เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 7
ที่บ้านหิมวัตในตอนนี้ หนานไตรมองจ้องบัวผุดด้วยความโกรธแล้วยื่นคำขาด
“ฉันหมดความอดทนกับแกแล้ว บัวผุด ถ้าแกไม่อยากสารภาพกับฉัน ก็ไปรับโทษของแกในคุก”
บัวผุดกรีดร้องด้วยความกลัว แม่นายกับจันตาเดินเข้าบ้านมา มองหนานไตร
“นี่แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ณไตร ถึงได้เที่ยวมาหาเรื่องกับคนของชั้น”
“มีคนวางยาคุณปู่ จะให้ผมปล่อยมันลอยนวลหรือครับ”
“ปู่แกเจ็บขนาดนั้น ไม่ต้องวางยา ก็ตายอยู่แล้ว”
“แม่นายไม่ควรจะแช่งคุณปู่นะครับ”
หนานไตรมองจ้องแม่ ศรีวัลลามองตอบโต้สายตาลูกชาย
“ฉันพูดความจริง ไม่ต้องแช่ง อีกไม่นานปู่แกก็จะหมดลมหายใจอยู่แล้ว ทำไมต้องมีคนวางยาให้ตายด้วย อย่ามาหาเรื่องกับคนในบ้าน ฉันไม่เคยเลี้ยงคนเลวให้เสียข้าวสุก จันตา เอาบัวผุดออกไป”
หนานไตรเอ่ยขึ้น “คนผิดต้องรับโทษนะครับ”
“ก็แม่บอกว่าบัวผุดมันไม่ผิด แล้วแกก็ไม่มีสิทธิ์แตะคนของแม่”
แม่นายตวัดสายตามอง จันตารีบโบกมือไล่บัวผุดให้ออกไปก่อน
บัวผุดรีบวิ่งออกไป หนานไตรหันมามองแม่นาย
“ต่อไปนี้ ห้ามใครในบ้านเข้าใกล้คุณปู่ นอกจากผม ธรรพ์ แล้วก็ป้าวันดี”
หนานไตรหันหลังกลับเข้าไปทางห้องอินถา แขไขมาใกล้แม่นาย
“ใครคะ ใครวางยาพ่อเลี้ยงอินถา”
แม่นายเมินหน้าหนี แขไขมองแม่นายอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นคนลงมือหรือเปล่า
ฝ่ายหนานไตรมองอินถาที่นอนนิ่ง ธรรพ์ เทพทัต วันดีอยู่ใกล้ มองด้วยความเป็นห่วง
“ฉันล้างท้องให้คุณปู่แล้ว ที่น่าห่วงคือความดัน” เทพทัตหน้าเครียด
“พาคุณปู่ไปโรงพยาบาลดีมั้ยครับ”
“ทางไกล ถ้ากระทบกระเทือน คุณปู่อาจจะทรุดหนักกว่านี้”
“ธรรพ์ บอกตำรวจให้มาลากตัวบัวผุดไปสอบสวน”
“พี่ครับ...ถ้าตำรวจมาที่นี่ เรื่องมันจะอื้อฉาวนะครับ”
หนานไตรมองธรรพ์ที่เตือนสติ วันดีมองเป็นห่วงอินถา
“บ้านหิมวัตร่มเย็น เป็นที่พึ่งของทุกคน เพราะมีท่านคอยเมตตา คนเนรคุณคนไหนกัน ที่กล้าทำกับท่านถึงเพียงนี้”
หนานไตรเข้ามาใกล้ปู่ มองด้วยสายตากังวลที่สุด
“คุณปู่ครับ ไม่ว่ามันเป็นใคร ผมไม่มีวันยกโทษให้มัน”
เนื้อนางกุมมือหมื่นหล้าไว้ หมื่นหล้าลืมตาฟื้นขึ้น เนื้อนางรีบเข้าไปใกล้ คำฝาย แสงคำขยับมองด้วยความเป็นห่วง
“เนื้อนาง”
เนื้อนางเอามือตาแนบหน้า “ตาจ๋า”
หมื่นหล้ามองเนื้อนางแล้วน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความอัดอั้น
“เนื้อนาง หลานตา”
เนื้อนางกอดหอมมือตาด้วยความรัก หมื่นหล้าน้ำตาไหล
“ตาผิดเองที่ยกเจ้าให้หนานไตร”
“ไม่จ้ะ ตา ไม่ใช่ความผิดของตาเลยสักนิดเดียว เนื้อนางผิดเองที่รักหนานไตร”
เนื้อนางสะอื้นมองตา สีหน้าแสงคำทุกข์ใจไม่น้อยกว่าเนื้อนาง คำฝายนั่งน้ำตาไหล
“ตาห้ามเนื้อนางแล้ว แต่เนื้อนางก็ยังทำให้ตาเป็นห่วง ทำให้ตาเสียใจตาจ๋า เนื้อนางขอโทษ”
เนื้อนางก้มลงกราบตา หมื่นหล้าสะอื้นลูบหัวหลานด้วยความสงสาร
หนานไตรดึงผ้าห่มขึ้นปิดอกให้อินถา ทุกคนมองเห็นความทุกข์ของหนานไตร
“คุณปู่ต้องฟื้นนะครับ ผมจะพาเนื้อนางมากราบคุณปู่ เนื้อนางเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน ใจดีมากครับ ถ้าคุณปู่ได้เจอ คุณปู่จะรักเนื้อนางเหมือนที่ผมรัก”
หนานไตรมองขอร้องปู่ที่ยังนิ่งด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
เนื้อนางเข้าใกล้หมื่นหล้า หมื่นหล้ามองหน้าหลานสาวแล้วพูดด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด
“เนื้อนาง จำคำตาไว้” เนื้อนางเข้าไปกอดตา แสงคำหน้าเครียด คำฝายสะอื้นไม่หยุด “ไปซะ อย่าอยู่ที่นี่ ไปตายเอาดาบหน้า อย่ากลับมาที่ปางนี้”
“ตาจ๋า เนื้อนางจะพาตาไปอยู่นอกปางด้วยกัน ไปวันนี้ ไปตอนนี้เลยก็ได้ ขอแค่ตาอยู่กับเนื้อนาง ให้เรามีกัน 3 คน ตา เนื้อนาง พี่คำฝาย”
“หมดเวลาของตาแล้ว ตาปกป้องเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่ ตาต้องอยู่กับเนื้อนาง”
หมื่นหล้าละสายตามาทางคำฝาย “คำฝาย”
คำฝายรีบเข้ามาหา “จ๋า พ่ออุ๊ย”
ชายชราบอก “อย่าทิ้งเนื้อนาง”
คำฝายรับคำหนักแน่น “ไม่จ้ะ ไม่ทิ้ง ฉันไม่มีวันทิ้งน้อง”
หมื่นหล้ามองไปยังแสงคำนิ่ง แสงคำเห็นสายตาพ่ออุ๊ยก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“พ่ออุ๊ยไม่ต้องเป็นห่วง ชีวิตไอ้แสงคำเกิดมาเพื่อเนื้อนาง”
หมื่นหล้ายิ้มกับคำสัญญาของแสงคำ กุมมือเนื้อนางกับคำฝายไว้แล้ววางลงบนอก
“รักกัน ดูแลกัน”
เนื้อนางกับคำฝายสะอื้นจนตัวโยน หมื่นหล้ามองหลานสาวสองคนน้ำตากลบตา
“คำฝายดูแลเนื้อนางด้วย”
“เท่าชีวิตฉัน พ่ออุ๊ย ฉันจะดูแลเนื้อนางเท่าชีวิตฉัน”
หมื่นหล้าหันไปมองเนื้อนาง
“ไปให้ไกลจากปางนี้ ไปให้ไกลจากแม่นายศรีวัลลา”
เนื้อนางใจหาย “ตาจ๋า”
“หนานไตรไม่ใช่คนมีค่าพอที่หลานจะมอบใจให้ ลืมเค้าซะ เนื้อนาง ลืมหนานไตร”
หมื่นหล้าพูดได้เพียงแค่นั้นก็หมดแรง มือที่จับเนื้อนางกับคำฝายตกลงข้างตัว คำฝายตะลึง เนื้อนางมอง เขย่าร่างตาเบาๆ
“ตา...ตาจ๋า”
หมื่นหล้าที่สิ้นลมไป ร่างแน่นิ่ง เนื้อนางเขย่าแรงขึ้น
“ตา...ตา...ตาอย่าทิ้งเนื้อนางนะ”
“พ่ออุ๊ย” คำฝายร้องไห้โฮ เนื้อนางโถมตัวไปกอดตา แสงคำน้ำตาไหล
“ตาจ๋า อย่าทิ้งเนื้อนาง ตาต้องอยู่กับเนื้อนาง ตาจ๋า ไม่มีตาแล้วเนื้อนางจะอยู่ได้ยังไง”
เนื้อนางสะอื้น คำฝายกับแสงคำก้มลงกราบเท้าหมื่นหล้าเป็นครั้งสุดท้าย
ทั่วทั้งห้องมีแต่เสียงสะอื้นไห้ของคำฝายกับเนื้อนางที่สูญเสียตาไปแล้ว
ขณะเดียวกันหนานไตรก้าวออกมามองแสงยามเย็น ด้วยสีหน้าทุกข์ท่วมใจ แววตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเศร้า ทั้งเรื่องอาการป่วยของปู่ และ เรื่องเนื้อนาง
บนเรือนเนื้อนางค่ำคืนนี้ ในแสงตะเกียงที่ส่องวับแวมในบ้านเนื้อนางนอนกอดร่างของหมื่นหล้า คำฝาย ม่อนดอย แสงคำนั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ
“ตาจ๋า ตาได้ยินเนื้อนางใช่มั้ยจ๊ะ”
คำฝายทนไม่ไหวสะอื้นโฮ ม่อนดอยประคองคำฝายออกไปด้านนอก
เนื้อนางไม่สนใจใคร กอดตาไว้ด้วยรอยยิ้ม
“ไหนตาบอกว่า ตาจะไม่ทิ้งเนื้อนางไว้คนเดียวไงจ๊ะ”
แสงคำปาดน้ำตา นั่งต่อไปไม่ไหว ลุกออกไปเงียบๆ ทั้งห้องเหลือเพียงเนื้อนางกับหมื่นหล้าที่เหมือนนอนหลับสนิท
“ตาบอกว่ารักเนื้อนางที่สุด ตาจ๋า...เนื้อนางรักตานะจ๊ะ เนื้อนางรักตา”
เนื้อนางน้ำตาหยด กอดศพตาไว้ด้วยหัวใจที่ว้าเหว่ สูญเสียคนที่รักเคารพที่สุดในชีวิต
หนานไตรนอนฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียงอินถาจนถึงเช้า มือยังกุมมือปู่ไว้ธรรพ์เข้าห้องมา หนานไตรรู้สึกตัวลืมตาขึ้น
“พี่ไปอาบน้ำเถอะครับ ผมจะเฝ้าคุณปู่ต่อเอง”
“ฝากด้วยนะ ธรรพ์”
“ไม่ต้องห่วงครับ พี่”
หนานไตรเดินออกไปแล้วธรรพ์นั่งลงแทนที่ขยับผ้าห่มปิดอกให้ปู่ เดินไปแง้มผ้าม่านรับแสงแดดอ่อนๆ
แม่นายเปิดประตูเดินเข้ามาในตอนนี้ ธรรพ์หันไปมอง
“จะรอดมั้ย ปู่แกน่ะ”
ธรรพ์ปราม “แม่นายครับ”
“ฉันไม่ได้ใจเหี้ยมอะไรหรอกนะ ก็ถามตามที่เห็น ยังไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แม่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับปู่แก”
“งั้นผมไปรอข้างนอกนะครับ”
ธรรพ์ออกไป ศรีวัลลามองแล้วยิ้มร้าย เดินมายืนใกล้เตียงแล้วบีบแขนอินถาเต็มแรง
“จะหายใจอยู่ทำไมอีก”
อินถารู้สึกตัวจากแรงบีบของแม่นาย พอลืมตาเห็นศรีวัลลาก็ตกใจ
“แก!!! ศรีวัลลา แกเข้ามาทำไม”
“ฉันก็เข้ามาดูหน้าแกเป็นครั้งสุดท้ายไง”
“ฉันไม่ยอมตาย...อย่างที่แกหวัง”
“จะอยู่รอดูหน้าหลานสะใภ้ชั้นต่ำล่ะสิ ไม่มีวันสมหวังหรอก อินถา ฉันนี่แหละจะดับฝันครั้งสุดท้ายของแก”
“ฉันจะอยู่ ฉันแต่งงานให้...ณไตรกับเมีย”
แม่นายหัวเราะหยัน “เอาตัวให้รอดวันนี้ไปก่อนเถอะไอ้แก่ จำได้มั้ยว่าแกทำกับชั้นไว้ยังไง แกบงการชีวิตผัวชั้น ลูกชายชั้น ไม่มีใครเชื่อฟังชั้นก็เพราะแก”
“แกไม่มีวันบังคับณไตรได้...ณไตรต้องได้อยู่กับผู้หญิงที่เค้ารัก”
แม่นายได้ยินคำนี้แล้วโกรธสุดขีด
“ณไตรต้องแต่งงานกับแขไข คนที่ฉันเลือกให้เท่านั้น ส่วนบ้านหิมวัตที่แกรักนักรักหนา มันต้องอยู่ใต้อำนาจของชั้นคนเดียว”
“ไม่...แกไม่สมควรเป็นเจ้าของหิมวัต ตระกูลของชั้น...ต้องไม่อยู่ในมือผู้หญิง...เลือดเย็น...อย่างแก”
อินถาเสียงขาดเป็นห้วงๆ ใกล้หมดแรงเต็มที
“จำหน้าฉันไว้ อินถา จำแววตาฉันที่เกลียดแกไว้ ลมหายใจสุดท้ายของแกไม่สมควรจะมีความสุข รู้ไว้ด้วย เนื้อนาง หลานสะใภ้ที่แกอยากเห็นหน้าน่ะ มันเป็นลูกสาว นังช่างฟ้อน จันทร์เป็ง”
“จันทร์เป็ง”
อินถาเริ่มหายใจไม่ออก อาการหอบเป็นมากขึ้นจนหน้าเขียว
“ใช่ นังจันทร์เป็งที่แกเคยอยากได้เป็นสะใภ้ไงล่ะ ฉันเจอลูกสาวมันแล้ว...ฉันขอสาบาน อะไรที่นังจันทร์เป็งมันก่อแค้นไว้กับฉัน ฉันจะเอาคืนกับลูกสาวมันให้สาสม วันไหนที่เนื้อนางมันเหยียบเข้ามาในหิมวัต ฉันจะทำลายชีวิตมันให้พังพินาศ เนื้อนางมันต้องตรอมใจตายเหมือนนังจันทร์เป็ง แม่มัน”
“อย่า...อย่า...อย่าทำ...สงสาร...หนานไตร”
อินถาหอบหายใจเฮือก พยายามดึงเสื้อยื้อตัวศรีวัลลาไว้ แต่แม่นายปัดมืออินถาออกอย่างแรง ท่ามกลางเสียงกรีดหัวเราะของแม่นาย อินถากำลังดิ้นรนเพื่อมีชีวิตจนวินาทีสุดท้าย อินถาหอบแรงอีกครั้ง มือที่ไขว่คว้ากลางอากาศ ตกลงข้างตัว
ศรีวัลลามองสภาพอินถาที่สิ้นลมไปต่อหน้าด้วยรอยยิ้มสาสมใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างมี
ความสุขที่สุด ทิ้งให้อินถานอนหมดลมอยู่อย่างเดียวดาย
ฝ่ายจันตายืนอยู่ที่หน้ารั้ว คนงานจากปางกำลังบอก
“หมื่นหล้าตายแล้วครับ”
จันตายิ้มพอใจกับข่าวการตายของหมื่นหล้า
หนานไตรเดินเข้าห้องมาในชุดใหม่ เห็นอินถาที่นอนตาค้างอยู่ก็ถลันเข้ามาใกล้ มองสภาพปู่แล้วตกใจ เขย่าร่างเบาๆ
“คุณปู่...คุณปู่ครับ”
ธรรพ์เปิดประตูเข้ามา มองเห็นก็รีบเข้ามา
“ธรรพ์ แกหายไปไหนมา...ทำไมทิ้งคุณปู่”
หนานไตรหันไปเขย่าตัวอินถา ธรรพ์มองหวาดหวั่น ยื่นมือไปอังจมูกปู่
“พี่ไตร...คุณปู่สิ้นแล้ว”
หนานไตรตาแดงก่ำ นึกไม่ถึง ธรรพ์ทิ้งตัว นั่งอย่างหมดแรง หนานไตรก้มลงกราบปู่ น้ำตาร่วงลงอาบแก้มด้วยความอาลัยที่สุด
แม่นายอยู่ในชุดดำไว้ทุกข์ คลี่ยิ้มมองจันตาอย่างสะใจสมใจ
“ในที่สุดไอ้แก่ 2 คนที่ฉันเกลียด มันก็พร้อมใจกันลาโลกไปสักที”
“แม่นายจะให้จัดการที่ปางยังไงคะ ตอนนี้คุณณไตรยังไม่รู้เรื่อง”
“ห้ามให้ณไตรรู้เรื่องหมื่นหล้า เวลานี้แหละคือเวลาที่เราจะกำจัดเนื้อนางได้ดีที่สุด”
แม่นายยิ้มร้ายกับจันตา “ฉันเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”
ทางด้านเนื้อนางนั่งนิ่งอยู่บนเรือนใบหน้าสวยแสนเศร้า คำฝายนั่งลงใกล้ๆ
“เนื้อนาง ตั๋วกินข้าวกินปลาซะบ้างเถอะ”
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวก็ฝืนกินสักคำสองคำเถอะนะ จะได้มีแรง”
เนื้อนางนั่งนิ่ง คำฝายถอนใจ รู้ว่าเปลี่ยนใจเนื้อนางไม่ได้ เลยเปลี่ยนเรื่อง
“หนานไตรบอกหรือเปล่าว่าจะมาวันไหน”
“ไม่ได้บอกจ้ะ”
“เชอะ...หายแซบหายสอย...จะมาทันเผาพ่ออุ๊ยมั้ย”
เนื้อนางได้ยินแล้วน้ำตาหยด คำฝายเข้าไปกอดเนื้อนางไว้อย่างปลอบใจ
“หนานไตรเค้าต้องกลับมารับตั๋วตามสัญญา”
