คุณผีที่รัก ตอนที่ 9
พีระวิ่งออกมานอกบ้าน แต่อยู่ๆแมนสรวงโผล่มายืนขวาง
“นายจะไปไหน”
“น้ำมนต์ถูกผีคามินเอาตัวไป มันต้องการตัวฉัน มันเลยเอาน้ำมนต์มาเป็นตัวประกัน”
“หา...ผีคามิน มันออกมาจากสุสานรถได้ยังไง” แมนสรวงตกใจ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันแน่ใจว่ามันสิงร่างน้ำมนต์อยู่ แล้วมันก็จะทำอันตรายน้ำมนต์แน่ ถ้าฉันไม่รีบไปหามัน...นายต้องบอกฉันว่ามันเอาน้ำมนต์ไปไว้ที่ไหน”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง”
“เป็นยมทูตต้องรู้ทุกอย่างสิเว้ย”
“ยมทูตไม่ใช่กูเกิ้ลนะเว้ย”
ข้าวต้มรีบร้อนวิ่งออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ แจ๊วตามออกมาด้วย
“ข้าวต้ม จะไปไหน”
“พี่พีระ...พี่น้ำมนต์รับสายแล้วๆ จะคุยกับพี่”
พีระรีบรับโทรศัพท์มาฟัง
“คุณอยู่ไหนน้ำมนต์” พีระฟัง แล้วช็อก
แจ๊วตะลึงผวาถอย
“โทรศัพท์ลอยได้”
พีระกรอกเสียงเข้มใส่โทรศัพท์
“แกพาน้ำมนต์ไปที่ไหน จะทำอะไรน้ำมนต์”
แท็กซี่จอดอยู่บริเวณโกดังท่าเรือ เต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ น้ำมนต์ก้าวลงมาจากรถ พร้อมพูดโทรศัพท์ แต่เป็นเสียงคามิน
“ฉันจะรอแกแค่หนึ่งชั่วโมง ถ้าแกไม่มา ฉันจะเอาวิญญาณนังคนนี้ไปแทน”
น้ำมนต์วางสาย
พีระตกใจ ช็อก กลัวน้ำมนต์มีอันตราย
“น้ำมนต์...”
พีระมองนาฬิกา แล้วรีบวิ่งไป แต่ข้าวต้มรีบขวาง
“เดี๋ยวๆ จะไปไหนครับ เค้าไปด้วย”
“พี่จะไปช่วยน้ำมนต์” พีระคืนมือถือ “เราอยู่ที่นี่ อย่าให้พี่เป็นห่วง เข้าใจมั้ย”
ข้าวต้มพยักหน้ารับ พีระรีบวิ่งพรวดไป ข้าวต้มรีบเอามือถือมาแนบหูคุยต่อ
“ฮัลโหลๆ พี่น้ำมนต์อยู่ที่ไหน บอกเค้าอีกทีได้มั้ยครับ โหลๆ”
แจ๊วกลัว ก้าวขาไม่ออก
“น้องข้าวต้ม จะไปไหน มาช่วยพาพี่เข้าบ้านก่อน”
“คนที่จะช่วยเธอ มานั่นแล้ว โชคดีนะ” แมนสรวงรีบตามพีระไป
เจี๊ยบวิ่งกลับเข้ามาได้ยินแจ๊วเรียกให้ข้าวต้มช่วยพอดี เลยเข้าไปอุ้มแจ๊วขึ้นมาเลย
“จะให้พาเข้าบ้านเฉยๆหรือเข้าห้องนอนเลยดีจ้ะ...” เจี๊ยบดักคอ “ไม่ต้องเกรงใจ ขนาดเจ๊แมวกับงอแง พี่เจี๊ยบยังไปส่งกลับบ้านได้ มีหรือจะส่งน้องแจ๊วไม่ได้”
“ปล่อยฉัน...ปล่อย”
เจี๊ยบอุ้มแจ๊วเข้าบ้านไป แจ๊วโวยวายๆ
หน้าโกดังท่าเรือ...น้ำมนต์เดินตรงไปข้างหน้า จะเข้าไปด้านใน คนขับแท็กซี่ลงจากรถตามมา ทวงเงินค่าโดยสาร
“เฮ้ นังหนู จะให้ลุงรอค่ารถอีกนานมั้ย”
คนขับแท็กซี่เห็นว่าคนที่หันกลับมาคือคามิน คนขับผงะ เซถอย
“เฮ้ย”
คนขับแท็กซี่ตกใจ เพ่งมองอีกที จึงเห็นว่าเป็นน้ำมนต์ที่เดินตรงไปข้างหน้า
“จ่ายค่าโดยสารมาก่อนสิ”
คนขับตามเข้าไปคว้ามือ แต่ปรากฏว่าคามินหันกลับมาจ้องด้วยดวงตาแดงก่ำ คามินคำรามแล้วจับคอเสื้อคนขับแท็กซี่ เหวี่ยงจนตัวลอยไปตกกระแทกชนกองสิ่งของแถวนั้นกระจาย คนขับระบม แต่พอเงยหน้ามามอง เห็นคามินอยู่ในร่างน้ำมนต์
“ผี...เอ็งเป็นผี...ช่วยด้วย”
คนขับแท็กซี่ลนลานวิ่งหนีไปขึ้นรถ ขับหนีไปอย่างรวดเร็ว น้ำมนต์ยิ้มร้ายกาจ
ข้างทางละแวกบ้านน้ำมนต์...แมนสรวงโผล่มาขวางหน้าพีระ
“จะรีบไปไหน ใจเย็นๆก่อน นายก็รู้ว่าไอ้คามินมันต้องการวิญญาณของนาย แล้วยังจะมุทะลุไปให้มันดูดวิญญาณอีกเนี่ยนะ”
“ฉันรู้ แต่ฉันปล่อยให้น้ำมนต์เป็นอันตรายไม่ได้”
“ฉันก็ไม่ได้บอกให้นายทิ้งน้ำมนต์ แต่ถ้าจะไป ก็ต้องไปอย่างรอบคอบ รัดกุม และมีโอกาสรอดปลอดภัย...สมองน่ะมีมั้ย”
พีระงง ข้องใจ
โกดังท่าเรือตระหง่านสูงใหญ่ บรรยากาศสงบ ลึกลับ สักพัก มีเสียงเหล็กขูดกระทบกัน...น้ำมนต์ที่กำลังเดินเข้ามา โดยที่มือถือท่อนเหล็กเล็กๆเอาๆไว้ครูดมันกับตู้คอนเทนเนอร์ไปด้วย แท้จริงคือคามินนั่นเอง คามินเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ
อัฐชัยวิ่งเข้ามาภายในบ้านน้ำมนต์ พิมพ์ดาวตามหลังมา
“ข้าวต้ม น้ำมนต์กลับมาหรือยัง”
“ยังไม่กลับครับ แต่พี่พีระกำลังไปหาแล้ว เดี๋ยวคงจะกลับมาพร้อมกัน”
“ไปหาที่ไหน” อัฐชัยร้อนใจ
“บอกก็กลัวดิ” ข้าวต้มตอบกวนๆ
“ข้าวต้ม” อัฐชัยหงุดหงิด
พิมพ์ดาวร้อนใจ
“ข้าวต้ม พี่สาวเรากำลังมีอันตรายนะ ถ้ารู้ว่าน้ำมนต์อยู่ที่ไหนก็บอกมา พวกพี่จะได้ตามไปช่วย”
“ปล่อยให้คนเป็นแฟนกันดูแลกันเองดีแล้ว คนอื่นกลับบ้านไปเถอะครับ”
ข้าวต้มเดินเข้าบ้าน อัฐชัยหงุดหงิด อยากรู้ให้ได้จ้องมองแจ๊ว
“อย่ามองแจ๊วสิคะ แจ๊วก็ไม่ทราบอะไรเหมือนกัน”
“ง้อผมสิครับ ง้อแล้วจะบอก” เจี๊ยบยิ้มๆ
อัฐชัยกังวลใจมาก
“บอกผมเถอะพี่ ผมจะได้รีบไปช่วยน้ำมนต์”
“ง้อแล้ว เคๆ งั้นบอกก็ได้...ไม่รู้”
“พี่เจี๊ยบ” พิมพ์ดาวดุ
อัฐชัยรีบไปตามง้อข้าวต้ม
“ข้าวต้ม”
พีระวิ่งเข้ามาถึงบริเวณโกดังท่าเรือ มองนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่มาก เขารีบวิ่งเข้าไปภายในโกดังอย่างร้อนใจ
“ไอ้คามิน แกอยู่ไหน ฉันมาแล้ว ปล่อยน้ำมนต์ซะ”
พีระวิ่งมาโผล่อีกด้าน แล้วต้องชะงัก เพราะพบว่าน้ำมนต์ยืนอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์หนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปยืนในลักษณะปลายตู้ ไม่รู้ว่าจะโดดลงมาหรือเปล่า
“น้ำมนต์”
น้ำมนต์หันหน้ากลับมา ดีใจที่พีระมาช่วยเหลือตน
“พีระ”
พีระดีใจ รีบวิ่งไปหา ปีนอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว ไปถึงตัวน้ำมนต์ ดึงให้พ้นออกมาจากปลายตู้
“เธอปลอดภัยดีใช่มั้ยน้ำมนต์ มันไม่ได้ทำอะไรเธอใช่มั้ย”
แต่แล้วอยู่ๆแววตาที่อ่อนโยนของน้ำมนต์ก็เปลี่ยนกลายเป็นแววตาของคามิน แดงวาบอำมหิต พีระผงะ
“น้ำ...น้ำมนต์...”
น้ำมนต์คว้าหมับที่คอของพีระ สีหน้าเหี้ยมโหดซาดิสต์
“แกต้องเป็นของฉัน”
แต่พีระกลับยิ้ม หึๆ ฉายแววเจ้าเล่ห์ น้ำมนต์ฉงน
“คิดไว้แล้ว...ทายสิว่าฉันสวมอะไรไว้ที่คอ...ดูปาก...แล้วออกเสียงตามฉันนะ พอ-รอ-อะ-พระ...วิญญาณบริสุทธิ์อย่างฉันเป็นมิตรกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เหมือนวิญญาณกุ๊ยข้างถนนอย่างแก...เพราะฉะนั้น เตรียมตัวรับพรนะโยม”
น้ำมนต์ผงะ เหลือบมอง เห็นว่ามีสร้อยพระที่คอ เปล่งแสงเรืองรอง
“อ๊าก”
คามินกระเด็นพุ่งถอยออกจากร่างของน้ำมนต์ทันที ในขณะที่ร่างน้ำมนต์ยืนอยู่ที่เดิมและกำลังจะหมดสติ ร่วงผล็อย พีระประคองเอาไว้
“น้ำมนต์”
พีระยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของน้ำมนต์ก็ถูกพลังของพวกวิญญาณเร่ร่อนลูกสมุนของคามินกระชากตัวไปอย่างรวดเร็ว ลอยพุ่งไป พีระตกใจ
“น้ำมนต์”
พีระจะตามไปช่วย แต่คามินโผล่กลับมายืนขวางหน้า พีระผงะ รู้ว่าผ่านคามินไปไม่ได้แน่
อีกด้าน น้ำมนต์ถูกดึงลากมา โดยพลังวิญญาณเร่ร่อนเป็นหมอกควันดำที่วนเวียนไปมารอบตัว เสียงหัวเราะแหลมประหลาดฟังดูน่ากลัว พวกผ่านมุมนั้น มุมนี้ แล้วที่ปลายทาง ตู้คอนเทนเนอร์ตู้นึงก็เปิดประตูรอเอาไว้อยู่แล้ว น้ำมนต์ถูกลากเข้าไปในตู้ แล้วประตูตู้ก็ปิดทันทีที่ล็อกต่างๆของตู้คอนเทนเนอร์ ล็อกเองอัติโนมัต
พีระเผชิญคามิน อยากจะไปช่วยน้ำมนต์ แต่คามินขวางไว้
“ไอ้ผีเจ้าเล่ห์ วันนี้ฉันจะต้องได้พลังวิญญาณบริสุทธิ์ของแก”
“แกต้องการอะไร ปล่อยน้ำมนต์ไป”
“ปล่อยแน่ ถ้าแกถอดสร้อยออก แล้วเอาวิญญาณแกมาแลก”
พีระห่วงน้ำมนต์มาก ค่อยๆถอดสร้อยออกมา มองที่พระในสร้อยนั้นอย่างชั่งใจ ด้วยสายตาอธิษฐานวิงวอนให้พระท่านช่วย แล้วพีระก็นิ่งไป เหมือนถ่วงเวลาอยู่
“จะนิ่งอยู่ทำไม ทิ้งไป”
แมนสรวงเดินเข้ามายืนด้านหนึ่ง มองไปที่ตู้คอนเทนเนอร์ที่น้ำมนต์โดนขังอยู่ เขาจับตาดูอยู่แล้ว
“ขังน้ำมนต์ไว้ในคอนเทนเนอร์ พวกมันคิดจะทำอะไร ถ่วงเวลาไว้ก่อนนะพีระ ฉันจะหาทางช่วยน้ำมนต์เอง”
ผีตัวหนึ่งมายืนด้านหลัง แมนสรวงรับรู้ได้ เสียวสันหลังวาบ หันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นผีเร่ร่อน แล้วอยู่ๆด้านหลังผีเร่ร่อนตัวนี้ ก็ปรากฏร่างผีเร่ร่อนอีกมากมายขึ้นมายืนตามตู้คอนเทนเนอร์ต่างๆ ล้อมรอบแมนสรวงทุกด้าน แมนสรวงผงะ
โกดังท่าเรือ...พีระยังนิ่ง เหลือบมองผ่านหน้าคามินไปแว่บหนึ่ง จนเขารู้สึกผิดสังเกต คามินรู้ทัน
“แกตั้งใจจะถ่วงเวลา มีใครมาช่วยแก คิดจะหลอกฉันเหรอ ดี...ฉันจะไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะ”
“อย่า ฉันยอมแล้ว ฉันจะวางพระเดี๋ยวนี้”
ในตู้คอนเทนเนอร์ น้ำมนต์ค่อยๆได้สติลืมตาขึ้นมา ค่อยๆมองรอบๆ พบว่าภายในตู้นั้นมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ที่ไหนเนี่ย”
น้ำมนต์สัมผัสผนังตู้แล้วเคาะผนังเพื่อทดสอบว่าคือเหล็กจริงอย่างที่คิด ทำให้เกิดเสียงแก๊งๆสะท้อนเป็นเอ็คโค่ไป ให้ความรู้สึกวังเวง เวิ้งว้าง
“ตู้คอนเทนเนอร์เหรอ ทำไมเรามาอยู่ที่นี่ได้”
แล้วอยู่ๆมีเสียงเคาะผนังเหล็กดังมาจากปลายอีกด้านของตู้ ที่เป็นมุมมืด...แก๊งๆ น้ำมนต์ผงะ สยอง
“ใครอยู่ตรงนั้น”
น้ำมนต์เพ่งมองไปในความมืด กลัวๆ
แมนสรวงเผชิญหน้ากลุ่มวิญญาณเร่ร่อน
“พวกแก...ทำตามคำสั่งไอ้ผีคามินใช่มั้ย ให้มันได้อย่างนี้สิ รู้มั้ยว่าทำไมพวกแกถึงต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อน เพราะความชั่วร้ายเลวทรามของพวกแกมันไม่คู่ควรกับการไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่คู่ควร ถึงต้องเร่ร่อนอย่างนี้”
ไม่ทันขาดคำ มีวิญญาณตนนึงโดดลงมาจากคอนเทนเนอร์ด้านบน ทับตัวแมนสรวงลงไป มันแยกเขี้ยวยาว คำรามแฮ่แล้วงับลงมาที่แมนสรวง
พีระทำท่าจะวางสร้อยพระลงอีกด้าน
“แกจะปล่อยน้ำมนต์แน่ใช่มั้ย”
“วางพระลง”
คามินฉุน มองไปที่เศษเหล็กทางด้านหนึ่ง ทำให้เศษเหล็กนั้นพุ่งมาใส่ พีระตกใจ มือปล่อยพระ รีบผวาหลบ แล้วคามินก็โผล่ไปยืนตรงหน้าทันที ทุกอย่างรวดเร็วมาก
“แกต้องเป็นของฉัน”
คามินคว้าหมับที่คอทันที แต่แทนที่พีระจะกลัว เขาคว้ามือคามินจับยึดเอาไว้ไม่ให้ดึงมือออกไปไหนได้ คามินผงะ รู้สึกร้อนที่มือ รู้ตัวว่าติดกับ
“โอ๊ย”
“คือแบบว่า ห้อยพระมาสองเส้น”
พีระจับมือคามินแน่น ยิ้มเจ้าเล่ห์ จะเล่นงานคามินคืน คามินผงะ แต่ไม่ยอมแพ้ พยายามสะบัด แล้วออกแรงดันสุดแรง คามินคำรามลั่น เพราะยังถูกพีระจับมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“อ๊าก”
คามินพยายามจะกระชากออก พีระไม่ปล่อย ยิ่งจับแน่น คามินเหวี่ยงไปมา พุ่งเอาพีระไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์ คามินดันพีระไปจนหลังติดกำแพง พีระบาดเจ็บสะบักสะบอมไม่น้อย แต่ยังมีแรงฮึดจับคามินไม่ปล่อย
“ปล่อยฉัน”
“คามิน วันนี้แกจะต้องทรมานและดับสลายไปด้วยพระพุทธคุณ”
คามินคลั่ง ทั้งเจ็บปวดทั้งเคียดแค้น จับพีระกระแทกซ้ำๆ
“อ๊ากๆ”
แมนสรวงใช้มือยันผีตัวที่กำลังอ้าปากจะงับอยู่
“อี๋ น้ำลายหกหมดแล้ว อยากงับนักใช่มั้ย เอาเลย”
แมนสรวงปล่อยมือให้ผีตนนั้นงับลงมาที่ไหล่ แล้วแมนสรวงก็ใช้มือวางที่ศีรษะผีตนนั้น เป็นวิธีการในการส่งผีเร่ร่อนไปชดใช้กรรมในนรก
“จงไปรับใช้กรรมของแก ไป”
ผีเร่ร่อนที่ถูกจับหัว สลายหายกลายเป็นอากาศไปในทันที แมนสรวงหันไปจัดการตัวอื่นๆต่อ
“ใครอยากให้ยมทูตสุดหล่อส่งวิญญาณอีก ก็เข้ามา”
พวกผีเร่ร่อนดาหน้าเข้ามา แมนสรวงผงะ
“เฮ้ย นี่ไม่กลัวตายกันเลยเหรอ”
พวกผีพุ่งเข้าใส่แมนสรวง
ในตู้คอนเทนเนอร์...น้ำมนต์ยืนชิดประตูตู้ กลัว ระวังตัว ไม่รู้ว่าเผชิญอยู่กับอะไร
“ใครอยู่ตรงนั้น”
มีเสียงเคาะดังสะท้อนกลับมาแทนคำตอบ น้ำมนต์เพ่งมองเข้าไป ปรากฏแสงสีเขียวของลูกตาสว่างวาบขึ้นมา น้ำมนต์ผงะ อะไรบางอย่างนั้นค่อยๆเข้ามาหาน้ำมนต์ช้าๆ มีเสียงครืดคราดแบบคนลากก้อนเนื้อมากับพื้น ผีตัวขาวเผือกทั้งตัว คลานออกมาในท่ายองๆเหมือนกอลลั่ม แววตาเย็นชา ไม่เป็นมิตร น้ำมนต์ร้องลั่น
“อ๊าย”
เสียงกรี๊ดของน้ำมนต์ดังลั่น พีระที่ยังจับมือคามินเอาไว้แน่นถึงกับผงะ เป็นห่วงน้ำมนต์
“น้ำมนต์”
คามินอาศัยจังหวะที่พีระเผลอ บวกกับความบอบช้ำของพีระ เหวี่ยงพีระกระเด็นไปไกล ไปตกกระแทกอีกด้าน แต่คามินก็ถึงกับอ่อนแรงมาก เข่าทรุดไปข้างนึง ยันตัวลุกไม่ไหว เคียดแค้น อาฆาต พีระยันตัวขึ้นมาได้ เป็นห่วงน้ำมนต์ รีบวิ่งไป
แมนสรวงผวาถอยหนีจากพวกผีเร่ร่อนมา ได้ยินเสียงร้องของน้ำมนต์ดังมา แมนสรวงจะปีนขึ้นไปช่วยน้ำมนต์ แต่กลับถูกพวกผีเร่ร่อนกระชากให้ล้มหงายลงมา แล้วพวกผีก็รุมจับมือแมนสรวงเอาไว้ เพื่อให้ไม่สามารถส่งวิญญาณได้
“เฮ้ย แน่จริงปล่อยมือสิ ฉันจะส่งพวกแกไปนรกให้หมดเลย”
พีระวิ่งผ่านมาตามหาน้ำมนต์ แมนสรวงรีบเรียก
“พีระ...ช่วยด้วย น้ำมนต์อยู่ในตู้นั้น มาช่วยฉันก่อน”
พีระมองแมนสรวง แต่พอมีเสียงร้องของน้ำมนต์ พีระก็ตัดใจวิ่งปีนไปช่วยน้ำมนต์ก่อน
“เฮ้ย มาช่วยฉันก่อนเซ่”
คามินยันตัวยืนขึ้นมาอย่างบอบช้ำ แต่สีหน้าเหี้ยมยังไม่ยอมแพ้
“แก...ไอ้พีระ คิดว่าสมองแกแน่นักเหรอ ฉันจะให้แกดูมันตาย”
พีระรีบปีนขึ้นไป แต่ยังไม่ทันถึงตู้นั้น อยู่ๆตู้ก็ถูกยกขึ้นให้ลอย
“เฮ้ย น้ำมนต์”
พีระตกใจ รีบปีนไป พยายามจะกระโดดเกาะตู้ไว้ แต่ไม่ทัน เขาหันมองหาต้นเหตุว่าใครยก พบว่าคนงานชายคนหนึ่งกำลังนั่งควบคุมรถที่ยกตู้คอนเทนเนอร์ตู้นั้นอยู่
“มันจะเอาน้ำมนต์ไปไหน” พีระมองตาม แล้วอยู่ๆก็นึกได้ “หรือว่ามันจะยกขึ้นไปให้สูงแล้วทิ้งให้น้ำมนต์ตกลงมากระแทก...ตาย...”
