คุณผีที่รัก ตอนที่ 7
บ้านน้ำมนต์ยามค่ำคืน...อัฐชัยพยายามโทรศัพท์หาน้ำมนต์อย่างร้อนใจมาก แต่ติดต่อไม่ได้เลย เอมี่เดินเครียดๆออกมาจากบ้าน
“ถามยังไงข้าวต้มก็บอกแต่ว่าน้ำมนต์ไปตามจับกิ๊กของพีระ ตอนนี้พี่เลยให้แจ๊วคุมตัวข้าวต้มไว้ในห้องนอน”
“กิ๊กอะไร พีระเป็นผีจะมีกิ๊กได้ไง” พิมพ์ดาวแปลกใจ
อัฐชัยอยู่ๆก็โวยวายขึ้นมา
“โอ๊ย...ทำไมไม่รับสาย งั้นอัฐจะโทรบอกพ่อ ให้พ่อบอกตำรวจ ให้ตำรวจบอกรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรีบอกนายก ให้นายกบอกสหประชาชาติ โลกทั้งโลกจะต้องช่วยกันตามหาน้ำมนต์”
อัฐชัยโวยวายๆ ทุกคนมองด้วยสายตาประมาณว่า เป็นเอามาก เอมี่ถามลูกโป่ง
“พ่อมันเป็นใครเหรอ”
แต่อยู่ๆมือถือของพิมพ์ดาวดังขึ้น
“ฮัลโหล...น้ำมนต์แกอยู่ไหน” พิมพ์ดาวชะงัก “จะให้ช่วยอะไร...ได้ๆ” พิมพ์ดาววางสายบอกทุกคน “จะเล่าทุกอย่างให้ฟังในรถ”
พวกพิมพ์ดาวรีบวิ่งมาที่รถตู้ เอมี่ขึ้นไปขับ อัฐชัยวิ่งตามมา
“พวกแกจะไปไหน ไม่ห่วงน้ำมนต์เลยหรือไง เพื่อนใจร้าย”
ลูกโป่งหันมาดุ
“ตะกี้น้ำมนต์โทรมาเรียกให้ไปช่วย แกจะไปก็ตามมา”
“ไปช่วยน้ำมนต์ แล้วน้ำมนต์ล่ะ เฮ้ย น้ำมนต์ ก็คนเดียวกันนี่หว่า...รอฉันด้วย”
อัฐชัยรีบวิ่งตามรถตู้ที่แล่นออกไปแล้ว โวยวายๆ ขวางรถให้จอด แล้วรีบโดดขึ้นไป ทุลักทุเล
ด้านหน้าสำนักอาจารย์เทพ...พีระถอยหนี แต่อาจารย์เทพยกมือพนมท่องคาถา เกิดเป็นกลุ่มควันพุ่งเข้าหาแล้วกระชากพีระอย่างแรง จนกระเด็นถอยกลับไปกระแทกกับพื้น
“โอ๊ย”
พีระดิ้นไม่หลุด
“คุณอยากให้ผมจัดการมันยังไงดีคุณเมสินี”
“จะทำอะไรก็ตามสบายเลย แค่มันไม่กลับมามีชีวิตอีก ฉันก็พอใจแล้ว อ้อ แต่อย่าให้มันมาอาฆาตฉันได้ก็พอ”
เมสินีรีบวิ่งกลับไปที่รถ ขับกลับออกไปทันที เกี๊ยงตะโกนตาม
“แล้วจะส่งบิลไปเก็บนะครับ ตอนนี้ขอเช็กบิลไอ้ผีเจ้าเล่ห์ก่อน”
“ฉันไปติดหนี้อะไรพวกแก”
พีระพยายามจะดิ้น แต่ไม่หลุด
พีระกระเด็นมาติดกับต้นไม้ต้นหนึ่งเสียงดังอั๊ก เขาพยายามดิ้น แต่ไม่หลุด ถูกตรึงติดกับต้นไม้นั้นไว้
“แกดู...” อาจารย์เทพโชว์แผลที่หน้า “เห็นสิ่งที่แกทำกับหน้าฉันไว้มั้ย”
“แกเป็นสิวเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“สิวบ้าอะไร...รอยแผลเป็นเว้ยหน้าใสๆเกาหลีสไตล์ของฉันต้องมีตราบาปเพราะแก ฉันอุตส่าห์สร้างเอกลักษณ์เป็นหมอเทพ ชูธง จะไปแข่งกับพวกหมอฟันธงฟันทิ้ง...แต่แก แกทำให้อนาคตหมอผีซุปตาร์ของฉันดับวูบ”
“จารย์...อย่าพูดเยอะ เกี๊ยงเห็นในละคร พูดเยอะทีไร แป้กทุกที...จัดการเลย”
“เฮ้ยๆ พูดนิดๆหน่อยๆเอง ไม่เป็นไรหรอก”
แต่อยู่ๆพีระผวาเฮือก ก้มมอง ปรากฏว่าอาจารย์เทพเอาธงของตัวเองจิ้มเข้ามาที่หน้าอกของเขา ทำให้พีระส่งเสียงอะไรไม่ออก หน้าและปากเกร็ง กระตุก
“ฉันจะฝังวิญญาณของแกไว้ที่นี่”
อาจารย์เทพสวดคาถา ร่างของพีระค่อยๆซึมเข้าไปในต้นไม้ พีระร้องด้วยความทรมาน โดยที่ธงยังปักอยู่ แต่อยู่ๆรถตู้ของรายการคืนผจญผีวิ่งพุ่งพรวดเข้ามาขัดจังหวะ แทบจะชนจนอาจารย์เทพต้องผวาหลบอย่างฉิวเฉียด...รถจอดเอี๊ยด พีระร่วงอยู่แถวโคนต้นไม้นั้น อัฐชัยรีบโดดลงมาคนแรก
“อาจารย์เทพช่วยเพื่อนผมด้วย”
เสียงกรี๊ดของพิมพ์ดาว ลูกโป่ง เอมี่...ดังขึ้นก่อนที่ 3 สาวจะวิ่งกรูลงจากรถ เอมี่เป็นคนขับ และปิดท้ายด้วย เจี๊ยบ ในสภาพของคนที่ถูกผีเข้า ทุกคนแกล้งว่าถูกผีเข้า เจี๊ยบแยกเขี้ยว
“แฮ่...”
อัฐชัยรีบบอก
“พวกเราไปถ่ายรายการมา แล้วเขาไปพูดลบหลู่เจ้าที่ครับ”
เจี๊ยบส่งเสียงเยือกเย็น
“พวกมึงลบหลู่กู”
ทุกคนกรี๊ดกลัว วิ่งไปหลบหลังอาจารย์เทพ นัวเนียน่ารำคาญ
“เฮ้ยๆ ปล่อยฉันก่อน ฉันยังไม่ว่าง”
“ปล่อยจารย์เทพนะ ปล่อย” เกี๊ยงตวาด
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงพยายามจะผละออก เพื่อไปจัดการพีระ แต่ทุกคนก็ตามมาเกาะแขนเกาะขา กอดหลัง นัวเนีย จนไม่มีจังหวะทำอะไรพีระได้
“คิดว่าไอ้หมอผีหน้าบากจะช่วยได้เหรอ...รู้จักกูน้อยไปแล้ว แฮ่”
เจี๊ยบทำท่าแหกปากแยกเขี้ยวคำราม แล้วก็วาดมือเหมือนพวกนักเต้นที่ส่งต่อท่าเต้นไปให้กับเอมี่ ทันใด เอมี่รับมุกว่าวิญญาณผีได้ย้ายจากเจี๊ยบมาเข้าสิงร่างของตนแล้ว เอมี่ผวาเฮือก แล้วสายตาก็เปลี่ยนเป็นถูกผีเข้า
“แฮ่”
ทุกคนเห็นเอมี่ถูกผีเข้าข้างๆตัว ก็แตกกระเจิง
“ว้าก”
ระหว่างที่พวกอาจารย์เทพกำลังชุลมุน น้ำมนต์แอบย่องเข้ามาหาพีระ
“ชู่ว์...ไปๆ”
น้ำมนต์ประคองพาพีระหนีก่อนโดยที่ยังมีธงปักหน้าอกไปด้วย
เอมี่ยังคงถูกผีเข้าและไล่อาละวาด
“พวกมึงลบหลู่กู...ตาย”
แล้วเอมี่ก็ทำท่าส่งต่อไปให้กับเจี๊ยบอีกรอบ เจี๊ยบผวาเฮือก
“แฮ่...”
