เสือ ตอนที่ 1
ค่ำคืนอันแสนเปลี่ยวและเงียบสงัดนั้น พระจันทร์เต็มดวงสีแดงฉานฉายเด่นดูลึกลับอยู่บนฟากฟ้า เท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาว วิ่งฝ่าพงไม้รกร้าง เช่นเดียวกับเท้าเปลือยเปล่าของชายหนุ่มก็วิ่งอยู่ในอาการเดียวกัน
ทว่าทั้งคู่อยู่กันคนละทิศ หากแต่วิ่งมุ่งหน้าเข้าหากัน เสียงนกยามราตรีอันมืดมิดนั้นส่งเสียงอื้ออึงไปทั้งราวป่า
บนฟากฟ้า หมู่เมฆค่อยๆเคลื่อนตัวผ่าน จนเห็นพระจันทร์เต็มดวงสีแดงฉานลอยเด่นชัดเจน สัตว์กลางวัน เช่น กวาง กระต่าย ต่างวิ่งหนีหาที่กำบัง ฝูงสัตว์ดุร้ายที่ออกหากินตอนกลางคืนต่างวิ่งกรูออกมาจากมุมต่างๆ และพุ่งตรงไปยังทิศเดียวกันคือ มุ่งตรงไปสู่พระจันทร์สีเลือดดวงนั้น
เท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวคนเดิม ชะลอและหยุดนิ่ง เผยใบหน้าอันคมเข้ม เธอคือ อชินี เธอหันมองไปรอบๆตัว ก่อนจะเงยหน้าเพ่งมองที่พระจันทร์ดวงนั้น แววตามุ่งมั่น แล้วออกวิ่งอีกครั้งเพื่อพุ่งตรงไปที่จันทร์แดงฉานดวงนั้น ส่วนชายอีกคนหนึ่งที่อยู่คนละทิศ คือ พรหมพยัคฆ์ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อ ดวงตาดูมีพลังอำนาจลึกลับซ่อนอยู่ เค้ายิ้มมุมปาก แล้ววิ่งตรงมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์เช่นเดียวกัน
เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนดังขึ้นที่ป่าอีกด้านหนึ่ง เป็นกลุ่มพรานป่าอาวุธครบมือ พร้อมกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ถือคบเพลิง ทุกคนห้อยเขี้ยวเสือไว้ที่คอ ล้วนมีสีหน้าอันเคร่งเครียด พ่อใหญ่ พรานชราดูน่าเกรงขามจ้องมองที่พระจันทร์สีเลือดอย่างร้อนรน
พ่อใหญ่บอก
"คืนจันทร์เลือด ... จะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ รีบไป!"
พูดจบพ่อใหญ่ หันไปพยักหน้าบอกให้ทุกคนเร่งฝีเท้า
ณ ลานกว้างของหมู่บ้านผาสมิง กลุ่มผู้ชายใส่โสร่งสีขาว ท่อนบนเปลือย หญิงสวมกระโจมอกด้วยผ้าสีขาวพริ้วบางยาวถึงข้อเท้า แสงไฟส่องกระทบจะเห็นเหมือนร่างเปลือยเปล่า มีแค่ผ้าขาวเพียงผืนเดียวที่ห่อหุ้มร่างของคนกลุ่มนี้ไว้
ทั้งหมดยืนล้อมรอบกองไฟกลางลานกว้าง ปากพึมพำท่องบางอย่าง มือเขย่าอุปกรณ์คล้ายอังกอ เป็นจังหวะเร็วๆรัวๆ สายตาจดจ้องไปที่กองไฟ ด้านหน้ากองไฟ มีชายชราคนหนึ่งอยู่ในชุดประกอบพิธีกรรม นั่นคือ “ปูแถน” ที่หลับตา สีหน้าเคร่งเครียด ปากพึมพำท่องคาถาบางอย่าง
พรหมพยัคฆ์ กับ อชินี วิ่งมาหยุด ยืนอยู่กันคนละด้านขนานกับธารน้ำตก ด้านหลังเห็นดวงจันทร์สีแดงฉาน ฉาบให้แผ่นฟ้าเป็นสีเลือด ทั้งคู่มองสบตา รอเวลาที่จะกระโจนเข้าหากัน เสียงสัตว์ป่าร้องเสียงดังเซ็งแซ่ ลั่นป่า
อีกด้านของป่า พรานหนุ่มชื่อ คำสูรย์ กับกลุ่มชาวบ้านจำนวนหนึ่ง และชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั่นคือ จรัส มองไปรอบตัวอย่างแปลกใจ ไม่แน่ใจว่า เกิดอะไรขึ้นในป่า จรัสหันมองคำสูรย์ที่มีท่าทีร้อนรน เหมือนกลัวบางอย่าง
จังหวะนั้นมีเสียงเสือคำรามดังก้องป่า ทั้งหมดหันมองตามเสียง
"ทางนั้นนาย ! ทางนั้น"
คำสูรย์วิ่งนำไปตามเสียงคำรามนั้น
กลุ่มพ่อใหญ่ หยุดชะงัก หันมองหน้ากันอย่างเข้าใจเหตุการณ์ ทั้งหมดเป็นกังวล พ่อใหญ่ยกมือขึ้นกำเขี้ยวเสือที่ห้อยคออยู่ มองไปที่ดวงจันทร์สีแดง อย่างมุ่งมั่น
"เร็ว!"
ทั้งหมดออกวิ่งต่อไป
บริเวณป่า แถวน้ำตก พรหมพยัคฆ์ และ อชินี พุ่งตัวเข้าหากันอย่างโหยหา พรหมพยัคฆ์คว้าตัวอชินีเข้ามาในอ้อมกอด เสี้ยววินาทีหนึ่งทั้งคู่สบตากันเป็นแววตาของความกระสัน พรหมพยัคฆ์จูบอชินีอย่างเร่าร้อน เธอจูบตอบ ร่างกายทั้งสองตอบสนองกัน ทั้งคู่จูบกอดรัด ราวโหยหากันมานานแสนนาน พฤติกรรมของทั้งคู่นั้นดุเดือดราวสัตว์ป่าก็ไม่ปาน
กลุ่มพรานป่าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
พรหมพยัคฆ์กอดจูบ ซุกไซร้ อชินีอยู่ มือด้านหนึ่งที่โอบอชินีอยู่นั้นมีเล็บยาวงอกออกมา เล็บนั้นเขาใช้มันฉีกกระชากเสื้อ อชินีจนขาดเป็นริ้วๆ และโหมรุก อชินีอย่างหนักหน่วง ร่างกาย อชินีตอบสนอง ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน มือด้านหนึ่งของ อชินีเริ่มมีเล็บงอกยาวออกมาเช่นกัน
ณ หมู่บ้านผาสมิง กองไฟที่ลุกโชน เสียงอังกอยังดังกึกก้อง ปู่แถนหลับตาท่องคาถาอยู่ ลืมตาขึ้น สีหน้ากังวลหนัก
"คืนนี้เท่านั้น ... ต้องหยุดพวกมันให้ได้"
ปู่แถนหันไปมองทุกคนที่อยู่รอบกองไฟด้วยสีหน้าจริงจัง เสียงอังกอกระหน่ำอย่างหนักหน่วง
อชินีใช้ฝ่ามือตะปบเข้าที่หลังของพรหมพยัคฆ์ เล็บเธอจิกลงไปจนทะลุเสื้อของเขาจนขาด พรหมพยัคฆ์สีหน้าเคลิบเคลิ้ม มือที่โอบอชินีอยู่ค่อยๆเลื่อนลงต่ำ ประคองร่างเธอนอนราบลงที่โขดหินนั้น
อชินีที่หลับตาเคลิ้มค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นดวงตาเป็นสีเหลืองเข้ม
ฝูงนกกลางคืนแตกฮือ มันบินอยู่เหนือร่างทั้งคู่ รายล้อมเป็นพยานแห่งความกระสันของทั้งสอง
พรหมพยัคฆ์และอชินีสบตากัน ดวงตาทั้งสองเป็นสีเหลือง พรหมพยัคฆ์ขึ้นคร่อมร่าง อชินี ก่อนที่จะโน้มตัวกดทับไปที่ร่างนั้น พลัน...เสียงปืนก็ดังขึ้น ปัง! ฝูงนกกลางคืนแตกฮือ พรหมพยัคฆ์ชะงัก หันขวับมองต้นเสียงด้วยแววตาดุร้าย
กลุ่มพรานป่าและชาวบ้านผาสมิงเล็งปืนมาที่เขาและเธอ หนึ่งในนั้นคือ พ่อใหญ่ สีหน้ามุ่งมั่นเล็งปืนที่หน้าอกพรหมพยัคฆ์ วินาทีนั้น... พ่อใหญ่ลั่นไกปืนอย่างไม่ลังเล
พรหมพยัคฆ์คว้าตัวอชินีไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็วกว่ามนุษย์จะทำได้ เค้ากระโจนหลบกระสุนได้อย่างหวุดหวิด
อชินีวิ่งหนีออกไป พ่อใหญ่ที่ยกปืนเล็งจะไล่ยิงอชินี พรหมพยัคฆ์หันมาเห็นเข้า ก็รีบกระโจนเข้ามาขวางทาง กระสุนโดนเข้าที่ลำตัวพรหมพยัคฆ์ พรหมพยัคฆ์คำรามด้วยความเจ็บปวด
พรานหนุ่มคนหนึ่งเห็นพรหมพยัคฆ์กำลังเสียท่า ก็วิ่งทะเล่อทะล่าจะออกไป เสียงพ่อใหญ่ตะโกนเรียกไว้
"อย่าออกไป"
พรานหนุ่มหันมาพูดอย่างย่ามใจ
"จะกลัวมันทำไมเรามีเขี้ยวเสือนะพ่อใหญ่"
พรานหนุ่มยกมือคลำเขี้ยวเสือที่คอแต่ไม่เจอ ! เขาตกใจ จนตาเบิกโพลง หันมองรอบๆตัว แล้วก็เห็นเขี้ยวเสือตกอยู่ที่พื้น
เขาจะวิ่งเข้าไปเก็บ แต่ไม่ทันแล้ว พรหมพยัคฆ์พุ่งตัวมาอย่างรวดเร็ว จับกระบอกปืนหักออกแล้วขว้างทิ้งไป ก่อนจะใช้กรงเล็บตะปบพรานหนุ่มตายคาที่
พ่อใหญ่เล็งปืนยิง แต่พรหมพยัคฆ์หลบไปได้ แล้วถอยออกไปตั้งหลัก พ่อใหญ่และพรานที่เหลือรีบวิ่งมาที่ศพพรานหนุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อ
"ถ้าเขี้ยวเสือไม่หลุดก็คงไม่ต้องมาตาย โธ่" พรานหนุ่มอีกคนว่า
"เขี้ยวเสือ ป้องกันได้แค่อำนาจลึกลับของพวกมันเท่านั้น"
พ่อใหญ่หันมองศพพรานหนุ่ม จ้องมองพรหมพยัคฆ์แล้วบอกคนที่เหลือ
"ระวังตัวด้วย"
พ่อใหญ่ก้าวออกมาประจันหน้า พรหมพยัคฆ์พยายามใช้อำนาจลึกลับของเสือสมิงกับพ่อใหญ่ แต่กลับไม่ได้ผล เขาตัดสินใจพุ่งกระโจนเข้าใส่กลุ่มนายพราน จังหวะนั้นร่างพรหมพยัคฆ์ได้กลายเป็นเสือ ร้องคำรามดังลั่นป่า
บริเวณหมู่บ้านผาสมิง เสียงอังกอดังกึกก้องในจังหวะที่เร่งเร้ามากขึ้น ปู่แถนท่องบางอย่างพึมพำออกมาเร็วและรัวขึ้น
เสียงปืนดังจากอีกด้านของป่าอย่างต่อเนื่อง อชินีเธอวิ่งหนีออกมาอีกทาง ยังได้ยินเสียงคำรามของพรหมพยัคฆ์ดังแว่วๆมา กับเสียงฝีเท้าคนที่กำลังวิ่งตรงมาทางเธอ เธอจ้องมองออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
กลุ่มของจรัสและคำสูรย์ ทั้งหมดวิ่งตรงเข้ามา พรานคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ
"นาย !"
