พรายพยากรณ์ ตอนที่ 3
เมื่อพิณชนิดาเปิดไพ่ออกมา เธอถึงกับประหลาดใจ พลางคิดในใจ
“ทำไมไพ่ออกมาเหมือนกับนายไข่เจียว”
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาบอกกับเปรมสุดา
“ ผู้ชายที่คุณกำลังตามหา กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ดวงเค้ายังไม่ถึงฆาต เพราะมีนารีอุปถัมน์”
ปณิตายิ้มดีใจ “ต้องเป็นลูกแม่แน่ๆ”
เปรมสุดารีบซักต่อ “แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน ?”
“ไพ่บอกว่า ไกลสุดขอบฟ้า แต่ใกล้แค่เอื้อมมือถึง”
สองแม่-ลูก หันมามองหน้ากันแบบงงๆ
“เอาให้ชัดๆ พูดง่ายๆ แปลว่าอะไร?”
“พูดเลยว่า เค้าอยู่ใกล้”
เปรมสุดาชักหงุดหงิด “อยู่ใกล้ แล้วอยู่ตรงไหน? บอกสถานที่มาด้วยสิ “
“บอกไม่ได้ค่ะ ไพ่บอกได้แค่นี้”
ปณิตานั่งคิด ก่อนจะถามขึ้นมา “หมอดูรูปได้ด้วยรึเปล่า ?”
“ถ้ามีรูปก็ยิ่งดีค่ะ จะทำให้เห็นชัดมากขึ้น”
จากนั้นปริตาก็บอกให้เปรมสุดาเปิดหารูปภูมินทร์จากมือถือ
“น้องเป็นเจ้าของรถคันนี้เหรอ ?”
ยอดกับฉัตรเดินตรงรี่เข้ามาถามหนึ่ง ที่มองตอบอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“ ถามทำไม?”
“พี่สนใจอยากซื้อ”
หนึ่งรีบบอก “ไม่ขาย”
แต่ภูมินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พุดแทรกขึ้นมา “ผมขาย”
หนึ่งหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ “พี่พิณเป็นเจ้าของรถนะไม่ใช่พี่”
“ อ้าว? นี่น้องไม่ใช่เจ้าของ?”
ยอดมองจ้องหน้าหนึ่งจนฝ่ายถูกจ้องอึดอัด
เปรมสุดาที่กำลังหารูปภูมินทร์ในมือถือ ร้องเสียงหลง หน้าตาตื่น
“แย่แล้ว มือถือสุดาแฮ้งค์ ดับไปเลย จะเปิดก็เปิดไม่ได้”
ปณิตาส่ายหน้า “โธ่เรื่องแค่นี้เอง แล้วไม่มีรูปเก็บไว้ที่อื่นเหรอ ?”
“ไม่มีค่ะ”
พิณชนิดารีบบอก “ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้เจอรูปเมื่อไหร่ ก็ไลน์มาให้ฉันแล้วกัน”
เปรมสุดากับปณิตาพยักหน้า แล้วจู่ๆ ปณิตาก็นึกขึ้นมาได้
“เอ้อ ฉันอยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นเนื้อคู่ลูกสาวฉันรึเปล่า ?”
“เลือกไพ่มาหนึ่งใบค่ะ”
เปรมสุดายิ้มกรุ้มกริ่ม พลางหยิบไพ่ยื่นให้ พิณชนิดารับมาเปิดออกดู ก่อนจะเงยหน้ามอง
เปรมสุดา
“หมอพิณพูดเลยว่า “ไม่ใช่”...”
ปณิตากับเปรมสุดาหน้าเหวอ
พอแสงโชติมาถึงอู่ ก็รีบเดินรี่เข้ามาหายอดและฉัตรที่ยืนคอยอยู่หน้าอู่
“เจ้าของรถเต่าอยู่ไหน ?”
“พวกมันไม่ใช่เจ้าของรถครับ”
แสงโชติถึงกับชะงัก “แล้วจำหน้าพวกมันได้รึเปล่า?”
“ผมแอบถ่ายรูปมันไว้”
ยอดพูดพลางรีบเอามือถือยื่นให้แสงโชติดู ที่หน้าจอเห็นเป็นรูปหนึ่งยืนคุย ด้านหลังเห็นภูมินทร์ยืนอยู่ห่างๆ ทว่าเห็นหน้าไม่ชัด
“เอายังไงต่อครับ? จะให้ผมตามไอ้เด็กนี่ไปรึเปล่า?”
แสงโชติขมวดคิ้วครุ่นคิด
“อะไรนะ ปู่ผมมาหาคุณ?”
อรรถพรถามย้ำด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อ ได้ฟังเรื่องราวจากภิชาสินี ที่มาหาเขาถึงโรงพัก
“นี่คุณเมายา หรือว่าไม่มีอะไรทำรึไง ถึงได้มาหาเรื่องก่อกวนผม”
“ฉันไม่ได้กวน ฉันพูดเรื่องจริง” ภิชาสินีrพูดจริงจัง
“ปู่ผมเสียไปแล้ว จะมาหาคุณได้ยังไง? อย่ามาแกล้งกันไร้สาระแบบนี้”
พูดพลางจะเดินหนี แต่ภิชาสินีรีบเข้าไปขวางเอาไว้
“ฉันไม่ได้แกล้งคุณ ลองคิดดูสิ ฉันจะอยากยุ่งกับตำรวจที่หาเรื่องจับฉันเข้าคุกทำไม?”
อรรถพรฉุกคิดตาม “ถ้างั้นคุณมีอะไรพิสูจน์ว่าปู่ผมมาหาคุณ?”
ภิชาสินีหันมองหน้าไปมองปู่ ที่ยืนอย่าข้างๆ สบตากันสักครู่ ก่อนจะหันมาบอกอรรถพร
“ตอนเด็กๆ คุณมีฉายาว่าไอ้หัวโต”
อรรถพรทำหน้าเซ็ง “เรื่องนี้เพื่อนผมก็รู้”
ภิชาสินีหันมองปู่อีกรอบ ก่อนจะหันมาบอก
“ตอนเด็กๆ คุณเป็นคนขี้โรค อยู่โรงพยาบาลมากกว่าอยู่ที่บ้าน ปู่คุณเป็นห่วงคุณมาก ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ปู่คุณชอบทำปลาตะเพียนจากใบลานไปให้คุณเล่น”
อรรถพรอึ้ง ชะงัก ตั้งใจฟัง ภิชาสินีหันมองหน้าปู่อีกครั้ง
“คุณเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งปู่คุณไปบนกับพระประธานที่วัด จู่ ๆ คุณก็หาย และไม่ป่วยอีก ปู่คุณจึงแก้บน ด้วยการบวช 1 เดือน คุณเลยตามไปอยู่กับคุณปู่ที่วัด”
อรรถพรอ้าปากค้าง ภิชาสินีปล่อยหมัดเด็ดสุดท้าย
“คุณอยากเป็นตำรวจ เพราะบ้านคุณเคยโดนโจรปล้น แม่คุณถูกโจรแทงเกือบตาย”
อรรถพรรีบโบกมือห้าม “หยุด หยุดได้แล้ว”
ภิชาสินียิ้ม “ทีนี้ คุณจะเชื่อฉันได้รึยัง? ฉันเห็นปู่ของคุณจริง ๆ”
แพนเค้กนั่งทายาหม่องตามแขนที่ปวดเมื่อยอยู่ ส่วนขวัญทิพย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ ไล่ไปทีละหน้า จนกำลังจะพลิกไปด้านหลัง ที่มีรูปภูมินทร์ ที่ชุดสูทอยู่ในกรอบประกาศหาคนหาย แต่พิณชนิดาเดินเข้ามาขัดจังหวะ ขวัญทิพย์รีบพับหนังสือพิมพ์วาง แล้วหยิบขนม พุ่งไปหา
“ฝากให้น้องปิ่นเพชรด้วยนะจ๊ะน้องพิณ งวดล่าสุดพี่ถูกหวย ได้มาสามหมื่น”
พิณชนิดาชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนที่จะรีบเดินกลับไปที่ห้อง แล้วเปิดฉากต่อว่าปิ่นเพชร
“พี่บอกตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าห้ามให้หวย”
ปิ่นเพชรทำหน้าจ๋อยๆ แต่ไม่วายเถียง “เค้าไม่ได้ให้ เค้าแค่ใบ้ พี่ขวัญดันตีเลขถูก”
“จะใบ้หรือจะให้ ก็ห้ามทั้งนั้น วิธีนี้มันทำให้คนงมงาย ไม่สนใจทำมาหากิน หวังแต่จะรวยทางลัด”
พูดพลางกวาดสายตามองหา “นายไข่เจียวยังไม่กลับอีกเหรอ?”
