xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” เปิดใจตอบ “โคตรไมค์” “ผมไม่ใช่ภารโรง แต่เป็นปลัดฯ ที่ไม่มีอำนาจจริงๆ!!”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล”
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ทำเอาประชาชนสะดุ้งเป็นแถว เมื่อมีข่าวว่าห้องประชุมทำเนียบรัฐบาลราคาไมค์แสนสี่ จอทีวีห้าแสน จนเกิดกระแสโจมตีว่างานนี้อาจจะมีทุจริต

“หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล” ในฐานะที่ดูแลการปรับปรุงทำเนียบใหม่ครั้งนี้ จึงมาเปิดใจกับ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ เพื่อเคลียร์คำถามที่คนสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโบ้ยขี้ให้คนอื่น? ทำงานเหมือนภารโรง? มีเอี่ยวคอร์รัปชั่น?

จะ “จริง” หรือ “โบ้ย” ต้องตามอ่าน!

ตั้งแต่รับตำแหน่งใหม่มา เจอแต่เรื่องโจมตี เช่น ข้าราชการท้องถิ่นแต่งดำประท้วงท่าน ,ใช้งบปรับปรุงทำเนียบฟุ่มเฟือย รู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ตอนนี้ผมไม่ได้สวมหมวกผู้ว่าฯ ผมมานั่งอยู่ในตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผมจึงเปรียบตัวเองเป็นพนักงานธุรการ มีหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์ เข้ามามากมายตั้งแต่เรื่องครอบครัว บริษัท จนถึงองค์กรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ตอนแรกที่มีกระแสข่าวออกมา จะเห็นว่าผมพูดถึงอาหารกล่องอส. หรืออาสาสมัครรักษาดินแดน ได้อาหารกล่องไม่สมตามมื้อของราคา เหตุเกิดขึ้นที่จังหวัดหนึ่ง แต่ผมจะไม่เอ่ยชื่อจังหวัด เพราะเป็นกรณีศึกษา อส.ได้รับอาหารกล่องซึ่งไม่สมกับราคา ตอนนั้นหลายจังหวัดเดือดร้อนกันใหญ่ว่า จังหวัดไหน กล่องอาหารอะไร ได้อาหารไม่สมน้ำสมเนื้อกับราคา นี่ผมก็ยกตัวอย่างเพราะมันเป็นเรื่องทุจริต ซึ่งผมก็เป็นข้าราชการก็อยากจะยกตัวอย่าง เหมือนตีฆ้องเตือนคนจะได้ไม่ทำ ไม่ได้อาฆาตมาดร้าย อยากจะเตือนใจผู้คนเรื่องเหล่านี้ ก็เลยอาจทำให้เกิดประแสโจมตีบ้าง แต่สุดท้ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำโดยนายกอบจ.แห่งประเทศไทย ก็จับมือไม้กับผมเข้าใจกันแล้ว เขาบอกว่าพอได้มาคุยกับผมจริงๆ ก็เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

ตอนโดนกระแสโจมตีในเรื่องต่างๆ รู้สึกท้อแท้บ้างหรือเปล่า

ผมเป็นปุถุชนก็ย่อมรู้สึกเป็นธรรมดา แล้วผมก็จริงใจกับหลายๆท่าน เวลามีปัญหา ใครถามอะไรผมก็ตอบ บางทีมีโทรศัพท์มามืดค่ำ ผมก็คุย แต่ไม่มีคำว่าท้อ มีแต่เหน็ดเหนื่อย ใจจากลูกผู้ชายคนนี้ และผมจะรักษาความภาคภูมิใจของผมไว้ตราบเท่าสุดท้ายของชีวิต

แล้วประเด็นที่คนมองว่ามีส่วนใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยในการปรับปรุงห้องประชุม จะชี้แจ้งเรื่องนี้อย่างไร

คุณต้องเข้าใจว่าข้าราชการอยู่โดยกฎหมาย แล้วสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีของผมเหมือนหน่วยงานวิชาการเล็กๆ ไม่ได้ขึ้นตรงกับนักการเมือง ผมทำหน้าดูแลกรมประชาสัมพันธ์ และสคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) แค่ 2 หน่วยงานนี้เอง เดี๋ยวบางคนจะหาว่าผมดูแลหลายสำนักงาน แล้วตรงส่วนการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์เครื่องใช้ตกแต่งทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ขึ้นตรงกับผม

