xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 17 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 17 อวสาน

ดวงแก้วเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องคนไข้ แล้วต้องชะงัก เห็นอิศรานั่งข้างเตียง กำลังลูบผมเจริญขวัญที่นอนอิดโรยอย่างเบามือ ดวงแก้วมองแล้วอยากให้เวลาหนุ่มสาว จึงหันกลับเดินออกไปเงียบๆ ปิดประตูลงอย่างเบามือ

เจริญขวัญ ขยับตัวแล้วเจ็บแผล “อูย...”
อิศราละล้าละลัง “เจ็บมากเหรอจ๊ะ ถ้าพี่เจ็บแทนขวัญได้คงดี”
เจริญขวัญมองอิศรา หัวเราะเบาๆ แล้วเจ็บแปลบอีก “อูย...”
“จุ๊ๆ อย่าพูด อย่าหัวเราะสิจ๊ะ เดี๋ยวเจ็บแผล ฟังพี่พูดอย่างเดียวก็พอ” อิศราลูบหัวอีก “ขวัญจะได้หลับไปพร้อมกับเสียงพี่”
“พี่อิศ” เจริญขวัญจ้องตาอิศรา
“จ๋า”
“ทำไม ถึง...รักขวัญนักคะ”
อิศรายิ้มให้ “ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะ..ดวงตาคู่นี้ไง ดวงตาที่มองพี่ อย่างไว้ใจเข้าใจ ..และ ทำให้พี่รู้สึกว่า ชีวิตของพี่ มีความหมาย”
เจริญขวัญยิ้มบาง
“ขวัญหายแล้ว เราจะแต่งงานกันนะ จัดงานที่บ้านไร่นั่งแหละพี่จะทำซุ้มดอกไม้สีขาว เอาดอกไม้มาร้อยเป็นมงกุฎให้เจ้าหญิงเจริญขวัญของพี่ ขวัญต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยน่ารักน่าทะนุถนอมที่สุดในโลกเลย”
เจริญขวัญยิ้มเต็มตื้น อิศราจูบมือเธอเบาๆ

ภายในห้องแต่งตัวของวัง ใบหน้าท่านชายที่ยืนมองตัวท่านเองในกระจกขรึม ปนเศร้า รับรู้เรื่องราวของสาวหนุ่มทั้งสอง
“เก็บเกี่ยวเวลาแห่งความสุขของเจ้าให้เต็มที่ เจริญขวัญ อิศรา”
ท่านชายทอดถอนใจ อย่างเศร้าสร้อยแต่ปล่อยปลงได้

ฟากชาลินีพาตัวเองมาตามนัดกับพีอาร์สาว ลักขณา หล่อนทั้งคู่นั่งเจรจากันอยู่ในร้านกาแฟ คุยกันสักครู่ จนบรรลุประสงค์ หล่อนจึงเซ็นเช็ค ยื่นให้คู่เจรจา จำนวน 100,000 บาท โดยยินดี
“นี่ค่ะพี่หนึ่งแสนบาท”
ลักขณายังดูวางมาด ขณะรับเช็คมา “น้องชาคงไม่คิดว่ามากเกินไปนะคะ
ชาลินียิ้มแย้ม “ไม่หรอกค่ะ ชาเชื่อมือนักพีอาร์อย่างพี่ ยิ่งฟังรายชื่อหนังสือที่พี่นัดมาให้ด้วยแล้ว ชายิ่งมั่นใจค่ะ”
“รับรองค่ะน้อง ว่างานประกาศตัวหมั้นหมายกับท่านชายวสวัตของน้อง จะต้องโด่งดัง คนพูดถึงกันทั้งเมืองเลย”
ชาลินียิ้มกระหยิ่ม ดีใจ ลักขณายิ้มดูท่าทางใจดี

ต่อมา ชาลินีเดินออกมาพร้อมกับลักขณา หล่อนแตะแขนกับพีอาร์สาวอย่างสนิทสนมทีเดียวเชียว
“วันงานต้องแต่งตัวให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
ชาลินีจุ๊บแก้มซ้ายขวา ลาตามธรรมเนียมฝรั่ง ก่อนเดินจากไป ลักขณายิ้มแย้มโบกมือส่ง แล้ว ล้วงกระเป๋า ยกมือถือมากดโทร.ออก
“ฮัลโหล น้องอรอนงค์เหรอคะ

อรนงค์รับสายมือถืออยู่ที่บ้าน ด้วยสีหน้าหมายมาด
“ค่ะพี่ลักขณา ขอบคุณค่ะ”
อรงอนงค์วางสาย หันมองไปทางหนึ่ง ทรุดลงนั่งหน้ารูปน้องชาย หยิบรูปมาดู
“เอก...อีกไม่นานนี้แล้วนะ ที่พี่จะได้แก้แค้นมัน แทนเอก”
อรอนงค์ มุ่งมั่นหมายมาดยิ่งนัก โดยไม่รู้ว่าผีน้องชาย ลงอยู่ข้างๆ ใบหน้าเศร้า มองพี่สาวที่กรุ่นด้วยความแค้นนั้น
“อย่าทำเลย พี่อร อย่าผูกใจเจ็บ สร้างกรรมต่อเนื่องกันไปอีกเลย ให้มันจบที่เอกเถอะ”
อรอนงค์ไม่ได้รับรู้ ยังคงร้อนรุ่มด้วยพลังแค้นในจิต
สุดท้ายวิญญาณเอกดนัยจางหายไป พร้อมความเศร้า

“โธ่ พี่อร”

อิศราประคองเจริญขวัญเข้ามาในบ้านคุณหญิงอุ่น ซึ่งบัดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจริญขวัญแล้ว ท่าทางเจริญขวัญยังดูอ่อนเพลียอยู่

ดวงแก้วเดินตามหลัง ถือถุงยา สี และ วัน มาช่วยกันรับ หิ้วกระเป๋าสัมภาระตามหลัง
“ดีใจจังเลยค่ะ คุณขวัญกลับบ้านได้แล้ว” วันเอ่ยขึ้น ตาไม่เหล่
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหมคะ” สีถาม
“ไม่เท่าไหร่จ้ะ” คนเจ็บยิ้ม
ทั้งหมดเดินมาที่บันได
“ขึ้นไหวไหมลูก ค่อยๆ ก้าวทีละขั้นนะ ช้าๆ ก็ได้”
“อย่าให้เดินเลยครับ”
ขาดคำ อิศราช้อนตัวเจริญขวัญ อุ้มขึ้นบันไดไป ดวงแก้วเดินตาม
วันตาโต มองตามจนตาเหล่ สีหันมองเอ็ด
“ตะลึงไปทำไม ตามไปเร็ว”
“เดี๋ยว เค้ากอดกันขนาดนั้น แปลว่าชั้นหมดหวังแล้วใช่มั้ย” วันครวญคร่ำ
สีหมั่นไส้ “อุ้ย..แกน่ะ ไม่เคยมีหวังต่างหาก”
วันหน้าม่อย เดินตาเหล่ออกไป

อิศราประคองร่างเจริญขวัญลงบนเตียงนอนของเธอ ขยับตัวให้นอนสบาย
ดวงแก้วบอก “เดี๋ยวอาดูแลต่อเองก็ได้ค่ะ คุณอิศ”
“ไม่เป็นไรครับ เมื่อก่อนผมก็ดูแลคุณย่าแบบนี้” อิศราขยับห่มผ้าให้เรียบร้อย)
“สบายยังจ๊ะขวัญ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่อิศ” เจริญขวัญมองรอบห้องหน้ามุ่ย
ดวงแก้วฉงน “เป็นอะไรลูก”
“เปล่าค่ะ ขวัญแค่ อยากกลับบ้าน”
“ที่นี่ก็บ้านขวัญนะจ้ะ จำได้ไหม อาหมอบอกว่า ให้นอนพักให้เยอะๆ”
“นั่นสิ กลับบ้านไร่ เดี๋ยวก็จะไปซนในไร่อีก”
เจริญขวัญยิ้มพยักหน้ารับ อิศรายิ้มตอบ ดวงแก้วดูคลายความกังวลที่เคยมีมาลงไปมากโข

ทั้งสองยืนคุยกันหน้ากรอบหน้าต่างที่แสงผ่านเข้ามาทำให้เหมือนทั้งคู่ มีครึ่งของความมืดครึ่งสว่าง แตกต่างจากความสดใสของอิศรา และ เจริญขวัญ)
ท่านชายมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงฟ้าแลบ สว่างกระจ่างเข้าหน้าขาวเผือดนั้น ท่านชายมองฟ้าอย่างรู้ว่ากำลังตั้งเค้าของความพิโรธ
ชาลินีเดินเข้ามาเบื้องหลัง ยิ้ม พูดเอาใจ
“ในวันงานจะมีคนไม่กี่คนหรอกค่ะ แค่นักข่าวจากหนังสือสองสามฉบับ แต่อาจจะมีบางคำถามที่ท่านชายต้องตอบ”
“เช่นเรื่องอะไร”
“ก็...เราประกาศตัวกันอย่างนี้ เขาคงต้องถามกันว่า แล้วพิธีหมั้นพิธีแต่งงานกันจริงๆ จะเป็นเมื่อไหร่”
ท่านชายนิ่ง รับรู้
ชาลินีเห็นท่านชายไม่ตอบก็เลี่ยง เสหัวเราะ “เราคงตอบว่าได้ฤกษ์ดีเมื่อไหร่จะบอกทุกคนเอง นะคะ”
ท่านชายนิ่งรับรู้
“แล้วเขาอาจจะถามว่า เราพบกันได้ยังไง รักกันได้ยังไง”
“รักกัน” ท่านชายหันมองมายิ้ม เยาะหยัน “งั้นหรือ”
ท่านชายหันเดินหนีไปทันที ชาลินีที่ชะงักงันรีบปราดเข้ากอดจากเบื้องหลัง
“ท่านชายขา ชาขอบคุณที่ท่านชายรักษาสัญญา วันนี้ท่านชายอาจไม่เห็นหัวใจ ไม่เปิดรับความรักของชา แต่ชาสัญญานะคะว่า ชาจะคอยดูแล ทำให้ท่านชายมีความสุขที่สุด ชารักท่านชายค่ะ”
สีหน้าท่านชายเย็นชา ก้มมองมือชาลินีที่รวบเองมาจากด้านหลัง
ท่านชายยกมือแตะมือชาลินี แสงสีแดงจากมือท่านชายแตะที่มือชาลินี ร้อนจนหล่อนสะดุ้งชักมือออก ถอยห่างทันที
“อุ้ย”
ท่านชายพูดโดยไม่มองมาว่า “แล้วพบกันพรุ่งนี้” แล้วออกเดินจากไป
ชาลินียืนเคว้งคว้างอยู่ในห้อง แต่พยายามหลอกตัวเอง มองทุกอย่างรอบตัว
“เราทำมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว แค่อีกนิดเดียว เราจะต้องชนะหัวใจของท่านชายให้ได้”
ฟ้าแลบอีกครั้ง แสงส่องให้ร่างชาลินีสว่างวาบ ตามด้วยเสียงฟ้าคำรณครืนครัน

ฝ่ายท่านชายวสวัต ยกแก้วน้ำทองแดงขึ้นดื่ม ความร้อนแผดเผาสรรพางค์อีกครั้ง ผีเอกดนัยปรากฏร่างขึ้น ท่านชายปรายมอง ผีเอกดนัยทรุดคุกเข่า พนมมือ
“ท่านชาย โปรดอย่าลงโทษชาเลย ให้อภัยชาด้วย โปรดอย่าทำอย่างนี้เลย เรื่องของผม ผมเข้าใจดีแล้ว ผมยอมรับในผลแห่งกรรมที่ตัวเองทำแล้ว”
“ข้าทำอะไร ข้าเพียงเปิดทางให้ผลกรรมของวิญญาณอีกดวง ที่ถูกหล่อนทำ ได้แสดงผลกับหล่อน เท่านั้น”
ท่านชายหันมาทางผีเอกดนัยสีหน้าขรึม
“ในเมื่อหล่อนเรียกร้องให้ข้า รับผิดชอบ ข้าก็ทำตามที่หล่อนร้องขอ เจ้า...ไปซะ”
ผีเอกดนัยเศร้า ร่างจางหายไป

ท่านชาย ตาดุหน้าขรึม

อีกวันหนึ่ง ขณะนี้เจริญขวัญกำลังทานซุป มีดวงแก้วคอยเลื่อนแก้วน้ำให้

“อิ่มแล้วหรือลูก” ผู้เป็นมารดาหยิบทิชชู่ส่งให้ “นี่จ้ะ”
เจริญขวัญรวบมือดวงแก้วที่ส่งทิชชูให้ มองแม่อย่างตื้นตัน
“แม่คะ แม่ทำเพื่อขวัญมาทั้งชีวิต แม่คงเหนื่อยมากเหลือเกินนะคะ”
“แม่หายเหนื่อยแล้ว เพราะขวัญก็ผ่าตัดหายแล้ว และก็...อีกหน่อยก็มีคนมาดูแลขวัญแทนแม่แล้ว”
“รักของใครจะยิ่งใหญ่เท่ารักของแม่ล่ะคะ”
เจริญขวัญเลื่อนตัวไปพิงกอดดวงแก้ว
“ขอบคุณนะคะแม่ ขวัญรักแม่ค่ะ”
ดวงแก้วยิ้มจูบหน้าผากลูกสาว เจริญขวัญมองท้องฟ้า พูดเป็นลาง
“ขวัญคิดถึงบ้าน ขวัญอยากกลับบ้านจังเลย”
“หนูบ่นคิดถึงบ้านเกือบทุกวัน เถอะน่า พักให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมก่อน เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วลูก”
เจริญขวัญแหงนมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น

เช้าเดียวกันนี้ งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นที่โถงกลางหน้าบันไดของตึกใหญ่ในวัง
ทีมงานกำลังเตรียมการกันอยู่ แจกันดอกลิลลี่สีขาวถูกยกวางประดับตรงมุมหนึ่ง มี ลักขณากำลังสั่งการ ทีมงานอีกสองคนจัดเก้าอี้หลุยส์ ตั้งหน้าผ้าม่านแดงที่ดอกไม้วางเป็นระยะ สวยงาม ยังมีดอกไม้ประดับ ทีมงานอีกคนยกดอกไม้มาวางหน้าโพเดียม และอีกคนกำลังเซ็ตจอทีวีขนาดใหญ่ ที่ตั้งมุมขวาของเก้าอี้หลุยส์คนละฝั่งกับโพเดียม
“เอาดอกไม้ไปไว้ที่โพเดียมเลย” ลักขณาหันไปสั่งกับอีกสองคนที่กำลังจัดเก้าอี้ “วางให้ตรงๆ นะจ๊ะ” หล่อนเดินต่อมายังคนที่กำลังเช็ตทีวีและเครื่องเล่น “ทีวีเรียบร้อยนะ” แล้วส่งแผ่นให้ “เดี๋ยวพอชั้นให้คิว เปิดแผ่นนี้นะ”
“ครับ”
ท่านนายพลบัญชา และ คุณหญิงเพ็ญภาวีร์ เดินเข้ามา ท่าทีเก้ๆ กังๆ ไม่ค่อยสบายใจกันทั้งคู่
ลักขณาหันมาเห็นปราดมาไหว้ทักทาย
“ท่านนายพล คุณหญิง สวัสดีค่ะ”
คุณหญิงรับไหว้ “คุณลักขณา เห็นยายชาว่ามาช่วยจัดงานให้ ขอบคุณมากนะ”
“ยินดีค่ะ คุณหญิง เดี๋ยวพอใกล้เวลา ลักจะมาเรียนเรื่องคิวอีกนะคะ ก็ไม่อยากอะไร แค่นั่งเป็นประธานตรงนั้นน่ะค่ะ ขอตัวไปเช็คนักข่าวนิดนะคะ”
ลักขณาเดินไป นายพลบ่นงึม
“งานอะไรของมัน หมั้นก็ไม่ใช่ แต่งก็ไม่ใช่ ไม่เคยพบเคยเห็น”
คุณหญิงได้แต่ถอนใจยาว

ช่างหน้า ช่างผม คนคุ้นเคยกัน กำลังมะรุมมะตุ้มแต่งตัวให้ชาลินี มีแม๊ปช่างภาพเจ้าเก่าคอยถ่ายภาพทุกอิริยาบถ เสียงชัตเตอร์ดังระรัว เป็นระยะๆ
จิ๊บช่างหน้าร้องวี้ดว้าย “อ้ยตายแล้ว ตาแม๊ป จะถ่ายอะไรนักหนา เดินวนไปวนมา เจ๊เวียนหัว”
“ให้ถ่ายไป ทำโทษที่คราวที่แล้วถ่ายไม่ดี คราวนี้ต้องเก็บภาพให้เยอะที่สุดนะ ไม่งั้นเป็นเรื่อง” ชาลินียิ้ม
“ครับ” แม๊ปถ่ายภาพแชะ
“คุณชาลินี พี่นะปลื้มแทนจังเลย นี่ขนาดแค่งานเปิดตัวว่าคบหา ยังจัดซะขนาดนี้ แบบนี้ งานหมั้น งานแต่งมิอลังการงานสร้างเลยคะ”
ชาลินีได้แต่ยิ้ม ให้คิดกันไปเอง