แพนเค้กทำน้ำผลไม้หก อารามขี้เกียจควานหาทิชชู่ เลยคว้าหนังสือพิมพ์ที่มีหน้าภูมินทร์มาเช็ดพื้นแทน พลางบ่นอุบอิบๆไปตามเรื่อง
“ถ้าเมียมาเห็น มีหวังบ่นหูดับ”
บ่นไปบ่นมา ก็ชะงัก เมื่อเห็นรูปภูมินทร์ ในกรอบประกาศคนหาย
“ไอ้นี่ หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
จังหวะนั้นภูมินทร์ ก็เดินนำหน้าหนึ่งเข้ามาพอดี แพนเค้กเงยหน้ามองตามภูมินทร์ แล้วเปรียบกับรูปในหนังสือพิมพ์
“เหมือนมาก ตกลงใช่รึเปล่าวะ?”
แต่จู่ๆ ก็มีมือมากระชากหนังสือพิมพ์ ทำให้รูปภูมินทร์ขาดครึ่ง แพนเค้กจะหันไปด่า แต่พอเห็นว่าเป็นศรีภรรยาก็รีบหุบปาก
ภูมินทร์กับหนึ่งเดินตามกันมาจนถึงห้องของพิณชนิดา พร้อมๆ กับที่เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาพอดี
“เรียบร้อยมั้ย ?”
หนึ่งรีบบอก “เรียบร้อยครับ”
แต่พอหนึ่งอ้าปากจะชวนพิณชนิดาไปดูหนัง ภูมินทร์ก็ปิดประตูใส่หน้า เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจแบบเซ็งๆ
ภูมินทร์พูดอ้อนให้พิณชนิดาทำอาหารให้ แต่อีกฝ่ายกลับบอกให้เขาทำเอง แล้วทำท่าจะเดินหนี ภูมินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินตาม
“ทำเองก็ได้ แต่เธอต้องสอนฉันก่อน ไม่งั้นฉันจะทำถูกได้ยังไง?”
พิณชนิดาต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมกับอธิบายวิธีการทำให้ฟังอย่างละเอียด ภูมินทร์ยิ้ม พลาง มองชามบะหมี่ที่มีฝาครอบเรียบร้อย
“ขอบใจนะ ที่ทำให้กิน”
จากนั้นยกชามบะหมี่ออกไปหน้าตาเฉย พิณชนิดาเจ็บใจที่เสียรู้
อรรถพรเดินเข้ามาในห้องทำงาน ภิชาสินีเดินตามมาติด ๆ
“ไม่ไป เป็นตายยังไงผมก็ไม่กลับไปที่นั่น”
“ถ้าคุณไม่กลับไป ปู่คุณก็จะไม่ยอมไปเกิด”
อรรถพรส่ายหน้า
“แต่ผมไม่อยากกลับไปที่ที่ปู่ผมตาย เพราะมันยิ่งตอกย้ำ ว่าผมทำเลวอะไรกับปู่ไว้บ้าง”
วิญญาณปู่มองอรรถพรอย่างสงสาร ภิชาสินีเหลือบตามอง
“เพราะแบบนี้ คุณถึงต้องไป คุณต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณจะทำให้ปู่ของคุณได้”
อรรถพรเงยหน้ามองภิชาสินี
“คุณไปกับผมได้มั้ย?”
ขณะที่ภูมินทร์นั่งกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้
“มีคนมาขอซื้อรถเธอที่อู่ ฉันเลยตัดสินใจขาย”
พิณชนิดาตกใจ
“ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ นายมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน บอกแล้วไงนั่นมันรถของพ่อฉัน ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว”
พูดพลางรีบเข้าไปจะดึงชาม ภูมินทร์รีบยื้อเอาไว้
“ก่อนจะโวยวาย ฟังให้จบก่อนสิ สุดท้ายแล้วฉันไม่ได้ขาย”
พิณชนิดาถอนหายใจโล่งอก แต่ไม่วายสงสัย
“ใครอยากซื้อรถฉัน?”
“ไม่รู้ ไม่ได้ถามชื่อ”
ภูมินทร์ตอบเสร็จ ก็ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อ
ระหว่างที่อยู่ในรถด้วยกันเพื่อจะไปยังที่ที่ปู่ของเขาเสียชีวิต อรรถพร ก็ตัดสินใจเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาให้ภิชาสินีฟัง
“ผมเป็นเด็กบ้านแตก พ่อกับแม่แยกทางกัน ต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัวใหม่ ปู่สงสารเลยเอาผมไปเลี้ยง ผมจึงโตมากับปู่ เราผูกพันกันมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง..”
อรรถพรนึกถึงตอนที่เขาในวัย 18 ปีโวยวายใส่หน้าปู่
“ผมอุตส่าห์ตั้งใจเรียนจนสอบได้ที่หนึ่ง แค่มอเตอร์ไซค์ทำไมปู่ถึงซื้อให้ผมไม่ได้ เงินปู่ก็มี”
“ขี่มอเตอร์ไซค์มันอันตราย แกขออย่างอื่นเถอะ”
“ไม่เอา ผมจะเอามอเตอร์ไซค์ เพื่อนผมก็ขี่กันเยอะแยะ ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร”
ปู่ยืนยัน “เป็นตายยังไง ปู่ก็ไม่มีทางซื้อให้”
“ปู่ไม่ซื้อ ผมเก็บตังค์ซื้อเองก็ได้”
“ซื้อเองก็ไม่ได้” ปู่ยื่นคำขาด “เอาเวลาไปตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่มัวแต่
หมกหมุ่นอยู่กับมอเตอร์ไซค์”
“ปู่ไม่เคยเข้าใจผมเลย ปู่ก็เหมือนพ่อกับแม่ ที่คิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกผม ว่าผมอยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ผมเกลียดพ่อแม่ ผมเกลียดทุกคน ผมเกลียดปู่”
อรรถพรวิ่งออกไปทั้งน้ำตา ปู่จะห้ามแต่ไม่ทัน ได้แต่มองตามด้วยแววตาเศร้า
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
อรรถพรเดินไปตามทางแคบ ๆ ของตลาดแถวชานเมือง กับภิชาสินี พลางพูดต่ออย่างงสำนึกผิด
“ผมโกรธปู่มาก หนีไปอยู่บ้านเพื่อนเป็นอาทิตย์ กลับมาอีกที ปู่ผมก็จากไปแล้ว”
“ท่านเป็นอะไรเสียคะ?”