พีระเป็นห่วงน้ำมนต์ รีบวิ่งไปทันที...ภายในตู้ น้ำมนต์พยายามยืนทรงตัว เพราะมันเซไปมา เธอจะเสียหลัก
บริเวณรถยกตู้คอนเทนเนอร์ พีระวิ่งมาถึงที่รถ พบว่ามีคนงานชายมีรอยสักในจุดที่พ้นเสื้อผ้าออกมาให้เห็นได้ ถูกผีสิงให้ควบคุมรถคันนั้นอยู่ พีระพยายามจะสั่งให้ชายคนนั้นหยุด
“หยุดเดี๋ยวนี้ วางตู้ลงมา”
แต่ชายคนนั้นไม่รับรู้ พีระจะกระชากชายคนนั้นออก แต่ชายคนนั้นนั่งนิ่งมาก ไม่ไหวติง อยู่ๆแมนสรวงโผล่มา
“หลบไป”
แมนสรวงพุ้งเข้ามาโหนหลังคารถด้านบนแล้วถีบชายคนนั้นให้กระเด็นออกไปจากรถ แมนสรวงตามไปโดดคร่อมทับชายคนนั้นเอาไว้ ไม่ให้ไปขัดขวางพีระได้
ภายในตู้ ตู้เอียงวูบ เกิดจากการไม่มีคนควบคุมรถชั่วขณะ น้ำมนต์เซ ร้องว้าย ในขณะที่ผีตัวซีดยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไหลเอนไปตามแรงโน้มถ่วงเหมือนมนุษย์ มันค่อยๆคลานเข้าไปหาน้ำมนต์
พีระเข้านั่งควบคุมรถยกแทน มองกลไกวงจรของรถที่ไม่คุ้นเคยเลย แต่ต้องตัดสินใจเสี่ยง พยายามควบคุมมันให้เอาตู้คอนเทนเนอร์ลงมา
“ต้องเอาตู้ลงมาวางให้ได้ น้ำมนต์ต้องปลอดภัย”
แต่อยู่ๆคามินเดินเซเข้ามายืนมอง
“ฉันจะทำให้มันตกลงมา”
คามินยกมือ น้อตที่ยึดสลิงสำหรับยกกับตัวคอนเทนเนอร์ค่อยๆคลายตัวเองออกและหลุดออก ตู้คอนเทนเนอร์เอียงวาบไปด้านหนึ่ง
ภายในตู้ น้ำมนต์กลิ้งไปอีกด้าน ร้องว้ายลั่น และพอลืมตามองอีกที พบว่าตัวเองกลิ้งมาประจันหน้ากับผีตัวซีดแล้ว น้ำมนต์ผงะ ตาโต ร้องไม่ออก
พีระพยายามควบคุมรถต่อไป คามินคำราม
“แกไม่ตาย มันก็ต้องตาย”
น้อตอีกตัวที่ล็อกตัวคอนเทนเนอร์เอาไว้กำลังคลายตัวอีก แต่อยู่ๆแมนสรวงพุ่งเข้ามาชนคามินไปทั้งตัว
“ปล่อยพีระ”
แมนสรวงกับคามินกลิ้งเกลือกไปด้วยกัน แมนสรวงกดคามินเอาไว้
“อยากไปลงนรกมั้ย ฉันส่งแกไปให้เอง”
คามินจับมือแมนสรวงเอาไว้ ยื้อแรงกัน คามินผลักแมนสรวงกระเด็น แล้วรีบหายตัวไปก่อน อย่างรวดเร็ว แมนสรวงโวยวาย
“แน่จริงอย่าหนีสิวะ เฮ้ย”
พีระบังคับรถ เอาตู้คอนเทนเนอร์ลงมาตั้งได้พอดี
“น้ำมนต์”
พีระรีบวิ่งไปที่คอนเทนเนอร์
พีระวิ่งพุ่งทะลุผนังตู้เข้ามา น้ำมนต์ใกล้หมดสติเพราะถูกผีตัวซีดนั่งทับตัวเอาไว้จนหายใจไม่ออก
“น้ำมนต์...”
มีแสงเรืองรองของสร้อยพระที่คอ ผีตัวซีดก็หายไป พีระรีบไปดูอาการ น้ำมนต์สลึมสลือเห็นหน้าพีระ น้ำมนต์เห็นหน้าพีระเบลอๆไม่ชัดเจนนัก
“นาย...พี...”
“น้ำมนต์...คุณอย่าเป็นอะไรนะ”
พีระลูบหัวจัดผม แต่น้ำมนต์กลับสลบน้อกไป พีระตะลึง คิดว่าตาย
“น้ำมนต์ ไม่นะ คุณต้องไม่เป็นอะไร ฟื้นสิ น้ำมนต์ฟื้น” พีระดึงมากอด “น้ำมนต์ฟื้นสิ”
ภายนอก อัฐชัยตามหาน้ำมนต์เข้ามา
“น้ำมนต์...เธออยู่ไหน”
อัฐชัยวิ่งตามหามาถึงด้านหนึ่ง แล้วก็พบว่าประตูตู้คอนเทนเนอร์ตู้นึงเปิดออกเองต่อหน้าต่อตา ภายในมีน้ำมนต์นอนหมดสติอยู่ โดยมีพีระกอดน้ำมนต์อยู่
“น้ำมนต์”
แมนสรวงคือคนเปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์นั้น
อัฐชัยรีบพุ่งเข้ามาดูแลน้ำมนต์ เห็นน้ำมนต์นั่งอยู่ในท่าถูกประคอง ก็เข้าใจได้ว่าพีระอยู่ตรงนี้
“พีระ..แกปล่อยน้ำมนต์นะ” อัฐชัยดึงน้ำมนต์มาประคอง “แกจะไปไหนก็ไป”
พีระจำต้องถอยออกมา ได้แต่ยืนมอง ปล่อยให้อัฐชัยดูแลน้ำมนต์ไป เพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้ หันไปเห็นแมนสรวงอยู่ข้างๆ
“แมนสรวง...น้ำมนต์...ตายแล้ว”
พีระจะโผกอดแมนสรวง แต่แมนสรวงดีดติ่งหู
“น้ำมนต์แค่สลบ ยังไม่ตาย”
“หา...จริงเหรอ” พีระตาโต
แมนสรวงบ่นๆประชดๆ
“เสพดราม่ามากไปนะเรา”
พีระรีบหันกลับไปมองอัฐชัยดูแลน้ำมนต์
“น้ำมนต์...ทำใจดีๆไว้นะ”
อัฐชัยรีบหยิบมือถือกดโทรตามรถพยาบาล พีระยืนมองอย่างเศร้าที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ แมนสรวงหันมาบอก
“ยกหน้าที่ดูแลน้ำมนต์ให้นายอัฐชัยไปเถอะ มันควรจะต้องเป็นอย่างนี้ถูกต้องแล้ว”
พีระเศร้า ได้แต่มอง
สำนักอาจารย์เทพ...คามินนั่งทรุดอยู่ต่อหน้าอาจารย์เทพ
“เดี๋ยวนะ...นี่ฉันเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ไอ้พีระหนีไปได้ แล้วแกก็ถูกเล่นงานจนมีสภาพอย่างนี้ แกเป็นขาใหญ่คุมสุสานรถไม่ใช่เหรอ แต่แกถูกไอ้ผีเมื่อวานซืนเล่นงานเนี่ยนะ”
“ถ้ามันเพียงลำพัง ไม่มีทางหนีรอดหรอก แต่นี่มันมียมทูตมาช่วย”
“ยมทูต”
“วิญญาณบริสุทธิ์ จะมียมทูตเป็นผู้นำทางเพื่อกลับคืนสู่ร่าง...ไอ้ยมทูตมันช่วยปกป้องพีระ ถ้าไม่มีมัน ไอ้พีระหนีไม่รอดแน่”
เกี๊ยงแทรกขึ้น
“แสดงว่า...ไอ้พีระมียมทูตเป็นมือขวา งั้นถ้าเราจะจัดการพีระ ก็ต้องจัดการยมทูตก่อนหรือเปล่าครับจารย์”
“ต่อให้มันเป็นยมทูตหรือเทวดานางฟ้าที่ไหน ฉันไม่สน ถ้ามันกล้ามาขวางทางฉัน...มันต้องถูกกำจัด”
อาจารย์เทพแค้นพีระ คิดจัดการ
เช้าวันใหม่...แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหน้าต่าง นกบิน ใบไม้ไหว น้ำมนต์ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียง อัฐชัยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นให้ อัฐชัยใส่เฝือกอ่อนที่แขน และมีพันแผลเล็กๆที่ศีรษะ
“ตื่นแล้วเหรอ”
น้ำมนต์ปลกใจ
“อัฐ...ที่นี่...เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดเรื่องไม่ดีกับน้ำมนต์น่ะสิ โชคดีที่อัฐตามไปช่วยได้ทัน ถึงได้ปลอดภัย ไม่อยากนั้น อัฐไม่อยากจะคิด”
“ดีนะที่ข้าวต้มยอมบอกว่าแกอยู่ที่ไหน อัฐถึงได้ตามไปช่วยแกทัน” พิมพ์ดาวเสริม
“เมื่อคืนเราไปช่วยพี่เอมี่ตัดต่อรายการ แล้วทำไมฉันมาอยู่โรงพยาบาลได้” น้ำมนต์ทบทวน
“แกจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง ผลักเพื่อนซะกระเด็น ยังจำไม่ได้อีก” พิมพ์ดาวหันไปจัดอาหาร
“เมื่อคืนฉันทำอะไร” น้ำมนต์ส่ายหน้า
“น้ำมนต์พยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการโดดให้รถไฟทับ” อัฐชัยโกหก
“หา” น้ำมนต์หน้าตื่น
“แต่น้ำมนต์ไม่ได้สินใจที่จะทำด้วยตัวเอง เพราะน้ำมนต์ถูกผีเข้า”
“ผีเข้า” น้ำมนต์ตะลึง
“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่ผีที่ไหนด้วย...พีระ” อัฐชัยใส่ความ
น้ำมนต์อึ้ง งง ไม่อยากเชื่อ
ม้านั่ง ภายในโรงพยาบาล พีระอยู่กับแมนสรวง
“ผีคามิน มันต้องการพลังวิญญาณบริสุทธิ์ของนายเพื่อทำให้มันสามารถยึดร่างกายของนายไปเป็นของมันได้โดยสมบูรณ์..ตอนนี้มันไม่ได้ถูกกักขังอยู่แต่ในสุสานรถแล้ว มันจะต้องตามล่านายจนกว่ามันจะได้สิ่งที่มันต้องการแน่”
“หมายความว่า...ฉันมีศัตรูเป็นผีเพิ่มมาอีกหนึ่งเหรอ”
“ช่าย ศัตรูของนายมีทั้ง คน หมอผี และผีร้าย สามแบบสามสไตล์ นายเป็นวิญญาณซุปตาร์ชัดๆ ฮอตมาก”
“ถ้าพวกมันมาทำร้ายฉัน ฉันไม่กลัวหรอก แต่อย่าไปทำร้ายน้ำมนต์สิ”
“นายห้ามไม่ได้ คนชั่วมันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่มันต้องการ แม้แต่การฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างน้ำมนต์”
“หา” พีระตกใจ
“นายก็เห็นแล้วว่าผีคามินมันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้วิญญาณของนาย ถ้านายรักและเป็นห่วงน้ำมนต์จริง นายคงไม่อยากให้เขาต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วย ใช่มั้ย”
พีระอึ้ง เครียด
คุณผีที่รัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในห้องพักคนไข้...น้ำมนต์กำลังตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าพีระเข้าสิงตน
“พีระเข้าสิงฉันงั้นเหรอ...จริงเหรอดาว”
อัฐชัยหันมาจ้องพิมพ์ดาวด้วย เป็นเชิงกดดันให้ช่วยตนโกหก แต่พิมพ์ดาวไม่อยากโกหกเพื่อน และก็ไม่อยากขัดคออัฐชัย
“ฉัน...ฉันไม่ได้ตามไปที่สถานีรถไฟ แต่ตอนอยู่ที่สถานีพราวด์ แกดูเหมือนถูกผีเข้าจริงๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าผีตัวไหนเข้าสิงแก”
อัฐชัยรีบใส่ไฟ
“จะมีใครถ้าไม่ใช่พีระ...เขาทำร้ายอัฐตั้งแต่ที่ไปถ่ายรายการคอนโดร้าง วางแผนทำร้ายพี่ไตปลาระหว่างซ้อมละคร แล้วนี่ เขาเข้าสิงน้ำมนต์ ทำร้ายพวกเราทุกคน และจะฆ่าน้ำมนต์อีก อัฐทนไม่ได้”
“ไม่จริง ถ้าพีระจะฆ่าฉัน เขามีโอกาสฆ่าเยอะแยะ ทำไมเพิ่งมาทำ” น้ำมนต์ไม่เชื่อ
“เพราะความทรงจำของเขาเริ่มกลับมาแล้วไง พอจำได้ นิสัยเดิมๆกลับมา คนที่เคยซาดิสต์โหดร้าย ตายไปก็เป็นผีซาดิสต์โหดร้ายไม่เปลี่ยน น้ำมนต์ต้องเชื่ออัฐนะ”
“ไม่...ฉันไม่เชื่อ พีระจะทำร้ายฉันทำไม ไม่มีเหตุผลเลย”
“เพราะเขาอยากให้น้ำมนต์ไปอยู่ด้วยไง เขารู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมามีชีวิตอีกก็ได้ เขาก็เลยจะพาน้ำมนต์ไปด้วย”
พิมพ์ดาวมองอย่างลำบากใจ อึดอัด ชักเริ่มทนไม่ได้ ตัดสินใจเดินออกไปจากห้องทันที
พิมพ์ดาวพุ่งออกมาด้านนอกห้อง สับสน พยายามตั้งสติ แล้วเดินไปหาที่นั่ง โดยไม่รู้เลยว่าพีระกับแมนสรวงนั่งเครียดอยู่ก่อนแล้ว พิมพ์ดาวสับสน เครียด
“ฉันจะต้องช่วยอัฐโกหกเพื่อนไปอีกนานแค่ไหน ฉันไม่อยากทำ ไม่อยากโกหกน้ำมนต์เลย”
“ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ” แมนสรวงพูดลอยๆ
“แต่ถ้าฉันไม่ทำ อัฐก็จะโกรธที่ฉันไม่ช่วยให้เขาสมหวัง”
“โกรธก็ให้เขาโกรธไปสิ” แมนสรวงพูดต่อ
“แล้วยัยลูกโป่งก็อาจจะคิดว่าเพราะฉันอยากเก็บอัฐชัยเอาไว้เป็นของตัวเอง มันก็จะเท่ากับว่าฉันแทงข้างหลังเพื่อน”
“อีหนูเอ๊ย เลิกเป็นนางเอกผู้เสียสละซะที ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ทำอะไรซื่อๆง่ายๆไม่ซับซ้อนบ้าง ชีวิตจะได้แฮปปี้” แมนสรวงถอนใจ