อย่าว่าแต่ปรับปรุงเลย เรื่องการทำความสะอาดรังนกกระจอกเนี่ย ไม่ใช่หน้าที่ผมเลย แต่ผมได้ว่าจ้างบริษัท แล้วก็มีน้องๆในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีช่วยดูแลทำความสะอาดให้ ทั้งที่จริงไม่ใช่หน้าที่ผมเลยในทางกฎหมาย

หน้าที่ดูแลปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดเป็นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลมี 3 หน่วยงานใหญ่ คือ 1.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ท่านดร.อำพน กิตติอำพน เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ 2.สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตัวเลขาธิการจะเป็นตำแหน่งการเมือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี เพราะว่ารัฐบาลเพิ่งตั้ง แต่ว่าคนที่รักษาการคือรองเลขาธิการเป็นสุภาพสตรีท่านหนึ่งแต่ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ ท่านกำลังจะเกษียณอายุราชการเดือนตุลาคมนี้ หน่วยนี้เป็นหน่วยแม่บ้านของทำเนียบทั้งหมด และดูแลความสะอาดของอาคาร และก็หน่วยสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)

ทีนี้งานที่ท่านพล.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ผมช่วย คือ การดูแลปรับปรุงอาคารตึกในทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด ผมทำงานมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีคำว่าทุจริต เหลืออีก 2 ปีก็เกษียณแล้ว เคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาแล้วหลายจังหวัด รางวัล ป.ป.ช.ผมก็เคยได้ รางวัลข้าราชการดีเด่นผมก็เคยได้ รางวัลพุทธทองคำผมก็เคยได้ แต่มีสื่อบางสำนักกล่าวหาว่าผมทุจริตคอร์รัปชั่น

รู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่าอาจมีเอี่ยวในการทุจริตคอร์รัปชั่น

มันยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมรักษาเกียรติยศมาก รักจนมีคนมาล้อผม ซึ่งผมได้สุภาษิตนี้มาจากคุณพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วว่า คนชอบล้อคุณพ่อผู้ล่วงลับของผมว่า “รักยศจนอดยัด” คุณเข้าใจเข้านี้ไหม มันหมายถึงว่ารักเกียรติยศ จนไม่ได้ทุจริต ทำให้ไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีอะไรจะยัด

แต่การได้รับมอบหมายให้ได้รับหน้าที่การปรับปรุงดูแลอาคารทั้งหมด ดังนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดซื้ออุปกรณ์ตกแต่งห้องประชุมน่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของท่านด้วย

แต่หน้าที่ผมไม่ได้ครอบคลุมถึงเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่เกี่ยวในคำสั่งที่มีอยู่ ไม่มีแม้แต่ข้อเดียวที่ให้ดูแลการจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องเงินเรื่องทอง คือ ไม่มีเรื่องเงินทองอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องในอำนาจหน้าที่ คุณต้องเข้าใจว่าระบบราชการอยู่ด้วยอำนาจหน้าที่ ถ้าไม่ได้มีคำสั่งให้ผมดูแลเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ผมก็ทำไม่ได้

แต่ในฐานะที่ดูแลเรื่องการปรับปรุงทำเนียบ ประชาชนก็เลยมองว่าน่าจะเข้าไปดูแลเรื่องการจัดซื้ออุปกรณ์ด้วย

ก็เป็นซะอย่างนี้ เขามาตั้งผมให้เข้าไปแต่ก็ไม่ได้ให้อำนาจหน้าที่จัดการ ดังนั้นผมจะทำอะไรได้ ไม่อยากพูดเยอะล่ะ ตอนหลังๆพูดแล้วรู้สึกว่าสื่อบางสำนักไม่เข้าใจผมเลย เขียนแก้ตัวอะไรไปก็เท่านั้น เขาก็จะมองว่าไม่ดีก็คือไม่ดี โดยที่ไม่ได้มองเรื่องความตั้งใจจริงในแต่ละฝ่ายเลย

สรุปว่ากรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้ดูแลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเดียวใช่ไหม

ใช่ แต่เรื่องนี้อย่าไปโทษกรมโยธาธิการฯ ผมเห็นใจท่านอธิบดี เห็นใจกรมศิลปากร เห็นใจผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เห็นใจทุกหน่วยที่ท่านจะบริหารจัดการแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ ตึก พรม ขัดพื้นหินอ่อน แต่ผมไม่มีอำนาจโดยตรงในการจัดซื้อจัดจ้าง เอกสารสักใบหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน เรื่องทอง ไม่เคยผ่านตาผมเลย

