว่า คุณถูกจับตัวไป พวกมันเป็นใคร”
เจิดหยุดยืนชะงักคิด นิ่วหน้าเหมือนนึกอะไรไม่ออก
“ฉันไม่รู้พวกมันเป็นใคร ฉัน ฉัน นึกอะไรไม่ออกเลย”
เจิดหันมองออกไปด้านนอกร้าน แล้วต้องตกใจ เชน ตฤณ ตังตัง ค่อยๆ หันกลับไปมอง เห็นนารี อินทุลงมาจากรถตู้พร้อมลูกน้อง 3 คนมีปืนครบมือ เจิดตกใจ ซีดเผือดทันที ชี้มือไม้สั่น
“พวกมันนี่แหละ”
เชน ตฤณ ตังตัง หันไปมองตามเจิด พบนารี อินทุและลูกสมุนทั้งสามกำลังเดินมาทางร้าน เชนรีบพาเจิด ตฤณ ตังตังวิ่งกลับเข้าไปในร้าน
“ถอยๆ เข้าไปในร้านก่อน”

ทั้งหมดเดินมา แต่อินทุพบสิ่งผิดปกติ สั่งทุกคนหยุด
“มีอะไรอินทุ”
“มันผิดปกติ”
เงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ประตูร้านเปิดออกช้าๆ นารีหยุดพูด แต่ไม่มีใครโผล่ออกมา นารีกับอินทุ ลูกน้อง อึ้งมองไป ทันใดนั้น เชนก็กลิ้งม้วนตัวออกมาพร้อมปืนโบราณ 2 กระบอก ยิงเข้าใส่พวกนารีซ้ายทีขวาที ราว 4 นัด พวกนารี อินทุ สมุนไม่ทันระวังตัวเลยหลบเข้าหลังรถหัวซุกหัวซุน
“ไปเร็ว”
เชนหันไปตะโกนเรียก ตฤณถือปืนลูกซองคุ้มกันตังตังกับเจิดออกมาจากร้าน รีบวิ่งกันไป อินทุโผล่ขึ้นมามอง
“พวกมันเป็นใคร”
“ตามจับเป็น เอาไอ้แก่นั่นมาให้ได้”
อินทุกับนารีวิ่งนำสมุนตามไป
เชน ตฤณ ตังตัง ปลอมตัว โดยใช้ของที่มีในร้านนั้น เชนใส่หมวกคาวบอย เอาผ้าพันคอแดงออกจากคอมาพันปิดปากแทนหน้ากาก ตฤณใส่หมวกคาวบอย มีผ้าตาสก็อตปิดปาก
 