“เงียบ” พิมพ์ดาวตวาด
แมนสรวงผงะ นึกว่าโดนด่า
“หือ”
“จิตฝ่ายต่ำมาครอบงำ ออกไปนะ ไปๆ” พิมพ์ดาวโบกมือขับไล่ ราวกับไล่แมนสรวง “เราต้องไม่ปล่อยให้จิตต่ำมาครอบงำได้...อัฐชัยจะทำให้น้ำมนต์มีความสุข เราต้องทำเพื่อความสุขของเพื่อนต่อไป”
พิมพ์ดาวลุกออกไป แมนสรวงเซ็ง ระอา แล้วหันมาหาพีระที่อยู่ที่เดิม
“ยัยนั่นได้คำตอบแล้ว นายล่ะ จะทำเพื่อความสุขของน้ำมนต์ได้มั้ย”
อัฐชัยล้วงหยิบสร้อยคอที่ห้อยคอตัวเองไว้ออกมา
“อ้ะ...อัฐเอาผ้ายันต์อาจารย์เทพมาทำเป็นสร้อยให้ น้ำมนต์เคยมี แต่ไม่ยอมพกติดตัว ครั้งนี้ถือว่าอัฐขอนะ พกเอาไว้ อย่าให้พีระเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัยของน้ำมนต์เอง”
น้ำมนต์อึ้ง อัฐชัยเอาสร้อยสวมคอให้เลย น้ำมนต์ลังเล ทำท่าจะถอดออก อัฐชัยขอร้อง
“เชื่ออัฐเถอะนะ”
อัฐชัยเข็นรถเข็นพาน้ำมนต์มาตามทาง จะพาไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน
“รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวอัฐไปเอารถมารับ”
อัฐชัยแยกไป น้ำมนต์นั่งอยู่โดยมีพยาบาลคอยยืนอยู่เป็นเพื่อน น้ำมนต์หันมองหาพีระ เผื่อว่าจะเห็น แต่ก็ไม่เห็นอยู่ละแวกนั้น พีระยืนมองน้ำมนต์อยู่ กำลังจะเข้าไปหา แต่มือของแมนสรวงมาจับบ่ารั้งเอาไว้
“ถ้าอยากให้น้ำมนต์ปลอดภัยจากศัตรูของนาย...อยู่ให้ห่างน้ำมนต์ไว้”
พีระนิ่ง มองน้ำมนต์อย่างเห็นใจ ทรมานใจเข้าใจในสิ่งที่แมนสรวงบอก
“ที่นายพยายามจะให้ฉันกับน้ำมนต์อยู่ห่างกัน เพราะนายรู้ใช่มั้ยว่ามันจะทำให้น้ำมนต์มีอันตราย”
แมนสรวงจริงๆไม่ใช่ แต่ก็สมอ้างไป
“เอ่อ ก็...ใช่...เพราะฉันรู้ว่ามันอันตราย แล้วรู้มั้ยว่าเรื่องนี้จะแฮปปี้เอนดิ้งได้ยังไง เมื่อนายกลับเข้าร่างได้ นายกลับเข้าร่างได้เร็วเท่าไหร่ ทุกอย่างก็จบเร็วเท่านั้น”
“ผีคามินก็จะหมดโอกาสกลับมามีชีวิต เมสินีก็จะถูกฉันแฉความจริงทุกอย่าง และฉันก็จะได้คบกับน้ำมนต์ได้ในฐานะมนุษย์...ใช่มั้ย”
แมนสรวงรู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็สมอ้างไป
“เอ่อ ก็...ใช่...ใช่เลย ตามนั้นแหละ เชื่อฉันเถอะ รีบกลับร่างของนายให้เจอ”
พีระเครียด ไม่ตอบ มองไปที่น้ำมนต์ที่นั่งรถเข็นแต่ชะเง้อมองหาเขาอยู่ ในที่สุด พีระก็ตัดใจได้
อัฐชัยประคองน้ำมนต์นั่งลงในบ้าน
“ดีนะที่วันนี้ไม่มีเรียน น้ำมนต์จะได้พักให้เต็มที่”
ข้าวต้ม งอแง แจ๊วรีบวิ่งออกมาต้อนรับ
“พี่น้ำมนต์เป็นอะไร”
“ถ้าอยากรู้ พี่ขอแนะนำให้ไปถามพี่พี...” อัฐชัยรีบบอก
น้ำมนต์ไม่อยากให้ข้าวต้มรู้ ตัดบท
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกข้าวต้ม ก็แค่กินน้อย นอนน้อยไปหน่อย เลยหน้ามืด”
“แสดงว่าข้าวต้มแย่งพี่กินหมดใช่มั้ยคะ” งอแงมองข้าวต้ม
“ไม่ใช่ซะหน่อย” ข้าวต้มรีบเถียง
“แล้วนี่พี่พีระอยู่ไหนคะ กลับมาด้วยหรือเปล่า” งอแงหันมาถาม
“น้องงอแง...ถามซะอย่างกับเป็นเพื่อนสนิท เลิกกลัวเขาแล้วเหรอคะ” แจ๊วหน้าตื่น
“อืม แต่เค้ายังไม่เห็นพี่พีระเลย” ข้าวต้มมองหา
อัฐชัยรีบแทรก
“คงจะไม่มีหน้ามาพบน่ะสิ ดีแล้ว ไม่ต้องโผล่หน้ามาอีกเลยก็ดี เราทุกคนจะได้ปลอดภัย”
ข้าวต้มมองหน้าอัฐชัย
“ทำไมพี่อัฐพูดอย่างกับว่าพี่พีระทำร้ายพี่”
“ยิ่งกว่าทำร้ายอีก...”
“อัฐ...อัฐกลับไปก่อนเถอะ ฉันอยากพัก” น้ำมนต์รีบห้าม
อัฐชัยหุบปาก จำยอม ออกไป น้ำมนต์หน้าเครียด อยากถามพีระให้รู้เรื่องชัดเจน
อัฐชัยเดินออกมาด้านนอก มองๆหาพีระไปรอบๆ
“อยู่แถวนี้หรือเปล่าพีระ ฉันรู้ว่าวิธีการที่ฉันทำ มันไม่แมนและไม่แฟร์กับนาย แต่จะให้แฟร์ได้ไงก็นายเป็นผี ผีกับคนคบกันไม่ได้ จะให้ฉันทนดูน้ำมนต์มีแฟนเป็นแมวเปอร์เซีย มันไม่ใช่ มันข้ามสายพันธุ์ มันวิปริต ผิดธรรมชาติ แมวก็ควรไปพบรักกับแมว เข้าใจมั้ย ออกไปจากชีวิตน้ำมนต์ซะ”
อัฐชัยมองไปรอบๆ ไม่เจอพีระ แต่พอหันมาอีกด้าน ต้องชะงัก เพราะเจอพิมพ์ดาวยืนอยู่ พิมพ์ดาวมองอัฐชัยด้วยความรู้สึกผิดหวังที่เขาใช้ลูกไม้นี้หลอกเพื่อน
อัฐชัยเดินหนีมานอกบ้าน พิมพ์ดาวไล่ตาม
“แกไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอที่ใส่ร้ายใส่ความให้คนเข้าใจผิดกัน ถ้าแกอยากให้น้ำมนต์รัก ใช้วิธีอื่นไม่ดีกว่าเหรอ”
“วิธีอะไร ไหนแกลองบอกมาสิ”
“แกก็คิดสิ”
“ก็ฉันคิดไม่ออก ช่วยคิดหน่อยสิ สมมติถ้าแกรักฉัน แต่ฉันไม่รักแก แกจะทำไง ไหนทำให้ฉันดูดิ” อัฐชัยยื่นหน้าท้าทาย
“ฉันไม่รู้” พิมพ์ดาวหันหนี
อัฐชัยตามตื๊อ จับให้หันหน้ามา
“รู้สิ แกฉลาด แกต้องมีวิธี”
“อัฐ...”
“บอกมาสิบอกมา ถ้าคิดว่ามันมีก็บอกให้ฉันรู้”
พิมพ์ดาวถูกไล่จี้ จนในที่สุด จ้องหน้าอัฐชัย แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
“ฉันรักแก”
อัฐชัยอึ้งเพราะพิมพ์ดาวพูดจากใจจริง อัฐชัยอึ้ง จะถอยหนี แต่พิมพ์ดาวใช้สองมือจับประคองใบหน้าของอัฐชัยทำท่าเหมือนจะจูบ
“ฉันรักแก ได้ยินมั้ย ฉันรักแก”
“แก...พูดจริง...เหรอ” อัฐชัยอึ้ง
สักพัก พิมพ์ดาวรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากออกไป
“จริงบ้าไร...ก็ถ้าเป็นฉัน ฉันจะพูดให้ชัดๆไปเลย ใช้ความรักความจริงใจเอาชนะใจน้ำมนต์ เข้าใจป่ะ”
พิมพ์ดาวรีบหันหน้าหนีทันที กลัวเผลอแสดงออกมากไปกว่านี้ อัฐชัยยืนอึ้งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้
“แกมีวิธีของแก ฉันมีวิธีของฉัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเว้ย”
น้ำมนต์เดินแยกมาอีกด้านของบ้าน
“พีระ...ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย นายอยู่ไหน”
น้ำมนต์เรียกหา มองหา แต่ไม่พบ สักพัก ข้าวต้มกับงอแงเดินออกมาหาน้ำมนต์ ยืนเป็นแพ็คคู่ ข้าวต้มถามอย่างสงสัย
“เมื่อคืนพี่พีระออกไปช่วยพี่ แล้วทำไมไม่กลับมาพร้อมกับพี่ล่ะ”
“พีระไปช่วยพี่...ช่วยอะไร” น้ำมนต์ชะงัก
“ก็พี่ออกทีวีเรียกให้พี่พีระไปหาพี่ด่วน” งอแงบอก
“แล้วพี่ก็เป็นคนคุยโทรศัพท์บอกสถานที่ที่จะให้พี่พีระไปหาเอง พี่พีไป ก่อนที่พี่อัฐชัยจะมาถามหาพี่จากเค้าอีก” ข้าวต้มเสริม
“ทำไมทำหน้าโก๊ะกังอาราเล่ จำไม่ได้เหรอคะ โก๊ะกังอาราเล่มาก” งอแงมองน้ำมนต์
“พวกเธอพูดอะไร ทำไมเพื่อนพี่ไม่เห็นเล่าอย่างนี้เลย” น้ำมนต์งงๆ
“พี่จะเชื่อเพื่อนหรือเชื่อน้องชายสุดหล่อล่ะ” ข้าวต้มยักคิ้ว
“เชื่อเพื่อน” งอแงสวน
“เฮ้ย นี่ทีมเดียวกันป่ะเนี่ย” ข้าวต้มหันมาโวย
“ก็นายไม่น่าเชื่อถือ เวลาพูดชอบหลับตา”
น้ำมนต์สงสัย
“แล้วตอนนี้นายพีระอยู่ไหน ทำไมเขาไม่ออกมาอธิบายกับพี่ด้วยตัวเอง”
“พี่พีก็คงจะงอนพี่แล้วน่ะสิ เชื่อแต่คนอื่น...เชอะ งอล”
ข้าวต้มกับงอแงทำท่างอน เชิดใส่ ดูแล้วน่ารักๆ แล้วเดินแยกไป น้ำมนต์งง สับสน
“นายอยู่ไหน ออกมาอธิบายกับฉันสิ”
น้ำมนต์เดินแยกออกมาอีกด้านของบ้าน มองหาพีระ
“นายพีระ...อยู่ไหน ออกมาสิ ฉันรู้นายต้องอยู่แถวนี้ ถ้าไม่ออกมา ฉันจะเชื่อที่เพื่อนฉันบอกนะ ว่านายสิงร่างฉันแล้วจะพาไปให้รถไฟทับ”
มุมหนึ่ง พีระยืนหลบอยู่ มองน้ำมนต์ สับสน ลังเล จะออกไปหรือไม่ไป
“ถ้าไม่อยากให้ฉันคิดอย่างนี้ก็ออกมาอธิบายกับฉัน”
พีระตัดสินใจ ว่าจะไม่เข้าไปหา
“คุณไม่ควรจะมาเสี่ยงอันตรายเพราะผม ผมขอโทษ”
พีระตัดสินใจ หันหลัง จะเดินหนี
“นายพีระ”
พีระชะงักกึก ราวกับถูกน้ำมนต์เรียกเอาไว้
“ฉันขอร้อง ออกมาคุยกันเถอะ”
พีระตัดสินใจ เดินจากไป เหลือน้ำมนต์ยืนลำพัง เศร้า
พีระเดินแยกออกมา แมนสรวงเดินตามมา
“นายตัดสินใจถูกแล้ว ตอนนี้นายเหลือเวลาในการตามหาร่างอีก 14 วัน นายจะเริ่มจากตรงไหน บอกมาเลย ฉันจะช่วยนายเต็มที่”
พีระไม่ได้สนใจแมนสรวงเลย เดินต่อไปเรื่อยๆ เหม่อลอย ไร้จุดหมาย แมนสรวงเรียก
“พีระ...ได้ยินมั้ยเนี่ย...”
พีระเดินเหม่อต่อไป แมนสรวงยืนเซ็ง ปล่อยพีระเดินไปแล้วตะโกนตาม
“จะเดินก็เดินไป แต่อย่าเดินนาน เหลืออีก 14 วันเท่านั้นนะ”
วันใหม่...พิมพ์ดาววิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางในมหาวิทยาลัย วิ่งเร็วสุดชีวิต มีข่าวร้ายมากๆๆ วิ่งฝ่ากลุ่มนักศึกษาที่เดินสวนมา ผลักกระเจิงหมด เธอวิ่งไปปากก็ร้องไป
“ขอโทษค่ะๆ”
เอมี่เดินรีบเข้ามาในมหาวิทยาลัยเช่นกัน ท่าทางอารมณ์ดี มีข่าวดีมาก เดินยิ้มแจกนักศึกษาหนุ่มๆที่เดินสวนมาตลอด มีนักศึกษาขี่จักรยานมากดกริ่งไล่จากด้านหลัง เอมี่ก็หลบและยิ้มให้โดยดี
“มองอะไรคะ ไม่เคยเห็นคนสวยมีความสุขเหรอ”
โต๊ะกลุ่มในมหาวิทยาลัย...อัฐชัยซื้อน้ำผลไม้มาให้น้ำมนต์
“ดื่มน้ำผลไม้รวมผสมคอลลาเจนหน่อยสิน้ำมนต์ แม่เราทำเองเลยนะ สมองจะได้สดใส อ่านหนังสือเตรียมสอบได้”
“ขอบใจนะ” น้ำมนต์พูดนิ่งๆ
อัฐชัยยิ้มแย้ม มีความสุขตลอดเวลา
“อย่าคิดมากเรื่องพีระเลย เขาคงจะไปผุดไปเกิดแล้ว...เอ๊ะ ใส่สร้อยที่อัฐให้ไว้มาหรือเปล่า” อัฐชัยชะเง้อมองๆ “อ้อ ใส่อยู่ อิอิ”
พิมพ์ดาววิ่งจนกระทั่งมาถึงบริเวณโต๊ะกลุ่ม
“พวกแก ฉันมีข่าวร้าย”
เอมี่วิ่งเข้ามาถึงพอดีเช่นกัน
“พวกเธอ พี่มีข่าวดี”
พิมพ์ดาวกับเอมี่พูดพร้อมกัน
“ฟังฉันก่อน / ฟังพี่ก่อน”
อัฐชัยยกมือห้าม
“หยุด...ข่าวดีก่อนแล้วกัน”
“คุณเมสินีดูเทปรายการผีผจญผีที่ตัดต่อส่งไปแล้ว เขาชอบมาก สั่งผลิตต่อทันที เตรียมออนแอร์ล็อตหน้า เย้ๆ”
พิมพ์ดาวพูดบ้าง
“พี่ไตปลาขอลาออกจากการเป็นผู้กำกับละครเวทีแล้ว”
น้ำมนต์กับอัฐชัยหน้าตื่น
“หา...”