ทุกคนกรี๊ดกระเจิงอีกรอบ แต่คราวนี้เจี๊ยบกระโดดไปขี่หลังอาจารย์เทพเอาไว้ บีบคอและกอดรัดแน่นหนา อาจารย์เทพพยายามสะบัดๆ เกี๊ยงเข้าไปช่วยดึงเจี๊ยบอีกแรง แล้วในที่สุด เจี๊ยบก็ถูกดึงร่วงลงมากับพื้น อาจารย์เทพฉุนขาดคว้ากระถางต้มไม้ตรงนั้นขึ้นมา เงื้อจะฟาดแต่เจี๊ยบรีบร้องห้าม
“อย่า...ผีออกแล้ว”
อาจารย์เทพหันมาหาเอมี่
“ผีอยู่ที่แกใช่มั้ย”
เอมี่โบกมือส่ายหน้า
“ไม่ๆ ไม่อยู่แล้ว ผีไปผุดไปเกิดแล้ว”
อาจารย์เทพกวาดตามอง
“มีใครถูกผีเข้าอีก”
ทุกคนตอบพร้อมเพียง
“ไม่มีแล้วๆ”
“ผีกระเจิงไปแล้ว อาจารย์เก่งที่สุดเลยค่ะ กลับกันเถอะพวกเรา”
ลูกโป่งรีบวิ่งหนี กลัวโดน คนอื่นๆก็ทยอยกันวิ่งหนีไปหมด ขึ้นรถกลับไปซะดื้อๆ อาจารย์เทพงงๆ
“อะไรของพวกมันวะ”
“จารย์” เกี๊ยงเรียกให้หันมาดูพีระที่หายไปแล้ว “ไอ้ผีพีระ มันหายไปแล้ว”
อาจารย์เทพแค้น
ละแวกชุมชน...น้ำมนต์กำลังประคองพีระออกมา
“ไหวมั้ย”
“สบาย สบาย” พีระเจ็บแต่ฝืน
“สบายมาก” น้ำมนต์แดกดัน
“ถูกใจก็คบกันไป”
“ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีก เพี้ยนหรือเปล่า”
“ผมให้กำลังใจตัวเองอยู่ หรืออยากให้ผมโวยวาย...โอ๊ยเจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว เหรอ...” พีระร้องต่อ “เพราะฉันเป็นคนไม่สนอะไร ไม่เคยคิดกวนใจใคร”
“เออๆ ร้องไป เราต้องรีบไป ก่อนที่อาจารย์เทพจะรู้ตัว แล้วตามมาเจอ”
น้ำมนต์จะไป แต่อยู่ๆพีระทรุดลงไปคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น น้ำมนต์ตกใจ
“พีระ”
“สบาย สบาย”
รถตู้คืนผจญผีจอดข้างทาง พิมพ์ดาวกำลังกดโทรหาน้ำมนต์
“น้ำมนต์ แกให้พวกฉันทำอะไร รู้มั้ยว่าหมอผีคนนั้นน่ากลัวแค่ไหน ขอเสียงหน่อย”
พิมพ์ดาวยื่นมือถือให้ทุกคน เหมือนนักร้องยื่นไมค์ ทุกคนพูดพร้อมกัน
“น่ากลัวมาก”
น้ำมนต์คุยโทรศัพท์อยู่ภายในแพร้านอาหารริมน้ำที่ปิดแล้ว
“ฉันรู้ แต่ถ้าไม่ให้พวกแกช่วยดึงความสนใจ ฉันก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยพีระยังไง ขอบใจพวกแกนะ ฝากขอบใจพี่เอมี่กับพี่เจี๊ยบด้วย ฉันปลอดภัยดี แต่พีระบาดเจ็บนิดหน่อย ต้องพักให้ร่างกายเขาเยียวยาตัวเองสักพัก โอเค ถ้ามีอะไรจะโทรหานะ”
น้ำมนต์วางสาย หันไปมองพีระที่นั่งเจ็บอยู่อีกด้าน
“เราหลบอยู่ที่นี่สักพัก”
น้ำมนต์หันไปไหว้หิ้งพระของร้านอาหาร
“ขอให้พระพุทธคุณช่วยคุ้มครองเรา ให้พวกหมอผีตามไม่เจอ แล้วค่อยกลับ”
พีระพยักหน้ารับ
“สบาย สบาย”
พิมพ์ดาววางสาย อัฐชัยรีบถาม
“น้ำมนต์ว่าไง อยู่ที่ไหน”
“น้ำมนต์ปลอดภัยดี แต่ต้องอยู่ดูอาการพีระสักพัก แล้วจะกลับบ้าน น้ำมนต์ฝากขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ”
“เพื่อน้ำมนต์ของพี่เจี๊ยบ มากกว่านี้ก็ยอม...” เจี๊ยบยกมือไหว้ฟ้าดิน “แต่อย่ามีเล้ย”
“ถ้าไม่เห็นแก่ละครเวทีที่พีระต้องช่วยทำเทคนิคพิเศษ ฉันไม่มาเสี่ยงหรอก” ลูกโป่งถอนใจ
“ส่วนพี่...ช่วยเพราะพี่เป็นคนดีมีมนุษยธรรมล้วนๆ” เอมี่บอกอย่างภูมิใจในตนเองมาก
พิมพ์ดาว ลูกโป่ง เจี๊ยบ พูดพร้อมกัน
“หรา”
อัฐชัยยังฮึดฮัด
“หยุดพูดเรื่องตัวเองซะที น้ำมนต์ยังอยู่กับผีสองต่อสอง ยังไม่ปลอดภัย เราต้องช่วยกันตามหา”
เอมี่หันไปทุกคน
“ทุกคน ขอเสียงหน่อย”
“เฮ้อ” ทุกคนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
ทุกคนแยกย้าย วงแตก เหลือแต่อัฐชัยที่ฮึดฮัดๆ
“พวกแกไม่รักเพื่อนเลย”
อาจารย์เทพยืนมองสภาพสำนักที่ระเนระนาด อย่างหงุดหงิด เกี๊ยงส่ายหน้าเซ็ง
“ผมบอกจารย์แล้วว่าอย่าพูดมาก เห็นมั้ยแป้กเลย...แล้วจารย์จะเอาไง จะปล่อยผีพีระลอยนวลไปดื้อๆงี้เหรอครับ”
“มันต้องชดใช้ไอ้พีระ”
“จารย์จะให้มันชดใช้ยังไง”
“ไม่รู้เว้ย”
อาจารย์เทพทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด แล้วเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่กระจายอยู่ใกล้ๆ ในนั้นมีกรอบข่าวเล็กๆ อาจารย์เทพหยิบมาอ่าน เป็นพาดหัวว่า สุสานรถเฮี้ยน...4 โจ๋ซ่าแอบเข้าไปขโมยชิ้นส่วนในสุสานรถยนต์ แต่ถูกวิญญาณเจ้าถิ่นอาฆาต เป็นเหตุให้เสียชีวิต 1 เจ็บ3 ภาพข่าวข้างๆเป็นภาพคามินนั่งอยู่ในรถยนต์คันหนึ่ง สีหน้าเหี้ยม ดุดัน ภาพไม่ชัดเจนนัก เหมือนภาพถ่ายติดวิญญาณทั่วไป อาจารย์เทพมองไปที่รูปดออกว่าเป็นคามิน แล้วคิดได้ว่าจะใช้คามินมาจัดการพีระ
“ข้ารู้แล้วจะจัดการไอ้พีระยังไง”
อาจารย์เทพยื่นหนังสือพิมพ์ให้ เกี๊ยงเอามาดู เห็นพาดหัวข่าวที่เขียนว่า วิจัยเผย เสริมอึ๋มแก้ปัญหาชีวิตได้ เกี๊ยงตาโต
“หา...จารย์จะ...เสริมจริงๆเหรอครับ”
“ใช่แล้ว หึๆ”
อาจารย์เทพกระหยิ่ม เพราะคิดว่าเกี๊ยงอ่านข่าวคามิน เกี๊ยงสยองๆ
พีระจะจับธงที่ปักอกอยู่ออก แต่ทันที่ที่จับ ก็ต้องร้องลั่นเพราะอาคมที่อยู่ในธงนั้น
“โอ๊ย”
น้ำมนต์ตกใจไปด้วย รีบเข้าไปคว้ามือพีระมาดู
“พีระ”
“ธง...มีอาคม...ผมจับไม่ได้”
“บอกแล้วว่าให้ฉันช่วย ก็อยากอวดเก่ง...เอามือมาดู” เธอคว้ามือเขามาดู เห็นเป็นแผลแดงเหมือนถูกความร้อนลวก “โห แดงขนาดนี้ เจ็บมากเลยสิเนี่ย”
พีระเห็นน้ำมนต์ที่ห่วงใยมือของตนเอง ก็ถึงกับซาบซึ้ง รู้สึกดี
“แล้วฉันต้องช่วยยังไง ไม่เคยปฐมพยาบาลผีถูกความร้อนลวกมาก่อนด้วย ถ้าฉันเป่า มันจะช่วยมั้ย หรือต้องไปเอาน้ำแข็งมาประคบ”
พีระจับน้ำมนต์ไว้ ให้สงบ
“แค่รู้ว่าคุณห่วงใย ก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย”
“เดี๋ยวทุบเลย”
“อย่าๆ”
“มา...เดี๋ยวฉันช่วยดึงธงออกให้เอง”
น้ำมนต์จะเข้าไปดึง พีระรีบห้าม
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นสิคุณ อยู่ๆก็จะมาดึง ขอทำใจก่อน”
“อย่าใจเสาะน่า”
“ไม่ได้ใจเสาะ แค่ขอเวลาตั้งสติ”
“โอเค งั้นฉันจะให้เวลานายทำใจ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามแล้วค่อยดึง โอเคมั้ย”
“หนึ่งถึงสิบแล้วกัน”
“สิบก็สิบ...งั้นนายนับ”
น้ำมนต์จับธงเอาไว้ พยักเพยิดให้พีระเริ่มนับ แต่เขายังไม่ทันนับหนึ่งจบ น้ำมนต์ก็ดึงออกเลย พีระร้องลั่น
“จ๊าก”
พีระเจ็บดีดดิ้น กลิ้งไปกลิ้งมาชี้หน้า แค้นๆ
“คุณ...ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก ยัยคนหลอกผี ยัยเลือดเย็น ซาดิสต์ ยัย...โอ๊ย”
พีระทั้งเจ็บทั้งแค้น ดิ้นไปมา น้ำมนต์ยืนดู หัวเราะขำ ก่อนจะลูบหัวปลอบ
“โอ๋ๆ เดี๋ยวก็หายนะ”
น้ำมนต์ชะเง้อมองดูลาดเลาว่าปลอดภัยหรือยัง พอหันกลับมา พบว่าพีระนั่งพิงเสาท่าทางยังเจ็บปวดจากบาดแผล ยกมือพนมไหว้พระ
“ทำไร”
พีระทำหน้างอนใส่ ประมาณว่า...เชอะอย่ามายุ่ง
“นี่...ฮ้า นายกำลังฟ้องพระใช่มั้ย ไม่พอใจที่ฉันช่วยดึงธงออกจากอกให้ ก็เลยคิดจะสาปแช่งฉันงั้นเหรอ”
“เฮ้ย มโนเก่งอย่างนี้ คุณน่าจะไปบวชนะ”
“บวช...เกี่ยวไรกะบวช”
“ก็จะได้ท่องบทสวดได้ว่า...มะโนตัสสะ...”
“นะโม...ตลกมากใช่มั้ย”
น้ำมนต์หันไปคว้าถาดสังกะสีมา
“งั้นต้องเอาถาดตีหัวให้หายตลก”
“เฮ้ยๆ ผมแค่จะทำให้คุณขำ อย่ารังแกผีไม่มีทางสู้นะ”
น้ำมนต์เข้ามาจะตี แต่พีระคว้ามือเอาไว้ ยื้อยุดกัน พีระเลยจับตัวน้ำมนต์ให้พลิกลงมาอยู่ในท่ากอด ใกล้ชิดกัน น้ำมนต์สงบลง พีระมองหน้า
“ผมอธิษฐานขอให้พระคุ้มครองให้คุณปลอดภัยต่างหาก”
“หือ...”
“ผมตายไปครึ่งตัวแล้ว ถ้าจะตายไปจริงๆ มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คุณไม่ใช่ คุณยังมีชีวิตสมบูรณ์ ยังมีเพื่อน มีทุกอย่าง และมีน้องชายต้องดูแล คุณจะเป็นอะไรไม่ได้”
“ฉันจะช่วยนาย” น้ำมนต์แน่วแน่
“น้ำมนต์...” พีระอึ้ง
น้ำมนต์ผละลุกออกจากอ้อมกอด ยืนยันในความตั้งใจของตัวเอง
“เราตกลงกันแล้วว่านายช่วยฉัน ฉันช่วยนาย”
“แต่เรื่องของผมมันอันตราย เมสินีวางแผนฆาตกรรมผม ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าผมจะกลับเข้าร่างได้ แต่ถ้าเขารู้ เขาจะต้องทำเรื่องร้ายๆอีกแน่ แล้วคุณก็จะโดนลูกหลงไปด้วย”
ระหว่างที่พีระพูด น้ำมนต์ลุกเดินไปยืนริมน้ำ ทำท่าเหมือนจะโดด พีระชะงัก
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันช่วยนาย นายช่วยฉัน...”
“อย่าเล่นอะไรบ้าๆ”
“ฉันจะนับถึงสาม หนึ่ง...”