ทุกอย่างเสร็จสิ้นลง ชาลินียืนหมุนตัว ในชุดสีชาวสวยงามราวกับเจ้าหญิง ชาลินียิ้มพึงใจ แม๊ปถ่ายภาพ ช่างหน้า ช่างผม ปรบมือกรี๊ดกร๊าด
“อุ้ยตาย สวยๆๆๆ สวยเหลือเกิน ยังกะเจ้าสาวน่ะค่ะ”
ชาลินียิ้มภาคภูมิใจ ลักขณาโผล่เข้ามา ชมจากใจ
“โอย สวยเหลือเกินค่ะ น้องขา นี่นักข่าวมากันครบแล้ว เดี๋ยวพี่จะเริ่มเลยนะคะ”
“ค่ะ”
ลักขณาเหลียวหา “แล้ว ท่านชายล่ะคะ”
“ท่านชาย อยู่ข้างบนน่ะค่ะ”
“งั้นให้นายแม๊ป ไปเรียนท่านให้เตรียมตัวนะคะ ไปสิแม๊ป”
“ครับ”
แม๊ปวิ่งออกไป ชาลินีหันมามองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ด้วยความภาคภูมิใจ ลักขณายิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย

แม๊ปพาตัวเองขึ้นมาชั้นสอง ท่าทีเก้ๆ กังๆ เขากวาดตามองโดยรอบ แม้จะเป็นตอนเช้า แดดจ้า แต่ดูมีแต่ความเวิ้งว้าง หุ่นที่ทอดเป็นเงาทะมึน ทำให้แม๊ปสะดุ้ง ผวากลัว ขนลุกเกรียว หันไปหันมาไปไหนไม่ถูก ตัดสินใจวิ่งกลับลงบันไดไป

นักข่าวช่างภาพ สายเซเล็บ ไฮโซ ราว 10 คน มากันแล้ว ลักขณายืนอยู่ใกล้ตีนบันได คุยจ๊ะจ๋ากับนักข่าวคนหนึ่ง เห็นแม๊ปวิ่งลงบันไดมา
“นายแม๊ป เรียนท่านชายแล้วใช่ไหม”
“เอ้อ ครับ”
แม๊ปสะพายกล้องเดินหนีไป
คุณหญิงเพ็ญ นายพลบัญชา ยืนใกล้เปียโน นักข่าว 1 กำลังสัมภาษณ์
“ท่านทราบเรื่องความสัมพันธ์ของท่านชายวสวัตกับคุณชาลินี มานานแล้วหรือยังคะ”
นายพลไม่อยากตอบ
“เพิ่งทราบ..ไม่นานนี้ล่ะค่ะ”
คุณหญิงเพ็ญอึดอัด เพราะรู้อะไรเป็นอะไร ลอบถอนใจ

มองจากเก้าอี้ที่บัดนี้มีนักข่าวนั่งประจำที่ ไปยังหน้าเวทีที่เป็นชุดเก้าอี้หลุยส์หน้าม่าน คุณหญิงเพ็ญ และ นายพลบัญชา นั่งทำหน้าไม่ถูกกันอยู่ ลักขณายืนอยู่ตรงโพเดียมเริ่มงาน
“สวัสดีค่ะ พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ขอบคุณนะคะ ที่วันนี้ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานของการเปิดตัว คู่รักคู่ใหม่ ในวงสังคมชั้นสูงออกจะเป็นเซอร์ไพรส์ทีเดียวนะคะ เรามาชมภาพและประวัติเล็กน้อยของพวกเขาค่ะ”
ลักขณาพยักหน้าไปทางผู้ช่วยที่ยืนข้างทีวี มือผู้ช่วยกดปุ่มเปิดเครื่องเล่นดีวีดี
นายพล และ คุณหญิง มองทีวี
ภาพวิดีโอเป็นภาพถ่ายชาลินี จากการถ่ายแบบแฟชั่นสวยเซ็กซี่ และภาพเดี่ยวท่านชายจากชุดออกงาน โดยไม่มีภาพคู่ นักข่าวมอง คุณหญิง กะ นายพล มอง
“เธอ สาวสังคมชื่อดัง ที่ไม่เคยมีข่าวว่า ชายใดจะมัดหัวใจเธอได้ เขา เจ้าชายลูกครึ่งต่างแดน นักธุรกิจ และ เศรษฐีที่ได้ชื่อว่า ใจบุญที่สุดคนหนึ่ง”
วิดีโอจบด้วยภาพตัวหนังสือในวงหัวใจว่า “ท่านชายวสวัต - ชาลินี”
ทุกคนปรบมือ คุณหญิง กะ นายพลปรบมือ
“ขอเชิญพบกับ สาวผู้โชคดีในความรักค่ะ คุณชาลินี”
นักข่าวช่างภาพที่มีกล้อง ขยับลุก
ชาลินี ในชุด หน้า ผม สวยงามราวเจ้าหญิง เดินออกมาจากทางห้องแต่งตัวข้างลิฟท์ เยื้อนยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ มีความสุขเหลือล้น หล่อนเดินมาช้าๆ
ทั้งแม๊ป นักข่าว ระดมถ่ายรูป แสงแฟลชกระเจิงกระจาย
ใบหน้าชาลินี น้ำตาคลอหน่วยอย่างปลื้มปริ่ม ฉีกยิ้มตลอดเวลา
นายพลบัญชา กับ คุณหญิงเพ็ญ เพียงยิ้มมอง ไม่ได้ปรบมือด้วย
ชาลินีมาหยุดที่กลางห้อง ด้านหลังคือบันไดสูง นักข่าวและช่างภาพรุมถ่ายภาพประวัติศาสตร์ของไฮโซคนสวยโดยไม่รู้เหนื่อย
ลักขณาดำเนินการต่อ “และ ขอเชิญพบกับ สุภาพบุรุษที่แสนโชคดี ท่านชาย วสวัต ค่ะทุกคนมองไปที่บันได”
ทุกคนจ้องที่บันไดอย่างตื่นเต้น แต่เงียบ
นายพล คุณหญิง ชะเง้อมองไปทางบันได
ลักขณาเอ่ยซ้ำ “ขอเรียนเชิญ ท่านชายวสวัตค่ะ”
ที่อย่างบันไดยังคงเงียบ
ชาลินีหันไปมองทางบันได ใจหาย ท่าทีประหม่า เกรงว่าท่านชายจะหายไป

เหตุการณ์ที่บ้านคุณหญิงอุ่น วันเดินตามมาส่งดวงแก้วกับอิศราที่ถือกุญแจรถมา
“คุณดวงแก้วไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยววันจะคอยดูแลคุณขวัญเอง”
“จ้ะ แล้วจะซื้อของมาฝากนะ”
ดวงแก้วเดินไปกับอิศรา

เจริญขวัญพลิกตัวนอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง หลังทานซุปและยา ตามคำสั่งหมอ

เสียงเม้าท์มอย ซุบซิบดังเซ็งแซ่ทุกคนกำลังสงสัยว่าทำไมท่านชายไม่ปรากฏตัวสักที

“ยังไงเนี่ย” บัญชาหงุดหงิดเอากับคุณหญิง
ชาลินีหน้าเสีย แต่ฝืนยิ้ม กำลังเครียดหนัก
ลักขณางง มองไปทางบันได พลันที่บันได ปรากฎร่างท่านชายก้าวออกมาหยุดยืนอยู่กลางที่พักบันไดชั้นบน
ลักขณายิ้มออก “ท่านชายวสวัตค่า”
ชาลินียิ้มออกมาได้ น้ำตาคลอดีใจ ยืนรอ ท่านชายก้าวลงบันไดลงมาช้าๆ ทุกคนถ่ายภาพทุกก้าวย่าง จนท่านชายมายืนเคียงคู่ชาลินี ท่านชายหันมองด้วยสีหน้าเรียบขรึม ชาลินีปรายยิ้ม สอดมือเข้าจับแขนของท่านชาย
ท่านชายพาชาลินีเดินมานั่งยังเก้าอี้หลุยส์ทั้งสองคน
ลักขณาเอ่ยขึ้นอีก “ขอเชิญทุกท่านนั่งก่อนนะคะ แหม อย่างที่เห็นนะคะ ว่าทั้งสองท่านช่างดูเหมาะสมกันมากเอาล่ะค่ะ ตอนนี้ เราจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถามพุดคุยนะคะ”
นักข่าว1 “ท่านชายวสวัต กับ คุณชาลินี ได้พบกันยังไงคะ”
ชาลินีหยิบไมค์พูดตอบเอง “ท่านชายกับชารู้จักกันเพราะท่านชายเป็นเพื่อนสนิทกับ อิศรา ญาติของชาค่ะ”
นายพล กับ คุณหญิง มองลูกสาวสุดสวาทด้วยสีหน้าเอือมๆ

จังหวะนี้ประตูที่เปิดอยู่แล้ว มีร่าง อรอนงค์ วัลภา ปวีณา ก้าวเข้ามายืนที่กรอบประตู สามสาวยิ้ม มาดมั่น แววตามุ่งร้าย
ระหว่างที่นักข่าวซักถามชาลินีตอบอยู่คนเดียวนั้น สามสาวเดินเข้ามาในงาน ผ่านมาทางเก้าอี้นักข่าว อรอนงค์มานั่งหน้าสุด กอดอกจ้องชาลินีอย่างเกลียดชัง ปวีณา ไปนั่งแถวสอง วัลภาเดินเลื้อยไปทางคนคุมจอทีวี ชาลินีอยู่ระหว่างการตอบคำถาม เห็นสามอริก็ชะงักไปเล็กน้อย
นักข่าว2 ถาม “แล้วได้ดูใจคบหากันมานานหรือยังคะ”
“ก็ นานพอสมควรแล้วค่ะ”
เห็นสามสาวแยกกันนั่ง ชาลินีแปลกใจเล็กน้อย
นักข่าว 1 ซัก “แล้ววันนี้ทำไมถึงคิดเปิดเผยความสัมพันธ์คะ”
“ก็...” ชาลินีเหลือบมองท่านชายที่นั่งนิ่งเป็นหินสลักอยู่ “เราคิดว่า สมควรที่จะให้สังคมได้รับรู้ คือ เราไม่อยากปิดบังอะไรน่ะค่ะ” หล่อนมองไปที่สามสาวอย่างหงุดหงิด
อรอนงค์เหยียดยิ้มส่งสายตาร้ายกาจสาแก่ใจไปให้ จนชาลินีเผลอขมวดคิ้ว
ลักขณายิ้มรู้กันกับสามสาว เลี่ยงออกจากโพเดียมโดยไม่มีใครสังเกต
นักข่าว1 ถามอีกว่า “คุณชาลินีจะเปิดเผยความในใจว่ารู้สึกรักท่านชายตรงไหนคะ”
ชาลินียิ้มหวาน “ก็...ดูท่านชายสิคะ ผู้หญิงที่ไหนบ้าง จะไม่หลงรักท่าน”
นักข่าว 1หันมาทางท่านชาย “แล้วท่านชายล่ะคะ เราไม่ค่อยเคยเห็นข่าวท่านชายกับใครที่ไหนมาก่อน ท่านชายคิดว่า คุณชาลินี พิเศษกว่าใครๆ ตรงไหนคะ”
ชาลินีหันมามองท่านชายอย่างลุ้นๆ
นักข่าวลุ้น นายพล และ คุณหญิง ก็มองลุ้น
เวลาผ่านไปทุกคนลุ้นคำตอบ แต่ท่านชายยังคงนั่งขรึมรอบางอย่าง สุดท้ายเป็นอรอนงค์ที่แกล้งห้าวดังๆ จนทุกคนหันมอง
“อุ้ย หาวดังไปหน่อย ขอโทษค่ะ” อรอนงค์หัวเราะขณะลุก “ดิฉันว่าก่อนที่ท่านชายจะบอกว่าชาลินี พิเศษกว่าใครตรงไหน เราทุกคนและท่านชาย ควรจะทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังของเธอสักหน่อยดีมั้ยคะ”
นายพลบัญชา ประหลาดใจ “เอ๊ะ อะไรกัน”
คุณหญิงเองก็ฉงนสนเท่ห์ “เขาจะมาไม้ไหน”
ชาลินีฉุนกว่าใครอื่น แต่ต้องรักษาภาพ หันขวับไปทางโพเดียมเพื่อให้ลักขณาช่วย แต่แล้วต้องชะงัก โพเดียมว่าเปล่า
ท่านชายปรายยิ้ม ฉากโชว์สำคัญกำลังเริ่ม
ชาลินียิ้มแก้สถานการณ์ “ขอโทษนะคะทุกคน อรอนงค์ คือเพื่อนเก่าชาเองวันนี้คงอยากมาเล่นตลก เซอร์ไพรส์ชา” ปากยิ้มชื่น แต่พูดบังคับอรอนงค์ด้วยสายตา “อรจ๊ะ เลิกเล่นเถอะ”
“เปล่านะ ไม่ได้เล่น วัลภาจ๋า” อรอนงค์ดีดนิ้วให้สัญญาณ
“โอเคร. ทุกคนคอยรับชมนะคร๊า”
วัลภาใส่แผ่นซีดีในเครื่องเล่น กดเพลย์ ภาพปรากฏขึ้นหน้าจอ
เป็นภาพเอกดนัยถ่ายรูปพร้อมกับบอกรัก มีชาลินีนอนหลับข้างๆ
นักข่าวฮือฮา ซุบซิบกันเซ็งแซ่
ชาลินีค่อยๆ ยืน สีหน้าตื่นตะลึง นายพลบัญชา และคุณหญิง อึ้ง ตกใจ และอับอาย
“ไม่...ไม่ค่ะ นั่น...ไม่ใช่ชั้น...ผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ชั้น มันเป็นภาพตัดต่อ พวกนี้มันแกล้งชั้น” ชาลินีพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
อรอนงค์สวนออกมาเสียงดัง “น้องชายของชั้น เอกดนัย โดนชาลินีหลอกปั่นหัว หลอกให้รัก แต่พอเขาเจอท่านชาย ที่รวยกว่า เขาก็ถีบหัวน้องชั้น จนเขา...ยิงตัวตาย”
นักข่าวจอมเผือก ส่งเสียงฮือฮา
ชาลินีพยายามยิ้ม แก้ตัวปากสั่น “ไม่ มันไม่ใช่ความผิดของชั้นนะคะคือมัน...มันไม่ใช่เรื่องจริง”
ปวีณาเอ่ยขึ้น “อ้อ ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ ท่านผู้สื่อข่าวคะ ที่เคยมีข่าวเมาท์ว่า ยายชาล่อลวงสามีดิฉันหวังจะให้หย่าจากดิฉัน เป็นเรื่องจริงนะคะ”
ชาลินีแผดเสียงเหลียวหาออร์แกไนเซอร์รอบทิศ “หยุด พวกเธอหยุดเดี๋ยวนี้ พี่ลักขณาอยู่ไหน จัดการพวกนี้ที”
อรอนงค์พูดต่อ “และมันก็ไม่ใช่แค่ผู้ชายสองคนที่ตกหลุมผู้หญิงคนนี้นะคะ มีเด็ดกว่านี้อีกค่ะ ผู้หญิงคนนี้...เคยมีลูกมาแล้วด้วยค่ะ”
ชาลินีชะงัก ตัวแข็ง นักข่าวจอมเผือกยิ่งฮือฮา
นักข่าว1 หัวเราะกับเพื่อน “สนุกกว่าละครอีกเท๊อ อะไรเนี่ย”
คุณหญิงตกใจลุกขึ้น “ตายแล้ว พวกเธอหยุดกันเดี๋ยวนี้นะ”
นายพลบัญชาสะดุดหู หันขวับมาทางคุณหญิงภริยาที่มองหน้า ก็รู้ว่าคุณหญิงรู้เรื่องมาแล้วจนไม่กล้าสบตาสามี
นายพลลุกพรวด “พวกเธอ มาป่วนงานแบบนี้ได้ยังไง ยังงี้ต้องโดนแจ้งความเรียกค่าเสียหาย”
อรอนงค์ไม่สน “เอาความจริงมาเผย เสียหายตรงไหนคะ ทุกท่านอยากทราบความจริงมั้งคะ”
นักข่าวฮือฮา “อยากค่ะ” / “อยาก”
อรอนงค์แค่นหัวเราะ “วัลภา จัดไป”
วัลภาหยิบแผ่นซีดีอีกแผ่นขึ้นมา วางมาดเท่ห์ราวนักสืบสาว
“ได้เลย” วัลภายัดซีดีใส่เครื่องเล่น
ชาลินีเหลียวขวับแม้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ นิ้ววัลภากดปุ่มเพลย์ ปวีณามายืนข้างอรอนงค์ สาแก่ใจ

ทุกคนมองตาม ใบชาลินีตะลึงมองจอทีวีเขม็ง

เงา ตอนที่ 17 อวสาน (ต่อ)

อีกฟากที่ร้านดอกไม้สวย อิศราหยิบมาดูหนึ่งดอก คิดถึงเจริญขวัญ หันมาพูดกับคนขาย

“ช่วยจัดช่อดอกไม้ให้ผมด้วยครับ เอาหมดนี่เลย”
อิศรายิ้มสุขใจ

ลูกตาทุกคนแทบจะทะลุเข้าไปที่จอทีวี
ท่านชายที่นั่งขรึมตลอดเวลา หันมองมาช้าๆ เห็นชาลินียืนตะลึง มือจิกกำกระโปรงแน่น
ภาพในทีวีปรากฏขึ้น
เป็นภาพที่ดูออกว่าคงตั้งกล้องถ่ายเอง ภาพเลยไหวๆ และมันเป็นภาพชาลินีในชุดกันหนาวบรรยากาศน่าจะเป็นเมืองนอก หล่อนอุ้มทารกน้อยพูดกับกล้อง
“ฮัลโลกับแดดี้สิลูก” ชาลินีก้มจูบทารก “ลูกรักของมามี้”
ชาลินีตะลึงถึงขีดสุด แทบหยุดหายใจ
คุณหญิงตะลึงงัน นายพลดูด้วยสีหน้าสับสนปนสงสัย ส่วนท่านชายมองหน้าเรียบ