พรานคนนั้นชี้มือออกไป ทั้งหมดหันมองตามเห็นเป็นร่างของอชินีนอนหมดสติอยู่ มีเลือดไหล จรัสรีบวิ่งเข้าไปดู คำสูรย์วิ่งตามเข้าไปสีหน้าดูไม่วางใจ จรัสหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ดูแลอชินีไว้ แล้วหันไปสั่งคนที่เหลือให้เร่งฝีเท้าตามเสียงปืนเข้าไป คำสูรย์หันกลับมองที่อชินีอย่างระแวง ก่อนจะวิ่งตามจรัสไป
พรหมพยัคฆ์ในร่างเสือ บาดเจ็บหลายแห่ง เขาฆ่าพรานและชาวบ้านตายหมดแล้ว เหลือแต่พ่อใหญ่ที่บาดเจ็บหนักไม่แพ้กัน ทั้งคู่ประจันหน้ากันริมผา พรหมพยัคฆ์ตัดสินใจกระโจนเข้าใส่พ่อใหญ่ จังหวะเดียวกับที่พ่อใหญ่ยกปืนขึ้นยิง เสียงปืน ปัง !!! กับเสียงร้องคำรามของเสือ และเสียงร้องของพ่อใหญ่ดังไล่เรี่ยกัน
คำสูรย์ร้อง
"เสือ ... เสือ ! นาย"
จรัสกับคำสูรย์และนายพราน ยืนมองศพบรรดานายพรานนอนตายเกลื่อนกลาด คำสูรย์วิ่งเข้าป่าตามเสียงปืนไปอย่างเร็ว จรัสกำลังจะวิ่งตามเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องของพรานที่อยู่เฝ้า อชินี ร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา จรัสลังเล แล้วตัดสินใจวิ่งกลับไปดูอชินี พรานที่เหลือวิ่งตามจรัสไป
พ่อใหญ่เลือดไหลเต็มตัว มีแต่รอยเล็บเสือตามร่างกายจนเละไปหมด พ่อใหญ่ชะโงกหน้ามองดูตามเหวลึกที่ริมผา แล้วถอนหายใจ ก่อนจะนอนแผ่ลงอย่างหมดแรง คำสูรย์วิ่งเข้ามาพอดี
"คุณๆ เป็นอะไรรึเปล่า"
คำสูรย์ระแวงแต่ก็ค่อยๆเข้าไปใกล้ พอเห็นว่าเป็นพรานแก่ใกล้ตาย ก็รีบวิ่งเข้าไปประคองจะช่วย แต่พ่อใหญ่กลับดึงมือคำสูรย์มากำไว้แน่น คำสูรย์งง
"มันยังไม่ตาย ต้องยิงที่หัวใจ ยิงมันที่หัวใจเท่านั้น"
คำสูรย์พยายามห้ามเลือดให้ จะพยุงพ่อใหญ่ขึ้น แต่พ่อใหญ่ส่ายหน้า พร้อมดึงเขี้ยวเสือที่คอออก แล้วยัดใส่มือคำสูรย์
"ใช้ป้องกันอำนาจจากพวกมันได้ .. จำไว้ คืนจันทร์สีเลือดต้องฆ่ามัน ไม่งั้นพวกมันจะฆ่าเรา ฆ่าเราทุกคน … จันทร์ สี .. เลือ ...ด"
"ทำใจดีๆไว้คุณ คุณ คุณ"
พ่อใหญ่สิ้นใจตายไปแล้ว คำสูรย์มองเขี้ยวเสือในมือแล้วคิดบางอย่าง ก่อนจะใส่เขี้ยวเสือไว้ที่คอตัวเอง
แต่เขี้ยวเสือในมือปู่แถน กลับหักดังเป๊าะ ! ชาวบ้านที่ล้อมรอบกองไฟอยู่ ชะงัก หยุดเสียงอังกอ ปู่แถนหันจ้องมองเปลวไฟตรงหน้าด้วยสีหน้ากังวล เปลวไฟที่ลุกโชติ แล้วค่อยๆมอดลงอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่สำเร็จอีกแล้วสินะ"
ปู่แถนหันไปจ้องมองพระจันทร์สีเลือดอย่างหมดหวัง
กลุ่มจรัส กลับมาเห็นศพนายพรานนอนตายอยู่ ข้างๆมีเสือนอนหมดแรงอยู่ มีรอยถูกยิงที่ไหล่ พรานคำสูรย์ที่วิ่งกลับมารวมกับกลุ่มจรัสเห็นเข้า ก็กระโจนเข้ามายกปืนเล็งไปที่เสือทำท่าจะยิง จรัสเห็นก็รีบห้ามไว้
"คำสูรย์ อย่า"
บริเวณทางเดินในป่า มีคนถือคบเพลิงเดินลิบๆ อยู่ในความมืด เสียงชาวบ้านคุยกันดังออกมาจากความมืดนั้น ขณะที่ทั้งหมดเร่งรีบกันไป
ชาวบ้าน 1บอก
"เขาจับมันมาแล้ว"
"จริงหรือ" ชาวบ้าน 2 ว่า
เสียงฝีเท้าของผู้คนที่มาเรียกกันอย่างเร่งร้อน ชาวบ้านรีบลงจากบ้านท่าทางตื่นเต้น
เสียงพูดคุยกันอื้ออึง พร้อมกับเสียงกลุ่มคนกระแทกคบเพลิงลงพื้นเป็นจังหวะเสียงดัง ปังๆๆๆ เหมือนเร่งเร้าบางอย่าง
บริเวณบ้านพักข้าราชการป่าไม้ กลุ่มชาวบ้านมุงดูเสือที่จรัสและพรานคำสูรย์กับกลุ่มพรานจับกลับมาได้ มันนอนบาดเจ็บอยู่ในกรง
พรานคำสูรย์จ้องมองเสือในกรงนั้นอย่างร้อนใจ ก่อนจะหันมองที่จรัส
"นายเอามันไว้ไม่ได้ นายต้องฆ่ามันนะนาย"
"ฉันฆ่ามันไม่ได้ มันผิดกฏหมาย"
"แต่กฎหมายใช้กับคนเมือง ที่นี่คือป่า เราต้องทำตามกฎป่า" คำสูรย์บอก
เสียงเสือคำรามขึ้น ชาวบ้านฮือฮา ทั้งหมดหันมองเห็นว่า เสือพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่มันบาดเจ็บเกินกว่าที่จะลุกได้ คำสูรย์เห็นก็แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด พยายามหาเหตุผลมาต่อสู้
"แต่เสือตัวนี้ฆ่าคนมามากแล้วนะนาย มันเป็นอันตรายต่อชาวบ้าน"
ชาวบ้านส่งเสียงฮือเห็นด้วยกับคำสูรย์
"มันทำไปตามสันชาติญาณของสัตว์ป่า เพียงเพื่อจะหาอาหาร" จรัสว่า
คำสูรย์มองหน้าพรานด้วยกัน แล้วพูดอย่างตระหนก
"แต่มัน ...มัน มันเป็นเสือ... เสือผี เสือปีศาจ นะนาย"
"เพ้อเจ้อใหญ่แล้วคำสูรย์"
คำสูรย์มองหน้าพรานด้วยกัน
"จริงๆนะนาย มันเป็นเสือผี ในตำนานที่ปู่ย่าเล่าสืบต่อกันมา"
"เรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ฉันไม่สนใจ"
"ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะนาย พรานผู้เฒ่าผู้แก่ สั่งสอนกันมา"
พรานคำสูรย์เงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า ยังคงสีแดงฉาน เขากลืนน้ำลาย เหมือนกลัวสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกมา
"ในคืนพระจันทร์เต็มดวงสีเลือด ถ้าเจอเสือผี เสือที่แปลงกายเป็นคนได้ ต้องมีการหลั่งเลือด ไม่เลือดมันก็เลือดเรา ถ้าเราปล่อยมัน จะมีแต่เรื่องฉิบหายนะนาย"
จรัสส่ายหน้าเหนื่อยกับความงมงายของคำสูรย์
"ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฉันไม่ยอมให้ใครฆ่าสัตว์ป่าแน่ๆ ฉันติดต่อโรงพยาบาลสัตว์ในเมืองไว้แล้ว เค้ากำลังส่งรถมารับมัน"
"แต่ว่า"
จรัสมองคำสูรย์ด้วยสีหน้าจริงจัง กลุ่มชาวบ้านมองจรัสอย่างกังวล
"เอาล่ะๆ แยกย้ายกันได้แล้ว ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจแน่ๆ"
จรัสเน้นประโยคสุดท้าย คำสูรย์เห็นท่าทางเอาจริงของจรัสก็ยอมแพ้ หันไปมองที่กลุ่มชาวบ้าน เป็นเชิงให้แยกย้าย ชาวบ้านค่อยๆทยอยกันแยกย้ายเดินตามกันออกไป ด้วยท่าทางไม่พอใจนัก
ห่างออกมาไม่ไกลจากบริเวณนั้น บนบ้านของจรัส เด็กหญิงวัยห้าขวบจ้องมองดูเหตุการณ์นั้นอยู่ด้วยความอยากรู้ ครู่หนึ่งมีเสียงคำแปง ผู้เป็นพี่เลี้ยงร้องเรียก
"คุณหนูณจันทร์"
เด็กหญิงณจันทร์หันมองตามเสียงคำแปง พี่เลี้ยงสาววัยแรกรุ่นเรียกเธอ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ
"มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ ไปนอนกันได้แล้ว"
ณจันทร์หันมองลงไปด้านล่างแทนคำตอบ คำแปงมองตามออกไปเห็นกลุ่มชาวบ้านทยอยกันเดินกลับ
"อ๋อ อยากไปดูเสือละสิ อย่าเลยมันอันตราย มาเดี๋ยวคำแปงจะเล่านิทานให้ฟัง"
คำแปงอุ้มพาณจันทร์กลับเข้าห้องไป ในขณะที่เธอยังคงมองไปที่ลานนั้นอย่างไม่ละสายตา
เมฆบนฟากฟ้าค่อยๆเคลื่อนตัวออก เห็นพระจันทร์เต็มดวงสีแดงฉานเด่นอยู่กลางท้องฟ้าอีกครั้ง บริเวณใต้ถุนบ้านในสภาพเงียบงันนั้น
แววตาของเสือในกรงมีพลังอำนาจอันลึกลับ
ณจันทร์นอนหนุนแขนคำแปงอยู่ในมุ้ง
"นอนได้แล้วคุณหนูณจันทร์ คำแปงเล่าจนไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วเนี่ย... ทั้งราชสีห์กับหนู เทวดากับคนตัดฟืน ทั้งชาวนากับงูเห่า แล้วก็..." คำแปงพูดพลางหาวหวอด
"ณจันทร์อยากฟังเรื่องเสือ" เธอบอก
"อะไรกัน เล่าให้ฟังเป็นร้อยรอบแล้วมั้งเนี่ย ยังไม่เบื่ออีกเหรอ งั้นคราวนี้เอาเสือกินคนเลยดีกว่า ไม่กลัวเหรอ"
ณจันทร์ส่ายหน้า ตาแป๋วพร้อมฟัง คำแปงลุกขึ้นงัวเงียแล้วเริ่มเล่า
"...กาลครั้งหนึ่งนาน แสนนานมาแล้ว ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ..."
เสียงคำแปงเล่านิทาน ยังคงดังเจื้อยแจ้ว...
"เสือสมิง เสือเทพในตำนาน จะถูกปลุกขึ้นมา..."
บริเวณกรง เสือค่อยๆยันตัวลุกขึ้น
"...จากการหลับใหล เพื่อออกล่าเหยื่อ"
เสือเอามือตะปบกรงบริเวณกุญแจสุดแรง จนกุญแจแกว่งไปมา ดวงตาของเสือสมิง เหมือนมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่าง
เสียงคำแปงยังเล่าเรื่องราวเจื้อยแจ้วต่อไป
"มันจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ เพื่อหลอกล่อให้คนหลงกล และจับกินได้ง่ายขึ้น"
เสือกัดบริเวณกรงสุดแรง กุญแจซึ่งห้อยด้วยเชือกขนาดใหญ่แกว่งไปมา เสือเข้ากัดอีก ครั้ง จนเชือกขาดหลุดออกจากกัน
คำแปงทำเสียงน่ากลัวแกล้งณจันทร์
"โฮก"
ณจันทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา พบว่าเธอเก็บเอาเรื่องที่คำแปงเล่าไปฝัน พอรู้สึกตัวเธอหันมองรอบๆตัวมัน บรรยากาศเงียบ แต่แล้วอยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งแว่วผ่านลมมาเบาๆ เป็นเสียงที่เธอคุ้นเคย
"ณจันทร์ ... ณจันทร์"
"แม่ ... แม่จ๋า"
ณจันทร์ วิ่งออกจากห้องไปตามเสียงเรียกของแม่
ณจันทร์วิ่งลงจากเรือนไปตามเสียงเรียก เห็นกรงที่ตั้งอยู่เดียวดายก็ชะงัก เธอเห็นกุญแจกรงตกอยู่ที่พื้น เชือกขาด เธอเดินเข้าไปหาช้าๆ เสือที่อยู่ในกรงแสดง พลังอำนาจบางอย่าง หันกลับมาจ้องณจันทร์ เธอสบตากับเสือนิ่ง เหมือนทำพันธะสัญญาเชื่อมโยงจิต อึดใจหนึ่ง... ณจันทร์เหมือนโดนสะกด เธอก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเธอก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดประตูกรงช้าๆ
แต่ขณะที่กำลังจะเปิดกรงนั้น เสียงเรียกของจรัสดังขึ้นพอดี
"ณจันทร์ อย่าลูก"
เสียงพ่อทำให้ณจันทร์ชะงัก แต่เสือกลับกระโจนผลักประตูออกมา จรัสรีบคว้าปืนขึ้นมา เล็งไป เสือคำรามเสียงดังลั่น ณจันทร์สะดุ้ง ชักสติกลับ รู้สึกตัว เธอเห็นเสืออยู่ตรงหน้าก็ตกใจสุดขีด ครั้นหันมองไปที่พ่อ ก็เห็นว่าจรัสกำลังเล็งปืนมาทางตน เธอทำอะไรไม่ถูก เสือเดินอ้อมไปอยู่ด้านหลังนะจันทร์ เธอตัวแข็งด้วยความกลัว จรัสไม่กล้ายิงปืนเพราะกลัวโดนลูกสาว เสือจ้องที่ณจันทร์พร้อมง้างมือขึ้น คำรามพร้อมตะปบลงที่มือของณจันทร์ เธอก้าวหนีและล้มลง เล็บเสือปาดเข้าที่แขนเธอเป็นทางยาว เลือดไหลออกมาทันที ณจันทร์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จรัสตัดสินใจยินปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่เสือ ปัง !
เสือละความสนใจจากณจันทร์ หันมาจ้องแล้วกระโจนขึ้นบนตัวจรัส เสียงคำรามของเสือมาพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นกลัวสุดชีวิตของจรัส
พรานคำสูรย์ อยู่ในเรือนแถวนั้น ได้ยินเสียง จึงรีบคว้าปืนแล้ววิ่งตรงไปที่กรงเสือทันที
ภาพที่คำสูรย์เห็นตรงหน้าคือ จรัสถูกเสือคร่อมอยู่ มันง้างกงเล็บกำลังจะตะปบจรัส
"นาย"
คำสูรย์ เล็งปืนเข้าที่ตัวเสือ เสียงปืนดังขึ้น ปัง ! พร้อมกับที่เสือตะปบกรงเล็บลงที่ร่างของจรัส เลือดเสือและจรัสกระเซ็น ต้องพงหญ้า
จรัสนอนแน่นิ่ง เสือโดนกระสุนที่อกด้านซ้าย แต่มันยังไม่ตาย มันหันมองที่ณจันทร์ซึ่
งร้องกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ
"คุณหนู หนีไป"
ณจันทร์ได้ยินดังนั้นก็หันหลังวิ่งหนีเข้าป่าไป เสือคำรามใส่คำสูรย์ ก่อนจะหันหลังกระโจนตามณจันทร์เข้าป่าไปอย่างทุลักทุเล
"คุณหนู"
คำสูรย์วิ่งไปดูจรัส คำแปงวิ่งลงมาและกรีดร้องด้วยความตกใจ คำสูรย์หันมอง เห็นคำแปงและชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ที่ยืนมองด้วยสีหน้าตกใจ คำสูรย์มองจรัสที่ตายอยู่ตรงหน้าอย่างเจ็บปวด แล้วกระชับปืนในมือก่อนจะวิ่งพรวดตามเสือและณจันทร์เข้าป่าไป
คำสูรย์เร่งฝีเท้าวิ่งตามรอยเลือดไป เมื่อถึงจุดหนึ่งก็เริ่มชะลอเท้า ก้าวอย่างช้าๆ หันมองรอบตัวอย่างระวัง คำสูรย์ยกปืนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม กวาดสายตามอง เห็นรอยเลือดที่พงหญ้าข้างหน้า คำสูรย์กลืนน้ำลายเอื๊อก แล้วค่อยๆเอื้อมมือไปแหวกพงหญ้านั้น คำสูรย์เพ่งมองด้วยความตกใจ
"คุณหนู"
คำสูรย์วิ่งพรวดตรงเข้าไป เมื่อเข้าไปใกล้ คำสูรย์กลับชะงัก มองด้วยสีหน้าตกใจ
ณจันทร์นั่งอยู่ตรงนั้น ข้างๆมีร่างของเสือซึ่งนอนตายอยู่ด้วย เด็กณจันทร์มีรอยเลือดเปื้อนอยู่เต็มตัว เธอกำลังใช้มือแตะเลือดจากตัวเสือขึ้นมาดื่มกินซ้ำๆอยู่อย่างนั้น เลือดเปรอะเปื้อนหน้าตา เธอทำโดยไม่รู้สึกตัว ราวกับต้องมนตร์สะกดบางอย่าง คำสูรย์ช็อกกับภาพที่เห็น พอรู้สึกตัว ก็รีบวางปืนแล้วตรงเข้าไปจับมือ จับตัวณจันทร์ ให้หยุดกินเลือดเสือ แล้วอุ้มมาไว้ในอ้อมแขน เขย่าตัวเพื่อเรียกให้คืนสติ
"คุณหนู คุณหนู"
20 ปีต่อมา ณ บ้านที่เชียงใหม่ เสียงเรียกของคำแปงดังปลุกเรียกณจันทร์
"คุณหนู คุณหนู คุณหนูณจันทร์ขา .... คุณหนู"
ณจันทร์สะดุ้งตื่น หอบเหนื่อย ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เห็น รอยแผลยังปรากฏเป็นทางยาวที่มือ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก เสียงคำแปงดังเข้ามา
"คุณหนู คุณหนูขาคุณหนู"
ณจันทร์เดินไปเปิดประตู คำแปงถาม
"เป็นอะไรรึเปล่าคะ"
"ฝันร้ายน่ะค่ะ ไม่มีอะไร"
"เรื่องเสือตัวนั้นอีกแล้ว ใช่มั้ยค่ะ"
ณจันทร์ไม่ตอบ เดินเข้าห้องน้ำ แล้วหันมาบอกคำแปง
"ไม่มีอะไรหรอก คงไม่คุ้นกับที่นอนน่ะ"
ณจันทร์เดินเข้าห้องน้ำไป คำแปงเดินเข้าไปที่บริเวณหัวเตียง มองไปยังรูปจรัส คำแปงยกมือไหว้รูปนั้นก่อนที่จะยกรูปนั้นออกมา
รูปจรัสถูกนำมาตั้งอยู่เคียงข้างพระพุทธรูปใกล้โต๊ะหมู่บูชา ใกล้ๆนั้น มีพระเรียงราย นั่งสวดอยู่ ป้านวลเชิญพระมาสวดที่บ้าน คำแปง ณจันทร์และนวล พนมมือไหว้อยู่จนพระสวดจบ ทุกคนไหว้
ประธานสงฆ์ในพิธีมองหน้าณจันทร์
"คนนี้ใช่ไหม หลานที่ไปอยู่กรุงเทพ"
"เจ้าค่ะ ชื่อณจันทร์ นี่ก็ลางาน กลับมาทำบุญกระดูกให้พ่อ" นวลบอก
"เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปตั้ง ยี่สิบปี ... อายุเท่าไรแล้วล่ะ"
พระมองที่รูปของจรัสและโกศกระดูกที่เชิญออกมาตั้ง
"อีกสองสามวันจะเบญจเพสค่ะ อยากให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้หลานด้วย" นวลบอก
พระรูปนั้นพยักหน้า แล้วยกหม้อน้ำมนต์มาตั้งตรงหน้า
"เอาล่ะ พนมมือ ตั้งสติให้ดี"
ณจันทร์หลับตา ยกมือขึ้นพนม เสียงเอะอะดังจากด้านนอก
"ไอ้เสือร้าย เสือปีศาจ ออกไป ออกไป"
บริเวณประตู คำสูรย์โซเซโผล่เข้ามาจนชนข้าวของวุ่นวาย นัยน์ตาคำสูรย์แดงก่ำ ทุกคนชะงัก ณจันทร์ลืมตา ยังไม่ทันรดน้ำมนต์เลย
"อาคำสูรย์"
คำสูรย์เดินกราดเข้ามาชี้หน้าณจันทร์ ท่าทางโมโห ดุดัน
"ไอ้เสือร้ายแกตายเสียเถอะ"
คำสูรย์ถือไม้อันหนึ่งเป็นปืนแล้วยิง ปัง ปัง ปัง!