“เนื้อนางอยากให้เค้ามากราบตาเป็นครั้งสุดท้าย”
เนื้อนางกอดคำฝาย แววตาทุกข์ระทมสุดจะประมาณ
ฟากหนานไตรยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนในชุดดำ
“เราจะจัดงานศพให้คุณปู่อย่างสมเกียรติ”
แม่นายขัด “จะสิ้นเปลืองมากมายไปทำไม”
“ผมไม่สนใจความสิ้นเปลือง คุณปู่เป็นที่รัก เคารพของคนที่นี่”
แม่นายเชิดหน้าไม่ไยดี หนานไตรหันมาทางธรรพ์
“ธรรพ์ ส่งรถไปรับเนื้อนางมาที่นี่ด้วย”
หนานไตรหันไปมองแม่นายนิ่งๆ แม่นายสีหน้าบึ้งตึง
“จะให้มันมาในฐานะอะไร”
“หลานสะใภ้ของคุณปู่”
แขไขสอดขึ้น “พี่ไตรอยากให้บ้านนี้ลุกเป็นไฟเหรอคะ รอให้เสร็จงานศพก่อนไม่ได้เลยใช่มั้ยคะ”
“เนื้อนางควรได้มากราบคุณปู่ มันเป็นความตั้งใจสุดท้ายที่คุณปู่บอกไว้กับผม” หนานไตรยืนยัน
“ถ้าแกอยากฉีกหน้าแม่ ไม่อายแขกเหรื่อผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เชิญทำอย่างที่คิด แต่ถ้ายังรักชื่อเสียงหิมวัต อย่างที่แกเคยพูดก็อย่าเอาเนื้อนางมาที่นี่ ตอนนี้ ปู่แกคงมีความสุขมากสินะ ที่แกจะใช้งานศพ เป็นโอกาสเปิดตัวเมีย”
แม่นายกระแทกเสียงใส่แล้วเดินปึงปังออกไป แขไขมองหนานไตรแล้วเดินเชิดแยกไปด้านใน ธรรพ์มองหนานไตรที่ตัดสินใจลำบาก
“ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว รอให้ผ่านงานศพคุณปู่ก่อนเถอะครับ พี่ไตร อย่ามีเรื่องทะเลาะกันให้อายคนนอกเลยนะครับ”
หนานไตรจำใจรับฟังสิ่งที่ธรรพ์แนะนำ
ไม่นานต่อมา ตรงมุมหนึ่งนอกเรือน แม่นายยืนอยู่กับจันตา แม่นายกำลังสั่งความกับคนที่ยืนก้มหน้า อยู่ตรงข้าม
“แกจะทำยังไงก็ได้ เรื่องของแก รีบกำจัดนังเนื้อนางออกไปจากปางให้เร็วที่สุด”
ชายผู้นี้คือ บุญลือ เขาเงยขึ้น มองแม่นายด้วยสายตาพร้อมทำตามทุกคำสั่ง
“ครับ แม่นาย”
ขณะที่เนื้อนางนั่งพิงเสาเรือน มองไปไกล แววตาคู่สวย มีแต่ความเศร้า เห็นบุญลือเดินมาหน้าบ้าน มองขึ้นไปแล้วถาม
“เนื้อนางใช่มั้ย”
เนื้อนางขยับมามองบุญลืออย่างคนแปลกหน้า
“ฉันถูกส่งให้มาเป็นผู้จัดการปางคนใหม่ ชื่อบุญลือ”
“หนานไตรล่ะ”
“คุณณไตรให้ฉันมาบอกเธอ” เนื้อนางขยับมาทันที แต่บุญลือกลับบอกว่า “คุณณไตรจะไม่มาที่นี่อีก”
เนื้อนางไม่เชื่อ “ไม่จริง หนานไตรบอกให้ฉันรอ”
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้” บุญลือมองไปรอบๆ “รีบเก็บของซะ เรือนหลังนี้ฉันจะยกให้หัวหน้าควาญช้างคนใหม่มาอยู่”
เนื้อนางโกรธ “แต่นี่มันเรือนของตา”
บุญลือล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา หนึ่งร้อยบาท
“คุณณไตรฝากมาให้ค่าทำศพหมื่นหล้า”
เนื้อนางยืนอึ้ง บุญลือเอาเงินยัดใส่มือเนื้อนาง
“คุณณไตรยุ่งมาก เพราะต้องเตรียมจัดงานแต่งงานกับคุณแขไข เลยฝากฉันมาบอกแค่นี้”
เนื้อนางมองเงินในมือแล้วทิ้งร่างลงอย่างอ่อนแรง
“หนานไตรบอกว่าจะไม่แต่งงานกับคุณแขไข หนานไตรบอกว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่หนานไตรรัก”
“ถึงเวลานี้คงไม่ใช่แล้วนะ กับเธอ น่าจะแค่...บำเรอ”
บุญลือบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วเดินออกไปเนื้อนางตกใจ น้ำตาหยดรินออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“ฉันไม่เชื่อ”
เนื้อนางลุกขึ้น วิ่งลงจากเรือนไปทางด้านในปางทันที
ม่อนดอยกับคำฝายในชุดดำกำลังเดินมาด้วยกัน เนื้อนางเดินสวนเร็วมา สองคนรีบเข้ามาถาม
“เนื้อนางจะไปไหน”
“เนื้อนางจะไปบ้านแม่นาย เนื้อนางต้องถามหนานไตรให้รู้เรื่อง”
คำฝายงง “ทำไมจะไปปุ๊บปั๊บ บ้านแม่นายไม่ใช่ใกล้ๆ”
ม่อนดอยถาม “แกรู้ใช่มั้ย คำฝาย ว่าบ้านแม่นายอยู่ที่ไหน”
“มันก็ต้องอยู่ในเวียงนั่นแหละ”
“เวียงไม่ใช่ในปาง กี่วันจะหาเจอ”
“ไปถามหาเอาก็ได้ ต้องมีคนรู้จักบ้านแม่นายบ้างสิ”
สามคนไม่รู้ว่าบุญลือมองอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยสายตาร้ายกาจ ก่อนจะหลบออกไป
“พี่คำฝาย พี่ม่อนดอยอยู่ที่นี่แหละ เตรียมเรื่องสวดศพตาคืนนี้ก่อน เนื้อนางจะรีบไปรีบมา”
“งั้นเดี๋ยวเอาจักรยานฉันไปแล้วกัน เนื้อนาง ยังไงก็เร็วกว่าเดิน”
เนื้อนางมองเพื่อนชายชาวไพรเป็นเชิงขอบใจ
เนื้อนางขี่จักรยานม่อนดอยมาตามทาง กำลังจะออกพ้นปางแล้ว
บุญลือถือหน้าไม้ หลบมองอยู่หลังต้นไม้ พอจักรยานเนื้อนางมาใกล้ บุญลือเล็งยิง ลูกดอกพุ่งเข้าไปขัดกับซี่ล้อจักรยาน จักรยานกระตุกพรวด เนื้อนางเสียหลัก พยายามประคองรถ แต่ไม่ไหว รถชนเข้ากับหินก้อนใหญ่บนพื้น เนื้อนางล้มลง กลิ้งไปคนละทางกับจักรยาน
“โอ๊ย”
เนื้อนางลุกขึ้น เดินมาจับจักรยานตั้งขึ้น เห็นล้อเบี้ยว ไปต่อไม่ได้ เนื้อนางหน้าเศร้า ขยับเดินก็เจ็บขาจนแทบจะไม่ไหว พยายามเดินเขยกออกไป
บุญลือซุ่มมองอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ รีบหลบมาหยิบลูกดอกบนพื้นออกไป ไม่ให้เหลือหลักฐาน
แสงคำจับข้อเท้าเนื้อนางที่มีรอยช้ำทายาให้เบามือ แสงคำมองสีหน้ากระวนกระวายของเนื้อนางแล้วพูดขึ้น
“พรุ่งนี้อ้ายจะพาเนื้อนางไปหาหนานไตร”
เนื้อนางมองแสงคำด้วยสายตาซึ้งใจ
“ขอบคุณนะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางรู้ว่าอ้ายฝืนใจ”
“ไม่เป็นไร อ้ายคนนี้จะเจ็บแค่ไหนก็ได้ เพื่อความสุขของเนื้อนาง”
แสงคำพูดนิ่งๆ แล้วก้มลงทายาให้ เนื้อนางทอดสายตามองแสงคำอย่างเห็นใจ
หนานไตรในชุดดำไว้ทุกข์เดินออกมาในสวน ธรรพ์เดินตามออกมา
“ป่านนี้เนื้อนางคงรอฉันอยู่ ฉันบอกว่าจะไปรับเค้ามาที่นี่”
“เนื้อนางใจคอหนักแน่น มีเหตุผล เค้าต้องเข้าใจครับว่าพี่ยุ่งกับงานคุณปู่”
“ธรรพ์ ฉันอยากให้แกไปบอกเนื้อนางไว้ก่อน”
“ครับ พี่ พรุ่งนี้ผมจะไปบอกให้นะครับ”
จันตาที่แอบฟังอยู่ ผลุบเข้าไปด้านในทันที หนานไตรมองไกลออกไป ด้วยสายตาคิดถึงและเป็นห่วงเนื้อนาง
ที่ระเบียงผาเย็นใกล้ค่ำ เนื้อนางมองอาทิตย์ที่กำลังอ่อนแสง คิดถึงวันเวลาที่มีความสุขกับหนานไตร โดยเฉพาะคำพูดหนานไตรที่สั่งไว้
“รอผมอยู่ที่นี่นะครับ เนื้อนาง รอผมมารับ ให้ผมคุยกับแม่นายเรื่องของเรา คุณเชื่อใจผมนะ ยังไงผมก็ไม่แต่งงานกับแขไข”
เนื้อนางปล่อยใจคิดถึงหนานไตรด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขาหมดใจ
หนานไตรทิ้งตัวลงนั่ง สีหน้าเหนื่อยล้า ด้านหลังประตูเปิด แขไขถือถาดแซนด์วิชเข้ามา หนานไตรหันไปมองทันที
“แขเห็นพี่ไตรยุ่งรับแขกผู้ใหญ่ จนไม่มีเวลาทานข้าว เลยเอาแซนด์วิชมาให้ค่ะ”
“วางไว้ตรงนั้นเถอะครับ”
แขไขถือจานแซนด์วิชมองน้อยใจ
“ทานสักคำนะคะ”
“ผมไม่หิว” หนานไตรยืนห่างแขไข ไม่ยอมเดินมาใกล้ “นี่ก็ดึกแล้ว คุณแขไปพักผ่อนเถอะครับ”
“ทนไม่ได้เลยเหรอคะ ถึงต้องไล่แขให้พ้นหูพ้นตา” แขไขพาล
“มันไม่สมควรนะครับ ที่คุณแขจะอยู่ในห้องผม”
แขไขหน้าชา หันหลังเดินออกไป หนานไตรรีบเดินไปกดล็อค แล้วพิงประตูด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
แขไขเดินถือจานแซนด์วิชออกมา สีหน้าบึ้งตึง ธรรพ์กำลังจะเดินเข้าห้อง มองเห็นแขไขก็คลี่ยิ้ม เดินเข้ามาหา
“ยังไม่นอนเหรอครับ คุณแข”
แขไขกำลังอารมณ์ขุ่นมัว ส่งจานแซนด์วิชให้ธรรพ์
“ทานมั้ยคะ”
“คุณแขทำเองเหรอครับ” ธรรพ์ดีใจมาก ยิ้มกว้าง รีบหยิบกิน
“แขทำให้พี่ณไตร” แขไขบอก
ธรรพ์กัดแซนด์วิชชะงัก
“พี่ธรรพ์ทานแทนด้วยแล้วกันค่ะ ทานให้หมด แขไม่อยากเห็นมันอีก”
แขไขสะบัดหน้าเดินไปทางห้อง ธรรพ์เอาแซนด์วิชออกจากปากวางลงในจาน
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับ เมื่อไหร่คุณแขจะตั้งใจทำให้ผมทานคนเดียว ไม่ใช่พี่ไตร”
ธรรพ์พึมพำกับตัวเองเบาๆ เศร้าๆ แล้วเดินออกไปหงอยๆ วันดีมองทุกอย่างด้วยสายตาสงสารธรรพ์อย่างที่สุด
“โธ่ คุณธรรพ์ น่าสงสารเหลือเกิน ทำไมถึงต้องผิดหวังอยู่คนเดียวนะ”
คืนนี้ แม่นายกับจันตายืนอยู่มุมหนึ่งในบ้านหิมวัต มองบุญลือที่หลบอยู่ในเงามืด
“ผมทำตามที่แม่นายสั่งแล้วครับ”
“ดี อย่าให้เนื้อนางมันมาถึงที่นี่ได้ รีบไล่ให้มันพ้นจากปางเร็วๆ ด้วย”
“ครับ แม่นาย”
บุญลือหลบออกไป จันตามองแล้วยิ้มออกมา
“ท่าทางบุญลือมันจะช่วยให้แม่นายสมหวังได้นะคะ”
แม่นายฟังแล้วยิ้มร้ายพอใจ
“แล้วพรุ่งนี้ที่คุณณไตรใช้คุณธรรพ์ไปหาเนื้อนางละคะ” จันตาเป็นกังวล
แม่นายยิ้มมีแผนร้าย
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตอนเช้าวันถัดมา ธรรพ์กุมมือแม่นายที่นอนอยู่บนเตียง โดยศรีวัลลาแกล้งทำเป็นอ่อนเพลีย
“แม่”
“ธรรพ์ต้องไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่แค่เหนื่อยเรื่องงานศพคุณปู่ นอนพักสักหน่อย ก็คงดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่เฝ้าแม่นายก่อนดีกว่า”
“โธ่ ธรรพ์...เด็กดีของแม่”
แม่นายลูบหัวธรรพ์เบาๆ
“ไม่มีลูกเสียคน แม่จะหาความสบายใจได้จากใคร”
“พี่ไตรรักแม่นายนะครับ ถึงบางเรื่องจะแข็งไปบ้าง แต่พี่ไตรก็รักและเคารพแม่นายเสมอ”
แม่นายยิ้มให้ เห็นธรรพ์มองมาด้วยแววตาอ่อนโยน ห่วงใยทุกคนจากใจจริง
เนื้อนางนั่งจักรยานแสงคำมา กำลังจะออกไปนอกปางบุญลือก้าวออกมาขวางตรงทางเดิน แสงคำเบรคจักรยานแทบไม่ทัน ห่างจากบุญลือแค่ไม่กี่ก้าว
“ฉันให้คนไปตามนาย ทำไมถึงไม่ไปหาที่เรือนผู้จัดการ”
“ฉันมีเรื่องต้องทำ”
“ธุระอะไร ถึงกล้าขัดคำสั่งผู้จัดการ”
เนื้อนางมองไม่สบายใจ “อ้ายแสงคำไปทำงานก่อนเถอะจ้ะ”
“แต่ว่า ...” แสงคำมองเนื้อนางอย่างเป็นห่วง
บุญลือเร่ง “ตามฉันมา ฉันจะให้นายนับไม้ที่ตีตรา”
แสงคำหันรีหันขวางมองเนื้อนาง เนื้อนางยิ้มให้
“ไปเถอะจ้ะ ไปทำงานที่ผู้จัดการสั่งก่อน”
เนื้อนางมาจูงจักรยานแทน บุญลือเดินนำ แสงคำจำใจเดินตามไป เนื้อนางมองจักรยาน แล้วตัดสินใจขึ้นจักรยาน ถีบออกไปตามลำพัง
หนานไตรก้าวออกมาจากในบ้านเดินมาในสวน มีแขไขตามติด
“แขสั่งของชำร่วยงานคุณปู่ มาจากร้านที่ดังที่สุด คุณแม่จะเป็นคนเอาขึ้นมาให้เองค่ะ”
“ไม่ต้องรบกวนคุณหญิงมาลัยก็ได้นะครับ ผมไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องลำบาก”
“ไม่ค่ะ ไม่ลำบากเลย คุณแม่เต็มใจที่สุด”
หนานไตรมีสีหน้าอึดอัด แขไขโปรยยิ้ม
“ให้แขได้ทำอะไรเพื่อหิมวัตบ้างสิคะ”
หนานไตรจำใจยิ้มตอบไป อย่างรักษามารยาท
ขณะเดียวกันที่หน้ารั้วบ้านหิมวัต เนื้อนางปั่นจักรยานมาหยุดลง เนื้อนางยกแขนเสื้อซับเหงื่อ เพราะปั่นมาไกล
คนงานที่เฝ้าประตูชะโงกหน้ามามอง เนื้อนางรีบเข้าไปบอก
“ฉันมาหาหนานไตร”
“ไม่มีคนชื่อหนานไตร”
เนื้อนางคิดปราดเดียว “คุณณไตรน่ะจ้ะ ลูกชายแม่นาย เจ้าของปาง”
“อ๋อ...งั้นรอก่อน”
คนงานเดินกลับเข้าไปข้างใน เนื้อนางยืนข้างจักรยาน รอคอยด้วยสายตามีหวัง
จันตามองคนงานชายที่เข้ามารายงาน
“ห้ามแกไปบอกคุณณไตร ปิดปากให้สนิท จะไปไหนก็ไป”
คนงานชายรีบออกไปด้านหลังบ้าน จันตามองไปทางหน้าบ้านด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
เนื้อนางที่ยังยืนรออยู่ริมรั้ว เหงื่อผุดบนหน้าเพราะความร้อน พอหันกลับมา จันตาเป็นคนเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ท่าทางใจเย็น
“คุณณไตรเค้าไม่ว่างมาต้อนรับเธอหรอก ที่นี่กำลังยุ่ง มีอะไรก็ฝากบอกฉันได้”
“ขอฉันเจอหนานไตรสักนิดได้มั้ย เรื่องสำคัญจริงๆ ตาของฉัน...หมื่นหล้า...”