ตังตังใส่หน้ากากแบบสวยๆ ติดเลื่อม มีขนนก ทำให้พวกอินทุจำใครไม่ได้

ตฤณถือปืนวิ่งนำหน้าตังตังกับเจิดมาตามร้านค้าข้างทาง เชนวิ่งตามเจิดคอยคุ้มกัน
 
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะต้องมาอยู่ในสภาพคาวบอยที่โดนไล่ยิง” ตฤณบอก
เจิดวิ่งช้าลง หมดแรง
“หยุดจอดนะลุง วิ่งต่อ วิ่งต่อ โกๆๆ”
ตังตังจูงมือเจิดวิ่ง แต่เจิดทรุด
“นังหนู ลุงไม่ไหว เอ็ง 9 ขวบ แต่ลุงจะ 60 นะเว้ย”
“แต่ลุงคงไม่อยากตายตอน 60 ใช่ป่ะ งั้นลุก วิ่งต่อ ด่วน”
ตฤณได้แต่พูด แต่เชนกลับเข้ามาช่วย
“นายควรหัดพูดแต่น้อย แต่ทำให้เยอะ มา ลุง ผมช่วย”
ตฤณอึ้ง มองเชนคว้าแขนเจิดขึ้นพาดไหล่จะช่วยพยุงวิ่งไป แต่มีเหล็กรูปบูมเมอแรงผูกติดผ้าเหวี่ยงมาใส่เชน หมุนรอบแขนซ้ายเชน และตามติดมาอีกอัน หมุนรอบแขนขวาเชน พร้อมแรงดึงทำให้มือเชนปล่อยออกจากเจิด และถูกกระชากถอยหลังไป โดยมือทั้งสองยังกำปืนไว้แน่น
“เชน”
เชนออกแรงต้านไว้ หยุดผ้าที่กำลังลากเขาถอยหลังให้หยุดกับที่ อินทุกำลังออกแรงดึงผ้าทั้งสองต้านกับแรงเชน โดยมีนารีกับลูกน้องยืนถือปืนพร้อมอยู่ข้างหลัง
“พวกแกเป็นใคร ทำไมแต่งตัวประหลาดกันหมด” นารีถาม
“เป็นญาติตาแก่ประหลาดนี่ไง” ตฤณบอก
“เฮ้ย เรียกฉันดีๆ หน่อย”
“ช่างแก ถ้าไม่อยากตายหมู่ ส่งไอ้แก่นั่นมา” นารีขู่
“เห็นมะลุง มันก็เรียกลุง ไอ้แก่” ตฤณย้ำบอก
“ถ้าข้ายังอยู่ อย่าหวังจะสมหวังเลย อ๊าก”
เชนเอนตัวหงายท้องยื่นมือยิงแบบสะพานโค้งตามแรงดึงของผ้า ปังๆๆๆ นารี อินทุ ลูกสมุนต้องวิ่งหลบกันให้วุ่นพร้อมยิงสวน การดวลปืนเริ่มขึ้น ตฤณยิงลูกซองคู่ พร้อมกันตังตังกับเจิดเข้าหลบใต้ตึก ขณะที่เชนยิงไป ออกแรงกระชากผ้าที่อินทุยังคงไม่ยอมปล่อยไป พร้อมกับวิ่งหลบกระสุนไปด้วย ตฤณยิง 2 นัด
“กระสุนหมดทำไงลุง”
“หักลำกล้อง น้านอย่างนั้น”
ตฤณหักลำกล้องดีดปลอกกระสุนทิ้ง รับกระสุนลูกบั๊ค 2 นัดจากเจิดที่หอบถุงใส่กระสุนมาด้วย ตฤณเหนี่ยวไกยิงสวนใส่พวกลูกน้องตูมๆ ทีละ 2 นัด ลูกปราย 8-9 เม็ดในกระสุน 1 นัดกระจายว่อนใส่นารีและลูกน้องทั้งสามจนหลบหัวปั่น ลูกน้องทั้งสามถูกลูกปรายเจาะเข้าตามแขนขาบาดเจ็บตามๆ กัน
“เยส น้าตฤณแมนจุงเบย”
“แมนมานานแล้ว แต่ไม่แสดงออก”
ตังตังหันไปยกมือตีกับตฤณ
“เลิกเหอะ เขียนการ์ตูน ไปลงแข่งยิงปืนทีมชาติเถอะน้า”
ตฤณหุบยิ้ม แยกเขี้ยวใส่หลาน ตังตังแล่บลิ้นแหย