คำแปงได้สติ วิ่งมาดึง
"พี่คำสูรย์หยุดนะ เขากำลังทำพิธี เข้ามาทำไม" คำแปงบอก
คำสูรย์ชี้หน้าณจันทร์
"ไอ้เสือร้าย แกมันฆาตกร แกต้องตาย แกต้องตาย"
คำสูรย์จะเดินเข้าไปหาณจันทร์ จนคนต้องเข้ามาช่วยจับ
"เสือ-เสอ อะไร นี่คุณหนูณจันทร์ไง …. คุณหนูณจันทร์จำไม่ได้หรือ"
สายตาคำสูรย์จึงอ่อนโยนลง
"คุณหนูณจันทร์ คุณหนูณจันทร์ของอา เอ้าแล้วเสืออยู่ไหนล่ะ เสืออยู่ไหน"
"เอาตัวออกไป" นวลบอก
ทุกคนกำลังจะลากเขาออกไป คำสูรย์โวยวาย
"พวกเอ็งจะพาข้าไปไหน ข้าจะไปปราบเสือ คุณหนูณจันทร์ เสือมันยังไม่ตายนะ เสือมันยังไม่ตาย แสงจันทร์วันเพ็ญจะทำให้มันฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะกลับมาหาคนที่มันผูกพัน ถ้าขืนปล่อยไว้พวกเราจะฉิบหายกันหมด ปล่อยข้า ข้าจะไปปราบเสือ ปล่อย"
คำสูรย์ ถูกล็อกตัวออกไป แต่ปากยังโวยวาย ณจันทร์มองตามอย่างเป็นห่วง
"อาคำสูรย์อาการหนักอย่างนี้เลยหรือคะ ป้านวล"
นวลมองหน้าณจันทร์ ไม่รู้จะตอบยังไงดี !
เวลาผ่านไป พระกลับวัดหมดแล้ว คำสูรย์ถูกจับมาผูกไว้กับเสาในบ้านหลังเล็ก ภายในบ้านคำสูรย์นั้นมีข้าวของที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์มากมาย มุมหนึ่งเป็นหิ้งบูชา มีรูปจรัสเคียงคู่กับกะโหลกเสือ ดูน่ากลัว
"ป้าเห็นว่าเอาแกไว้ที่โรงพยาบาล ก็ไม่หายเสียที ป้าเลยเอาตัวแกกลับมาไว้ที่บ้าน" นวลบอก
คำสูรย์พึมพำเบาๆ อยู่อย่างนั้น
"เสือตัวนั้นยังไม่ตาย ระวังให้ดี มันยังไม่ตาย"
"แกเป็นถึงขนาดนี้ได้ยังไง เมื่อก่อนแค่ติดเหล้า ไม่ใช่หรือคะ" ณจันทร์ถาม
"กินเหล้าเป็นน้ำขนาดนั้น เอาชีวิตรอดมาได้ ก็เก่งแล้ว น่าเสียดายแก เคยเป็นพรานที่เก่งมาก พอพ่อจรัสตาย แกก็โทษตัวเอง เสียอกเสียใจ ต้องพึ่งเหล้า จนเสียผู้เสียคนอย่างนี้"
"ไม่ใช่เหล้าอย่างเดียวหรอกค่ะ ใครๆก็ว่า เพราะพี่แกไปฆ่าเสือตัวนั้นต่างหาก" คำแปงบอก
"คำแปง !" นวลปราม
"ทำไมหรือคะ"
คำแปงนิ่ง ทั้งที่อยากพูดเต็มที นวลไม่ยอมตอบ
"เรื่องคำสาปเสือ ที่เขาชอบพูดกันใช่ไหมคะ ที่เค้าว่ากันว่ามันเป็นเสือผี เสือเจ้า แล้วใครก็ตามที่เสือเลือกไว้เป็นตัวตายตัวแทนแล้ว หากอายุครบเบญจเพส ถ้าไม่มีใครสะกดวิญญานเสือได้มันจะกลับมา" ณจันทร์บอก
"เอ้อ หนูอย่าไปใส่ใจเลยนะ มันเป็นแค่ความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง"
ณจันทร์หัวเราะคิก สดใส
"แต่หนูก็ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วนี่คะ"
นวลมองคำแปงอย่างตำหนิ ที่ชอบเล่าอะไรมารู้ให้เด็กฟัง
"โธ่ ป้า นี่ปี พ.ศ.เท่าไรแล้วคะ ต่อให้เป็นเสือเก่งขนาดไหน ก็สูญพันธุ์เพราะมือคนหมดแหละค่ะ"
ณจันทร์ไม่สนใจจริงๆ เดินไปดูอาการคำสูรย์อย่างเป็นห่วงเป็นใย นวลเบาใจ แต่คำแปงไม่สบายใจ
นวลกำลังแพ็กของฝากใส่กล่องเพื่อให้ณจันทร์เอากลับกทม. คำแปงเป็นลูกมือช่วยอยู่
"ความจริงไม่น่ารีบกลับเลยนะ น่าจะอยู่ต่ออีกหน่อย อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดแล้ว"
"ทางโน้นยุ่งมากเลยค่ะป้า เลยอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ นี่พอถึงกรุงเทพแล้วหนูต้องไปทำงานต่อเลยนะคะเนี่ย"
"แต่ป้าอยากให้ขึ้นมาอีก"
"ทำไมหรือคะ"
"ป้าอยากให้หนูมาบวชชีพราหมณ์สักอาทิตย์หนึ่ง สะเดาะเคราะห์น่ะจ๊ะ"
"ป้านวลอย่าห่วงหนูเลยนะคะ หนูทานมังสวิรัติ ตลอดชีวิตก็ถือว่าทำบุญใหญ่หลวงแล้ว"
นวลยังกลุ้มใจ แต่ก็พยักหน้ารับ คำแปงกำลังง่วนคิดอะไรบางอย่าง
"ยกกล่องไปวางรวมกันซิ ...คำแปง"
คำแปงสะดุ้ง ทำตามที่นวลบอก
"ตั้งแต่เสียจรัสไป ป้ายอมรับว่าป้าห่วงไปหมด แต่พอเห็นหนูเข้มแข็ง ป้าก็สบายใจ กลับกรุงเทพแล้ว พยายามโทร.มาหาป้าบ่อยๆ นะลูก"
ณจันทร์ยิ้มกอดนวล
"หนูไปเก็บกระเป๋าก่อนนะคะ"
ณจันทร์เดินเข้าไป คำแปงมองตาม มีเรื่องอะไรบางอย่าง
ภายในห้อง ณจันทร์ เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเดินไปเปิด
"อ้อ น้าคำแปง เอ้อ ไม่ต้องมาช่วยหรอกค่ะ มีของแค่ไม่กี่ชิ้น"
"คือ… น้ามีของจะให้ค่ะ"
คำแปงมองซ้ายมองขวาแล้วเดินเข้าไปในห้องปิดประตู
"มีอะไรหรือคะ ทำท่าลึกลับจัง"
คำแปงยื่นห่อผ้าเก่าๆให้ ณจันทร์เปิดออกดู เห็นเขี้ยวเสือหนึ่งชิ้น ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่พ่อใหญ่ก่อนตายเคยให้กับคำสูรย์ไว้
"เขี้ยวเสือน่ะค่ะ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพวกพรานป่า พี่คำสูรย์แกกำชับไว้ว่า ต้องเอาให้คุณหนูก่อนวันครบรอบเบญจเพส"
"อาคำสูรย์หรือคะ"
"ค่ะ แกให้ไว้นานแล้วตั้งแต่ยังพูดจารู้เรื่องกว่านี้ แกบอกว่าเขี้ยวเสือเนี่ยจะช่วยปกป้องคุณหนูจากความชั่วร้าย โดยเฉพาะเสือตัวนั้น"
"นี่น้าคำแปงก็เชื่อสิ่งที่อาคำสูรย์พูดเหรอ"
"น้าแค่ทำในสี่งที่รับปากพี่คำสูรย์ไว้ แกบอกให้คุณหนูใส่ติดตัวไว้ตลอด แกย้ำว่า โดยเฉพาะวันที่จะครบเบญจเพส"
"ทำไมเหรอคะ"
"น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แกสั่งไว้แค่นั้น น้าเองก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะให้คุณหนูดีไหม กลัวคุณนวลว่าค่ะ คุณหนูใส่ไว้ก็แล้วกันนะคะ แล้วอย่าบอกคุณนวล ยังไงก็เป็นของมงคล ใส่ไว้ไม่เสียหลายหรอกค่ะ"
คำแปงรีบออกไป ณจันทร์มองเขี้ยวเสือ แล้วครุ่นคิด
บรรยากาศวุ่นวายของกรุงเทพฯ รถไฟฟ้าวิ่งไปมา ออฟฟิศของณจันทร์
กำแหงกำลังโวยวายอะไรบางอย่าง ด้วยท่าทางจริงจัง เขาเขวี้ยงบอร์ดเสนองานลงบนโต๊ะ เกรียงและวิฬาร์หน้าเสีย ประตูห้องยังเปิดอยู่ เพื่อนๆ คนอื่นต่างแอบมอง กำแหงผลุนผลันออกมาจากห้องประชุมนั้น ทุกคนเดินตาม
"ออกแบบอะไรมาไม่เห็นจะได้เรื่อง แผนงานโฆษณาก็เหมือนกัน ใช้ไม่ได้ ผมตั้งใจกับสินค้าตัวนี้มากนะคุณ ทำงานแบบนี้มา สินค้าผมจะบูมได้ไง"
"แต่เหมียวก็ทำตามที่คุณต้องการทุกอย่างนี่คะ" วิฬาร์บอก
"ไม่ต้องมาเถียง ณจันทร์อยู่ไหน ไปตามณจันทร์มาคุยกับผมเดี๋ยวนี้" กำแหงบอก
"เอ้อ… คุณณจันทร์ลาพักร้อนครับ ที่จริงงานตัวนี้ เราให้คุณวิฬาร์ เขาดูแลแทนแล้วมีอะไรคุณกำแหงบอกคุณวิฬาร์ก็ได้" เกรียงบอก
"คุณเปลี่ยนตัวเออีหรือ ใครสั่งไม่ทราบ จู่ๆนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ขอความเห็นชอบจากผมแล้วหรือ ทำงานแบบนี้ เปลี่ยนเอเจนซี่ ดีไหมเนี่ย"
"เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ คุณต้องการให้เปลี่ยนตรงไหนบ้างบอกมาเลย เดี๋ยวเหมียวจะให้คนเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้เลย"
"ไม่เอา ผมต้องการพบคุณณจันทร์ ตามคุณณจันทร์มาพบผมเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณตามคุณณจันทร์มาไม่ได้ ผมจะเปลี่ยนบริษัทโฆษณา"
ณจันทร์เข้ามาพอดี
"มีอะไรเหรอคะ คุณกำแหง"
เกรียงกับวิฬาร์โล่งอก
"คุณณจันทร์มาพอดีเลย ผมว่าคุณกำแหงเข้าไปคุยต่อดีกว่าครับ"
กำแหงมองณจันทร์นิดหน่อย แล้วเดินกลับเข้าห้องไป ทุกคนโล่งใจ
"กลับมาแล้วจ๊ะ เอ้าขนม" ณจันทร์พูดพลางยื่นขนมให้
ลูกปลาเดินมา
"ต๊ายมาพอดี มือถือก็ไม่เปิด ดีนะ โผล่มาทันเวลา รีบเลย รีบเลย"
ลูกปลาดึงณจันทร์ให้เข้าไป
ภายในห้อง ณจันทร์นั่งคุยกับกำแหง มีเกรียงและวิฬาร์อยู่ไกลออกไป วิฬาร์หน้างอ และโกรธมาก ทั้งคู่ไม่ได้ยินคำสนทนาแต่อย่างใด
"เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ คุณกำแหง ไม่ชอบตรงไหน บอกดิฉันมาก็แล้วกัน แล้วดิฉันจะไปจัดการบอกคุณเหมียวให้"
ณจันทร์กางงานออกมาให้ดู กำแหงทำหน้าไม่รู้ ไมชี้
"มันยาว พูดตรงนี้ไม่รู้เรื่องหรอก"
เขาทำหน้ากรุ้มกริ่ม พูดเสียงราวกระซิบ ไม่ให้เกรียงและวิฬาร์ได้ยิน เพราะกลัวเสียงภาพพจน์
"เราไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันดีกว่า คุณณจันทร์น่ะใจร้าย จะลากลับบ้านก็ไม่บอกผมสักคำ ปล่อยให้ผมโทร.มาตามอยู่นั่น"
ณจันทร์ถอนใจ ปิดงานทันที ชักรู้แกวว่ากำแหงต้องการอะไร วิฬาร์สังเกตท่าทางของทั้งคู่
"เอ่อ คุณกำแหงคะ คุณต้องเข้าใจนะคะว่า..."
กำแหงเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาอีกแล้ว ลุกขึ้นโวยวายหน้าตาเฉย
"ถ้าคุณไม่ทำตามความต้องการของผม ผมก็ขอยกเลิก เอเจนซี่เก่งๆ บริการดีๆ มีถมไป ก็รู้อยู่ว่างานยังใช้ไม่ได้ แทนที่จะปรับปรุง แบบนี้ไม่ต้องทง....ไม่ต้องทำแล้ว"
เสียงที่เริ่มดังของกำแหงทำให้เกรียงได้ยินชัดเจน เลยเดินเข้ามาทันที
"มีอะไรหรือเปล่าคุณณจันทร์"
ณจันทร์กลุ้มใจ จำใจรับปาก ทั้งรู้ว่ายังไงกำแหงคงไม่ยอมแน่
"ตกลงค่ะ"
กำแหงยิ้มกว้างหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง
"ก็แค่นั้นล่ะ เอาล่ะ เดี๋ยวผมมีประชุมต่อ เสียเวลามามากแล้ววันนี้ เฮ้อ ต้องให้มาตามเองถึงบริษัท ทีหลังไม่เอาแล้วนะ เสียเวลา"
กำแหงเดินกลับไปทันที เกรียงตามเอาใจ
"ผมขอโทษจริงๆนะครับ เรื่องความผิดพลาดทั้งหมด แล้วผมจะให้คุณณจันทร์แก้ไขให้ครับ เอ้อ ข้างนอก ๆ ใครช่วยไปส่งคุณกำแหงที"
กำแหงเดินวางมาดออกไป วิฬาร์มองณจันทร์อย่างไม่เป็นมิตร
"เอาเป็นว่าช่วงแรกให้ณจันทร์เค้าทำไปก่อนละกันนะ แล้วค่อยหาทางเปลี่ยนมือมาให้เหมียว"
วิฬาร์มองอย่างไม่พอใจก่อนไป
โต๊ะทำงานของวิฬาร์ในเวลาต่อเนื่องมา ณจันทร์ เดินออกมาหา วิฬาร์เก็บข้าวของ และหิ้วตะกร้าใส่แมวออกไปไป บอกเพื่อนข้างๆ น้ำเสียงขุ่นมัวว่า
"บอกนายด้วยฉันลางาน จะพาแมวไปหาหมอ"
ณจันทร์ เดินมา
"เราต้องคุยกันนะเหมียว"
แมวในตะกร้า คลานออกมาจะมาเห็นณจันทร์แล้วรีบคลานกลับไป ตัวสั่นงันงก
"ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ"
วิฬาร์เดินเชิดออกไป ไม่ยอมคุย ณจันทร์ผิดหวังมาก
กลางคืน วันเดียวกัน ภายในคอนโดมิเนียมของณจันทร์ ที่ตกแต่งอย่างโมเดิร์น มีโน้ตบุ๊ก มือถือทันสมัย เธอยู่ในชุดนอน จัดของออกมาจากกระเป๋าเดินทาง เขี้ยวเสือที่คำแปงให้ก็อยู่ในกระเป๋าใบนั้น เธอนั่งลงบนเตียงมองดูเขี้ยวเสือนั้น
เธอลุกจากเตียงเดินไปที่ระเบียง ฟากฟ้าคืนนี้ พระจันทร์ไม่เต็มดวง เว้าแหว่งในบางส่วน บรรยากาศแห่งความลึกลับผ่านเข้ามาพร้อมกับลมพัดเย็นยะเยือกเข้ามาวูบหนึ่ง เธอปิดหน้าต่าง แล้วเดินกลับเข้ามานอนบนเตียง หลังจากหลับไปสักพัก วิญญาณของจรัสเดินช้าๆเข้ามาข้างเตียง มองลูกสาวเศร้าสร้อย จรัสหยิบเขี้ยวเสือนั้นใส่ให้ลูกอย่างช้าๆ แล้วถอยมาดูลูกสาวอีกครั้งด้วยความห่วงใย
เธอตื่นขึ้นมา
"คุณพ่อ .... คุณพ่อจริงๆด้วย"
จรัสมองณจันทร์อย่างเศร้าสร้อย
"มีอะไรหรือคะคุณพ่อ"
จรัสบอกไม่ได้ เธอลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหาพ่อ
"หนูคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ"
ณจันทร์จะกอด แต่จรัสถอยห่างออกไป ไม่ยอมให้กอดแล้ววิ่งหนีออกจากห้อง
"คุณพ่อ คุณพ่อ"
ณจันทร์วิ่งตามพ่อออกไป
เธอวิ่งตามออกไป ขณะที่จรัสวิ่งหนีไปเรื่อยๆ พอลับมุมตึก จรัสก็หายไป ณ ตรงนั้น ณจันทร์งง
"คุณพ่อ คุณพ่อ"
เสียงโฮกใหญ่ของเสือดังขึ้น ตามด้วยเสียงเสือกัดอะไรบางอย่าง ณจันทร์วิ่งตามเสียงนั้นไป เห็นเสือกำลังกัดกินพ่ออยู่ เธอตกใจ
"คุณพ่อ"
เสือกัดกินพ่ออย่างดุเดือด เลือดสาดกระเซ็น โดนหน้าณจันทร์ เธอมองมือและหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วกรีดร้อง
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามา
ณจันทร์นอนอยู่บนเตียงในห้อง ที่แท้... เรื่องราวทั้งหมดเธอฝันไป เธอรับสาย
"ฮัลโหล"
เวลาเดียวกัน ภายในบ้าน ลูกปลากำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์พร้อมคุยโทรศัพท์ไปด้วย
ลูกปลาได้ยินเสียงหอบของณจันทร์เลยถาม
"แอโรบิกอยู่หรือ"
"เปล่าฉันฝันร้าย"
"เรื่องเสืออีกแล้วหรือ"
"อื้อ หมู่นี้ฝันเกือบทุกคืนเลย แต่คืนนี้แปลก ฉันเห็นพ่อเข้ามาหาใกล้ๆ เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรฉัน แต่พูดไม่ได้"
"จะบอกเป็นตัวเลขล่ะมั้ง" ลูกปลาพูดเล่นขำๆ
"บ้าสิ"
"จะโทร.มาเรื่องวันเกิดเธอพรุ่งนี้ ฉันนัดทุกคนเรียบร้อยแล้วนะ เจอกันที่ผับป้าแอน สองทุ่ม ฉันสั่งอาหารมังสวิรัติให้เธอแล้ว เอ๊ะ นี่วันเกิดฉันหรือเธอกันแน่ ทำไมฉันวุ่นวายอย่างนี้นะ"
ณจันทร์หัวเราะ
"เพราะเธอเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุดของฉันสิจ๊ะ ขอบใจมากนะที่เป็นธุระให้"
"จัดการอย่างเดียวไม่จ่ายตังค์ให้นะยะ เออนี่…พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมเรื่องงานอาหารสัตว์ด้วยนะ เค้านัดบ่ายโมงให้ไป รับบลีฟ"
"รู้แล้วจ้ะ" ณจันทร์วางหูแล้วพึมพำ "เฮ้อ…วันเกิดยังต้องทำงานอีก"
เช้าวันใหม่ หน้าคอนโดฯ ณจันทร์กำลังตักบาตรพระอย่างตั้งใจ พระถาม
"ปีนี้อายุเท่าไหร่"
"25 ค่ะ"
พระมองครู่หนึ่งอย่างสำรวจ
"หมั่นสร้างสมความดีนะ เพราะจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยพาลทั้งปวง"
"ขอบคุณค่ะ"
ณจันทร์พนมมือไหว้ รับพรพระ เธอสูดลมหายใจลึก สบายใจ
หน้าโต๊ะแต่งตัว ในเวลาต่อมา ณจันทร์หยิบนาฬิกามาใส่ แล้วชะงัก เมื่อมองไปที่เขี้ยวเสือ
ณจันทร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเก็บเขี้ยวเสือลงลิ้นชัก
อ่านต่อหน้า 2
เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่บริษัทอาหารสัตว์ ณจันทร์เข้ามาติดต่อเลขาฯ
"ดิฉันมาจากพลัสวันค่ะ เรื่องทำโฆษณาอาหารสุนัข"
"อ๋อ บริษัทโฆษณาที่นัดไว้ใช่ไหมคะ เอ้อ… คือว่ากำลังจะโทร.ไปอยู่พอดีว่า คุณปักษะมีงานด่วน เพิ่งออกไปเมื่อกี้เองค่ะ" เลขาฯบอก
"เหรอคะ แล้วเอ่อ…"
ปฏิมาและวิรัชเดินออกมา กำลังจะออกไปข้างนอกพอดี
"มันหายไปอีกแล้วเหรอ เฮ้อ…ให้มาช่วยงานแต่หายหัวไปไหนทุกวัน แล้วนี่ฉันจะฝากอนาคตของบริษัทกับมันได้ยังไงกัน มันหายไปไหนของมันหา" ปฏิมาว่า
เลขาบอก
"ไปโรงพยาบาลสัตว์ค่ะ คุณอา อาชามาบอกว่ามีงานด่วนของมูลนิธิ"
"อีกแแล้วเหรอ…ต้องขอโทษด้วยครับที่ลูกผมมันผิดนัดคุณอย่างนี้ มันทำงานที่มูลนิธิมากกว่าที่บริษัทเสียอีก แล้วนี้จะทำยังไงดี" ปฏิมาหันไปบอกเลขา "ต่อโทรศัพท์ให้ชั้นหน่อย...สักครู่นะครับ"
ณจันทร์พยักหน้า ครู่หนึ่งเลขาพูดขึ้น
"เอ่อ…คุณปักษะปิดมือถือค่ะ"
"นั่น…ให้มันได้อย่างนี้สิ"
"เอ่อ คือยังไงโฆษณาชิ้นนี้ก็ต้องผ่านคุณปักษะ ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ ดิฉันจะตามไปพบกับคุณปักษะที่โรงพยาบาลที่ว่านี้เอง เอ ไม่ทราบมีที่อยู่ของโรงพยาบาลไหมคะ"
"แหม...หนูนี่เอาจริงเอาจังดีจริงๆ ใช้ได้ใช้ได้ ถ้างานหนูดีจริง ผมจ้างหนูแน่ ไม่ต้องห่วง"
พนักงานจดที่อยู่ให้
"นี่ค่ะ"
ณจันทร์รับมามอง
"งั้นหนูไปเลยนะคะ"
"ดี แล้วฝากบอกมันด้วย ว่า ไอ้ลูกอกตัญญู ถ้ามันยังทิ้งงานทิ้งการอย่างนี้อีก จะตัดมันออกจากกองมรดก แล้วจะให้มันหาเงินค่าเล่าเรียนที่ส่งมันจนจบปริญญาโทมาคืนทุกบาททุกสตางค์ทีเดียว"
ณจันทร์ยิ้มเอ็นดูที่ปฏิมาพูดจาตรงไปตรงมา
"แล้วหนูจะ บอกให้ค่ะ"
ณจันทร์พูดล้อเล่นอารมณ์ดีออกไป
ภายโรงพยาบาลสัตว์ ท่ามกลางบรรยากาศการรักษาพยาบาลสัตว์ที่แสนจะวุ่นวาย
ในมุมหนึ่งเห็น อาชาคุยโทรศัพท์อยู่กับตำรวจที่สถานี
ใครคนหนึ่งกำลังช่วยหมอดูแลสัตว์อย่างห่วงใย
อาชาบอก
"โอเค ได้เรื่องยังไงโทร.มาที่เบอร์นี้นะ ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล เอาพวกสัตว์มาไว้ที่นี่ก่อน จะเอาไปที่ส.น. ก็วุ่นวายเปล่าๆ มีอะไรโทร.มาแล้วกัน"
เมื่ออาชาวางหูแล้ว หันไปถาม
"เฮ้ย ทั้งหมดมีกี่ตัววะ ปักษะ"
ใครคนนั้นคือ ปักษะ ซึ่งหันมา เขาอยู่ในชุดยีนส์ เสื้อยืดขาวดูทะมัดมะแมง
"ทั้งหมด 22 ตัว มีทั้ง ลิง หมี ชะนี เสือ นก เฮ้อ เป็นการจับพวกลักลอบขนสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในรอบปีเลย"
"คราวซวยของคนขับรถ มันดันไปเฉี่ยวกับมอเตอร์ไซด์ เลยถูกจับได้ ขอบใจที่แกมาช่วย ไม่งั้น ฉันก็คงไม่รู้จะจัดการยังไงกับพวกมัน นี่คนขับมันไม่ยอมเปิดปากเลยนะว่ามันทำงานให้ใคร"
"จับไอ้ตัวบงการได้เมื่อไหร่ อย่าลืมบอกฉันด้วย จะจับมันมาเสียบไม้ทำหมูหันเสียเลย"
อาชาหัวเราะ
"ใจเย็นๆเพื่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฏหมายเถอะ เราเป็นเจ้าของคดีนี้เอง เราจะจัดการเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบแน่"
"ขอบใจเพื่อน ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ นี่เจ้าหน้าที่ประสานงานของมูลนิธิ ชื่อคุณวีระ"
ปักษะแนะนำเจ้าหน้าที่ ซึ่งแต่งตัวผูกไทค์เต็มยศ ดูดีกว่าปักษะที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบง่ายๆ
"นายจะเอาข้อมูล เอาเครื่องมือ หรือแม้แต่ต้องการเงินสนับสนุน บอกเขาได้เลย"
"เงินสนับสนุนที่ว่านี่เงินป๋า ใช่ไหม บริษัทป๋านาย กลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ โดยไม่รู้ตัวไปแล้วล่ะสิ"
"ก็ทำนองนั้น ... นี่ฉันได้รับเลือกเป็นประธานมูลนิธิด้วยนะ ป๋ายังไม่รู้เลย ถ้ารู้โดนสวดอีกแน่"
ครู่หนึ่งมีเจ้าหน้าที่มาหา
"เออ…คุณปักษะคะ มีคนมาขอพบค่ะ"
"ใคร"
"เห็นบอกว่ามาจากบริษัทโฆษณา ชื่อณจันทร์ค่ะ"
ปักษะ เดินมาหาณจันทร์ที่นั่งรออยู่ในมุมหนึ่งของโรงพยาบาล
"คุณณจันทร์ใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ"
"ผมปักษะครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณลำบาก มาตามหาผมถึงนี่ พอดีมีเรื่องด่วนน่ะครับ"
"คุณปฏิมาบอกทางบริษัทว่าต้องการให้โฆษณาออกให้เร็วที่สุด ดิฉันก็เลยอยากฟังข้อมูลจากตัวคุณ เพื่อเราจะเอาไปออกแบบโฆษณาค่ะ"
"ผมไม่ค่อยรู้เรื่องงานพวกนี้เลย คุณจะเอาข้อมูลอะไรล่ะครับ"
"ข้อดีของสินค้าอาหารสุนัขตัวนี้น่ะค่ะ หมายถึงเปรียบเทียบกับสินค้าคู่แข่ง"
ปักษะพูดหน้าซื่อ
"ไม่มีเลยครับ"
เธอไม่เคยเห็นใครพูดตรงอย่างนี้เลย
"เอ้อ คือมันต้องมีสิคะ"
"ก็ไม่มีจริงๆนี่ครับ ส่วนประกอบก็เหมือนเขาทุกอย่าง"
"ถึงยังไงก็ต้องหาให้ได้ค่ะ คุณต้องลองพยายามคิดดู ถ้าไม่มีจริงๆ ดิฉันคงต้องให้ทางฝ่ายครีเอทีฟ คิดอะไรขึ้นมาสักอย่าง"
"อย่างงั้นเลยเหรอครับ เอาไงดี"
ปักษะคิดๆ พยาบาลเข้ามาเรียก
"คุณปักษะคะ คุณหมออยากให้คุณเข้าไปพบค่ะ เรื่องอาการป่วยของสัตว์ที่เพิ่งเอามาน่ะค่ะ"
"เออ…ครับได้ครับ งั้นขอตัวสักครู่นะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
ปักษะทิ้งเธอไว้แถวๆหน้าห้องที่เข้าไปนั้น
หมอเอาลิงตัวหนึ่งออกมาจากกรงเพื่อตรวจอาการ แล้วบอกปักษะ
"อาการของสัตว์ส่วนใหญ่ อ่อนแอมาก บางตัวก็เป็นโรคเรื้อรัง ดูอย่างเจ้านี่ผมต้องเอาเข้าห้องผ่าตัดด่วน"
ปักษะพยักหน้า หันมาลูบหัวลิง
"น่าสงสารจริงๆเลย เจ้าเปี๊ยกเอ๊ย จัดการไปเลยนะครับ"
หมอกับพยาบาล เอาตัวลิงไป
ณจันทร์มองเวลาที่ผ่านไป ปักษะก็ยังไม่ออกมา เธอชะเง้อมองเข้าไปเห็นปักษะยังคุยอยู่กับหมอ เธอตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
ณจันทร์เปิดประตู สัตว์ต่างๆ พอเห็นเธอเข้า จากที่เคยเซื่องซึม ต่างลุกขึ้นมองแล้วเดินพล่าน เสียงดังก๊อกแก๊กทั่วทั้งห้อง เธอหยุดมองไม่กล้าเดินต่อไป พยาบาลที่เฝ้าอยู่ แยกย้ายกันไปดู
"จู่ๆเป็นอะไรของเขา" ปักษะว่าพลางมองไปทางณจันทร์ เพิ่งเห็นว่าเข้ามา
"ดิฉันมีธุระต้องรีบไปน่ะค่ะ เลยจะมาลา"
"อ๋อ โอเคครับ แล้วเรื่องงาน"
"คุณช่วยเตรียมเอกสารเรื่องของอาหารสัตว์ให้เราได้ไหม เอาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็คงต้องขอเวลาช่วงนี้คุยกันบ่อยหน่อย"
"ได้ครับได้ เออ..ขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้ผมทำให้คุณลำบาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
เธอพยักหน้าให้เชิงอำลาแล้วเดินออกไป ทันทีที่ณจันทร์ออกไป สัตว์ต่างๆ ค่อยหยุดอาการวุ่นวาย เสียงเงียบลง ปักษะมองไปรอบๆ
"เออแปลกดีแฮะ เจ้าพวกนี้ พอคุณณจันทร์นั่นเข้ามาก็วิ่งกันทั่ว พอเขาออกไปก็หาย อะไรกันวะ"
อาชาเดินมาหา
"สัตว์พวกนี้มันคงเป็นตัวผู้มั้ง"
"ทำไมวะ"
"สวยขนาดนี้ ไม่ตื่นก็แย่แล้ว แกคุยตั้งนานไม่ตื่นหรือไง"
ปักษะยิ้มส่ายหน้าให้อาชา
เย็นวันเดียวกัน ณจันทร์เดินกลับมาที่ห้อง บัวทำความสะอาดอยู่ในห้อง
"กลับเร็วนะคะวันนี้"
"กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า จะออกไปทานเลี้ยงกับเพื่อน วันนี้วันเกิดฉันเอง"
บัวเก็บอุปกรณ์
"จริงหรือคะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ เอ๊ะขอโทษ ปีนี้คุณณจันทร์อายุเท่าไหร่คะ ถ้าให้ทาย ยี่สิบสาม"
"ยี่สิบห้าแล้วจ๊ะ"
"คุณเบญจเพสพอดี อย่าลืมไปทำบุญนะคะ เมื่อปีที่แล้วบัวก็เบญจเพสเหมือนกันโอ๊ย เกือบเอาตัวไม่รอด"
เธอเตรียมเสื้อผ้าจะอาบน้ำ
"ทำไมหรือจ๊ะ"
"ไปทอดผ้าป่าค่ะ ตรงกับวันเกิดพอดี๊เลย คนขับทำอีท่าไหนไม่รู้ร ถงี้ไปเฉี่ยวกับเสาไฟ คนอื่นไม่เป็นอะไร มีหนูคนเดียว ขาหัก ต้องเข้าเฝือกทำงานไม่ได้เป็นเดือน เขาว่านะคะ คนเบญจเพส ไม่โชคดีก็โชกเลือดไปเลย"
เธอยิ้มหวั่นใจ บัวเดินออกจากห้องไป
ผ่านเวลา ... ดวงจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญ เสียงลมกรรโชกไปมา จันทร์กำลังอาบน้ำ ครู่หนึ่งมีเลือดหยดลงพื้นในห้องน้ำ เธอแปลกใจมองแผลยาวที่ข้อมือ เห็นเลือดไหลซึมออกมา
ก็ตกใจ
ณจันทร์เอายาทาแผลที่มือ
"ทำไมจู่ๆ เลือดออกขึ้นมาได้นะ"
เธอชักกลุ้มใจเดินออกไปที่ระเบียงมองพระจันทร์ในคืนเพ็ญ เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ลมพัดยอดไม้ไหว ยะเยือกเย็น ลมพัดใบไม้ปลิวเข้ามาที่ระเบียง จนเธอต้องหันหน้าหลบ เธอไม่สบายใจเลย
ณจันทร์ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักหยิบเขี้ยวเสือออกมาดู นึกถึงคำพูดของคำแปง และคำสูรย์
"พี่คำสูรย์บอกให้ใส่โดยเฉพาะในวันที่จะถึงเบญจเพส"
"เสือมันยังไม่ตาย เสือมันยังไม่ตาย"
เธอครุ่นคิด
บนท้องถนนยามค่ำ รถของณจันทร์ วิ่งไปในความมืด โทรศัพท์ดังขึ้น เธอรับสาย
ผับป้าแอน ยามค่ำ คนมาฟังเพลง ส่วนลูกปลากำลังคุยโทรศัพท์กับณจันทร์ ด้านหลังเห็นทุกคนกำลังรุมล้อมโต๊ะหนึ่งซึ่งมีผ้าล้อมอยู่ใกล้ๆ
"นี่พวกเรามากันเกือบครบแล้วนะ รอเจ้าภาพมาเปิดงานอยู่เนี่ย"
"เออ…น่า กำลังรีบไปอยู่นี่แหละ ลงมือกันไปก่อนเลยไม่ต้องรอฉัน
"โอ๊ย…ตอนนี้ไม่มีใครสนใจจะกงจะกินแล้ว เพราะป้าแอนเค้าพาหมอดูมาเปิดซิงที่ร้าน เห็นว่าดูแม่นมากคนเลยเข้าคิวกันเพียบเลย" เสียงลูกปลาตะโกน "เฮ้ย…อย่าแซงคิวฉันนะโว้ย" ... แล้วพูดคุยโทรศัพท์ต่อ "เห็นป้าแอนว่าชื่อ เทพนิมิตร แค่จับมือเค้าก็รู้เลยว่า นิสัยยังไง แต่ถ้าให้ชัวร์ต้องดูไพ่ยิปซี"
"เออ…เออไม่ต้องโม้มาก ชั้นขับรถอยู่แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน"
ณจันทร์วางหู
หน้าห้องห้องหนึ่งที่กั้นผ้าไว้มิดชิด พวกลูกปลาค่อยๆแหวกผ้าดู เห็นหมอดูแต่งตัวเป็นยิปซีเวอร์ๆ ท่าทางดุ เคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง หมอดูกำลังนั่งดูไพ่ให้ลูกค้าคนหนึ่งอยู่ เพียงไม่นาน ลูกค้าคนนั้นก็เดินออกมา
ป้าแอนเช็กเรตติ้ง
"เป็นไงคะคุณ"
"เยี่ยมครับเยี่ยม อย่างกับตาเห็นเลยครับ"
ลูกค้าเดินหน้าทึ่งออกไป
"ต่อไปเป็นคิวใครเนี่ย"
แอนจะเดินไป สมชัยกับลูกปลาเหมือนจะรู้แกว แย่งกันเข้าห้อง เบียดกันไปมาจนเข้าประตูไม่ได้
"ฉันก่อน"
"ฉันก่อนย่ะ" สมชัยว่า
หมอเทพนิมิตรเดินมา ทั้งสองหยุด ท่าทางหมอดูดุ มีอำนาจ หยิ่งยโส
"วันนี้พอแค่นี้ ฉันขี้เกียจดูแล้ว" เทพนนิมิตรท่าทางเซอร์มาก " น้องแอน ขอเหล้า
แก้วสิ"
เทพนิมิตรไม่สนใจเดินผ่านพวกลูกปลาไป ป้าแอนพยักหน้าท่าทางเกรงใจ เดินตามไป
สมชัยร้อง "อ้าว!"