พีระผวาเข้าไปคว้าตัวน้ำมนต์กอดเอาไว้จากด้านหลัง
“โอเค ผมช่วยคุณ คุณช่วยผม”
น้ำมนต์ยิ้มออก หันกลับมาสดใสร่าเริงปกติ เธอลูบหัวเขา
“น่ารักมาก ผีน้อยของฉัน”
พีระชะงัก จับผิด
“คุณไม่ได้คิดจะโดดจริงๆใช่มั้ย”
“อะไร อย่าๆ คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ” น้ำมนต์แถไป
“งั้นโดด”
พีระจับตัวน้ำมนต์เหมือนจะแกล้งผลักให้ตกน้ำ ทำให้น้ำมนต์ตกใจ ร้องว้ายลั่น แล้วผวาเข้ากอดเขาอย่างอัตโนมัติ ทั้งสองคนมองตากัน หวานซึ้ง วาบหวิว เกิดความอึกอัก แล้วสุดท้ายก็แก้เก้อด้วยการหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
วันใหม่...น้ำมนต์พิมพ์บทใส่ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอย่างไหลลื่น ไอเดียพรั่งพรู พิมพ์ไปตบเข่าฉาดไป ด้วยความเมามันในอารมณ์ แต่อยู่ๆ มีเสียงพีระหัวเราะคิกคักมา น้ำมนต์หันไปมอง ด้วยสายตาพิฆาต พีระอ่านในบท แอคติ้งล้อเลียน
“ท่านเจ้าคุณคือท่านเจ้าคุณสิงหชัยชาญ และท่านเจ้าคุณสิ้นชีพไปแล้วเจ้าค่ะ..ฮ่าๆ”
“ขำอะไร”
“บทดี...ดีมากๆเลย อย่ามาทำเป็นดุ นี่ผมยังไม่ได้เก็บค่าลิขสิทธิ์ความคิดและชีวิตผมนะ”
“ช่างกล้า ฉันไม่ได้เอาชีวิตนายมาทำ ก็แค่ได้แรงบันดาลใจเท่านั้นแหละ”
“ผมเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ ชอบจัง”
“ไปๆ อย่ามารบกวน”
น้ำมนต์เสทำงานไป พีระยิ้มๆ ชะโงกหน้ามาดูอีก น้ำมนต์ปิดเครื่อง ขำๆ
ในห้องเวิร์คช็อปการแสดง...ไตปลากำลังเวิร์คช็อปการแสดงให้เหล่านักแสดงหลัก ก็คือ พิมพ์ดาว อัฐชัย และนักแสดงอื่นๆ น้ำมนต์กับพีระอยู่ในห้องนั้นด้วย
“สิ่งสำคัญของการแสดงละครเวทีคือความเชื่อ ทุกคนจะต้องเชื่อว่า เก้าอี้ตัวนี้ คือ รถม้าทองคำ ที่มีมูลค่ามหาศาล และต้องขายมันให้ได้”
นักแสดงผู้หญิง พยายามขายเก้าอี้ มาแนวทำตัวน่าสงสาร แม่ป่วย ช่วยซื้อหน่อยเถอะ
“พี่ๆคะ...แม่หนูไม่สบาย หนูต้องใช้เงินรักษาแม่..” นักแสดงหญิงคุกเข่า “สงสารหนูนะคะ..” ไม่มีใครสนใจจึงเข้าไปอ้อนไตปลา “ช่วยหนูนะคะพี่ ถ้าวันหน้าแม่พี่ป่วยใกล้ตายขึ้นมาบ้าง หนูจะช่วยคืน”
นักแสดงคนที่ 2 เป็นผู้ชาย ไหว้นอบน้อม ทำท่าเรียกแขกเหมือนเด็กเชียร์แขกตามเลาจน์
“พี่ฮะๆ ทางนี้เลย รถม้าคันนี้มาใหม่เลยฮะ สดๆซิงๆไม่เคยผ่านมือใครเลยฮะ เครื่องแรงดีไม่มีตก ถ้าพี่ซื้อไปขี่ ผมรับรอง สวรรค์เน้นๆฮะ”
อัฐชัยฟังแล้วเคลิ้ม ยกมือ
“ผมซื้อ”
พิมพ์ดาวจ้องอัฐชัยแบบหมั่นไส้ แต่อัฐชัยลอยหน้าลอยตา
ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย...น้ำมนต์นั่งพิมพ์บท อยู่ๆพีระโผล่เข้ามาแบบมีไอเดียบรรเจิด รีบเล่าให้ฟัง พีระเดินพูดไปรอบๆน้ำมนต์ ออกท่าออกทาง
“ผมว่าท่านเจ้าคุณน่าจะต้องมีภรรยาเยอะๆ สัก 7-8 คน จะได้มีเรื่องราวว่าพวกภรรยาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ท่านเจ้าคุณกับนางทาสเยื้อนจะได้สงสัยคนนั้นทีคนนี้ที ใครกันแน่เป็นคนฆ่า จะเมียรัก หรือเมียทาส หรืออาจจะตลบหลังว่าท่านเจ้าคุณฆ่าตัวตายก็ได้ หรือไม่ก็ นางทาสเยื้อนนี่แหละที่สมรู้ร่วมคิดเพราะแอบรักท่านเจ้าคุณแต่ไม่สมหวัง หรือไม่ก็...”
น้ำมนต์เครียด รำคาญเสียง หยุดพิมพ์ ยกมืออุดหู พีระก็ยังพูดๆ
ในห้องเวิร์คช็อปการแสดง...อัฐชัย นั่งคร่อมเก้าอี้ ทำท่าควบม้า คึกคักเหมือนโฆษณาทีวีไดเร็ค
“โอ้ว...มันยอดมากเลยซาร่า รถม้าคันนี้จะขี่แบบนิ่ม ก็นิ่มมาก หรือถ้าคึก อยากขี่แบบเมามัน ก็มันมาก วู้ว อยากมีประสบการณ์อย่างจอร์จมั้ยซาร่า...ซื้อสิ ซื้อเลย”
ไม่มีใครยกมือ พิมพ์ดาวเห็นหน้าอัฐชัยห่อเหี่ยว สงสาร เลยยกมือเสียเอง อัฐชัยดีใจ
“เยส”
ในห้องนอน น้ำมนต์กำลังล้มตัวลงนอน แต่ต้องตกใจ เพราะพีระนั่งอยู่ข้างๆเตียง ยังมาพูดๆ
“จริงๆผมว่าจบแบบหักมุมก็ดีนะ คนชอบ..หักมุมให้ท่านเจ้าคุณแอบรักกับทหารรับใช้คนสนิทก็ดี แล้วก็หักมุมอีกว่าจริงๆเมียเอกเป็นคนใส่ร้ายจัดฉาก แล้วก็หักมุมอีกว่าทหารคนสนิทนั้นเป็นชู้รักของเมียเอก แล้วก็หักมุมอีกว่าชู้รักนั้นจริงๆแอบรักนางทาสเยื้อน แล้วก็หักมุมอีกว่า...”
“ฉันจะนอน”
น้ำมนต์รำคาญ หันหน้าหนี คลุมโปง พีระแง้มผ้าห่ม แล้วพูดๆ
ห้องเวิร์คช็อปการแสดง ไตปลานำทีมกลุ่มนักแสดงวอร์มเสียง ทำลิ้นกระดกรัวๆแบบออกเสียง “รอ เรือ” รัวๆ ทุกคนส่งเสียง รอเรือ กันรัวๆ ลิ้นกระดกถี่ๆ
อัฐชัยทำไม่ได้เพราะลิ้นแข็ง ไตปลาเข้ามายืนตรงหน้า ทำลิ้นรัวๆให้ดูตรงหน้าเพื่อให้ทำตาม แต่อัฐชัยก็ทำไม่ได้ ไตปลารัวลิ้นใส่ รัวๆ
มุมสงบในมหาวิทยาลัย น้ำมนต์นั่งกุมขมับจ้องหน้าจอคอม หัวตื้อ คิดไม่ออก สักพัก พีระยื่นน้ำแดงเย็นๆมาให้ พีระยิ้มและทำท่าให้กำลังใจ สู้ๆ
“ขอบใจ”
พีระจะอ้าปากพูด น้ำมนต์รีบร้องห้าม
“อย่า”
พีระอ้าปากค้าง น้ำมนต์ชี้หน้าดักเอาไว้ก่อน พีระรีบสงบปากทันที จ๋อยๆ
พิมพ์ดาวพูดไป โพสท่าคู่เก้าอี้ไป เดี๋ยวนั่งเดี๋ยวยืนเดี๋ยวโน้ม ทำตัวราวกับพริตตี้พรีเซ็นต์สินค้า
“เอาล่ะค่ะ ในส่วนของสินค้าเราวันนี้นะคะ รถม้าทองคำบริสุทธิ์แท้ ต้องบอกเลยนะคะ ว่าหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วนะคะ เรียกได้ว่ามีอันเดียวตัวเดียวในโลกกันเลยทีเดียว นะคะ”
ไตปลามองการแสดงแต่ละคนแล้วกุมขมับ
ค่ำนั้น น้ำมนต์นั่งกุมขมับหลับตา พีระมาก้มๆมองหน้าเพื่อดูว่าหลับหรือเปล่า ปรากฏว่าหลับไปแล้วจริงๆ พีระค่อยๆช้อนตัวน้ำมนต์ออกจากที่นั่ง อุ้มไปวางที่โซฟา วางลงให้นอน แต่เธอดันนอนทับแขนของเขาเอาไว้ เขาจะดึงแขนออกก็ดึงไม่ได้ เธอเกาะไว้ พีระจำต้องนั่งอยู่ข้างโซฟาอย่างนั้น มองดูน้ำมนต์ที่หลับปุ๋ยราวกับเด็กน้อย
สนามในมหาวิทยาลัย...ไตปลานำทีมนักแสดงวอร์มร่างกาย สะบัดๆร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย ไตปลาโชว์ฉีกขากว้าง แล้วก็มีเสียงกระดูกดังกร็อบ ไตปลาลุกไม่ขึ้น โวยวาย ต้องมีคนช่วยพยุง
ในโรงละคร...ลูกโป่งดูแบบแปลนฉาก และคุยกับทีมงานฉาก ชี้มุมนั้นมุมนี้ ซ้อมเปิดม่าน ปิดม่าน
ในความมืด น้ำมนต์นอนหลับปุ๋ยที่โซฟา...พีระนั่งพิมพ์บทต๊อกแต๊กให้น้ำมนต์อยู่ที่โต๊ะทำงานใต้แสงสว่างจากโคมไฟหลอดเดียว สักพัก น้ำมนต์ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็น ตกใจที่เห็นพีระพิมพ์บท
“อย่ายุ่งกับบทฉัน”
น้ำมนต์ลุกมาโวยวายอย่างหวงงานกลัวพีระใส่ความเพี้ยนลงไปในบท ทั้งๆที่ตัวเองก็ง่วงนอนมาก น้ำมนต์มาปิดฝาจอคอม เอาคอมมา แล้วล้มตัวนอนกอดคอมเหมือนกอดหมอนข้าง
“ผมช่วยพิมพ์ให้”
พีระจะดึงคอมมา แต่น้ำมนต์ก็กอดแน่น ไม่ปล่อย พีระได้แต่มอง ทำปากจิ๊จ๊ะใส่ แต่แล้วก็ยิ้ม รู้สึกดี
เช้าวันใหม่น้ำมนต์วิ่งตึงตังออกมาจากบ้าน ตะโกนเรียกหา
“นายพีระ...นายพีระ”
น้ำมนต์เห็นพีระยืนอยู่ด้านนอกตรงกระสอบทราย เธอรีบชูบทละครเวทีที่ปริ้นท์ออกมาแล้วทันทีกระโดดโลดเต้นสุดๆ
“บทเสร็จแล้ว บทเสร็จแล้วๆ”