ในเมื่อระบุว่ากรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง แสดงว่าหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานเดียวที่ดูแลเรื่องจัดซื้ออุปกรณ์ ทีนี้ประชาชนเลยสงสัยว่า มันเป็นระบบที่เอื้อให้ง่ายต่อการทุจริตไหม เพราะไม่มีหน่วยงานอื่นช่วยตรวจสอบด้วย

การทำงานระบบจะต้องรวดเร็ว ที่เรียกว่าระบบพิเศษ มันจะทำให้เกิดความรวดเร็ว แต่ว่าต้องโปร่งใสนะ ไม่ใช่รวดเร็วแต่กลายเป็นขมุบขมิบกินกัน แต่คำสั่งที่ท่านอดุลย์ แสงสิงแก้ว มอบให้ผม ไม่มีสักนิดว่าได้เงิน ได้ทอง ได้การจัดซื้อจัดจ้าง เขาถึงไม่ได้ส่งเอกสารอะไรมาให้ผมเลย ทุกวันนี้ผมมีความรู้สึกว่า ผมทำงานแบบเดินดูสนาม ดูแลตึก เดินดูทาสี เช็กว่าสีเหม็นไหม

ตามที่ชี้แจงมา คนเลยมองว่าท่านทำงานเหมือนภารโรง

ผมไม่ใช่ภารโรง แต่อาจเป็นปลัดลอยๆ ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่จริงๆ ลองสังเกตดูว่าพอมีเรื่องมีราวขึ้นมา ทุกคนเงียบเฉยกันเชียว

แต่ท่านได้รับมอบหมายงานปรับปรุงอาคารมาแล้ว ตอนนี้มาบอกว่าท่านดูแลแต่การจัดสถานที่ แต่ไม่ได้ทราบการจัดซื้ออุปกรณ์ เลยสงสัยว่าเวลาทำงานไม่มีการพูดคุยกับทุกฝ่ายเหรอ เช่น ต้องซื้ออะไรบ้าง ต้องใช้งบปรับปรุงเท่าไหร่ จะได้ช่วยกันพิจารณาว่าเหมาะสมไหม

คือเป็นรายละเอียดของหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง ก็คือหน่วยงานที่จะจัดสรรว่าใช้เงินเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นมันเป็นงานรีบเร่งมาก

ท่านบอกว่างานรีบเร่งมาก แต่ว่าจะไม่มีการตรวจสอบกันเลยเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ก็ต้องมั่นใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากว่าโกงกัน ก็ควรยกเลิกระบบพิเศษนั้น ไม่ว่าจะหน่วยงานไหนก็ตาม ต้องเลิกทั้งประเทศเลย แต่ตอนปรับปรุงทำเนียบ การจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เราต้องใช้ระบบพิเศษเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการทำงาน ก็เพราะเหตุผลที่ว่า 1. เวลาจำกัด 2.ติดกับคาบเกี่ยวกันกับการใช้งบประมาณ เลยต้องรีบใช้งบ

ดูเหมือนว่าท่านพยายามบอกว่าตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีของท่านไม่มีอำนาจจริงๆ และท่านไม่มีอำนาจในการจัดซื้อ แต่พอเป็นแบบนี้ คนเลยสงสัยว่าอาจเอื้อให้มีการทุจริตได้ เพราะพอท่านไม่มีอำนาจ ท่านก็ตรวจสอบการทำงานของคนอื่นไม่ได้

ก็ลองทุจริตสิ ผมก็จะอาศัยความที่ไม่มีอำนาจให้รู้กันไป ผมก็จะรายงานหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

แต่วันที่ปรับปรุงห้องประชุมเสร็จ ท่านก็ออกหน้าพาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมห้องประชุม แต่พอมีปัญหาท่านก็บอกไม่ใช่หน้าที่ของท่าน คนเลยมองว่าท่านโบ้ย

โถ..ก็วันนั้นท่านอธิบดีอยากอวดห้องประชุมที่ทำเสร็จ ไม่มีอะไรปกปิด แต่ผมไม่ได้โบ้ยนะ แต่สื่อเอาไปเขียนว่าโบ้ย ไม่เคยมีคำว่าโบ้ยออกจากปากผม แต่กลับพูดด้วยซ้ำว่าเรา เป็นข้าราชการ มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แนะนำแล้วก็ช่วยกันชี้แจงเหตุผล เพราะผมสุภาพบุรุษพอ ตั้งแต่รับราชการมาจนกระทั่งอายุ 58 ปี ไม่มีสักครั้งเดียวจะไปโบ้ยงาน โยนความรับผิดชอบให้ชาวบ้าน