ชาลินีอุ้มลูกอยู่ จู่ๆ มีฝรั่งวิ่งเข้ามาในกอดทั้งชาลินีและทารก จากนั้นภาพก็ขาดหายไป
กลายเป็นเหตุการณ์ใหม่ ภาพเหมือนกล้องตั้งไว้แอบถ่าย โดยชาลินีกำลังแผดเสียงต่อว่าฝรั่งคนนั้นอย่างรุนแรง
“It’s your response too, you’ve got to take care of us She’s your baby , you have to divorce” - (คุณต้องรับผิดชอบ เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณ คุณต้องหย่า)
“NO….” ฝรั่งกระแทกเสียงใส่
ชาลินีกรี๊ด ปาของใส่ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย

ภาพในทีวี ดับไป ทุกคนนิ่งงันกันไปครู่หนึ่ง
ขณะที่ชาลินีช็อกอยู่นั้น แม๊ป นักข่าวคนอื่นๆ หันมารุมถ่ายภาพชาลินี แสงแฟลชวูบวาบ
คุณหญิงจะเป็นลม คว้ายาดมในกระเป๋ามาดม
นายพลตะลึงงัน ช็อก พิงเก้าอี้
อรอนงค์กำลังจะปิดโชว์ ด้วยฉากสำคัญ “แล้วไม่ใช่แค่นี้นะคะ ไม่ทราบว่า ผู้หญิงคนนี้เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นนิวมอเนียตาย แล้วเธอถึงได้กลับมาเมืองไทย ทำตัวเป็นสาวโสด แล้วตอนนี้ก็คงอยากจะเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำกับท่านชายนี่ล่ะค่ะ”
ปวีณากับวัลภากรีดเสียงหัวเราะ
“อ้อ ถ้าใครดูไม่ทัน ไปตามดูได้ใน Youtube นะคะ ดิฉัน อัพไว้เรียบร้อยแล้ว” วัลภาบอก
ชาลินีอึ้งหมดแรงเถียง วิมานถล่มลงตรงหน้า หล่อนหันขวับไปมองสามสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันแล้ว อย่างโกรธแค้น เกลียดชัง
“ท่านชายจะว่ายังไงก็แล้วแต่นะคะ” ปวีณามองมาทางท่านชาย
วัลภาเสริม “เพราะหมดหน้าที่พวกเราแล้ว”
จากนั้นสามสาวก็ประสานเสียงหัวเราะกิ๊ก
ท่านชายลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่ามกลางความตื่นตะลึงและจับตามองของทุกสายตา ชาลินีหันมองอาการท่านชาย
ท่านชายจัดเสื้อให้เข้าที่ ก้มหัวเป็นเชิงลาทุกคน ก่อนหันเดินกลับไปทางบันได
อรอนงค์สะใจ พูดเสียงดัง “ตายจริง ท่าทางท่านชายคงจะรับของเหลือเดนของคนอื่นไม่ได้ซะแล้ว”
ชาลินีได้สติ วิ่งไปจับแขนรั้งท่านชาย
“ท่านชายขา ท่านชาย ฟังชาก่อน มันเป็นเรื่องโกหกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริง ท่านชายต้องเชื่อชา”
ท่านชายก้มหน้าพูด “ต้องให้ฉันเชื่อเรื่องโกหกของเธอ เรื่องไหนอีกล่ะ ชาลินี”
ชาลินีอึ้งตะลึง ท่านชายปลดมือชาลินีออก เดินต่อไปที่บันได
ชาลินีผวาไปจับมือท่านชายอีก ในแววตาอันเคว้งคว้าง ร้องขอ แทบบ้าของเจ้าหล่อน
“ท่านชายขา อย่าทิ้งชาไปแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็น เป็นอดีต มันเป็นความพลาด ชาไม่ได้ตั้งใจ”
“เธออาจไม่ตั้งใจมีลูก...แต่เด็กคนนั้น ก็ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของเธอ ที่เธอจะมีสิทธิ์ฆ่าเขา”
ชาลินีอ้าปากค้าง ตะลึงงัน ว่าท่านชายรู้ได้อย่างไร เพราะในวีดีโอไม่มีบอกว่าหล่อนฆ่าเด็ก
“เธอฆ่าคนตายนะชาลินี วิญญาณดวงนั้น รอวันได้รับการชำระโทษของเธอมานานแล้ว” ท่านชายย้ำก้มพูดเพื่อให้ได้ยินสองคน “มันเป็นผลแห่งกรรม ที่เธอต้องการให้ฉันรับผิดชอบ นี่ไงล่ะ สิ่งที่เธอปรารถนา”
ท่านชายปลดมือชาลินีออก เดินขึ้นบันได
ชาลินีงงงัน ตกใจ ไม่เข้าใจ แล้วกลายเป็นคิดไปเรื่องอื่น หันขวับ น้ำเสียงหล่อนดุดันกราดเกรี้ยว
“ท่านชายคะ”
ท่านชายวสวัตชะงักการเดิน เพียงผินหน้ามามอง
“ท่านชายตั้งใจร่วมมือกับพวกมันเหรอคะ” ชาลินีเดินขึ้นไปใกล้ ร่างซัดเซ แทบทรงตัวไม่ไหว “ท่านชายตั้งใจเหยียบย่ำชา เพื่อจะกลับไปหานังเจริญขวัญงั้นเหรอคะ”
ท่านชายหันตัวเดินลงบันไดมา มองดุ ใบหน้าเคร่งกว่าเคย
“อย่าบังอาจ! เอาชื่อของคุณเจริญขวัญ มาเกี่ยวข้อง กับเรื่องสกปรกของเธอ!”
ภูเขาไฟระเบิดขึ้น ลุกท่วมในอกชาลินีแล้วยามนี้ ท่านชายมองดุ ก่อนจะเดินกลับขึ้นไป
ชาลินีหมดแรงกองลงไปแปะที่พื้น เหมือนร่างอันไร้วิญญาณ ตะลึงตะไลมองตามท่านชายมาไป โดยที่ด้านหลัง ผู้คนค่อยๆ เดินล้อมเข้ามาแต่ไกล

สายตาทุกคู่มองไปยังชาลินีที่นั่งกองอยู่ที่บันได ขณะร่างท่านชายเพิ่งเดินเลี้ยวหายไป คุณหญิงเพ็ญยืนตะลึงอยู่ ซวดเซจะเป็นลม ท่านนายพลรับไว้ทัน
“คุณคะ” คุณหญิงน้ำตาร่วง
“ไป กลับกันเถอะ มันจบหมดแล้ว”
นายพลประคองคุณหญิง เดินออกไป
ชาลินีกรีดน้ำตาได้สติว่า เบื้องหลังมีคนออยืนดูอยู่ หล่อนพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย ขึ้นมาผชิญหน้าทุกคน
แต่เมื่อมองไปที่ประตู เห็นท่านนายพลบิดา ประคอง คุณหญิงมารดาออกไปด้วยกัน
ชาลินีตัวแข็ง ใจสลาย โดดเดี่ยวคนเดียวในหล้า หล่อนกระซิบด้วยน้ำเสียงโหยหาต้องการกำลังใจ
“พ่อคะ แม่คะ”
นายพล คุณหญิงเดินหายไป คงเหลือแต่ใบหน้าอื่นๆ ที่พุ่งสายตามาที่หล่อน
ชาลินีหันหน้ามาเชิดหน้า ค่อยๆ ก้าวลงบันไดช้าๆ พยายามทรงกายไม่ให้ซวนเซ แต่ก็ยังมีเซบ้าง
ในขณะที่ทุกคนตะลึงอยู่นั้นแม๊ป เข้าไปกดชัตเตอร์ถ่ายรูปชาลินี
แสงแฟลชทำให้ชาลินีสะดุ้ง หันมองแม๊ปตาดุ แม๊ปเลยถอย
ชาลินีเดินผ่านสื่อมวลชนตรงมาที่ อรอนงค์ ปวีณา วัลภา ที่กอดอกหัวเราะ มองอยู่
“พวกเธอ สนุกมากงั้นสิ” ชาลินีแค้นแทบกระอัก
“อ๋อ...แน่นอน ในที่สุดเธอก็แพ้ ชาลินี แต่อย่าโทษพวกเราเลยนะเธอแพ้กับความโสโครกของเธอเองต่างหาก”
ขาดคำ ชาลินี ตบหน้า อรอนงค์ เปรี้ยง นักข่าวถ่ายภาพ พรึบพรับ
อรอนงค์กรี๊ดถลากลับจะไปตบชาลินีตอบ แม๊ปและลักขณาเข้ากันไว้
“ว้าย พอเถอะค่ะ อย่ามีเรื่องกันต่อเลยนะคะ”
ชาลินีกรี๊ด “ชั้นผิดอะไรนักหนา พวกเธอถึงทำกับชั้นแบบนี้”
ชาลินีกลั้นน้ำตา วิ่งแหวกผู้คนออกไปอย่างคนขวัญกระเจิง
ปวีณาฮึดฮัด “อีบ้า ตบแล้วก็ไป พี่ลักขณาไม่น่าห้ามเลย”
ลักขณากระซิบบอก “ก็ ดูหน้าคนอื่นๆ ก่อนสิคะ”
อรอนงค์ ปวีณา วัลภา หันมองไปทางกลุ่มนักข่าวที่ต่างมองสามสาวอย่างรังเกียจ
นักข่าว 1 บอก “ใจร้ายเนอะ มาทำลายงานคนอื่นขนาดนี้”
นักข่าว2 ว่า “นั่นสิ แย่ว่ะ”
สามสาวอึ้ง มองหน้ากัน ทำหน้าไม่ถูก

นักข่าว ยกกล้องถ่ายรูปสามสาวพรึบพรับ สามสาวเหวอเบือนหน้าหนีแต่ไม่ทัน

ชาลินีในชุดขาวสะอาด วิ่งโซเซออกมาหน้าตึก จนมาหยุดหอบหายใจ หันไปมองรายรอบตัว อย่างละล้าละลัง ผมเผ้ายุ่งเหยิง น้ำตาคลอหน่วย อยู่ในอาการทั้งช็อกทั้งเคว้งคว้าง สติใกล้บ้า

“ชั้นจะไปไหน...ชั้นจะไปไหนดี”
ชาลินีหันขวับมามองวัง ตัวตึกตระหง่านเบื้องหน้าที่ฝันใฝ่ มันไม่ใช่ที่ของหล่อนเสียแล้ว ชาลินีกลั้นสะอื้นอย่างสิ้นหวัง ครั้งสุดท้าย
“ท่านชาย”
ชาลินีหันหน้ากลับ ร้องไห้ในอก เดินโผเผหมดสภาพห่างจากตัวตึกออกไป

สองคนกลับถึงคฤหาสน์แล้ว คุณหญิงเพ็ญลงนั่ง ดมยาดม นายพลบัญชาก็หมดสภาพเช่นกัน
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรแบบนี้ หมดกัน ชื่อเสียงเกียรติยศ เพราะนังลูกไม่รักดีคนเดียว”
“คุณคะ”
ท่านนายพลหันมามอง คุณหญิงเพ็ญร้องไห้ ปากคอสั่น แต่ตั้งสติได้
“นั่งลงก่อนเถอะค่ะ ชั้นมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง”
นายพลบัญชาลงนั่งฟังคุณหญิง ที่เริ่มเล่าพลาง เช็ดน้ำตาพลาง

บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ของคุณหญิงอุ่นตั้งตระหง่านอยู่
วันเดินออกมาจากด้านในห้องรับแขก ชะเง้อมอง
“เสียงรถใคร อ้าว คุณชาลินี”
ชาลินีเดินกะปลกกะเปลี้ยเข้ามา
“อิศราล่ะ..อิศรา อยู่ไหน”
วรรณคุณอิศไม่อยู่ค่ะ ออกไปข้างนอกกับคุณดวงแก้ว
ชาลินียิ่งเคว้งขว้าง ขาดเพื่อน งุนงง หันหลับกลับ เข้าหน้ากล้อง ด้านหลังคือ วรรณ
วรรณเอ้อ อยู่แต่คุณเจริญขวัญข้างบนค่ะ
ชาลินีชะงักกึก
ตัดรับด้านหลังของชาลินี ชาลินีค่อยๆ หันมา ประสงค์ร้าย ได้ที่ลง

เจริญขวัญนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน ยังมีอาการอิดโรย และ เจ็บแปลบๆ กับรอยผ่าตัด สักครู่เธอวางแปรง ยิ้มกับตัวเองในกระจก ในจังหวะที่ประตูห้องเปิดออก เจริญขวัญหันไปตกใจนิดๆ เห็นเป็นชาลินีเปิดประตู ยืนจังก้าอยู่
ที่น่าตกใจกว่า เป็นสภาพชาลินีดูทรุดโทรมและหม่นไหม้ในอารมณ์ ผมยุ่ง เสื้อผ้าแม้สวยแต่ก็ยับเยิน
“คุณชาลินี” เจริญขวัญมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณชาลินี เอ๊ะ วันนี้ มีงานที่วังกับท่านชายไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่”
เจริญขวัญยิ้มจริงใจ “มิน่า ชุดคุณชาลินีสวยจัง”
ชาลินีสวนเต็มแรง “แกไม่ต้องมาตอแหล”
เจริญขวัญตกใจ ชะงักกึก “คุณชาลินี”
“แกน่ะมันตัวดี นังบ้านนอก แกเข้ามาในชีวิตของชั้นทำไม” หล่อนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “แกเข้ามาทำม๊าย”
เด็กสาวขวัญเสียยิ่งตกใจ

วันกำลังจะเดินผ่านบันได สะดุ้งสุดตัว แว่วยินเสียงเกาะบันได ชะเง้อคอมองขึ้นมา

เจริญขวัญลุกจากที่นั่ง เดินมาหา ชาลินีก้าวเข้ามามองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เห็นท่าทีนั้นเจริญขวัญตกใจปากสั่น “คุณชาลินีคะ ขวัญ ทำอะไรคะ ขวัญ...ขวัญไม่รู้เลย”
“ไม่รู้งั้นเหรอ”
ชาลินีปราดไปจิกผมเจริญขวัญกระชากสุดแรง
“โอ๊ย” เจริญขวัญ ทั้งตกใจและเจ็บจนเริ่มร้องไห้ “คุณชา”
“แกเข้ามาในชีวิตชั้น เพื่อจะมาแย่งทุกอย่างไป แกจ้องจับท่านชาย”
“ขวัญเปล่า โอย...ปล่อยค่ะ ขวัญเจ็บ”
“แกอย่ามาเถียงเลย” ชาลินีจับรวบคางเจริญขวัญ พูดอย่างเจ็บปวดตัวเอง “ทำเป็นคนดี ทำเป็นหน้าซื่อ ทำให้ท่านชายเรียกแกว่าคุณแทบทุกครั้ง...แต่กับชั้น” หล่อนจะร้องไห้แล้วฮึด เป็นเกลียดแค้น “แกมันอีนังเจ้าเล่ห์”
ชาลินีผลักเจริญขวัญจนลงไปนั่งกับพื้น
“คุณชา” เจริญขวัญร้องไห้ มองชาลินีอย่างตื่นตระหนกตกใจ
“ร้องไห้ แค่นี้ แกทำเป็นร้องไห้ แกรู้บ้างมั้ย ว่าชั้นเจออะไรมาบ้าง”
ชาลินีเดินเข้าหา เจริญขวัญถดตัวถอยหลังหนีร้องไห้ และเริ่มเจ็บอก
“คุณชาอย่าทำ อย่างนี้ ค่อยๆ คุยกัน นะคะ”
“คุยทำไม แกต้องฟังชั้น ชั้นทนแกมานานแล้ว ถ้าไม่เพราะแก ทำตัวเป็นนางเอกแสนดีแสนบริสุทธิ์ งี่เง่า ให้ท่านชายเปรียบเทียบแกกับชั้นตลอดเวลา ชั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้” พูดแล้วหล่อนอัดอั้นจนแทบจะร้องไห้ “ท่านชายจะต้องปกป้องชั้น แต่นี่...ท่านชายกลับ ไม่ใยดีชั้นเลย” แรงโทสะทำให้ชาลินีกระชากผมอีกเด็กสาวอีกอย่างแรงจนหน้าซีดขาวแหงนหงาย “เพราะแก! แกทำให้ชั้นยิ่งดูเลวสายตาของท่าน...เพราะแกมันเก่งละครตบตาผู้ชาย แต่แกหลอกชั้นไม่ได้”
ตอนท้ายชาลินีผลักร่างแบบบางนั้นสุดแรง เจริญขวัญร้องไห้ เริ่มเจ็บกลางอกมากขึ้น ถดตัวถอยหนี อย่างตกใจ
“ขวัญเปล่า คุณชา ท่านชาย..ท่านชายสูงส่งเกินกว่าเราๆ ท่านรักใครไม่ได้นะคะ คุณไม่รู้จักท่าน”
คำพูดนี้ทำให้ชาลินียิ่งแค้น “อีบ้า แกยังกล้าพูดอย่างนี้อีกเหรอ”
หล่อนถลามาจิกผมเจริญขวัญอีก
“ใช่สิ แกจับท่านชายไม่ได้ เลยหันมาจับนายอิศ แต่แกรู้อะไรมั้ย แกมันโง่ โดนนายอิศหลอก”
เจริญขวัญเจ็บอก “โอย...พี่อิศ...ไม่”
ชาลินีหัวเราะเยาะ “นายอิศ เขาหลอกแกเพื่อบ้านนี้เท่านั้น”
เจริญขวัญปฏิเสธพยายามบอก “ไม่ค่ะ คุณอิศ...รัก ขวัญจริงๆ”
“โอ๊ย แกเชื่อว่า ไอ้หน้าซีดๆ โง่ๆ แบบแก เขาจะรักแกลงเหรอ” หล่อนหัวเราะร่า “ถ้ารัก เขาจะหยอดยานอนหลับให้แกกินวันงานเลี้ยงท่านชายเหรอ”
เจริญขวัญชะงัก
นึกถึงเหตุการณ์วันงานขณะเดินมาขึ้นรถ แล้วบ่นปวดหัว อิศราพาขึ้นรถ และหลับในรถ อิศราเช็ดหน้าให้ตื่น นึกแล้วเจริญขวัญถึงกับตะลึง
“เอ๊ะ หรือดีไม่ดี ที่เขาอาจจะทำแกท้องแล้วก็ไม่รู้ ถึงได้เร่งรัดแต่งงานนัก”
“ไม่..ไม่จริง” เจริญขวัญตกใจมาก บวกรวมกับเสียใจซ้ำยิ่งทำให้เจ็บอกเพิ่ม
เจริญขวัญถอยถึงประตู ตะเกียกตะกายลุก เดินออกไป ชาลินีมองตาม ยังแค้นไม่หาย
“แกจะไปไหน”
ชาลินีเดินตามช้าๆ