“ปอดติดเชื้อ แล้วเชื้อลามเข้ากระแสเลือด คนแถวบ้านเล่าให้ฟังว่า ปู่มายืนคอยผมที่หน้าบ้านทุกวัน ช่วงนั้นเป็นหน้าฝน ปู่เริ่มจากปอดบวม แล้วไม่ยอมไปรักษา เพราะกลัวผมกลับบ้านแล้วไม่เจอ จนในที่สุด..”
อรรถพรเสียงสั่น ภิชาสินีมองอย่างเห็นใจ
ทั้งคู่เดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ภิชาสินีมองตาม เห็นปู่ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ปู่คุณรออยู่”
อรรถพรน้ำตาซึม แต่ก็จำต้องเดินเข้าบ้านไป
“ตั้งแต่ปู่ผมเสีย ผมไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย”
พูดพลางหันมองรูปปู่ที่ผนัง แล้วหยิบออกมามอง สีหน้าเศร้า ภิชาสินีมองอย่างสงสาร
“ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้ปู่ต้องตาย ปู่คงเกลียดผมมาก ที่ปู่ให้ผมมาที่นี่ เพื่อจะด่าผมใช่มั้ย ?”
ภิชาสินีเงยหน้ามอง เห็นปู่มองอรรถพรด้วยน้ำตา
“คุณปู่ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดคุณเลย คุณปู่รักคุณมาก”
ขาดคำของภิชาสินี อรรถพรก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
“ผมขอโทษครับปู่ ผมขอโทษ ผมไม่ได้เกลียดปู่ ผมรักปู่ ผมขอโทษ”
ภิชาสินีทำอะไรไม่ถูก ปู่ส่งสายตาว่าให้เข้าไปลูบหลังปลอบ
“ท่านรู้ค่ะ ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจพูด ตอนนั้นคุณยังเด็ก ท่านขอร้องให้คุณเลิกโทษตัวเอง ยิ่งคุณเป็นทุกข์ ท่านก็ทุกข์ เป็นห่วงคุณ ไปเกิดไม่ได้เสียที”
อรรถพรพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ที่ท่านให้คุณมาที่นี่เพราะมีบางอย่าง ที่ท่านอยากจะมอบให้”
อรรถพรกับภิชาสินียืนมองหีบไม้โบราณใบหนึ่ง เธอหันไปมองปู่ แล้วรีบหันมาบอก
“ลูกกุญแจอยู่ใต้หีบค่ะ”
อรรถพรดันหีบขึ้น พลางหยิบกุญแจมาไขหีบ พอหับเปิดออกมา ก็เห็นเป็นสมุดบัญชีธนาคารอยู่ข้างใน เขารีบหยิบออกมา เปิดดู
“คุณปู่เก็บเงินไว้ให้คุณ ท่านหวังว่า คุณจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ท่านย้ำว่า อย่าเอาไปซื้อมอเตอร์ไซค์ น้องชายท่านเสียเพราะขี่มอเตอร์ไซค์”
อรรถพรหน้าเศร้า
“มิน่าปู่ถึงกลัว ไม่ยอมให้ผมซื้อมอเตอร์ไซค์ โธ่ ปู่ ผมขอโทษ”
ภิชาสินีหันมองปู่อีกครั้ง
“สิ่งสุดท้าย ท่านขอให้คุณ จงให้อภัยตัวเอง ปล่อยอดีตให้ผ่านไป ท่านถึงจะจากไปอย่า
สบายใจ”
อรรถพรพยักหน้า “ผมสัญญาครับปู่ ผมจะไม่เจ็บปวดกับอดีตอีก ผมจะมีชีวิตอย่างมีความสุข”
วิญญาณของปู่ยิ้มอย่างสบายใจ ก่อนจะสลายกลายเป็นควันสีทอง ลอยละล่องออกจากหน้าต่าง ขึ้นสู่ท้องฟ้า ภิชาสินีมองตาม
“ปู่ผมว่ายังไงบ้างครับ?”
“ท่านไปดีแล้วค่ะ”
พลางชี้มือไปที่หน้าต่าง อรรถพรรีบวิ่งมาที่หน้าต่าง แล้วตะโกนตาม
“ชาติหน้า เราเกิดมาเป็นปู่เป็นหลานกันอีกนะครับ ผมรักปู่”
อรรถพรมองขึ้นฟ้า ภิชาสินีเดินมายืนเคียง สายลมพัดโบกโบย ใบไม้ปลิวไหวในสายลม พร้อมกับบาดแผลในหัวใจของเขาที่สลายไปจนหมดสิ้น
“ตกลงที่คุณคุยคนเดียวบ่อย ๆ คือคุยกับผี”
อรรถพรอดไม่ได้ที่จะถาม ขณะที่ทั้งคู่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้ายข้างทางด้วยกัน ภิชาสินีพยัหน้าหงึกแทนคำตอบ
“ไม่กลัวเหรอ?”
“แรก ๆ ก็กลัว แต่มันเห็นจนชิน ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ยกเว้นมาสภาพเละจริง ๆ”
“คุณเริ่มเห็นผีตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” อรรถรถามอย่างสนใจ
“ฉันเริ่มเห็นตั้งแต่ 5 ขวบ หลังจากประสบอุบัติเหตุ”
“เห็นหมดรึเปล่า? แบบหันไปทางไหนก็เห็น เหมือนอย่างในหนัง”
ภิชาสินีส่ายหน้านิดๆ
“เปล่า เห็นเฉพาะบางวิญญาณ ที่มีคลื่นตรงกัน ขืนเห็นหมด ฉันก็อึดอัดตายพอดี”
“แล้วพี่สาวคุณรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
ภิชาสินีถอนหายใจ “ไม่มีใครรู้ ฉันเคยบอกตอนเด็ก ๆ แต่ถูกจับส่งโรงพยาบาลประสาท เลยไม่กล้าบอกใคร กลัวโดนหาว่าบ้า”
อรรถพรพยักหน้าเข้าใจ แล้วนึกได้ “แถวนี้มีผีรึเปล่า?”
ภิชาสินีหันมองไปรอบ ๆ แล้วแกล้งล้อว่าเกาะหลังเขาอยู่ อรรถรร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ฉันล้อเล่น ท่าทางคุณจะกลัวผีมาก”
“มากที่สุดในชีวิต ต่อไปถ้าคุณเห็นผีอีก ห้ามบอกผมเด็ดขาด”
อรรถพรพูดอย่างจริงจัง แต่ภิชาสินียิ้มขำ
หนังสือพิมพ์ที่มีรูปภูมินทร์ในคอลัมน์ประกาศคนหายถูกทิ้งอยู่ที่พื้น พิณชนิดากำลังกวาดห้อง
ใกล้หนังสือพิมพ์เข้ามาเรื่อย ๆ จังหวะนั้นภูมินทร์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ไม่ทันดู จึงเดินเตะหนังสือพิมพ์กระเด็นไป พลางเดินไปนั่งที่โซฟา พิณชนิดามองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินไปเก็บหนังสือพิมพ์จะใส่ถังขยะ แล้วก็ต้องชะงัก
“เฮ้ย!”