“อ๋อ เรื่องตาเธอที่ตายใช่มั้ย คุณณไตรเค้ารู้อยู่แล้ว ถึงให้เงินค่าทำศพไปกับผู้จัดการคนใหม่ ยังไม่ได้รับเงินเหรอ”
จันตาแกล้งถามด้วยสีหน้าแปลกใจมาก
“เงินนั่น ...เงินจากหนานไตรจริงๆ”
“ใช่ คุณณไตรเค้าสงสารเธอมากนะ”
เนื้อนางฉงน “สงสาร”
จันตาทำหน้าลำบากใจมาก
“นี่เนื้อนาง ในฐานะขี้ข้าเหมือนๆ กัน ฉันเตือนด้วยความหวังดี จากใจจริงเลยนะ”
จันตาเดินเข้าใกล้เนื้อนาง แกล้งทำเป็นเห็นใจมาก
“คุณณไตรเค้าก็ลำบากใจ ถ้าต้องบอกเธอตรงๆ”
“บอก...บอกอะไร”
จันตาล้วงการ์ดสีชมพูหวานจ๋อยออกจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้ตรงหน้า เนื้อนางรับมา
“เธออ่านหนังสือออกนี่ เปิดสิ...อ่านเอาเองเถอะ”
เนื้อนางค่อยๆ เปิดซอง ไล่สายตาไปที่ด้านบนสุดของการ์ดสีชมพู เห็นรูปหัวใจ มีชื่อ ณไตร กับ แขไข เกี่ยวกันไว้อยู่คนละด้าน เห็นแค่นั้นหัวใจเนื้อนางก็แทบจะหยุดเต้น น้ำตาเอ่อขึ้นมา
“คุณณไตรเค้าไม่อยู่หรอก เค้าลงไปบางกอก ไปตระเวนแจกการ์ดแต่งงานกับคุณแขไข”
จันตาลอบยิ้มร้าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำแววตาสงสารเนื้อนางเสียเต็มประดา
“หนานไตรจะแต่งงานกับคุณแขไข”
สิ้นเสียงอันปวดร้าวที่เอ่ยออกมา น้ำตาของเนื้อนางหยดรินรดลงอาบแก้มทันที
หนานไตรเดินไปเดินมาว้าวุ่นใจเรื่องเนื้อนาง ธรรพ์เดินออกมาจากห้องแม่นายศรีวัลลาด้านใน
“แม่นายเป็นยังไงบ้าง ธรรพ์”
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วครับ”
ธรรพ์มองเห็นสีหน้าว้าวุ่นใจของพี่ชายแล้วเตือนขึ้น
“พี่น่าจะไปดูแม่นายหน่อยนะครับ แม่นายคงดีใจที่เห็นพี่” หนานไตรมองหน้าธรรพ์นิ่งๆ “พี่คงไม่ห่วงแต่เรื่องเนื้อนาง”
“แม่นายมีทุกคน มีฉัน มีนายอยู่ใกล้ๆ แต่เนื้อนาง...ตอนนี้ เวลานี้ เนื้อนางควรอยู่ที่นี่”
แววตาหนานไตรเศร้าลง เมื่อคิดถึงเนื้อนาง
ทิวทัศน์สวยงามตามถนนนอกเมืองไม่ได้ทำให้เนื้อนางเบิกบานขึ้นมาได้เลย เนื้อนางปั่นจักรยานมาตามทางคดเคี้ยว น้ำตานองหน้าจนปั่นต่อไม่ไหว ต้องหยุดรถ ปาดน้ำตาที่กลบตา
เนื้อนางสะอื้นอย่างเจ็บช้ำ คิดถึงคำหงานที่หนานไตรบอกให้รอ
“รอผมอยู่ที่นี่นะครับ เนื้อนาง รอผมมารับ ให้ผมคุยกับแม่นายเรื่องของเรา คุณเชื่อใจผมนะ ยังไงผมก็ไม่แต่งงานกับแขไข”
คิดแล้ว เนื้อนางหยิบการ์ดแต่งงานที่พิมพ์ชื่อหนานไตรกับแขไขออกมามอง
“หัวใจผมเป็นของเนื้อนางคนเดียว ถ้าไม่มีคุณ ชีวิตผมก็ไม่มีความหมายอะไรอีก”
เนื้อนางคิดถึงความหลังแล้วยิ่งสะอื้น
“ตาจ๋า เนื้อนางโง่เอง ทุกคำพูดของหนานไตรมีไว้หลอกผู้หญิงโง่ๆ หนานไตรเค้าไม่ได้รักเนื้อนางเลย”
เนื้อนางฉีกการ์ดทิ้ง กระดาษปลิวกระจายในอากาศ แล้วปั่นจักรยานออกไปด้วยความเจ็บช้ำ
ส่วนทางแม่นายศรีวัลลามองจันตาที่กำลังรายงานด้วยสีหน้าสะใจ
“น้ำตาไหลพรากๆ แทบเป็นสายเลือด ถ้าแม่นายเห็นหน้าเนื้อนางเมื่อกี้รับรองเลยค่ะ ว่าแม่นายจะต้องมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์”
“ขอให้มันไปพ้นๆจากลูกชายฉัน อย่าได้เจอะได้เจอกันอีก”
แม่นายยิ้มลุกลงจากเตียงด้วยความดีใจ ไม่มีท่าทีคนป่วยสักน้อย
หนานไตรเปิดประตูเข้ามา จันตาสะดุ้ง แม่นายไหวตัวทัน รีบทำเป็นเข่าอ่อน ซวนเซ จะล้ม
“ว้าย แม่นาย”
หนานไตรพุ่งเข้ามารับร่างแม่นายไว้ทัน ประคองให้นั่งลง
“โธ่ แม่นายขา ยังไม่หายดี จันตาบอกแล้วอย่าเพิ่งลุก นี่คงจะห่วงเรื่องงานศพพ่อเลี้ยง”
จันตาบีบสุ้มเสียงเป็นห่วงเป็นใย หนานไตรมองแม่อย่างเป็นห่วง
“แม่ครับ ไปหาหมอมั้ยครับ ผมพาไปเอง”
“โชคดีที่ณไตรยังห่วงแม่”
แม่นายทำเป็นค้อน น้ำเสียงประชดอย่างน้อยใจ
“ผมรัก เคารพแม่เสมอนะครับ”
หนานไตรมองแม่นายด้วยสายตาห่วงจริงจัง แม่นายแกล้งอ่อนลง จันตาลอบยิ้ม
“ได้ยินแบบนี้แม่ก็ดีใจ เสียคุณปู่ไป แม่ก็ใจหายเหมือนกัน ณไตรอยู่ใกล้ๆ แม่นะ มีลูกอยู่ แม่จะได้มีกำลังใจ”
แม่นายกุมมือลูกชายไว้ หนานไตรยิ้มอ่อนโยน
“ครับแม่”
หนานไตรกอดศรีวัลลา แม่นายโอบลูกชายตอบ พลางลอบยิ้มกับจันตา สมใจที่ดึงหนานไตรไว้ได้
บนถนนสายเดียวกันนั้น รถยนต์คันหรูของเจ้าแสนพรหม โดยมีแปงขับมากำลังจะลงเนิน ด้านหน้าเป็นเนื้อนางที่สภาพน้ำตานองหน้าปั่นจักรยานเลี้ยวมาจะขึ้นเนิน เนื้อนางมัวแต่ปาดน้ำตาไม่ทันมอง
รถเจ้าแสนพรหมบีบแตรดังลั่น เนื้อนางเหลียวหลังมามองด้วยสีหน้าตกใจ รถยนต์พุ่งเข้ามา รถจักรยานของเนื้อนางล้มลง รถเบรคก่อนถึงร่างเนื้อนางที่ล้มพับไปเพียงคืบ
ประตูรถด้านหลังเปิดออก เจ้าแสนพรหมก้าวลงจากรถอย่างร้อนใจ คนขับรีบตามลงมาจากอีกด้าน
เจ้าแสนพรหมพุ่งเข้ามาดูอาการ มองเนื้อนางที่นอนหมดสติแล้วตะลึงกับความสวย
“นางฟ้า...ตกลงมาจากสวรรค์ชั้นไหน...ตายรึเปล่าวะ”
เจ้าแสนพรหมรีบเข้าไปประคองเนื้อนางที่สลบอยู่ขึ้นมา มองหน้าด้วยสายตาเจ้าชู้
ทางด้านแสงคำเดินเร็วรี่มาจากในปาง คำฝาย กับม่อนดอยยืนรออยู่หน้าเรือน สีหน้ากังวล
“เนื้อนางกลับมาจากบ้านหนานไตรหรือยัง”
“กลับบ้าอะไรล่ะ ไอ้แสงคำ หายไปครึ่งค่อนวันแล้วเนี่ยะ ไม่รู้จะโดนพวกแม่นายมันรุมตบตีอีกหรือเปล่า” คำฝายเล่นงานแสงคำทันที “แกนะแก ปล่อยเนื้อนางไปคนเดียวได้ยังไง”
แสงคำบอก “ฉันจะไปตามหาเนื้อนาง”
“ไปกันให้หมดนี่แหละ” ม่อนดอยว่า
“เออ ไปๆ รีบไปเลย ยังดีกว่ารออยู่แบบนี้
แสงคำนำไปอย่างรีบเร่ง มีคำฝาย ม่อนดอยตามออกไป
ที่ด้านหลังสามคน บุญลือแอบมองอยู่ พอเห็นคำฝาย ม่อนดอย แสงคำวิ่งห่างออกไปไกล บุญลือก็อ้อมมาลอบขึ้นเรือนเนื้อนางทันที
บุญลือขึ้นมาบนเรือน เข้ามาในห้องนอนเนื้อนาง มองไปรอบห้องๆ บุญลือหยิบแบงค์ร้อยที่มัดรวมกัน 20 กว่าใบ สอดไว้ใต้หมอนใบหนึ่ง ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ฝ่ายเนื้อนาง นอนทอดกายไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวสวย ที่ห้องรับแขกในเรือนใหญ่คุ้มแสนเมือง เจ้าแสนพรหมยิ้มย่องขยับเข้าประชิด มองจ้องใบหน้างามงดของสาวชาวไพรด้วยสายตาหลงใหล
“สวยหยาดฟ้ามาดินขนาดนี้ รอดหูรอดตาฉันไปได้ยังไง ละแวกนี้ฉันก็พลิกใต้เสื่อดูหมดทุกบ้านแล้วนะ”
เจ้าแสนพรหมก้มลงแอบจูบแก้มเนื้อนางเบาๆ สัมผัสนั้นทำให้เนื้อนางกะพริบตา กำลังจะฟื้น เจ้าแสนพรหมมองเห็นก็กระเด้งถอยไป ยืนวางมาดภูมิฐาน
“เฮ้ย ฉันคือเจ้าชายกลับชาติมาเกิดว่ะ แค่จูบเดียว นางฟ้าก็ฟื้น”
เนื้อนางมองจ้องท่าทีงวยงง “คุณ ...”