เจริญขวัญเดินระทดระทวย กุมอกที่เจ็บแปลบออกมา ชาลินีเดินตามหลัง

“แกจะไปไหน นังตัวดี”

เจริญขวัญอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องหันไป พยายามเดินหนี ร้องเรียกอย่างคนขวัญเสีย

“แม่...แม่คะ”
“แกมันหนามทิ่มชั้น ทิ่มนายอิศ ทำไมแกไม่ตายๆ ไปตั้งแต่ผ่าตัด ห๊ะ”
เจริญขวัญ เดินหนีมาถึงโค้งบันไดจะก้าวลง ชาลินีตามมาทันกระชากไหล่ให้หันมา
“ชั้นเกลียดแก แกรู้มั้ย ว่าชั้นเกลียดแก”
ขาของเจริญขวัญก้าวถอยข้างหนึ่งตกสะดุดขั้นบันไดแล้ว สีหน้าเจริญขวัญตกใจสุดขีด ชาลินีเองก็ตกใจ มือหล่อนคว้ามือเจริญขวัญที่กำลังจะตกบันไดไว้
เจริญขวัญสบตาชาลินีที่กำลังตะลึงตะไล ด้วยไม่ได้ตั้งใจผลัก แต่แล้วใบหน้าและคำพูดเสียดแทงใจของท่านชายเมื่อช่วงเช้าดังก้องขึ้น
“อย่าบังอาจ! เอาชื่อของคุณเจริญขวัญ มาเกี่ยวข้อง กับเรื่องสกปรกของเธอ”
ชาลินีร้องไห้ด้วยความเสียใจ มองหน้าเจริญขวัญที่มองจ้องอย่างร้องขอ
มือชาลินีอีกมือ มาแกะมือเจริญขวัญออกแล้วผลักร่างออกไป ขาเจริญขวัญ ร่วงลงบันได เด็กสาวตะลึงจ้องชาลินีอย่างตกใจสุดขีด
ร่างเจริญขวัญตกบันได กลิ้งตามขั้นบันไดไป ชาลินีชะโงกมอง ตื่นตะลึงกับการกระทำของตัวเองด้วย

วันอยู่ตีนบันไดชั้นล่าง เห็นร่างเจริญขวัญกลิ้งตกบันไดก็กรีดร้องสุดเสียง
“ว้าย คุณเจริญขวัญ”
ร่างเจริญขวัญกลิ้งมาสลบที่ตีนบันได วันปราดมาประคอง ร้องเรียกชื่อร่ำไห้ความความตกใจ เงยหน้ามองชาลินีอย่างตื่นตะลึง ชาลินีได้สติ ตกใจกลัว
“ชั้น...ชั้นไม่ได้ทำอะไรนะ เขาตกบันไดลงไปเอง ชั้นไม่ได้ทำอะไร”
ชาลินีวิ่งลงบันได ชะงักดูเจริญขวัญในอ้อนแขนวันนิดเดียว
“คุณเจริญขวัญ ตื่นสิคะ” วันคว้ามือชาลินีไว้ “คุณชาลินี ช่วยคุณขวัญด้วย”
“ชั้นไม่ได้ทำอะไร”
ชาลินีสะบัดมือวัน วิ่งหนีไป
“คุณชาลินี! โฮๆ ขวัญ คุณขวัญค้า ป้าสี...ป้าสีอยู่ไหนช่วยกันที โทร.ตามคุณอิศที คุณขวัญขา คุณขวัญ”
เจริญขวัญแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดวัน

ขณะที่ท่านนายพลบัญชา และคุณหญิงเพ็ญ นั่งกลุ้มกันอยู่ในห้องโถงบ้านนั้นเอง ชาลินีก้าวเข้าประตูมา ในอาการกะปลกกะเปลี้ย ท่าทางตื่นตระหนก หวาดหวั่น
ชาลินีเดินตรงมา ชะงักเมื่อเห็นพ่อและแม่ที่มองมาอย่างเจ็บปวด และเย็นชาใส่ ท่านนายพลมองแล้วเบือนหน้าหนี
ชาลินีกัดปาก เคว้งคว้าง ไม่มีใครพร้อมเข้าใจตนเองสักคน

อีกฟาก บัดนี้ร่างเจริญขวัญที่นอนอยู่บนเตียงถูกเข็นมาอย่างรวดเร็ว อาการเจ็บอกรุนแรงมากขึ้น เธอส่ายหน้าไปมา แม้หลับตาแต่มีสีหน้าเจ็บปวด สลับกับการไอโขลกๆ ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมด
อิศราหน้าตาตื่นตกใจวิ่งตามรถเข็นมา มีดวงแก้วร้องไห้วิ่งตามหลัง เตียงเข็นถูกเข็นเข้าห้องไอซียู
ดวงแก้วร้องไห้โฮ อิศราประคองปลอบแต่ตัวเองก็กังวล ตระหนก อย่างรุนแรง

ภายในห้องไอซียูตึงเครียดมาก เจริญขวัญกระสับกระส่าย ไออย่างหนัก พยาบาลผู้ช่วย 2 คน และหมอไฟโรจน์ กำลังดูอาการ เห็นเครื่องช่วยหายใจครอบเข้าที่ใบหน้าเจริญขวัญ

ด้านชาลินีเดินเข้ามา กระแทกตัวลงนั่งปลายเตียงอย่างหมดแรง เพิ่งอาบน้ำเสร็จอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ ใบหน้าซีด ผมลู่เปียก ยกมือมีหวีตาลอยคว้าง อึ้งงงงันกับตัวเอง สติส่วนหนึ่งรับรู้ว่าทำผิดใหญ่หลวงที่ผลักเจริญขวัญตกบันได
หล่อนพยายามสลัดภาพเจริญขวัญตกบันไดที่ผุดขึ้นมาหลอกหลอนทิ้งไป
“ไม่ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ”
นายพลบัญชาเปิดประตูแง้มเข้ามา หน้าเครียด ดุ ชาลินีขยับจับรวบคอเสื้อ
ท่านนายพลบอกเสียงต่ำ “แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วลงไปพูดกันให้รู้เรื่อง”
นายพลผู้เป็นบิดาปิดประตูลง ชาลินีมือสั่น ลุกมาหน้ากระจก ยกหวีขึ้นหวีผม แววตาสิ้นหวัง

สองคนนั่งรอลูกสาวอยู่ในห้องโถง ขณะชาลินีก้าวเข้ามานั่ง ในชุดอยู่บ้านสีแดงใบหน้าเรียบนิ่ง
“ว่ามา” ท่านนายพลถามน้ำเสียงเรียบ แต่ขุ่นมัว
“ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ”
นายพลบัญชาหัวเราะเสียงต่ำๆ อย่างเจ็บเจ็บปวดใจ “ดี...ดีมาก ฉันไม่เคยคิดว่าแกจะเลวได้ถึงขนาดนี้ ถ้าฉันเลี้ยงแกมาไม่ดี ฉันจะไม่เสียใจเลย แต่นี่ มีอะไรบ้างที่ฉันให้แกไม่ได้”
ชาลินีย้อนเสียงราบเรียบ “มีสิคะ”
“อะไร”
ชาลินีระเบิดความอัดอั้นตันใจออกมาว่า “พ่อ กับ แม่!”
ท่านนายพล กับคุณหญิงชะงักมอง
“หนูมีพ่อเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่มีเวลาให้แต่บ้านอื่น แต่ไม่เคยมีให้ ลูก เมีย หนูมีแม่ที่เข้าสังคมเก่งเหลือเกิน แต่ไม่เคยเข้าใจ พ่อ ลูก ในบ้าน”
คุณหญิงแหวใส่ “นี่ แก”
บัญชาปราม “อย่า ฟังมันพูดบ้าง ฉันอยากรู้ว่าไอ้ที่มันลากความหายนะมาให้ มันเกิดจากอะไร”
“บ้านเราสวยงามใหญ่โตนะคะ แต่มีใครอยู่บ้าง นอกจากคนใช้ หนูเกิดมาดี มีพ่อดี มีแม่ดี แต่ชาติตระกูลดี แต่ได้รับการอบรมที่เลว เพราะคนที่มีเวลาอบรมหนูคือ คนใช้ในบ้านเท่านั้น พ่อแม่ ไม่เคยฟัง ว่าหนูจะต้องการอะไรอีก นอกจากให้เงิน เอาแค่วันนี้ ในขณะที่คนจ้องทำร้ายหนูต่อหน้านักข่าว...พ่อกับแม่” กระแสเสียงของชาลินียามนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “พ่อ กับแม่ อยู่ที่ไหนคะ ตอนที่หนูลำบากที่สุด”
นายพลบัญชา กับคุณหญิงเพ็ญ เป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง
ก่อนที่คุณหญิงมารดาจะย้อนว่า “ก็มันเรื่องที่แกทำตัวเอง ชั้นจะไปช่วยอะไรแกได้”
ชาลินีแค่นยิ้มเป็นเชิงเหยียดว่าเห็นไหม?
“เอาละ ฉันอาจจะผิดที่ไม่มีเวลาให้เลี้ยงแกไม่ดี แต่ไอ้ความระยำขนาด ฆ่าลูกในไส้ ได้ลงคอ แกทำได้ยังไง” นายพลบัญชาจ้องตาธิดาผู้ให้กำเนิด
ชาลินีย้อน “แล้วจะให้หนูอุ้มกลับมาประจานตัวเองหรือคะ! มันเป็นความกรุณาอย่างที่สุดที่หนูจะให้ลูกแล้วค่ะ และเท่ากับมันร่วมมือกับแม่ แก้แค้นพ่อมันด้วย”

สีหน้าชาลินีโหดเหี้ยมเหลือประมาณขณะเล่า จนท่านนายพลและคุณหญิง อึ้งเงียบงันกันไปอีก

ชาลินียิ้มเหี้ยมระบดระบายต่ออย่างสะใจ

“หนูยังเล่าให้แม่ฟังไม่จบนะคะ ตอนหนูกลับมาเมืองไทย หนูเขียนจดหมายไปบอกมันว่าทำไมเด็กถึงตาย มันคลั่งสมใจหนู และทุกๆ วันเกิด และ วันตายของเด็ก หนูจะส่งภาพเด็กนั่นในท่าที่น่ารักๆ ไปให้พ่อมัน เขียนด้านหลังรูปว่า...แดดดี้ หนูหกเดือนแล้วนะ...แดดดี้ยิ้มกับหนูหน่อยสิคะ แดดดี้...วันนี้วันเกิดหนู คิดถึงหนูมั้ยคะ” หล่อนยิ้มเหี้ยมยิ่งกว่าเหี้ยม “หนูทำให้มันรู้รสชาติของความทรมาน ที่มันจะต้องไม่ลืม”
ผู้เป็นบิดามารดากระจ่าง แม้ไม่เข้าใจ แต่ทุกข์ที่สุดที่ได้ยินเหตุผล
ท่านนายพลครางเสียงแหบโหย “แค่แก้แค้น นี่เองเหรอ คือเหตุผลของแก”
ชาลินีหัวเราะขมขื่น “จะมีอะไรมากกว่านี้อีกคะ มันทำให้หนูเจ็บ มันก็ต้องทรมานยิ่งกว่า หนูสาบานว่าจะไม่ยอมตกต่ำอีกเป็นอันขาด เมื่อหนูพบท่านชาย หนูถึงพยายามยึดไว้ คว้าไว้...แต่...มันก็ พังลงจนได้”
นายพลกับคุณหญิงอึ้งไปอีก หล่อนมองหน้าบุพการี
“มีอะไรมีไหมคะ ด่าว่า ไล่ออกจากบ้าน ประจานความผิดชั่ว หรือตัดขาด”
“แกควรเริ่มสวดมนต์ ตั้งแต่คืนนี้ มันอาจล้างบาปให้แกไม่ได้ก็จริง แต่มันอาจทำให้แกสงบลงได้”
ชาลินีหัวเราะขื่นๆ มองคุณหญิงมารดา “ทำไมแม่เพิ่งสอนหนูตอนนี้แต่มันคง สายเสียแล้วค่ะแม่ คงจะมีแต่ไฟนรกล่ะมั้ง ที่รอหนูอยู่”
สองคนมองชาลินี พูดไม่ออก และเริ่มตระหนัก สำนึกว่าเป็นความผิดตัวเอง
ชาลินียืดกายตรง น้ำตาคลอ อัดอั้น ขมขื่น โดดเดี่ยว ราวกับร่างไร้วิญญาณ

ค่ำลงแล้ว ขณะหมอไพโรจน์ยืนคุยอยู่กับอิศราและดวงแก้วที่หน้าห้อง
อิศรายิ้มหัว เหมือนไม่เชื่อ “อะไรกัน ทำไมอาหมอจะช่วยขวัญไม่ได้ ผ่าตัดอีกสิครับ หรืออะไรก็ได้”
ดวงแก้วฝืนยิ้ม ละล่ำละลัก “ยายหนู ผ่าตัดหายดีแล้วนี่คะ หมอเป็นคนช่วยได้ หมอต้องช่วยอีกได้สิคะ”
หมอไพโรจน์ส่ายหน้า “เจริญขวัญอ่อนแอเกินไป ผ่าตัดอีกก็ไม่ช่วยอะไรหมอทำได้เพียงให้ยาช่วยพยุงไว้...กับ...รอเวลา”
อิศราสวนออกมา “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ อยู่ๆ อาหมอก็จะมาบอกว่า ขวัญกำลังจะตาย ไม่จริง มันต้องมีหนทาง มันต้องมีปาฏิหาริย์ที่จะช่วยขวัญได้ อาหมอต้องช่วยขวัญได้” อิศราขวัญกระเจิงเขย่าหมอ ร้องไห้ “อาหมอต้องช่วย ขวัญจะตายไม่ได้นะครับ”
อิศรา ก้มร้องไห้ สองมือเกาะบ่าหมอ
ดวงแก้ว ตะลึง ไม่อยากเชื่อ มือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก สะดุดใจจนพึมพำออกมาว่า
“ปาฏิหาริย์”