“พี่ไตปลาบอกว่า...ผีพีระคือจุดขายของละครเรา ถ้าไม่มีผีพีระ ก็ไม่มีเทคนิดด้านผีแบบแปลกใหม่ เขาก็ไม่รู้จะกำกับไปให้เสียชื่อทำไม”
“เดี๋ยวนะ...ไม่มีพีระ...หมายความว่าไง” เอมี่ชะงัก งง
“พีระไม่อยู่แล้วค่ะ” น้ำมนต์หน้าเศร้าหมอง
“อ้อ...หา ไม่อยู่ แปลว่าจะไม่กลับมาอีกแล้วงั้นเหรอ ไม่ได้นะ แล้วรายการผีผจญผีจะเอาผีที่ไหนมาเป็นพิธีกรผี...ยังงี้รายการผีก็ลงหลุมดับอนาถน่ะสิ พี่ไม่ยอม” เอมี่ช็อค
น้ำมนต์ อัฐชัย พิมพ์ดาวอยู่ต่อหน้าอาจารย์อิ๋วในห้องพักครู...อาจารย์อิ๋วตบโต๊ะลุกยืน
“อาจารย์ไม่ยอม พี่ไตปลาไม่กำกับละครเวทีเรื่องนี้ไม่ได้ ทุกอย่างดำเนินการไปหมดแล้ว เชิญแขกไปหมดแล้ว” อาจารย์อิ๋วคว้ากระดาษ ยื่นให้ “อ่านสิ”
“รายชื่อแขกที่เชิญมาชมละครเวทีของมหาวิทยาลัย รัฐมนตรีทุกสำนัก” อัฐชัยรับมา
“หา...” น้ำมนต์กับพิมพ์ดาวหน้าตื่น
“อธิการบดีทุกมหาวิทยาลัย” อัฐชัยอึ้ง
น้ำมนต์กับพิมพ์ดาวตะลึง
“หา...”
อัฐชัยอ่านต่อ
“คณบดีทุกคณะที่เปิดสอนวิชาการแสดงและสื่อสารการแสดง สื่อมวลชน ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เนตทุกค่าย รวมถึงซีเล็บ ศิษย์เก่า ดารา ผู้จัดละคร ผู้กำกับ ผู้เขียนบท เน็ตไอดอล แม่บ้านมีหนวด สมรักพรรคเพื่อเก้ง และ...”
น้ำมนต์ตัดบท
“พอแล้วค่ะ เชื่อแล้วค่ะว่าอาจารย์เชิญไปเยอะมากแล้ว”
อาจารย์อิ๋วสั่งเสียงเฉียบ
“ไปเอาตัวพี่ไตปลากลับมากำกับให้ได้”
น้ำมนต์ อัฐชัย พิมพ์ดาวจ๋อย ซีด
น้ำมนต์ อัฐชัย พิมพ์ดาวเดินกลับมาที่โต๊ะกลุ่ม พิมพ์ดาวคุยโทรศัพท์
“โอเคๆ แกคือความหวังเดียวของเรานะลูกโป่ง...” พิมพ์ดาววางสาย “ลูกโป่งไปตามง้อพี่ไตปลาอยู่ หวังว่าเขาจะยอมใจอ่อนนะ”
แต่แล้วทั้งหมดต้องงงเมื่อพบว่าเอมี่ซื้อผลไม้ ขนม น้ำหวานมาตั้งที่โต๊ะประมาณว่าไหว้ผี เอมี่นั่งจุดธูปไหว้อยู่ น้ำมนต์หันไปถาม
“พี่เอมี่...อะไรคะ”
เอมี่ จุดธูปไหว้
“คุณผีพีระขา...สงสารพี่เถอะนะ พี่ตัวคนเดียว แฟนก็ไม่มี อายุก็ไม่น้อย พี่ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองจนแก่เฒ่า สงสารพี่เถอะค่ะ ถ้าไม่กลับมา ก็ช่วยฆ่าพี่ให้ตายตอนนี้เลย อย่าทิ้งให้พี่ทรมานตามลำพังอีกเลย กลับมานะคะ แล้วพี่จะถวายของที่ดีกว่านี้ให้อีกสิบเท่า” เอมี่ปักธูป
“ถึงกับต้องซื้อของมาเซ่นไหว้เลยเหรอ” น้ำมนต์อึ้งๆ
“ไม่ต้องพูดมาก พวกเธอก็ต้องไหว้ด้วย เอ้า จุดธูปๆ” เอมี่ส่งธูปให้
“ไม่เห็นต้องง้อมันเลย ไม่มีมัน เราก็หาผีตัวใหม่ก็ได้” อัฐชัยขัดขึ้น
เอมี่กับพิมพ์ดาวโพล่งออกมาพร้อมกัน
“ผีตัวใหม่”
ทุกคนงงว่าอัฐชัยคิดอะไร อัฐชัยตาวาว มีแผน
อาจารย์เทพรับโทรศัพท์อยู่ที่สำนัก เกี๊ยงกำลังนั่งกรอกน้ำมนต์ใส่ขวดอยู่
“คุณอัฐชัยต้องการความช่วยเหลือ”
อัฐชัยพูดโทรจากมุมหนึ่งในหมาวิทยาลัย
“ผมต้องการผีที่จะเอาใช้เล่นละครเวทีแทนไอ้พีระหน่อย จารย์มีให้เช่ามั้ย”
“จะเช่าผีแล้วไอ้ผีพีระมันหายหัวไปไหนแล้วล่ะ”
“ไม่รู้มัน แต่ไปได้ก็ดีแล้ว จารย์รีบๆส่งผีมาที่มหาลัยตอนนี้เลยนะ ค่าเช่าเท่าไหร่ก็บอกมา” อัฐชัยวางสาย
“ได้เลยครับ”
อาจารย์เทพวางสาย ยิ้มเหี้ยมมีแผนร้าย เกี๊ยงหันมามอง
“จารย์...อย่ายิ้มอย่างนี้ เดี๋ยวคนมาเห็นจะคิดว่าจารย์เป็นคนไม่ดี จารย์ต้องยิ้มใสๆแบบนี้” เกี๊ยงยิ้มซื่อใสให้ดู “ยิ้มสิ”
อาจารย์เทพยิ้มตาม แล้วก็ค้นพบว่าไม่ใช่
“เฮ้ย มันไม่ใช่เว้ย อย่างอาจารย์เทพต้องยิ้มอย่างนี้เท่านั้น”
อาจารย์เทพยิ้มแบบตัวเอง
บริเวณสนามหญ้า...พีระยิ้มแห้งๆฝืนๆ แมนสรวงยื่นหน้ามามองดูรอยยิ้มนั้น
“ยิ้มอย่างนี้...แปลว่า...นายกำลังมีความสุข”
“หึๆ”
“ไม่ใช่ๆ อย่างนี้แสดงว่ามีความสุขมาก”
“หึๆ”
“อย่างนี้ไม่เรียกมีความสุขแล้ว เรียกว่า...บ้า เฮ้ยเป็นอะไรของนาย นั่งยิ้มอยู่ได้”
“ฉันกำลังเสียใจอยู่นะเว้ย...เลยพยายามยิ้มเข้าไว้ น้ำตาจะได้ไม่ไหล หรือนายอยากให้ฉันร้องไห้ ได้ ฮือๆ ใครบอกว่าผีไม่มีหัวใจ แล้วที่ฉันเจ็บอยู่นี้คืออะไร คืออัลไล”
แมนสรวงจับหน้าตบเบาๆ
“โอเคๆ ยิ้มนะ ยิ้มๆ”
พีระฝืนยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันต้องยอมตัดใจเพื่อให้น้ำมนต์ปลอดภัย มันเจ็บมาก เจ็บลึกเกินเยียวยา อย่าห้าม ฉันขอเสียใจห้าวิ แล้วจะไม่เสียใจอีก”
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง”
พีระเลิกคร่ำครวญซะดื้อๆเหมือนปิดสวิตช์
“ไป”
“เฮ้ย” แมนสรวงทึ่ง
“เป็นคนแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้เว้ย...ไป ฉันเหลือเวลาอีก 14 วันที่จะตามหาร่าง อย่าเสียเวลา”
พีระเดินนำไปเลย แมนสรวงยังทึ่งไม่หาย
น้ำมนต์กับพิมพ์ดาวเดินเข้ามาในห้องซ้อมละคร พวกเพื่อนๆนักแสดงอื่นๆต่างรออยู่ เพราะอยากรู้ว่าพี่ไตปลาถอนตัวจริงหรือเปล่า รวมถึงทีมงานด้วย ทุกคนเข้ามารุมน้ำมนต์กับพิมพ์ดาว คาดคั้น เอาเรื่อง ถังทองเข้ามาถาม
“พี่น้ำมนต์ พี่ดาว พี่ไตปลาไม่กำกับให้เราแล้วจริงเปล่า”
ซูชิเข้ามาอีกคน
“ถ้าพี่ไตปลาไม่กำกับ ละครเราแป้กแน่ ซูชิก็ต้องอดไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าอะดิ”
คนอื่นๆพูดกันเซ็งแซ่
“ใช่ๆ สรุปว่าพี่ไตปลากำกับหรือเปล่า / ถ้าพี่ไตปลาไม่กำกับ เราไม่เล่น / เราไม่ทำฉากแล้วด้วย / เราจะไปสมัครลีดส์ / รู้งี้ไปรับจ๊อบ พริตตี้ดีกว่า”
น้ำมนต์กับพิมพ์ดาวพยายามควบคุมสถานการณ์ พวกนักแสดงและทีมงานจะออกไป ไม่ทำแล้ว น้ำมนต์รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งถอนตัว ลูกโป่งกำลังไปเจรจากับพี่ไตปลาอยู่ รอฟังข่าวก่อนนะ”
“ยังไงพี่ไตปลาก็ต้องกำกับให้เรา” พิมพ์ดาวยืนยัน
“แน่ใจได้ยังไง” ถังทองไม่ค่อยเชื่อ
พิมพ์ดาวกับน้ำมนต์อึกอัก แต่อยู่ๆทันใด อัฐชัยตามเข้ามาอย่างมั่นใจ เอมี่ตามหลังอัฐชัยมา
“แน่ใจ เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญเทคนิคพิเศษด้านผีคนใหม่แล้วน่ะสิ”
“เธอพูดจริงใช่มั้ยอัฐชัย หัวใจพี่อ่อนแอ อย่าหลอกพี่นะ ”เอมี่ดีใจ
“ไม่หลอกแน่นอนครับ” อัฐชัยยิ้มๆ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
น้ำมนต์แยกมาคุยกับอัฐชัยที่มุมหนึ่ง น้ำมนต์ตกใจที่รู้
“อัฐไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เทพ คิดอะไรอยู่ อาจารย์เทพเนี่ยนะ ไว้ใจได้เหรอ”
“ก็แค่จ้างผีในสังกัดเขามาออกงาน ก็เหมือนโมเดลลิ่งนายแบบนางแบบนั่นแหละ เพียงแต่นี่เป็นผี” อัฐชัยถือกล้องถ่ายคลิป “ถ่ายคลิปส่งให้พี่ไตปลาดู รับรองต้องยอมมากำกับแน่”
“ผีของคนนิสัยไม่ดี แน่ใจเหรอว่าจะทำงานกับคนปกติได้”
“อาจารย์เทพจัดโปรพิเศษมาให้ด้วยนะ...ผีจากเทพโมเดลลิ่ง เป็นผีที่คนทุกคนสามารถเห็นได้ เจ๋งกว่าไอ้พีระเยอะ”
เอมี่สยองที่จะได้เห็นผี
“หา...พวกเรา จะเห็นผีได้...ยังงี้ก็...”
ทันใด มีเสียงพิมพ์ดาวและนักแสดงอื่นๆในเรื่องกรี๊ดกร๊าดสาวแตก วิ่งหนีกันมาอย่างกระเจิง น้ำมนต์กับอัฐชัยมองไป พบว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ก็คือ ผีหัวขาด ยืนหิ้วหัวตัวเองอยู่นั่นเอง เอมี่ตกใจตาถลน ร้องลั่น
“ว๊าย”
น้ำมนต์ตกใจไปด้วย อัฐชัยก็แหกปากด้วย ถอยไปหลบหลังเอมี่หมด เอมี่ยิ่งกรี๊ดที่ต้องเผชิญหน้าผี
“อ๊ายๆ”
น้ำมนต์ถูกอัฐชัยกับพิมพ์ดาวผลักไสมาให้เป็นคนต้องแจกบทให้พวกผี
“ทำไมต้องเป็นฉัน”
พิมพ์ดาวรีบบอก
“ใครจะเป็นคนอธิบายบทได้ดีเท่าคนเขียนบทล่ะ”
อัฐชัยคว้ามือพิมพ์ดาว
“ไม่...ดาว เราจะทิ้งน้ำมนต์ไม่ได้ ไปด้วยกัน” อัฐชัยยิ้มแหยๆกับน้ำมนต์ “แต่ขอยืนด้านหลังนะน้ำมนต์นะ”
ทั้งสามคนมายืนเผชิญหน้ากลุ่มผี 4 ตนมี ผีหัวขาด ผียาย ผีป้า และผีชายหนุ่ม น้ำมนต์กลัวๆสั่นๆ
“อ่ะๆ นี่บทนะคะ...ทำ...ไฮไลท์ไว้ให้แล้ว ไม่มีอะไรมาก อ่านตามที่เขียนไว้ ก็พอค่ะ...โอเคนะคะ...เอ่อ”
น้ำมนตร์ยื่นบทไป แต่พวกผีนิ่ง ไม่ยอมยื่นมือมารับ
“เอ่อ ส่งมือมาสิคะ”
พวกผีถอดมือของตัวเองออกมาคนละข้าง แล้วยื่นมือให้ เป็นมือผีขาด 4 มือยื่นมาให้ น้ำมนต์ พิมพ์ดาว อัฐชัยตาถลน
“ว๊าย...ว้าก”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยกำลังต่อบทกัน คนอื่นๆกองอยู่มุมเดียวกันด้วยความกลัว
“ท่านเจ้าคุณของบ่าว ท่านเจ้าคุณตายไปแล้วจริงๆเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล ถ้าข้าตายไปแล้ว ทำไมข้าถึงมองเห็นยายแก่คนนั้นได้”
อัฐชัยชี้ไปที่ยายแก่ในชุดไทยที่ยืนถือบทอยู่ งกๆเงิ่กๆเพราะมองบทไม่เห็น สายตายาว ทุกคนมองไปที่ยายแก่คนนั้นด้วยอาการลุ้น ผียายพยายามจะอ่านบท แต่มองไม่ค่อยเห็น
“เอิ่ม...อ่า...”
ผียายเลยยื่นบทออกให้ห่างตัว ห่างทีละนิด ทีละนิด เรื่อยๆ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสยอง ผียายยื่นแขนออกมาเหยียดยาว จนกระทั่ง มือที่ถือบทอยู่ มาหยุดตรงหน้าเอมี่กับน้ำมนต์
“ฮ้า เห็นล่ะ...” ผียายอ่านบท “ยายก็เป็นผีเหมือนกัน”
น้ำมนต์กับเอม่าพูดพร้อมกัน
“รู้แล้ว”
ทุกคนจ๊าก สยองไปรวมกันอีกด้านหนึ่ง ผียายไม่รู้ว่าทุกคนกลัวอะไร ทำหน้างงๆ
ซูชิในบทน้าสาวของนางเยื้อน กำลังเสียอกเสียใจกับการจากไปของท่านเจ้าคุณ
“ท่านเจ้าคุณตายแล้ว โถ ท่านเจ้าคุณของบ่าว ฮือๆ”
พิมพ์ดาวพูดอย่างเกร็งๆ
“ท่านเจ้าคุณไปสบายแล้ว น้าอย่าร้องไห้เลย เห็นน้าร้องแล้ว ฉันก็อดไม่ได้” พิมพ์ดาวจะร้องไปด้วย
น้ำมนต์กับเอมี่ยืนดูการซ้อมอยู่อีกด้าน สักพัก มีเสียงร้องไห้ดังมา เอมี่หันกลับไปมอง
“ใครร้อง”
เอมี่เห็นผีป้ายืนร้องไห้อยู่ น้ำตาไหลออกมาเป็นสีเลือด แล้วเส้นผมก็ร่วงๆ ร่วงต่อหน้าต่อตา เอมี่กับน้ำมนต์ผงะ ตาเหลือก ปากคอสั่น สุดท้าย ผีป้าก็ผมร่วงจนกลายเป็นหัวล้าน
“ป้าไม่ได้อยากร้อง แต่มันเศร้า ฮือๆ”
ผีป้าโผซบเอมี่ร้องไห้ไม่หยุด เอมี่ผงะ แทบเป็นลม
“ช่วย...ด้วย...”