แสนพรหมคลี่ยิ้มสุภาพ “เจ้าชายแสนพรหม เอ๊ย...เจ้าแสนพรหม แล้วนี่ก็คุ้มแสนเมืองของฉัน
“เจ้าแสนพรหม” เนื้อนางนึกทบทวนเรื่องราว “รถคุณชนจักรยานของฉัน”
“ตามจริงแล้ว รถของฉันวิ่งมาถูกทาง จักรยานของเธอตัดหน้า”
เนื้อนางขยับจะลุกขึ้นแต่ลุกไม่ไหว เพราะวิงเวียนเต็มที เจ้าแสนพรหมยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนโยนเต็มที่
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ฉันถือว่ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วกัน เธอหมดสติไป ฉันก็เลยพามาที่คุ้มของฉันก่อน ไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายถึงโปลิศ”
“ขอบคุณนะจ๊ะ เจ้า อย่าเอาผิดเนื้อนางเลยนะ”
เนื้อนางพนมมือไหว้อย่างชาวบ้านที่กลัวเจ้ากลัวนาย
เจ้าแสนพรหมทำทียกมือประคองมือเนื้อนาง แววตาสุภาพเหลือเกิน
“ชื่อเนื้อนางเหรอ...รูปงาม นามเพราะ...สมตัว จริงๆ นะ”
เนื้อนางมองเจ้าแสนพรหมที่กุมมืออย่างตื่นๆ เจ้าแสนพรหมทำเป็นดึงมือออก
“เรียกฉันว่าเจ้าแสนพรหมเถอะ เนื้อนาง อย่ากลัวไปเลย ฉันไม่ได้ถือยศถืออย่างอะไร ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ม้ากมาก จริงๆนะ”
เนื้อนางมอง เห็นเจ้าแสนพรหมที่ยิ้มหล่อ ดูอบอุ่นเป็นสุภาพบุรุษมาก ก็หลงวางใจ
ขณะเดียวกัน ภายในห้องหนึ่งบนเรือนหลังเล็กในอาณาบริเวณเดียวกัน แลเห็นประกาย เมียเก็บคนที่ 3 ของเจ้าแสนพรหม แต่งตัวสวยเฉี่ยว กำลังฉีดน้ำหอมอยู่หน้ากระจก
“ว่ายังไงนะ นังบัวติ๊บ แกพูดใหม่อีกทีสิ เจ้าแสนพรหมไปฉกผู้หญิงที่ไหนมาอีก”
บัวติ๊บ แม่บ้านของคุ้ม จีบปากจีบคอรายงาน
“แม่หญิงที่ไหนบ่ฮู้ สวยขนาด”
ประกายวางขวดน้ำหอม ลุกขึ้นวางมาดเย่อหยิ่ง
“แกมันขี้จุ๊ ไม่มีหร้อก ผู้หญิงที่ไหนที่จะสวยกว่า ประกาย เมียของเจ้าแสนพรหม”
ประกายเชิดหน้า เดินกรีดกรายออกไปโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ บัวติ๊บรีบตามออกไป
ประกายก้าวออกมาจากห้อง เจอเอื้องเดือนเมียเก็บคนที่ 1 พิมพาเมียเก็บคนที่ 2 ออกมาจากห้องของตัวเองเหมือนกันๆ
เอื้องเดือน กับ พิมพา มองจ้องประกาย
เอื้องเดือนถามขึ้น “แกจะไปไหน นังประกาย”
“แล้วแกล่ะ นังเอื้องเดือน นังพิมพา”
“คนของฉันมาบอกว่าเจ้าเอาผู้หญิงคนใหม่เข้ามา” พิมพาว่า
“พวกกระต่ายตื่นตูม”
ประกายมองหมิ่น บัวติ๊บที่ตามมาหัวเราะชอบใจที่ได้ยุแหย่จนทุกคนทะเลาะกัน
“ถ้าไม่ใช่กระต่าย แกก็อยู่ที่นี่สิ” เอื้องเดือนโต้
ประกายค้อนขวับทันที “เจ้าเรียกฉันไปหาย่ะ”
“เจ้าก็เรียกฉันเหมือนกัน” พิมพาว่า
เอื้องเดือนบอก “เจ้าเรียกฉันคนแรก”
“ไม่จริง แกสองคนน่ะ น้ำพริกถ้วยเก่า เจ้าจะเททิ้งก็เวทนา ต้องชั้นสิ คนใหม่ สวย ชิมไม่เบื่อ กลับเข้าห้องแกเลยไป้...นังจิ้นเน่าสองชิ้น”
ประกายรีบลงเรือน แต่เอื้องเดือน กับ พิมพาไม่ยอม แย่งลงไปด้วย
เมีย 3 คนของเจ้าแสนพรหมที่พากับเบียดลงจากเรือน มุ่งหน้าไปทางเรือนใหญ่ทันที
ฟากเจ้าแสนพรหมกำลังมองเนื้อนางที่พยายามจะลุกเดินออกไปด้านนอก
“เดี๋ยวๆ เนื้อนางจะไปไหนจ๊ะ”
“เนื้อนางต้องกลับปางจ้ะ เนื้อนางต้องจัดการงานศพตาให้เรียบร้อย”
เจ้าแสนพรหมมองด้วยสายตาซาบซึ้ง “โถ...กตัญญูเหลือเกิน น่าสรรเสริญ จริงๆนะ”
แปงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา พูดขึ้นส่งสัญญาณให้เจ้าแสนพรหมรู้
“มากันแล้วครับ”
แปงทำหน้าตาน่ากลัวมองไปทางนอกบ้าน
เจ้าแสนพรหมรู้ทันทีว่าหมายถึงเมีย 3 คน ก็รีบหันมาวางมาดภูมิฐานกับเนื้อนาง
“เนื้อนางจ๊ะ ฉันเอ็นดูเธอเหลือเกิน เอาอย่างงี้ ฉันรู้ว่าเธอรีบ ให้คนของฉันไปส่งที่บ้านนะจ๊ะ เผื่อวันหลังมีอะไรฉันจะได้ไปเยี่ยมเยียน”
เนื้อนางยิ้ม “เจ้าเมตตาเนื้อนางเหลือเกิน”
เจ้าแสนพรหมแตะไหล่เนื้อนางอย่างสุภาพ
“ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ จิตใจกรุณา เมตตา อุเบกขา แรงนัก จริงๆนะ ชอบช่วยเหลือคนเค้าไปทั่ว ไม่ได้คิดจะมีบุญคุณอะไรเลย เนื้อนางจ๊ะ ถ้าเนื้อนางลำบาก ขอให้เนื้อนางนึกถึงฉัน นึกถึงคุ้มเจ้าแสนพรหม รีบไปเถอะจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเราต้องได้เจอกันอีก”
เนื้อนางไหว้ขอบ คุณแสนพรหมละมือจากไหล่เนื้อนาง ส่งสัญญาณให้แปง
แปงรีบนำเนื้อนางออกไปทางด้านหลังคุ้ม เจ้าแสนพรหมมองตามตาละห้อย
พอเนื้อนางลับตัวไปชั่วอึดใจ ประกายเดินยื้อแย่งมาที่ด้านหน้าประตู ปัดเอื้องเดือนกับพิมพาที่พากันแย่งมาเสนอหน้า
“เจ้าขา ประกายมาแล้วค่ะ”
เจ้าแสนพรหมหันไป ประกายวิ่งหน้าเริดมาหา ตามด้วยเอื้องเดือน พิมพา สามเมียมาถึงประกายพุ่งเข้ากอดซ้ายเจ้าแสนพรหม เอื้องเดือนกอดขวา พิมพามาหลังสุด กอดขานัวเนีย
“ไหนคะ ไหนคะ ใครมันว่าเจ้าเอาผู้หญิงคนใหม่ เข้ามาในคุ้ม”
“ใครมันช่างฟ้อง ฉันจะตบปากแหกถึงหู” เจ้าว่า
บัวติ๊บที่ตามมาหลังสุด ได้ยินก็สะดุ้ง หลบเลี้ยวไปอีกทางหนีหน้าเจ้า
“นังบัวติ๊บน่ะสิคะ มันหาว่าเจ้าจะเอาเมียใหม่เข้ามาในคุ้ม ประกายไม่ยอมนะคะ”
ประกายผลักเอื้องเดือน ยื่นขาแกว่งไปเตะพิมพารวบเจ้าแสนพรหมมากอดไว้แน่นคนเดียว
“ไหนเจ้าว่ารักประกายที่สุด ประกายจะเป็นเมียคนสุดท้ายของเจ้า”
เอื้องเดือน พิมพาจะเข้ามาหาเจ้าแสนพรหม ประกายไม่ยอมจับหน้าเจ้าแสนพรหมมาใกล้ ให้มองตัวเองคนเดียว
“บอกสิคะ ว่าเจ้ารักประกายที่สุด”
ประกายทำท่าปูไต่ลงบนอกเจ้าแสนพรหมที่ตอนนี้แววตาซุกซนสุดๆ
“รักคนเดียว”
ประกายยิ้มเชิด เจ้าแสนพรหมเปลี่ยนเสียง
“แล้วก็...เดี๋ยวเดียวด้วย”
เจ้าแสนพรหมผลักประกายไปพ้นหน้า เอื้องเดือน พิมพาหัวเราะเยาะประกาย
“ไม่ยอมนะ ประกายไม่ยอม”
เจ้าแสนพรหมเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุ
“ไม่ยอมอะไร จำใส่กะลาหัวไว้เลยนะ ว่าพวกแกมันเมียขัดดอก พ่อแม่เอามาล้างหนี้กับชั้น”
สามเมียทำหน้าตาฮึดฮัดไปมา เถียงไม่ออก
“ฉันจะพาเมียอีกกี่คนเข้ามาในคุ้ม มันก็ความพอใจของชั้น อย่าได้เสนอหน้ามาห้าม! เดี๋ยวปั้ด หลังแหวน หลังเท้า”
เจ้าแสนพรหมเงื้อมือ ยกเท้าจะเตะ สามเมียกรี๊ดกร๊าด เอื้องเดือน พิมพารีบหลบหลังประกาย
ดันเอาประกายขึ้นหน้า
เจ้าแสนพรหมทำท่าจะตบตีสามเมีย คนละบุคลิกกับที่แสดงต่อหน้าเนื้อนางโดยสิ้นเชิง
เนื้อนางกลับมาถึงปาง เจอคำฝาย ม่อนดอย แสงคำยืนกันอยู่หน้าทางเข้า สามคนสีหน้ากังวลเพราะยังหาเนื้อนางไม่เจอ คำฝายหันมาเห็นเนื้อนางก็เรียกออกมาอย่างดีใจ
“เนื้อนาง เนื้อนางกลับมาแล้ว”
สามคนวิ่งเข้าไปหาเนื้อนางด้วยความดีใจ
“หายไปไหนมาเนื้อนาง รู้มั้ยอ้ายเป็นห่วง”
“แล้วเจอหนานไตรมั้ย พวกแม่นายทำอะไรตั๋วหรือเปล่า”
คำฝายจับเนื้อนางหมุนวนรอบตัวดูว่าถูกทำร้ายไหม เนื้อนางหน้าเศร้าลง
“อย่าพูดถึงหนานไตรอีก”
คำฝายงง “อะไร หนานไตรทำอะไรตั๋ว”
“เนื้อนางบอกว่าอย่าพูดชื่อนี้อีก”
สามคนตกตะลึงที่เห็นเนื้อนางเสียงแข็ง เนื้อนางมองเมินไปทางอื่น พยายามกลั้นน้ำตา
“หนานไตรกำลังจะแต่งงานกับคุณแขไข”
สามคนตกใจ แสงคำอุทานออกมาด้วยความแค้น
“ไอ้ชั่วหนานไตร”
“ไม่จริง หนานไตรรักเนื้อนาง” ม่อนดอยยังไม่เชื่อ
“เค้าไม่ได้รักเนื้อนาง เค้าหลอกว่ารัก ทุกอย่างที่หนานไตรทำ คือความหลอกลวง
เนื้อนางสะบัดหน้าวิ่งหนีทุกคน สามคนรีบวิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง
เนื้อนางวิ่งหนีมาถึงหน้าเรือน เจอรัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้ากับคนงานหลายคนยืนอยู่ คำฝาย แสงคำ และม่อนดอยเดินมายืนข้างเนื้อนาง
“มาแล้วเหรอ นังขี้ขโมย” รัญจวนเอ่ยขึ้น
“ใครขี้ขโมย อย่ามาหาเรื่องฉันนะ” เนื้อนางฉุน
“ตีหน้าสวย หน้าซื่อเก่งนักนะ แกน่ะมันขี้ขโมย เงินเดือนคนงานที่คุณบุญลือ ผู้จัดการสุดคมเข้มคนใหม่เก็บไว้ หายไป” กำปุ้งบอก
สร้อยฟ้าเสริม “คุณบุญลือก็เลยให้ค้นทุกบ้าน พวกฉันกับชาวบ้านมาช่วยกันค้นที่นี่”
รัญจวนชูแบงค์ร้อย 20 ใบเป็นปึกขึ้นมา
“เราเจอไอ้นี่ เงินปึกนี้ทั้งปึกในเรือนแก พวกชั้นไม่ได้กลั่นแกล้งแน่นอน ทุกคนเป็นพยานได้”
แสงคำตวาด “ปากชั่ว”
“ไม่รู้ซีนะ ลองขโมยหนานไตร แฟนคุณแขไขได้ อย่างอื่นมันจะขโมยยากอาไร้” สร้อยฟ้าลอยหน้าลอยตา
จากนั้นแก๊งรัญจวนกรีดเสียงหัวเราะ
“อีปากแบบนี้ มันไม่ตายดีแน่”
คำฝายพุ่งเข้าไปทางสร้อยฟ้า กำปุ้งจับคำฝายเหวี่ยงกลับไปทางพวกเนื้อนาง
“แกนั่นแหละที่จะตายเป็นศพอนาถา ถ้าเมื่อไหร่คุณบุญลือตัดสินความนังเนื้อเน่า”
ม่อนดอยเอ่ยขึ้น “เนื้อนางอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่มีนิสัยขี้ขโมย ทุกคนก็รู้”
“ตอนนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนี่ยะ หวังจะเป็นคุณนายปาง สุดท้ายฝันค้างแต่งงานได้ไม่ทันไร”
ขาดคำของแม่ครัวขี้อิจฉา 3 คนร้องประสานเสียงออกมาว่า
“ผัวฉันหาย...”
เนื้อนางหน้าชาด้วยความอาย คำฝายอยากจะเข้าไปตบ พวกรัญจวนที่ลอยหน้าอยู่นั่น
ทุกคนอยู่บนเรือนสำนักงานตอนกลางวัน วันนี้ พร้อมหน้า บุญลือยืนท่ามกลางสองฝ่าย ที่เผชิญหน้ากัน
“ตามกฎของปาง โทษหนักสุดของคนขี้ขโมย คือ...”
เนื้อนางมองบุญลือ กับพวกรัญจวนที่ลอยหน้าลอยตาใส่
“ไล่มันค่ะ คุณบุญลือ”
3 คนประสานเสียง “ออกไป ออกไป ออกไป”
“ฉันยืนยันได้ เนื้อนางไม่ใช่คนขี้ขโมยอย่างที่ปากหมาสามตัวนี่มันใส่ความ” ม่อนดอยบอก
“มันพวกเดียวกันค่ะ คุณผู้จัดการคนใหม่” สร้อยฟ้าว่า
คนงานพากันมอง 3 คนตะโกน ไล่มัน ออกไป สุดท้ายเนื้อนางพูดขึ้น
“ไม่ต้องไล่ ถ้าจะตัดสินกันง่ายๆ ไม่มีความยุติธรรม ฉันก็ไม่ขออยู่ที่นี่อีก”
“เนื้อนาง”
“ไม่ต้องกลัวหรอกพี่คำฝาย มีสมอง มีสองมือ ไม่มีวันอดตาย ที่ไหนเค้าไม่ต้องการ เราก็อย่าทนอยู่”
เนื้อนางหันไปทางบุญลือ
“ขอแค่จัดการงานศพตาเสร็จ ฉันจะไปจากที่นี่ ไม่ต้องให้ใครมาไล่อีก”
สร้อยฟ้าตะเพิดคำฝาย “ไสหัวแกไปด้วยนะนังคำฝาย”
“กูไปแน่ ขืนอยู่ มีหวังได้ฆ่าไอ้พวกกิ้งก่าเปลี่ยนสีตายคามือ”
“แกล่ะ อ้ายแสงคำ หอบผ้าหอบผ่อนตามไปด้วย ประสาสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ใช่มั้ย” กำปุ้งลอยหน้าหยาม
แสงคำไม่พูดไม่ตอบ ตรงเข้าไปชกกำปุ้งเต็มหมัด กะเทยดอยหน้าหงายลงไปชักกระแด่วๆ ดิ้นกับพื้น รัญจวน กับสร้อยฟ้าวี้ดว้าย วิ่งหลบหลังบุญลือพัลวัน บุญลือจ้องแสงคำ
“มึงแค่คนงาน อย่าอันธพาล”
เนื้อนาง คำฝาย และม่อนดอยรีบดึงห้ามแสงคำ
“จำไว้ คนอย่างพวกกู ไม่เคยขโมยของใคร ไม่เคยตลบแตลง ปลิ้นปล้อนหลอกลวงใคร อย่าหยามน้ำใจ อย่าคิดว่าจะข่มเหงกันยังไงก็ได้ เพราะกูก็มีมือมีเท้า รู้จักเจ็บรู้จักแค้นเหมือนกัน”
แสงคำคำราม พวกรัญจวนพากันหลบไปใกล้บุญลือ
เนื้อนางกับพวกมองจ้องบุญลือ ด้วยสายตาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ทนอยู่อีกแล้ว
ทางด้านณไตรทิ้งตัวลงนั่งลงตรงระเบียงอย่างเหนื่อยล้ากับงานศพที่ผ่านไปแต่ละค่ำคืน แขไขยื่นถ้วยชามาตรงหน้า ณไตรหันมามอง
“จะปฏิเสธความห่วงใยของแขอีกใช่มั้ยคะ”
“ขอบคุณครับ”
หนานไตรยิ้มขอบคุณ แล้วรับถ้วยชามาดื่มอย่างรักษามารยาท แขไขยิ้มมองสีหน้ามีความสุข
“คุณปู่เป็นที่รักของคนที่นี่เหลือเกิน แขชื่นใจแทนพี่ไตร หิมวัตมีทั้งชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้”
“เกียรติเกิดจากความจริงใจ ความทุ่มเทที่เราอยากให้คนอื่นมีความสุข ไม่เอาเปรียบใคร เงินทองทุกบาททุกสตางค์คุณปู่ท่านทำงานหนัก เก็บสะสมไว้ ผมที่เป็นหลานก็สมควรจะรักษาไว้ให้ดีมากยิ่งขึ้น”
“พี่ไตรไม่อยากลงไปทำธุรกิจที่พระนครบ้างเหรอคะ”
“ไม่ครับ ผมรักที่นี่”
“คงจะรักมากโดยเฉพาะปางไม้ของคุณปู่” หนานไตรหันมอง แขไขหน้าเชิด “แขเห็นพี่ไตรทุ่มเททำงานที่ปางไม้ ลมหายใจเข้าออก ก็คิดถึงแต่ที่นั่น”
“ถูกแล้วครับที่ทุกลมหายใจเข้าออก ผมจะคิดถึงปางไม้ เพราะหัวใจผมอยู่ที่นั่น”
“แล้วที่นั่งอยู่ตรงนี้น่ะ อะไรคะ ซากพี่ไตรหรือคะ แขไม่เข้าใจ เมื่อไหร่พี่ไตรจะลืมเนื้อนาง”
“ไม่มีวันหรอกครับ เพราะเนื้อนางคือภรรยาของผม”
แขไขเยาะหยัน “เมียที่ไม่มีใครยอมรับ”
“สำหรับความรัก แค่ผมคนเดียวยอมรับว่าเนื้อนางเป็นเมีย ก็พอแล้วไม่ใช่หรือครับ”
หนานไตรวางถ้วยชา มองแขไขด้วยแววตาเรียบนิ่ง มีอำนาจ
“ขอบคุณที่คุณแขห่วงใยผมมาตลอด แต่คนอย่างผม ไม่ว่าจะเป็นหนานไตร หรือ พ่อเลี้ยงณไตร ผมก็ยังยืนยันว่า ไม่มีใครจะเปลี่ยนหัวใจผมไปจากเนื้อนาง ภรรยาที่รักของผมได้”
หนานไตรพูดแล้วเดินออกไป แขไขกำมือ ตัวสั่นด้วยความโกรธ
“เนื้อนาง ฉันนี่แหละจะลบชื่อแกไปจากใจพี่ณไตร”
คืนเดียวกันนั้น เนื้อนางนั่งอยู่บนเรือนกับคำฝาย สีหน้าหมองเศร้าที่ต้องไปจากเรือนของตาหลังนี้ แสงคำกับม่อนดอยอยู่หน้าชานเรือน
“เสร็จงานศพตา เนื้อนางจะไปจากที่นี่ทันที”
“แกไม่ต้องไปด้วยหรอกนะ ไอ้ม่อนดอย อยู่รับใช้ผู้จัดการคนใหม่ไป”
“ไม่ล่ะ มาไม่ทันไรก็หาเรื่องกันอย่างนี้ อยู่ไปฉันก็ต้องโดนถีบกระเด็นออกไปอยู่ดี” ม่อนดอยบอก
เนื้อนางมองแสงคำ ควาญหนุ่มยิ้มให้
“ไม่ต้องถามอ้ายหรอก เนื้อนางอยู่ที่ไหน อ้ายก็อยู่ที่นั่น”
“เออดี หมาหัวเน่า 4 ตัว ไปพร้อมๆ กัน ว่าแต่ปางไหนเค้าจะรับเราทั้งหมดล่ะ” คำฝายกังวล
“เนื้อนางมีที่อยู่จ้ะ มีคนช่วยเราได้”
“ใครน่ะ เนื้อนาง ไว้ใจได้หรือเปล่า”
“ไว้ใจได้จ้ะ เนื้อนางจะพาพวกเราไปขออาศัยเค้า”
ม่อนดอยทักท้วง “เนื้อนาง คิดดีแน่แล้วนะ รอหนานไตรอีกหน่อยมั้ย”
คำฝายโมโห “เอ๊ะ ไอ้ม่อนดอย ก็เนื้อนางพูดอยู่ว่าไอ้หนานไตรมันจะไปแต่งงานกับนังผู้ดีแขไข แกจะให้เนื้อนางรอมันทำไมอีก อย่าให้เจอหน้านะ แม่จะตบๆๆให้สมความเลวที่มันมาหลอกเนื้อนาง”
“ช่างเค้า พี่คำฝาย เนื้อนางโง่เองที่เชื่อหนานไตร ตาเตือนเท่าไหร่ เนื้อนางก็ดื้อ ดื้อแล้วมันก็ต้องเจ็บอย่างนี้ เจ็บให้จำจนวันตาย”
ทุกคนมองเนื้อนางเห็นแต่แววตากล้ำกลืนและความเจ็บช้ำ
ณไตรตื่นมาตอนเช้า ยืนอยู่ในสวนสวย มองออกไปลิบตา เหมือนจะส่งใจไปถึงเนื้อนางที่อยู่ไกล
ธรรพ์มองพี่ชายจากด้านหลังด้วยแววตาสงสาร ณไตรหลับตาลงคิดถึงเวลาที่ได้ใกล้ชิดเนื้อนาง
สีหน้าวาดหวังว่าจะได้กลับไปกอดเนื้อนางอีกครั้ง
แดดอ่อนๆ ยามเช้า ส่องมายังร่างเนื้อนางที่ยืนอยู่ในเรือนหอต้นไม้ เนื้อนางมองไปด้านใน คิดถึงวันเวลาที่เคยมีหนานไตร เนื้อนางน้ำตาร่วง ก่อนจะปิดประตูห้องลง ปีนช้าๆ ลงบันได หันหลังเดินออกจากเรือนห่างออกไปทุกทีๆ ราวกับต้องการจะทิ้งความหลังทุกเรื่องไว้ที่นี่
คำฝาย ม่อนดอย เดินนำมา แสงคำเดินข้างเนื้อนาง ทุกคนมีห่อผ้า กระเป๋า ชะลอมพะรุงพะรังรัญจวน กำปุ้ง และสร้อยฟ้ายืนดักรอหาเรื่องอยู่แล้ว สามคนพอเห็นพวกเนื้อนางเดินมาก็พนมมือ
“ไปแล้วไปลับ” รัญจวนเปิด
สร้อยฟ้าตาม “ไปไม่ต้องกลับ”
กำปุ้งตบท้าย “ไปสู่ที่ชอบๆ”
3 คน ประสานเสียงสวดส่งศพ “อกุศลา ธรรมา...”