“สุดยอด”
พีระกำลังจะเข้าไปร่วมแสดงความยินดีกับน้ำมนต์ แต่มีมือมาจับบ่าไว้ก่อน พีระหันไปมอง เป็นแมนสรวง
“นายเหลือเวลาอีกแค่ 1,555,200 วินาที หรือ 25,920 นาที หรือ 432 ชั่วโมง หรือ18วัน”
“18 วัน...รู้น่า”
พีระวิ่งเข้าไปแสดงความยินดีกับน้ำมนต์ ร้องเพลงและเต้นกันอย่างเฮฮาครึกครื้นมากๆ แมนสรวงมองอย่างกังวลเป็นห่วงที่พีระมีความรัก
ในห้องทำงานเมสินี สถานีพราวด์...เมสินีเซ็นอนุมัติงบแล้วยื่นให้เอมี่ที่นั่งตรงหน้า แล้วก็ลุกยืนฮัมเพลง เดินไปเดินมาราวกับกำลังเต้นรำ ท่าทางมีความสุขสุดๆ เอมี่มองเอกสารอนุมัติงบอย่างงงๆ ไม่อยากเชื่อ
“มีอะไรน่าแปลกใจงั้นเหรอ”
“เอ่อ...จะไม่อ่านเอกสารขอสปอนเซอร์ละครเวทีของพวกน้องๆหน่อยเหรอคะ” เอมี่อึกอัก
“พวกเธอทำงานให้กับสถานีของฉันมาตั้งนาน...ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆไม่กี่แสน จิ๊บจ๊อยมาก อีกอย่าง ช่วงนี้ฉันมีความสุขมาก มากจนอยากแบ่งปันให้กับทุกๆคน” เมสินีมองนอกหน้าต่าง สูดอากาศ “ฮ้า มีความสุขจัง” เมสินีฮัมเพลงต่อ
“เอาเป็นว่า สถานีพราวด์ดิจิตัลขอเป็นสปอนเซอร์หลักแต่เพียงผู้เดียวให้กับละครเวทีเรื่องนี้ ดีมั้ยครับ” ยุทธเสนอ
“คุณเมเมตตาพวกเด็กๆมาก ขอบคุณแทนพวกเด็กๆด้วยนะคะ”
“แล้วเรื่องรายการใหม่ถึงไหนแล้วครับ”
เอมี่ผงะ ซีด อึกอัก เพราะยังไม่มีอะไรในหัว
“นั่นสิ เธอควรจะมีไอเดียอะไรมาขายฉันได้แล้วนะ”
แต่อยู่ๆมือถือเอมี่ดังขึ้น เธอชะงัก เป็นเบอร์แปลก ขออนุญาตรับสาย
“ฮัลโหล ใครคะ”
แมนสรวงยืนอยู่ที่ด้านหน้าสถานีพราวด์ ทำมือเป็นโทรศัพท์แล้วพูด
“ผมรู้ว่าคุณกำลังถูกไล่จี้เรื่องรายการใหม่ และคุณก็ยังไม่มีไอเดียอะไรในหัวเลย..ผมมีเสนอไอเดียรายการใหม่ให้คุณ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนข้อนึง...มั่นใจสิครับ รับรองว่าคุณเมสินีต้องชอบมาก ถ้าไม่ชอบ ผมยอมเป็นทาสรับใช้คุณจนตายเลย...ว่าไงจ้ะ จะรับข้อเสนอ หรือจะตอบเจ้านายคุณว่า...หนูไม่รู้”
เอมี่วางสาย หันกลับมาบอกเมสินี
“คุณเมคะ...เรื่องรายการใหม่...เอ่อ...เอมี่มีคิดเอาไว้แล้วค่ะ ขออนุญาตนำเสนอเลยนะคะ ชื่อรายการว่า ผีผจญผี”
เอมี่นั่งลง เสนอรายการ เมสินีฟังอย่างสนอกสนใจ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
เอมี่เดินพุ่งเข้ามาหาแมนสรวงที่ยืนรออยู่บริเวณลานด้านหน้าสถานี
“นายหัวเกาลัด นายรู้ได้ยังไงว่าฉันมาที่นี่วันนี้ แล้วจะถูกถามเรื่องรายการใหม่ แล้วก็โทรเข้ามาพอดิบพอดีด้วย”
“มันเริ่ดมาก รายการผีผจญผี จะต้องเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ทั่วโลกเลยทีเดียว”
“ฮ้า...เนี่ย นายพูดเหมือนคุณเมสินีเป๊ะๆ นายแอบอยู่ในห้องนั้นด้วยใช่มั้ย” เอมี่ตาโต
“ผมแอบอยู่ในใจคุณต่างหาก...สรุปว่าคุณเมสินีชอบมากและอนุมัติให้เจ๊ถ่ายทำรายการใหม่ได้ทันที...เจ๊ติดหนี้ผมข้อนึงนะครับ ถ้านึกออกว่าอยากได้อะไรแล้วจะมาทวงนะ”
แมนสรวงจะไป เอมี่ตามจับตัว
“เดี๋ยวๆ บอกมาก่อนว่านายรู้เรื่องของฉันได้ยังไง”
แมนสรวงเดินหนี เอมี่เดินตาม แมนสรวงเดินเลี้ยวลับผ่านมุมกำแพงไป แล้วก็ยืนพิงกำแพงรอตรงนั้น เอมี่วิ่งตามมา แต่มองไม่เห็น ทั้งๆที่แมนสรวงยืนอยู่ตรงนั้น
“อ้าว หายไปไหนแล้ว...เร็วยังกับหายตัวได้จริง เด็กเปรต อวดดี ชอบมาพูดจาเหมือนรู้ไปทุกเรื่อง แหวะ”
แต่แล้วเอมี่ก็อดรู้สึกดีวาบหวิวไม่ได้
“คิดจะจีบป้าเหรอ ฝันไปเถอะย่ะ”
“แน๊ๆ แอบยิ้มยังงี้แปลว่า...มีใจให้หัวเกาลัดแล้วหรือเปล่า หึๆ”
แมนสรวงเดินไปยืนด้านหลังเอมี่ ปรากฏกายขึ้นมาอีกรอบ เอมี่หันหลังจะกลับ แต่ชนเข้ากับแมนสรวงเต็มๆ เขาโอบกอดเธอเอาไว้ ใกล้ชิดกัน เอมี่ตะลึง
“ชนกันอีกแล้ว...ถ้ามีครั้งที่สาม เขาว่าเป็นเนื้อคู่กันนะครับ”
“บ้า...เนื้อคู่บ้าไร บ้า”
เอมี่ผลักออก เขิน เดินหนีไป แมนสรวงยิ้มๆ
ในห้องทำงานเมสินี...ยุทธยื่นช่อดอกกุหลาบแดงสดให้
“ขอแสดงความยินดีกับผู้บริหารสถานีพราวด์ดิจิตัลคนใหม่ คุณเมสินี ภาคภูมิใจบรรหาร”
“อย่าเรียกนามสกุล เพราะถ้าฉันได้เป็นเจ้าของที่นี่โดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ ฉันจะเปลี่ยนนามสกุลใหม่ทันที”
“อยากใช้นามสกุลเดียวกับผมมั้ยครับ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะน่ารักอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า”
ยุทธขยิบตาให้วิบวับ
“แบบนี้น่ารักมั้ยครับ...” ยุทธเข้ากอดจากด้านหลัง”คุณเมครับ วันนี้เราน่าไปฉลองใหญ่กันนะครับ ผมจองห้องเอาไว้ให้แล้ว”
“ฉลองก็ได้ แต่ยังไม่ใช่ฉลองใหญ่”
“หือ...” ยุทธชะงัก
“ตอนนี้ฉันก็แค่สบายใจขึ้น ที่ได้เห็นวิญญาณนายพีท ก็แสดงว่าเขาตายแล้วจริงๆ...แต่วิญญาณไม่ใช่หลักฐานที่จะเอาไปยืนยันทางกฎหมายได้ ศพของนายพีทเท่านั้น ที่จะทำให้ฉันเป็นผู้บริหารสถานีพราวด์ดิจิตัลคนใหม่โดยสมบูรณ์”
“แสดงว่า...ผมยังต้องตามหาศพคุณพีทมาให้ได้เหมือนเดิมใช่มั้ยครับ”
“ยุทธ...เธอว่า...อาจารย์เทพจะเก่งพอจะหาศพนายพีระเจอหรือเปล่า”
พระจันทร์เสี้ยวปรากฏบนท้องฟ้าบรรยากาศน่ากลัว อาจารย์เทพกับเกี๊ยงเข้ามายืนที่หน้าสุสานรถ เกี๊ยงสยองๆกับบรรยากาศ อาจารย์เทพกำลังจะเปิดประตูรั้ว แต่อยู่ๆประตูรั้วก็เปิดเอง ราวกับต้อนรับ เกี๊ยงหน้าตื่น
“จารย์...”
“มันรู้ว่าข้ามา”
อาจารย์เทพเดินเข้าไป เกี๊ยงอยู่คนเดียว ยิ่งน่ากลัว รีบแจ้นตามเข้าไป
มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย...น้ำมนต์ต่อบทอยู่กับพีระ เดินอ่านบทของตัวเองทบทวน
“ทำไมต้องให้ผมช่วยอ่านบทด้วย”
“ฉันจะได้ตรวจสอบ เผื่อมีอะไรอยากแก้ไขเพิ่มเติมก่อนจะส่งให้ผู้กำกับอ่านน่ะสิ”
น้ำมนต์อ่านบทและแอคติ้งทันที
“บ่าวชื่อเยื้อนเจ้าค่ะ หรือนังเยื้อนเรื้อนกินกบาล ทาสก้นครัวที่ท่านเจ้าคุณชอบเรียกอย่างไรเจ้าคะ”
น้ำมนต์เงยหน้าจากบท รอพีระต่อบท แต่เขานิ่ง ไม่รู้คิว แอคติ้งไม่เป็น ยืนเงอะงะ จนเธอต้องส่งสัญญาณ พีระเพิ่งรู้ตัว อึกอักพูดบทแบบทื่อๆ
“หือ อ๋อ ใช่ เอ๊ย...นังเยื้อนเรื้อนกินโคบาล”
“กบาล...” น้ำมนต์เซ็ง แต่อ่านบทต่อ “นี่ท่านเจ้าคุณจำเรื่องราวเมื่อตอนมีชีวิตอยู่มิได้เลยรึเจ้าคะ อย่างนี้ก็คงจำเรื่องที่สั่งลงโทษเยื้อนไม่ได้ด้วย”
“เอ็ง...เฮ้ย ฮ้า อือ หือ”
“จะเฮ้ย ฮ้า หือ อีกนานมั้ย อ่านบทสิ อ่าน”
“อย่ากดดันสิ ก็เล่นละครไม่เป็น...” พีระอ่านบท “เอ็งพูดเรื่องกระไร ข้าไห่จำได้หมา”
“หาจำได้ไม่...วุ้ย” น้ำมนต์ชักหงุดหงิด
“ข้า...สับสน ปวดหัว ถึงกับเซแซ่ดถอยหลัง จำความอันใดไม่ได้แม้สักนิด ทำหน้าตะลึง นี่ข้าตายแล้วจริงๆรึ ข้าตายแล้วรึ เข่าอ่อน ทรุดลงไปคุกเข่า”
“คำในวงเล็บไม่ต้องอ่าน” น้ำมนต์เซ็ง
“อ้าว ก็ไม่บอกให้ชัดๆ ใครจะไปรู้”
พีระนั่งคุกเข่าลงไป
“ไม่จริง ข้ายังไม่ตาย ข้าไม่ใช่ผะ ผะ ผะ ผี”
“โถ ท่านเจ้าคุณ...”