พิมพ์ดาวในบทนางเยื้อนวิ่งหนีมาอย่างกระหืดกระหอบ แต่ถูกชาวบ้านล้อมเอาไว้ทุกด้าน หมดทางหนี ถังทองชี้หน้า
“เอ็งวางยาฆ่าท่านเจ้าคุณแล้วคิดหนีเหรอนังเยื้อน”
นักแสดงอื่นเซ็งแซ่
“เอ็งนั่นแหละทำ / เอ็งต้องชดใช้ / เอ็งต้องตาย”
พิมพ์ดาวคุกเข่า ไหว้
“ฉันสาบานได้ ฉันไม่ได้ทำ เชื่อฉันเถอะ”
อยู่ๆอัฐชัยในบทบาทผีท่านเจ้าคุณปรากฏกายออกมา โดยมีผีชายหนุ่มตามมาด้วย
“ถ้าพวกเอ็งกล้าแตะต้องนางเยื้อนแม้แต่นิดเดียว พวกเอ็งทั้งหมดต้องตาย”
“พวกเอ็งใส่ร้ายคนดี ไอ้พวกไพร่ คนอย่างพวกเอ็งไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป...ตาย”
ว่าแล้วผีชายก็อินมาก มากกว่าอัฐชัยซะอีกโกรธจนตัวสั่น เกิดพลังงานพลุ่งพล่าน ลมพัดแรงจนผมปลิวสยาย ข้าวของในนั้น พวกบท แก้วน้ำ ของกิน กระเป๋า โต๊ะ เก้าอี้ ปลิวว่อน พวกน้ำมนต์ เอมี่ พิมพ์ดาว อัฐชัยและนักแสดงคนอื่นๆ ต้องรีบหลบสิ่งของที่ปลิว กระเจิดกระเจิง ถังทองกับซูชิถูกน้ำหวานสีๆปลิวสาดใส่หน้า เปื้อนไปหมด อัฐชัยถูกของกินพวกเส้นๆหล่นใส่หัว มีนักแสดงโดนเก้าอี้กระแทกหลังจนหน้าคว่ำ ทุกคนรีบหลบมุมกอดกันกลมด้วยความกลัว รอให้ผีชายหยุดโมโห เอมี่ตัวสั่นงันงก
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาผีอื่น...พี่จะเอาผีพีระ...ผีพีระเท่านั้น”
พีระโผล่หน้าเข้ามามองที่ด้านนอกของตัวบ้านเมสินี ชะโงกหน้าเข้าไป เห็นทางสะดวก ปลอดคน เหมือนไม่มีคนอยู่เลย
“บ้านเงียบ...เมสินีคงจะทำงานอยู่ที่สถานี งั้นก็ดี เราจะได้เข้าไปสำรวจบ้านทุกซอกทุกมุม บางที เมสินีอาจจะเอาร่างของเราซ่อนไว้ในบ้าน หรืออย่างน้อย เราอาจจะจำเรื่องราวอะไรตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้บ้าง จริงมั้ย”
พีระหันมาถามข้างๆที่เป็นอากาศ แล้วทำสีหน้าไม่พอใจ ที่ไม่ยอมตอบ
“ไม่ตอบเหรอ”
พีระทำท่าจะตบกบาล แมนสรวงยอมปรากฏกายออกมาทันที รีบห้าม
“อย่าๆ”
“ทำเป็นหายตัว...ถ้าผีที่ไหนมาเห็นเข้า เขาจะหาว่าฉันเป็นบ้า พูดคนเดียวอยู่ได้ตั้งยาวเหยียด”
“เขาจะว่านายบ้าเพราะมาแอบตรงนี้มากกว่า กลัวคนมองเห็นหรือไงไอ้ผี”
แต่อยู่ๆละไมเปิดประตูออกมาก่อน วันนี้ละไมแต่งตัวสวยเปรี้ยวมากๆ เพราะขโมยชุด เครื่องสำอาง และเครื่องประดับทุกอย่างของเมสินีมาใส่ แต่แต่งออกมาได้ไร้รสนิยมกว่าเมสินี ออกแนวเยอะๆล้นๆ แมนสรวงมองตะลึง
“เฮ้ย นี่มัน ยัยละไม คนใช้เมสินี ทำไมแต่งตัวอย่างนี้”
ทันใด มีเสียงเพื่อนๆคนรับใช้ของละไมดังมาเป็นขบวน
“นังละไม ข่อยมาแล้วๆ”
สาวใช้ คนสวน คนรถ ชายหญิง ทั้งพูดกลาง พูดภาษาถิ่น ทยอยกันเข้ามาในบ้าน ทุกคนถือถุงเสื้อผ้ามาด้วย ราวๆ 10 คน ละไมพูดจาต้อนรับเพื่อนๆทุกคนราวกับเป็นเจ้าบ้าน
“เชิญจ้ะๆ ปาร์ตี้กำลังจะเริ่มแล้ว เชิญเปลี่ยนชุดด้านในเลย”
พีระกับแมนสรวงมองอย่างตะลึง
“นี่มันอะไรกัน” แมนสรวงพึมพำ
ภายในบ้าน พวกสาวใช้และคนรถพอเข้ามาแล้ว ก็แยกกันถือถุงเสื้อผ้าที่เตรียมมาเข้าไปในห้อง แต่ละคนเปลี่ยนชุดใหม่ แล้วออกมาจากห้อง แต่งตัวเป็นเจ้านายกันทุกคน มีทั้งชุดนายทหาร ชุดสูทนักธุรกิจ ชุดราตรีเว่อร์วังอลังการ ชุดนอนผ้าซีทรู ชุดนักบิน แต่ละคนขโมยชุดเจ้านายมาใส่ ชุดไม่พอดีบ้าง รัดบ้าง ใส่ส้นสูงที่หลวมบ้าง แต่ก็ยังจะใส่กัน
“นี่ชุดนอนเจ้านายฉันเอง คืนไหนคุณผู้ชายกลับเร็ว ใส่ชุดนี้ทุกที”
พวกสาวใช้คิกคักๆกันสุดฤทธิ์ ละไมพูดไม่เป็น แต่ดัดจริตจะพูดปะกิต
“เฮลโหล๋ว เอวอรี่บอดี้ เวรกัม ทูปาร์ตี้ เอ็นเจ๊ง ไม่ใช่สิ เอนจอย และเซิ้งให้กันแฮปปี้ๆ เชี๊ยส”
“เชี๊ยส ”คนใช้ทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกัน
มีเพลงหมอลำลูกทุ่งดังมา จากคนใช้ชายคนนึงที่โดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะเอาแคนมาเป่า พวกคนใช้อื่นๆกรี๊ด เฮ เต้น ราวกับอยู่ในผับ
“ปาร์ตี้คนใช้” พีระบอก
“นี่แหละที่เขาเรียกว่า แมวไม่อยู่หนูร่าเริง”
พีระกับแมนสรวงงงๆ
“ไปจัดการเรื่องของเราเถอะ”
เมสินีเดินออกมาตามทางเดิน สถานีพราวด์ ยุทธเดินประกบ
“คุณเมจะไปทานอาหารร้านเดิมมั้ยครับ ผมจะได้ให้คนโทรไปจอง”
แต่แล้วยุทธต้องชะงัก เพราะอาจารย์เทพกับเกี๊ยงเดินมาหยุดตรงหน้าเมสินี มีเรื่องต้องคุย
“ขอโทษครับคุณเมสินี ผมมีเรื่องขอคุยด้วยหน่อย”
ยุทธรีบมากันท่า ปกป้องเจ้านาย
“อาจารย์เทพครับ ถ้ามีธุระจะขอเข้าพบคุณเมสินีจะต้องนัดและแจ้งล่วงหน้านะครับ”
ยุทธจะพาเมสินีเดินต่อไป แต่อาจารย์เทพโพล่งออกมาก่อน
“ไอ้ผีพีระมันกำลังจะฟื้นคืนชีพ”
เมสินีชะงัก หันกลับมา
“ว่าไงนะ”
ห้องทำงานเมสินี สถานีพราวด์
เมสินียืนพูดอย่างหงุดหงิดอยู่ในห้องทำงาน
“นายพีทมันตายเป็นผีไปแล้วจะฟื้นคืนชีพมาได้ยังไงอีก”
“ไอ้ผีพีระ มันเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ตามตำราไสยเวทย์ วิญญาณบริสุทธิ์จัดเป็นภาวะกึ่งกลางระหว่างคนกับผี..ถ้ามันกลับเข้าร่างได้ มันก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ถ้ากลับไม่ได้ มันก็จะตายกลายเป็นผี” อาจารย์เทพอธิบาย
“เข้าร่างได้แล้วไง ในเมื่อตอนนี้มันถูกฉันจับเอาไว้แล้ว”
“วันก่อน คุณเมจ้างอาจารย์ป๋องมาจับคุณพีทขังไว้ในหม้อเรียบร้อยแล้วครับ นี่ไงครับ ภาพหม้อพีระ”
ยุทธเอารูปในมือถือให้ดู อาจารย์เทพมองปราดเดียว
“คุณถูกมันหลอกแล้ว ไม่มีวิญญาณอะไรในนั้น และไม่มีอาคมอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“อย่ามาเหลวไหล อาจารย์หาเรื่องจะหลอกเงินฉันมากกว่า” เมสินีโต้
“ฉันเตือนแล้ว จะไม่เชื่อก็ตามใจ” อาจารย์เทพไม่พอใจ
“แต่วันไหนไอ้พีระมันฟื้นขึ้นมา อย่ามาขอร้องให้จารย์เทพช่วยแล้วกัน” เกี๊ยงไม่พอใจเช่นกัน
อาจารย์เทพจะเดินออกไป
“คุณเมครับ..” ยุทธหันมาชิงปรึกษา
เมสินีลังเล กลัวสิ่งที่อาจารย์เทพพูดจะเป็นจริง เรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว”
อาจารย์เทพหันมา ยิ้ม
ม้านั่งในมหาวิทยาลัย...น้ำมนต์นั่งลง สภาพหน้าตาคล้ำแบบคนถูกผีหลอก
“เฮ้อ”
พิมพ์ดาวลงนั่งข้างๆ สภาพหน้าตาคล้ำยิ่งกว่าน้ำมนต์อีก
“เฮ้อ”
เอมี่นั่งลงข้างๆพิมพ์ดาว สภาพหน้าตาคล้ำยิ่งกว่าใครเพื่อน
“เฮ้อ”
อัฐชัยพยายามจะโน้มน้าวให้ทุกคนอดทนกับผีจากอาจารย์เทพ เพราะไม่อยากให้ไปตามตัวพีระกลับมา
“อย่าเพิ่งถอนใจกันอย่างนี้สิ พวกนี้เป็นผีมือใหม่ ยังไม่ชินกับการอยู่ร่วมกับคน ให้เวลาเขาปรับตัวนิดนึงนะ”
เอมี่ไม่เอาด้วย
“ไม่...พี่ไม่เอาผีพวกนี้ จะเอาแต่พีระเท่านั้น น้ำมนต์ พีระอยู่ไหน ถ้าทะเลาะอะไรกัน ก็ไปปรับความเข้าใจแล้วง้อให้เขากลับมาเถอะนะ”
“จริงด้วยแก...ทำเพื่อมหาวิทยาลัย เพื่อบริษัทเอมี่ เพื่อปากท้องของพวกเราเถอะนะ...นะๆ”
“ไม่ได้ จะตามพีระกลับมาไม่ได้ พีระเป็นผีร้าย เขาจะฆ่าน้ำมนต์นะ” อัฐชัยขวาง
“ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อว่าพีระจะคิดฆ่าฉัน” น้ำมนต์เถียง
“อัฐพูดจริงๆนะ ไม่เชื่ออัฐเหรอ” อัฐชัยอ้อน
“ถ้าฉันเชื่ออัฐ มันก็เท่ากับฉันฟังความข้างเดียว ไม่แฟร์กับพีระเลย ตอนนี้ฉันไม่ขอเชื่ออะไรทั้งนั้น จนกว่าจะได้คุยกับพีระด้วยตัวเอง แต่ฉันรู้สึกได้ว่าพีระต้องมีเหตุผลจำเป็นอะไรสักอย่าง ที่ไม่ยอมบอกกับฉันแน่ๆ” น้ำมนต์ถอดสร้อยตะกรุดที่อัฐชัยให้ออก “อ่ะ ฉันขอบใจนะที่หวังดี แต่พีระไม่ทำร้ายฉันหรอก เอาคืนไป”
“น้ำมนต์...” อัฐชัยอึ้ง
น้ำมนต์ดูจริงจังแน่วแน่ คว้ามืออัฐชัยมา แล้วยัดสร้อยคืนไป อัฐชัยได้แต่อึ้ง ฮึดฮัด น้ำมนต์เดินไป พิมพ์ดาวรีบตาม
“ยัยน้ำมนต์ ฉันกลับบ้านด้วย”
“น้ำมนต์...” อัฐชัยจะตาม
เอมี่ดึงอัฐชัยไว้
“เธอไม่ต้องตามเลย เอาผีของเธอไปคืนที่ชอบๆก่อน อย่าให้มาเพ่นพ่านก่อกวนใครอีก ไป”
อัฐชัยเซ็ง
น้ำมนต์รีบเดินออกมา พิมพ์ดาวรีบตาม
“แก อย่าไปโกรธอัฐเลย มันก็ทำเพราะห่วงแกนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้โกรธ ถ้าอัฐพูดจริง แต่ถ้าไม่ใช่ ฉันก็คงผิดหวังมาก ที่เพื่อนกันทำกันอย่างนี้...ใช่มั้ยดาว”
พิมพ์ดาวอึกอักเพราะตัวเองก็รู้เห็นเป็นใจ
“เอ่อ ก็...ใช่...”
แต่แล้วทันใด มือถือของน้ำมนต์ดังขึ้น เธอรับสาย
“คะ...พี่เจี๊ยบ ว่ายังไงคะ...อะไรนะคะ พี่รู้ตัวเจ้าของรถคันที่ขับชนรถแม่น้ำมนต์แล้วจริงเหรอ”
น้ำมนต์ตะลึง รีบวิ่งไปทันที
พีระกับแมนสรวงเดินขึ้นมาชั้นบนของบ้านเมสินี ยังมีเสียงปาร์ตี้จากด้านล่างดังมาตลอด แมนสรวงสงสัย
“นายจะเริ่มหาจากอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน หาไปให้ทั่ว ฉันอาจจะแว่บภาพความทรงจำอะไรขึ้นมาบ้าง หรือไม่ ฉันอาจได้เบาะแสว่าร่างของฉันอยู่ที่ไหน”
ทันใด ละไมวิ่งครุคริหนีผู้ชายในชุดนักบินขึ้นมา
“พ่อนักบินรูปหล่อ ถ้าอยากพาละไมไปบิน จับให้ได้ก่อนสิคะ”
“จับได้เมื่อไหร่ จะแลนดิ้งให้เข็ดเลย”
ละไมวิ่งหลบนั่นหลีกนี่ มุมนั้นมุมนี้ วนเวียนรอบๆพีระกับแมนสรวงไปมา แมนสรวงเซ็งคู่นี้
“จะทำอะไรก็รีบเหอะ ทนอยู่กับคนพวกนี้นานๆแล้วประสาทกิน”
พีระทะลุประตูเข้ามาในห้องนอน มองการตกแต่งห้องไปรอบๆ เห็นการตกแต่งตามสไตล์ลูกเศรษฐี รวย และนิสัยเสียๆ แมนสรวงโดดไปนอนรอบนเตียง
“ห้องนอนของนาย ใหญ่ดีนะ...ไง แว่บอะไรมั่งมั้ย”
พีระมองไปรอบๆห้อง อย่างสำรวจตรวจสอบ มองไปที่กระจกในห้อง ที่เคยเห็นภาพตัวเองชกกระจกนั้นแตก เห็นร่องรอยกำแพงที่เขาเคยชกระบายแค้น รอยแตกร้าวตามผนัง ตามขอบของเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ พีระมองร่องรอยต่างๆ อย่างฉงน สงสัย เอื้อมมือสัมผัส แต่ก็ไม่สามารถจำอะไรได้มากกว่าเดิม
“ฉันเห็นแต่ตัวฉัน...เครียด โมโห เกรี้ยวกราดตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่”
พีระหันไปอีกด้าน ที่โต๊ะทำงาน เห็นภาพของตัวเอง ในชุดกีฬาต่างๆ ชุดเทควันโด้ ชุดมวยไทย ภาพการปีนเขา...แล้วใกล้ๆกัน มีโมเดลรถยนต์หลายๆแบบ มีมอเตอร์ไซค์วางอยู่ เป็นของสะสมของเขา พีระมองที่โมเดลรถ จ้องอย่างพิศวง เหมือนมีพลังบางอย่างดึงดูดความสนใจมาก แมนสรวงเห็นจ้องผิดสังเกต
“รถคันนั้น มีอะไรเหรอ”
รถสปอร์ตหรูหลากหลายรูปวางเรียงรายอยู่ต่อหน้าน้ำมนต์
“เจี๊ยบเพิ่งไปสอบถามชาวบ้านที่อยู่ละแวกจุดเกิดเหตุตอนที่แม่ของน้ำมนต์รถคว่ำ คนที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ ลงความเห็นตรงกันว่า มีรถหรูอีกคัน พุ่งมาเฉี่ยวรถที่แม่น้ำมนต์นั่ง เจี๊ยบก็เลยเอาภาพรถหรูๆที่หามาจากในเนตพวกนี้ ไปให้พวกเขาดู ว่าใช่คันที่ว่าหรือเปล่า”
“แล้ว”
“ไม่ใช่เลยสักคัน”
“อ้าว แล้วแกจะเอารูปมาให้ดูเพื่อ”
“เพราะเจี๊ยบแยกคันที่ใช่ออกมาแล้วต่างหาก...เป็นรถแบบนี้”
เจี๊ยบหยิบรูปรถอีกคันออกมา เป็นรถสปอร์ตหรู
“ภาพนี้เป็นภาพจากอินเตอร์เนตนะ ไม่ใช่คันที่ชนจริงๆ แต่ว่าเป็นรุ่นนี้ แบบนี้ สีนี้ แน่นอน”
น้ำมนต์มองรูปรถ
“รถแบบนี้เหรอ”
พีระยังมองโมเดลรถนั้นอยู่
“จำอะไรได้งั้นเหรอ” แมนสรวงถาม
“ไม่...แค่รู้สึกคุ้นเคย”
“นายคงจะชอบสะสมโมเดลรถพวกนี้ไง ถึงได้รู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ไปดูห้องอื่นมั้ย”
พีระจะไป แต่หันไปทางมุมห้องมุมหนึ่ง เขามองที่มุมนั้นอย่างพิศวงเช่นกัน มุมนี้คือมุมที่พีระเข้ามาซุกตัวด้วยความสั่นกลัวสติแตก หลังจากเพิ่งไปขับรถเฉี่ยวจนรถแม่น้ำมนต์คว่ำ แมนสรวงแปลกใจ
“อะไรอีก ตรงนั้นมีอะไร”
พีระมอง จ้อง พยายามคิด
“ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกคุ้นๆ”
“ไป...”