บุญลือเดินมามองทั้ง 2 กลุ่ม
“ก่อนไป ขอตบปากเรียงตัวหน่อยเถอะ” คำฝายทั้งท่าทั้งที่ของเต็มมือ
รัญจวนท้า “เข้ามาซี้ อยากจะฝากรอยมือไว้ที่หน้าเอ็งเหมือนกัน”
“พอๆ คำฝาย พระท่านว่า หมากัดอย่ากัดตอบ”
“ไม่ต้องกัดหรอก เตะเรียงตัวเลยดีกว่า”
พวกรัญจวนรู้ดีว่าแสงคำเอาจริง ก็พากันถอยห่างสองสามก้าว
“ขอให้โชคดี มีผัวใหม่อุปการะเร็วๆ นะยะ เนื้อนาง” รัญจวนหยามส่ง
“อุ๊ย คุณพี่ขา เนื้อนางมันมีผัวสำรองอยู่แล้วล่ะค่ะ กล้ามแน่น แต่โง่เป็นแรดนั่นไงคะ ไอ้ถึก”
สามคนทำเป็นมองไปที่แสงคำ แล้วหัวเราะคิก ไม่ทันระวัง เนื้อนางพุ่งเข้าไปตบปากรัญจวนดังเผียะ กำปุ้ง สร้อยฟ้าตกใจ แสงคำ คำฝาย ม่อนดอย กำหมัดพร้อมลุยทันที
“สำหรับปากชั่วๆของแก รัญจวน เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า คิดแต่เรื่องต่ำๆ ฉันจะเป็นตายร้ายดียังไง แกไม่ต้องรอสมน้ำหน้า เพราะชั้นต้องไปได้ดีกว่าที่แกคิด”
เนื้อนาง คำฝายกราดสายตาตามองทั้ง 3 คนอย่างไม่กลัว
“นกแสกลิ้นสองแฉกอย่างพวกแก ระวังตัวให้ดีเถอะ วันไหนสอพลอนายใหม่ไม่เข้าหู ระวังจะกระเด็นออกไปไม่มีที่ซุกหัวนอน” คำฝายด่า
เนื้อนางสะบัดหน้าเดินนำออกไป คำฝายหัวเราะสะใจดังลั่น ตามเนื้อนางออกไปอีกคน
ม่อนดอยกับแสงคำมองจ้องขู่ สามคนไม่กล้า ได้แต่เต้นเร่าๆมองเนื้อนางกับพวกที่ออกไปจากปาง
“ฉันจะแช่งแก เนื้อนาง แช่งทุกวันทุกคืน”
“ยิ่งแช่งมันจะยิ่งได้ดีกว่าเราหรือเปล่าคะ คุณพี่”
รัญจวนหันไปตบปากกำปุ้งแทน บุญลือมองพวกเนื้อนางออกไปด้วยสายตาพึงพอใจ
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทั้ง 4 คนเดินกันมาที่หน้าทางเข้าปางแล้ว มีข้าวของพะรุงพะรัง เนื้อนางเดินนำทุกคน
“ที่ปางใหม่ เค้าจะรับคนงานพร้อมกัน 4 คนเลยเหรอวะ แสงคำ”
“ต้องรับสิ ถ้าไม่รับเราทั้งหมด ฉันก็ไม่ทำงานให้หรอก” แสงคำว่า
คำฝายหันไปมองเนื้อนาง
“เนื้อนาง ตั๋วยังไม่บอกเลยว่าจะพาเราไปหาใคร”
“เนื้อนางจะพาเราไปหาเจ้าแสนพรหมจ้ะ”
สามคนมองหน้ากันงงๆ ไม่เคยได้ยินชื่อ แววตาเนื้อนางเชื่อมั่นว่าเจ้าแสนพรหมจะเป็นที่พึ่งได้
ขณะที่เจ้าแสนพรหมกำลังนอนเอกเขนกหลับสบายอยู่บนเรือนใหญ่ เสียงกรนดังสนั่น แปงวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่น
“มาแล้วเจ้า มาแล้ว”
เจ้าแสนพรหมตกใจลุกพรวด ผ้าแพรเกือบหลุด คว้าไว้แทบไม่ทัน
“อะไรไอ้แปง เมียแก่กูตายเหรอวะ แหกปากซะลั่น”
“เนื้อนางมาหาเจ้าครับ รออยู่ที่รั้ว”
“เนื้อนางคนงาม แล้วเอ็งจะให้เค้าตากแห้งอยู่ริมรั้วหรือไง ไอ้นี่ ก็รีบพาเข้ามาสิวะ ข้าอยากจะกอดรับขวัญร่างน้อยๆ สั่นระริกๆ เต็มทีแล้ว”
“มากัน 4 คน ครับเจ้า มีผู้ชายด้วย 2 คน”
เจ้าแสนพรหมฉงน “ผัวหรือเปล่า”
“ไม่รู้ครับ”
“คุ้มข้าไม่ต้อนรับผู้ชาย เอาเข้ามาแต่ผู้หญิง”
เจ้าแสนพรหมสั่งเสียงเข้ม ด้วยแววตาหื่นกระหาย
เนื้อนาง คำฝาย และแสงคำ รวมทั้งม่อนดอยยืนอยู่หน้าประตูรั้ว แปงยืนอยู่ตรงข้าม
“เจ้าบอกว่าให้เนื้อนางกับนังหน้าตาแปลกคนนี้เข้ามาได้”
เนื้อนางดีใจเดินนำ คำฝายเดินตาม ม่อนดอยกับแสงคำจะตาม แปงรีบกั้นมือห้าม
“ผู้ชายห้ามเข้า”
ม่อนดอยฉุนนิดๆ “อะไรล่ะ น้า...ก็มาด้วยกัน”
แสงคำบอก “ฉันต้องอยู่กับเนื้อนาง”
“ที่นี่มีคนงานผู้ชายเยอะแล้ว เจ้าท่านอยากสอบถามเนื้อนางให้รู้เรื่องก่อน” แปงบอก
เนื้อนางยิ้มบอก “สองคนนี้ไว้ใจได้จ้ะ เป็นเพื่อนเนื้อนาง”
แปงตัดบท “ไปคุยกับเจ้าเองแล้วกัน”
“ให้ข้าเข้าไปด้วย” แสงคำฮึดฮัด
แปงขู่ “ไม่ได้ ถ้าเรื่องมาก ก็ออกไปให้หมดเลย”
เนื้อนางสีหน้าไม่ดี คำฝายรีบบอก
“เอาอย่างงี้ เอ็งสองคนไปหาที่นอนคืนนี้ก่อน ไม่ต้องห่วงเนื้อนาง มีข้าอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัว”
เนื้อนางเสริม “อ้ายแสงคำ ม่อนดอยไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เจ้าแสนพรหมเป็นคนดี เดี๋ยวเนื้อนางจะขอให้เจ้ารับอ้ายแสงคำกับม่อนดอยมาทำงานที่นี่ด้วย”
แปงหันไปมองคนงานเป็นเชิงสั่ง คนงานดึงประตูเล็กจะปิด
“เนื้อนาง พรุ่งนี้อ้ายจะมาหานะ”
แสงคำมองเนื้อนางกับคำฝายที่อยู่ด้านใน
“จ้ะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางจะรอ”
คนงานปิดประตูคุ้มลง กั้นสายตาแสงคำกับม่อนดอยออกจากเนื้อนาง และคำฝาย
ม่อนดอยกับแสงคำมองไปด้านใน
“ทีนี้เหลือเอ็งกับข้า รีบไปสมัครงานที่ปางใหม่กันก่อน เดี๋ยวจะมืดค่ำ”
“ข้าไม่อยากแยกจากเนื้อนาง”
“ปางใหม่ จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ให้เนื้อนางกับคำฝายอยู่ในคุ้มใหญ่โตเนี่ย มันน่าจะปลอดภัยกว่านะ”
แสงคำฟังม่อนดอยแล้ว สีหน้ายังไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเป็นห่วงเนื้อนาง
เนื้อนางกับคำฝายเดินตามแปงเข้ามาหยุดอยู่ในเรือนใหญ่ คำฝายมองความใหญ่โตของคุ้มอย่างตื่นตา
“ตายแล้ว เนื้อนาง ตั๋วไปรู้จักเจ้าแสนพรหมตอนไหน คุ้มใหญ่ขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกเลย เจ้าท่านจะต้องสืบสายตระกูลมาจากขุนนางเก่าแก่ ต้องสูงใหญ่ หล่อล่ำปานเทพบุตร”
เจ้าแสนพรหมเดินวางมาดเท่ออกมา คำฝายเห็นแล้วอึ้ง
“เทพบุตร! ทำไมตัวกุดเหลือแค่นี้”
คำฝายอ้าปากค้าง เจ้าแสนพรหมเดินมาดันคางให้คำฝายปิดปาก
“นี่ใคร ขี้เหร่แล้วยังตาเซ่อ มองไม่เห็นรูปทองของฉัน”
เจ้าแสนพรหมตวัดสายตามองคำฝายอย่างไม่ชอบขี้หน้าเท่าไหร่ เนื้อนางรีบบอกเจ้าอย่างเกรงใจ
“พี่คำฝาย พี่สาวเนื้อนางเองจ้ะ เจ้า”
เจ้าแสนพรหมมองสำรวจคำฝาย “คงจะไม่ใช่พ่อแม่เดียวกันละสิ ถึงอัปลักษณ์ผิดพี่ผิดน้องขนาดนี้”
“แหม ก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น มีดีซ่อนๆ อยู่บ้างเหมือนกันนะ”
“เราโตมาด้วยกันจ้ะ”
เนื้อนางรีบสะกิดคำฝายให้หยุดพูดเพราะกลัวเจ้าแสนพรหมโกรธ คำฝายถึงกับพนมมือ ทรุดนั่ง
“คำฝายกราบขอประทานโทษเจ้าแสนพรหม คำฝายมีตาหามีแววไม่ เจ้าช่างเปรียบดั่งเจ้าชายลอยละลิ่วลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า”
เจ้าแสนพรหมบ้ายอเข้าขั้น ปรายตามองคำฝาย
“หน้าตาพอดูได้ขึ้นมานิดนึงละ”
เนื้อนางทรุดลงนั่งข้างคำฝาย “เนื้อนางจะขอมาสมัครเป็นคนงานในคุ้มเจ้าแสนพรหมจ้ะ”
เจ้าแสนพรหมยิ้มกว้าง “รับเลย”
คำฝายส่งเสียงหวาน ชะม้ายตาให้ “คำฝายด้วยเจ้า”
เจ้าแสนพรหมกระชากเสียงใส่ “คิดดูก่อน”
“เนื้อนางกับพี่คำฝายจะขอความเมตตาจากเจ้า เราสองคนหนีร้อนมาพึ่งเย็นจะให้เราทำงานอะไรก็ได้ งานหนักแค่ไหน เราสองคนก็ทำได้จ้ะ”
เจ้าแสนพรหมมองเนื้อนางตาเป็นมัน แต่พยายามรักษาอาการ
“โถ เนื้อนาง จะให้ฉันผลักไสเด็กดีๆอย่างเธอไปได้ยังไง ฉันดีใจมากที่เธอนึกถึงฉันเป็นคนแรก”
“กราบขอบพระคุณเจ้า”
คำฝายว่าพลางก้มลงไหว้ เจ้าแสนพรหมเดินผ่านไปประคองไหล่เนื้อนางขึ้นมายืน คำฝายยิ้มค้าง
“เดี๋ยวฉันจะให้แปงมันพาไปอยู่ที่เรือนเล็ก เอ่อ..ไม่ดี ๆ อยู่เสียที่เรือนใหญ่นี่แหละ ใกล้ๆ ฉัน”
คำฝายกับเนื้อนางมองจ้อง เจ้าแสนพรหมทำเป็นพูดกลบเกลื่อน น้ำเสียงเมตตา
“เรือนนี้ ห้องหับว่างอยู่เยอะ อยู่กันซะที่นี่ จะได้เรียกหากันง่ายๆ”
“ขอบคุณเจ้ามากจ้ะ ถ้าไม่มีเจ้า เนื้อนางกับพี่คำฝายก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร”
เนื้อนางก้มลงไหว้เจ้าด้วยสายตาดีใจ คำฝายกราบพร้อมชะม้ายตาให้
แต่เจ้าแสนพรหมกลับไม่มองคำฝายเลยสักน้อย หันมายิ้มกับเนื้อนางอย่างมีความสุขเป็นที่สุด
ขณะเดียวกัน ที่บ้านหิมวัต ณไตรเดินออกมาจากด้านใน เห็นธรรพ์กำลังยืนดูสมุดรายการสั่งงานอยู่
“ธรรพ์ ฉันเป็นห่วงเนื้อนาง สังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก”
ธรรพ์ยิ้มเย้า “ผมว่าไม่ใช่สังหรณ์ สงสัยจะข้าวใหม่ปลามัน อยากกอดเมียมากกว่า”
“เออ...แกนี่รู้ใจพี่ที่สุด”
ณไตรยิ้ม ธรรพ์ปิดสมุด
“พี่ไปที่ปางเถอะครับ งานศพก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบใจมาก ธรรพ์ นายเป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพี่จริงๆ”
ณไตรกอดน้องเบาๆ แล้วรีบผละออกไป ธรรพ์มองตามพี่ชายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
แขไขเดินออกมา เห็นหลังหนานไตรไวไวก็ถามขึ้น
“พี่ไตรไปไหนคะ”
ธรรพ์หันมาเห็นแขไขก็รีบปฏิเสธช่วยพี่
“ไปหาตุ๊เจ้าที่วัด ปรึกษาเรื่องวันเผาคุณปู่น่ะครับ”
“แน่เหรอคะ”
“แน่สิครับ เดี๋ยวพี่ไตรก็กลับมา”
ธรรพ์ยิ้มไม่มีพิรุธ แขไขมองด้วยสายตาไม่วางใจ
เนื้อนางกับคำฝายตามเจ้าแสนพรหมพามาในห้องนอนห้องหนึ่งบนเรือนใหญ่
“อยู่กันซะที่นี่แหละนะ ใกล้ๆห้องฉัน มีอะไรก็จะได้เรียกหาสะดวกๆ”
“เจ้าจะให้เนื้อนางกับพี่คำฝายทำงานอะไรบ้างจ้ะ”
“ยังไม่ต้องรีบ พักกันให้สบายก่อนเถอะ เนื้อนาง อยู่กันตามสบาย คิดซะว่าเป็นบ้านของเนื้อนางก็แล้วกันนะ”
เนื้อนาง กับคำฝายยิ้มดีใจ เจ้าแสนพรหมมองแล้วทำเป็นถอย ปิดประตูออกไป คำฝายหันมองเนื้อนางทันที
“เหมือนเจ้าแสนพรหมชุบชีวิตใหม่เราเลยนะ” คำฝายทำตาเคลิ้มฝัน “เนื้อนาง พี่ถามจริงๆ พี่เหมาะกับตำแหน่งเจ้านางแห่งคุ้มนี้ใช่มั้ย”
เนื้อนางหัวเราะขำ “เหมาะจ้ะ พี่คำฝายเหมาะที่สุด”
“รับรองนะเนื้อนาง ถ้าพี่ได้ดิบได้ดี พี่คนนี้จะไม่ทอดทิ้งเนื้อนางเลย คิดแล้วก็อยากจะกลับไปหัวร่อนังผีสามป่าช้า รัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้าเหลือเกิน ถ้ามันรู้ว่าเรามาอยู่สุขสบายแบบนี้ มันคงอกแตกตาย”
คำฝายหัวเราะเสียงดัง เนื้อนางยิ้มออก พอมีความสุขขึ้นมาบ้าง
อีกฟาก รัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้าที่พากันถือข้าวของมาหยุดหน้าเรือนสำนักงานตามคำสั่งบุญลือ
“คุณบุญลือ ผู้จัดการคนใหม่ขา รัญจวนขนของมาตามคำสั่งแล้วคร๊า”
บุญลือเดินออกมาจากด้านใน มองรัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้าที่หอบเสื้อผ้า ของใช้พะรุงพะรังติดตัวมา
“จะให้เราย้ายไปอยู่ที่ไหนเหรอคะ ถึงให้ขนของมาวันนี้เลย” สร้อยฟ้าถาม
กำปุ้งยิ้มกริ่ม “สงสัยจะเรือนใหญ่ เพราะว่าเราทำความดีความชอบ ช่วยไล่เนื้อนาง”
สามคนหัวเราะคิกคัก ดีใจล่วงหน้า
“เธอสามคนออกไปจากปางนี้ได้แล้ว”
ขาดคำของบุญลือ 3 คนของหล่นจากมือทันที
“อะไรนะคะ ไล่พวกเราออกจากปางไม่ได้นะคะ” รัญจวนงงเป็นไก่ตาแตก คาดไม่ถึง
“ฉันได้รับคำสั่งมาจากคุณณไตร บอกว่าพวกเธอชอบหาเรื่องทะเลาะ นินทาคนอื่น ขี้เกียจ”
กำปุ้งโวย “ใส่ร้ายป้ายสีพวกเราที่สุด”
“ฉันขอไล่พวกเธอวันนี้เลย” บุญลือบอกอีก
สร้อยฟ้าโวยลั่น “ไม่ได้นะ จะมาไล่ล้างบางกันแบบนี้ไม่ได้นะ”
บุญลือหันไปทางคนงาน
“ลากออกไป คนไหนเรื่องมาก ฟันปากแล้วหมกกลางป่า”
สามคนสยอง ตกใจ คนงานชายพากันเข้ามากระชากแขกสามคนลากออกไป
“คุณบุญลือขา ผู้จัดการคนใหม่แสนดี เห็นใจ สงสารเราเถอะนะคะ อย่าไล่เราไปเลย พวกเราไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน” รัญจวนอ้อนวอน
กำปุ้งสู้แหลกไม่ยอมไป “ไม่ไป กำปุ้งไม่ไป กำปุ้งขอตายที่นี่”
บุญลือหยิบปืนบนโต๊ะทำงานขึ้นมา “งั้นแกได้ตายสมใจ”
กำปุ้ง สร้อยฟ้า รัญจวนแหกปากร้องลั่น วิ่งหนีกระเจิง ชนกันวุ่นวายรีบออกไปจากปางด้วยความกลัวตาย
ขณะนั้นคำฝายกับเนื้อนางเดินออกมา มองไปรอบๆ คุ้ม
“พี่คำฝาย เนื้อนางอยากจะขอเจ้าเรื่องอ้ายแสงคำกับม่อนดอย”
“อย่าเพิ่ง พี่ว่าเราทำงานให้เจ้าไปสักพักก่อน ให้ท่านเห็นว่าเราขยัน ทำงานดี ทีนี้ถ้าเนื้อนางจะขอให้ม่อนดอยกับอ้ายแสงคำมาทำงานที่นี่ เจ้าแสนพรหมท่านก็จะได้อนุญาต”
เนื้อนางฟัง คำฝายหัวเราะระริกระรื่น
“หรือไม่อีกที ก็รอให้พี่เป็นเจ้านาง” สาวทโมนไพรฝันหวานอีก “ซึ่งคงอีกไม่นานเท่าไหร่ พี่ก็จะสั่งให้ราชรถไปรับม่อนดอยกับแสงคำมาอยู่ด้วย”
เนื้อนางขำคิก “ยังไม่มืดสักหน่อย ฝันกลางวันแสกๆ เลยนะ”
คำฝายตีเนื้อนาง แล้วค้อนควักตามประสา
เจ้าแสนพรหมเดินเข้ามา มองเนื้อนางตาเป็นมัน แล้วหาทางให้คำฝายพ้นออกไป
“คำฝาย เห็นบัวติ๊บบ่นๆ ว่าในครัวอยากได้คนช่วยทำกับข้าว...”