แล้วท่านได้คุยกับท่านมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองบ้างไหม ท่านว่าอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้ไม่อยากพูดอะไรมาก ผมสงสารท่านจะตาย ก็ทราบอยู่ใช่มั้ยว่าผมเคยเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยมาก่อน เคยไปประชุมที่กรมโยธาธิการฯ คิดเหรอว่าท่านสบายใจ เหมือนทำคุณบูชาโทษ

แล้วคิดว่าเรื่องนี้เป็นการทุจริตหรือเปล่า

ผมมองว่า เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เขาก็ซ่อมตึกไทยคู่ฟ้า ตึกนารีสโมสร ตึกบัญชาการ 1 ตึกบัญชาการ 2 แล้วที่ไปลงข่าวว่าผมพูดเหน็บให้ไปซื้อเครื่องเสียงที่คลองถม ผมก็แค่อยากพูดเป็นเรื่องโจ๊กบ้างเท่านั้นว่าอยากได้ราคาย่อมเยาก็ไปที่นั่นนะครับ

ท่านบอกว่าอีกฝ่ายแค่ทำหน้าที่ แต่ท่านสงสัยไหมว่าในเมื่อราคาในท้องตลาดจริงๆแล้วไมค์ตัวหนึ่งราคาไม่ถึงแสนบาท แต่ทำไมเราซื้อได้ในราคาแสนสี่ เราซื้อเยอะๆมันน่าจะถูกลงกว่าด้วยซ้ำไป

ไม่ทราบจริงๆ แต่ผมทราบมาว่าเขายังต่อรองราคากันอยู่ ซึ่งเวลาเขาต่อรองราคากัน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย

ประชาชนสงสัยว่าจัดซื้อยังไม่เสร็จ ต่อรองราคากันอยู่ แต่ทำไมติดตั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ได้แล้ว ระบบราชการมันเป็นแบบนี้เหรอ

ก็มีเหมือนกันนะ เท่าที่รู้มา เพราะบางมีบางบริษัทที่เขาอยากจะโชว์เคส อยากให้ลองติดตั้งก่อนแล้วเก็บเงินค่อยว่ากันทีหลัง แม้กระทั่งอาจจะเคยได้ยินมาว่าบางองค์กรมีการให้เช่า มีประกันชั้นหนึ่งให้ ถึงแม้จะไม่ได้กรรมสิทธิ์ หรือบางทีเห็นบอกว่าอยากจะให้ทดลองใช้ก่อน ซึ่งผมว่าเรื่องนี้อาจจะอยู่ในลักษณะนี้ก็ได้

คิดยังไงที่มีการจัดซื้อจอทีวีราคาแพง สำหรับติดตั้งในห้องประชุม ได้ยินว่าทีแรกจัดซื้อราคาจอละ5แสนบาท ทั้งที่ราคาในท้องตลาดไม่น่าแพงขนาดนั้น

ตกใจครับ แต่ผมเชื่อมั่นว่าถ้ามีการทุจริตเกิดขึ้นหั วหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ท่านไม่ยอมแน่ครับ เรื่องนี้กรมโยธาธิการฯ ต้องออกมาชี้แจงเอง เพราะผมไม่รู้จะไปแถลงเรื่องอะไร เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่ากินปูนร้อนท้อง

ท่านคิดว่าจำเป็นแค่ไหนที่ห้องประชุมของทำเนียบฯ ต้องใช้เทคโนโลยีแพงๆ เช่นไมค์แสนสี่ จอทีวีหลายแสน

ถ้าจะมองในเชิงดี ก็ทำให้เกิดความยั่งยืน ความคงทน ความไฮเทค ระบบไอทีทั้งหลาย แต่หากมองในมุมกลับมันก็กลายเป็นความสิ้นเปลืองอยู่ ซึ่งก็ต้องทำให้ทั้งสองอย่างมันพอดีกัน

แล้วการปรับปรุงห้องประชุม ทีแรกตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 67 ล้านบาท ท่านมองว่าเป็นความฟุ่มเฟือยไหม