ภูมินทร์พลอยตกใจไปด้วย “หนังสือพิมพ์มีอะไร ทำไมตกใจขนาดนั้น?”
“มีคูปองลดชุดชั้นใน 30% ต้องรีบตัด ๆ”
ภูมินทร์ส่ายหน้า พิณชนิดารีบเอากรรไกรมาตัดคูปอง พลางไล่ดูหนังสือพิมพ์ไปเรื่อย ๆ จู่ๆ วิญญาณของพ่อ แม่ ป้า ก็ปรากฏตัวขึ้น
“หลอกขนาดนั้น มันยังไม่ยอมไป”
ปราชญ์เปรยอย่างหงุดหงิด กานต์กมลอดคิดไม่ได้
“หรือเค้าจะเป็นเนื้อคู่ลูกของเราจริง ๆ”
พ่อกับป้ารีบพูดพร้อมกันว่าไม่มีทาง พลางมองจ้องภูมินทร์อย่างเอาเรื่อง
ขณะที่พิณชนิดาพลิกหนังสือพิมพ์เปิดไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะเปิดด้านหลังซึ่งเป็นรูปหน้าของภูมินทร์ คนในรูปก็เอารีโมท กดเปิดทีวี เป็นรายการเม้าท์ข่าวดารา พิณชนิดาจึงเงยหน้าดูอย่างสนใจ ขณะเดียวกันมือก็พับหนังสือพิมพ์ เอาไปใส่ถังขยะ
ภูมินทร์กดรีโมทไปเรื่อย ๆ จนถึงข่าววิเคราะห์ค่าเงิน จุ่ๆ เขาก็เกิดปวดท้อง จนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
วิญญาณของพ่อ แม่ ป้า มองจ้องไปที่ทีวี ขณะที่ในจอกำลังรายงานข่าว
“ค่าเงินบาทวันนี้ ขยับขึ้นลงในวงแคบ ๆ มากันที่ ดัชนีหุ้นกันบ้างนะครับ ตอนนี้หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังร่วงดิ่ง เหตุเพราะนายภูมินทร์ ประธานใหญ่ ได้หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย”
หน้าจอปรากฏเป็นภาพภูมินทร์ขนาดใหญ่ ชัดเจนมาก พร้อมเสียงรายงานข่าว
“แม้จะประกาศหาตัว แต่ยังไร้เบาะแส หลายฝ่ายคาดว่า นายภูมินทร์ นักธุรกิจหมื่นล้านน่าจะปลอดภัย หากผู้ใดพบเห็นชายในภาพ กรุณาแจ้งเบอร์ที่ขึ้นด้านล่างนี้”
พิณชนิดาเห็นภาพในจอก็อ้าปากค้าง วิญญาณพ่อ แม่ ป้า ต่างก็ช็อกไม่แพ้กัน
พิณชนิดาเดินวนไปวนมา สีหน้าครุ่นคิด ปิ่นเพชรนั่งมองตาปริบๆ
“ไม่อยากจะเชื่อ นายไข่เจียวเนี่ยนะ เศรษฐีหมื่นล้าน”
“อย่ามัวตกใจเลยพี่พิณ รีบโทรให้ญาติมารับไปเถอะ พวกเราจะได้อยู่กันอย่างสุขสบายไม่มีนายไข่เจียวกวนใจ”
พิณชนิดายิ้มออก “จริงด้วย ต้องรีบโทร.”
พูดพลางรีบหยิบมือถือมากดตามเบอร์ที่จดไว้ในกระดาษ
มือถือสัญชัยดังขึ้นมา ในขณะที่แสงโชติกำลังนั่งดูทีวีอย่างสบายใจ
“คุณพ่อลืมมือถือไว้”
จากนั้นเขาก็ดินไปรับสายแทน
“สวัสดีครับ”
“ฉันจะแจ้งเบาะแสเรื่องนายไข่เจียว เอ๊ย นายภูมินทร์ค่ะ”
แสงโชติสะดุดกึก “ภูมินทร์ อยู่ที่ไหนครับ?”
ภูมินทร์หลับสนิทบนโซฟา พิณชนิดากับภิชาสินีเดินเข้ามาเห็น ก็กระซิบคุยกัน
“เพราะเป็นคุณหนู มีเงิน ถึงได้นิสัยเสีย เย่อหยิ่ง เรื่องมาก จองหอง”
ภิชาสินีพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะรีบถามต่อ
“พี่โทรแจ้งครอบครัวเค้ารึยัง?”
“เรียบร้อย พรุ่งนี้จะมารับกลับไป”
สองพี่-น้องยิ้มดีใจ ก่อนจะหันมองภูมินทร์ที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวบนโซฟา
พิณชนิดาพลิกข้อดูดูนาฬิกา พลางชะเง้อมองไปที่หน้าประตูอย่างกระสับกระส่าย
“เมื่อไหร่จะมาสักที?”
จังหวะนั้นภูมินทร์เดินออกจากห้องน้ำมาพอดี พิณชนิดาหันมองแล้วนึกได้
“ไปคอยหน้าอพาร์ตเม้นต์ดีกว่า มาแล้วจะได้รีบรับขึ้นรถไปเลย”
“ครอบครับฉันกำลังมารับ? ”
ภูมินทร์ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี เมื่อพิณชนิดาเล่าเรื่องให้ฟัง ขณะที่พากันมายืนรอที่ด้านหน้า“ครอบครัวฉันเป็นใคร? บ้านอยู่ที่ไหน? รวยใช่มั้ย?”
พิณชนิดาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องถามมาก มาถึงก็รู้เอง”
“แล้วเธอติดต่อครอบครัวฉันได้ยังไง?” ภูมินทร์ไม่วายสงสัย
“เห็นข่าวในทีวีเมื่อคืน”
“ถึงขั้นออกข่าวเลยเหรอ? นี่แสดงว่าฉันต้องเป็นคนสำคัญ มีเงินมากแน่ ๆ ฉันจะได้ไปอยู่สุขสบาย ไม่ต้องทนอุดอู้ อยู่กับคนไร้รสนิยมอย่างเธออีก”
พิณชนิดามองค้อน ภูมินทร์ยิ้มอย่างมีความหวัง ส่วนปิ่นเพชรที่นึกไม่พอใจที่ภูมินทร์พูดจาดูถูกพิณชนิดา ก็แอบคลานเข้าไปในถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าของภูมินทร์ที่พิณชนิดาถืออยู่
ครู่หนึ่งก็มีรถแล่นเข้ามาจอด ก่อนที่ชายชุดดำ 2 คน จะเดินลงมา พิณชนิดายิ้มต้อนรับ
“พวกเรามารับคุณภูมินทร์ครับ”
“เชิญค่ะ โชคดีนะ”
ชาย 2 คนจับแขนพาภูมินทร์ไปขึ้นรถ พิณชนิดารีบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป 2 คน หันขวับมามองด้วยความไม่พอใจ เพราะกลัวว่าจะมีหลักฐานว่าพวกเขาอุ้มภูมินทร์ไปฆ่า
“ถ่ายไม่ได้”
หนึ่งในนั้นรีบเข้ามาจะแย่งมือถือ แต่พิณชนิดาไม่ยอม ภูมินทร์เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปห้าม
“แค่ถ่ายรูป ทำไมต้องโวยวาย”
ขาดคำภูมินทร์ก็ถูกผลักกระเด็น ก่อนที่พวกมันจะเข้าไปล็อกคอพิณชนิดา แล้วพยายามแย่งมือถือ
“พวกแกเป็นใคร ทำไมทำแบบนี้?”