น้ำมนต์เข้าไปนั่งข้างๆ จับมือขึ้นมากุม ปลอบใจ อ่อนโยน
“เยื้อนพยายามบอกท่านเจ้าคุณแล้วว่ามีคนคิดร้าย แต่ท่านเจ้าคุณหาเคยเชื่อเยื้อนไม่ ซ้ำยังหาว่าเยื้อนพูดปด สั่งโบยเยื้อนอีก”
“เอ็ง...เฮ้ย...ฮ้า...อือ หือ ข้าทำเช่นนั้นรึ”
“แต่เยื้อนอโหสิกรรมให้นะเจ้าคะ”
“เอ็ง...เฮ้ย...ฮ้า...อือ หือ...ทำไม”
“เพราะว่าเยื้อน...”
พีระสบตาหน้าใส เฝ้ารอคำตอบ ตามบทเยื้อนจะต้องพูดว่าเพราะรัก แต่น้ำมนต์อิน เล่นจริง รู้สึกจริง อึกอักไม่กล้าพูดออกไป พีระมองๆ
“หือ...หือ...หือ”
น้ำมนต์ตัดบท ไม่พูดซะงั้น
“พอๆ ต่อบทกับนายเหมือนต่อกับเสาธง ไม่ได้ช่วยอะไรเลย...ไปๆ ไปเป็นผีตามอัตภาพของนายไป”
พีระหน้าเหวอ
“อ้าว อุตส่าห์ช่วยมาว่ายังงี้เหรอ ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก”
พีระวิ่งเข้าแกล้งจั๊กจี๊เอวน้ำมนต์ วิ่งไล่หัวเราะเฮฮากัน สนุกสนาน อัฐชัยเดินเข้ามาพอดี เห็นน้ำมนต์กำลังหัวเราะและพูดอยู่กับคนที่มองไม่เห็น ก็รู้ได้ว่าคือพีระ อัฐชัยอึ้ง พิมพ์ดาวที่ตามมาด้วยก็อึ้งไปเช่นกัน
“น้ำมนต์...”
น้ำมนต์ พีระ อัฐชัย พิมพ์ดาว เดินมาตามทางในมหาวิทยาลัย น้ำมนต์เม้ากับพิมพ์ดาวและอัฐชัย
“ฉันก็ให้คุณผีที่รักของฉันเนี่ยช่วยอ่านบท ตรวจทานครั้งสุดท้าย ก่อนจะส่งให้พี่ไตปลาอ่าน แต่ไม่ได้เรื่อง มัวแต่ เฮ้ย ฮ้า อือ หือ อยู่ได้ แล้วคำในวงเล็บก็ยังเสร่ออ่านออกเสียงมาด้วย ไม่มีสติสุดๆ”
“ก็ผมไม่เคยเล่นละครมาก่อน แล้วคุณก็กดดันผม” พีระเถียง
“เฮ้ย ฮ้า อือ หือ” น้ำมนต์ล้อเลียน
“ล้อเลียนผมเหรอ”
“เฮ้ย ฮ้า อือ หือ” น้ำมนต์ล้อเลียนอีก
พีระฮึดอัด อยากจะทุบ น้ำมนต์สนุกกับการยั่วล้อ แต่อยู่ๆอัฐชัยที่สังเกตความสัมพันธ์ของน้ำมนต์กับพีระอยู่ตลอด ก็โพล่งตัดบทออกมา
“เลิกเล่นเถอะ กลับบ้าน เดี๋ยวอัฐไปส่ง”
“ก็...อื้อ...ไปส่งดาวก่อน แล้วก็ค่อยส่งฉันนะ”
“ดาวจะไปด้วยเหรอ” อัฐชัยชะงัก
พิมพ์ดาวหาข้ออ้าง
“ก็...ฉันยังไม่กลับ พอดีมีนัดคุย คุยงานกลุ่มกับพวกอั้มน่ะ อัฐไปส่งน้ำมนต์ก่อนเลย เดี๋ยวฉันกลับเอง”
“โอเค งั้นเราไปเถอะ” อัฐชัยพอใจ
น้ำมนต์ขัดขึ้น
“อ้าว แล้วแกจะกลับดึกๆคนเดียวได้ไง...เอางี้ เดี๋ยวฉันกลับกับพีระเอง ส่วนอัฐ ก็อยู่รอพายัยดาวกลับแล้วกันนะ”
“แต่...” อัฐชัยจะแย้ง
น้ำมนต์รีบดักคอ
“ผู้หญิงสวยๆให้กลับบ้านดึกๆคนเดียวมันอันตราย ข่าวก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ อัฐไม่สงสารดาวเหรอ...ตกลงตามนี้นะ บาย”
น้ำมนต์เดินแยกไปเลย พีระเงอะงะ รีบตามไป อัฐชัยฮึดฮัดๆ
อาจารย์เทพเดินเข้ามาภายในสุสานรถ เกี๊ยงเกาะติดหลังตลอด หันรีหันขวางหวาดระแวง
“จะกลัวอะไรนักหนา เดินเข้ามาตั้งนาน เห็นผีสักตัวมั้ย”
“นั่นน่ะสิจารย์ ครั้งก่อนยังมีเพียบเลย ทำไมครั้งนี้มันเงียบจัง หรือว่าพวกมันกลัวจารย์มากจนหนีหัวซุกหัวซุนไปกันหมดแล้ว”
ทั้งสองคนเดินต่อไป มีขบวนผีเดินตามหลังทั้งสองคนเป็นขบวนยุบยับ เกี๊ยงหวาดๆ
“เกี๊ยงว่ามันต้องกลัวจารย์แน่ๆ”
“พวกผีกระจอกหลบไปให้หมดก็ดี จะได้ไม่เปลืองแรง”
ผีตัวหนึ่งยื่นมือเข้ามาจับไหล่ เกี๊ยงชะงัก ขนลุก
“จารย์...ทำไมอยู่ๆเกี๊ยงก็เสียวสันหลังไงไม่รู้...จารย์รู้สึกมั้ย”
“ไอ้เกี๊ยง ถ้าเอ็งปอดแหกก็ออกไปรอข้างนอกไป”
“ได้เหรอ...งั้นเกี๊ยงไปนะครับ”
เกี๊ยงหันกลับหลัง แล้วก็ต้องผงะ ตาลุกโปน อ้าปากค้าง ส่งเสียงไม่ออกเลยทีเดียว
“จะ...จะ...จารย์...”
พวกผีเข้ารุมทันที เกี๊ยงร้องลั่น อาจารย์เทพหันกลับมา
“เฮ้ย ไอ้เกี๊ยง”
อาจารย์เทพหยิบผ้ายันต์ออกมา สวดคาถาแล้วก็โยนผ้ายันต์นั้นเข้าไปในวงผี ผ้ายันต์นั้นเปล่งแสง ทำให้พวกผีผละออกจากเกี๊ยง ร้องหวีดแหลม แล้วก็จางหายไปจนหมด
“ไอ้พวกผีกระจอกเอ๊ย”
เกี๊ยงมองผ่านหลังอาจารย์เทพไป ผงะยิ่งกว่าเก่า
“จารย์...ข้างหลัง...”
อาจารย์เทพเอะใจ หันกลับมา ก็ต้องผงะ เพราะคามินโผล่มาประชิดแยกเขี้ยวแล้วคว้าหมับที่คออาจารย์เทพ
“แกต้องตาย”
น้ำมนต์เดินจ้ำแยกออกมา พีระเดินตาม
“ผมรู้นะว่าคุณจงใจจะเปิดโอกาสให้พิมพ์ดาว อยู่กับนายอัฐชัยสองต่อสอง”
น้ำมนต์ลอยหน้าลอยตา
“จงใจอะไร พูดอัลไล ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามา ถึงผมจะเล่นละครไม่เก่ง แต่ผมก็ดูการแสดงของคุณออก คิดดีแล้วเหรอ อัฐชัยทั้งหล่อ ทั้งรวย นิสัยโดยรวมก็ดี เขาจะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้ในพริบตาเลยนะ”
“ฟังนะ คุณผี...ข้อแรก ฉันไม่ได้ชอบอัฐชัย ข้อสอง ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าฉันยังไม่สามารถหาเลี้ยงข้าวต้มด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันได้ ฉันจะไม่มีความรักกับใครทั้งนั้น”
“อ้าว แล้ว...ผม...”