ขณะที่นารีหันไปมองลูกน้องที่เจ็บ ทั้งโกรธทั้งเห็นท่าไม่ดีที่ตกเป็นรอง อินทุก็กำลังแย่ ถูกเชนกระตุกผ้าจนเสียหลักกลิ้งตัวไปชนกับเสาตึก แถมตัวอินทุยังถูกเชนดึงผ้าจนตัวถูกผ้ามัดติดอยู่กับตึกเสียเอง นารีเหวี่ยงมีด ซัดไปช่วยตัดผ้าทั้งผืนขาดออกจากกัน ทำให้อินทุหลุด และเชนหงายหลังกลิ้งไป นารียิงซ้ำเข้าใส่เชน
“ตายซะเถอะไอ้คาวบอยสุดเฉิ่ม รำคาญพวกแต่งตัวคันทรี่อเมริกันเชยๆ รำคาญลูกกะตา ย้าก”
ปังๆๆ นารีซัดเข้าใส่ไม่เลี้ยง เชนม้วนตัวหลบราวลูกข่าง แล้วลุกวิ่งพลางยิงสวน
“ผมก็รำคาญผู้หญิงปากจัด ทำตัวไม่น่ารัก”
“อ๊าย”
นารีถูกกระสุนเชนเจาะเข้าที่ไหล่ ล้มหงายลง
“ห่ะ”
อินทุเห็นอย่างนั้นเลยชักปืนช่วยยิงสวนไปที่เชน เชนยิงสวนแต่กระสุนหมดทั้ง 2 กระบอก เลยทิ้งปืนพร้อมพุ่งหลาวกระโจนข้ามระเบียงเข้าใต้ตึก ตฤณช่วยยิงสวนเข้าใส่อินทุแทน กระสุนลูกปรายเจาะผนังปูนเศษกระเด็นใส่อินทุคลุ้งไปหมด จนต้องหลบหงุด
เชนวิ่งถลามาหาตังตัง เจิด พาวิ่งหลบเข้าตึกไป ตฤณยิงสวนไปที่ฝั่งนารี อินทุ อีก 2 นัด ทิ้งท้าย ก่อนวิ่งตามเข้าตึกไป
อินทุประคองนารีซึ่งบาดเจ็บที่แขน หลบไป นารีมีท่าทีขัดขืนเพราะอยากจะอยู่เอาคืนพวกเชน พวกสมุน
ทั้งสามบาดเจ็บตามๆ กัน ประคองกันไป