เจ้ายังพูดไม่ทันขาดคำ บัวติ๊บวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“เจ้ารอยแก้วกับเจ้าฟ้ามุ่ยอาละวาดอยู่ในห้อง ข้าเจ้าห้ามไม่อยู่แล้ว”
เนื้อนางสงสัย “เจ้ารอยแก้ว เจ้าฟ้ามุ่ย”
บัวติ๊บโพล่งขึ้น “ก็ลูกสาว ลูกชายของเจ้าน่ะสิ”
คำฝายทำท่าราวกับคนหัวใจสลายผิดหวังมาก “เจ้า... เจ้ามีลูกแล้ว”
เจ้าแสนพรหมตวาด “หุบปาก แกไปดูลูกฉันก่อนบุญติ๊บเดี๋ยวฉันตามไป”
บัวติ๊บไม่ขยับมัวแต่จ้องเนื้อนางกับคำฝายด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เจ้าแสนพรหมสั่งซ้ำ
“ไปสิ”
บัวติ๊บจำใจต้องออกไป เนื้อนางมองตาม
“แล้วเจ้านางของเจ้าแสนพรหมล่ะ”
เจ้าแสนพรหมรีบบีบเสียงเศร้า น่าสงสารมาก “ชีวิตฉันอาภัพนัก ภรรยาจากไปด้วยโรคร้าย ทิ้งให้ฉันเลี้ยงลูกทั้งสองคนมาตามลำพัง ฉันไม่เคยคิดจะมีเมียใหม่เลย กลัวลูกจะเป็นเด็กมีปัญหา เหนื่อยยากแค่ไหน ฉันก็ทนได้เพื่อลูก ทั้งลำบาก ทั้งว้าเหว่
เจ้าแสนพรหมหันมาเห็นเนื้อนางมองมาด้วยความสงสาร ส่วนคำฝายนั้นน้ำตาไหลพราก เจ้าแสนพรหมถึงกับสะดุ้ง
ประกายกวาดเสื้อผ้าที่กำลังเลือกลงหมดโต๊ะ หลังได้ยินบัวติ๊บมารายงาน
“ไอ้ผัวสับปลับ ไอ้ผัวกะล่อน คนไหนคลำไม่มีหาง มันก็จะกวาดหมดใช่มั้ย ไหนบอกว่าจะให้ฉันเป็นเมียคนสุดท้าย”
ประกายเท้าสะเอวด่า หมดสภาพชูคอกรีดกราย กลับไปเป็นประกาย นางรำปากกล้าคนเดิม
“คนใหม่นี่...สวยขนาด”
ประกายเตะเสื้อผ้าเฉียดหน้าบัวติ๊บนิดเดียว บัวติ๊บตกใจ
“สวยขนาดไหนก็ตายได้ ถ้าคิดจะมาเป็นใหญ่เหนืออีประกาย จำไว้ บัวติ๊บที่นี่ ที่คุ้มนี้ต้องมีอีประกายที่สวยที่สุดคนเดียว”
ประกายเดินพรวดๆแล่นออกไปด้วยความหึงหวง บัวติ๊บมองตามไปอย่างสะใจ
เนื้อนางเดินเข้าหาคำฝายในสวน ที่ตอนนี้ทำหน้าทำตาผิดหวังมาก
“เจ้านะ เจ้า มีลูกก็ไม่บอก”
“พี่คำฝาย เรื่องของเจ้าเค้านะ เราแค่มาเป็นคนงาน”
“แต่พี่ไม่อยากเป็นคนงาน พี่อยากเป็นเจ้านางแห่งคุ้มหลวง”
คำฝายกระทืบเท้า หน้าตาบูดบึ้ง ผิดหวังสุดขีด เนื้อนางส่ายหน้า ถอยห่าง
ประกายเดินเร็วรี่มาเจอคำฝายที่กระทืบเท้าเร่าๆ หันมาพอดี ประกายมองคำฝายหัวจรดเท้า
“ต๊าย แกเนี่ยนะ ที่เจ้ารับเข้ามาใหม่ หน้าตาอย่างงี้เหรอ ที่เรียกว่า สวย ...สวยเหมือนเพิ่งขุดขึ้นมาจากปลักโคลน”
คำฝายหันขวับมามองประกายเอาเรื่อง
“แล้วแกเป็นใคร คิดว่าสวยกว่าชั้นมากหรือไง”
“พี่คำฝาย อย่า”
เนื้อนางขยับออกมาห้าม พอประกายมองเห็นเนื้อนางเต็มตาก็ตาร้อนผ่าวด้วยความเกลียด
“แกกับขี้ข้าของแกนี่เอง ที่เจ้าพาเข้ามา ใช่มั้ย”
“ขอโทษเถอะจ้ะ ฉันเพิ่งมาทำงานใหม่ ฉันยังไม่รู้จักใคร”
“คนงานเหรอ ไหว้ชั้นสิยะ ชั้นคุณประกาย เมียเจ้าแสนพรหม”
คำฝายตกใจ “เมีย”
ประกายลอยหน้าเย่อหยิ่ง “ย่ะ เมีย! ไหว้สิยะ”
เนื้อนาง กับคำฝายตกใจ
เสียงเอื้องเดือน พิมพามาจากทางด้านหลัง
“ไหว้ฉันด้วย เพราะชั้นก็เมีย”
พิมพาบอกปิดขบวน “ชั้นก็เมีย”
เนื้อนาง คำฝายมองเห็นเอื้องเดือน พิมพา เดินพาเหรดมา ประกายมองสองคนตาวาว
“เมีย นี่ก็เมีย นั่นก็เมีย” คำฝายมองไล่ทีละคน
ประกายย้ำ “นั่นเมียเก่า เมียแก่ แต่ฉัน เมียน้องใหม่คนล่าสุด”
เอื้องเดือนมองมายังเนื้อนาง “สงสัย จะมีล่าสุดกว่า”
สามคนมองเนื้อนางด้วยสายตาริษยา เนื้อนางเห็นสายตาเหล่านั้นแล้วรีบดึงคำฝายหนี
“ฉันสองคนมาทำงาน เป็นคนงาน พวกคุณๆมีอะไรจะสั่ง ก็บอกมาได้เลยจ้ะ”
“เจียมตัวอย่างนี้ก็ดี จำไว้ด้วยว่าฉันคือเจ้านางประกาย เมียใหญ่ของเจ้า” ประกายว่า
เอื้องเดือน พิมพาหันขวับมองประกาย
“ใครอยากมีปัญหา ก็บอก ฉันจะช่วยตบเลาะหนังหน้าให้”
ประกายตวัดสายตามอง เอื้องเดือน พิมพาต้องหยุด ประกายหันมามองเนื้อนาง
“ที่นี่ไม่ชอบคนใฝ่สูง อยากอยู่สบายๆ ก็อย่าเสนอหน้า อย่าทำตัวออดอ้อนออเซาะเจ้าแสนพรหม จำไว้ ผัวของชั้น ไม่ได้มีไว้แบ่งใคร”
ประกายมองขู่ เนื้อนางมองประกายที่จ้องมา แล้วเริ่มรู้สึกถึงความลำบากที่จะต้องเจออีกระลอก
ฝ่ายณไตรวิ่งทะยานเป็นพายุมาถึงหน้าเรือนเนื้อนางแล้ว
“เนื้อนาง เนื้อนาง ผมมาแล้วครับ”
ณไตรวิ่งขึ้นเรือนมาด้วยความดีใจ แต่พอมองไป ทั้งเรือนโล่ง ไม่เหลือข้าวของอะไรเลย
“เนื้อนาง”
ณไตรออกจากเรือนมา เห็นบุญลือที่ยืนอยู่ด้านล่าง รีบลงเรือนมา
“นายเป็นใคร”
บุญลือวางท่าสงบเสงี่ยม “ผม บุญลือครับ แม่นายส่งให้ผมมาช่วยงานที่นี่ตอนที่คุณณไตรยุ่งเรื่องงานศพพ่อเลี้ยงอินถา”
ณไตรมองระแวง “แม่นายไม่เห็นบอกฉันเลย แล้วเนื้อนาง คนงานที่อยู่เรือนนี้ หายไปไหน”
“อ๋อ...เค้าเก็บข้าวของออกไปจากปางหลายวันแล้วครับ”
ณไตรงง “ออกจากปาง”
บุญลือตีหน้าซื่อ เล่าให้ณไตรฟัง
“เนื้อนางเค้าบอกว่าจะออกจากปาง ไปอยู่กินกับควาญช้างชื่อแสงคำ”
ณไตรไม่เชื่อ “ไม่จริง เนื้อนางต้องรอฉัน”
“ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากหรอกครับ เค้าพากันออกไป ผมมาใหม่ ก็ไม่รู้จะห้ามยังไง”
“แล้วคนอื่นๆ คำฝาย ม่อนดอย”
“เห็นว่าออกไปกันหมดเลยนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่ายังไง”
ณไตรได้ฟังยิ่งตกใจ
สองสาวอยู่ห้องนอน เนื้อนางถอนใจมองไปไกล คำฝายทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด ผิดหวัง
“มันเวรกรรมอะไร หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ เจ้าแสนพรหม ไหนบอกว่าว้าเหว่...เลี้ยงลูกคนเดียว เมียไม่มี แล้วที่โผล่พรวดมา 3 นี่มันอะไร”
เนื้อนางปลอบ “พี่คำฝายต้องอดทนนะ เรามาทำงาน ยังไงเราก็ต้องอยู่ที่นี่ให้ได้”
“ไม่ทนได้มั้ย อยากให้ไอ้แสงคำมารับไปซะเดี๋ยวนี้”
“อ้ายแสงคำกับม่อนดอยไปทำงานที่ปางอื่น ก็คงไม่สบายนัก เราอยู่ที่นี่ มีที่อยู่ ที่กิน ที่นอน ไม่ต้องเป็นภาระอ้ายแสงคำกับม่อนดอยน่ะ ดีแล้ว
คำฝายฮึดฮัดขัดใจ ปนผิดหวังอย่างแรง “ฮึ ผู้ชาย เหมือนกันหมด กะล่อน เจ้าชู้ หลอกผู้หญิงให้ช้ำใจไม่ว่าเจ้าแสนพรหมหรือหนานไตร”
คำฝายพูดแล้วชะงักนึกได้ หันไปมองเนื้อนางที่ตอนนี้หน้าเศร้าไปถนัดตา
“ตั๋วยังคิดถึงหนานไตรใช่มั้ย”
เนื้อนางกลั้นน้ำตา หันไปตอบคำฝาย
“เนื้อนางจะคิดถึงเจ้าบ่าวของคนอื่นไปทำไม”
ด้านณไตรวิ่งมาที่ระเบียงผา ร้องเรียกหา
“เนื้อนาง เนื้อนาง”
ณไตรเหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นนางผู้เป็นที่รัก ก็รีบวิ่งกลับไป
ยามเย็น เนื้อนางยืนอยู่ในสวนสวย ทอดสายตามองแสงสีทอง แดดอัสดงที่กำลังทาบทาไปทั่วทั้งคุ้ม คำฝายยืนอยู่ใกล้
“เนื้อนางต้องอยู่คนเดียวให้ได้”
“แสงคำมันก็ยังรอเนื้อนางอยู่นะ”
“เนื้อนางไม่เคยเห็นอ้ายแสงคำเป็นอย่างอื่น...นอกจากพี่ชาย”
คำฝายพยักหน้าเข้าใจ เนื้อนางแววตาเศร้า แต่แข็งใจพูดออกมา
“เนื้อนางรักหนานไตร แต่ถ้าหนานไตรไม่เห็นค่าความรักของเนื้อนาง ชีวิตเนื้อนางกับหนานไตรจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
คำฝายมองด้วยความสงสาร เนื้อนางน้ำตาหยดร่วงลงมา
ขณะเดียวกันณไตรวิ่งมาถึงเรือนหอต้นไม้ เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นประตูเรือนปิดสนิท หนานไตรยืนหมดอาลัยตายอยาก
เย็นใกล้ค่ำแล้ว เนื้อนางน้ำตาไหลไม่หยุด พยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมา
“อย่าร้องสิ เนื้อนาง หยุดร้องได้แล้ว หยุดคิดถึงหนานไตรสักที”
คำฝายฟังแล้ว เข้ามากอดปลอบเนื้อนางด้วยความสงสารจับใจ
“เค้าลืมเนื้อนางไปแล้ว ไม่มีเนื้อนางในหัวใจของหนานไตรอีกแล้ว”
เนื้อนางกอดคำฝาย สะอื้นไห้อย่างรุนแรง ยิ่งปิดกั้นยิ่งทำไม่ได้
ฝ่ายณไตรตามหาเนื้อนางทั่วทุกที่ที่คิดว่าจะไป แต่ไม่เจอแม้เงา สุดท้ายเดินมาหยุดลงหน้าเรือนเนื้อนางอย่างท้อแท้ นึกถึงวันเวลาที่เคยหวานชื่นแนบชิดเนื้อนาง
พ่อเลี้ยงหนุ่มกลั้นความเสียใจไว้ไม่ได้ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาโหยหา
“ไม่จริง เนื้อนาง คุณรักผม คุณบอกว่ารักผมคนเดียว เนื้อนางจะมีผมในหัวใจเพียงคนเดียว”
น้ำตาจากความเจ็บช้ำของลูกผู้ชายกำลังรินไหลออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 7 (ต่อ)
รุ่งเช้า ณไตรหันขวับมองแม่นายศรีวัลลาด้วยสายตาโกรธขึ้ง แขไข และธรรพ์ยืนอยู่ใกล้
“แม่นายให้บุญลือไปทำงานแทนผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
ธรรพ์สงสัย “ใครครับ บุญลือ”
“ผู้จัดการปางคนใหม่ที่แม่นายส่งไป”
“นี่แกแอบไปที่ปางมาเหรอ พวกที่นั่นคงเป่าหูแกมาอีกล่ะสิ”
“ไม่มีใครเป่าหูผม ไม่มีใครเหลืออยู่ที่ปางเลย”
แขไขงง “ไม่เหลือใครเลย หมายความว่ายังไงคะ”
“ที่จริงผมถามจากบุญลือก็ได้ แต่ผมคิดว่า น่าจะถามคนที่ส่งเค้าไปมากกว่า แม่นายสั่งให้บุญลือไล่คนงานออกทำไม”
ธรรพ์ท้วง “พี่ไตรครับ เราก็เห็นกันอยู่ว่าแม่นายยุ่งเรื่องงานศพคุณปู่”
“ก็เพราะทุกคนยุ่งเรื่องงานศพ ถ้าจะลงมือทำอะไรลับหลัง มันก็สะดวกที่สุด”
“ณไตร แกจะมองแม่ในแง่ร้ายไปถึงไหน ใช่ แม่เกลียดเนื้อนาง แต่แกคิดว่าพวกมัน อยู่ปางมาเป็นสิบๆปี มันจะยอมให้แม่ไล่ออกไปง่ายๆ เชียวเหรอ”
“ผมไม่เชื่อว่าเนื้อนางจะหายไปเฉยๆ เค้าสัญญาว่าจะรอผมไปรับ”
แขไขหมั่นไส้ “พี่ณไตรจะยึดถืออะไรกับคำสัญญาของผู้หญิงใจง่าย”
“เนื้อนางไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย ไม่ใช่ผู้หญิงโลเล เนื้อนางรักผม”
“มันก็ทิ้งคนรักเก่าที่เป็นควาญช้าง มาหว่านเสน่ห์ให้แกไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้ มันก็รู้แล้วว่าการไต่เต้าเป็นสะใภ้หิมวัต มันไม่ง่ายอย่างที่คิด” แม่นายมองจ้องณไตรแววตาเย้ยหยัน “ทีนี้รู้หรือยัง ผู้หญิงที่แกคว้ามาเป็นเมีย กำพืดมันชอบเลื้อยไปเกาะคนใกล้ตัว คอยหาหลักใหม่ๆให้ชีวิต”