น้ำมนต์เดินหนี พีระอึ้ง
อาจารย์เทพถูกคามินบีบคอไว้
“ว่าจะมาคุยด้วยดีๆ แต่ท่าทางแกจะเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
อาจารย์เทพล้วงหยิบเอาด้ายสายสิญจน์สีดำของตัวเองขึ้นมาแล้วพันที่มือของคามินอย่างรวดเร็ว และบริกรรมคาถา เกิดเป็นควันพวยพุ่ง คามินแสบร้อน
“อ๊าก”
“ฉันต้องการผีบ้าเลือดอย่างแกมาเป็นทาสรับใช้ จะยอมดีๆหรือต้องให้ใช้กำลัง”
“แกต่างหากต้องมารับใช้ฉัน ด้วยชีวิตของแก”
คามินออกแรงบีบคออาจารย์เทพมากขึ้น จับเหวี่ยงและดันจนไปกระแทกกับซากรถตรงนั้น คามินปวดแสบปวดร้อน แต่กัดฟันสู้ ในขณะที่อาจารย์เทพก็หายใจไม่ออก แต่ไม่ยอมแพ้ เกี๊ยงตกใจ
“จารย์”
เกี๊ยงจะขยับเข้าไปช่วย แต่พวกผีสมุนของคามินก็มาขวาง
อัฐชัยเดินนำพิมพ์ดาวมาที่ลานจอดรถอย่างหัวเสีย
“ถ้าแกยืนยันหนักแน่นว่าแกจะกลับเอง ฉันก็จะได้ไปส่งน้ำมนต์แล้ว ไม่ต้องปล่อยให้น้ำมนต์ไปเสี่ยงอันตรายกับผีอย่างนี้”
“ฉันก็พูดแล้วว่าฉันกลับเองได้ แกก็ได้ยิน”
“มันไม่มากพอ แกต้องหนักแน่นจริงจังกว่านี้”
“ถ้าแกไม่พอใจ ขับตามน้ำมนต์ไปเลย...ฉันกลับเองได้”
“ตลกแล้ว...ถ้าน้ำมนต์รู้ว่าฉันไม่ยอมไปส่งแก ฉันก็เสียสุนัขสิ”
“แกเสียสุนัขในสายตาฉันแล้ว”
“ในสายตาแกจะเสียสุนัข หมู หมา แมว กิ้งก่า ไส้เดือนก็เสียไป แต่ในสายตาน้ำมนต์ ฉันจะเสียไม่ได้ ขึ้นรถ”
อัฐชัยจับพิมพ์ดาวขึ้นรถไป เธอขึ้นมานั่งอย่างไม่เต็มใจ หน้าบึ้ง น้อยใจ
เกี๊ยงล้วงหยิบมีดหมอออกมาจากย่ามกวัดแกว่งไล่สมุนผี
“แน่จริงก็เข้ามา มีดหมอลงอาคมของอาจารย์เทพ ชูธงจะจัดการพวกแกเอง”
เกี๊ยงตวัดๆมีดกวัดแกว่งไป พวกผีสมุนก็ถอยหลบ เกี๊ยงเห็นอาจารย์เทพท่าไม่ดี วิ่งเข้าไปช่วย
“จารย์ เกี๊ยงมาช่วยแล้ว”
เกี๊ยงวิ่งไปพร้อมเงื้อมีด อย่างเท่ แต่แล้วไม่ทันระวังสะดุดก้อนหินอย่างจังตัวลอยละลิ่ว ในขณะที่มือยังถือมีดอยู่ ฉึ่ก มีดของเกี๊ยงปักเข้าที่หลังของอาจารย์เทพเต็มๆ
“เกี๊ยงมาช่วยจารย์แล้ว”
เกี๊ยงมองมือตัวเอง ไม่เห็นมีด
“อ้าว มีด...มีดหายไปไหน” เกี๊ยงเห็นว่าปักหลังอาจารย์เทพอยู่ “ฮ้า อยู่นี่เอง...เฮ้ย”
“ไอ้เกี๊ยง” อาจารย์เทพโมโห
“เกี๊ยงไม่ได้ตั้งใจ”
ว่าแล้วคามินก็เหวี่ยงอาจารย์เทพไปเต็มแรง จนอาจารย์เทพกระเด็นไปไกล คามินจะตาม แต่ก็ถึงกับทรุดลงไปคุกเข่า บาดเจ็บเช่นกัน
“ฝากไว้ก่อน”
ร่างของคามินหายไป เกี๊ยงรีบเข้าไปประคองอาจารย์เทพ จะพาหนี จากพวกสมุนผี
“จารย์...หนีก่อนเถอะ”
แต่ขณะที่กำลังจะพ้นรั้วของสุสานรถ อยู่ๆเกี๊ยงถูกพลังที่มองไม่เห็นกระชากจากด้านหลัง จนล้มหงายเก้งไป และถูกพลังนั้นลากถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
“จารย์”
เกี๊ยงถูกลากไปกับพื้น หายลึกเข้าไปในซากรถ แล้วหายลับตาไป อาจารย์เทพตะลึง
“เกี๊ยง”
อาจารย์เทพจะตาม แต่ถูกพวกสมุนผีเข้ามารุมขวางเป็นกำแพง อาจารย์เทพจำต้องถอยออกไปก่อน
อัฐชัยส่งพิมพ์ดาวที่บ้าน เธอจะเข้าบ้านเลย เขารีบดึงไว้
“เดี๋ยวๆ ดาว แกจะไม่ช่วยฉันคิดหาทางช่วยน้ำมนต์ก่อนเหรอ...จะปล่อยให้น้ำมนต์สนิทสนมกับผีไปเรื่อยๆอย่างนี้ มันจะดีเหรอ เราไว้ใจผีพีระได้แค่ไหนกัน วันนี้มันมาดี แต่เราจะแน่ใจได้ไงว่ามันจะดีตลอดไป ขึ้นชื่อว่าผีก็มีพิษไม่ต่างจากงูเห่า”
“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่รู้จะช่วยยังไง แกอยากทำอะไรก็ทำแล้วกัน”
พิมพ์ดาวเดินเข้าบ้านไป
“แกทิ้งฉันเหรอ”
อัฐชัยเผลอเสียงดัง รีบปิดปาก เกรงใจคนหลับ
“เออ ฉันทำคนเดียวก็ได้ ฉันจะทำทุกทางกีดกันน้ำมนต์ให้ออกห่างจากผีพีระให้ได้”
พิมพ์ดาวเข้ามาในบ้าน ความรู้สึกที่อัดอั้นก็พรั่งพรูออกมา น้ำตาไหล
“ในหัวนายมีแต่น้ำมนต์คนเดียว ไม่มีฉันเลย”
น้ำมนต์กับพีระกำลังเดินเข้าซอยบ้าน
“เชื่อผมสิ บทละครของคุณดีแล้ว ผู้กำกับจะต้องชอบมาก พอละครเวทีเรื่องนี้เปิดแสดง คุณจะเป็นที่รู้จัก โด่งดัง และต้องมีคนมาชวนคุณไปเขียนบทละครเป็นอาชีพแน่ๆ”
“ขอบใจนะที่ให้กำลังใจ แต่อย่าอวยฉันโอเว่อร์”
“ไม่ได้อวย พูดตามเนื้อผ้า”
“ห่วงเรื่องนายเถอะ...ตอนที่คุณเมสินีรู้ว่านายตายแล้ว เขาดีใจมากเลยเหรอ”
พีระดีใจให้ดู
“ยะฮู้ มันตายแล้วๆ...เนี่ย ดีใจประมาณนี้เลย”
“เขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจจะได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากการตายของนาย ถ้าคิดอย่างโง่ๆเลยก็คือ มรดกของพ่อนาย”
“แล้ว ลุงสม คนขับรถคนสนิทของพ่อที่ตำรวจสงสัยล่ะ”
“ก็อาจจะรับจ้างให้มาก่อเหตุ แล้วถูกโบ้ยให้รับความผิดจนต้องหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ได้”
“อีกอย่างที่ผมแน่ใจคือเมสินีไม่รู้ว่าร่างกายของผมอยู่ที่ไหน เพราะถ้าเขารู้ เขาคงทำให้ผมตายไปแล้ว แต่ผมยังอยู่ ก็แสดงว่า...”
“มีคนดูแลร่างกายของนาย”
“ใช่ และเขาคือใคร ช่วยเหลือผมทำไม หวังดีหรือหวังร้ายกับผมกันแน่...ผมจะต้องรู้ให้ได้”
“ฉันจะช่วยนายสืบให้ได้”
“ผมก็จะช่วยสืบเรื่องของคุณ”
น้ำมนต์ยื่นมือออกมา
“จับมือ...สัญญา”
พีระจับมือกับน้ำมนต์ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน เข้าใจกันดี เธอจะดึงมือออก แต่เขาไม่ปล่อย จับมือชวนเดินไปอย่างนั้น น้ำมนต์อึกอัก
“อะไร”
“ไม่ไร”
น้ำมนต์เหล่มองที่มือ บอกด้วยสายตาว่า หมายความว่าไง
“ไม่มีใครเห็นหรอก ผมเป็นวิญญาณ”
“ฉันไม่ได้แคร์คนอื่น...คิดอะไร”
“ก็...ผมยังไม่หายบาดเจ็บเลย ผมอยากให้คุณช่วยประคอง ทำไม จับมือเพื่อนที่บาดเจ็บอยู่ ไม่ได้หรือไง...ใจดำ” พีระแถไป
“นี่ อย่ามาด่า...ก็ได้ เห็นว่ายังไม่หายดีหรอกนะ”
น้ำมนต์ยอมให้จับมือ พีระยิ้ม ทั้งคู่เดินจับมือไปด้วยกัน
พีระกับน้ำมนต์เดินจับมือกันมาถึงบ้าน แต่แล้วน้ำมนต์ก็ชะงัก ไม่ยอมเดินต่อ พีระที่ยังจับมืออยู่ถูกดึง จนต้องชะงักไปด้วย
“เป็นไร”
น้ำมนต์มองมือที่จับกัน ยกมามอง
“ทำไม...นายกับฉันถึงจับมือกันได้”
“ก็เพราะผมเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณที่ยังสามารถกลับเข้าร่างและกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ผมสามารถสัมผัสสิ่งของได้ถ้าตั้งใจจริง”
พีระจะเดินเข้าบ้านไป แต่น้ำมนต์ยังดึงมือไว้
“ทำไมถึงมีแค่ฉันกับข้าวต้มที่มองเห็นและสัมผัสนายได้ ทำไมถึงมีแค่ฉันสองคนเท่านั้น มันแปลก”
“สงสัยเราจะเป็นเนื้อคู่กัน”
น้ำมนต์มองด้วยสายตาเหยียดๆเบ้ปาก
“ฉันว่านายเป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันมากกว่า”
“งั้นแสดงว่า...คุณเคยติดหนี้กรรมผมไว้ ถึงต้องมาชดใช้”
“นายต่างหากที่ติดหนี้กรรมฉัน นายต้องเคยทำเรื่องไม่ดีกับฉันเอาไว้ อาจจะทางตรงไม่ก็ทางอ้อม พอตายก็เลยต้องมาผูกติดอยู่กับฉัน”
“ว้า ซวยจริงๆ”
“ฉันสิที่ต้องพูด”
พีระยิ้มๆขำๆ
“เอาน่า คิดให้มันสดใสสดชื่นหน่อย หน้าตาจะได้ปิ๊งๆมีความสุข ยมทูตแมนสรวงเคยบอกผม ว่าไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ที่คุณเห็นและสัมผัสผมได้ คงมีเหตุผลของมัน แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรู้เลยว่าเพราะอะไร รู้แค่ตอนนี้ ผมแฮปปี้มากที่คุณมองเห็นผม คุณก็เหมือนกันช่ะ”
“ไม่”
น้ำมนต์อึกอัก จะชิ่งหนี แต่พีระคว้ามือและดึงเข้ามา เธอเซเข้ามาประชิดเขา
“คุณก็แฮปปี้ช่ะ”
“ไม่” น้ำมนต์ปากแข็ง
“ช่ะ”
“ไม่ๆ”
น้ำมนต์เขิน ผลักออก แล้วเดินแยกเข้าไป พีระมองตามยิ้ม แฮปปี้
น้ำมนต์เข้ามาในห้องนอนที่ปิดไฟมืด ที่เตียงข้าวต้มนอนคลุมโปงอยู่ น้ำมนต์ยืนยิ้ม คิดถึงคำพูดของพีระ เขินตัวเอง แล้วก็ค่อยๆเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไป พีระยังยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มแฉ่งและโบกมือมาให้ น้ำมนต์เกือบเผลอยิ้มตอบ รีบทำหน้าบึ้ง แล้วหันกลับมา ยิ้มคนเดียว แล้วสักพัก เธอก็ค่อยๆหันกลับไปมองใหม่ แต่ไม่เห็นพีระแล้ว น้ำมนต์อึ้งๆ มองหา อยู่ๆพีระมายืนซ้อนที่ด้านหลัง น้ำมนต์ไม่เห็น พีระค่อยๆโน้มหน้ามาที่ข้างหู กระซิบเบาๆ
“แฮปปี้ช่ะ”
น้ำมนต์ที่มองหาเขาอยู่ ถึงกับชะงัก แล้วหันหน้ามามอง ทั้งสองใกล้ชิดกัน พีระยิ้มหวาน
สำนักอาจารย์เทพวันใหม่...อาจารย์เทพพยายามจะแกะผ้าพันแผลที่บ่าจุดที่โดนเกี๊ยงเอามีดแทงแต่ทำได้ไม่ถนัด ลำบาก สักพัก อาจารย์เทพก็หยุดพยายาม
“ถ้าแกอยู่ แกก็ต้องเป็นคนทำแผลเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ฉัน...ไอ้เกี๊ยง” อาจารย์เทพน้ำตาจะไหล รีบเงยหน้า
“ไม่...ต้องเงยหน้าขึ้นฟ้า อย่าให้น้ำตามันไหล เราลูกผู้ชาย จะเสียน้ำตากับเรื่องแค่นี้ไม่ได้”
สักพัก เสียงริงโทนในมือถือดังมา อาจารย์เทพรีบสะกดอารมณ์ แล้วรับสาย ทำเสียงขรึม
“ฮัลโหล”
ยุทธคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานเมสินี
“สวัสดีครับอาจารย์เทพ คือคุณเมสินีมีเรื่องอยากจะให้อาจารย์ช่วยตามหาศพคุณพี...ท...”