"อะไรวะ อุตส่าห์จองคิวไว้ตั้งนานนะเนี่ย เฮอะไม่ดูก็ไม่เป็นไรเนอะ ไม่ต้องเสียตังค์ โธ่..จะถามเรื่องเนื้อคู่ซะหน่อย" ลูกปลาว่า
"อ๋อ..เรื่องเนื้อคู่เธอน่ะ ฉันดูให้ก็ได้..เอามือมาสิลูกปลา ... อย่างเธอเนี่ย เนื้อคู่มารอเธออยู่แล้วแต่เธอไม่เห็นเอง"
"จริงเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่"
"ชาติหน้าไง"
ณจันทร์จอดรถเดินเข้าผับ คืนนี้ ...ลมพัดแรงกว่าทุกคืน เธอเอามือไปจับเขี้ยวเสือที่ห้อยคอไว้ เดินผ่านเข้ามาในร้านชนกับหมอดูที่กำลังจะเดินไป
"ขอโทษค่ะ"
เทพนนิมิตรปะทะกับณจันทร์ชัดๆ แล้วชะงักอึ้งไป เธอเดินผ่านไปแล้ว แต่หมอยังมองตามร่างนั้นด้วยความสะดุดใจ
ณจันทร์เข้าไปทักทายกับเพื่อนๆในบรรยากาศเฮฮา เทพนิมิตรมองตามเธอแล้วคิด... ขณะที่ณจันทร์เข้าไปทักทายสวัสดีแอน
"สวัสดีค่ะ... ป้าแอน"
ลูกปลาเดินเข้ามาหา
"ณจันทร์มาแล้ว..เฮ้ยณจันทร์มาแล้ว ... นี่กว่าจะเสด็จมาได้ พวกชั้นหิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย"
"อ้าวก็บอกให้กินกันไปก่อนเลยไง"
"ใครจะกล้าเจ้ามือยังไม่เปิดงานเลยนี่...ไม่เหมือนยัยสมชัย ดูสิ เล่นงัดไวน์นอกมาบิลด์ก่อนเลย"
สมชัยกรึ่ม หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์
"อ้าวแหม...ของอย่างนี้มัวช้าก็ไม่ทันเมาน่ะสิ เอ้า วันเกิดดื่มน้ำมังสวิรัติซะหน่อยนะ"
เธอถูกคะยั้นคะยอจนต้องดื่ม
"นั่น..หมดแก้วเลยซี ณจันทร์"
เทพนิมิตรเรียกบ๋อยเข้าไปกระซิบ บ๋อยพยักหน้า ณจันทร์ดื่มไวน์ไปเฮือกใหญ่ จนลูกปลาต้องมาเอาแก้วคืน
"พอแล้ว ยายณจันทร์คออ่อนอย่างกับอะไรดี ไวน์นี่แรงนะยะ"
บ๋อยคนนั้นเดินมากระซิบแอน เธอมองไปทางเทพนิมิต
"ต๊ายเธอนี่โชคดีมากเลยนะ คุณเทพนิมิตหมอดูของป้า เขาเสนอจะดูไพ่ยิปซีให้เธอฟรี เป็นของขวัญวันเกิด"
แอนชี้ไปทางเทพนิมิต เธอยิ้ม พยักหน้าให้เชิงขอบคุณ เทพนิมิตยกแก้วชูให้ แต่ไม่ยิ้ม ท่าทางเธอไม่ค่อยมีอัธยาศัยกับใคร
"อย่าดีกว่าค่ะ ฝากบอกเขานะคะ ว่าหนูขอบคุณมาก"
ลูกปลาบอก
"เฮ้ย ของฟรีนะ วันเกิดด้วย ดูสักหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย"
"นี่ใคร ๆ เค้าก็ว่าแม่นกันทั้งนั้นนะ แล้วเลือกลูกค้าด้วยนะเนี่ย สมชัยกับลูกปลาจะดูยังไม่ยอมดูเลย..เธอถือว่าโชคดีมากเลยนะที่เค้าเรียกดูเนี่ย"
ณจันทร์คิดๆ แล้วตัดสินใจ
"เอ้า! อยากรู้เหมือนกันว่าจะแม่นแค่ไหน"
ในห้องหมอดู ณจันทร์กับเพื่อนเข้า เทพนิมิตรนั่งรออยู่แล้ว เธอเตรียมไพ่
"คนอื่นออกไปให้หมด"
ลูกปลากับณจันทร์ทำหน้ากันว่า ดุเหลือเกิน
"ค้า...ทราบแล้วค่ะ พวกเราไปรออยู่ที่โต๊ะนะ"
เพื่อนๆออกไป เหลือแต่ณจันทร์กับหมอดูเทพนิมิตรเท่านั้น
"คือความจริงหนูไม่ค่อย..."
เทพนิมิตรยกมือขึ้นทำนองว่าหยุดพูด แล้วดึงมือณจันทร์มาดู
"เส้นลายมือสีม่วงจริงๆด้วย นึกแล้วไม่มีผิด"
เทพนิมิตรยื่นหน้าเข้าไปจ้องจนใกล้ เธอถอยห่างด้วยความงงงวย
"เส้นสีคล้ำตรงหว่างคิ้ว บอกว่า กงล้อของโชคชะตากำลังชักนำบางสิ่งบางอย่างมาหาคุณ ฉันเห็นคุณตั้งแต่เข้ามาแล้ว เลยอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร... สับไพ่สิ แล้วเลือกมา 10 ใบ ถนัดมือขวาใช่ไหม งั้นใช้มือซ้ายเลือกไพ่ ออกมา"
ณจันทร์สับไพ่ แล้วเลือก ไพ่วางบนโต๊ะประมาณ 10 ใบ
เทพนิมิตรเปิดใบแรกเป็นราชินีพระจันทร์
"ราชินีพระจันทร์ ผู้หญิงที่เกิดใต้อำนาจของพระจันทร์ คุณเกิดวันเพ็ญหรือไม่ก็เป็นกำพร้า... อย่างไหนล่ะ"
เธออึ้งกับคำตอบ
"ว่าไง"
"ทั้งสองอย่างค่ะ"
เทพนิมิตรเปิดไพ่ใบต่อมาเป็นเดอะซัน
"เป็นคนที่มีภาพพจน์ดีมากในสายตาคนรอบข้าง"
เธอนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ชักทึ่ง เทพนนิมิตรเปิดอีกใบ เป็นไพ่เจ้าชายออกมา
"ไพ่เกี่ยวกับความรัก ในระยะเวลาอันใกล้ จะมีชายรูปงามผู้มากับหัวใจ อ่อนโยนเข้ามาในชีวิตคุณ ไพ่ก็ดูจะดีนะ"
ณจันทร์ยิ้มดีใจ ถามต่อ
"แล้วเขาเอ้อ เป็นเนื้อคู่หรือคะ"
"เรื่องนั้นน่ะไม่มีใครฟันธงลงไปได้หรอก มันขึ้นกับการตัดสินใจของเรา"
เทพนิมิตรฉายยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเปิดไพ่อีกใบ เป็นเดอะ สตาร์
"เธอมีความหวังในอนาคตที่สวยหรู"
เทพนิมิตรหงายไพ่ใบต่อมาเป็น วีล ออฟ ฟอร์ทูน หรือ วงล้อแห่งโชค
"แต่ชะตาชีวิตของเธอในระยะอันใกล้นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจเกิดมาจาก…"
เทพนิมิตรหงายไพ่อีกใบ เป็นเดอะ มูน...
"ไพ่เดอะ มูน อำนาจลี้ลับที่ต่อต้านไม่ได้"
เทพนิมิตรอึ้ง แล้วเปิดไพ่ใบต่อไป เป็นไพ่หนึ่งดาบ
"ไพ่หนึ่งดาบ ความลำบากใจใหญ่หลวง"
ตามด้วยไพ่ทาวเวอร์ ... ตึกถล่ม
"ไพ่ทาวเวอร์ ความอลหม่าน วุ่นวาย"
การอ่านไพ่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มของเทพนิมิตรฉายแววเครียดเมื่อมองหน้าผู้ถูกทำนายตรงหน้า แล้วเมื่อเปิดไพ่ใบถัดไป ...
"ไพ่เดต ความตาย"
เทพนิมิตรตกใจมาก
"นี่มันอะไรกัน"
"มีอะไรหรือคะ"
"ค่ำคืนที่เหน็บหนาวและเดียวดาย แขกที่ไม่ได้รับเชิญ การหลอมรวมกันของกลางวันและกลางคืน ชีวิตและไร้ชีวิต นรกและสวรรค์ นี่มันอะไรกัน"
ณจันทร์ตกใจมาก นั่งตัวตรงทันที
"คุณกำลังทำให้ดิฉันกลัวนะคะ"
" เอ้อ ขอโทษ ฟังให้ดีนะ คุณกำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงสำคัญที่สุดของชีวิต ในเวลาอันใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จงตั้งสติ ยอมรับและจัดการกับมัน"
"หมายถึงเรื่องอะไรคะ ที่ว่าเปลี่ยนแปลง"
"ทุกเรื่อง เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ….ยังเหลือไพ่ใบสุดท้ายอีกใบหนึ่ง มันจะเป็นคำตอบของเรื่องทั้งหมด ไพ่ใบนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่าผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นยังไง มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้"
หมอเทพนิมิตรกำลังจะเปิดไพ่ แต่บ๋อยคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามา ทั้งสองตกใจเพราะกำลังลุ้น
"คุณเทพนิมิตครับ โทรศัพท์" บ๋อยบอก
"ฉันเคยบอกแล้วไงว่าห้ามรบกวน"
"เอ้อ ขอโทษครับ พอดีมีคนโทรมาบอกว่าคนขับรถของคุณขับรถชนรถบรรทุกครับ"
"อะไรนะ"
"เห็นเค้าว่าจะรีบมารับคุณน่ะครับ ตอนนี้อยู่หน้าปากซอย อาการหนักด้วยครับ"
เทพนิมิตรวางไพ่ลงที่เดิม ยังไม่เปิด
"บ้าจริง"
เทพนิมิตรหงุดหงิดเดินออกไป ณจันทร์ได้แต่มองตาม รู้สึกเสียเส้นที่ถูกขัดจังหวะสำคัญ เธอมองไพ่ใบสุดท้ายที่ยังปิดอยู่ แล้วตัดสินใจ เอื้อมมือช้าๆไปเปิดมันเอง
ไพ่หยิบไพ่บสุดท้ายนั้นหงายขึ้นเป็นรูปปีศาจน่ากลัว
"เดวิล ปีศาจ"
เธอกลัวจนจ้องทิ้งไพ่ใบนั้นลงบนโต๊ะทันที แล้วเดินหนี
ทิ้งให้ดวงตาปีศาจนั้นจ้องมองอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2
เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ณจันทร์ออกมายืนเหม่ออยู่หน้าห้องทำนาย ลูกปลาเดินมาเจอ แล้วจับมือ
"อ้าวเสร็จแล้วหรือ เป็นอะไรไปน่ะ ตัวสั่นไปหมดเลย มีอะไรหรือณจันทร์"
"เออ...ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ"
ทั้งสองเดินออกไป สีหน้าเธอกังวล ลมยังพัดแรง
ผ่านเวลาไปเล็กน้อย แอนกำลังจุดเทียนที่เค้กวันเกิด ลมพัดกรรโชกแรง เข้ามาทางหน้าต่างจนเทียนดับ เด็กในร้านช่วยเหลือด้วยการป้องไม่ให้ลมพัด
"โอ๊ยไม่ติดเสียที ต๊ายลมแรงจริงวันนี้ หน้าร้อนแท้ๆ เอ้าไปปิดหน้าต่างก่อน ปิดให้หมดเลย"
เด็กในร้านปิดหน้าต่าง ป้าแอนจุดเทียนต่อไป
อาหารวันเกิดหมดแล้ว ลูกปลาและเพื่อนๆ คุยกับณจันทร์อยู่ เสียงเพลงที่เปิดอยู่หยุด แล้วกลายเป็นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ แอนถือเค้กออกมา ผองเพื่อนปรบมือ ร้องเพลงตาม ป้าแอนบอกแขกทุกคน
"วันนี้วันเกิดคุณณจันทร์แขกของเรา ขอให้ทุกคนร่วมร้องเพลงด้วยกันนะคะ"
แขกหันไปมอง บางคนปรบมือร่วมสนุกไปด้วย ป้าแอนถือเค้กมาที่ณจันทร์
"เค้กนี่ อภินันทนาการจากป้าแอนเองจ๊ะ ขอให้มีความสุขมากๆ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"ขอให้มีชีวิตใหม่ที่อเมซซิ่งมากๆนะจ๊ะ" ลูกปลาบอก
"ยายนี่อวยพรแปลก เขามีแต่ขอให้มีความสุขมากๆ" สมชัยว่า
"สุขเฉยๆ ก็เสียดายชีวิตวัยมันส์สิจ๊ะ ถ้าเอเมซซิง ทุกอย่างจะน่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ได้อเมซซิ่งโบนัสก้อนใหญ่ๆ ได้แฟน อเมซซิ่งแมน แฟนทั้งหล่อ ทั้งรวย แหม นี่ ถ้ามีเข้ามาจริงๆ ต้องลองนะอย่าพลาด อย่างที่เขาบอก เมืองไทยไม่ไปไม่รู้ อันนี้ก็ต้องเป็น ชายไทยไม่ลอง ไม่รู้"
เพื่อนๆ ต่างกิ๊วก๊าวกัน
"เอ้า เอาก็เอา ขอให้ชีวิต ใหม่ของณจันทร์ อเมซิ่งมหัศจรรย์พันลึกผิดผู้ผิดคน ไปเลย" สมชัยบอก
เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์จบท่อนพอดี เธอตั้งท่าจะเป่าเทียน แต่ลมพัดเข้ามา หน้าต่างบานหนึ่งเปิดออก แล้วพัดเอาเทียนดับเสร็จสรรพ ณจันทร์งง ทุกคนชะงัก
"แหมลมแรงจริง ปิดหน้าต่างแล้วนะนี่ ไม่เป็นไรจุดใหม่ๆ" แอนบอก
เพื่อนๆช่วยกันจุดใหม่ แต่ณจันทร์เริ่มหน้าซีด มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเยอะเหลือเกินในวันนี้ เค้กมาใหม่ ... ณจันทร์เป่า
ควันจากเทียนลอยเต็มหน้า จนเธอเกิดอาการเวียนหัว ซวนเซ
"เป็นอะไรไป" ลูกปลาถาม
"ฉันเวียนหัว"
"เพราะไวน์ขวดนั้นล่ะสิ บอกแล้วว่ามันแรง กินเข้าไปตั้งเยอะ"
ลูกปลา รีบประคองเพื่อนไปนั่ง
"เอ เอาไงดี เดี๋ยวไปขอยาดมป้าแอนมาดีกว่า"
ครั้นได้นั่ง อาการก็ดีขึ้น
"ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับเลยดีกว่า"
"อ้าวกลับแล้วหรือ"
"พวกเธอก็อยู่ต่อกันก่อนสิจ๊ะ"
"แล้วขับรถไหวหรือ"
ณจันทร์พยักหน้า รีบเดินไป จะกลับบ้านท่าเดียว
"งั้นพวกเธอก็กินกันไปก่อนนะ ฉันไปส่งณจันทร์ก่อน เป็นไงเล่า เพราะไวน์ของเธอ งานกร่อยเลย"
ลูกปลาบ่นสมชัยแล้วเดินตามเพื่อนไป
หน้าผับ ลูกปลาส่งณจันทร์ขึ้นรถ
"ขับไหวแน่นะ ณจันทร์"
เธอพยักหน้า ขับรถออกไป
ฟ้าเบื้องบน เมฆดำลอยผ่านเข้ามายังดวงจันทร์ในคืนเพ็ญ ในบรรยากาศมาคุ
ณจันทร์กระสับกระส่าย ครั่นเนื้อครั่นตัวระหว่างขับรถกลับจนถึงคอนโดฯ เธอวิงเวียน ปวดหัวคล้ายจะอาเจียนครั้นถึงห้องก็ล้มตัวนอนลง ราวกับคนเมาที่ไร้เรี่ยวแรง เธอระสับกระส่าย หันซ้ายหันขวาไปมา
ลมพัดม่านปลิว บรรยากาศภายนอกเงียบสงบสงัดภายใต้แสงจันทร์ ฟ้าแลบแปลบปลาบ
เธอดิ้น ครึ่งหลับครึ่งตื่น จู่ๆ มือก็ไปปัดเขี้ยวเสือที่ห้อยคอออกโดยไม่รู้ตัว เขี้ยวเสือที่ใส่อยู่หลุดหล่นลงมาที่ใต้เตียง