ภูมินทร์เริ่มแปลกใจ พิณชนิดาเตะเข้าหน้าแข้งคนที่ล็อกตัวเธอไว้ จนมันรีบปล่อย เธอตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่กลับถูกมันจิกผมเอาไว้ จนเธอเผลอทำมือถือร่วง ปิ่นเพชรกระโดดขึ้นมากัดมือ จนมันต้องปล่อยมือที่จิกผมพิณชนิดาไว้
ส่วนภูมินทร์ก็ฉวยโอกาสศอกเข้าท้องอีกคน ก่อนจะถีบจนมันล้มลงไป แล้วก็รีบจับมือพิณชนิดา
วิ่งไปอีกด้าน มันทั้งคู่รีบวิ่งตามไปทันที
พวกมันวิ่งไล่ตามมาจนทัน พลางชักปืนขึ้นมาขู่
“หยุด ถ้าไม่อยากตาย ไปกับฉันซะดี ๆ ถ้าไม่อยากให้นังนี่สมองกระจาย”
ภูมินทร์จ้องหน้าพวกมันอย่างเอาเรื่อง
“ใครส่งพวกแกมา?”
“ไม่ต้องถามมาก บอกให้ไปก็ไป”
ภูมินทร์กับพิณชนิดามองหน้ากันว่าทำยังไงดี ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมา
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้”
พวกมันได้ยินคำว่าตำรวจ ก็ยิงสวนอรรถพรไป 1 นัด แต่เขาหลับทัน ภูมินทร์กับพิณชนิดารีบหาที่ซ่อนตัวหลบ แต่แล้วภูมินทรก็พลาดโดนหนึ่งในพวกมันยิงใส่ กระสุนถากศีรษะ จนเลือดโชก พิณชนิดากรีดร้องลั่น พลางรีบประคองภูมินทร์เอาไว้
อรรถพรรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับกดโทรศัพท์
“ขอรถพยาบาลด่วน มีคนถูกยิง”
ภูมินทร์มองหน้าพิณชนิดาที่พร่าเลือน
“นายไข่เจียว อย่าเป็นอะไรนะ นายไข่เจียว”
ขาดคำ สติสุดท้ายของภูมินทร์ก็ดับวูบ อรรถพรหันไปมองพิณชนิดาด้วยความสงสัย
“ตกลงผู้ชายคนนี้เป็นญาติคุณจริงๆ น่ะเหรอ ?”
พิณชนิดาหันไปมองอรรถพรอึ้งๆ พูดไม่ออก
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
พิณชนิดานั่งหลับเฝ้าอยู่ข้างเตียงในณงพยาบาล ไม่นานภูมินทร์ที่นอนหมดสติอยู่บนตียง ก็ค่อยๆ รู้สึกตัว พลางมองรอบๆ ห้อง พอเห็นพิณชนิดาก็แปลกใจ เอานิ้วจิ้มหัวเขี่ยๆ ปลุก อย่างรังเกียจ
“เธอ เธอ”
พิณชนิดาลืมตาตื่น เห็นภูมินทร์ฟื้นก็ดีใจ
“นายไข่เจียว นายฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวรึเปล่า นายหลับไปวันนึงเต็ม ๆ”
ภูมินทร์มองพิณชนิดาอย่างงงๆ
“เธอเป็นใคร? แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่?”
พิณชนิดาหน้าเหวอ “นี่นาย จำอะไรไม่ได้อีกแล้วเหรอ ?”
ภูมินทร์ยิ่งฟังก็ยิ่งงง พลันอรรถพรก็เดินเข้ามา
“ฟื้นแล้วเหรอครับ?”
ภูมินทร์มองหน้าอรรถพร แล้วยิ้มกวนๆ
“นั่งหัวโด่ชัด ๆ คงหลับอยู่มั้ง”
พิณชนิดารีบแก้ตัวแทน
“หมวดอรรถอย่าถือเลยนะคะ นายนี่ก็ปากแบบนี้แหละ ไม่ต้องห่วงนะ นายไม่ได้เป็นอะไรมาก หมอบอกว่ากระสุนแค่ถากไปเฉย ๆ สแกนสมองแล้ว ไม่มีอะไรกระทบกระเทือน”
ภูมินทร์ตกใจ “กระสุนถาก หมายความว่าฉันถูกยิง?”
พิณชนิดาพยักหน้า “ใช่”
“ก้องภพหายไปไหน? ทำไมปล่อยให้ผู้หญิงอย่างเธอ มาเสนอหน้าคุยกับฉัน”
พิณชนิดาขมวดคิ้ว “ผู้หญิงอย่างเธอ หมายความว่ายังไง?”
ภูมินทร์มองพิณชนิดาแบบเหยียดๆ
“ฉันไม่สนิทกับใครง่าย ๆ เราไม่รู้จักกัน ฉันไม่อยากรู้จักเธอ ออกไปได้แล้ว ก้องภพอยู่ไหน?”
พิณชนิดาหน้าเหวอ พูดอะไรไม่ออก อรรถพรต้องรีบช่วยพูด
“คุณควรให้เกียรติผู้หญิงที่ช่วยชีวิตคุณบ้างนะครับ เธอเฝ้าคุณทั้งคืน ที่มากกว่านั้น ช่วงที่คุณถูกทำร้ายจนความจำเสื่อม คุณพิณให้ที่พัก ให้อาหาร ดูแลคุณมาตลอด”
ภูมินทร์หันมองพิณชนิดาหัวจรดเท้า อย่างนึกดูถูก
“ถ้าเธอหวังดีจริง ๆ ทำไมไม่พาฉันไปส่งที่บ้าน”
“ก็นายความจำเสื่อม ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าบ้านนายอยู่ที่ไหน”
ภูมินทร์ยิ้มเยาะ
“ไม่รู้ หรือหวังรวยทางลัด ที่ดูแลฉันเอาไว้ เพื่อหาผลประโยชน์ใช่มั้ย? ท่าทางคงอยากได้สามีรวย จนตัวสั่น”
พิณชนิดาตบหน้าภูมินทร์อย่างเหลืออด
“ฉันไม่นึกเลย ว่าตัวจริงของนายจะใจต่ำได้ขนาดนี้”
ภูมินทร์หัวเราะหยัน “แทงใจดำรึไง ถึงได้โมโห”
อรรถพรมองหน้าภูมินทร์อย่างไม่พอใจ
“คุณไม่ควรพูดจาล่วงเกินคนที่มีบุญคุณกับคุณ”
“มีบุญคุณ? ได้ ฉันจะตอบแทนให้ อยากได้เท่าไหร่? เดี๋ยวเลขาฉันมา จะเซ็นเช็คให้”
พิณชนิดาสุดจะทน หยิบแก้วน้ำมาสาดหน้าใส่ภูมินทร์
“ฉันไม่อยากได้เงินของคนจิตใจสกปรก ที่ผ่านมาฉันถือว่าทำบุญให้หมาให้แมว ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย”
ขาดคำพิณชนิดาก็เดินออกไปทันที ภูมินทร์ตะโกนตาม
“ยัยป่าเถื่อน ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง? รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร ? ฉันภูมินทร์ อัครมโหฬาร เธออยากโดนฟ้องใช่มั้ย?”