แมนสรวงดึงพีระออกไป
แมนสรวงดึงพีระออกมานอกห้อง ละไมกับชายชุดนักบินยังวิ่งไล่เป็นหนังแขกกันไม่เลิก ชะโงกหน้าล่อหลอก จ๊ะเอ๋ๆ กันไปมา แมนสรวงส่ายหน้า
“มันจะล่อกันอีกนานมั้ย”
น้ำมนต์ยังมองรูปรถอยู่ แจ๊วมองด้วย
“หูย รถอย่างนี้ ต้องคนรวยมากเท่านั้นเลยนะถึงจะมีปัญญาขับ”
“ใช่ ต้องรวยระดับพันล้านหมื่นล้านเลยล่ะ” เจี๊ยบเสริม
น้ำมนต์มองหน้าเจี๊ยบ
“แล้วไง...รู้ว่าเป็นรถหน้าตาแบบนี้แล้วจะทำอะไรได้ รถแบบนี้คงไม่ได้มีอยู่คันเดียวในประเทศใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่ รถแพงๆอย่างนี้ ไม่ได้มีคันเดียว...แต่พี่เจี๊ยบไปให้พรรคพวกช่วยสืบจากกรมขนส่งมาแล้ว รถแบบนี้ ที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศเรา มีทั้งหมด 15 คัน”
แจ๊วคิดๆ
“15คัน ก็ไม่เยอะนะ ถ้าจะลองสืบ”
“แต่เดี๋ยวก่อน...เจี๊ยบสืบมาอีกว่า ในบรรดารถ 15 คัน มีแค่ 3 คันเท่านั้นที่จดทะเบียนอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล”
แจ๊วเสริม
“3คัน...งั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ที่จะสืบดูว่าคันไหนคือคันที่เป็นต้นเหตุให้รถของแม่น้องน้ำมนต์คว่ำ”
“แต่เดี๋ยวก่อน ลองดูรูปนี้ก่อน แล้วจะเข้าใจทุกอย่าง”
น้ำมนต์แปลกใจ
“รูปอะไรคะ”
เจี๊ยบยื่นรูปให้ น้ำมนต์รับมาดูตะลึง ตาโต ช็อก
พีระกับแมนสรวง เข้ามาในห้องนอนใหญ่
“ห้องนอนใหญ่อย่างนี้ ห้องพ่อนายใช่มั้ย ก็ต้องเป็นห้องยัยเมสินีด้วย มีอะไรที่เกี่ยวกับตัวนายบ้างมั้ย”
พีระมองไปที่เตียง เห็นภาพเมสินีนอนกับยุทธแว่บเข้ามาในสมอง
“ที่ฉันรู้แน่ๆคือ เมสินีคบชู้...กับนายยุทธ ผู้ช่วยของเขา”
“ฮ้า ยัยเมสินี ครบสูตรจริงๆ คบชู้ ฆาตกรรม” แมนสรวงตาโต
“นายเป็นยมทูต ไม่รู้เรื่องพวกนี้บ้างเลยเหรอ”
“ฉันมีหน้าที่แค่นำส่งวิญญาณตามคำสั่ง...พาวิญญาณที่เพิ่งตายจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า เป็นอันจบหน้าที่ ไม่มีสิทธิรู้ว่าใครเคยทำดีหรือไม่ดีเอาไว้บ้าง”
พีระหันไปเห็นกรอบรูปรูปหนึ่ง เป็นภาพธีระศิลป์ที่ถ่ายประกอบการสัมภาษณ์ในนิตยสาร เป็นภาพธีระศิลป์ยืนพิงรถหรู มาดเท่ มีอักษรเขียนว่า “ก้าวใหม่ทีวีไทย กับ พราวด์ ดิจิตัล” พีระเข้าไปมองที่ภาพนั้น
“มองไร...คิดถึงพ่อขึ้นมา”
“ไม่...ฉันไม่ได้มองพ่อ”
แมนสรวงงง พีระมองไปที่รถหรูที่ธีระศิลป์ยืนพิงอยู่ต่างหาก
“รถคันนั้น...”
รูปที่น้ำมนต์ถืออยู่ คือรูปธีระศิลป์กับรถหรู น้ำมนตร์อึ้งๆ
“รถคันนี้”
เจี๊ยบพยักหน้า
“ใช่ เจี๊ยบสืบเรื่องแม่ของน้ำมนต์ไปด้วย เรื่องพ่อของพีระไปด้วย แล้วเจี๊ยบก็จำได้ว่าเคยเห็นรถคันนี้มาก่อน พอกลับไปเปิดดู มันก็จริงๆ คือรถคันเดียวกันจริงๆ”
แจ๊วมองรูป
“หมายความว่า คุณธีระศิลป์คือคนที่ขับรถคันนี้ แล้วไปเฉี่ยวรถของแม่น้ำมนต์”
น้ำมนต์อึ้ง ที่แจ๊วพูดความคิดในใจของตัวเองออกมาให้ได้ยิน
“พี่เจี๊ยบก็อยากคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญนะ แต่...มันบังเอิญไปหรือเปล่าที่อยู่ๆน้ำมนต์ก็มองเห็นผีพีระ เขามาขอร้องให้น้ำมนต์ช่วย แล้วเขาก็มีความเกี่ยวพันกับรถคันที่ทำให้แม่ของน้ำมนต์เสีย”
“พี่เจี๊ยบจะบอกอะไรคะ” น้ำมนตร์สงสัย
“พี่จะบอกว่า เชื่อเรื่องเวรกรรมมั้ย นี่อาจจะเป็นกรรมจากพ่อที่ตกทอดมาสู่ลูกก็ได้ พีระกำลังชดใช้กรรมแทนพ่อของเขาอยู่”
น้ำมนต์อึ้ง อยากไปพิสูจน์ให้เห็นเองกับตา ทำท่าจะไป แต่หันกลับมาฝากฝังแจ๊วก่อน
“พี่แจ๊ว ถ้าข้าวต้มตื่นจากนอนกลางวันแล้ว ฝากดูด้วยนะ แล้วไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับข้าวต้มนะคะ”
“แล้วน้องน้ำมนต์จะไปไหนคะ”
“หนูจะไปดูรถคันนั้นให้เห็นกับตา”
น้ำมนต์รีบพรวดพราดไป แจ๊วเป็นห่วงน้ำมนต์ เจี๊ยบฉวยโอกาสโอบแจ๊ว
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พระต้องคุ้มครองคนดี”
“งั้นแสดงว่าแกไม่ใช่คนดี พระถึงไม่คุ้มครอง”
แจ๊วตีเจี๊ยบ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
พีระยังคงมองรูปภาพนั้นนิ่งงัน แมนสรวงถาม
“ไง”
“ชู่ว์...อย่าเพิ่งกวน กำลังบิ้วท์”
“รีบๆเบ่ง เอ๊ย บิ้วท์ออกมานะ รออยู่”
ทันใด ประตูเปิดออก ละไมวิ่งหนีชายในชุดนักบินเข้ามา นักบินจับละไมได้
“จับได้แล้ว” นักบินเหวี่ยงละไมไปบนเตียง “มาให้พี่แลนดิ้งซะดีๆ”
“โอ๊ย ไอ้คู่นี้ก็จะคิกคักสยิวกิ้วกันให้ได้เลยใช่มั้ย”
แมนสรวงหมั่นไส้ รำคาญ คิดแกล้ง เลยมานั่งที่เตียง สะกิดนักบิน
“นี่ๆ ทำอะไรเกรงใจกันหน่อย”
นักบินหันมาเห็น ตกใจ
“เฮ้ย แกเป็นใคร มาได้ไง”
ละไมงงๆมองไม่เห็นแมนสรวง
“ใครอะไรคะกัปตัน ไม่เห็นมี”
“ก็ไอ้นี่ ไม่เห็นมันเหรอ”
“โอเค ไปก็ได้” แมนสรวงหายตัวให้เห็น
นักบินผงะ ลุกมามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแล้ว
“เฮ้ย...ผี”
นักบินตกใจ สติแตก วิ่งออกไปทางระเบียง ทำท่าเหมือนจะปีนลงไป ละไมรีบพรวดพราดวิ่งไปห้ามดึงรั้งเอาไว้
“กัปตันอย่าทำไรบ้าๆนะ หยุดๆ”
ละไมดึงนักบินเอาไว้ ไม่ให้ปีนระเบียง และระหว่างที่ยื้อยุดกันอยู่นั้น ละไมเห็นว่ารถของเมสินีแล่นกลับเข้ามาในบ้าน ละไมชะงัก มองตาถลน ฉิบหายแล้ว
“รถคุณเมสินี”
ละไมเลิกสนใจนักบินทันที ตะโกนแหกปากขับไล่ทุกคน
“ปาร์ตี้เลิกแล้ว ตัวใครตัวมัน”
รถจอดสนิท ยุทธลงมาเปิดประตูให้เมสินีก้าวลงมา ตามด้วยอาจารย์เทพและเกี๊ยง ทั้งหมดยืนมองเข้าไปในบ้าน เมสินีหันมาถาม
“ทำไมต้องมาบ้านฉันด้วย”
“อ้าว ก็คุณอยากให้จารย์เทพพิสูจน์ไม่ใช่เหรอครับว่าวิญญาณนายพีระไม่ได้ถูกขังอยู่ในหม้อใบนั้น จารย์เทพก็ต้องใช้ของส่วนตัวของพีระมาเป็นสื่อกลางในการตามหา เข้าใจมั้ยครับ” เกี๊ยงอธิบาย
“ย่ะ จะใช้ของอะไรก็เชิญ ยุทธ พาขึ้นไปห้องนอนนายพีทไป”
“ครับ เชิญ”
อาจารย์เทพกำลังจะขยับตามยุทธ แล้วชะงัก ยุทธแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง”
อาจารย์เทพเงยหน้าขึ้นไปมองที่ระเบียงห้องนอนใหญ่ แมนสรวงที่ยืนมองอยู่ระเบียง ตกใจ รีบผลุบหน้าหลบไปทันที
“ไอ้หมอผีมาทำไม พีระ เราต้องไปแล้ว”
ละไมวิ่งตลาดแตกแหกปากสุดเสียงลงมาจากชั้นบน ตะโกนขับไล่เพื่อนๆคนใช้ที่ปาร์ตี้เต้นดื่มกันอย่างเมามัน ละไมตะโกน
“ทุกคนหยุด...เจ้านายฉันกลับมาแล้ว ตัวใครตัวมัน”
แต่ทุกคนดูจะไม่เข้าใจ ไม่รับรู้
“บอกให้หยุด...แยกย้าย”
ทันใด เมสินีเดินเข้ามาพอดี ช็อกกับภาพที่เห็น
“นี่มันอะไร คนพวกนี้คือใคร...นังละไม”
“เอ่อ คือ...” ละไมหน้าเสีย
พวกคนใช้ 2-3 คนเข้ามารุมเมสินี
“อ่ะ อีนี่ใคร คนใช้บ้านไหนวะ แก่เชียว”
“ดูแต่งตัวเข้าสิ โลว์มาก จ้นจน ฮะๆ”
พวกสาวใช้คนใช้รุมหัวเราะขำ เมสินีโกรธมาก แทบระเบิด ละไมรีบมากดปิดเครื่องเสียง
“คนนี้เจ้านายของฉันเอง”
พวกคนใช้พูดต่อๆกัน
“เจ้านาย”
พวกคนใช้แต่ละคนช็อก ตาสว่าง หายเมากันทันที เมสินีชี้หน้ากราด
“นับหนึ่งถึงสาม ใครไม่ออกไปฉันจะแจ้งตำรวจจับ”
พวกคนใช้จ๊าก วงแตกฮือทันที
พวกคนใช้วิ่งกรูกันออกมานอกบ้าน แตกฮือ ยังกับหนีไฟไหม้...บนระเบียงชั้นบน แมนสรวงพาพีระมาชะโงกมองผ่านซี่บันได เห็นพวกเมสินีอยู่ครบ โดยเห็นอาจารย์เทพอยู่ด้านหลังเมสินีอีกที
“ไปทางนี้ไอ้หมอผีเห็นเราแน่...ไปทางโน้นเถอะ”
แมนสรวงกับพีระหลบไปอีกทาง
อาจารย์เทพหันขวับมองไปทางจุดที่พีระกับแมนสรวงอยู่ แต่ไม่เห็นอะไรแล้ว
“เอ่อ ผมขออนุญาตนะครับ”
“เชิญ จะไปทำอะไรก็เชิญ เพราะฉันคิดว่าจะต้องกำจัดพวกหนูโสโครกในบ้านของฉันซะก่อน”
ละไมยกมือไหว้
“คุณเม หนูขอโทษ”
อาจารย์เทพแยกออกไปอีกทาง เกี๊ยงตาม ยุทธตามไปด้วย เมสินีจ้องละไม มองชุดและเครื่องประดับของตัวเอง
“ชุดสวยดีนะนังละไม”
ละไมทรุดลงไปกองกับพื้น ยกมือไหว้ ร้องไห้หนักขึ้น โฮ
แมนสรวงพาพีระมาที่ห้องนอนใหญ่ รีบตรงไปที่ระเบียงของห้องนอนทันที
“จะไปทางไหน” พีระถามอย่างร้อนใจ
“โดด”
“เฮ้ย มันสูงนะ เดี๋ยวตายหรอก”
แมสรวงเซ็ง
“เป็นผี จะมากลัวตายอะไรอีก”
อาจารย์เทพรีบเดินตามหา พยายามใช้เซ้นซ์จับสังเกต แต่แล้วก็ล้วงขวดใส่วิญญาณผีออกจากในย่าม กำไว้ในมือ ร่ายคาถาใส่ ทันใด ฝาของมันก็เปิด มีควันลอยพุ่งออกมา แล้วก็ปรากฏร่างของผีเด็กสาวตัวซีดยืนผมปรกหน้าอยู่ เห็นดวงตาข้างเดียว แลดูน่ากลัว
ยุทธที่มองอยู่ตลอด ตะลึง ทึ่งๆที่เห็นอาจารย์เทพเรียกผีได้
แมนสรวงหล่นลงมาที่สนามก่อน พีระโดดตามลงมา
“โอ๊ย” พีระร้องไว้ก่อน แล้วชะงัก “อ้าว ไม่เจ็บนี่”
“ไปเร็ว”
พีระกับแมนสรวงกำลังจะไป แต่ต้องผงะ เพราะเจอน้ำมนต์ที่แอบเข้ามาในบ้านเช่นกัน ต่างคนต่างไม่ทันตั้งตัว
“คุณ / นาย”
“ไปก่อน” พีระรีบบอก
“จะไปไหน” น้ำมนตร์คว้ามือ “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนายให้รู้เรื่อง ทำไมต้องหลบหน้า แล้วมาที่นี่ทำไม ต้องการอะไร หรือนายก็รู้เรื่องรถคันนั้น”
“อย่าถามตอนนี้ได้มั้ย”
ทันใด ผีเด็กหญิงโผล่มายืนอยู่ขวางหน้า พวกพีระผงะ เพราะผีเด็กหญิงยืนก้มหน้านิ่ง ไม่รู้ว่ามาไม้ไหนแล้วทันใด ผีเด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้น เห็นตาข้างเดียวกลายเป็นสีเหลืองอำพัน แล้วเธอก็อ้าปาก ค่อยๆอ้ากว้าง ทีละนิดๆ จนอ้าได้กว้างกว่าปกติธรรมชาติของคนทั่วไป ราวกับไม่มีขากรรไกร และเกิดเสียงหวีดแหลม วี้ด พวกพีระอุดหู แสบหู
“เงียบ”
แมนสรวงดีดนิ้วเป๊าะ เสียงหวีดร้องหายไป แต่ผีเด็กหญิงยังอ้าปากค้างในท่าเดิม คว้ามือจับตัวแมนสรวงเอาไว้ ทันใด อาจารย์เทพกับเกี๊ยงวิ่งตามออกมา เกี๊ยงเห็นพีระเต็มๆ
“จารย์...นั่น”
อาจารย์เทพคว้าคอยุทธมาให้มองไปที่พีระ เป่าพ่วงเพื่อให้ยุทธสามารถมองเห็นได้
“เห็นมันมั้ย...เชื่อหรือยังว่าฉันไม่ได้โกหก”
ยุทธมองเห็นร่างของพีระขึ้นมา ตะลึง
“คุณพีท”
พีระหันมาเห็นพวกอาจารย์เทพ รีบดึงน้ำมนต์หลบไปอีกทาง
“มานี่”
แมนสรวงพยายามดึงตัวออกจากผีเด็กหญิง
“ปล่อยนะ”
แมนสรวงดึงตัวเองออก แล้วหายตัวไปทันที อาจารย์เทพกับเกี๊ยงตามมา ไม่เจอทั้งพีระและแมนสรวงแล้ว
“ไอ้พีระ มันต้องอยู่แถวนี้ ไปหามัน ไป”
“คุณเม ผมจะไปบอกคุณเม” ยุทธวิ่งเข้าไปในบ้าน
พีระดึงน้ำมนต์ไปทางโรงรถ เห็นช่องประตูโรงรถเปิดอยู่ รีบมุดๆเข้าไปอย่างรวดเร็ว พีระดึงน้ำมนต์เข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างรถด้านใน รถทุกคันภายในโรงรถนี้คลุมผ้าคลุมเอาไว้หมด
“คุณมาทำบ้าอะไรที่นี่คนเดียว”
“ฉันถามนายก่อน ตอบฉันมาก่อนสิ”
“ผมก็มาตามหาร่างของผมน่ะสิ คุณนั่นแหละ มีร่างกายหรือวิญญาณอยู่ที่นี่หรือไง”
“ยิ่งกว่านั้นอีก ฉันมาตามหารถคันที่ทำให้แม่ฉันตาย” น้ำมนตร์นึกขึ้นได้ “รถ...เฮ้ย นี่โรงจอดรถนี่”
“รถที่ทำให้แม่คุณตาย...อยู่ที่นี่งั้นเหรอ” พีระแปลกใจ
น้ำมนต์รีบเปิดผ้าคลุมรถคันที่อยู่ใกล้ เพื่อหารถแบบเดียวกับที่เจี๊ยบเอามาให้ดู แต่คันแรกไม่ใช่ ทันใด เกี๊ยงตามเข้ามาในโรงจอดรถ
“หลบอยู่ในนี้หรือเปล่า”
พีระกับน้ำมนต์อึ้ง ซีด เกี๊ยงเดินเข้ามา พีระกับน้ำมนต์ค่อยๆคลานหลบไปด้านในมากขึ้น พอไปถึงรถอีกคัน น้ำมนต์ก็เปิดผ้าคลุมรถเพื่อดูรถคันนั้นอีก จนเกี๊ยงได้ยินเสียงผ้าคลุมขยับ
“นั่น...พวกแกอยู่ที่นี่จริงๆ” เกี๊ยงรีบไปตะโกนเรียก “จารย์...จารย์ ทางนี้”
พีระคว้ามือน้ำมนต์จะพาหนี
“ไป”
แต่น้ำมนต์เห็นว่าเหลือรถอีกคันที่ยังไม่ได้เปิดผ้าคลุมออกดู เลยดึงมือออก แล้วรีบไปเปิดผ้าคลุมรถคันสุดท้ายก่อน แล้วน้ำมนต์ก็ต้องผงะ เพราะสี และทะเบียนใช่รถคันเดียวกับที่ธีระศิลป์ถ่ายในนิตยสาร น้ำมนต์กระชากผ้าคลุมออกจนเห็นรถทั้งคัน ยืนมองอย่างตะลึง พีระที่ตามเข้ามาด้วย พอเห็นภาพรถคันนั้นแบบเต็มๆตาก็ผงะ ช็อก จำรถคันนั้นได้
ในอดีต...พีระเดินออกมาที่โถงบ้าน มองออกไปด้านนอกบ้าน เห็นรถสปอร์ตคันดังกล่าวจอดอยู่ด้านนอกบ้าน ผูกโบว์สวยงาม พีระตาโต ตื่นเต้น รีบวิ่งออกมาดูรถ
“เฮ้ย นี่มัน...โหว โคตรเจ๋ง ไหนพ่อบอกว่าจะไม่ซื้อให้”
แต่อยู่ๆมีคนกดรีโมท รถกระพริบไฟเป็นสัญญาณ พีระเงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าเมสินียืนถือรีโมทรถอยู่ เมสินียิ้มเย้ยๆ ชูกุญแจรถแกว่งไปมา
“โทษทีนะจ๊ะพีท รถคันนี้ พ่อของเธอซื้อให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิด”
ปัจจุบัน...พีระผงะ ช็อก มีอาการปวดหัว แต่ภาพยังไม่หยุด...เมสินีขึ้นนั่งในรถสปอร์ตคันนั้นแล้ว สต๊าร์ทรถ หันมายิ้มให้และกำลังขับออกไปโดยที่พีระยืนมองอยู่ ด้วยความน้อยใจ พีระจำได้แค่นั้น โดยไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์ที่สำคัญต่อจากนั้น....