อาจารย์เทพโวยวายตัดบทเป็นชุด
“ผมไม่ว่าง ไม่มีอารมณ์ ศิษย์รักและหลานรักของผมเพิ่งจะ...เสียไป พวกคุณยังจะให้ผมทำพิธีอาคมอีกเหรอ จิตใจทำด้วยอะไร พวกคุณมันใจดำ เย็นชา อำมหิตที่สุด”
อาจารย์เทพวางสายกระแทก เสียใจ รีบเงยหน้าอีก ไม่ให้น้ำตาไหล...ยุทธวางสายอย่างงงๆว่าอาจารย์เทพเป็นอะไรมากหรือเปล่า เมสินีหันมาถาม
“ว่าไง อาจารย์เทพจะช่วยตามหาศพนายพีทได้หรือเปล่า”
“เอ่อ คือ...”
“เขาว่ายังไงก็พูดมาสิ”
ยุทธเลียนแบบอาจารย์เทพ
“ผมไม่ว่าง ไม่มีอารมณ์ ศิษย์รักและหลานรักของผมเพิ่งจะ...เสียไป พวกคุณยังจะให้ผมทำพิธีอาคมอีกเหรอ จิตใจทำด้วยอะไร พวกคุณมันใจดำ เย็นชา อำมหิตที่สุด”
เมสินีเหวอนึกว่าโดนด่า ยุทธสลด ยิ้มแห้ง
“เขาพูดยังงี้อ่ะครับ”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
เมสินีเดินออกมาตามทางเดินในสถานี ยุทธเดินตาม
“ถ้าอาจารย์เทพไม่สะดวกก็หาหมอผ...” พอดีมีคนเดินสวนมา เลยเปลี่ยนคำพูด “หมอนวดคนใหม่มาแทน ถ้าจารย์เทพของเธอเล่นตัวเรื่องมาก ก็ไม่ต้องไปง้อ ประเทศนี้หมอผีเยอะจะตาย”
แต่อยู่ๆตรงสุดปลายทางเดิน มีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเป็นชุดไทยแบบนางตานียืนอยู่ เมสินีสะดุ้งรีบปิดตา
“ว้าย...ผี ไหนเธอบอกว่าอาจารย์เทพแค่เปิดเนตรชั่วคราวให้ฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันยังเห็นผีอยู่เลย”
แต่สักพัก ทีมงานก็วิ่งเข้ามาตามหญิงคนนั้น เฉลยว่าเป็นหนึ่งในการถ่ายรายการตลก
“เข้าห้องเสร็จยังคะพี่ ไปๆ ต้องเข้าฉากแล้ว...จำบทได้ยัง”
“กล้วยตานีปลายหวีเหี่ยว เหลือหวีเดียว หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา”
นักแสดงหญิงพูดซ้ำและพูดเร็วขึ้นทุกครั้งที่ซ้ำ ทีมงานคอยเชียร์ให้พูดเร็วขึ้น ยุทธสะกิดให้เมสินีดูว่าเป็นคนนักแสดงในรายการตลก
“อาคมของอาจารย์เทพหมดฤทธิ์แล้ว คุณไม่ได้เห็นผีแล้วครับ เลิกกลัวเถอะครับ”
“ก็ใครไปรู้ล่ะ”
เมสินีเดินเริ่ดๆไป ยุทธเซ็ง
อาจารย์เทพเปิดกรุสมบัติเก่า เปิดหีบเหล็ก หยิบตำราคัมภีร์คาถาอาคมโบราณออกมา ปัดฝุ่นที่เกาะออกเป็นหนังสือ รวมอาคมขั้นสูงสุด
“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผีตนไหนทำให้ฉันต้องเปิดใช้อาคมจากคัมภีร์เล่มนี้...ไอ้คามิน แกต้องชดใช้”
เกี๊ยงหลับฟุบอยู่กับพื้นกลางสุสานรถ ค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วก็ผวารีบลุกมานั่ง มองรอบๆอย่างตะลึงๆ พยายามตั้งสติ แต่พอหันมาอีกด้าน ก็พบว่าคามินนั่งตระหง่านอยู่บนซากรถยนต์ ราวกับนั่งอยู่บนบัลลังก์ โดดเด่น ทรงพลัง เกี๊ยงสยอง
“แก...”
เกี๊ยงหันขวับจะหนี แต่คามินก็มายืนดักตรงหน้าอีก
“ว้าก”
เกี๊ยงตกใจ ล้มหงายลงไป ลนลาน กลัวตาย ยกมือขอชีวิต
“อย่า...อย่าทำอะไรฉัน แกจะให้ทำบุญหรือเผาแบงก์กงเต็กส่งไปให้ใช่มั้ย ฉันจะทำให้แกทุกอย่าง”
“หึๆ ไอ้ลูกกระจ๊อกหมอผี แกมีคุณสมบัติที่ฉันต้องการทุกอย่าง เรียนอาคม คิดชั่ว จิตอ่อนแอ และกลัวตาย”
“ไม่ ฉันไม่มี อย่ายุ่งกับฉัน”
เกี๊ยงคลั่ง ผลักทุกอย่าง วิ่งหนี
เกี๊ยงวิ่งมาอีกด้าน จะออกจากสุสาน แต่คามินโผล่มาขวางตรงหน้า
“จะตาย หรือจะทำตามคำสั่งฉัน” คามินคว้าหมับที่คอทันที
เกี๊ยงหายใจไม่ออก
“ปล่อยฉัน”
“แกเลือกตาย”
คามินออกแรงบีบมากขึ้น เกี๊ยงถูกบีบยกจนตัวลอย หายใจไม่ออกยิ่งขึ้น ขาดีดดิ้นเตะอากาศพยายามจะพูด
“หมายถึง...ให้ปล่อย...แล้วจะใช้...ใช้อะไร...ก็ใช้มา...ปล่อย”
“พูดมา ว่าแกจะทำตามคำสั่งฉัน”
“ฉันจะ...ทำตามคำสั่ง...ของแก”
คามินพอใจ ปล่อยมือ เกี๊ยงฟุบลงไป แต่แล้วเกี๊ยงก็ฉวยโอกาส วิ่งพรวดไปเลย จะวิ่งหนีออกไป แต่คามินพุ่งเข้าใส่จากทางด้านหลังเข้าสิงทันที เกี๊ยงถูกกระแทกจนผวาเฮือก แล้วล้มฟุบหน้าคว่ำไปกับพื้นดิ้นกระตุกๆ เหมือนวิญญาณภายในกำลังต่อสู้กับวิญญาณคามินที่พยายามยึดร่าง แล้วเกี๊ยงก็สงบลง แน่นิ่งไป ตาเหลือก เหลือแต่ตาขาว น่ากลัว
ไตปลาอ่านบทหน้าสุดท้ายอยู่ น้ำมนต์และเพื่อนๆยืนลุ้น จนกระทั่งไตปลาอ่านจบ ปิดบทละครลง เงยหน้ามามองทุกคน
“เยี่ยม...เยี่ยมมาก” ไตปลาจับมือน้ำมนต์ “น้ำมนต์ เธอเก่งมาก เก่งจริงๆ เก่งที่สุด ฉันชอบบทละครของเธอมาก ขอกอดที”
อัฐชัยรีบโผเข้ามากอดกับไตปลาแทน
“ผมดีใจมากที่พี่ไตปลาชอบ ดีใจจริงๆ”
ไตปลาตกใจ รีบผละออก
“เฮ้ย ฉันจะชื่นชมคนเขียนบท น้ำมนต์ เธอเก่งมาก”
ไตปลาจะโผกอดน้ำมนต์อีก แต่ลูกโป่งเสนอหน้ามาขวาง ไตปลาชะงัก
“ถ้าพี่ไตปลาชอบแล้ว งั้นลูกโป่งจะเอาบทนี้แจกทีมงานและนักแสดงเลยนะคะ เราเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องรีบกันแล้วค่ะ”
ลูกโป่งกำลังจะวิ่งไป แต่เอมี่วิ่งสวนเข้ามาก่อน ดีใจ มีข่าวดี
“เด็กๆ พี่หาสปอนเซอร์ละครเวทีให้พวกเธอได้แล้ว”
ทุกคนดีใจ
“จริงเหรอครับ/คะ”
“ละครของพวกเธอจะมีค่าผลิต ค่าอาหารการกิน มีครบทุกอย่าง และมีค่าตัวเล็กๆน้อยๆให้ทุกคนด้วย”
ในขณะที่ทุกคนดีใจแบบตะลึง ไตปลากลับดีใจแบบกระโดดสุดตัวที่จะได้ค่าตัว
“ค่าตัว...สุดยอดเลย...ไชโย รวยแล้วๆ”
ไตปลาโลดเต้นสุดๆ ทุกคนหันมามองตาขวางๆ จนไตปลาเขิน รีบสงบ วางฟอร์มเข้ม แล้วจากนั้นทุกคนก็กระโดดโลดเต้นดีใจเช่นกัน
“มีค่าตัวด้วย กรี๊ดๆ”
ไตปลาทำเป็นเข้ม อบรมคนอื่น
“นี่ๆ ทำงานศิลปะอย่ายึดติดกับเงินให้มาก”
ระหว่างนั้น น้ำมนต์แอบถามเอมี่
“พี่เอมี่ ใครคือสปอนเซอร์ของเราคะ”
น้ำมนต์ตกใจที่ได้รู้ว่าเมสินีคือสปอนเซอร์
“คุณเมสินี”
“ใช่แล้ว คุณเมสินี จะให้สถานีพราวด์ดิจิตัลเป็นสปอนเซอร์ให้ละครเวทีของพวกเธอแต่เพียงผู้เดียว รับผิดชอบทุกค่าใช้จ่าย แล้วยังจะให้ไปออกรายการในสถานีเพื่อโปรโมทได้ด้วยนะ”
“โห คุณเมสินี ทำไมถึงได้สวย สปอร์ต ใจดี มีรสนิยมอย่างนี้” พิมพ์ดาวแปลกใจ
“ไม่เสียแรงที่ฉันยกให้เป็นไอด้อล” ลูกโป่งปลื้มใจ
“คุณเมสินี มีเงื่อนไขอะไรหรือเปล่าคะ ให้เงินเยอะขนาดนี้ เขาก็ต้องอยากได้สิ่งตอบแทนจากเราเยอะแน่”
“ไม่มีเลย ไม่เรียกร้องอะไรเลย”
อัฐชัย พิมพ์ดาว ลูกโป่ง ดีใจ
“สุดยอด”
“แกขออย่างเดียว”
“นั่นไง” น้ำมนต์ชะงัก
“แกขอให้พวกเรารีบไปถ่ายเทปไพล็อตรายการใหม่ไปให้พิจารณาด่วน”
อัฐชัยแปลกใจ
“รายการใหม่...พี่ขายรายการใหม่ผ่านแล้วเหรอครับ”
“ใช่ พี่ขายคอนเซ็ปต์ผ่านแล้ว พี่ก็เลยมาหา เพราะอยากจะให้น้ำมนต์ช่วยไปคุยกับแฟนให้หน่อย”
เอมี่ยิ้ม น้ำมนต์งง แปลกใจ เกี่ยวไรกับพีระ
อาจารย์อิ๋วเดินหอบหนังสือเดินมาตามชั้นเก็บหนังสือในห้องสมุด กำลังมองหาหนังสือที่ยังต้องการอีก แต่แล้วเมื่อมาถึงมุมหนึ่ง ต้องชะงัก ตาเบิกโต ที่โต๊ะอ่านหนังสือด้านในสุด ลับตาคนสุด มีหนังสือพิมพ์เก่าวางอยู่ และหน้ากระดาษกำลังเปิดเองได้ อาจารย์อิ๋วผงะ เพ่งมองให้ชัดๆ...พีระคือคนที่พลิกหนังสือพิมพ์นั้น เงยหน้ามาเห็นว่าอาจารย์อิ๋วมองมาที่ตน เขาแปลกใจว่ามองอะไร แต่แล้วก็นึกได้ว่าจับหนังสือพิมพ์อยู่ รีบปล่อยมือ ให้หนังสือพิมพืปิดไปตามเดิม อาจารย์อิ๋วเห็นหนังสือพิมพ์ปิดมาตามปกติ แปลกใจ รีบเดินจ้ำเข้าไปมองดูที่โต๊ะนั้น
“ไม่มีใคร...แล้วทำไมหนังสือพิมพ์เปิดเองได้ หรือลมพัด หรือเราตาฝาด หรือ...”