ลมกรรโชกมาแรงขึ้นๆ พระจันทร์กลายเป็นสีแดงเหมือนคืนนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ลมพัดเข้ามาจนหน้าต่างเปิดออก เสียงดังปัง! ข้าวของหล่นแตกกระจาย แต่เธอกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นได้แต่นอนกระสับกระส่ายไปมา
เสือย่างเท้าค่อยๆก้าวเข้ามาในป่าคืนเดียวกัน ดูน่ากลัว เสียงคำรามนั้นราวกับจะประกาศอำนาจอย่างยิ่งใหญ่และกึกก้องลั่นไปทั้งราวป่า เสียงคำรามนั้นทำให้ คำสูรย์สะดุ้งตื่นขึ้น เหงื่อโทรมกายกาย
"มันกลับมาแล้ว มันมาแล้ว"
คำสูรย์ทะลึ่งพรวดคลุ้มคลั่งออกไปจากห้อง ท่าทางกลัวลนลาน
อีกฟาก ที่กรุงเทพฯ ลมพัดแรงขึ้นๆ เขี้ยวเสือแตกกระจาย ณจันทร์สีหน้าเจ็บปวด
ฝ่ายคำสูรย์ร้องโวยวายวิ่งพล่านไปทั่วห้องรับแขก ภายในบ้านนวล
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย นาย นายอยู่ไหน มันตื่นขึ้นมาแล้ว มันกลับมาแล้ว นาย นายช่วยคุณหนูณจันทร์ด้วย"
ไฟในบ้านเปิดสว่างขึ้น นวลและคำแปงวิ่งออกมาดู
"พ่อคำสูรย์ อะไรกัน... ดึกแล้วนะ เกรงใจคนอื่นบ้าง"
"เสือตัวนั้น ...มันตื่นขึ้นมาแล้ว ผมรู้ ผมเห็นมัน มันตื่นขึ้นมาแล้ว มันจะกลับมาล้างแค้นพวกเราทุกคน"
นวลมองหน้าคำแปง ชักเอะใจ คำแปงดูตื่นกลัว
"เสือเหรอพี่"
"คุณหนู !... อย่าให้คุณหนูเป็นอะไรเลย ฮือ เสือมันตื่นแล้ว มันกำลังตื่นขึ้นมาแล้ว"
"เสือหรือ"
คำแปงกลัวมาก ส่งสายตามองนวลว่าเอาไงดี
เงาของเสือนั้นทอดเดินเข้าไปใกล้ห้องณจันทร์ทุกขณะ ภายในห้อง เธอกระสับกระส่ายไปมา
คำแปงประคองคำสูรย์มาในห้องโดยมีนวลคอยกำชับ
"ล็อคประตูแล้วอย่าให้ออกมาโวยวายอีก" นวลบอก
"คำแปง ฉันไม่พูดเหลวไหลนะ แกต้องเชื่อฉันนะ"
"พอเถอะพี่ !ฉันกลัวจนขี้หดตดหายไปหมดแล้ว"
คำแปงออกไป เพราะไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น คำสูรย์ตื่นกลัว รีบ เดินเข้าไปที่หิ้งของจรัส
เขาร้องไห้หน้ารูปจรัส พร้อมกับเอาหัวโขก
"ฮือ นาย มันกลับมาแล้ว พวกเราจะต้องฉิบหายกันหมด มันกลับมาแล้ว นายต้องปกป้องคุณหนูณจันทร์ นายต้องช่วยคุณหนูนะ อย่าให้มันทำอะไรคุณหนูนะนาย ฮือ มันมาแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย มันมาแล้ว"
ในความวุ่นวายนั้น เงาของเสือเยื้องย่างเข้ามา จู่ประตูห้องก็เปิดออกปัง ! คล้ายถูกผลัก เงาของเสือเข้าไปในห้อง แล้วกระโดดขึ้นบนตัวณจันทร์ เธอหวีดร้องดังลั่น
รุ่งเช้า ที่คอนโดฯ บัวเดินมาเคาะประตูห้อง พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด แต่ไม่มีใครมาเปิด
"คุณณจันทร์คะ คุณณจันทร์"
บัวเคาะอยู่นาน เลยตัดสินใจเอากุญแจสำรองไขเข้าไปในห้อง
บัวเดิน เหยียบของบางอย่างที่หล่นอยู่กับพื้น แล้วมองไปรอบๆ
"โอ๊ย นี่มันอะไรกันนี่"
บัวไม่เห็นณจันทร์
"คุณณจันทร์ คุณณจันทร์ เอ๊ะ เมื่อคืนก็กลับมานี่หว่า กระเป๋า รองเท้าก็อยู่หรือว่า ขโมยขึ้นห้อง"
บัวเริ่มกลัว เดินช้าๆเข้าไปที่ห้องน้ำซึ่งเปิดแง้มอยู่ เอื้อมมือเข้าไปจะเปิด แล้วชะงัก
"ขโมยมันอาจจะข่มขืน ฆ่า แล้วทิ้งศพไว้ ทำไงดีเรา ทำไงดี"
บัวกำลังจิตตก มือๆหนึ่งมาจับที่ไหล่ บัวร้องกรี๊ด แล้วหันมา ณจันทร์ในสภาพปรกติ แต่ดูอ่อนเพลียและอิดโรย
"คุณณจันทร์ โธ่ หายไปไหนมาคะ"
"อยู่ที่ระเบียง"
"แล้วนี่มันอะไรกันคะ ทำไมข้าวของแตกกระจายแบบนี้"
"ฉันก็ไม่รู้ เมื่อคืนคงดื่มหนักไปหน่อย กลับมาหลับปุ๋ยเลย ตื่นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ เนี่ย เลยออกไปดูที่ระเบียง สงสัยจะลืมปิดประตู เมื่อคืนคงมีพายุล่ะมั้ง"
ณจันทร์เริ่มเก็บของ
"พายุหน้านี้เนี่ยนะ ...เอ้อ คุณไม่ต้องช่วยเก็บหรอกค่ะ บัวเอง เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน"
บัวสงสัยแล้วก็ช่างมันไป ลงมือเก็บของ เจอเขี้ยวเสือที่ขาดวิ่นเหมือนถูกข่วนจนขาด
"เอ๊ะอะไรคะนี่"
เธอซึ่งกำลังหยิบเสื้อผ้าอยู่ หันมาดู
"เขี้ยวเสือน่ะ ทำไมขาดหลุดลุ่ยอย่างนี้...นี่ฉันเมาขนาดนี้เลยหรือ"
ณจันทร์ส่ายหน้าไม่สนใจอะไร เอาเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำ เธอหยิบแก้วมารองน้ำ เพื่อแปรงฟัน แล้วสังเกตบางอย่างที่มือ ก็ตกใจมาก ทิ้งแก้วน้ำร่วงลงอ่างล้างมือเสียงดัง
"เอ๊ะ"
บัวรีบเดินเข้ามาหา
"มีอะไรหรือคะ"
แผลเป็นที่มือของเธอหายไป มือนั้นเนียนสนิท เธอหน้าซีด
"มือเป็นอะไรหรือคะ"
เธอรีบซ่อนมือตัวเอง
"ไม่มีอะไรหรอก ไปทำงานต่อเถอะ"
บัวออกไป ณจันทร์เอามือออกมาดูใหม่ สีหน้ากังวลว่า เป็นไปได้อย่างไร !?
ผ่านเวลาในวันเดียวกัน รถณจันทร์ขับเข้ามาที่บริษัทของปักษะ เธอเดินลงและก้าวเข้ามาในห้องประชุม ในห้องนั้น ปักษะ และปฏิมานั่งอยู่แล้ว ปักษะเอาอาหารสัตว์และเอกสารเกี่ยวกับงานต่างๆ ให้
"นี่ตัวอย่างสินค้า แล้วก็เอกสารเกี่ยวกับสินค้าตามที่คุณขอไว้ครับ"
"ขอบคุณค่ะ เอ้อ ทีนี้ อยากให้คุณปฏิมาและคุณปักษะบอกถึงรูปแบบโฆษณาที่อยากได้ค่ะ"
ปักษะและปฎิมาพูดออกมาพร้อมกัน แต่ไปกันคนละเรื่องเดียวกัน
ปักษะว่า "สวย !" แต่พ่อกลับบอกว่า "ดัง !"
ทั้งสองพูดเสร็จก็มองหน้ากัน ความขัดแย้งเริ่มขึ้น
"ต้องดังสิวะ ไม่ดังจะทำทำไม ทำโฆษณาทั้งทีต้องเอาให้คนพูดถึงกันทั้งเมืองไปเลย"
"ดังแล้วไม่ประทับใจจะมีประโยชน์อะไร คนพูดถึงวันสองวันแล้วก็จบ มันต้องสวย แสดงให้เห็นความรักระหว่างคนและสัตว์ แบบนี้สิครับถึงขายได้"
"ไม่มีทาง มันต้องให้ดังก่อนสิวะ"
"ต้องให้สวยสิครับ"
"ดัง - สวย - ดัง - สวย"
พ่อลูกไม่ยอมกัน ท่าทางหัวดื้อทั้งคู่ จนณจันทร์ต้องลุกขึ้นเสียงดัง
"หยุด"
ทั้งสองจึงเงียบลงได้ เธอแปลกใจตนเองที่อยู่ ๆ ก็ตะโกนเสียงดังได้ขนาดนั้น
"ขอโทษค่ะ"
ปฏิมาส่ายหน้า ท้อใจ ผิดหวังในตัวลูกชาย พึมพำเลยไปถึงเรื่องอื่น
"ลูกไม่รักดี ไม่เคยเห็นด้วยอะไรสักอย่าง ส่งไปเรียนธุรกิจดันเรียนวิทยาศาสตร์ ให้มาบริหารบริษัท ดันอยากทำมูลนิธิ"
"ทำงานอย่างผมมันผิดตรงไหน ธุรกิจของพ่อ ไม่ต้องทำอะไรก็อยู่ได้สบายๆชั่วลูกชั่วหลานแล้ว"
ปฏิมายิ่งโวย ชี้หน้าลูก
"แกก็เลยไม่ยอมทำอะไร จะเอาแต่ล้างผลาญใช่ไหม"
"ผมไม่ได้ล้างผลาญ เพียงแต่งานตรงนั้น มันมีประโยชน์ต่อคนอื่นมากกว่า"
ปฏิมาลุกขึ้นโวย
"มีประโยชน์แล้วไง งั้นออกไปเลยสิ ลาออกไปเลย ไม่ใช่ตำแหน่งผู้จัดการอย่างเดียวนะ ลาออกจากการเป็นลูกฉันไปด้วยเลย ..ไป"
ปักษะจะโต้ตอบ ณจันทร์ลุกขึ้นห้าม
"เอ้อ เดี๋ยวเดี๋ยวค่ะ นี่เราคุยเรื่องงานโฆษณาอยู่ไม่ใช่หรือคะ"
สองพ่อลูกค่อยได้สติ มองเธอเกรงใจ ณจันทร์งงงวยไปหมด
เวลาผ่านไป ทั้งสองเดินคุยกันในบริเวณทางเดินของบริษัท ณจันทร์กำลังจะกลับแล้ว ปักษะท่าทางจ๋อยมาก ขอโทษขอโพยใหญ่
"น่าอายจริงๆเลย จู่ๆก็ลุกขึ้นมา ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ"
"คุณทะเลาะกับคุณพ่อคุณมานานแล้วหรือคะ"
"เราคิดไม่เหมือนกันหลายเรื่อง พ่ออยากให้ผมมีเงินจะได้สบาย แต่ผมว่า ความสบายไม่เกี่ยวกับเงิน โลกของเราเป็นแค่ดาวดวงล็กๆในจักรวาล คนเราจะเอาอะไรนักหนา"
"คุณก็เลยอยากเป็นนักอนุรักษ์มากกว่าเจ้าของบริษัท"
ปักษะมองณจันทร์ชักขาดความเชื่อมั่น
"คุณกำลังว่าอุดมคติเกินไปใช่ไหม"
"คุณว่าตัวคุณเองนะคะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ... ถ้าคุณเชื่อมั่นในทางของคุณ คุณก็ต้องสู้เพื่อทางๆนั้น ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม"
ปักษะยิ้ม เธอดูเหมือนจะเข้าใจเขา แบบที่หาได้ยากในคนๆอื่น
"ขอบคุณครับที่เข้าใจผม ส่วนเรื่องงาน คราวหน้า จะไม่เกิดแบบนี้ขึ้นอีก ผมรับรอง ผมจะตกลงกับพ่อก่อนว่าจะเอายังไง"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้ได้งานที่คุณทั้งสองพอใจที่สุดก็แล้วกัน"
เธอหาว อดแปลกใจที่อยู่ ๆ ก็หาว ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็นอนมานาน
"เอ่อ...ขอโทษค่ะ"
"งานผมคงน่าเบื่อมากเลยนะครับ"
เธอหัวเราะ
"เมื่อวานฉันคงนอนดึกไปหน่อย พอดีเป็นวันเกิด เลยต้องดื่มสักนิด ขัดเพื่อนไม่ได้"
ปักษะพยักหน้าดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ เธอกำลังจะขึ้นรถ เขาเรียก
"เดี๋ยวครับเดี๋ยว"
ปักษะเดินไปข้างทาง ณจันทร์เดินตามไป เขาเด็ดดอกหญ้าข้างทางมารวมกัน แล้วใช้ริบบิ้นที่ติดอยู่กับเอกสารที่ถือมา ดึงออกมาผูก ยื่นให้ ท่าทางสดใส
"สุขสันต์วันเกิดครับ"
ณจันทร์ตกใจ ไม่กล้ารับ
"ดอกหญ้าเนี่ยดูถูกไม่ได้นะครับ ถึงจะต่ำต้อย แต่เป็นพืชที่อดทนที่สุด ไม่ว่า ภูมิประเทศ ภูมิอากาศจะเป็นยังไง ผมขออวยพรให้คุณเข้มแข็งเหมือนมันครับ"
ณจันทร์ทั้งขำ ทั้งซาบซึ้งกับความคิดแปลกๆ ขวางๆของผู้ชายอย่างเขา
"เอ้อ ...ขอบคุณค่ะ เป็นของขวัญแปลกที่สุดที่เคยได้รับเลยนะคะนี่"
ณจันทร์ขึ้นรถขับออกไป ทั้งสองรู้สึกดีต่อกัน
ลูกปลากับเพื่อนๆกำลังโซ้ยอาหารกลางวันกัน
"แหม ร้านนี้แซ่บอย่าบอกใครเลยนะเนี่ย" ลูกปลาสูดปาก "อุ๊ย…น้ำหน่อยน้ำ…
อ้าว" เธอหันไปเห็น "ณจันทร์…มาเร็ว"
ณจันทร์เพิ่งกลับเข้ามาถึงที่ทำงาน
"โอ๊ยหิวจังเลย ..อุ๊ย ขนมอะไร น่ากินจัง"
ณจันทร์ ตักเนื้อฝอยละเอียด ที่เชื่อมหวานจนดูคล้ายของหวาน เพราะคิดว่าเป็นพวกรังนกทอด ทำนองนี้ใส่ปากเคี้ยว ลูกปลาถาม
"เฮ้ นั่นเนื้อฝอยนะ ไม่ใช่ขนม เธอเลิกกินมังสวิรัติแล้วหรือ"
"หา…เนื้อเหรอ"
เธอตกใจ อมไว้ แล้วรีบเดินไปห้องน้ำทันที
ณจันทร์อมเนื้อฝอยไว้ในปากกำลังจะคายออก แต่อดใจไม่ไหว เคี้ยวต่อ มองตัวเองในกระจก เคี้ยวกิน อย่างเอร็ดาอร่อยเหลือเกิน ลูกปลาเข้ามาพอดี
"เป็นไง เหม็นไหม กินมังสิวิรัติมาเป็นชาติอย่างเธอ จู่ๆมากินเนื้อ ก็อย่างนี้ล่ะ"
เธออึกอัก
"ที่จริงก็อร่อยดีเหมือนกันนะ"
"อ้าวตบะแตกแล้วหรือ ไหนยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเลิกตลอดชีวิต ก็ดีแล้วน่ะ กินมังสวิรัติ หาของกินยากจะตาย เลิกไปก็ดีเหมือนกัน"
ณจันทร์คิด ยังไม่รู้จะเอาไง สักพัก จมูกก็ได้กลิ่นประหลาด
"คุณกำแหงมาหรือเธอ"
"เปล่านี่" ลูกปลาตอบ
"ก็ฉันได้กลิ่นน้ำหอมเขา .... ตายล่ะ ฉันนัดกับเขาว่าจะไปกินข้าวด้วยวันนี้ ฉันไม่อยากไปเลย ทำไงดี"
ทั้งสองชะโงกหน้าออกมามองหน้าห้องน้ำ ท่าทางลึกลับ เพราะมั่นใจว่าได้กลิ่นแถวๆนี้ กำแหงต้องอยู่หน้าห้องน้ำแน่
"ไหนคุณกำแหง ไม่เห็นมีเลย"
สมชัยเดินผ่านมา
"นี่สมชัย เห็นคุณกำแหงหรือเปล่า" ลูกปลาถาม
"ไม่เห็นนี่ เขาบอกว่าจะมาหรือ" สมชัยว่า
"เธอได้กลิ่นคุณกำแหงเหรอ" ลูกปลาถาม
กำแหงเดิน ในชุดหล่อหรู เข้ามา ท่าทางผิวปากอย่างสบายใจ เดินมาขึ้นลิฟต์ ที่แท้... ณจันทร์ได้กลิ่นในระยะไกลมาก