อรรถพรมองภูมินทร์อย่างคิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนี้ในโลก !?
พิณชนิดาเดินทำหน้าบูดบึ้ง หงุดหงิดเข้ามาบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ ขวัญทิพย์หันไปเห็น ก็รีบเข้าไปถามด้วยความอยากรู้
“น้องพิณขา ตกลงเหตุการณ์วันนั้นมันอะไรยังไง ทำไมถึงได้มีคนมาไล่ยิงกันที่นี่?”
พิณชนิดาไม่ตอบ รีบเดินจ้ำพรวดๆ ออกไป ขวัญทิพย์นิ่วหน้าไม่เข้าใจ จังหวะนั้นแพนเค้ก ที่ปีนบันไดไปซ่อมไฟลงมา เห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะ ก็หยิบขึ้นมาอ่าน แล้วก็หน้าตื่นตกใจ
“ดูข่าวนี้สิจ๊ะเมียจ๋า”
“ไอ้คนเฮงซวย คิดว่ารวยแล้วจะดูถูกคนอื่นก็ได้รึไง น้องภิรู้มั้ย ว่าไอ้นายไข่เจียวไม่ยอมขอบคุณพี่สักคำ แถมยังเอาเงินฟาดหัวพี่อีกต่างหาก เลว”
พิณชนิดาเล่าไป ด่าไปให้น้องสาวฟัง แต่ภิชาสินีไม่ได้สนใจ มัวแต่อ่านข่าวภูมินทร์ในหนังสือพิมพ์ เห็นข้อความพาดหัวข่าว “พบตัวแล้ว ภูมินทร์ไฮโซชื่อดัง”
“เปิดประวัติภูมินทร์ อัครมโหฬาร เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้าน ทั้งห้างสรรพสินค้า คอนโด บ้านจัดสรร ติดอันดับ 20 อภิมหาเศรษฐีในเอเชีย บิดามารดาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่”
พิณชนิดาหันมามองน้องสาวอย่างหงุดหงิด
“จะอ่านทำไม? พี่ไม่อยากรู้ประวัติคนนิสัยแย่แบบนั้น”
จากนั้นก็ลุกพรวดเดินหนีเข้าห้องไป ภิชาสินียังคงเอาแต่สนใจกับประวัติของภูมินทร์ จนปิ่นเพชรต้องสะกิดบอกว่าพิณชนิดาโมโห ปึงปีงเข้าห้องไปแล้ว
พลันร่างของปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพา ก็ปรากฏขึ้นมา พ่อดูเหมือนจะดีใจที่ภูมินทร์ออกไปจากชีวิตของพิณชนิดาได้ แต่แม่กับป้าออกอาการเสียดาย แล้วทั้งสามก็โต้เถียงกันไปมา จนภิชาสินีสุดจะทน
“พอค่ะ พอ เลิกเถียงกันได้แล้ว เถียงกันทุกวัน ตั้งแต่มีชีวิต จนเป็นแบบนี้ ไม่เบื่อบ้างรึไงคะ?”
ทางด้านขวัญทิพย์เห็นข่าวว่าภูมินทร์เป็นมหาเศรษฐีก็ทำท่าเหมือนลมจะใส่
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ญาติหนูพิณ เป็นมหาเศรษฐี”
แพนเค้กรีบค้าน
“ญาติที่ไหน ผัวว่าน้องพิณน่ะโกหก เผลอกๆ น้องพิณอาจจะเป็นอีหนูที่นายภูมินทร์เลี้ยงไว้ที่นี่ คงกลัวข่าวจะรั่ว เลยโกหกว่าเป็นญาติกัน”
ขวัญทิพย์หูผึ่งขึ้นมาทันที
“เป็นไปได้ แล้วไอ้ที่เกิดเรื่องอาจจะเป็นแฟนตัวจริงคุณภูมินทร์ส่งคนมาทำร้าย”
จากนั้นสองผัว-เมียก็เม้าท์กันสนุกปาก
ฟากภูมินทร์ก็นั่งกดรีโมททีวีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างหงุดหงิดอยู่ในห้องในโรงพยาบาล ครู่ใหญ่ก้องภพก็เปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
“คุณภูเป็นยังไงบ้างครับ?”
ภูมินทร์ตวาดกลับ “ทำไมมาช้า ฉันรอตั้ง 20 นาที”
“ 20 นาที ถือว่าเร็วมากนะครับ สำหรับระยะทางในกรุงเทพ ช่วงรถติด”
พูดพลางยื่นถุงเสื้อผ้าให้ แล้วจะอ้าปากถาม ภูมินทร์รับมา แล้วรีบห้าม
“อย่าเพิ่งถาม ไปคุยกับตำรวจให้ฉันก่อน”
“คุณภูมินทร์บอกว่า ไม่แจ้งความ ไม่เอาเรื่อง ไม่อยากตกเป็นข่าว เกรงว่าจะส่งผลกับหุ้นของบริษัท”
อรรถพรมองหน้าก้องภพอย่างประหลาดใจ
“ถูกยิงเกือบตาย แต่บอกไม่เอาเรื่อง เพราะแค่ห่วงเรื่องหุ้นเนี่ยนะ?”
“ครับ คุณภูต้องการให้ทางตำรวจ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย”
พูดจบก้องภพก็เดินออกไป อรรถพรมองตามอย่างอึ้งๆ
ก้องภพขับรถออกมาจากโรงพยาบาล โดยมีภูมินทร์นั่งหน้าบูดอยู่ที่เบาะหลัง
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงครับ ทำไมคุณภูถึงมาอยู่โรงพยาบาล แล้วที่ผ่านมาคุณภูหายไปไหน? อยู่กับใคร?”