“ผมจะตามหาเนื้อนาง ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเนื้อนางออกไปจากปางเพราะอะไร เพราะใคร”
ณไตรมองจ้องแม่นายกับแขไขอย่างเอาเรื่อง
ฝ่ายเนื้อนางกำลังเก็บดอกมะลิเพื่อไปไหว้พระ ประกายมองเห็นเนื้อนางกำลังเก็บดอกไม้ ก็จะตรงเข้าไปหา
จู่ๆ มือเจ้าแสนพรหมเข้ามาคว้าประกายไว้ แล้วลากออกมาห่าง
“กลับไปที่เรือนของแก ประกาย”
“เจ้าจะเอานังคนนั้นเป็นเมีย”
“ถ้าแกดื้อด้าน ก็รู้นะ ว่าฉันมีวิธีจะสั่งสอนยังไง”
เจ้าแสนพรหมมองจ้อง แววตาเจ้าเล่ห์ประกายเห็นแล้ว ตั่วสั่นด้วยความกลัว
“อย่านะ เจ้า...อย่าส่งประกายไป”
“งั้นแกก็กลับไปที่เรือน อย่ามาเสนอหน้าแถวนี้”
เจ้าแสนพรหมผลัก ประกายรีบวิ่งออกไป
เนื้อนางหันไปมองเห็นประกายวิ่งไป ก็มองตามสงสัย
เจ้าแสนพรหมเดินออกมาจากพุ่มไม้ เนื้อนางหันไปมอง เจ้าแสนพรหมทำสีหน้าอ่อนโยน เดินเข้าหา
“เก็บดอกไม้ไปไหว้พระเหรอจ๊ะ สาธุ จิตใจเปี่ยมธรรมะจริงๆ”
เนื้อนางยิ้ม เจ้าเริ่มตะล่อมด้วยคำถามที่อยากรู้
“เออ วันก่อนแปงมันบอกว่าเนื้อนางไม่ยอมให้ไปส่งถึงบ้าน ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเนื้อนางอยู่ที่ไหน...แล้วที่เมื่อวานมากับเพื่อนชาย 2 คน”
“อ้ายแสงคำกับม่อนดอยจ้ะ อ้ายแสงคำเป็นพี่ ม่อนดอยเป็นเพื่อน”
“อ้อ...เพื่อนทั้งคู่ เนื้อนางคงไม่หาว่าฉันวุ่นวายอยากรู้เรื่องส่วนตัวนะจ๊ะ”
เนื้อนางนิ่งไป เจ้าแสนพรหมทำสุ้มเสียงเห็นใจ
“ไม่เป็นไร บางทีเนื้อนางคงมีเรื่องเก่าๆ ไม่อยากพูดถึง”
“เนื้อนางอยากจะรบกวนเจ้า ถ้าเจ้าพอจะเมตตาอ้ายแสงคำกับม่อนดอย ให้มาเป็นคนงานรับใช้ในคุ้ม พวกเราสี่คนเคยทำงานด้วยกันมาจ้ะ”
“โถ...โถ ฉันเข้าใจ เอาไว้ฉันจะบอกให้แปงรับเพื่อนๆ สองคนของเนื้อนางเข้ามาทำงานที่นี่นะจ๊ะ”
เนื้อนางยิ้มหวานดีใจ เจ้าแสนพรหมตาปรอยๆ กับรอยยิ้มของเนื้อนาง
ขณะนั้นแสงคำกับม่อนดอยยืนชะเง้ออยู่หน้าประตู แปงตอบห้วนๆ
“เนื้อนางออกมาไม่ได้ กำลังทำงานอยู่”
แสงคำบอก “เราจะรอ”
“รอไม่ได้ เนื้อนางงานยุ่ง ไม่รู้จะเสร็จตอนไหน”
“เนื้อนางทำงานอะไร ถึงจะออกมาสักเดี๋ยวไม่ได้” ม่อนดอยฟังแล้วชักทะแม่งๆ
แปงยิ้มกริ่ม “เนื้อนางต้องนวดให้เจ้า นวดแล้วก็ติดพันกันสองต่อสอง ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่”
แสงคำฟังแล้วโมโหสุดขีด พุ่งเข้าผลักอกแปงจนล้มก้นจ้ำเบ้า
“มึงว่ายังไง เนื้อนางนวดให้ใคร
ม่อนดอยรีบดึงแสงคำออกห่าง แปงร้องโวยวาย
“อย่านะเว้ย คนของเจ้านะเว้ย”
แปงรีบหลบเข้าไปด้านใน ปิดประตู ม่อนคอยดึงแสงคำที่ฮึดฮัดไว้สุดแรง
“ใจเย็นหน่อยสิวะ แสงคำ เดี๋ยวก็ไม่ต้องได้เจอเนื้อนางกันพอดี”
ทางด้านเนื้อนางยิ้มมองเจ้าแสนพรหม
“เนื้อนางรับรองจ้ะ อ้ายแสงคำเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์ ทำงานให้เจ้าได้ทุกอย่าง”
เจ้าแสนพรหมดึงมือเนื้อนางมาประคองไว้เบาๆ
“จ้ะ ฉันเชื่อเนื้อนางทุกอย่าง แล้วฉันจะรีบกลับมาจัดการให้นะ วันนี้ฉันมีธุระต้องไปพบเพื่อนคนสำคัญก่อน”
เนื้อนางยิ้มให้เจ้า แล้วค่อยๆดึงมือออกอย่างเจียมตัว ยกมือไหว้ขอบคุณ
เจ้าแสนพรหมมองเสียดายแต่ไม่อยากกะโตกกะตาก ทำทีสุภาพ ยิ้มแย้ม เดินออกไป เนื้อนางมองตามด้วยความดีใจเรื่องแสงคำที่จะได้งานทำ
ณไตรเดินเข้ามาในสวนบ้านหิมวัต เจ้าแสนพรหมหันหน้ามาช้าๆ พอณไตรเห็นเป็นเจ้าแสนพรหมก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ เจ้าแสนพรหม”
เจ้ารับไหว้ “ตั้งแต่กลับจากอังกฤษ ผมก็ไม่เจอคุณเลย ณไตร นี่ถ้าไม่ได้ข่าวงานศพพ่อเลี้ยงอินถา คงไม่ได้เจอกันอีก เสียใจด้วยนะเรื่องคุณปู่”
เจ้าแสนพรหมทักทาย ณไตรอย่างสนิทสนม ในฐานะเพื่อนรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันที่อังกฤษ
“ขอบคุณครับ เจ้าสบายดีหรือครับ”
“ผมก็ไปๆ มาๆ ขึ้นล่องทำธุรกิจพระนครกับที่นี่ ได้ยินว่าพ่อเลี้ยงอินถาวางตัวให้คุณเป็นทายาท” เจ้าพูดเป็นเชิงหยอกล้อ “ผมก็เลยแวะมาทักทายพ่อเลี้ยงณไตร”
“อย่าล้อผมเล่นเลยครับเจ้า ผมก็เพิ่งเข้าไปเริ่มงานที่ปางไม้”
“อะไรกัน หนุ่มนักเรียนอังกฤษจะมาสมบุกสมบันในปางไม้ ไม่เอาน่า ณไตร ผมมีงานสบายๆเหมาะกับคุณมากกว่า ธุรกิจผมหลายอย่าง ดูแลไม่ไหว ก็ว่าจะขายๆไปบ้าง”
“ผมเพิ่งมาสืบทอดงานของคุณปู่ มีอะไรก็คงต้องให้เจ้าช่วยแนะนำ”
“งั้นผมขอเชิญไปดื่มที่คุ้มของผม ไปค่ำนี้เลย คุณเคยได้ยินใช่มั้ยล่ะ ถ้าจะไปหาความสุขน่ะ ต้องไปที่คุ้มเจ้าแสนพรหมเท่านั้น”
เจ้าแสนพรหมยิ้มกรุ้มกริ่ม ณไตรยิ้มตามมารยาท
ธรรพ์กับแขไขยืนรออยู่อีกมุม มองณไตรที่เดินกลับเข้ามาในบ้าน ธรรพ์ถามขึ้นก่อน
“จันตาบอกว่าเจ้าแสนพรหมมาหาพี่”
“ใครคะ เจ้าแสนพรหม”
“เพื่อนรุ่นพี่ มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ไตรที่อังกฤษครับ มีกิจการหลายอย่างที่นี่ แต่เท่าที่ได้ยินตอนนี้กำลังขาดทุนหนัก เงินขาดมือ”
ณไตรเสริม “เค้าถึงตั้งใจมาหาฉัน ชวนฉันไปที่คุ้ม คงคิดจะขายกิจการอะไรสักอย่างให้ นายไปคุยแทนพี่ทีเถอะธรรพ์”
“ทำไมคะ พี่ไตรไม่ว่างเพราะจะเอาเวลาไปตามหาเนื้อนางทั้งวันทั้งคืนเหรอคะ”
ณไตรหันขวับมองแขไขชักสีหน้าไม่พอใจ
“เจ้าแสนพรหมเป็นคนกว้างขวางที่นี่ ถึงกับมาเชิญพี่ด้วยตัวเอง พี่ไตรน่าจะให้เกียรติเจ้านะครับ”
ณไตรถอนใจหนักหน่วง แล้วเดินเข้าบ้านไป แขไขหน้าสะบัด ธรรพ์กำลังจะพูด แขไขวี้ดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องปลอบแขค่ะ แขรู้ว่าพี่ไตรกำลังพาล คิดว่าแขช่วยไล่เนื้อนางออกจากปาง”
“แล้วคุณแขรู้เรื่องหรือเปล่าล่ะครับ”
“แขไม่รู้หรอกค่ะว่าทำไมเนื้อนางมันถึงออกไปจากปาง แต่แขบอกได้เลย แขดีใจมาก ไม่ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน แขจะสาปแช่งให้มันไม่มีความสุข”
น้ำเสียงแขไขเคียดแค้นชิงชังสุดเนื้อนางจะประมาณ จนธรรพ์อ่อนใจ
รถเจ้าแสนพรหมมาจอดรอประตูคุ้มเปิด เจ้าหันไปมองผ่านกระจกเห็นแสงคำ กับม่อนดอยที่แอบหลบรอ
“ไอ้สองคนนี่ล่ะครับ แสงคำ กับม่อนดอยที่มากับเนื้อนาง” แปงที่เป็นคนขับรถมารายงาน
เจ้าแสนพรหมปรายตามองแล้วสั่ง
“อย่าให้พวกมันเจอเนื้อนางเป็นอันขาด”
แสงคำขยับเข้ามาใกล้รถแต่แปงพุ่งรถเข้าประตูไป แสงคำต้องหลบคนงานรีบออกมาโบกมือไล่
ประตูคุ้มปิดลง ม่อนดอยเดินมาใกล้แสงคำ
“ไว้มาวันหลังเถอะวะ เกิดเจ้าแสนพรหมท่านโกรธ เดี๋ยวจะไปพาลรำคาญเอากับเนื้อนาง คำฝาย”
ม่อนดอยเตือนสติ แล้วหันหลังเดินนำออกไป แสงคำมองแล้วจำใจเดินตาม
เวลานั้นเนื้อนางนั่งพับเพียบอยู่กับคำฝาย อีกด้านคือประกาย เอื้องเดือน พิมพา มีบัวติ๊บรอรับคำสั่งอยู่ในกลุ่มแปงกับคนงานชาย เจ้าแสนพรหมยืนอยู่ตรงกลางพูดขึ้น
“ค่ำนี้ ฉันจะมีแขกคนสำคัญ เราต้องต้อนรับให้ดีที่สุด...เธอ ประกาย”
เนื้อนางมองเห็นประกายสะดุ้งโหยงทันที
“คืนนี้มาฟ้อนให้แขกฉันดู”
“ไม่ๆ ประกายไม่อยากฟ้อน...ประกายลืมหมดแล้วค่ะเจ้า”
“นางรำเก่าอย่างเธอน่ะเหรอ ลืม” เจ้าว่า
เนื้อนางมองประกายที่มีท่าทางหวาดหวั่นจนผิดสังเกต ส่วนเอื้องเดือนกับพิมพายิ้มเยาะประกาย เจ้าแสนพรหมหันมาทางเนื้อนาง เปลี่ยนเสียงเป็นสั่งด้วยความอ่อนโยน
“เนื้อนาง...คำฝาย ยังไม่ต้องออกมา คอยช่วยในครัวก็แล้วกันนะ
สองสาว “จ้ะเจ้า” พร้อมกัน
ไม่นานต่อมาเนื้อนางกับคำฝายเดินคุยกันมาในสวน
“ปัดโธ่ คุณประกายคอตั้ง ที่แท้ก็ไม่ใช่ใครมาจากไหน นางรำช่างฟ้อนเก่านี่เอง”
“พอบอกให้ฟ้อนให้แขกดู ทำไมประกายเค้าต้องทำท่ากลัวด้วย” เนื้อนางตั้งข้อสังเกต
“ก็ฟ้อนไม่สวยล่ะสิ เป็นตั๋วหน่อยไม่ได้ ฟ้อนงามขนาด เจ้าน่าจะให้ตั๋วฟ้อนเนอะ”
“ไม่ล่ะ พี่คำฝาย ฉันไม่ฟ้อนหรอก ทำงานในครัวน่ะ ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเจอใคร”
เนื้อนางกับคำฝายเดินผ่านไป โดยไม่ทันเห็นบัวติ๊บที่แอบฟัง ก่อนจะผลุบออกไปทันที
ประกายลุกลี้ลุกลนมองบัวติ๊บที่มารายงาน สายตาหวาดกลัว พยายามคิดหาทาง
“เนื้อนางมันฟ้อนได้เหรอ มันต้องเป็นคนฟ้อนคืนนี้ ฉันไม่อยากฟ้อนให้แขกของเจ้าดูอีกแล้ว”
เนื้อนางกับคำฝายถือแจกันดอกไม้มาตั้งประดับที่โต๊ะบนเรือนใหญ่ ประกายถือชุดฟ้อนสีสวยมาในมือ เดินโซเซมาพอเหลือบเห็นเนื้อนาง ประกายก็แกล้งทรุดลงกลางห้อง
“คุณประกาย” เนื้อนางถลาเข้าไปประคอง คำฝายช่วยเก็บชุดฟ้อนที่ตกพื้น
“เป็นอะไรจ๊ะ”
“ปวดท้อง ปวดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว สงสัยจะปวดระดู” ประกายตอแหล
“เนื้อนางไปเอากระเป๋าน้ำร้อนให้นะจ๊ะ หรือว่าคุณประกายจะกินยา”
“ฉันกินแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้นเลย...โอย ไม่รู้ฉันจะฟ้อนไหวหรือเปล่า สงสารเจ้าเหลือเกิน แขกคนสำคัญด้วย”
คำฝายหันขวับไปทางเนื้อทาง “เนื้อนาง ตั๋วฟ้อนได้”
เนื้อนางหลุดปากออกมาทันที “ไม่ได้”
คำฝายประกายมองเนื้อนางอย่างประหลาดใจ
เนื้อนางนิ่ง ย้อนคิดถึงเหตุการณ์หลังแต่งงานบนเรือนหอต้นไม้
โดยตอนนั้นหนานไตรกอดเนื้อนางไว้ จูบเรือนผม แล้วก้มลงถามข้างหู
“เนื้อนางสัญญากับผมอย่างนึงได้มั้ย”
“สัญญาอะไรจ๊ะ”
“อย่าฟ้อนแง้นให้ใครดูอีก”
เนื้อนางขยับออกมามองหน้าหนานไตร
“ทำไมล่ะ”
“ผมหวง รู้มั้ยเนื้อนาง ฟ้อนแง้นนี่แหละทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า ผู้หญิงที่ผมจะรักไปจนวันตายคือ เนื้อนาง เพราะฉะนั้นห้ามให้ผู้ชายหน้าไหนเห็นเนื้อนางฟ้อนแง้นเด็ดขาด...นอกจากผมคนเดียว”
หนานไตรมองมาด้วยแววตาวิบวับระยับ จนเนื้อนางเอียงหน้าอาย
คำฝาย ประกายมองเนื้อนางที่ยังนิ่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ประกายแกล้งร้องครางดัง กระตุกเนื้อนางอีกรอบร้องโอดโอย