พีระช็อกกับความทรงจำที่เกิดขึ้นว่าเมสินีขับรถคันนั้นออกไป ก็ผงะ เซไป
“รถเมสินี...”
น้ำมนต์หันขวับ ได้ยินไม่ถนัด
“ว่าไงนะ”
พีระยังไม่ทันจะตอบ อยู่ๆเกี๊ยงตามอาจารย์เทพเข้ามา เผชิญกัน
“ไอ้พีระแกจริงๆด้วย...ไม่คิดเลยว่าจะเจอแกที่นี่ ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาให้เหนื่อย”
“อาจารย์ห้ามทำอะไรพีระ” น้ำมนต์ปกป้องพีระ
“เฮ้ๆ คนไม่เกี่ยว ถอยออกมานี่”
เกี๊ยงเข้าไปดึงตัว น้ำมนต์โวยวายและดิ้น
“ปล่อย”
อาจารย์เทพหยิบธงออกมาชู พร้อมจะทำร้ายพีระ
“แกนี่มันฉลาดและเจ้าเล่ห์จริงๆ ขนาดไอ้ผีคามินยังจัดการแกไม่ได้ จนฉันต้องลงมือเอง แต่คราวนี้แกไม่รอดแน่”
“แกนี่เองที่เป็นคนพาไอ้ผีคามินออกมาจากสุสานรถ”
“ใช่ งั้นแกก็คงจะรู้แล้วสินะว่าอาจารย์เทพมีคาถาอาคมเหนือกว่าไอ้ผีขาใหญ่คามิน ผีตัวกระจ้อยร่อยอย่างแก อย่าหวังว่าจะรอด”
อาจารย์เทพโบกธงสะบัด พีระถูกพลังอาคมซัดจนกระเด็นไปติดผนังด้านหลัง น้ำมนต์เห็นพีระถูกทำร้ายยิ่งร้องและดิ้นมากขึ้น อาจารย์เทพหยิบขวดใส่วิญญาณออกมา
“วันนี้แกจะต้องมาเป็นผีในคอลเลคชั่นของฉัน”
แต่อยู่ๆสัญญาณกันขโมยที่ติดตั้งเอาไว้ในโรงรถไฮโซนี้ดังขึ้น ตามด้วย ประตูรั้วโรงรถก็เลื่อนลงมาปิดตัวเองอัตโนมัติ ประหนึ่งเป็นการป้องกันภัย เกี๊ยงงงๆ
“สัญญาณดังได้ไงอ่ะจารย์”
แมนสรวงปรากฏกายแว่บขึ้นมาตรงหน้าเกี๊ยง
“ฉันทำเอง”
แมนสรวงชกเกี๊ยงจนหน้าหงายแล้วก็ดึงตัวน้ำมนต์มา เหวี่ยงให้น้ำมนต์รีบลอดพ้นประตูโรงรถออกไปได้อย่างฉิวเฉียด
“พีระ ไป”
แมนสรวงคว้าประแจที่อยู่แถวนั้น เขวี้ยงไปที่อาจารย์เทพ เพื่อให้อาจารย์เทพผละหลบ และเปิดโอกาสให้พีระหนีได้ พีระวิ่งกระโจนทะลุผนังออกไปด้านหนึ่ง แมนสรวงก็วิ่งทะลุกำแพงออกไปเช่นกัน อาจารย์เทพกับเกี๊ยงจะตาม แต่ไม่มีทางออก
“ไปหาปุ่มเปิดประตูสิวะ ไปๆ”
เกี๊ยงวิ่งวุ่นหาปุ่มเปิดประตู อาจารย์เทพหงุดหงิด
บ้านน้ำมนต์ ยามค่ำคืน อัฐชัยเดินกลับไปกลับมา รอน้ำมนต์ด้วยความกระวนกระวาย แจ๊วมารายงาน
“ติดต่อน้องน้ำมนต์ไม่ได้เลยค่ะ”
“เมื่อวานก็เกิดเรื่องเกือบถูกรถไฟทับตาย วันนี้หายไปอีก ทำไมเธอไม่ดูแลน้ำมนต์ดีๆ”
พิมพ์ดาวนั่งอยู่อีกด้าน กับข้าวต้ม งอแง ข้าวต้มสงสัย
“ทำไมพี่แจ๊วต้องโทรบอกพี่อัฐชัยด้วย ว่าพี่น้ำมนต์หายไป แล้วพี่แจ๊วก็ยังทำท่าอย่างกับพี่อัฐเป็นเจ้านาย”
งอแงหันมาหาพิมพ์ดาว
“พี่จะนั่งเฉยๆยังงี้เหรอพี่ดาว”
“แล้วจะให้พี่ทำไร”
“พี่รักพี่อัฐชัยไม่ใช่เหรอ ก็ต้องทำอะไรสักอย่างสิ”
ข้าวต้มชะงัก
“พี่ดาวรักพี่อัฐ”
งอแงพยักหน้า
“ใช่ๆ สายตาที่พี่ดาวมองพี่อัฐคือแอบรัก แต่ติดที่พี่อัฐรักพี่สาวนายอ่ะ พี่ดาวเลยไม่กล้าแสดงออก”
“งอแง หยุดพูดเหลวไหล พี่ไม่ได้ชอบเขา” พิมพ์ดาวดุ
“ดีเลย เค้าจะช่วยพี่ดาวเอง” ข้าวต้มยิ้ม
เด็กสองคนดีใจ จับมือกันเฮฮา อัฐชัยตวาด
“ถ้าไม่คิดจะช่วยกันตามหาน้ำมนต์ก็เงียบๆได้มั้ย”
“พี่อัฐ รู้หรือเปล่าว่าพี่ดาวแอบรั...ก...” ข้าวต้มจะพูดว่า แอบรักพี่มานานแล้ว
พิมพ์ดาวรีบผวาไปปิดปากข้าวต้ม
“ข้าวต้ม...หิวใช่มั้ย ไปๆไปหาอะไรกินข้างใน”
งอแงหันมาหาอัฐชัย
“พี่อัฐขา...คือว่า...พี่ดาวแอบ...”
“งอแง” พิมพ์ดาวผวามาปิดปากงอแงอีกคน “หิวเหมือนกันใช่มั้ย ไปๆๆ”
อัฐชัยงง แปลกใจ แต่แจ๊ววิ่งเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“รับสายแล้วค่ะ” แจ๊วพูดโทรศัพท์ “คุณน้ำมนต์อยู่ไหนคะ ปลอดภัยดี กำลังจะกลับ ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“เฮ้ย ทำไมไม่ส่งให้ฉันคุย” อัฐชัยโวย
“อ้าว...ก็ไม่รู้ว่าจะคุย”
“แจ๊ว”
อัฐชัยหงุดหงิด แจ๊วจ๋อย อัฐชัยฮึดฮัดเป็นห่วงน้ำมนต์
น้ำมนต์วางสาย แล้วหันมาหาพีระ
“ที่คุณบอกว่า คุณมาหารถที่ทำให้แม่ของคุณตาย หมายความว่าไง”
“พี่เจี๊ยบสืบข้อมูลมาได้ ว่ารถคันที่เป็นต้นเหตุให้แม่ของฉันเสียชีวิต คือรถสปอร์ตคันนึงที่พ่อของนายมี”
น้ำมนตร์ล้วงหยิบรูปจากนิตยสารที่เจี๊ยบถ่ายมาให้ ยื่นให้ดู
“ฉันไม่อยากเชื่อ...ว่าพ่อของนาย จะเป็น...” น้ำมนตร์จะพูดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ฉันตาย
พีระสวนขึ้นมา
“รถคันนี้...เป็นของเมสินี”
น้ำมนต์ชะงัก
“หา...”
“ตอนที่คุณเปิดผ้าคลุมรถ ผมเห็นภาพความทรงจำ พ่อซื้อรถคันนี้ให้เมสินีเป็นของขวัญวันเกิด แล้วเมสินีก็ขับมันออกไป”
“จริงเหรอ”
“ผมจะโกหกคุณทำไม ผมเคยบอกแล้วว่าจะช่วยคุณสืบเรื่องแม่ของคุณ”
“คุณเมสินี เป็นคนขับรถคันนั้นงั้นเหรอ”
น้ำมนต์รีบหยิบมือถือขึ้นมา กดค้นหาข้อมูลของเมสินี
“คุณทำอะไร”
น้ำมนต์เข้ากูเกิ้ล ใส่ว่า “เมสินี ภาคภูมิใจบรรหาร ประวัติ” หน้าจอแสดงผลการค้นขึ้นมา น้ำมนต์คลิกเข้าไปใน หน้าวิกิพีเดีย มีรูปเมสินีพร้อมประวัติ แสดงวันเดือนปีเกิด น้ำมนต์อ่านข้อมูล
“ประวัติเมสินี ภาคภูมิใจบรรหาร เกิดวันที่...” น้ำมนตร์ช็อค “วันเกิดคุณเมสินี เป็นวันเดียวกับวันที่แม่ฉันประสบอุบัติเหตุ”
“งั้นก็แสดงว่า ที่ผมเห็นภาพเขาขับรถออกไป วันนั้นก็...”
น้ำมนต์ช็อก หันหน้าหนีจากพีระ เดินแยกไป พยายามจะเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ สีหน้าตะลึง ช็อก ว่างโหวง เป็นความเศร้าแบบลึกๆ คล้ายๆกับเกิดตาน้ำในความรู้สึก มันค่อยๆมา แล้วมันก็ท่วมท้นเอ่อล้น จนมันไหลออกมาที่ดวงตา น้ำมนต์น้ำตาไหล ไหลจนเดินต่อไปไม่ได้ หยุดยืน พยายามจะไม่ร้อง แต่หมดแรง ทรุดลงไปนั่งยอง กอดเข่า มือปิดปาก พยายามจะไม่ร้อง พีระอึ้ง อยากปลอบ ยืนมอง สงสารจับใจ
“น้ำมนต์...”
พิมพ์ดาวเดินกลับมาจากการไปส่งงอแงกลับบ้านเข้ามา อัฐชัยก็เดินออกมาจากด้านในบ้าน ร้อนใจมาก จะรีบออกไปหาน้ำมนต์
“ดาว แกมาพอดี ฉันเพิ่งรู้จากแจ๊วว่าน้ำมนต์ไปบ้านคุณเมสินี ฉันจะไปหาน้ำมนต์ แกอยู่นี่ ถ้าน้ำมนต์กลับมาแล้วโทรบอกฉันด้วย”
“ก็ยัยน้ำมนต์บอกว่ากำลังจะกลับมาแล้ว แกจะเป็นห่วงอะไรอีก”
“ก็...นี่มันนานแล้วทำไมน้ำมนต์ไม่กลับมา อาจจะมีอันตราย หรือไอ้ผีพีระอาจจะดักทำร้ายน้ำมนต์ก็ได้”
“ทำร้าย แกก็รู้ว่าพีระไม่เคยทำร้ายน้ำมนต์...มีแต่แก”
อัฐชัยอึ้ง ชะงัก
“ทำไมพูดงี้”
“ถามจริง แกทำตัวอย่างนี้ แกไม่อายบ้างเหรอ ถ้าไม่อายตัวเอง แล้วแกไม่อายผีบ้างเหรอ”
“ไม่อาย เพราะฉันทำเพื่อน้ำมนต์”
“เหรอ...น้ำมนต์ขอร้องเหรอ แกคิดเองเออเองว่าการอยู่กับผีไม่ดี แต่น้ำมนต์คือคนที่อยู่กับผี ถ้าน้ำมนต์แฮปปี้ แกมีสิทธิอะไรไปตัดสินแทน”
“สิทธิในความเป็นเพื่อนที่ดีไง”
“แกอย่าเอาคำว่าเพื่อนมาเป็นข้ออ้างทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวเลย”
“แกนั่นแหละเห็นแก่ตัว ห่วงแต่ตัวเอง ไม่เคยห่วงเพื่อน” อัฐชัยยังเถียง
พิมพ์ดาวของขึ้นปรี๊ดเลย
“ฉันเหรอเห็นแก่ตัว ฉันเสียสละอะไรตั้งมากมายเพื่อแก ต้องทำเรื่องที่ไม่อยากทำ ต้องทนอึดอัดเพื่อให้แกมีความสุข แกเคยรู้บ้างมั้ย” พิมพ์ดาวผลักอก “หา...ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องมาพูด”
พิมพ์ดาวผลักอัฐชัยแรง แล้วเดินหนีออกไป อัฐชัยฮึดฮัด ไม่ยอมรับความจริง
พิมพ์ดาวเดินหนีมา อัฐชัยวิ่งตามมา
“เออ แกเสียสละ ฉันเห็นแก่ตัวแล้วจะทำไม ฉันรักน้ำมนต์ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ตามจีบน้ำมนต์มาตลอดจนถึงวันนี้ ฉันไม่เคยเปลี่ยนใจจากน้ำมนต์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าสิ่งที่ฉันทำกับไอ้ผีพีระมันเรียกว่าการเห็นแก่ตัว ฉันก็ยอมเห็นแก่ตัว เพื่อน้ำมนต์”
พิมพ์ดาวหันกลับมา เจ็บปวดใจ จนน้ำตาไหลออกมา อัฐชัยอึ้ง
“แกร้องไห้ทำไม”
พิมพ์ดาวมองอัฐชัยด้วยสายตาของคนที่รักมาก รักแต่พูดไม่ได้
“มองอะไร...เป็นอะไร...”