ภูมินทร์นิ่งไม่ตอบ แล้วนึกย้อนไปตอนที่โดนพิณชนิดาเอาน้ำสาด ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“ฉันอยู่กับผู้หญิงบ้าๆ คนนึง”
ก้องภพได้ฟัง ก็ทำหน้างง
“ทุกคนเป็นห่วงคุณภูมากนะครับ แล้วที่ตำรวจบอกว่าคุณภูถูกยิง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
“เรื่องมันยาว เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง”
ภูมินทร์เดินลงจากรถจะเดินเข้าบ้าน ขณะที่ทุกคนยืนรอต้อนรับ เขาขยับตัวจะเดินไปหาแม่
นมนวล แต่เปรมสุดากับปณิตาถลาเข้ามาดักหน้า
“น้าไหว้พระอธิษฐานทุกวันขอให้ภูปลอดภัย”
“สุดาเป็นห่วงแทบแย่ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ”
เปรมสุดาจะโผเข้าไปกอด แต่อีกฝ่ายกลับเดินผ่านไปกอดแม่นมนวล
“คุณภูของนม เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
ภูมินทร์พูดพลางสวมกอดแม่นมด้วยความคิดถึง จังหวะเดียวกับที่สัญชัยกับแสงโชติเดินออกมา
“หายไปไหนมาตั้งหลายวัน? มันเกิดอะไรขึ้น? จริงรึเปล่าที่ก้องภพบอกว่าหลานถูกยิง แจ้งความ
รึยัง? อาจะช่วยหาคนบงการมาลงโทษให้เร็วที่สุด”
สัญชัยถามอย่างเป็นห่วง ตรงข้ามกับแสงโชติที่มองอย่างเสียดายที่ภูมินทร์ไม่ตาย
ภูมินทร์หันผละจากแม่นม หันมาตอบด้วยเสียงห้วนๆ
“ขอตัวก่อนนะครับ มีธุระต้องไปทำ เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะนม ภูขอไปจัดการธุระก่อน ไป”
จากนั้นก็เดินนำก้องภพเข้าบ้านไป แสงโชติมองตามด้วยความโมโห
“เห็นหัวคนอื่นบ้างรึเปล่า? พ่ออุตส่าห์เสนอตัวช่วยมันแท้ๆ”
สัญชัยจับแขนลูกชาย พลางส่งสายตาเป็นเชิงปราม แสงโชติมองพ่ออย่างหงุดหงิด
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
เปรมสุดากับปณิตาเดินผละออกมากที่รถ ผู้เป็นแม่หันมาบอกลูกสาวเป็นเชิงแนะนำแกมสั่งให้รีบรวบหัวรวบหางกับภูมินทร์ห้เร็วที่สุด
“รวบยังไง แม่ก็เห็นว่าภูไม่เคยเห็นสุดาอยู่ในสายตา”
“เพราะแบบนี้ ฉันถึงได้บอกให้แกรีบคิดรีบหาทาง ถ้าแกไม่ได้ตาภูเป็นผัว มีหวังพวกเราได้นอนข้างถนน”
เปรมสุดาได้ฟัง ก็ถอนหายใจเครียด
ภูมินทร์เดินเข้ามาในห้อง มีก้องภพเดินตามมาติดๆ สิรวิทย์ที่ยืนรออยู่ รีบเข้าไปจับไหล่เพื่อนด้วยความดีใจ
“ฉันดีใจจริง ๆ ที่แกกลับมาอย่างปลอดภัย”
ภูมินทร์ยิ้มตอบ “ไม่ต้องซึ้ง ที่เรียกแกมา เพราะมีเรื่องสำคัญอยากให้ช่วย แกกับก้องต้องช่วยกันสืบ ว่าใครตามฆ่าฉัน”
สิรวิทย์ตกใจ “หมายความว่าที่แกหายตัวไป เพราะโดนทำร้าย?”
“ใช่”
ก้องภพมองหน้าภูมินทร์อย่างไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมเมื่อกี๊คุณภูไม่แจ้งความครับ ตำรวจจะได้ช่วยเราอีกแรง”
ภูมินทร์ส่ายหน้า
“ขืนแจ้งความก็เป็นข่าวใหญ่ ไอ้ตัวบงการได้ไหวตัวทัน ฉันอยากสืบเงียบๆ มากกว่า เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ รู้แค่พวกเราเท่านั้น”
สิรวิทย์กับก้องภพมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมามองภูมินทร์ ที่มองตอบด้วยสีหน้าเอาจริง
ทางด้านอรรถพรก็กำลังนั่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดจากคอมพิวเตอร์ แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเพราะมองไม่เห็นหน้าคนร้าย ขณะที่กล้องที่อพาร์ตเม้นต์ก็เสีย เขาส่ายหน้าอย่างขัดใจ
จากนั้นเขาก็กลับไปดักรอภิชาสินี ที่หน้าอพาร์ตเม้นท์ พออีกฝ่ายเดินเข้ามา ก็รีบปราดเข้าไปถามทันที
“พี่สาวคุณเล่าเหตุการณ์วันที่ถูกไล่ยิงให้คุณฟังบ้างรึเปล่า?”
ภิชาสินีส่ายหน้า
“ไม่ ตอนนี้ก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ท่าทางจะโกรธนายภูมินทร์มาก”
“ก็น่าอยู่หรอก พี่คุณเฝ้าคุณภูมินทร์จนถึงเช้า แต่พอตื่นขึ้นมา นอกจากไม่ขอบคุณ ยังพูดจาไม่ให้เกียรติพี่สาวคุณเลยสักนิด”
ภิชาสินีเบ้หน้า “ไม่น่าช่วยเอาไว้เลย แล้วที่คุณตามฉันมา มีเรื่องอะไร?”
“คุณช่วยถามให้หน่อยสิ ว่ามีใครเห็นหน้าคนร้ายบ้าง?”
“วันนั้นไม่มีคนอยู่อพาร์ตเม้นต์เลยไม่ใช่เหรอ?”
อรรถพรมองซ้ายมองขวา
“ผมไม่ได้หมายถึงคน .ผมหมายถึง เอ่อ ...”
“ผี ?”
อรรถพรพยักหน้า
“ใช่ เผื่อจะมีวิญญาณแถวนั้นเห็นหน้าคนร้ายบ้าง”
“ฉันไม่ใช่คนเรียกผี จะได้เห็นผีทุกตัว เอาเป็นว่า ถ้าติดต่อผีแถวนั้นได้ จะลองถามให้”
อรรถพรยิ้มดีใจ
ภิชาสินีเดินเข้าห้องมา ขณะที่พิณชนิดายังคงกิน กิน กินไม่หยุด วิญญาณของพ่อ แม่ ป้า มองอย่างเป็นห่วง
จู่ๆ กานต์กมลก็พูดขึ้นมา “แม่คุ้น ๆ ว่าพิณเคยมีอาการแบบนี้ตอนเด็กๆ”
พัณทิพารีบหันมาถาม “แล้วทำยังไงถึงหาย?”
“กานต์รู้แล้วค่ะ ว่าจะทำยังไง”
ภิชาสินีเดินมาใกล้ๆ แล้วเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้ พลางเอามือตบหลังเบา ๆ เหมือนปลอบ ด้วยกิริยาอ่อนโยน
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
ไม่นานพิณชนิดาก็ปล่อยโฮลั่นบ้าน ภิชาสินีหันมามองวิญญาณพ่อ แม่ ป้า ปิ่นเพชร แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ได้ผล”
พลางกอดพิณชนิดาแน่นขึ้น
กานต์กมลรีบอธิบาย
“ยัยพิณต้องการการสัมผัส เวลาที่มีปัญหา ถ้าได้ร้องไห้ออกมา เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
พิณชนิดาหยุดร้องไห้ พลางหันมาด่าภูมินทร์ให้ภิชาสินีฟัง
“อุตส่าห์เป็นห่วง ตื่นมาก็ด่าพี่ฉอดๆ แถมเอาเงินฟาดหัว ทำท่ารังเกียจ ดูถูกพี่สุดๆ”
“โกรธที่เค้าด่า จริงอ่ะ” เด็กปิ่นเพชรถามย้ำ
“จริง ไปซะได้ก็ดี”
ภิชาสินีมองหน้าพี่สาวย่างจับผิด “ถ้าพี่ไม่สนใจเค้า แล้วจะแคร์ที่เค้าด่าทำไม ?”