อาการเจริญขวัญเข้าขั้นวิกฤติแล้ว ร่างแบบบางนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในห้องไอซียู ที่มีฉากผ้าม่าน กั้นสองด้าน ทั่วตัวมีสายระโยงรยางค์ ทั้งเครื่องครอบปากช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน หัวใจ
สักครู่หนึ่ง มีลำแสงสีขาว ค่อยๆ สาดส่องมา เป็นแสงที่ช่างอบอุ่น นุ่มนวลนัก เจริญขวัญค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ หรี่ตามมอง สีหน้าอิดโรย
แสงนั้นส่องมาจากหลังม่านข้างหนึ่ง แล้วปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งเดินมาหน้าแสง เจริญขวัญหรี่ตามองจ้อง ร่างนั้นเดินมาช้าๆ จนปรากฏเป็นร่างของท่านชายวสวัตในชุดขาว พร้อมรัศมีกระจ่าง
“ท่านชาย” เจริญขวัญได้แต่เพียงทักในใจ
ท่านชายทอดสายตามองมายิ้มนุ่มนวล งดงามเหลือล้ำ
ร่างเจริญขวัญนอนนิ่งอยู่ จนเมื่อท่านชายเดินมาใกล้ เจริญขวัญขยับตัว ส่ายหน้าอย่างอึดอัดที่ครอบ ค่อยๆ ยกมือดึงที่ครอบให้ออกซิเจนออกเอง
ท่านชายลงนั่งบนเตียงข้างเจริญขวัญ รีศมีขาวยังคงอยู่ รายล้อมทั้งคู่
“ท่านชาย” สังขารเจริญขวัญอ่อนล้าอิดโรยมาก หอบหายใจอย่างยากลำบาก มือที่วางบนอก พยายามยกขึ้นอย่างสั่นระริก หมายจะให้ท่านชายจับ
แต่ท่านชายมองนิ่ง ยิ้มพลางส่ายหน้า
“ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะจับมือเธอ”
“สัญญา นะคะ ว่าจะ จับมือขวัญ ขวัญกลัว”
“ฉันสัญญา...ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว...เธอเพียง จะได้กลับบ้าน”
อาการหอบทุเลาลง แต่เจริญขวัญยังอยู่ในอาการ หลับๆ ตื่นๆ
“ทำใจดีๆ ไว้ มนุษย์ มีกรรมเป็นเครื่องกำเนิด มีกรรม ยังให้เป็นไปและมีกรรม เป็นที่สิ้นสุด ผลบุญกุศลทั้งปวงที่ทำไว้ จะทำให้ชาติใหม่ภพใหม่ มีความสุขสมบูรณ์กว่านี้”
เจริญขวัญพยายามยิ้ม แต่เริ่มมีอาการเจ็บและหอบอีก
ท่านชายค่อยๆ ยื่นมือมาแตะที่หน้าผากเจริญขวัญ แสงขาวนวล เชื่อมเข้าร่างบางแสนอิดโรยนั้น
“ที่ฉันทำได้ คือ..ให้เธอทรมานน้อยที่สุด..เท่านั้น”
เจริญขวัญดูสงบลงแล้ว ยิ้มมุมปาก หลับตาลงช้าๆ
ท่านชายมองมาอย่างเปี่ยมเมตตา พอมือท่านชายเคลื่อนออก แสงสว่างขาวจางหายไป

ร่างเจริญขวัญนอนอยู่บนเตียงโดยมีเครื่องให้ออกซิเจนครอบอยู่อย่างเก่า เหมือนไม่เคยถูกดึงออก

เงา ตอนที่ 17 อวสาน (ต่อ)

ทางด้านนายพลบัญชา และคุณหญิงเพ็ญ พาตัวเองมาทำบุญ กำลังก้มกราบ พระสุธรรมที่นั่งสงบและสำรวมอยู่บนอาสนะตรงหน้า

“ท่านครับ บาปมันคงไม่ได้ตกแค่ที่ลูก มันคงตกที่เราสองคนด้วย ความที่เป็นพ่อแม่ แต่ละเลยหน้าที่ของตัวเอง” บัญชาถอนใจหนักหน่วง
“คนเราจะหนีบาปกรรมพ้นไหมเจ้าคะ” คุณหญิงสะท้อนในอก
“ไม่พ้น เพราะแม้แต่ว่าคนจะตายไป แล้วทิ้งร่างกายและทุกๆ ส่วนไว้ แต่บาปกรรมย่อมติดตามไป ทุกชาติทุกภพ ความหนักของบาปบุญเป็นผู้กำหนดระยะของการสงผลสนอง กรรมใดหนักก็สนองก่อน ไม่มีใครกำหนดเป็นอื่นไปได้”
“การทำบาปโดยไม่รู้ว่าทำ กับ ทำบาปทั้งที่รู้ ได้ผลกรรมต่างกันไหมคะ”
“ก็เหมือนคนรู้กฎหมายแล้วยังทำผิดนั่นแหละโยม ผลกรรมย่อมลดหย่อนให้ไม่ได้ เจตนาเป็นเครื่องกำหนดความหนักของกรรม”
“วันนี้ผมอยากมาทำบุญ ขอให้ท่านแผ่เมตตาให้กับคนๆ หนึ่ง ที่ทำบาปหนาจนผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอส่วนกุศลนี้ จงตกแก่เขา เผื่อว่า จะช่วยให้เขาพ้นจากไฟนรกด้วย” ปลายน้ำเสียงท่านนายพลสั่นสะท้าน
พระสุธรรมอยู่ในอาการสงบ นายพล คุณหญิง ร่วมกันถวายของ

ในวาระสุดท้ายของชีวิต เจริญขวัญนอนอยู่บนเตียง สีหน้าดีขึ้นบ้าง แต่ยังรู้ว่าซีดเซียว ไม่มีเครื่องครอบหายใจแล้ว ดวงแก้วนั่งข้างเตียง มือกอบกุมประคองมือลูกสาวมั่น
“ยายหนูของแม่” ดวงแก้วยิ้มปลอบ ฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ลูบเรือนผมลูกเบาๆ “หมอบอกว่าหนูดีขึ้นแล้วหนูต้องทำใจดีๆ หนูต้องหายนะลูก”
เจริญขวัญมองแม่น้ำตาคลอ “แม่คะ”
“จ้ะ”
“แม่คะ ไร่น่ะ ถ้ามันจะทำให้เหนื่อยเกินไป แม่ขายซะนะคะ”
“ขายทำไมล่ะลูก” ความโศกาอาดูรผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ น้ำเสียงดวงแก้วสั่นสะท้าน ทำนบน้ำตาไหลทะลักแล้ว “อีกหน่อย หนูก็ได้กลับบ้านไร่ แต่งงานกับคุณอิศ มีหลานให้แม่”
เจริญขวัญมองแม่ ยิ้มทั้งน้ำตา รู้ตัวว่าเป็นไปไม่ได้ “ชีวิตหนู...คงไม่มีใครรักหนู เท่าแม่อีกแล้ว”
ดวงแก้วครวญใจจะขาดรอนๆ “ลูกแม่”
“คุณอิศอยู่ไหนคะ หนูมีเรื่องต้องคุยกับคุณอิศ”

อิศรายืนนิ่งอยู่มุมปลอดคน ยังตกอยู่ในอาการช็อก รับไม่ได้ที่จะเสียคนรัก เขากดมือถือ แล้วกอดอกด้วยมือข้างเดียว ไหล่ค้อมลงอย่างคนมีทุกข์ถึงที่สุด
ปลายสายเป็นท่านชายที่ ยืนอยู่ในวัง “อิศราเหรอ”
อิศราสูดจมูกกลั้นร้องไห้ “ครับ ท่านชายครับ ขวัญเจ็บหนัก”
“ทราบแล้ว”
อิศราประหลาดใจนิดๆ “ท่านชายทราบแล้ว ท่านชาย จะมาไหมครับ”
“ตอนนี้ฉันยังไปไม่ได้หรอก” สีหน้าท่านชายขรึมลงเมื่อพูดคำต่อมา “เพราะ ยังไม่ถึงเวลา”
อิศราทนไม่ไหว น้ำตาไหลพราก
“ผม ไม่รู้ว่า จะทำยังไง ขวัญหายดีแล้วด้วยซ้ำ...ท่านชายรู้จักหมอดีๆ ที่ไหนไหมครับ ทั้งโลกนี้ หมอที่ไหนก็ได้”
“ให้หมอเก่งยังไง ก็จะมีครั้งหนึ่ง สำหรับคนไข้คนหนึ่ง ที่หมอมักจะช้าไปเสมอ”
อิศราฟังอยู่ ยังพยายามกลั้นน้ำตา เสียงทางโน้นเงียบไป
“ฮัลโล ท่านชายครับ ท่านชาย”
อิศรามองมือถือเห็นสายหลุดไป ทอดถอนใจ และหันหลังเดินไปทางห้องเจริญขวัญ
ท่านชายยืนหันหลัง งามสง่า แต่โดดเดี่ยวเหลือเกิน

อิศราเปิดประตูห้องเข้ามา ดูเศร้าโศกชัดแจ้ง แววตาแห้งแล้งเมื่อมองร่างเจริญขวัญ แล้วพยายามเรียกสติคืนมา มานั่งอีกข้างเตียง ดวงแก้วมองหน้าเจริญขวัญเหมือนรู้กัน ลุกออกจากห้องไป
“เป็นไงจ๊ะ จวนลุกขึ้นวิ่งได้หรือยัง” เขายิ้ม จับมือคนรัก “เมื่อกี้ ผมโทร.หาท่านชาย ท่านทราบเรื่องคุณไม่ค่อยสบายแล้ว”
เจริญขวัญพูดกับตัวเอง “ท่านว่ายังไงคะ”
“ดูเหมือนว่า ท่านยังไม่มีเวลามา”
เจริญขวัญพูดลอยๆ “ท่านว่า ยังไม่ถึงเวลา อะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“ก็ ทำนองนั้นจ้ะ”
เจริญขวัญ มองหน้าอิศรา
“พี่อิศคะ พี่อิศคิดว่า รู้จักท่านชาย ดีไหมคะ”
อิศราฉงนกับน้ำคำและท่าที “ทำไมเหรอ”
“พี่อิศ ยังไม่รู้จักท่านหรอกคะ ดูท่านเสียใหม่ ดูให้ลึกซึ้ง”
“ทำไม ท่านมีอะไรผิดปกติเหรอ”
เจริญขวัญส่ายหน้า “ท่านน่ากลัว เฉพาะ กับคนผิดเท่านั้นค่ะ”
“งั้นพี่ล่ะ เป็นคนผิดอีกหรือเปล่า”
เจริญขวัญตัดสินใจถาม “พี่อิศ เคยวางยานอนหลับขวัญ คืนงานเลี้ยงที่วังหรือเปล่าล่ะคะ”
อิศราชะงักวูบ “ใคร...บอกขวัญ”
“คุณชาลินีค่ะ พี่อิศอยากได้บ้านคุณย่า ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
อิศราอธิบาย “ขวัญ ฟังพี่นะ คนวางยา ไม่ใช่พี่ แต่เป็นชาลินี แต่ก็ใช่ ชาลินีทำเพื่อหวังให้พี่...แต่พี่ทำไม่ได้...และคืนนั้น เป็นคืนที่พี่ได้รับขวัญเข้ามาในหัวใจพี่”
เจริญขวัญถอนหายใจอย่างโรยรา หลับตา น้ำตาริน
“ขวัญ! พี่อาจจะเคยคิดไม่ดี แต่พี่ก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าพี่รักขวัญพี่ไม่ได้โกหก ขวัญต้องเชื่อพี่”
ใบหน้าเจริญขวัญที่หลับตาอยู่ ยิ้มบางๆ คล้ายให้อภัย

ขณะที่อิศราแค้นใจ รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

ดวงแก้วนั่งซึมกลัดกลุ้มอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้อง อิศราเปิดประตูออกมากัดกรามแน่น ตาแดงช้ำ

ดวงแก้วหันมามอง “คุณอิศ” อิศรามอง “อาขอร้อง อย่าหลอกขวัญ จนวินาทีสุดท้ายเลยนะคะ” ดวงแก้วร้องไห้ออกมา “ยายหนู ไม่เคยทำร้ายใคร ทำไม...ทำไม..”
อิศราไม่ตอบยิ่งแค้นใจชาลินี หันตัวเดินออกโดยเร็ว

ขณะที่ชาลินีนั่งกินข้าวมื้อค่ำเหมือนหุ่นยนต์ คุณหญิง กับ ท่านนายพล ก็ต่างกินกันไปเงียบๆ อิศรา เดินปังๆ เข้ามา
“ชา...ชาอยู่ไหน” เขาเข้ามาในห้องอาหาร ชะงักเมื่อเห็น ยกมือไหว้ผู้ใหญ่
“อ้าว อิศ ทานอะไรมาหรือยัง นั่งสิ” คุณหญิงทัก
“ไม่ครับ ผมแค่จะมาเจอชาลินี”
อิศราเสียงดังจน ท่านนายพลฉงน “อะไรอีกล่ะ”
ชาลินี ไม่มองหน้าอิศรา รู้แก่ใจ อิศราโมโห เดินไปดึงแขนชาลินี
“ไป ไปด้วยกัน”
ชาลินีสะบัดออก “อะไรของเธอนะ”
อิศราตะโกนก้อง แค้นจัด “ไปด้วยกัน! ไปดูสภาพของผู้หญิงที่เธอฆ่าด้วยลมปากไม่กี่คำของเธอ”
คุณหญิงเพ็ญตกใจมาก “อะไรนะ ใครเป็นอะไรอีก”
“ขวัญครับ ถามเขาสิครับ ว่าเขาไปพูดอะไรกับขวัญ แล้วขวัญตกบันไดมาได้ยังไง ถามชาดูสิครับ”
ชาลินีเบือนหน้าหนี มือสั่นจนต้องจับขอบเก้าอี้ทรงตัว “ชั้น...ชั้นไม่รู้...ชั้นไม่ได้ทำ”
“ไม่ได้ทำเหรอ” อิศราแผดเสียงดัง ร้องไห้สะอึกสะอื้น “เธอก็รู้ว่าชั้นรักขวัญ เราจะแต่งงานกัน ขวัญกำลังหาย ขวัญกำลังจะมีชีวิตใหม่กับชั้น แต่เธอทำอะไรกับขวัญ แล้วตอนนี้...ตอนนี้ ขวัญกลับต้องนอนรอความตายเพราะเธอ”
ชาลินีตะลึงตะไล “ตาย ถึงกับตายเชียวเหรอ”
นายพลบัญชาแทบกระอัก กระแทกเสียงใส่ธิดา “ไงเรา ก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว อีกชีวิตหนึ่งล่ะสินะ”
อิศรางุนงงไปเพราะไม่รู้เรื่องเด็กที่ถูกฆ่า ชาลินีอึ้ง นิ่งงันไป
คุณหญิงใจหายจะร้องไห้ รีบลุกมาหาอิศรา
“ทำไมมันเร็วแบบนี้ มีอะไรที่อาจะช่วยได้บ้าง” สุดท้ายกลั้นไม่อยู่ร้องไห้ออกมา “อิศรา”
“ผมมาที่นี่เพราะผมตัดสินใจแล้วว่า หากเราต้องจากกัน” เขาขืนกลั้นสะอื้น “ผมก็อยากให้เธอแน่ใจ ว่าผมจะไม่มีใครอีก ผมจะรักเธอ เป็นคนสุดท้าย อาหญิงครับ” อิศรายกมือไหว้ “ไปช่วยผมยืนยันให้เธอแน่ใจ...ว่าผม...ผม...รักขวัญ”
อิศราก้มหน้าร้องไห้ เป็นที่น่าเวทนาคุณหญิงร้องไห้ตาม
“ไป ขออาไปเอากระเป๋าเดี๋ยวนะ” คุณหญิงหยุดมองชาลินี ด้วยความช้ำใจ ก่อนออกไป
อิศราร้องไห้ออกมาโดยไม่อายใคร ท่านนายพลกลัดกลุ้มเสียใจมองลูกสาวอย่างคนแปลกหน้า ลุกตามไป
“อาไปด้วย ขออาไปเปลี่ยนเสื้อหน่อย”
อิศรามองชาลินีแล้วไม่อยากเห็นหน้า เดินหุนหันออกไป
ชาลินีตกตะลึง เซเกาะโต๊ะดวงตาตื่นตระหนก

คุณหญิงร้องไห้เข้ามาในห้อง คว้ากระเป๋าถือ พอจะเดินออกแล้วชะงัก ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตอนนั้นคุณเพ็ยแอบมอง คุณเล็กคุยกับคุณหญิงอุ่นเรื่องแหวน
“ผมมากราบขอแหวนแต่งงานของคุณแม่ คุณพ่อบอกว่าจะให้ผม”
“แหวนอะไร ไม่มี”
คุณหญิงนึกออก เดินตรงไปหยิบกล่องเล็กสีแดงออกมาจากตู้ในห้อง มองอย่างเศร้าใจ

อิศรายืนรออยู่ด้วยความกลัดกลุ้ม ชาลินี เดินตะลึง สติเริ่มขาด ตามออกมา
“อิศรา เจริญขวัญ...ถึงขนาดนั้น เชียวเหรอ”
“คุณก็ไปดูเองสิ”
ชาลินีเสียงเบาหวิว “เธอถึงกับจะตายเลยเหรออิศรา ฉันไม่ได้คิดว่าจะเป็นขนาดนั้น ชั้นไม่ได้ตั้งใจนะอิศรา”
อิศรายิ่งแค้น “แต่คุณก็ทำลงไปแล้ว”
“ตาย..เหมือนเด็กคนนั้น แกนอนหลับ เงียบ หลับตา ไม่หายใจตัวก็ค่อยๆ เย็นลงทุกที...ทุกที ไม่ร้อง ไม่ยิ้ม”
อิศรามองชาลินีอย่างประหลาดใจ
“เขาเอาแกใส่หีบเล็กๆ แล้วก็เอาไปฝัง วันนั้นอากาศแจ่มใสเหลือเกิน แกน่าจะได้ออกมาวิ่งเล่นในสนามหญ้า มากกว่าจะนอนอยู่ในนั้นเขาขุดดิน แล้วก็เอาหีบวางลงไป บาทหลวงก็มาสวดมนต์..เขาสวดทำไมกัน...” ชาลินีใกล้บ้า หัวเราะผสมร้องไห้ “สวดสาปแช่งคนที่ทำให้แกตายละมัง”
ชาลินีหนาวสะท้านจนกอดตัวเอง
อิศรางงหนัก “ชาลินี เธอเป็นอะไรน่ะ”
ชาลินีหันมองอิศรา แววตาเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก
“เขาเอาดินกลบแกไว้ลึกเชียว อิศรา แกคงหายใจไม่ออก เขาฝังแกแล้ว ไม่ฟื้นอีกแล้ว...ตาย...แกตายแล้ว” หล่อนมองมือตัวเอง แล้วสะอื้นเสียงดัง
“ชาลินี”
ชาลินีร้องไห้จนตัวโยน ทรุดลงนั่งกับพื้น สะอื้นฮักๆ
“ฉันฆ่าแกเอง อิศรา สองมือนี่ ...สองมือนี่” หล่อนกรี๊ด ทุบถองตัวเองพลางพิลาปร่ำไห้ “ฉันฆ่าแก..เอง”
อิศราตกใจถลันไปคุกเขาจับร่างชาลินีเขย่าเรียกสติ
“ชาลินี หยุด ชาลินี เป็นอะไรไป คุมสติหน่อย”
ชาลินียังร้องไห้เสียงดัง โดยที่ด้านหลัง ท่านนายพลและคุณหญิงเดินลงบันไดมาหา
“ชาลินีร้องไห้ใหญ่แล้วครับ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร บอกว่าฆ่าเด็กที่ไหนก็ไม่ทราบ”
คุณหญิง กับนายพล อึ้ง มองหน้ากัน และมองชาลินี
ท่านนายพลบอกอย่างเจ็บปวด “เขาคงสำนึกบาปที่เขาก่อขึ้นละมั้ง”
คุณหญิงตัดบท “ช่างเขาเถอะ รีบไปกันเถอะ อิศรา”
สองคนเดินนำออกไปก่อน อิศราละล้าละลัง แต่จำต้องปล่อยชาลินีไว้ ชาลินีร้องไห้จนตัวโยน โดดเดี่ยวเคว้งคว้างเพียงลำพัง โดยไม่มีใครสนใจ