พิมพ์ดาวหันหนี ตัดใจ รีบเดินไป
“ยัยดาว...แกจะไม่อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนเหรอ”
พิมพ์ดาวเดินกลับมาบ้าน นั่งลงด้วยความเสียใจ คำพูดของอัฐชัยยังตามหลอกหลอนให้เจ็บช้ำน้ำใจไม่เลิก
“เออ แกเสียสละ ฉันเห็นแก่ตัว แล้วจะทำไม ฉันรักน้ำมนต์ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ตามจีบน้ำมนต์มาตลอดจนถึงวันนี้ ฉันไม่เคยเปลี่ยนใจจากน้ำมนต์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าสิ่งที่ฉันทำกับไอ้ผีพีระมันเรียกว่าการเห็นแก่ตัว ฉันก็ยอมเห็นแก่ตัว เพื่อน้ำมนต์”
น้ำตาพิมพ์ดาวไหล งอแงในชุดนอนเดินออกมาจากในบ้าน เห็นพิมพ์ดาวนั่งเศร้า งอแงเดินเข้ามาหามาซุกตัวเข้ามานอนหนุนตักพิมพ์ดาวทันที
“ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ”
งอแงยิ้มให้ จับมือพิมพ์ดาว แล้วจับหน้า
“ร้องเพลง ไม่เอาร้องไห้ พี่สาวหนูสวย ต้องไม่ร้องไห้นะคะ”
พิมพ์ดาวรู้ว่าน้องจะมาปลอบใจ พยายามยิ้มตอบ
“อื้อ”
“ร้องเพลงเร็ว...เอาเพลงอย่ามะนงอย่ามโน”
พิมพ์ดาวแค่นหัวเราะยิ้มทั้งน้ำตา
ทางเดินริมถนนในเมือง...น้ำมนต์เดินเหม่อลอยไปเรื่อยเปื่อยตามทาง พีระเดินตามหลัง รักษาระยะ
“จะเดินไปถึงไหน”
พีระเดินตามน้ำมนต์มาสักระยะ อยู่ๆแมนสรวงโผล่มาเดินขนาบข้างพีระ
“แล้วนายล่ะ จะเดินตามน้ำมนต์ไปถึงไหน”
“ยัยน้ำเปล่าปลุกเสกกำลังเสียใจที่รู้ว่าแม่ตัวเองตายเพราะใคร แล้วจะให้ทิ้งเขาไว้งั้นเหรอ”
“มันจำเป็นถ้านายไม่อยากให้น้ำมนต์มีอันตราย”
พีระอึดอัด เครียด รู้แต่ลำบากใจที่จะทำ
“ฉันรู้...ฉันรู้ว่าฉันจะนำอันตรายมาให้น้ำมนต์ แต่จะให้ฉันทิ้งไปทั้งๆที่น้ำมนต์เป็นอย่างนี้ ฉันทำไม่ได้”
“แล้วนายคิดว่าจะช่วยอะไรได้”
“ได้สิ ต้องได้ ถึงได้ไม่มากก็ยังดีกว่าทิ้งไปเลยเฉยๆ”
พีระเดินผละจากแมนสรวงไป เดินกึ่งวิ่งไปหาน้ำมนต์ ยืนขวางหน้า น้ำมนต์มองตอบด้วยแววตาเศร้าอาลัย แล้วจะขยับเพื่อเดินต่อ แต่พีระขยับมายืนขวาง น้ำมนต์จะหลบ พีระตามมาขวางอีก
“จะเป็นอย่างนี้อีกนานมั้ย”
“ฉัน...ฉันก็ไม่รู้”
“ผมพอจะช่วยอะไรคุณบ้างได้มั้ย”
“ฉันไม่รู้...ฉันเคยคิดว่า ถ้าวันนึงฉันรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้แม่รถคว่ำคือใคร ฉันก็คงจะช่างมันได้ เพราะเรื่องมันนานมากแล้ว แต่ พอได้รู้จริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่รู้สึก”
“มันยาก แต่มันก็คือความจริงที่คุณจะต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ เหมือนที่คุณเคยบอกผมให้ยอมรับความจริงเรื่องตัวผมเองไง”
“ฉันรู้ ฉันรู้”
น้ำมนต์อึดอัด สับสน เพราะมันยากเกินกว่าจะทำได้ในทันที น้ำตาไหล พีระสงสารเกินห้ามใจ สุดท้าย ดึงน้ำมนต์เข้ามากอดเอาไว้ ปลอบใจ น้ำมนต์ที่ทีแรกหน้าเหวอ งง แต่แล้วก็คลายตกใจ รู้สึกอบอุ่นที่ยังมีคนเป็นห่วง ยืนนิ่งให้เขากอด น้ำตาไหลออกมา
พีระผละออก ยิ้ม แล้วคว้ามือเธอขึ้นมา น้ำมนต์ฉงน พีระยิ้มร่าเริงมาก
พีระดึงน้ำมนต์ให้วิ่งมา ใกล้สนามเด็กเล่น แต่น้ำมนต์ดึงตัวเองออก
“นายจะพาฉันไปไหน”
“ผมจะให้คุณไปทำอะไรก็ได้ ที่จะไม่ต้องหมกมุ่นจมอยู่กับความทุกข์เรื่องแม่ของคุณ”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก สักพักฉันก็จัดการตัวเองได้”
น้ำมนต์เดินแยกไป จะกลับบ้าน แต่พีระหันไปทางด้านหนึ่ง เห็นว่ามีสนามเด็กเล่นอยู่ไม่ไกล
“นั่น สนามเด็กเล่น...คุณ...ไปกัน”
พีระดึงน้ำมนต์เข้ามาในสนามเด็กเล่น แล้วก็คะยั้นคะยอดึงเธอให้รีบไปเล่นชิงช้า
“มาๆ ผมไกวให้เอง”
น้ำมนต์อิดออด ไม่อยากเล่น
“อย่าน่า...”
“ไม่อยากเล่นใช่มั้ย งั้นลงมาๆ” พีระดึงน้ำมนต์ลงแล้วตัวเองนั่งเอง “แกว่งให้ผม ผมอยากเล่นชิงช้ามาก แกว่งให้ผมหน่อยนะ”
“ไม่...” น้ำมนต์จะไป
พีระรีบคว้ามือ
“ขอแค่ห้านาที นะๆ”
น้ำมนต์จำใจแกว่งชิงช้าให้ ส่งๆ
“ยะฮู้ๆ”
พีระร้องอย่างสนุกมาก แล้วก็เริ่มร้องท้าทายให้น้ำมนต์แกว่งแรงขึ้นอีกเรื่อยๆ เจตนาราวกับจะให้เธอระบายความอึดอัดออกมาผ่านการแกว่งชิงช้า
“แกว่งแรงๆหน่อยดิ ไม่สะใจเลย มีแรงแค่นี้เองเหรอคุณ...โอ๊ย เด็กอนุบาลยังมีแรงกว่าคุณเลย”
“มันจะดูถูกมากไปแล้วนะ เดี๋ยวแกว่งให้ปลิวเลย”
น้ำมนต์ติดกับพีระ ออกแรงแกว่งเต็มแรง
“อยากปลิว”
“ปากดีนักใช่มั้ยนายภาระ...นายต้องปลิว...นายต้องปลิว...ต้องปลิว”
ชิงช้าไกวสูงมาก น้ำมนต์ผลักสุดแรง แต่แล้วอยู่ๆชิงช้าก็โมเมนตั้มกลับมา กลับว่างเปล่า ไม่มีพีระแล้ว น้ำมนต์ชะงัก หายไปไหน
“อ้าว...”
น้ำมนต์มองหาไปข้างหน้า เพราะคิดว่าอาจจะปลิวไปแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่พบอะไร น้ำมนต์หันกลับมาด้านหลัง ก็ต้องผงะเพราะพีระยืนอยู่ ใกล้ชิด
“หายเครียดยัง”
“หือ”
“ได้แกล้งทำให้ผมแล้ว มีความสุขแล้วสิ”
“นายจงใจจะทำให้ฉันหายเครียดงั้นเหรอ”
“ท่าจะยังไม่หาย งั้นมานี่”
พีระลากน้ำมนต์ไปอีก
ทั้งคู่เล่นกระดานหก พีระทิ้งน้ำหนักลง น้ำมนต์ลอยกระเด้งขึ้นไป พีระหัวเราะขำ น้ำมนต์หมั่นไส้ คิดจะทิ้งน้ำหนักเพื่อกดให้พีระลอยขึ้นไปบ้าง แต่ทำยังไงก็ไม่ลอย กี่ทีๆ เธอก็ยังลอยเท้งเต้งอยู่อย่างนั้น แบบว่าพีระตัวหนักมาก พีระหัวเราะไม่เลิก
น้ำมนต์นั่งอยู่บนม้าหมุน พีระหมุนให้ไม่หยุด น้ำมนต์เกาะแน่น กลัวหล่น
“หยุด เวียนหัวหมดแล้ว หยุด”
“อยากให้หยุดก็หัวเราะออกมาก่อน มีความสุขเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆ”
น้ำมนต์หัวเราะ
“ฮ่าๆ ฉันหลุดไปนายตาย ฮ่าๆ”
“ดังๆ”
พีระยังหมุนไม่เลิก
น้ำมนต์มุดท่อมา พีระมุดท่อตาม แต่พอพีระโผล่หัวพ้นปลายท่อออกมา ก็ต้องพบว่าน้ำมนต์ถือกรวยมาใช้แทนโทรโข่ง แล้วพูดตะโกนใส่จังๆ
“ไอ้ภาระ”
พีระมึนเสียงดัง ถึงกับตาเหล่ ฟุบคาท่อ
น้ำมนต์สไลด์ตัวลงมาจากที่สไลด์ หัวเราะๆ แล้วก็นอนแผ่อยู่ที่ปลายเครื่องเล่นนั้น
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ชอบเห็นคนหน้าบึ้งอยู่แล้ว มันไม่เจริญหูเจริญตา”
“พีระ ถามไรหน่อย นายหลบหน้าฉันทำไม”
น้ำมนต์หันมาจ้องถามอย่างจริงจัง พีระอึ้ง
“ที่อัฐชัยบอกว่านายคิดจะทำร้ายฉัน ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่นายทำให้ฉันตอนนี้ก็ยืนยันได้ว่านายไม่ได้คิดร้ายกับฉัน แล้วเพราะอะไร บอกฉันที”
พีระอึ้ง ตอบไม่ถูก
พีระเดินเลี่ยงมาอีกด้าน น้ำมนต์ตามตื๊อ
“ทำไม...บอกฉันมาตามตรงเถอะ”
พีระอยากจะบอกความจริง แต่รู้ดีว่ามันจะยิ่งทำให้น้ำมนต์มีอันตราย จำใจจะต้องตอบโกหกความรู้สึกตัวเอง
“ผมขอพูดตามตรงเลยนะ...ผมไม่ได้โกรธคุณหรือเพื่อนของคุณเลย เหตุผลของผมมีแค่ ผมเหลือเวลาอีกแค่13 วัน...13 วันเท่านั้นที่ผมจะต้องหาร่างให้เจอ ผมไม่อยากเป็นผีไปตลอด”
“ฉันก็กำลังช่วยนายอยู่”
“ช่วยเหรอ...ตอนนี้ได้อะไรคืบหน้าบ้าง ไม่เลยสักนิด ไม่ต่างจากวันแรกที่เราเจอกันเลย ผมไม่อยากเสียเวลาไปกับอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว ผมอยากตามหาร่างของผมให้เจอ”
“ทำไมพูดอย่างนี้”
“ทีแรก ผมก็นึกว่าผมจะช่วยงานคุณนิดๆหน่อยๆเพื่อแลกกับการที่คุณและพรรคพวกจะมาช่วยผมหาร่างเต็มร้อย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ผมกลายเป็นเครื่องมือของพวกคุณ ทั้งละคร ทั้งรายการ แล้วผมได้อะไร ไม่มีเลย แล้วผมจะเสียเวลาไปเพื่ออะไรอีก”
“ไม่จริง นายไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ นายต้องมีอะไรปิดบังฉันอยู่”
“ผมพูดความจริง”
“แล้วฉันล่ะ ฉันไม่มีความสำคัญกับนายบ้างเลยเหรอ”
“ผมมาคิดๆดูแล้ว ความรักมันเป็นตัวถ่วงชีวิตผม ถ้าผมไม่เสียเวลาไปกับคุณ แล้วไปตามหาร่างด้วยตัวเอง ป่านนี้ผมอาจเข้าร่างได้แล้วก็ได้”
น้ำมนต์อึ้ง
“พีระ...ถ้านายคิดอย่างนี้ แล้วนายจะมาปลอบใจฉันทำไม จะมาสนใจว่าฉันจะเสียใจทำไม”
“นี่เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปไม่ว่าคุณจะเศร้าเสียใจเรื่องใหญ่แค่ไหน ผมก็จะไม่มาปลอบคุณอีก มันเสียเวลาผม”
พีระเดินหนีไป น้ำมนต์ลุกยืนตาม ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ฉันไม่เชื่อนาย ฉันไม่เชื่อ”
น้ำมนต์วิ่งตาม พีระวิ่งหนี
“หยุดนะ”
พีระวิ่งๆ น้ำมนต์วิ่งๆ สุดท้าย น้ำมนต์ตามไม่ทัน ได้แต่ยืนร้องเสียใจ
“ฉันไม่เชื่อนาย ไม่เชื่อ”
น้ำมนต์เดินละห้อยกลับมาที่บ้าน อัฐชัยยังรออยู่ พอเห็นน้ำมนต์เดินมา รีบพุ่งไปหา
“น้ำมนต์...ทำไมเพิ่งกลับ...รู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วงมาก...ไปไหน...ไปทำอะไรมา...ผีพีระทำร้ายคุณหรือเปล่า”
น้ำมนต์ที่กำลังเดินผ่านไป แต่พอได้ยินชื่อพีระก็หันขวับมาจ้อง อยากจะต่อว่า แต่ไม่มีอารมณ์ มองนิ่ง แววตาไร้อารมณ์ อัฐชัยถามต่อ
“มีอะไรหรือเปล่า”
น้ำมนต์ตัดบท
“ไว้คุยกันวันหลังนะ”
“แต่...”
“ฉันจะนอน”
น้ำมนต์เดินเข้าบ้านไปทันที อัฐชัยงง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“อัฐรอมาทั้งวัน ไล่กันง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ”
มุมหนึ่ง พิมพ์ดาวแอบมองอยู่ สะเทือนใจ
น้ำมนต์เดินเข้ามาในห้องนอน เห็นข้าวต้มหลับไปแล้วอยู่บนเตียง กำลังนอนฝันดี อมยิ้มมีความสุข น้ำมนต์มองข้าวต้ม รู้สึกรักและเห็นใจ ว่าเราเหลือกันสองคนพี่น้องแค่นี้ เธอเข้าไปนั่งข้างๆเตียง ลูบหัวข้าวต้ม แล้วล้มตัวนอนซ้อนกลังข้างๆ กอดน้องเอาไว้ น้ำมนต์จะร้องไห้ แต่พยายามไม่ร้อง กลัวเสียงร้องจะทำให้น้องตื่น แต่ข้าวต้มนู้สึกตัว
“พี่น้ำมนต์กลับมาแล้วเหรอครับ”
“อื้อ”
“เหนื่อยมั้ย ถ้าไม่เหนื่อย หาอะไรให้เค้ากินหน่อยจิ...แฮ่ๆ ล้อเล่น” ข้าวต้มงัวเงียหลับต่อ
น้ำมนต์กอดน้องร้องไห้ มุมหนึ่ง พีระยืนมองอยู่ เห็นใจน้ำมนต์
พีระเดินออกมาด้านนอก ฮึดฮัด อึดอัด ที่ต้องโกหกน้ำมนต์ไป แมนสรวงโผล่มานั่งอย่างชิลๆ ดื่มน้ำ
“นายทำถูกต้องแล้ว...พูดจาทำร้ายจิตใจ เพื่อให้น้ำมนต์ตัดใจ เป็นวิธีคิดที่ฉลาดมาก แล้วก็ใจร้ายมากก”
“ฉัน...สงสารน้ำมนต์ว่ะ เห็นน้ำมนต์ร้องไห้แล้ว ฉัน...ฉันอยากร้องไห้ตาม ฉันไม่อยากเห็นเขาเสียใจ ฉันอยากให้เขายิ้ม อยากเข้าไปปลอบ ไปทำตัวบ้าๆบอๆเพื่อให้น้ำมนต์หัวเราะและมีแต่ความสุข...ฉันเป็นบ้าอะไรของฉันวะเนี่ย”
“ความรู้สึกนาย เป็นอะไรที่ สรุปได้ไม่ยาก”
“มันคืออะไร”
“ความรัก”
พีระอึ้ง แมนสรวงพูดพึมพำคนเดียว
“แย่แน่ๆ ต้องแย่แน่ๆ”
จบตอนที่ 9