“ ก็ ก็คนมันรู้จักกัน โดนด่าแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเสียความรู้สึก ไม่อยากพูดถึงไอ้คนเฮงซวยนั่นอีกแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า”
พูดจบก็ลุกเดินออกไป ทุกคนมองตามพลางครุ่นคิด โดยเฉพาะพัณทิพากับกานต์กมล ที่หันมามองหน้ากัน เพราะรู้สึกถึงอาการที่ไม่ปกติ
ภูมินทร์นอนอยู่บนเตียงในอาการเคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับฝัน พร้อมกับนึกถึงภาพตัวเองตอนนอนหลับสบายอยู่บนโซฟาในห้องของพิณชนิดา แล้วจู่ๆ เขาก็พลิกตัว ตกจากโซฟา
ภาพในความฝัน เด็กชายภูมินทร์ วัย 7 ขวบ ตกลงไปในสระว่ายน้ำ พลางดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน แล้วจู่ๆ ก็มีมือคู่หนึ่งดันร่างเขาให้ขึ้นจากน้ำ
ภูมินทร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นตัวเองยืนอยู่ในห้องสีขาว มีเตียงโรงพยาบาลอยู่ตรงกลาง ร่างของพ่อนอนอยู่บนเตียงนั้น
“พ่อ”
เขารีบถลันวิ่งไปหา พลางจับมือพ่อไว้แน่น แล้วก็ร้องไห้โฮ
“พ่อครับ พ่ออย่าทิ้งภูไป”
ทว่าพ่อนอนนิ่ง ภูมินทร์เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น จนเขาต้องซบหน้ากับมือที่เย็นเฉียบของพ่อ
ภูมินทร์นอนน้ำตาไหลพราก ครู่หนึ่งก็ลืมตาโพลง เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า หอบเหนื่อยจนตัวโยน
แม่นมนวลเดินออกมาในสวน เห็นด้านหลังภูมินทร์ก็รู้ทันทีว่าเป็นอะไร
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอคะ ?”
ภูมินทร์หันกลับมา พลางพยักหน้าเครียดๆ
“ดื่มนมอุ่นๆ ซักหน่อยมั้ยคะ จะได้นอนหลับ”
“ไม่มีอะไร ทำให้ภูหลับได้หรอกครับ”
แม่นมนวลมองภูมินทร์ด้วยความเห็นใจ
“เรื่องมันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ทำไมคุณหนูของนมถึงยังไม่ลืมสักที”
ภูมินทร์ยืนนิ่ง พลางนึกย้อนไปวันที่เกิดเรื่อง
เด็กชายภูมินทร์ในวัย 7 ขวบ วิ่งเข้ามาหาพ่อที่กำลังนั่งทำงาน พลางออกปากชวนพ่อไปเล่นน้ำ แต่กลับโดนพ่อตวาดไล่ให้ไปเล่นกับแม่นมแทน
“แต่นมว่ายน้ำไม่เก่ง ภูก็ยังว่ายไม่แข็ง ภูกลัวจะจมน้ำ”
พ่อมองอย่างหงุดหงิด
“มัวแต่กลัว เมื่อไหร่จะว่ายน้ำเป็น จะไปไหนก็ไป พ่อต้องการสมาธิ”
ภูมินทร์หน้าจ๋อย พลางเดินคอตกออกจากห้องไป พอเจอบรรดาคนรับใช้ ก็รีบถามถึงแม่
“คุณแม่มีนัดกับเพื่อน คงกลับค่ำ ๆ ค่ะ คุณภูมีอะไรรึเปล่าคะ?”
ภูมินทร์ส่ายหน้า พลางเดินออกไปอย่างเหงาๆ
เด็กชายภูมินทร์ตัดสินใจค่อย ๆ ลงไปในน้ำ พลางเกาะโฟมแน่น แล้วว่ายไปตรงลงบริเวณที่
ลึกขึ้น แต่บังเอิญโฟมหลุดมือ ร่างของเด็กชายกำลังจะจมดิ่งลงไป เขาดำผุดดำว่ายด้วยความตกใจกลัว
“ช่วยด้วย”
แม่นมนวลวิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ ตะโกนลั่น
“คุณหนู ช่วยด้วย คุณหนูจมน้ำ”
ร่างของภูมินทร์ค่อย ๆ จมลงไป จมลงไป พ่อวิ่งเข้ามาเห็น ก็ตกใจ รีบกระโดดลงไปช่วยทันที พร้อมๆ กับที่พวกคนใช้กรูวิ่งเข้ามา
พ่อดำลึกลงไป พร้อมกับดันตัวลูกชายให้ขึ้นเหนือน้ำ แม่นมนวลกับคนใช้รีบรับร่างขึ้นมาปฐมพยาบาล
พ่อเกาะขอบสระมองด้วยความเป็นห่วง และรู้สึกผิดที่ไล่ลูกออกมา แต่แล้วจู่ ๆ ก็กลับเจ็บจี๊ดที่หน้าอก มือที่จับขอสระอยู่ ร่วงหลุด แล้วค่อย ๆ จมน้ำลงไป พลางพยายามจะเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีเสียงเรียกออกมา
เด็กชายภูมินทร์สำลักน้ำ แล้วก็รู้สึกตัวในที่สุด ทุกคนถอนหายใจโล่งอก แม่นมนวลดีใจจนน้ำตาไหล
“คุณหนูปลอดภัยแล้ว”
แต่พอหันไปไม่เห็นพ่อก็แปลกใจ จึงเดินไปที่ขอบสระ ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังลั่นที่เห็นร่างของพ่อจมอยู่ที่ก้นสระน้ำ
ภูมินทร์คิดถึงภาพของพ่อที่เสียชีวิตอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล แล้วก็น้ำตาไหลพราก แม่นวลต้องกอดปลอบเอาไว้
“เลิกโทษตัวเองเถอะนะคะ นมบอกตั้งกี่ทีแล้ว ว่าคุณท่านเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจไม่ใช่เพราะคุณหนู”
ภูมินทร์หน้าเศร้า น้ำเสียงสั่นเครือ
“แต่ถ้าพ่อไม่ลงไปช่วยภู พ่อก็อาจจะ....”
“เราห้ามความตายไม่ได้ อะไรที่ผ่านมาแล้ว ให้มันผ่านไปเถอนะคะ ถ้าคุณท่านยังอยู่ คงอยากเห็นคุณหนูมีความสุขมากกว่านี้”
“ภูเองก็อยากลืม แต่มันลืมไม่ได้ ภูเบื่อ เหนื่อย ที่ต้องฝันแบบนี้มาทั้งชีวิต นอนก็ไม่หลับ มันทรมาน”
แม่นมนวลกอดกระชับแน่นเข้า
“สงสัยคุณหนูต้องหาสาวมานอนกอด เผื่ออาการนอนไม่หลับ กับฝันร้ายจะดีขึ้น ความรักมันเยียวยาความเจ็บปวดได้นะคะ”
“นมพูดเป็นละครน้ำเน่าไปได้”
“นมพูดจริงๆ คุณหนูต้องลองรักผู้หญิงสักคน แล้วคุณหนูจะเข้าใจสิ่งที่นมพูด”
ภูมินทร์กอดแม่นมอย่างประจบ
“ก็รักนมอยู่นี่ไง รักนมสุด ๆ ไปเลย”
แม่นมนวลยิ้ม แล้วก็นึกขึ้นได้
“ยังไม่ได้เล่าให้นมฟังเลย ว่าที่หายไป เกิดอะไรขึ้น?”
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
แม่นมนวลทำสีหน้าไม่เชื่อ
“แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดที่คุณก้องเอามา เหมือนคุณหนูถูกทำร้าย”
ภูมินทร์กลัวอีกฝ่ายเป็นห่วง ก็รีบโกหก
“ทำร้ายที่ไหน ไม่มีครับ มุมกล้องคงทำให้เข้าใจผิด”
“โล่งอกไปที แล้วคุณหนูไปอยู่ที่ไหน อยู่กับใครคะ ?”
ภูมินทร์หวนนึกถึง 2 พี่-น้อง
“ผมไปอยู่กับผู้หญิงประหลาด ๆ 2 คน”
จบตอนที่ 3