เชนพาเจิดและตังตังหลบลึกเข้ามาในตึกแถวที่ชั้นล่างยังไม่ได้กั้น โล่งยาว ตฤณถือปืนเดินหันมองระวังหลัง
“พวกนั้นเป็นใครครับ”
เชนถามเจิด
“ฉัน ฉันก็พยายามนึกอยู่ มัน นึกไม่ออก จำอะไรไม่ได้เลย”
“แต่ฉันจำได้ สองคนนั่นเป็นลูกน้องด็อกเตอร์อาทิตย์ ฉันเคยเจอที่ตึกสมายล์ทีวี” ตฤณบอก
“แล้วลุงรู้จักด็อกเตอร์อาทิตย์รึเปล่าครับ ใช่คนที่จับลุงไปรึเปล่า”
“เอ่อ ฉัน”
เจิดยังงงๆ นึกไม่ออก แต่ตังตังดึงแขนเชนเอาไว้
“เชน พวกไหนมาอีกก็ไม่รู้”
เชนหยุดหันมองไปข้างหน้าตามตังตัง คนในชุดหนังดำสวมหมวกกันน็อคนั่งอยู่บนบิ๊กไบค์ขวางอยู่ข้างหน้า เชนรีบดันตังตังกับเจิดไปอยู่ข้างหลัง มองคนชุดดำจำได้ ตฤณเดินถือลูกซองมายืนข้างเชน พลางยื่นมือไปขอ
“ขอกระสุนลุง”
เจิดส่งกระสุนให้ตฤณใส่เตรียมพร้อม
“สังหรณ์ใจไม่พลาดจริงๆ ว่านายสะกดรอยตามพวกเรามา” เชนบอก
คนในชุดดำเร่งเครื่องขี่ตรงเข้ามาหา ทำเอาทุกคนตกใจ เชนหันไปขอปืนจากตฤณ
“ส่งปืนมาให้เชน แล้วนายพา 2 คนนั่นไปหลบอยู่ข้างหลังก่อน”
ตฤณส่งลูกซองให้เชน แล้วหลบไปอยู่กับตังตัง เจิดที่ข้างเสา ขณะที่เชนค่อยๆ ยกปืนลูกซองขึ้นเล็งไป คนในชุดดำก็ขี่มอเตอร์ไซค์ใกล้เข้ามาทุกที
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่งั้นเชนจะไม่เกรงใจ”
คนขี่มอเตอร์ไซค์ชักบัตรบางอย่างออกมาโชว์ขณะขี่ด้วยมือเดียว
“นายนั่นแหละหยุด ฉันเป็นตำรวจ ส่งลุงคนนนั้นมา อย่าขัดขืนหรือขัดขวางเจ้าหน้าที่เด็ดขาด”
“ห่ะ ผู้หญิงนี่” ตฤณตกใจ
“ใครก็พูดได้ว่าเป็นตำรวจ เชนไม่อ่อนต่อโลก เชื่อคำหวานๆ เด็ดขาด บอกให้หยุด ไม่งั้นเชนยิง”
คนในชุดดำเร่งเครื่องขี่ยกล้อพุ่งเข้าใส่ เชนเลยต้องหลบฉาก คนชุดดำพุ่งผ่านเชน ลงปล่อยล้อรถแตะพื้น แต่ต้องตกใจเมื่อเชนวิ่งตามมากระโดดขึ้นเกาะเอวซ้อนท้าย
“เฮ้ย ลงไป”
“เอวบางร่างน้อยแบบนี้ ไม่น่าซิ่งเลยคุณตำรวจสาว”
“อย่ามาถูกตัวฉันนะ”
คนชุดดำจอดรถ เหวี่ยงศอกใส่เชน เชนจับ แต่คนชุดดำก็ศอกใส่อีกข้าง เชนเลยคว้าเอวพารวบกลิ้งลงจากรถไปกับพื้นด้วยกัน ทำให้ปืนลูกซองหลุดจากมือเชน คนชุดดำดิ้น พลิกตัวหงายขึ้นมองหน้าเชนที่ทับอยู่บนตัว พร้อมกับชักปืนพกคู่กายจิ้มอยู่ที่พุงเชน

“ลุกขึ้นช้าๆ ออกไปจากตัวฉัน ไม่งั้นกระสุนไชสะดือนายแน่”

เชนยกมือ 2 ข้างขึ้น พลางลุกขึ้นยืนช้าๆ คนชุดดำลุกขึ้นตาม จังหวะนั้นเชนมือไวดึงหมวกกันน็อคคนชุดดำออก เห็นหน้าปวัน ผมยาวสลวย
 
“นี่นาย เอาหมวกฉันคืนมา”
“ที่แท้ คุณมะนาวไม่มีมีน้ำนี่เอง”
“มะนาวไม่มี มีแต่กำปั้น”
ปวันยัดหมัดไปที่หน้าเชน ทำเชนผงะ
“อย่ามาวิจารณ์ฉันอีก ไม่งั้นฉันจะจับนายข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“คุณเป็นตำรวจจริงๆ”
ปวันชูบัตรประจำตัว
“ถ้าร่ำเรียนมาบ้าง อ่านหนังสือออก ก็เบิกลูกตาดูซะ”
“ถ้าคุณเป็นตำรวจ คุณก็เป็นผู้ผดุงความถูกต้อง ปกป้องคนดี ขจัดคนชั่ว พิทักษ์โลกอีกคนหนึ่ง เชนยินดีที่ได้รู้จักคนอุดมการณ์เดียวกัน”
เชนยื่นมือมาให้ปวันจับ ปวันทำยิ้มหวานยอมจับมือด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักนายหลุดโลก”
พอปวันปล่อยมือ ก็เห็นว่ามือเชนถูกใส่กุญแจมือเกี่ยวกับโซ่ล่ามปั๊มลมที่ใช้ในการก่อสร้าง เชนเซ็ง แต่ไม่โวยวาย
“คุณคิดว่ากุญแจมือแค่นี้ จะหยุดเชนได้”
“หึ ได้ซิ อย่างน้อย ก็สักพัก กว่านายจะหาทางเอามือหลุดออกมาได้”
ปวันเดินยิ้มเข้าไปหาเจิด
“ไม่ต้องกลัวนะลุง ฉันเป็นตำรวจ ไปกับฉัน ฉันจะจัดการจับคนที่พาตัวลุงไปกักขัง เข้าคุกให้เอง”
“แล้ว แล้วถ้าฉันไม่ยอมไปล่ะ”
“ไปเถอะลุง ไม่ต้องห่วงครับ เชนจะตามไปช่วยลุงเอง”
“ฮ่ะๆๆ ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนเหอะ”
ปวันดึงหมวกคาวบอยออกแบบรู้ดีว่าเชนคือใคร
“พ่อผมยกกระบังหน้าเฉลิมกรุง”