ทั้งสองเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ลูกปลาบอก
"ใครคงใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกับอีตากำแหงล่ะมั้ง หรือไม่ก็กำลังคิดถึงเขามาก จมูกเลยหาเรื่อง"
"หรือไม่ก็ ความจริงแล้วเธอกำลังรอคอยเค้าอยู่ ก็เลยจมูกเฝื่อนคิดถึงกลิ่นน้ำหอมของเค้า…" แล้วสมชัยก็เลียนเสียงกำแหง "โอ้..คุณณจันทร์ครับ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะสวยขนาดนี้..ผมมาทวงสัญญาที่คุณให้ไว้ว่าวันนี้จะพาผมไป…"
กำแหงเดินเข้ามา
"เฮลโหล สวัสดีครับทุกๆคน"
สมชัยหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วต้องแปลกใจที่เห็นกำแหงมาจริง ๆ
"ตายล่ะมาจริงๆด้วย ณจันทร์..ณจันทร์"
ลูกปลาหันไป ณจันทร์หายไปจากตรงนั้นแล้ว กำแหงเดินเข้ามา
"คุณณจันทร์ล่ะครับ"
"เอ้อ ไปหาลูกค้าค่ะ ยังไม่เข้ามาเลย" ลูกปลาบอก
กำแหงมองกระเป๋าถือที่วางอยู่พร้อมเอกสาร ชักเอะใจ ว่าลูกปลาจะโกหก เลยยิ้มให้ แกล้งพูดต่อ
"แหมเสียดายจริง ไม่เป็นไรครับงั้นผมกลับดีกว่า"
กำแหงเดินหายไป ลูกปลารีบเข้าไปหา
"ณจันทร์เค้าไปแล้ว ออกมาได้แล้ว ไม่ต้องซ่อนแล้ว"
ลูกปลาเดินมาจนเห็นณจันทร์ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง
"สงสารเธอจริงๆ กินข้าวกับคนแบบนั้น ต่อให้อร่อยแค่ไหนก็กินไม่ลง หน้าอย่างกับหมูสำรอกรำ ชอบทำเต๊ะ นึกว่าหล่อเต็มที ดูแต่งตัวนะ"
"เค้ายังไม่ไป"
"อะไรนะ เธอว่าอะไรนะ"
"คุณกำแหงยังอยู่แถวนี้"
"เฮ่ย..บ้าน่า ชั้นเห็นเค้าเดินลงไปกับตา นี่เลิกเล่นได้แล้วณจันทร์W
เสียงใครคนหนึ่งดังเข้ามาขัดจังหวะ
"สวัสดีครับคุณลูกปลา"
กำแหงที่จริงไม่ได้ไปไหน แต่แอบฟังอยู่ ลูกปลาสะดุ้งโหยง หน้าเหยเก
"คุณกำแหง"
กำแหงโวยวาย
"พวกคุณนี่แย่จริงๆ ผมเป็นลูกค้าคุณนะ คุณก็เหมือนกันคุณณจันทร์ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ วันนี้คุณสัญญาแล้วว่าจะไปกินข้าวกับผม"
ณจันทร์หน้าเสีย
"ดิฉันว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ"
เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
กำแหงและณจันทร์เดินมาที่รถ เขาท่าทางโมโห เธอจ๋อยๆไป
"ผู้หญิงทุกคน ใครๆก็อยากไปกินข้าวกับผมทั้งนั้น กินข้าวกับผมน่ะ ได้กินของดีๆ ถ้าผมถูกใจก็อาจจะได้เงินได้เพชร ได้ทองติดมือกลับบ้านด้วย ไม่ชอบหรือไง"
ณจันทร์ชักโมโห สะบัดมือออกจากกำแหง
"ดิฉันไปทานข้าวกับคุณเพื่อคุยงานหรอกนะคะ ฉันไม่ได้ต้องการข้าวของอะไร"
"แรกๆก็พูดอย่างนี้ทุกคน แต่พอเห็นเงินเข้า ก็เห็นเสียงอ่อนทุกราย"
"นี่คุณ คุณมองฉันเป็นอะไร"
"ก็มองเป็นผู้หญิงน่ะสิ ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องการแค่นี้ไม่ใช่หรือ ณจันทร์คุณน่ะเป็นคนสวยนะ มานั่งทำงาน เหนื่อยอยู่ทำไม" กำแหงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบ "ทำไมไม่ทำตัวแบบผู้หญิงฉลาดๆอย่างคนอื่นบ้างล่ะ"
"คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง"
"พูดตรงๆก็ได้ ... ไหนๆพูดแล้วก็พูดเลย ลาออกจากงาน มาอยู่กับผมดีกว่าน่า ผมจะให้เงินเดือนคุณมากกว่าที่ได้สิบเท่า บ้านหลังหนึ่ง รถคันหนึ่ง" กำแหงกอดเอวทำกรุ้มกริ่ม กักขฬะ "งานง่ายๆ แค่ทำให้ผมมีความสุขก็พอ"
ณจันทร์โกรธมาก พยายามสะบัดตัวออก กำแหงยิ่งกอดลวนลามแน่นขึ้น เขาพยายามจะซุกไซร้ณจันทร์
"ปล่อยนะ คุณดูถูกฉัน ปล่อย.... นี่แน่ะ"
ณจันทร์ตบหน้ากำแหง เสียงแคว่กดังสนั่น ใบหน้ากำแหง มีรอยเล็บเป็นทางยาว เลือดไหลออกมา กำแหงปล่อยเธอทันที จับที่แก้ม
"เลือด... นี่เธอข่วนฉันหรือ"
ณจันทร์เองก็ตกใจมากเช่นกัน เธอมองที่มือตัวเองเห็นมีเล็บยาวออกมากว่าปกติ
"มันมากไปแล้วนะ เธอๆ"
กำแหงย่างสามขุมเข้ามาหา ด้วยอารมณ์โกรธ เธอวิ่งหนีไป
วิฬาร์ขับรถช้าๆเข้ามาจอดใกล้ๆ เห็นเหตุการณ์เลยรีบลงมาดู
"มีอะไรกันหรือคะ"
กำแหงเห็นวิฬาร์เลยไม่กล้าตามณจันทร์ไป ได้แต่พยายามสงบสติอารมณ์
ลิฟต์เปิดออก เธอตกใจ เดินกระหืดกระหอบเข้ามาที่โต๊ะทำงาน มองว่ากำแหงตามมาหรือเปล่า แล้วนั่งลงมองมือตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ตบแต่กลับใช้ข่วนแทน
แต่ที่สำคัญตอนนี้เล็บกลับเป็นปกติแล้ว
วิฬาร์กำลังทำแผลให้ กำแหง
"ผมแค่จะชวนเธอไปทานข้าว คุยกันเรื่องงานเธอไม่ไปก็น่าจะพูดกันดีๆ ทำไมต้องทำรุนแรงกับผมด้วย"
"ยาย ณจันทร์แย่จริงๆเลย เดี๋ยวฉันจะบอกบอส หรือว่าแจ้งตำรวจจับเลยดีไหมคะ"
"โอ๊ะ โอ๊ะ อย่าเพิ่งให้ถึงขนาดนั้นเลยครับ จะอื้อฉาวไปเปล่าๆ"
"กล้าทำกับลูกค้าแบบนี้ได้ไง ก็ไม่รู้ เป็นเออีภาษาอะไร ทีนี้คุณกำแหงเข้าใจหรือยังล่ะคะ ว่าทำไม บอสเขาถึงได้เปลี่ยนตัวเออีงานนี้มาให้เหมียวดูแล ลูกค้าระดับคุณกำแหง นะคะ ถ้าเป็นเหมียว แค่ไปกินข้าว ยังดูแลน้อยไปด้วยซ้ำ"
วิฬาร์พูดจามีนัยจนกำแหงต้องมองหน้า เธอยิ้มหวานให้อย่างมีเลศนัย กำแหงยิ้มมองหุ่นของเธอหัวจรดเท้า ชักสนใจขึ้นมา เดินเข้าไปใกล้ๆ
"พูดไป ผมก็ผิดเองที่มองข้ามคุณเหมียวไปได้"
กำแหงเข้าไปชิด วิฬาร์งอนตามจริตมารย
"แต่เหมียวไม่ได้เป็นเออีให้คุณแล้วนี่คะ คุณเปลี่ยนให้ณจันทร์ทำแล้วนี่"
"เปลี่ยนไป ก็เปลี่ยนกลับได้ ต่อไปนี้คุณจะเป็นคนดูแลสินค้าในเครือของผมทั้งหมด พอใจหรือยังครับ"
กำแหงเข้าไปกระซิบใกล้ๆ วิฬาร์ยิ้มเซ็กซี่
ที่จอดรถค่อนข้างมืดในคอนโดฯของณจันทร์ในเวลากลางคืน เธอจอดและเดินลงมาจากรถ ยังง่วงหาวนอนอยู่ ขณะนั้นยามรักษาความปลอดภัย กำลังยืนดูเด็กๆเล่นบอลกันอยู่
"กลับมาแล้วหรือครับ เห็นยายบัวบอกว่าไม่ค่อยสบาย หายแล้วหรือครับ" ยามทักทาย
เด็กเตะบอลลอยโด่งเข้าไปที่พงหญ้า ข้างที่จอดรถ เด็กๆวิ่งตามไปหา
"ก็ยังไม่ดีเท่าไรหรอกค่ะ แต่พอดีว่าต้องเข้าไปเคลียร์งานด่วนวันนี้น่ะค่ะ"
เด็กโวยวายกันที่พงหญ้ามืดว่า หาไม่เจอ
"เฮ้ยๆ ทำอะไรกันน่ะ" ยามถาม
"หาลูกบอลครับพ่อ หล่นเข้ามาแถวนี้ ส่องไฟให้หน่อยสิ
"ไม่ต้องเลย ออกมาให้หมดเลย ที่มืดๆ งูเงี้ยวเขี้ยวขอเยอะแยะ เลิกเล่นได้แล้ว กลับมาเลย พรุ่งนี้ค่อยไปเอา"
เด็กหน้างอไม่ยอมกลับ เธอมองไปยังจุดเล็กๆที่พงหญ้าทั้งที่ระยะไกล และมืดมาก สายตาเธอปรับเข้ากับความมืดอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เธอเห็นจุดขาวเล็กๆในพงหญ้า
"อยู่ข้างๆเด็กคนเสื้อแดงไงจ๊ะ ตรงพื้นนั้นน่ะ"
เด็กคนดังกล่าวมองข้างตัว หยิบบอลขึ้นมาอย่างงงๆ เพราะ แม้แต่เด็กเองยังมองไม่เห็น
"อยู่นี่จริงๆด้วย"
ยามบอก
"โอ้โห ทำไมตาดีอย่างนั้นครับ คุณณจันทร์ เจ้าเปี๊ยกเองยืนใกล้ๆ ยังไม่เห็นเลย"
ณจันทร์เองก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน เธอคิดๆ แล้ว เดินเข้าตึกไป
เวลาผ่านไปเล็กน้อย ณจันทร์อยู่บนเตียงในชุดนอน นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา พลาง มองนาฬิกาที่บอกเที่ยงคืนแล้ว
เสียงความคิดเธอบอก
"ทำไมนอนไม่หลับนะ เมื่อกลางวันยังง่วงอยู่เลย"
ณจันทร์เดินเข้าไปอาบน้ำ บีบตามเนื้อตัวที่ปวดเมื่อย แล้วออกมากินยาแก้ปวด และเดินออกไปรับลมที่ระเบียง
เธอเพิ่งสังเกตว่า มีบางอย่างประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง เธอมองไปที่รถเข็นขนมหวานเวลาดึก คนขายคุยกับยามคนเดิมที่ด้านล่างของคอนโด แม้ภาพที่เห็นนั้นจะอยู่ไกล แต่เสียงบทสนทนาของเขาทั้งสองถูกเร่งให้ดังขึ้นในความรู้สึกของเธอ
คนขายพูดเป็นภาษาอีสานความว่า
"เดี๋ยวนี้ข้าวของแพงเหลือเกิน ลูกฉันก็กำลังเรียน อาชีพอย่างเราๆ ทำยังไงก็ไม่พอกิน"
ณจันทร์แปลกใจว่า ทำไมตัวเองจึงได้ยินเสียงนั้นชัดเจน เธอมองไปที่ บ้านหลังหนึ่งไกลออกไปอีก บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ข้างคอนโดฯ มองทะลุผ่านหน้าต่างที่ปิดสนิทเข้าไปเห็นชายหญิงนั่งกอดกันดูทีวี
"ไม่เอาจะดูช่องนี้" ผู้หญิงบอก
"ดูข่าวก็ดีแล้วนี่" ผู้ชายว่า
"ก็จะ ดูมิวสิกวิดีโอนี่"
เธอไม่อยากเชื่อ ที่เธอได้ยินแม้กระทั่งเสียงทีวี เธอมองออกไปไกลกว่าเดิม ยังถนนที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดฯ คนเมาใส่ชุดสำนักงาน เนคไทค์หลุดลุ่ย กำลังยืนฉี่อยู่ข้างทาง
"ไอ้ผู้จัดการชาติชั่ว กล้ามาไล่กูออก คอยดู ๆ พรุ่งนี้จะไปแฉให้หมด ให้รู้กันให้ทั่วบริษัทเลย"
ณจันทร์ถอยหลังกรูด มองไปรอบๆ เสียงจากสภาพแวดล้อมดังซ้อนๆกัน เสียงอีสานของคนขายขนม เสียงทีวีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาพร้อมเสียงสนทนาของสามีภรรยา เสียงคนเมา
เธอมองไปรอบๆ เสียงของบ้านโน้น บ้านนี้ ได้ยินเกือบจะทุกเสียงที่ดังค่อยแตกต่างกัน เสียงเหล่านั้นอยู่รอบตัวเธอ ยิ่งมองไป ยิ่งได้ยินมากขึ้นจนเธอปิดหู วิ่งเข้าห้อง ปิดประตู - หน้าต่างหมด ไม่อยากได้ยินเสียงอะไรอีก
เธอนั่งลงงุนงงว่าตนเองเป็นอะไรไป
เช้าวันใหม่ ณจันทร์นั่งรอหมอ และพยาบาลเรียกอยู่ที่โรงพยาบาล เธอคุยโทรศัพท์
"บอกบอสด้วยนะว่าฉันลามาหาหมอ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมื่อคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืน...อือ ถ้าใครโทร.มาก็โน้ตไว้ให้ด้วยนะ" เธอพูดพร้อมกับหาวนอนเช่นเคย
มีผู้ป่วยคนหนึ่งอุ้มหมา เดินมานั่งใกล้ๆณจันทร์ ทันทีมราหมาตัวนั้นเห็นเธอก็แสดงทีท่าตกใจ ทั้งเห่า ทั้งขู่ พยายามหนีออกจากอ้อมอกของเจ้าของ
"เป็นอะไร เคนย่า เงียบๆหน่อยโรงพยาบาลนะ"
เธอมองหมา ว่าเป็นอะไรกับตนนักหนา
"เชิญคุณณจันทร์ค่ะ"
พยาบาลเรียกและเดินนำณจันทร์ไปที่ห้องตรวจ
ภายในห้องตรวจ หมอดูปรอทแล้วบอก
"คุณมีไข้ต่ำๆนะครับ นอกจากนอนไม่หลับแล้วมีอาการอะไรอีกครับ"
"ฉันปวดเนื้อปวดตัวไปหมดค่ะ"
"ก็เป็นอาการของไข้เหมือนกัน ผมจะให้ยาแก้ไข้ไปนะครับ แล้วก็พักผ่อนทานน้ำมากๆ"
หมอเขียนสั่งยา เธอคิดอะไรบางอย่างก่อนถาม
"เอ้อ คุณหมอคะ ถ้าจู่ๆ จมูก หูแล้วก็ตา ของเราทำงานได้ดีขึ้น เราจะเป็นโรคอะไรไหมคะ"
"ในเมื่อดีขึ้น จะเป็นโรคได้ไงครับ"
"มันดีขึ้นแบบว่าผิดปรกติน่ะค่ะ"
"ยังไงครับ"
ณจันทร์มองออกไปนอกประตู ซึ่งปิดอยู่
"อย่างเช่น ตอนนี้ที่ห้องฉุกเฉิน ฉันได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่ง ร้องครวญคราง เขากำลังบอกพยาบาลว่า เขาหกล้มจากมอเตอร์ไซด์"
"ห้องฉุกเฉินอยู่ตั้งไกล ประตูก็ปิดอยู่ ..ไม่มีทางที่คุณจะได้ยินหรอก" หมอพูดพลางส่ายหน้า "เข้าใจล้อเล่นนะครับ โอเคครับ เรียบร้อย เชิญรับยา"
หมอไม่มีทีท่าจะสนใจเธอเลย เธอเลยเดินออกไปหงอยๆ
ณจันทร์เดินมารอรับยา ไม่พอใจในผลตรวจของหมอเลย ครุ่นคิด...