ฝ่ายเจริญขวัญอาการทรุดหนัก สะดุ้งพรวด เกิดอาการแน่นหน้าอก
ดวงแก้วกรี๊ด “ขวัญ ลูก เป็นอะไร
เจริญขวัญหอบหายใจถี่ๆจนอกสะเทือน ตัวเกร็ง ดวงแก้วลนลานกดปุ่ม
ดวงแก้วหมอ หมอ ช่วยด้วยค่า ลูกหายใจไม่ออก หมอ หมอขวัญลูก ทำใจดีๆไว้ลูก ..ลูกแม่!!!
หมอไพโรจน์ พยาบาลวิ่งเข้ามา
หมอเชิญออกไปข้างนอกก่อนนะครับ
พยาบาลดันดวงแก้วออกไป/ หมอไปตรวจ /พยาบาลเอาที่ครอบออกซิเจนเข้าครอบเจริญขวัญ
ดวงแก้วลูกแม่
หมอเตรียมฉีดอะดีนารีน
พยาบาลดันดวงแก้วที่ใจจะแตกออกนอกห้องมองไป
หมอ พยาบาลรุมล้อมเจริญขวัญที่ทุรนทุราย

ท่านชายที่นั่งสงบอยู่ ค่อยๆ ลืมตาลุกยืน ถอนใจหนักหน่วง เดินออกไปเนิบช้า

อิศราเดินนำ นายพลบัญชา กับคุณหญิงเพ็ญเข้ามา เห็นหมอไพโรจน์ และ พยาบาลเพิ่งเดินออกมา อิศราใจหล่นวูบ
“อาหมอ เกิดอะไรขึ้นครับ
“เมื่อกี้ หนูขวัญ ช็อก”
อิศราตกใจโลดแล่นเข้าไป
นายพลบัญชาเองใจหายไม่น้อย “หมอ นี่ จะไม่มีทางช่วยเลยเหรอ”
หมอไพโรจน์ถอนใจ ส่ายหน้า “ตอนนี้...เธอต้องการกำลังใจอย่างเดียวครับ”

คุณหญิง กับ ท่านนายพล ตกใจ รีบเดินเข้าไปในห้องทันที

ดวงแก้วนั่งลูบหัวเจริญขวัญอยู่ อิศราปราดเข้ามานั่งอีกด้าน เจริญขวัญมีสีหน้าเจ็บปวด เหลือบมองอิศรา

“ขวัญจ๋า...คุณลุงคุณป้ามาเยี่ยมแน่ะ”
นายพลบัญชา กับคุณหญิงเพ็ญ เข้าประตูมาแล้ว ดวงแก้วลุกขึ้นไหว้ สองคนรับไหว้แล้วปรี่ไปที่เตียง ท่านนายพลไปหาอิศรา คุณหญิงเดินไปอยู่ข้างดวงแก้ว โอบไหล่ดวงแก้วเป็นเชิงให้กำลังใจ และคลายสิ้นความหมางเมินทั้งหมดที่ผ่านมา ดวงแก้วยิ้มขยับออกให้คุณหญิงไปอยู่ใกล้
นายพลบัญชาเอ่ยขึ้น “นายอิศราเพิ่งไปบอก เมื่อกี้อาพบหมอ เขาบอกว่าอีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วนะ”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ
“นายอิศเขาร้อนใจเรื่องที่หนูเข้าใจผิด อย่าไปฟังใครเลยนะ อาสองคนจะยอมเป็นตัวประกัน ให้นายอิศดีไหม”
ท่านนายพลหัวเราะ “นี่นายอิศเขากลัวเสียฤกษ์ วันนี้อาเลยมาขอเป็นเถ้าแก่ซะที่นี่ อากลัวหนูเปลี่ยนใจ”
สีหน้าอันโรยราของเจริญขวัญมองอย่างประหลาดใจ
“คุณดวงแก้ว ผมพูดตามภาษาเถ้าแก่นะ ก็ต้องบอกว่า หลานผมเป็นคนดีเหล้าไม่กินมาก บุหรี่ไม่สูบเลย แต่รักลูกสาวคุณมาก แบบนี้พอจะยกให้ได้ไหม”
“เถ้าแก่รับรองเองแบบนี้ ก็ต้องยกให้สิคะ”
น้ำเสียงดวงแก้วสดใส แม้น้ำตาจะไหลรินไม่หยุด เจริญขวัญยิ้มปากสั่น
อิศรานั่งคุกเข่ากุมมือหน้าเสมอเจริญขวัญ “เจริญขวัญ พี่อาจเคยเป็นคนไม่ดี แต่พี่ก็ไม่เคยพูดกับใครจริงๆด้วยหัวใจรักของพี่ทั้งหมด พี่รักขวัญ อย่าถามเลย ว่ารักมากแค่ไหน เพราะ พี่รู้แต่ว่า พี่จะรักขวัญ ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
เจริญขวัญน้ำตาไหลริน ยิ้มอย่างเต็มสุข รวมกำลังพอที่จะยกมืออีกข้างไปแตะใบหน้าคนรัก อิศรารวบมือนั้นมาพรมจูบ
คุณหญิงเพ็ญหยิบกล่องแหวนออกจากกระเป๋า เปิดกล่องออกเผยให้เห็นแหวนวงงาม
“ดวงแก้ว จำได้ไหม ว่าคุณเล็ก เคยมาขอแหวนแต่งงานของคุณแม่คุณเล็ก จากคุณแม่อุ่น”
ดวงแก้วมองแหวน “ค่ะ”
คุณหญิงน้ำตาไหล “ขวัญจ๊ะ แหวนวงนี้ เป็นแหวนแต่งงานของคุณปู่คุณย่าของหนู คุณพ่อของหนูเคยมาขอกับคุณย่าอุ่น แต่ท่านไม่ได้ให้ไป อาคิดว่า แหวนวงนี้ เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นแหวนแต่งงานของหนูกับตาอิศ”
คุณหญิงยื่นกล่องแหวนให้อิศรา
“สวมแหวนให้น้องสิ อิศรา” คุณหญิงทำเป็นหัวเราะ “ใส่จองตัวไว้ก่อน พอหาย ก็ค่อยจัดงานแต่งงานกันอีกที นะดวงแก้วนะ”
ดวงแก้วยิ้มพยักหน้าทั้งน้ำตา อิศราหยิบแหวนออกมาชูขึ้นมองร่างโรยราตรงหน้า
“ตกลงนะจ้ะขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มพยักหน้า ค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้น อิศรารีบช้อนมือเจริญขวัญ แหวนถูกสวมเข้าประดับมือเรียวงามแม้เซียวซีด ดวงแก้วมอง เบือนหน้าร้องไห้
เจริญขวัญเอ่ยขึ้นเบาๆ “พี่อิศ”
อิศราก้มลงไปใกล้ จับมือกับเจริญขวัญกุมไว้
“ฝากแม่ด้วยนะคะ”
“เฮ้” อิศราพูดไปน้ำตาไหลพรากไป “ทำไมต้องฝาก เดี๋ยวขวัญก็หายแล้วนะ เดี๋ยวขวัญก็ต้องหาย นะจ้ะ”
เจริญขวัญยิ้มทั้งน้ำตา
ทุกคนร้องไห้ระงม เบือนหน้าหนี คุณหญิงไปโอบบ่าดวงแก้วปลอบ ท่านนายพลจับบ่าอิศราอย่างให้กำลังใจ
เจริญขวัญกวาดตามองทุกคน มอบรอยยิ้มสุดท้ายให้
“ขวัญ...มี...ความสุขแล้ว...ค่ะ”

สามคนเดินออกมาหน้าห้อง ปล่อยสองคนไว้ด้วยกัน
“ดวงแก้ว หญิงกลับก่อน แต่มีอะไร โทร.หาทันทีเลยนะ”
ดวงแก้วรับ “ค่ะ”
คุณหญิงกอดดวงแก้วแล้วร้องไห้อีก
“ชั้นเสียใจ ทั้งคุณแม่ ทั้ง ลูกสาวชั้น ทำร้ายเธอเหลือเกินชั้นจะไม่ขอให้เธอยกโทษให้ เพราะมันหนักหนานัก แต่ว่า..ชั้น...” คุณหญิงพนมมือร้องไห้โฮ “ขอโทษแทนลูกชั้นด้วยนะ ดวงแก้ว”
ดวงแก้วตกใจจับมือคุณหญิงเพ็ญ “อย่าค่ะคุณหญิง แก้วไม่คิดอะไรทั้งนั้นมันคง...เป็นวิบากกรรมกัน คุณหญิงอย่าคิดมากเลยนะคะ”
“ดวงแก้ว” ท่านนายพลถอนใจ “ผมรู้จักพระอยู่องค์หนึ่ง ท่านสงบสำรวมบริสุทธิ์ดี เดี๋ยวผมจะส่งคนรถไปนิมนต์มานะ เผื่อ...จะเป็นกำลังใจให้แกมั่ง”
ดวงแก้วใจชา ใครว่าไงก็เอากัน

กล่องไม้ถูกวางลงบนเตียง ชาลินีลูบไล้กล่องไม้นั้นก่อนเปิดออก
ในกล่อง มีซองสีน้ำตาล มีถุงมือเด็ก ชาลินี หยิบถุงมือเด็กออกมาวางบนเตียงที่เธอนั่งอย่างใจลอยอยู่ ชาลินีหยิบซองสีน้ำตามาเท มีรูปร่วงมาหลายใบ
ภาพเด็กน่ารักๆ เดี่ยว ตั้งแต่แรกเกิด ภาพคู่ชาลินีอ้มลูก
ชาลินีหยิบมารูปหนึ่งเอียงคอดู ยิ้มเศร้า เคว้งคว้างกับรูปอย่างใจลอย

หมอไพโรจน์กำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่เคาน์เตอร์ มีพยาบาลยืนอยู่ในเคาน์เตอร์
สักครู่หนึ่ง เหมือนมีคนเดินเข้ามา หมอที่กำลังก้มเขียน รับรู้การมานั้น เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปทางหนึ่ง เห็นท่านชายเดินมาช้าๆ มีแสงสว่างนวลกระจ่างรอบกาย หมอไพโจรน์มองตะลึง ตัวแข็ง
ท่านชายเดินมาเหมือนไม่เห็นหมอไพโรจน์ ก้าวไปเรื่อยจนผ่านด้านหลังของหมอไปอีกทาง หมอไพโรจน์มองตามจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง
พยาบาลงงอาการหมอ ถามเลิกลัก “อาจารย์ มองอะไรคะ”
“ท่านชายที่เดินผ่านหลังผมไปไง”
“ท่านชายไหนคะ ไม่เห็นมีใครเดินเลยค่ะ”

หมอไพโรจน์ชะงัก เสียววูบ

ดวงแก้วนั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องสุดทางเดิน จู่ๆ ดวงแก้วชะงัก หันไป เห็นท่านชายวสวัต ยืนอยู่

อิศราพูดคุยกับเจริญขวัญขวัญอยู่ในห้อง
“ขวัญรู้ไหม พี่น้อยใจแล้วนะ พี่บอกว่ารักขวัญวันล่ะไม่รู้กี่สิบรอบ แต่ขวัญไม่ค่อยบอกพี่เลย ว่า..ขวัญรักพี่มั้ย”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ แล้วรู้สึกได้ มองไปทางประตู
“ท่าน...มาแล้ว...ได้เวลา...แล้ว”
อิศราได้ยินไม่ถนัด “อะไรนะจ๊ะ”
เจริญขวัญมองอิศราไม่ตอบ

ฝ่ายดวงแก้ว มองท่านชายอย่างตื่นตระหนก ยอบตัวลงเองโดยอัตโนมัติ ส่ายหน้าขอร้อง
“ท่าน...ท่านชาย...อย่า..เข้าไปค่ะ”
ท่านชายบอกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา “ใกล้เวลาของฉันแล้ว”
“ไม่...”
ดวงแก้วใจจะขาด มองเลยไปทางเบื้องหลังท่านชาย โดยที่ท่านชายรับรู้จากหางตา
เป็นพระสุธรรม เดินสำรวมสงบเข้ามา ใบหน้าตาดวงแก้ว แลดูกระจ่างมีความหวังขึ้น
“คุณพระคุณเจ้า”
ดวงแก้วถลาไปนั่งกับพื้นพนมมือ
“คุณพระคุณเจ้ารู้ใช่ไหมคะ ว่าท่านเป็นใคร ช่วยลูกของดิฉันด้วย บุญกุศลใดที่ลูกทำมาไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ขอกุศลผลบุญนั้น ช่วยชีวิตลูกสาวลูกด้วย”
พระสุธรรมมองดวงแก้ว ที่ลนลานหันมาทางท่านชายพนมมืออ้อนวอนอยู่
“เอาชีวิตดิฉันไปแทน เอาชีวิตดิฉันไปแทน นะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ”
พระสุธรรมมองดวงแก้วแล้วเหลือบตามองท่านชาย
ท่านชายหันมาเต็มตัว มองพระสุธรรมอย่างท้าทาย ร่างพระสุธรรมมีแสงเปล่งจากจีวรนวลกระจ่างเช่นกัน
บัดนี้ดวงแก้วนั่งพนมมืออยู่ตรงกลางระหว่างพระสงฆ์ผู้สำรวมสงบ กับ ยมเทพ

ฝ่ายเจริญขวัญโรยราเต็มทนแล้ว “พี่อิศ”
อิศราเงยหน้าพยายามยิ้ม “จ๋า”
เจริญขวัญยิ้มทั้งน้ำตา “วันงาน...แต่งงาน ของเรา..จะเป็นยังไงนะคะ
“วันงานของเราเหรอจ๊ะ”
อิศรายิ้มพูดให้เจริญขวัญฟังตามเป็นฉากๆ
“เราจะจัดกันง่าย ๆ ในไร่ ใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่พ่อของขวัญชอบพาขวัญไปอาเล็ก จะได้เป็นสักขีพยานด้วย”
เจริญขวัญยิ้ม หลับตา ถึงภาพแต่งงานในฝันตามคำบอกเล่าของชายคนรัก

มองจากท้องฟ้ากว้างใหญ่ ลงมา มีซุ้มดอกไม้สวยเด่นตระหง่านอยู่ในไร่เจริญขวัญ ผ้าขาวโปร่ง ขึงเป็นทิว ปลิวไสวไปตามแรงลม
อิศราในชุดหล่อสีครีม ดู หล่อเท่ห์ ยืนรอเจริญขวัญ อยู่ที่หน้าเต็นท์ ตามพิธีแต่งงานแบบคริสต์
เจริญขวัญเดินเท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า ใส่ชุดกระโปรงขาวนวลผมผูกเปีย ถือดอกไม้ป่าเดินยิ้มมาตามแนวทิวของผ้าขาว
อิศรายิ้มเอียงคอมองตามร่างงามของเจริญขวัญที่เดินมาใกล้เรื่อยๆ
เจริญขวัญหรุบตาแล้วช้อนตามองอิศรา ใบหน้าสวยหวาน รอยยิ้มสดใส
อิศราส่งยิ้มตอบ

เสียงอิศราเล่าต่อว่า “เราจะทำซุ้มดอกไม้ มีผ้าขาว มีดอกไม้แยอะแยะ ขวัญใส่ชุดสีขาวเรียบๆแต่ดูสดใสบริสุทธิ์เหลือเกิน”

เจริญขวัญฝันตาม อิศราจูบนิ้วเจริญขวัญ พูดต่อ
“ขวัญสวย เหมือนดอกไม้ป่าที่บริสุทธิ์ของพี่”
เจริญขวัญยิ้ม น้ำตาริน อิศราพยายามกลั้นร้องไห้
“ขวัญ...จะเดินมาหาพี่ แล้วพี่ก็จะสวมมงกุฎดอกไม้ที่พี่ทำเองให้ขวัญ”