ปวันสวมหมวกกันน็อคพาเจิดซ้อนท้ายบิ๊กไบค์พุ่งทะยานออกมาจากตึกร้าง ซิ่งไปอย่างรวดเร็ว ตฤณกับตังตังรีบเข้ามาดูเชนด้วยความเป็นห่วง
“ตำรวจหญิงคนนั้นไม่ธรรมดาอ่ะ จับสายลับเชนใส่กุญแจมือได้ ในหนัง สายลับเชนไม่เคยเสียท่าให้ใครแบบนี้มากก่อน”
“หนูตังตัง ถ้าจะไว้หน้ากัน ก็โปรดอย่าซ้ำเติม”
“ฮ่ะๆๆ นี่ใช่มะ ที่เขาเรียกว่าเก่งแต่ในจอ” ตฤณเยาะ
“สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ทำไมเชนจะพลาดบ้างไม่ได้ แต่เชนจะไม่พลาดเป็นซ้ำสอง”
“แต่ตอนนี้ จะไขกุญแจมือออกได้ไง” ตังตังถาม
“เรื่องนั้นง่ายมาก”
เชนตอบพลางมองไปที่ปืนลูกซองที่ตกอยู่ที่พื้น คำตอบคือใช้ปืนยิงโซ่ให้ขาด
“แล้วตาลุงขายของเล่นนั่น นายรู้เหรอว่าจะตามไปช่วยได้ที่ไหน”
“หึๆๆ ของมันแน่อยู่แล้ว”
ตฤณกับตังตังมองหน้ากัน งง จะรู้ได้อย่างไร