หน้าห้องฉุกเฉิน ประตูเปิดอยู่ ด้านในพยาบาลกำลังทำแผลให้คนป่วยคนหนึ่งที่ร้องครวญครางอยู่
หมอคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้าพยาบาลอีกคน พยาบาลบุ้ยใบ้ไปทางคนไข้ ในห้อง
"ล้มจากมอเตอร์ไซด์ ขาหักค่ะ"
หมอมีสีหน้างงงวย
บริเวณที่จอดรถของโรงพยาบาล ณจันทร์ตัดสินใจกดโทรศัพท์
"ป้าแอนหรือคะ หนูเอง ณจันทร์ค่ะ เอ้อ วันนี้คุณหมอเทพนิมิตมาไหมคะ ...ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์บ้านได้ไหมคะ ค่ะ ค่ะ"
เธอจดหมายเลขโทรศัพท์ทันที
คืนเดียวกัน หลังจากที่เธอโทร.นัดหมายแล้ว เทพนิมิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน เสียงกริ่งดังขึ้น เธอเดินไปเปิดประตูต้อนรับณจันทร์
ภายในห้องรับแขก เทพนิมิตสายตาดุมองณจันทร์
"เธอเพิ่งดูไพ่ไป ถ้าไม่ครบกำหนด 1 เดือน ฉันไม่ดูให้"
"ไม่ได้มาดูใหม่หรอกค่ะ เพียงแค่ คุณยังดูให้ดิฉันไม่จบ ยังขาดอีกหนึ่งใบ คุณบอกว่าเป็นคำตอบของทั้งหมด จำได้ไหมคะ"
เทพนิมิตนึกถึง ภาพอดีตที่กำลังจะเปิดไพ่ แต่ไม่ได้เปิด
"จริงสินะ วันนั้นฉันออกไปแล้วก็ออกไปเลยไม่ได้กลับเข้ามา ในเมื่อไม่ได้เปิด ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เธอต้องรอเดือนหน้าถึงจะมาดูใหม่ได้"
เทพนิมิตลุกไป ทำท่าจะปิดการสนทนา
"เอ้อ เดี๋ยวค่ะ ดิฉันเปิดไพ่ใบนั้นดูแล้ว"
"จริงหรือ"
"ดิฉันจำไพ่ใบนั้นได้ กรุณาดูให้ดิฉันเถอะนะคะ"
"เกิดอะไรขึ้นปรกติเธอไม่เคยเชื่อนี่"
ณจันทร์ก้มหน้าไม่อยากเล่า เทพนิมิตหันไปหยิบไพ่ ทั้งสำรับออกจากกล่องไม้
"ในเมื่อบอกว่าจำได้ ก็บอกมาว่าใบไหน ใบนี้ใช่ไหม"
เทพนิมิตหยิบไพ่ออกมาให้ดูทีละใบ ณจันทร์ส่ายหน้าไปเรื่อยๆ จนเทพนิมิตชักเอะใจ
"อย่าบอกนะว่าเธอได้..."
"ได้อะไรคะ"
เทพนิมิตหยิบไพ่ใบที่ไม่อยากหยิบที่สุด ... ออกมา มันคือ ไพ่เดวิล
"ใบนี้ใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ ใบนี้ ดิฉันจำได้"
เทพนิมิตตกใจมาก ลุกขึ้นทันที
"เป็นไปไม่ได้"
ณจันทร์ตระหนก
"มีอะไรหรือคะ ไพ่ใบนี้มีความหมายอะไรหรือคะ"
เทพนิมิตลุกลี้ลุกลนเดินไปเก็บไพ่ทั้งหมดใส่กล่อง
"ฉันบอกอะไรเธอไม่ได้ ฉันไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับไปเสีย"
"หมอคะ มันคืออะไรกันแน่ บอกฉันมาตามตรงเถอะ " เธอพูดแกมขอร้อง
เทพนิมิตจับแก้มเธอด้วยความห่วงใย
"จำไว้นะ เธอเป็นผู้หญิงพิเศษ ฉันเห็นเธอตั้งแต่ครั้งแรก ใช้ความพิเศษของเธอ เอาชนะใจตนเองให้ได้ เรื่องนี้มันเกินกำลังฉัน ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้ กลับไปได้แล้ว กลับไปสิ"
เธอเดินออกมาจากบ้านเทพนิมิตรด้วยความเสียดาย
ในเวลาต่อเนื่องมา เทพนิมิตรเดินไปเดินมาไม่เป็นสุขพลางครุ่นคิดประมวลเหตุการณ์ว่า สิ่งที่ตนคิดจะมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน สักพัก เธอมองและเปิดกล่องไพ่อีกครั้ง หยิบไพ่เดวิลขึ้นมาชู
"หรือว่า เขาจะมาแล้ว เขาคงมาแล้วจริงๆ ในที่สุด เขาก็มา"
ฟ้าแลบแปลบปลาบที่หน้าต่าง พร้อมเสียงคำรามของฟ้าดังลั่น สัญลักษณ์แห่งวิญญาณร้ายของปีศาจ ทำให้เทพนิมิตสะพรึงกลัว หวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
รถลีมูซีนสีดำสนิทแล่นเข้ามาเทียบหน้าโรงแรม ในบรรยากาศฟ้าแลบและฟ้าร้องคำรามสนั่นเช่นเดียวกัน นักข่าวต่างวิ่งออกมารอ และกรูกันเข้ามา
ลายเมฆลงจากรถ ท่าทางเขาเหมือนพวกผีดิบไร้วิญญาณ เขาลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย
พรหมพยัคฆ์เดินลงจากรถด้วยท่าทางน่าเกรงขาม นักข่าวถ่ายรูป แสงแฟลชพรึ่บพรั่บ
นักข่าวหลายๆคนรุมกันถาม
"ขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับ ขอสัมภาษณ์ได้ไหมครับ"
กล้องทีวีอยู่ที่มุมหนึ่ง ผู้สื่อข่าวกำลังรายงาน ต่อหน้ากล้อง
"การเดินทางมาของมหาเศรษฐีเจ้าของผลิตภัณฑ์วิสกี้ เบงกอลไทเกอร์ คุณพรหมพยัคฆ์ พนาไพร มหาเศรษฐีสายเลือดไทยที่เดินทางไปทำธุรกิจในต่างประเทศจนประสบความสำเร็จ ได้รับความสนใจจากผู้สื่อข่าวสายธุรกิจทุกคนเป็นอย่างยิ่งนะคะ อีกสักครู่จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในห้องบอลลูมของโรงแรม..."
สิ้นเสียงการรายงานของผู้สื่อข่าว พรหมพยัคฆ์สวมแว่นตาดำท่าทางสง่าน่าเกรงขามเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งจะใช้ในการแถลงข่าว
งานแถลงข่าวเริ่มแล้ว พิธีกรของพรหมพยัคฆ์อยู่ที่โพเดียม เขานั่งเป็นประธาน นักข่าวล้อมรอบโต๊ะเก้าอี้นั้นอยู่แล้วเพื่อรอถ่ายรูป
"เอ่อ ... ความจริง การกลับมาครั้งนี้ คุณพรหมพยัคฆ์ต้องการกลับมาอย่างเงียบๆ แต่เนื่องจาก นักข่าวหลายท่านให้ความสนใจ และติดต่อขอทำข่าวมาเป็นจำนวนมาก เราจึงตัดสินใจจัดการแถลงข่าวนี้ขึ้น แต่คงใช้เวลาไม่นานนัก เพราะท่านเพิ่งเดินทางกลับมาถึง นะครับ"
นักข่าวยกมือ เริ่มจากนักข่าว 1ถามว่า
"อยากทราบว่าการกลับเข้ามาตีตลาดวิสกี้ที่ประเทศไทยในครั้งนี้ท่านมีแผนอย่างไรครับ"
นักข่าว2 ถามบ้าง
"ที่ออกข่าวว่า วิสกี้เบงกอลไทเกอร์จะต้องกลายเป็นผู้นำตลาดวิสกี้ในเมืองไทยภายในไตรมาสแรกนี่ มั่นใจแค่ไหนครับ"
นักข่าว 3 ถาม
"การกลับมาครั้งนี้ ...."
ยังไม่ทันจบประโยค ผู้เป็นพิธีกรก็ยกมือแล้วพูดขึ้น
"เดี๋ยวครับเดี๋ยว วิสกี้เบงกอลไทเกอร์เข้ามาทำตลาดทั้งที ต้องมีการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่อย่างเป็นทางการแน่นอน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะยังไม่ตอบคำถามเรื่องธุรกิจนะครับ ผมจะขอเชิญคุณพรหมพยัคฆ์ กล่าวอะไรเล็กน้อยเป็นการทักทายกับทุกๆท่าน … ขอเชิญครับ คุณพรหมพยัคฆ์"
พรหมพยัคฆ์เดินมาที่โพเดียม นักข่าวซุบซิบกันเสียงหึ่ง
เขาถอดแว่นตาดำออก นักข่าวทุกคนเงียบกริบในทันที
แววตาคู่นั้นของพรหมพยัคฆ์เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉย ดูยากต่อคาดเดาความรู้สึก พรหมพยัคฆ์ค่อยๆกวาดตามองทุกคนอย่างช้าๆ ทุกคนเหมือนถูกสะกดให้หยุดนิ่งภายใต้พลังอำนาจบางอย่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัว
"ผม พรหมพยัคฆ์ ขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เบงกอลไทเกอร์ เป็นวิสกี้สายเลือดไทยที่ไปเติบโต และได้รับความนิยมในต่างประเทศมานาน แต่สำหรับที่นี่ ที่บ้านเรา เสือตัวนี้อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ผมมั่นใจว่า ในอีกไม่นาน ทุกคนจะได้รู้จักเสือเบงกอลตัวนี้เป็นอย่างดี" เขายิ้มที่มุมปาก สายตามุ่งมั่น "และทุกคนจะได้รู้ว่าพลังอำนาจของเสือเบงกอลนั้น มีมากเกินกว่าจะต้านทานได้"
พูดจบ พรหมพยัคฆ์ก็เผยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่เย็นเฉียบ เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่สนใจใคร จนนักข่าวส่งเสียงต่อว่าอย่างอื้ออึงขึ้นมา ว่าให้สัมภาษณ์แค่นี้เองหรือ โฆษกเข้ามาห้าม
"เอ่อ ... วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ บอกแล้วว่า ท่านต้องพักผ่อน"
นักข่าวบางส่วนกรูตามพรหมหยัคฆ์ออกไป
พรหมพยัคฆ์เดินออกมาที่หน้าห้องแถลงข่าว ตามด้วยลายเมฆและบอดี้การ์ด นักข่าวส่วนหนึ่งเดินตามมา
นักข่าว1 บอก
"ท่านครับท่าน เดี๋ยวครับท่าน แล้วที่มีข่าวออกมาว่า ท่านให้ข่าวโจมตีวิสกี้คู่แข่ง ท่านจะตอบว่ายังไงครับ"
พรหมพยัคฆ์ชะงักเมื่อได้ยินคำถาม เขาหยุดเดิน
นักข่าวคนเดิมถามด้วยท่าทางกวนๆ
"ก็ ... จู่ๆช่วงนี้ วิสกี้ คู่แข่งของท่านก็ถูกตรวจสอบว่าไม่มีคุณภาพ เลยมีการพูดกันว่า เบงกอลไทเกอร์ อยู่เบื้องหลัง หวังจะทำลายคู่แข่งก่อนเข้ามาเปิดตัว ถ้าเป็นแบบนั้น วิธีเปิดตลาดของท่านคงไม่สวยเท่าไหร่"
พรหมพยัคฆ์ค่อยๆหัน จ้องนักข่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาดุร้าย เขาก้าวเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว นักข่าวที่ตอนแรกทำหน้ากวนๆอยู่ ถึงกับก้าวถอยไปหนีไปอย่างไม่รู้ตัว พรหมพยัคฆ์พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
"คุณคงยังไม่รู้จักเสือดี"
พรหมพยัคฆ์จ้องมองนักข่าวแว่บหนึ่ง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทันใดนั้น นักข่าวก็เหมือนถูกผลักอย่างรุนแรงให้ล้มลง เสียงวี้ดว้ายเพราะนักข่าวไปชนคนอื่น โดยที่พรหมพยัคฆ์ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย และความจริงก็อยู่ไกลกันพอสมควร สิ่งที่เกิดขึ้น คล้ายมีอำนาจบางอย่างเป็นผู้กระทำ
ลายเมฆรีบเดินเข้ามากระซิบเตือนให้ใจเย็นอย่าทำอะไรไปมากกว่านี้
"ท่านครับ"
พรหมพยัคฆ์จึงสงบลง แววตากลับมาเป็นสีปกติ นักข่าวยังนั่งอยู่กับพื้นด้วยความงงงวย
นักข่าว2 ถามเพื่อน
"เป็นอะไรหรือเปล่า โดนอะไรน่ะ"
นักข่าว 1 ส่ายหน้า ยังงงอยู่เหมือนกันว่าโดนอะไร
พรหมพยัคฆ์เดินตรงเข้าไปหา สีหน้าดุดัน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ
"เสือ ไม่เคยลอบกัดใคร... สัญชาติเสือ ถ้าจะทำ ก็ทำซึ่งๆหน้า กัดทีเดียวที่ต้นคอ คู่แข่งก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว"
พูดจบ พรหมพยัคฆ์ก็ยกแว่นดำขึ้นมาสวมปกปิดความโมโหร้ายในแววตา แล้วก็เดินออกไป ตามด้วยลายเมฆ
บรรดานักข่าวมองตามด้วยความสงสัยในความลึกลับของพรหมพยัคฆ์
อ่านต่อตอนที่ 2