ในฝัน อิศรายืนรออยู่ เจริญขวัญเดินเข้าหา อิศราบรรจงสวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะของเจริญขวัญ เจริญขวัญยิ้มสดใส
อิศราสวมกอด ก่อนจะเชยคางเจริญขวัญขึ้นจุมพิต สองคนจุมพิตกันดูดดื่ม ในริ้วผ้าขาวปลิวไสว

เจริญขวัญยิ้มน้ำตาริน อิศราบอกอีกว่า
“พี่จะกอดขวัญ เหมือนจะไม่ให้มีอะไรมาพรากขวัญไปจากพี่ได้”
“พี่อิศคะ”
อิศรามอง “จ๋า”
เจริญขวัญยิ้มบอกว่า “ขวัญ รักพี่อิศ”
อิศราชะงัก ดีใจและเสียใจปนเป เขาหัวเราะเจือเสียงสะอื้น ลุกขึ้น ค่อยๆเคลื่อนหน้า ก้มลงจูบปากเจริญขวัญอย่างนุ่มนวล น้ำตาอิศราไหลรินลงเจริญขวัญหลับตา

ท่านชายก้าวมาตรงหน้าดวงแก้วที่นั่งพนมมือ มองอย่างเมตตาและเวทนา
“เคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม ที่แม่เที่ยววิ่งตามหาดวงวิญญาณของลูก ยอมเอาอก กอดพุ่มหนามแหลมที่หนาวสั่น เพื่อให้อบอุ่นและเพื่อหนามแหลมนั้นจะบอกเส้นทางไปทวงวิญาณของลูก จนอกแม่แขนแม่ปรุพรุนด้วยคมหนาม”
“ดิฉันทำได้ ดิฉันยอม ดิฉันทำได้ทุกอย่างค่ะ”
“ในที่สุด ยมเทพก็เวทนา ยอมให้แม่ไปเลือกดอกบัวบรรจุวิญญาณ ถ้าเลือกได้ถูก ลูกก็จะฟื้น”
ดวงแก้วฟังอย่างตั้งใจ พระฟังอย่างสำรวม
“แต่แม่ก็เลือกผิดอยู่ดี มันเป็นนิทานที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะหัวใจของแม่เป็นแบบนั้น...แต่ให้ สุดรัก สุดอาลัย ถ้าถึงคราว ยมเทพก็ช่วยอะไรไม่ได้”
พระสุธรรมเปล่งวาจา “สาธุ รับสั่งถูกแล้ว”
ดวงแก้วนั่งอึ้งตะลึงตะไล
ท่านชายหันตัวเดินไปที่ห้อง เปิดประตูเข้าไป ดวงแก้วตกใจผวาหันมาทางหลวงพี่
“ท่านเจ้าขา ช่วยยายหนูด้วย..ยายหนู..ยายหนู”
“โยม ถ้าถึงคราว ตัวอาตมาเองก็ยังอยู่ไม่ได้เลย”
ดวงแก้วตะลึง

เจริญขวัญมองไปอิศรามองตาม เห็นท่านชายก้าวเข้ามาช้าๆ
“ท่านชาย” อิศรายิ้มทั้งน้ำตา
เจริญขวัญยิ้ม “เชิญ...มา..ใกล้ๆ ขวัญ”
ดวงแก้วไม่ยอม ปราดเข้ามาขวางไว้ “อย่า อย่าเข้ามานะคะ”
อิศราดูงุนงง พระสุธรรมเข้ามา เดินไปนั่งสำรวมตรงโซฟา
ท่านชายยิ้ม “ไม่ได้เจริญขวัญ ที่ของฉัน อยู่ได้แค่ปลายเท้า เท่านั้น”
เจริญขวัญบอก “ขอ..เวลา...อีกเดี๋ยว..ได้ไหม..คะ”
ท่านชายพยักหน้า “ได้”
เจริญขวัญเอ่ยกับมารดา “แม่คะ”
ดวงแก้วปราดไปหา “ลูกแม่”
หญิงสาวหันไปทางชายคนรัก “พี่อิศ”
“พี่อยู่นี่”
“แม่...” เจริญขวัญเสียงเบาหวิว
อิศรารีบชิงบอก “ไม่ต้องห่วงนะจ้ะ อาแก้วเป็นทั้งอาและแม่ของคนที่พี่รัก อาแก้วจะได้คนงานที่ไร่ที่อาแก้วต้องอบรมหน่อย แต่จะไว้ใจได้...นะครับอาแก้ว”
ดวงแก้วยิ้มพยักหน้า หันมาลูบหน้าเจริญขวัญ “ยายหนูลูกแม่”
เจริญขวัญยิ้มมองไปยังปลายเตียง และเป็นเจริญขวัญคนเดียวที่เห็นว่าบัดนี้ท่านชายมีรัศมีขาวกระจ่าง ระยิบระยับ สวยงามรอบกาย
“งาม...งามเหลือเกิน”
พระสุธรรมหลับตานิ่งเจริญสมาธิ อิศรามองสลับเจริญขวัญและท่านชายอย่างงุนงง

จิตของเจริญขวัญลอยเข้ามาในริ้วทิวผ้าขาวพลิ้วตามแรงลมในไร่ ตรงบริเวณใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้ ขณะเจริญขวัญเดินเข้าไปหา ที่แท้คือ ท่านชายวสวัตในชุดสีขาวสะอาดตา ค่อยๆ หันมายิ้มให้
“ท่านชาย”
“ฉันมารับเธอ ตามสัญญา”
มือท่านชายยื่นมาหา เจริญขวัญมองมือยิ้มให้กับท่านชาย แล้วยื่นมือไป ร่างเจริญขวัญ จะขยับหาแต่ต้องชะงักคล้ายถูกรั้งไว้ ก้มมองที่เอวตัวเอง จู่ๆ เห็นมีเชือกสีทองอ่อนๆ ร้อยรัดเอวไว้ และเชือกนั้นลากยาวมาจากที่ไกลๆ

วิญญานเจริญขวัญหันมองท่านชายอย่างตกใจ

เงา ตอนที่ 17 อวสาน (ต่อ)

ร่างเจริญขวัญหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน มือสั่นระริกของเจริญขวัญ เหมือนพยายามยกมือแต่ยกไม่ขึ้น เจริญขวัญหายใจแรงๆ เหมือนจะหมดลม อิศราตกใจ ลนลานหมดสิ้น

“ขวัญ...ขวัญ” อิศรากดปุ่มหัวเตียง “หมอครับหมอ ..ด่วนเลยครับ ขวัญ…”
ดวงแก้วตะลึง มองลูกใจหล่นวูบ “ขวัญ”
พระสุธรรมลืมตามองพื้น ท่าทีสำรวมอยู่ในสมาธิแน่วนิ่ง
“คุณโยม อย่าเอาสายใจของแม่ ผูกมัดเขาไว้เลย ทรมานลูกโยมเปล่าๆ ปล่อยเขาไปเถอะ”
ดวงแก้วตะลึงหันไปมองท่านชาย
ท่านชายบอกกับดวงแก้ว อย่างเวทนา “ถึงเวลาของฉันแล้ว”
อิศรามองทุกคนอย่างงุนงง “นี่มันอะไรกันครับ”
ดวงแก้วมองพระสุธรรม แล้วหันมามองเจริญขวัญ ด้วยหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย
สองมือดวงแก้วปัดผมให้ลูกสาวจนเรียบร้อย และ พยายามกลั้นน้ำตา ถอนหายใจยาว
ยิ้มอย่างเข้มแข็ง “อย่าห่วงอะไรเลยลูก ไม่ต้องห่วงแม่นะ หลับให้สบายนะลูก”
เจริญขวัญหายใจเฮือกสุดท้าย
อิศราร้องลั่น “ขวัญ! ไม่...”
หมอไพโรจน์ กับพยาบาลวิ่งเข้ามา อิศรา และดวงแก้วต้องถอยออกจากเตียง อิศราตะลึงงัน
หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้น “ดีพโคม่า ทุกคนกรุณาถอยก่อนครับ”
ทุกคนถอย อิศรามองตะลึงตะไลเหมือนใจจะหลุดออกจากร่าง หมอไพโรจน์ปั้มหัวใจ

ไม่มีใครเห็นว่า ท่านชายเยื้อนยิ้มให้กับวิญญาณเจริญขวัญที่เดินเข้าหา
“เราไปกันได้แล้วใช่ไหมคะ ท่านชาย”
“ใช่”
ท่านชายยิ้ม พลางยื่นมือให้ “จับมือฉันสิ เจริญขวัญ”
มือท่านชายยื่นมา เจริญขวัญมอง ยิ้มยื่นมือไปวางมือลงในมือของท่านชายอย่างอบอุ่นใจ
วินาทีนั้นเอง ยินเสียงหมอไพโรจน์แว่วๆ มาว่า “สิ้นใจแล้ว”
วิญญาณเจริญขวัญยิ้มกับท่านชาย ทั้งสองร่างมีรัศมีล้อมรอบกาย

อิศรายังคงตะลึงอยู่ขณะพยาบาลห่มผ้าคลุมร่างเจริญขวัญ หมอไพโรจน์หันมาตบบ่าอิศรา
“เสียใจด้วยอิศรา”
หมอและพยาบาลเดินออกไป หมอชะงักมองท่านชายอย่างเคลือบแคลงก่อนออกไป อิศราทรุดนั่งใกล้ศพเจริญขวัญตาลอย ดวงแก้วเข้ามาจัดผมอีกครั้ง
“หลับซะนะลูก หลับให้สบาย หนูไปดีแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
อิศราจับมือเจริญขวัญ “ผมสัญญา ขวัญ ว่าจะไม่มีใครถอดแหวนวงนี้จากนิ้วขวัญได้ และพี่ ก็จะไม่หาแหวนวงไหนให้ใครอีก ขวัญ..เท่านั้น จะเป็นคนแรก และ คนสุดท้าย”
ดวงแก้วคิดแล้วปราดไปนั่งพนมมือต่อหน้าท่านชายอีก อิศรามองตามอย่างงุนงง
“ท่านเจ้าขา ได้โปรด ให้โอกาสดิฉันหาดอกไม้บรรจุวิญญาณนั่นจะให้กอดพุ่มไม้หนามแหลม หรือแลกกับอะไร ดิฉันก็ยอม”
อิศราตกใจงุนงง “อาแก้ว”
พระสุธรรมเทศนา “คุณโยม อย่าไปทูลขออะไรท่านเลย ท่านเป็นผู้พราก ไม่ใช่ผู้ให้”
ดวงแก้วทำใจ เซซังกลับมาที่เตียง อิศรามองเหตการณ์อย่างงงงัน
“อะไรกันครับ ใครครับ ผู้พราก ผู้ให้”
ท่านชายหันมามองอิศราเต็มตา ผู้ถูกมอง มองตอบอย่างงงงันถึงขีดสุด

ส่วนที่คฤหาสน์ท่านนายพลบัญชา คุณหญิงเพ็ญวางหูโทรศัพท์ แล้วอึ้งไป
“ใครโทร.มา” ท่านถาม
คุณหญิงภริยาตอบว่า “หมอไพโรจน์ค่ะ เรื่อง เจริญขวัญ”
เสียงชาลินีถามเข้ามาว่า “เจริญขวัญ เป็นยังไงบ้างคะแม่”
นายพลและคุณหญิงมองไป เห็นชาลินี เดินกระวนกระวายเข้ามา
“คะแม่ เจริญขวัญเป็นยังไงบ้าง”
คุณหญิงเหลือบมองลูกสาวแล้วบอกด้วยเสียงเย็นเยียบ “สิ้นใจแล้ว”
ชาลินีตกใจ “ไม่...ไม่จริง”
ท่านนายพลผุดลุกยืน “คนดีๆ อีกคน ที่ต้องมาตาย เพราะน้ำมือแก”
ชาลินีอึ้งงัน สติจะขาดผึงอยู่รอมร่อ

ทุกอย่างหยุดนิ่ง อิศรากับท่านชายมองจ้องหน้ากันอยู่
“มอง ร่าง นั้นสิ อิศรา สังขารเป็นอย่างนี้เอง ย่อมเน่าเปื่อยผุพังไปมนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนั้น เกิด แก่ ..และดับ”
อิศรายังรับไม่ได้ “แต่...ผมรักเธอ”
“เธอไม่ได้รักคุณเจริญขวัญ เพราะรูปกายภายนอกหรอก แต่ที่รักมาก เพราะคุณงามความดี มาเกาะกุมหัวใจของเธอต่างหาก เธอจึงยึดคุณเจริญขวัญ เป็นหลักยึดที่พึ่งพิงทางใจ แล้วต่อไปนี้ ไม่มีคุณเจริญขวัญ เธอจะยึดอะไร”
“ผมไม่รู้ แต่อย่างน้อย ผมยังมีท่านชาย”
“ฉันไม่ใช่ที่ยึดทางใจของเธอ อย่าเกาะเกี่ยวกับฉันอีกต่อไปเลย”
คำพูดตัดรอนรุนแรงนั้น ทำเอาอิศราชะงัก มองฉงน “ค..ครับ”
“เธอควรยึ่ดมันในคุณงามความดีที่เธอทำขึ้น ให้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตส่วนเรา ควรแยกกัน แต่เพียงแค่นี้”
“ท่านชาย อะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”
“เธอควรเลือกเส้นใหม่ อย่าเลือกเส้นทางเดียวกับฉัน ที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวน และอบายมุข หาไม่เมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะกลายเป็นทาสของฉัน”
อิศราโต้ ทั้งที่ยังงงอยู่นั่น “ท่านชายจะให้ผม เลิกคบกับท่าน แต่ท่านเป็นเพื่อนคนเดียวของผม”
“ก็เพราะเธอบอกว่าฉันคือเพื่อน ฉันจึงจะให้โอกาสเธอ อย่างที่ไม่เคยให้ใครมาก่อน เธอต้องเลือก อิศรา”
ดวงแก้วปราดมาดึงแขน “คุณอิศ เลือกแยกทางออกจากท่านซะค่ะ”
“ทำไมล่ะ ทำไมผมจะคบกับท่านอีกต่อไปไม่ได้”
อิศรายังดื้อ ท่านชายหันมาเต็มตัว ใบหน้าดุเคร่ง น้ำเสียงเข้ม

“ดูฉันสิ! อิศรา ดูให้เต็มตา ว่าฉันคือใคร”

อิศราตระหนก ไฟในห้องดับลง ทุกคนหวาดหวั่น ยกเว้นพระสุธรรม

เหลือแสงส่องเฉพาะจุดที่ท่านชายซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดพญายมราช รายล้อมด้วยเปลวเพลิงสีแดง และ อิศราตกใจ ดวงแก้วก็ตกใจที่เห็นคาตา พระสุธรรมสำรวมหลับตานิ่ง
ท่านชายส่งเสียงกึกก้อง ดุดัน และโหดเหี้ยม “ดูฉันสิ ว่าฉันเป็นใคร”
อิศราคราง “ท่านชายวสวัต”
ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่ข้องเกี่ยวกับคนใกล้ตายผุดซ้อนขึ้นมาในความคิดอิศรา
“เดี๋ยวฝนก็ตก อิศรา” สิ้นคำท่านชาย ฝนก็โปรยสายไม่ลืมหูลืมตา
ชายคนเจ็บหลังรถเอ่ยขึ้น “ท่าน...ท่านมา”
กระทั่งตอนคุณย่าอุ่นตายหญิงชราลนลานเมื่อเห็นท่านชายมา “ท่าน...ท่านมา”
อิศราเริ่มกระจ่าง เข้าใจ ครางออกมาด้วยเสียงอ่อนลงในอาการตะลึง “ท่านชาย”
“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่ามนุษย์ มักดูกันเพียงรูปกายภายนอกสังขาร เป็นของปลอมแปลง ลวงตาได้เสมอ”
อิศราไม่อาจยอมรับได้ “ไม่..ไม่ใช่..ผมรู้จักท่านดี”
ท่านชายดุ “เธอรู้จักภาพลวงตาจากฉันต่างหาก!”
เปลวไฟลุกโหมล้อมร่างท่านชาย อิศราตะลึง ยกมือขึ้นป้องกันความร้อนอย่างตกใจ
“เลือกสิอิศรา จะติดอยู่ในเส้นทางของชั้น หรือ แยกจากชั้นฉันให้โอกาสเธอเพียงครั้งเดียว! อิศรา”
ดวงแก้วเร่งเร้า “เลือกสิคะคุณอิศรา เลือกแยกจากท่าน เริ่มต้นชีวิใหม่เถอะค่ะ”
“ผม...เลือก...แยกทางจากท่านครับ!” อิศราตะโกนก้อง
ไฟโหมลดลง
“เธอได้เลือกแล้ว และถ้าวันใด เธอหวนกลับเข้าสู่เส้นทางอบายมุขอีก เธอ จะถูกกดให้อยู่ในที่ต่ำที่สุดในอเวจี จำไว้! อย่าหวนมาอยู่ภายใต้อำนาจของฉันอีก!”
ไฟในห้องสว่าง ท่านชายยืนอยู่ในชุดเดิม อิศรายิ่งตะลึงงัน ท่านชายเดินมาใกล้อิศรา พูดไม่มองหน้า
“หวังว่าเมื่อเราได้พบกัน ฉันจะมีศักดิ์ศรีเพียงได้ยืนอยู่แทบปลายเท้าของเธอ เหมือนวันนี้” ท่านนายมองเจริญขวัญอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองอิศรา “อย่าให้ฉันยืนอยู่หัวนอนของเธอเป็นอันขาดนะอิศรา เพราะเธอจะไม่มีโอกาสเลือกอีกแล้ว”
อิศราตะลึงงัน พนมมือรับคำอย่างอ่อนแรง “ครับผม”
ท่านชายมองอิศราอย่างสั่งลาอีกครั้ง ก่อนเดินออกไป
“ลาก่อนครับ เพื่อนคนเดียวของผม ท่านชายวสวัต”
ท่านชายชะงัก หยุดยิ้มมุมปาก ขยับเดินเพียงก้าวแต่แล้วร่างหายไป
อิศราทรุดลงอย่างหมดแรง ดวงแก้วกอดแขนอยู่ พระสุธรรมค่อยๆ ลืมตา
“พระองค์ทรงเมตตากับคุณอย่างที่สุด คุณโยม จะมีสักกี่คนที่ได้รับโอกาสจาก...ยมเทพ”
“เหรอครับ...แต่ผม เพิ่งเสียคนรัก และ เพื่อนคนเดียวของผมไป”
อิศราน้ำตาร่วงเหลียวมองโดยรอบ อย่างเคว้งคว้าง