ดร.อาทิตย์นั่งกลิ้งเหรียญไปตามนิ้วมือ พูดโดยไม่มอง นารี อินทุ และสมุนทั้งสาม ที่บาดเจ็บอยู่ต่อหน้า ทั้งหมดพากันยืนหวาดๆ
“คนทำแว่น ถูกไอ้พวกกองกำลังคาวบอยอเมริกันคันทรี่ไม่ทราบฝ่ายแย่งตัวไป หึ ตลกสุดๆ พวกแกเป็นง่อยกันหมดหรือไง ถึงทำอะไรพวกมันไม่ได้ ห่ะ”
ดร.อาทิตย์ตวัดมือไป เหรียญจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่อินทุ นารี ที่ยกแขนขึ้นกันตัวอย่างอัตโนมัติ สันเหรียญกระทบแขนทั้งสองอย่างแรง ผิดกับลูกน้องทั้งสามกันไม่ทัน สันเหรียญพุ่งใส่หน้าผากทุกคน เลือดกระฉูด หน้าผากแตก
“แต่ไอ้พวกนั้นมันคุ้นๆ ดูๆ ไป อาจจะเป็นพวกของไอ้เด็กที่เอาแว่นไป กับไอ้ผ้าพันคอแดงปลอมตัวมา” นารีบอก
“ดูเหมือนว่าพวกมันก็ต้องการตัวไอ้คนทำแว่นนั่นเหมือนกับนาย” อินทุรายงานต่อ
แค่ดร.อาทิตย์กระดกนิ้ว เหรียญอันใหม่ก็โผล่ขึ้นมาให้เขากลิ้งเล่นบนนิ้วเหมือนเดิม ดร.อาทิตย์เดินคิดพลางกลิ้งเหรียญในมืออย่างใช้ความคิด แล้วชะงัก
“เด็กที่เอาแว่นไป ต้องการตัวคนทำแว่นเหมือนเรางั้นรึ”
“ใช่นาย”
ดร.อาทิตย์ยิ้มร้าย
“ไอ้ผู้ชายที่อยู่กับเด็ก มันเป็นแฟนเก่าของผู้หญิงที่สไมล์ทีวีใช่ไหม ฮ่ะๆๆ ฉันรู้แล้ว ถ้าอยากแน่ใจ ว่าใช่พวกมันแน่ๆ ไหม มันต้องการอะไร ทำไม ยังไง เราก็ต้องใช้นางนกต่อสิ”
ดร.อาทิตย์หันไปขว้างเหรียญไปที่กระจก เหรียญพุ่งไปที่กระจกเหมือนจะชนกระจกแตก แต่เหรียญกลับระเบิดเป็นลูกไฟเล็กๆ สว่างวาบ ขาวทั่วบริเวณ

ที่สำนักงานตำรวจ ธงทิวนั่งตรงข้ามเจิด มีปวันและจ่าเจี๊ยบยืนอยู่ด้านหลัง
“แล้วนี่จับใครมา”
ธงทิวมองไปที่เจิด
“ไม่ได้จับค่ะ แต่เชิญตัวมาแจ้งความด็อกเตอร์อาทิตย์ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว”
“ข่มขืนใจให้กระทำการใดๆ โดยไม่สมัครใจ” จ่าเจี๊ยบรายงานต่อ
“และพยายามมุ่งร้ายเอาชีวิต โดยส่งลูกน้องมาตามจับตัวด้วยอาวุธปืน”
“เดี๋ยวๆ ก่อน ดร.อาทิตย์ผู้เมตตามอบพลังศรัทธาสร้างชีวิตให้ผู้อื่นเนี่ยนะ จะทำกับคนแก่ๆ แบบนี้ได้ลงคอ”
“ไม่ใช่แค่ลงคอธรรมดา ลงคอห่านเลยล่ะผู้การ”
“ดร.อาทิตย์เนี่ยนะ”
“โฮ้ว ถามย้ำอยู่ได้ ก็ดร.อาทิตย์นี่แหละผู้การ เขาใช้พลังศรัทธาบังหน้า ลับหลังซ่องสุมอาวุธและลูกน้อง ไม่ต่างอะไรกับพวกมาเฟีย”
“คุณเอาหลักฐานพยานอะไรมาพูดผู้กอง”
“ก็ลุงคนนี้แหละค่ะเป็นทั้งพยานและเจ้าทุกข์”
เจิดยืนงงๆ มึนๆ เพราะตัวเองยังจำเรื่องอาทิตย์ไม่ได้ ขณะที่ปวันใส่เป็นชุด
“แล้วจ่าเจี๊ยบก็มีรูปที่แอบถ่ายไว้เป็นหลักฐานพยาน ว่าลุงคนนี้ถูกลูกน้องดร.อาทิตย์อุ้มตัวไปกักขังไว้ที่ออฟฟิศดร.อาทิตย์ ถ้าผู้การไม่เชื่อ ก็ฟังจากปากของลุงคนนี้เล่าเองก็แล้วกันค่ะ”

ธงทิวมองเจิด เจิดมองปวันกับจ่าเจี๊ยบอย่างระแวง


จบตอนที่ 4 
กำลังโหลดความคิดเห็น