“โอ๊ย ปวด ปวดจะตายอยู่แล้ว เจ้าแสนพรหมมีบุญคุณให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงฉันมา ไม่น่าเลย ฉันไม่น่าทำให้เจ้าผิดหวังเลย ฉันช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
คำฝายมอง เร่งเร้า “เนื้อนาง”
เนื้อนางมองประกายอย่างละล้าละลัง
ค่ำคืนนั้น ณไตรที่ก้าวเข้ามาในชุดสูทหล่อ เจ้าแสนพรหมยืนรอรับด้วยรอยยิ้ม
“คุ้มแสนเมืองยินดีต้อนรับพ่อเลี้ยงณไตร ทายาทตระกูลหิมวัต”
ณไตรยิ้มหล่อ เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ ตรงหน้าเครื่องดื่มที่เจ้าแสนพรหมจัดไว้รองรับ
ประกายนั่งเครียดอยู่หน้ากระจกในห้อง บัวติ๊บอยู่ใกล้
“โอ๊ย ก็บอกแล้วว่า ไม่ฟ้อน ไม่ฟ้อน จะบังคับกันไปถึงไหนวะ ไอ้ผัวเฮงซวย”
“ยอมๆไปเถอะคุณ ถ้าเจ้าโกรธขึ้นมา”
บัวติ๊บเตือน ประกายหันมองไกล แววตาตัดสินใจ
“รู้แล้วว่าหนีไม่พ้น เอาวะ นังประกาย วันนี้อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด”
ภายในห้องรับแขกเรือนใหญ่ค่ำคืนนี้ เจ้าแสนพรหมนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่กับ ณไตร มีวงสะล้อขับกล่อมเพลงเบาๆ อยู่อีกด้าน
“ผมทราบว่า เจ้ามีกิจการปางไม้อยู่ด้วยใช่มั้ยครับ”
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องเครียดๆ ณไตร วันนี้เรามาสังสรรค์กันอย่างเพื่อน บอกแล้วว่ามาคุ้มเจ้าแสนพรหม มันต้องมีแต่ความสำราญ”
เจ้าแสนพรหมหันไปมอง สะล้อเปลี่ยนเพลง ขึ้นเป็นดนตรีฟ้อนแง้น เจ้าแสนพรหมหันมาบอกกับหนานไตร
“ผมมีช่างฟ้อนคนสวย จะให้คอยดูแลคุณคืนนี้...” เจ้าเน้นคำตอนท้าย “ทั้งคืน”
ณไตรฟังแล้วนิ่งขรึมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย เสียงสะล้อดังขึ้น ณไตรหันไปหยิบเครื่องดื่ม
เนื้อนางเคลื่อนตัวออกมาในชุดช่างฟ้อน
เจ้าแสนพรหมมองแล้วแปลกใจ “เฮ้ย...ทำไมไม่ใช่ประกาย”
ณไตรเหลียวไปมองทางเนื้อนางที่กำลังเคลื่อนตัวออกมา เจ้าแสนพรหมยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มองเนื้อนางแล้วรีบพูดอวด
“นี่ไม่ใช่ช่างฟ้อนคนที่ผมบอกนะ พ่อเลี้ยง...สวยๆ อย่างนี้ เมียผมเอง”
ณไตรหันมองเจ้าทันทีด้วยสายตาดุกร้าว เจ้าแสนพรหมไม่ทันมองณไตร เอาแต่จ้องเนื้อนาง
“คนนี้เมียผมคนล่าสุด...คนที่สี่...สวยมั้ย ชื่อเนื้อนาง”
ณไตรลุกพรวดขึ้นทันที กำหมัดแน่น หันไปมองจ้องเป็นจังหวะเดียวกับที่เนื้อนางหมุนตัวฟ้อนหันมา
สายตาเนื้อนางกับหนานไตรมองสบกันจังๆ ต่างนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกันอีกครั้ง
ด้านประกายชะเง้อมองไปทางเรือนใหญ่ บัวติ๊บยกถาดอาหารมาให้ ประกายเอ่ยเยาะเนื้อนางด้วยเสียงดูถูก
“เนื้อนางมันคงจะฟ้อนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ทำแขกของเจ้าอารมณ์เสีย”
“นั่นน่ะสิเจ้า ใครจะฟ้อนงามเท่าคุณประกายเป็นไม่มี”
“ถ้าไม่งาม เจ้าจะรักจะหลงชั้น ยกให้เป็นใหญ่ในคุ้มนี้เหรอ ไม่มีวันเสียหรอกที่เจ้าจะเห็นผู้หญิงหน้าไหนดีกว่าประกาย”
บัวติ๊บแอบเบ้ปาก หมั่นไส้ความหลงตัวเองของประกาย ตรงข้ามกับประกายที่เชิดหน้าอย่างภูมิใจ
ฝ่ายเนื้อนางมองจ้องไปที่ณไตร สองคนต่างมองตะลึง ไม่คิดว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้งในคุ้มนี้
เจ้าแสนพรหมมองปลื้มเนื้อนาง หันไปอวดกับพ่อเลี้ยงณไตร
“สวยตะลึงเลยใช่มั้ย พ่อเลี้ยง เมียผมคนนี้”
“เมียเจ้า”
ณไตรสะกดอารมณ์ทวนคำ มองเจ้าแสนพรหมที่ยิ้มอวดภูมิใจ แล้วหันกลับมามองเนื้อนาง
เนื้อนางเคลื่อนกายฟ้อนต่ออย่างสวยงาม
“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะมีเมียสวยมาก”
“ไม่ใช่สวยอย่างเดียว คนนี้...” เจ้าจอมขี้หลียกนิ้วโป้งหน้าตากรุ้มกริ่ม “เด็ด”
ณไตรหันกลับไปจ้องเนื้อนาง ตาแทบลุกเป็นไฟ
เจ้าแสนพรหมมองเนื้อนางแล้วอวดด้วยเสียงภูมิใจมาก
“ผมน่ะโชกโชนเรื่องผู้หญิงมานักต่อนัก แต่พอเจอเนื้อนางเข้าไป พ่อเลี้ยงเอ๊ย...ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน ร่างกายมันพาลจะสะดุ้งตื่นตลอดเวลา”
ณไตรบีบมือตัวเองแน่น อย่างสะกดกลั้นอารมณ์หึงเต็มที่ เนื้อนางฟ้อนมาถึงท่าสุดท้ายแหงนหงาย อย่างงดงาม ณไตรแทบจะทนมองไม่ได้ เนื้อนางตวัดสายตามองสบตาณไตร สายตาเนื้อนางกับณไตรจ้องกัน คุกรุ่นด้วยความโกรธ ความน้อยใจ เนื้อนางฟ้อนจบ เจ้าแสนพรหมลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตา
ณไตรลุกขึ้น แต่ช้ากว่าเจ้าแสนพรหมที่ก้าวพรวดๆ ไปถึงตัวเนื้อนาง
เนื้อนางหันกลับมา เจ้าแสนพรหมตรงเข้าโอบเนื้อนาง
“สวยเหลือเกินจ้ะ เนื้อนางของฉัน”
ณไตรก้าวตามมาจ้องประสานสายตากับเนื้อนาง เจ้าแสนพรหมแนะนำ
“เนื้อนางนี่แขกของฉัน พ่อเลี้ยงณไตร ทายาทตระกูลหิมวัต”
เนื้อนางจ้องณไตรด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจและเจ็บช้ำ
“พ่อเลี้ยง…ณ...ไตร”
ณไตรเค้นคำทักทาย “ยินดีที่ได้รู้จักครับ...คุณเนื้อนาง”
พ่อเลี้ยงหนุ่มมองเนื้อนางที่เจ้าแสนพรหมยังโอบอยู่ แล้วเอ่ยทักด้วยเสียงห่างเหิน เย็นชา
สายตาเนื้อนางเจ็บช้ำ แต่ก็ฝืนทน หันไปยิ้มกับเจ้า ขอตัว
“เนื้อนางขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
เนื้อนางเบี่ยงตัวออกจากเจ้าแสนพรหม ณไตรจดสายตามองตามเนื้อนางที่เดินห่างออกไป
“เดี๋ยวฉันตามไปให้รางวัลจ้ะ”
ณไตรได้ยินแล้วพยายามสะกดความโกรธที่พลุ่งพล่านเต็มอก เอ่ยถามเจ้าแสนพรหม
“เมียเจ้าคนนี้...เนื้อนาง ไม่ทราบว่าเจ้าได้ตัวมาจากที่ไหนครับ”
เนื้อนางเดินเร็วออกมาหยุดตรงมุมหนึ่ง น้ำตาทะลักทะลายออกมาเมื่อคิดถึงณไตร คำฝายเดินมา พอมองเห็นเนื้อนางก็รีบวิ่งเข้ามา
“เนื้อนาง...ตั๋วร้องไห้ ใครทำอะไรตั๋ว เนื้อนาง บอกพี่ ใครทำอะไรตั๋ว”
เนื้อนางเสียงสั่น “หนานไตร พี่คำฝาย...แขกของเจ้า...คือหนานไตร”
“จริงก่อ มันอยู่ข้างในใช่มั้ย พี่จะไปด่ามัน”
คำฝายจะพุ่งเข้าไป เนื้อนางรั้งคำฝายไว้
“ไม่มีประโยชน์หรอกพี่คำฝาย เค้าไม่รู้จักเรา”
“มันจะไม่รู้จักได้ยังไง เนื้อนาง ตั๋วเป็นเมียมันทั้งคน”
“เค้าไม่ใช่หนานไตรอีกแล้ว เค้าเป็นพ่อเลี้ยงณไตร เค้ามอง เค้าทักเนื้อนาง เหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน”
คำฝายยิ่งฟังก็ยิ่งแค้น “ไอ้หนานไตร”
“เค้าหมดรักเนื้อนาง สิ้นความผูกพัน สิ้นเยื่อใยต่อกันหมดแล้ว”
คำฝายเจ็บใจหนานไตรไม่หาย
เนื้อนางสะอื้นไห้ น้ำตาหยดเป็นสายด้วยความระทมขมใจเหลือเกินแล้ว
ณไตรถือแก้วเครื่องดื่มทรงสูงมอง รอคำตอบจากเจ้าแสนพรหมที่วางท่ากรุ้มกริ่มยิ้มย่อง
“เนื้อนางเนี่ย เหมือนฟ้าประทาน ช้างเผือกในป่ายังไงยังงั้นเลยพ่อเลี้ยง”
ณไตรกำแก้วแน่น มองเจ้าแสนพรหมที่ยังพูดอวดไม่หยุด
“นวล เนียน ไร้ราคี ไฝฝ้าในร่มผ้าไม่มีสักเม็ด”
ณไตรโกรธจนสุดทน บีบแก้วแตกจนคามือ เศษแก้วตกกระทบพื้น
“พ่อเลี้ยง”
ณไตรมองมือที่มีรอยแก้วบาดเป็นแผลยาวไม่มากด้วยแววตาเฉยชา ไม่ได้รู้สึกเจ็บที่กายเลยสักนิด
“ใครอยู่แถวนี้ มาดูพ่อเลี้ยงหน่อยเร็ว”
แปงที่รออยู่ห่างรอรับใช้ รีบวิ่งเข้ามา
แสนพรหมทำแผลก่อนเถอะ พ่อเลี้ยง
“ไม่เป็นไรครับ แผลแค่นี้เอง ผมขอตัวกลับก่อน”
ณไตรกำมือแน่น ยิ้มให้เจ้าแสนพรหม
“ผมคงต้องขออนุญาตเจ้ามาที่นี่อีกนะครับ”
“มาเลย คุ้มเจ้าแสนพรหมยินดีต้อนรับพ่อเลี้ยงณไตรทุกเวลา มาพักผ่อน ชมของสวยๆงามๆในคุ้มผมได้ตามสบาย แต่เว้นเนื้อนางไว้คนนึงนะ ห้ามเลยคนนี้ ผมหวงมาก”
เจ้าแสนพรหมหัวเราะระรื่นเบิกบานมีความสุขที่สุ ต่างกับ ณไตรหน้านิ่ง ข่มอารมณ์เต็มที่ หันหลังเดินออกไป
เนื้อนางเดินอยู่ตรงระเบียง ตามคำฝายตรงไปห้องนอน
“พี่ไปต้มน้ำร้อนให้ก่อนนะ ตั๋วจะได้ล้างเนื้อล้างตัว”
คำฝายเดินนำออกไปก่อน เนื้อนางเดินตามมาสีหน้าเศร้า มองไปด้านล่างในสวนเห็นณไตรกำลังจะออกไปที่จอดรถ
เนื้อนางหยุดมองลงไปที่ณไตร ใต้แสงไฟวับแวม ณไตรหันกลับมาพอดี
ณไตรแหงนมองเนื้อนางที่ยังอยู่ในชุดฟ้อน เนื้อนางมองลงมาสบตาณไตร
ณไตรรีบเดินมา อยากจะเอ่ยถามความข้องใจทั้งหมด
“เนื้อนาง”
แต่เนื้อนางสะบัดหน้า เดินเชิดเข้าไปในเรือน
ณไตรกำหมัดที่เลือดออก ปล่อยให้เลือดหยดลงพื้นหญ้าอย่างไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บที่มือ
ณไตรหันหลังก้าวยาวออกไป
เนื้อนางหลบอยู่ ขยับตัวมามอง เห็นณไตรเดินหายไปในเงามืด
แสงไฟจากระเบียงกระทบหยดน้ำตาแห่งความน้อยใจของเนื้อนางที่กำลังไหลอาบแก้ม
แขไขในชุดนอนยืนชะเง้อมอง ณไตรเดินเข้าบ้านมา แขไขพอเห็นณไตร ก็รีบขยับเสื้อผ้าให้เปิดกว้างเผยผิวขาวผ่อง ณไตรเดินมาเห็นแขไขที่ยิ้มหยาดเยิ้มรออยู่
“ไปคุ้มเจ้าแสนพรหมสนุกมั้ยคะ”
ณไตรไม่ตอบ เมินหน้าหนี แขไขไม่ยอมแพ้ ขยับมาขวาง มองที่มือณไตร
“มือพี่ณไตรมีเลือด”
แขไขคว้ามือณไตรขึ้นมาดูแต่ณไตรไม่สน ปัดมือแขไข เดินหนี
แขไขตกใจ “พี่ณไตร”
แขไขไม่ยอมแพ้ เดินตามทันที
ณไตรขึ้นเสียง “หยุดตามผมสักที”
แขไขสะดุ้งตกใจ ณไตรหันมาตาวาววับ
“เลิกตาม เลิกถาม เลิกกวนใจผมได้แล้ว”
“พี่ไตรโกรธใครมาคะ ทำไมต้องว่าแขด้วย แขก็มารอพี่ไตรเหมือนทุกครั้ง”
“ก็ผมพูดอยู่นี่ไง ว่าไม่ต้องรอ เข้าใจมั้ย แขไข ชีวิตคุณไม่จำเป็นต้องรอผม เสร็จงานศพคุณปู่ คุณก็ควรกลับบ้าน กลับไปใช้ชีวิตในสังคมของคุณอย่าอยู่ที่นี่ เพราะความหวังลมๆแล้งๆอีก”
ณไตรหันหน้าเดินเร็วรี่ออกไป แขไขตกใจที่ณไตรกราดเกรี้ยวใส่อย่างรุนแรง มองตามไปด้วยสายตาไม่ยอมแพ้
“แขยอมอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ แขจะไม่มีวันกลับไปมือเปล่า”
อ่านต่อตอนที่ 8