เรื่องนี้ผมว่าทุกฝ่ายพยายามทำงานกันบนพื้นฐานที่ว่าให้ประหยัดที่สุด โดยบรรทัดฐานที่ทุกฝ่ายคุยกันเท่าที่พูดกันแต่แรก การซ่อมแซมตึก ไม่ว่าจะเป็นตึกนารีสโมสร ตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี ทั้งหมดนี้การซ่อมแซมไม่ใช่เรื่องถูกๆนะ และก็ไม่ใช่ว่าจะซ่อมได้ตามใจ ชอบเพราะกรมศิลปากรเขาคุมทุกเสต็ปเลย เนื่องจากมันเป็นตึกเก่า ก็ต้องให้กรมศิลปากรเข้ามาดูแล ต้องใช้ช่างมีฝีมือ ดังนั้นงบก็อาจต้องใช้มากกว่าปกติ

อย่างตึกบัญชาการ 1, 2 นี่เละเชียว ปล่อยกันมากี่ปี ซึ่งตอนนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ นี่ยังดีที่ไม่ถล่มลงมา เพราะสภาพเพดานพุกร่อน ทำท่าเหมือนจะพังลงมาอยู่ร่อมร่อ ต่อเติมไม่จบไม่สิ้นสักที แต่ตึกบัญชาการ1 นี่เสร็จเร็วกว่า เพราะว่าตั้งใจจะให้เป็นห้องประชุมคณะรัฐมนตรี

ช่วงแรกที่ท่านพาสื่อเข้าชมห้องประชุมใหม่ ดูท่านภูมิใจมาก แต่พอวันนี้โดนกระแสโจมตีในเรื่องใช้งบฟุ่มเฟือย เพราะใช้เทคโนโลยีอุปกรณ์ราคาแพงเหมือนทำเนียบขาว รู้สึกอย่างไร

คำพูดว่าทำเนียบขาวไม่เคยออกจากปากผม ไม่ทราบเหมือนกันว่ามาจากไหน ผมไม่เคยเอาไทยไปเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเขายิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าตึกไทยคู่ฟ้า ตึกนารีสโมสร ตึกสันติไมตรี จะด้อยกว่าเขา แต่ก็ไม่เคยพูดว่าจะไปเลียนแบบเหมือนทำเนียบขาว

ท่านคิดว่าทุกวันนี้ปัญหาคอร์รัปชั่นของข้าราชการไทย เกิดขึ้นจากอะไร

ผมพูดอยู่เสมอกับคุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นว่า สำคัญที่สุดคือ “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” คำนี้ถามข้าราชการรุ่นใหม่ๆ มักตอบไม่ได้ คำนี้หมายถึง ถ้าหัวดำรงความถูกต้อง แม่นยำ สง่างาม ลูกน้อง ลูกทีมก็จะตามได้หมด หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ตามได้แน่นอน แต่ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ หัวเรามันส่าย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ผมจึงพยายามทำหน้าที่นี้อยู่ อยากให้หัวแม่นยำ เหมือนที่ท่านหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติพยายามทำอยู่

แล้วข้าราชการของไทยจะควร “มี” อะไรในตัวเองมากที่สุด เพื่อให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าต่อไป

สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “ซื่อสัตย์สุจริต” ขวนขวายให้ทันเหตุการณ์ภายในประเทศ เหตุการณ์ของโลก ส่วนความเก่ง กล้า สามารถจะเป็นองค์ประกอบที่ตามมา เพราะว่าโดยประสบการณ์ที่เราเห็นมา ความเก่งกล้าสามารถมากซึ่งเป็นสิ่งที่เราน่าชื่นชม แต่กลายเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้คน จนกลายเป็นความเจ็บปวดเสียหาย ระบบเกียรติศักดิ์มันต้องอยู่คู่เมืองไทย แต่ที่ผ่านมา ตัวเราทำเองมากว่า จนทำให้ระบบมันเสียหาย ก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีก

ผมยืนยันว่าอายุผมเท่านี้ ใครจะมองว่าผมเป็นยังก็แล้วแต่ แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนแท้ผมยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่รู้จักผมในแง่ของนิสัยใจคอว่าไม่มีทางจะทำอะไรที่ไม่ดี ดังนั้นผมจะตั้งใจทำงาน จนวาระสุดท้ายของชีวิต ผมข้ามมาจากมหาดไทย ก็จากบ้านมา มาอยู่ที่ใหม่ โชคดีที่ได้มาเจอเพื่อนข้าราชการปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า จะต้องตั้งใจทำงานมากขึ้น



กำลังโหลดความคิดเห็น