ขณะนั้นหมอไพโรจน์เดินเศร้าๆ มาตรงลานจอดรถ ในมือหมอมีหนังสือติดมือมาด้วย พลางยกขึ้นดู หนังสือชื่อปก “ตายแล้วไปไหน”
หมอเดินมาถึงรถ กดปุ่มเปิดรถก้าวขึ้นนั่ง กำลังใส่กุญแจสตาร์ตเครื่อง
เสียงท่านชายวสวัตดังขึ้น “สวัสดีหมอ”
หมอสะดุ้งเฮือก จนกุญแจร่วงตกจากมือไป เหลียวมองหา เห็นท่านชายนั่งอยู่ด้านหลังในสูทดำ ท่านชายเคลื่อนตัวออกจากเงามืด ชะโงกมารับแสงขับเฉพาะใบหน้า หมอไพโรจน์เหงื่อแตกหวาดกลัว
“ท่าน...ท่านชาย มาอยู่ในรถผมได้ยังไง”
“ฉันมาตามสัญญา”
“สัญญา”
หมอครุ่นคำนึงถึงคำพูดท้าทายหน้าตึกบ้านคุณหญิงอุ่นเรื่องความเป็นความตาย
“ถ้าผีมีจริง ผมก็อยากจะเห็น” หมอบอก
“แล้วหมอจะได้เห็น ฉันสัญญา”
หมอไพโรจน์นึกออกครางเสียงสั่น “ท่าน...ท่านชาย”
ท่านชายหัวเราะ “นั่นไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของฉันนักหรอก หมอ”
ท่านชายถอยตัวลงนั่งพิงเบาะในเงามืดอีก
“จงดู และจงรับรู้ว่า วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คำตอบทั้งมวลแห่ง กรรม”
หมอมองกระจกหลังอยู่ ตาเบิกกว้าง มือเลื่อนขึ้นมากำพวงมาลัยแน่นอย่างหวาดกลัว
ดวงตาท่านชายจากสีดำกลายเป็นสีแดงฉายโชนขึ้นมา
ในอาการตกใจสุดขีด เปลวไฟนั้นลุกโชนอยู่ในดวงตาของหมอไพโรจน์ และมันกลายเป็นไฟนรก

ดวงจิตหมอไพโรจน์ ดำดิ่งสู่ นรกภูมิ เห็นภาพสัตว์นรกทั้งหลาย หน้าตาบิดเบี้ยว ถูกไฟนรกลุกโหมกระพือเผาไหม้ ไม่รู้จบรู้สิ้น
“กรรม เป็นเครื่องนำพาให้วิญญาณหลังความตายไปสู่ภูมิของพวกมัน ความตาย ไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็น จุดเริ่มต้นของการเสวยผลแห่งการกระทำของมนุษย์! และไม่มีผู้ใด หลีกหนีได้”

หมอไพโรจน์คว่ำหน้าอยู่ที่พวงมาลัย สะดุ้งเฮือก เหมือนเพิ่งตื่น ผละออกมานั่งพิงเบาะ ตกใจสุดขีด รีบหันมามองท่านชาย พบว่าหลังรถว่างเปล่า
“หรือว่า เราจะโดนสะกดจิต”
หมอพยายามทำใจ แล้วก้มลงควานหากุแจจนเจอ หยิบขึ้นมา
แต่แล้วหมอก็ชะงักอีกครั้ง มองมือตัวเอง ขนลุกเกรียว ด้วยที่ฝ่ามือของหมอทั้งสองข้าง มีรอยพาดแดง เหมือนโดนของร้อนทาบ หมอนั่งตะลึงมองมือของตัวเองในรถ

หมอไพโรจน์ผู้ใช้ชีวิตอยู่กับเหตุและผลในโลกวิทยาศาสตร์ นั่งมองมืออย่างตะลึงตะไลในรถ

ทางฝ่ายชาลินีนั่งกอดตัวเองโยกตัวน้อยๆ อยู่บนเก้าอี้ ดวงตาเคว้งคว้าง นายพลบัญชามองลูกสาว แล้วเดินผ่านมาทางคุณหญิงที่ยืนร้องไห้อยู่

“เจริญขวัญ ตาย...เจริญขวัญ”
“เด็กคนนั้น ตายทางอ้อมเพราะน้ำมือของแก” ท่านนายพลตอกย้ำ
“คุณคะ พอเถอะ อย่าพูดอีกเลย” คุณหญิงขอร้อง
นายพลพูดอย่างช้ำชอก “อย่าพูดงั้นเหรอ อย่าพูดทั้งๆ ที่ฉันต้องรับรู้การตายของคนถึงสองคน..ไม่สิ สามคน ถ้ารวมกับน้องชายของอรอนงค์ ไอ้ผู้ชายที่มาบ้ารักมันจนฆ่าตัวตาย”
ชาลินีชะงัก “เอก...”
“ลูกคงไม่ได้ตั้งใจหรอกคะ ยายขวัญเองก็อ่อนแออยู่แล้ว จะลงโทษลูกเราอย่างเดียวก็...ไม่ได้นะคะ”
“ฉันจะไม่ลงโทษเขาหรอก เพราะบาปที่เขาก่อ เขาก็ต้องชดใช้เองแต่ฉันไม่เข้าใจ เขาทำอะไรให้แกนักหนา แกถึงเกลียดเขา”
ชาลินีแหวออกมาอีก “เขาทำให้หนูอิจฉาไงคะ เขาเหมือนตุ๊กตาแก้ว เปราะบางน่าทะนุถนอม นายอิศรายังเปลี่ยนไป ท่านชายวสวัต ก็มองเจริญขวัญอย่างอ่อนหวาน ยกย่อง ช่างต่างจากเวลาที่ท่านมองหนู เด็กบ้านนอกที่มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่มาแล้วได้ไปทุกอย่าง โดยไม่ต้องขวนขวายอย่างที่หนูพยายาม หนูเคยคิด ว่าถ้าเลือกได้ หนูขอเกิดเป็นอย่างเจริญขวัญ หนูไม่อยากเป็นอย่างตัวเองนี่เลย” ชาลินีลุกยืน “หนูเหนื่อย กับชีวิตเหลือเกิน หนูอยากหลับให้นานๆ บางที พอตื่นขึ้น หนูอาจจะ สบายกว่านี้”
ชาลินีเดินขึ้นบันไดไป
“คุณคะ ไปดูลูกหน่อยดีไหม ท่าทางแกไม่สบาย”
“ปล่อยให้เขานอนเงียบๆคนเดียว สักพักคงดีขึ้น”
นายพลลงนั่งอย่างหมดแรง ยกสองมือกุมหัว คุณหญิงลงนั่งมองสามี
“มันเป็นความผิดของเราด้วย คุณเพ็ญ ผมก็เป็นพ่อที่ไม่ดีเลิก เลิกให้หมด บ้านเล็กบ้านน้อย”
“ถามจริงๆ ค่ะ คุณมี เด็กกี่คนคะ ไม่นับพวกอีหนูของคุณนะ”
นายพลมองหน้าคุณหญิงนึกว่าจะหาเรื่อง
“คุณไปเจรจากับแม่ๆ ของเด็กได้ไหมคะ แต่อย่าบังคับใคร ขอให้ดิฉันมาดูแล ทำหน้าที่แม่อีกครั้ง ดิฉันขอแก้ตัวใหม่ สงเคราะห์ลูกคนอื่นมาตั้งเยอะ ขอสงเคราะห์ลูกของคุณบ้าง นะคะ”
นายพลมองแทบไม่เชื่อหู คุณหญิงยิ้ม
“บางที ถ้าชาลินีเห็นเด็กๆ มีน้องๆ แกอาจจะหายฟุ้งซ่านด้วย”
นายพลบัญชาพยักหน้ามองภริยาแล้วเอื้อมมือมาจับมือคุณหญิง ยิ้มให้กำลังใจกันเป็นครั้งแรก

ขวดยานอนหลับกลิ้งอยู่ข้างๆ เตียง มีเม็ดยาร่วงอยู่ ไวน์สีแดงคล้ายเลือด ถูกรินลงแก้วมือหนึ่งของชาลินีรวบยาเต็มกำมือ อีกมือหยิบแก้วไวน์ เวลานี้ชาลินีอยู่ในชุดเดรสยาวสีแดง กินยา แล้วดื่มไวน์
ยาเริ่มออกฤทธิ์ ชาลินีสะลึมสะลือพาตัวเองมาหน้ากระจก หยิบลิปสติกสีแดง บรรจงทาปาก มองตัวเองในกระจก ปรากฏหมอกควันในกระจก และ ปรากฏภาพเจริญขวัญมองมาอย่างห่วงใย
“อย่านะคะ คุณชาลินี”
ชาลินีสะอื้น “เจริญขวัญ ชั้น...ไม่ได้อยากให้เธอตายเลยนะ ชั้น...ภาวนาขอให้เธอไม่เป็นไร...แต่...มือชั้น ก็เปื้อนเลือดอีกจนได้”
เจริญขวัญมองมาอย่างเศร้าสร้อย ภาพนั้นจางหายไป ชาลินีหันมา เดินโซเซไปนั่งเตียง
ผีเอกดนัยปรากฏขึ้นยืนมองอยู่ ชาลินีหันมองมาเห็น
“เธอ...มารับชั้นเหรอ เอก…”
“อย่าทำแบบนี้ ชา...อย่า...มันเป็นกรรมหนักที่สุด”
“มันจะมีอะไรหนักไปกว่านี้อีกเหรอ ชั้นเหนื่อยเหลือเกิน...เอก”
วิญญาณเอกดนัยจางหายไป ชาลินีล้มตัวลง กระถดตัวเองไปนอนตะแคงบนเตียง หมอนใบหนึ่งหนุนหัว อีกใบใช้กอด บนหมอนที่กอดมีรูปเด็กทารกลูกสาวชาลินีอยู่บนนั้น ชาลินีค่อยๆ แตะรูป กอดหมอนเหมือนกอดลูก
“หนู หนูอยู่ในกล่องใต้ดิน...หนูหนาวไหมลูก เดี๋ยวนะจ๊ะ รอเดี๋ยว แม่จะไปหาหนู ไปกอดหนู”
ชาลินีกอดหมอน สะลึมสะลือเต็มที่
“แม่ง่วงเหลือเกิน คอยแม่นะลูก อย่าหนีแม่ไปไหนนะ คอยแม่เดี๋ยว”

ชาลินีพลิกตัวนอนหงาย ผมสยาย งดงาม ราวเจ้าหญิงนิทรา

ในสำนึก รู้สึกถึงแสงไฟวูบวาบในห้อง ชาลินีปรือตามอง
เห็นท่านชายในชุดพญายมราช เดินมาจากปลายเตียง

“ท่านชาย” ชาลินีผวา ตะเกียกตะกายลุก แล้วอ่อนแรง ทำได้เพียงพิงพนักเตียง
“ท่านชายมาหาชาแล้วเหรอคะ”
“มันถึงคราวของเจ้าแล้ว”
“ชากำลังจะตาย”
“ใช่! และวิญญาณอีกหลายดวง กำลังรอการชดใช้จากเจ้า”
ชาลินีเอื้อมมือระริก หมายจะไขว่คว้าท่านชาย
“ชารักท่านชาย”
ท่านชายไม่ยอมจับมือ แต่เดินมาหัวเตียงช้าๆ
“นั่นคือความผิด ที่เจ้ากล้ามาฝากรักนายเหนือหัวของเจ้า”
“ชารักใคร ก็จะรักอยู่อย่างนั้น”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ แล้วเกิดรัศมีแดงโชติช่วงล้อมตัว ชาลินีตกใจ
“รักข้างั้นรึ เจ้าไม่เคยรู้ ว่าเจ้ารัก ใครกัน”
ชาลินีผวากลัว “ท่านชาย ท่านเป็นใครกัน”
“ดู ดูซิ ว่าใคร คือนายของเจ้า”
ชาลินีตะลึงแล ที่ร่างท่านชายบัดนี้ปรากฏศีรษะไฟพุ่งมาหา
หล่อนกรีดร้อง ตาเหลือกโพลง “ท่านชาย ท่าน...คือ...”
ชาลินีตะลึง ตาถลนเบิกค้าง ตกใจถึงที่สุด ช็อกตายคาที่ ในนาทีที่ศีรษะไฟพุ่งเข้าใส่ เปล่งวาจา ประกาศิต
“ไส หัว ไป ชด ใช้ กรรม”

หลายวันผ่านไป ทุกชีวิตยังคงดุ่มเดินไปตามทางของใครมัน
เช้าของวันอันแสนสดใสภายในบ้านไร่ ภาพถ่ายเจริญขวัญขนาดโปสการ์ด ถูกประดับไว้ในกรอบไม้สวยเรียบ อิศราแขวนกรอบนั้น ที่ผนังด้านหนึ่งของศาลาห้องสมุด
อิศราเอียงคอมองรูปเจริญขวัญส่งจูบให้ เขายกมือแตะปากตัวเองและไปแตะเบาๆ ที่กรอบรูป
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น วัน เวลา ก็ยังทำหน้าที่ เดินหน้าไปอย่างซื่อตรง และ ชีวิตคนเรา ก็ยังต้องก้าวต่อไป”
อิศราเท้าเอวมองท้องฟ้า และบรรยากาศโดยรอบ เด็กๆ วิ่งมาหา รายล้อมอิศรา พากันหัวเราะเสียงสดใส

พระสงฆ์รูปหนึ่งเดินสำรวม ท่วงท่าสงบ มาหยุดหน้าบ้านชาลินี เปิดบาตรตรงหน้าสองสามีภรรยา นายพลบัญชาไหว้หันไปหาคุณหญิงเพ็ญ สองคนช่วยกันตักข้าวจากทัพพีใส่บาตรพระ ถัดจากนายพลและคุณหญิง มีเด็ก 3 คนช่วยเอาถุงกับข้าว ส่งให้คุณหญิงใส่บาตร
นายพลบัญชาครุ่นคิดคำนึงในใจ “ความผิดพลาดในชีวิต คือบทเรียน ที่คนเราได้เรียนรู้”
ฟากหมอไพโรจน์ แต่งชุดขาวถือศีล นั่งสมาธิอยู่ตรงข้ามกับพระสุธรรมภายในโบสถ์
“และบางคน ได้ค้นพบว่า สิ่งที่เรียนรู้มาตลอดชีวิต ไม่ใช่สัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ เท่ากับ ธรรมะ หรือ ธรรมชาติอันแท้จริง”
ขณะที่ดวงแก้วในชุดขาวถือศีล เดินจงกรม ช้าๆ อยู่ในมุมสงบ ภายในวัดแห่งหนึ่ง
“ธรรมะ คือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้รู้จัก การละ วางการเข้าใจในทุกข์ ต้นเหตุแห่งทุกข์ และ การดับทุกข์นั้น”
ส่วนอิศรานั่งมองท้องฟ้ากว้างเบื้องหน้า เขายังอยู่ในศาลาห้องสมุดเจริญขวัญ
“และทุกข์ที่สุดของคนเรา บางครั้ง ก็เกิดจากการกระทำของตัวเอง”
อิศราแหงนมองท้องฟ้าครุ่นคิดคำนึง รำลึกถึงใครบางคน
“กรรม ที่จะติดตามทุกผู้ ทุกคน เหมือนเงา”

บุรุษที่อิศรารำลึกถึง เดินมาที่ยอดตึก ท่วงท่า สง่างาม และยิ่งใหญ่
“เงา ที่จะมองเห็น ทั้งความชั่วความดีของผู้กระทำที่เมื่อถึงคราว เงานั้น จะปรากฏตรงหน้าและเงาจะปรากฏเพื่อแสดงผล ชั่ว หรือ ดี อยู่ที่ตัวของมนุษย์เอง เท่านั้น”
ท่านชายวสวัตเงยหน้ามองออกไป นัยน์ตาดุ ยิ้มมุมปากอย่างท้าทาย
“บางที เงา อาจจะยืนอยู่ข้างๆ คุณแล้ว กระมัง”
พลันร่างท่านชาย บินหายไปในท้องฟ้า
ทิ้งไว้เพียงคำสอนที่ฝากให้ให้ทุกผู้ทุกคนตระหนักในใจ

“เงา ผลสะท้อนแห่งความดีชั่ว ของตัวคุณเอง”

จบบริบูรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น