อาจารย์อิ๋วชักสยอง รีบหยิบสร้อยพระที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมาโชว์มีพระเครื่องเต็มแผง
“อย่านะ”
สร้อยพระของอาจารย์อิ๋วแทบจะฟาดหน้าพีระอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้กลัวพระ พอดีมีนักศึกษา 2 คนเดินผ่านมา ต้องชะงักเพราะเห็นแผงสร้อยพระของอาจารย์อิ๋ว
“มองไรคะ อาจารย์เป็นคนธรรมะธัมโม โอเค๊”
พวกนักศึกษาแยกย้ายไป อาจารย์อิ๋วรีบไปด้วย พีระโล่งอก
“เกือบไปแล้ว”
พีระจะหันมาเปิดหนังสือพิมพ์ต่อ แต่เจอแมนสรวงนั่งอยู่ตรงหน้า พีระสะดุ้ง
“เอ้ย”
“มานั่งอ่านข่าวทำไม จะไปสอบเป็นผู้ประกาศข่าวหรือไง นายเหลือเวลาอีกแค่ 17 วันเท่านั้น 17 วัน 17วัน 17วัน”
“นายกอดปฏิทินตายหรือไง ย้ำเรื่องเวลาอยู่ได้”
“ก็มันหน้าที่ฉันนี่หว่า ฮึ่ย”
แมนสรวงอยากจะด่าแต่ด่าไม่ออก พีระไปสนใจข่าวในหนังสือพิมพ์ต่อ เป็นข่าวอุบัติเหตุเล็กๆด้านใน ไม่ใช่ข่าวหน้าหนึ่ง
“หนังสือพิมพ์ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้วนี่ อ่านข่าวอะไร” แมนสรวงอ่านข่าว “คลิปลับโคโยตี้สาว”
“ไม่ใช่ข่าวนั้น...นี่ ข่าวนี้” พีระชี้ข่าวเล็กๆ
แมนสรวงอ่าน
“อุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ แม้จะมีชาวบ้านในละแวกยืนยันว่ามีรถหรูพุ่งมาชนท้าย แต่ตำรวจไม่พบร่องรอยการชนใดๆ เป็นเพราะรถยนต์คันที่ผู้เสียชีวิตโดยสารมานั้นเก่าและขาดการบำรุงรักษา...นี่มันข่าวอุบัติเหตุของแม่น้ำมนต์”
พีระเดินจ้ำออกมา แมนสรวงโผล่แว่บมาขวางหน้า
“นายจะไปไหน หยุดเลย”
“ฉันรู้จุดที่แม่ของน้ำมนต์เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตแล้ว ฉันจะไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้น อาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับคู่กรณี”
“เรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะไปเสนอหน้าสืบเรื่องคนอื่นอีก”
“ฉันไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัว...ฉันอยากมีชีวิตก็จริง แต่ก็อยากให้น้ำมนต์มีความสุขด้วย”
แมนสรวงตะลึงมาก เพราะคำพูดของพีระมันสะท้อนให้เห็นว่าพีระมีใจให้น้ำมนต์แล้ว แมนสรวงตกใจ
“อยากให้มีความสุข...โอ้วๆ ผู้ชายที่ยอมเสียสละความอยู่รอดของตัวเองเพื่อทำให้ผู้หญิงมีความสุข นี่มันแสดงว่า...นาย...หัวใจนาย...ไม่ๆ ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าสร้างความผูกพัน ความทรงจำจะทำร้ายตัวนายเอง”
“ทำร้ายไงเล่า...รู้อะไรก็บอกมาสิ”
“ฉันบอกได้แค่ว่าเรื่องเดียวที่นายควรจะเสียเวลา ก็คือหาร่างของนายให้เจอ”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันเสียเวลาก็บอกมาว่าใครทำให้แม่ของน้ำมนต์ตาย ใครคือคนที่ขับรถหรูคันนั้น ฉันจะได้เอาเวลาไปตามหาร่างของฉัน”
“ฉันบอกไม่ได้ มันเป็นกฎ”
ทันใด น้ำมนต์เข้ามาเรียก
“พีระ ขอคุยด้วยหน่อย”
แมนสรวงบอกไม่ได้ พีระก็ไม่ยอม แววตาแน่วแน่ว่าจะช่วยน้ำมนต์
“ถ้าคิดว่าอุ๊บอิ๊บความลับเอาไว้แล้วมันเท่มาก ก็เท่ต่อไปนะ”
พีระเดินแยกไปหาน้ำมนต์ แมนสรวงได้แต่ฮึดฮัดอยากจะบอกแต่บอกไม่ได้
ในห้องซ้อมละคร...ไตปลาโวยเสียงดัง
“งดซ้อม...ทำไม...เพราะอะไร...ขอเหตุผลด้วย”
ลูกโป่งรีบบอก
“คืนนี้พวกเราต้องไปถ่ายรายการใหม่ที่ตึกร้างที่เคยมีข่าวว่าคนงานเสียชีวิตหมู่ เราต้องเตรียมตัวนิดนึงก่อนไป”
“นี่พวกเธอเห็นรายการทีวีดีกว่าละครเวทีที่ซ้อมอยู่งั้นเหรอ...หา” ไตปลาโวยวาย
“ไม่ใช่ค่ะ จะรายการหรือละครก็สำคัญเท่ากันค่ะ...แต่ที่เราแคร์มากที่สุดก็คือ...” พิมพ์ดาวแย้ง
“คืออะไร” ไตปลาจ้องหน้า
ทุกคนตอบพร้อมเพียง
“สปอนเซอร์”
“ถ้าเราไม่มีรายการใหม่ไปเสนอ คุณเมสินีอาจโมโหแล้วยกเลิกการสนับสนุนเงินให้ละครเวทีของเรา อดค่าตัวนะครับ” อัฐชัยอธิบาย
ไตปลาชะงัก
“อดค่าตัว...แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก ไปๆ”
ทุกคนเหล่ตามองไตปลาว่าตะกี้ยังไม่อนุญาตอยู่เลย ไตปลารู้ตัว อึกอัก วางฟอร์ม
“ที่ให้ไป เพราะฉันจะให้พวกเธอได้ไปสัมผัสประสบการณ์กลัวผีจริงๆ พวกเธอยังเล่นบทกลัวผีได้ไม่เหมือนเลยรู้ตัวหรือเปล่า”
พีระรู้ว่าจะต้องเป็นพิธีกรรายการก็ตกใจ
“ผมต้องเป็นพิธีกร”
“พี่เอมี่อยากให้” น้ำมนต์ชี้พีระ “ผีกับ...” เธอชี้ตัวเอง “คนเห็นผี เป็นพิธีกรพาท่านผู้ชมไปสัมผัสประสบการณ์ผี ผีตั้งแต่เปิดยันปิดรายการ เอาให้คนดูอุจจาระแตกไปเลย”
“ช่วยทำละครเวทีแล้วยังต้องช่วยเป็นพิธีกรรายการให้อีกเหรอ” พีระเซ็งๆ
“ไม่ต้องๆ ฉันแค่มาแจ้งให้นายทราบตามที่พี่เอมี่ขอ แต่ฉันรู้ว่านายไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น...ฉันเข้าใจ เดี๋ยวจะไปอธิบายพี่เอมี่ให้เอง”
น้ำมนต์จะเดินไป แต่พีระกลับเป็นฝ่ายเห็นใจ ห้ามไว้
“ไม่ต้องๆ ผมช่วยก็ได้”
อัฐชัยเดินเข้ามา ชะงักที่เห็นน้ำมนต์กำลังคุยกับพีระ หยุดมอง น้ำมนต์อึ้ง ทึ่ง
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายต้องเอาเวลาไปตามหาร่างของนาย”
“รายการคุณถ่ายตอนดึกไม่ได้รบกวนเวลาผมหรอก แต่พี่เอมี่จะต้องรู้ก่อนว่า ผมไม่ได้จะอยู่ตลอดไป ไม่ว่าผมจะหาร่างเจอหรือไม่เจอ สุดท้าย ผมก็ต้องไป เตรียมทางออกไว้แล้วกัน”
“ขอบใจนะ ฉันคิดว่านายจะเอาแต่เกรียน กวนประสาทไปวันๆ มีมุมดีๆกะเขาเหมือนกันนะเนี่ย ผีอะไรก็ไม่รู้ หน้าว่าหล่อแล้ว ใจหล่อกว่าหน้าอีก”
พีระยิ่งโดนชมยิ่งเขินๆ
“พอแล้ว พอๆ แหม ยิ่งชมความจริงใจยิ่งลดลงนะ”
น้ำมนต์ชมไม่หยุด พีระเขินที่น้ำมนต์ชมมากมายโอเว่อร์ ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักกัน อัฐชัยเห็นน้ำมนต์ยิ้มหัวเราะ ชักไม่ชอบใจที่เห็นมีความสุขกับพีระ เลยกระแอมแล้วเข้าไปขัดจังหวะ
“น้ำมนต์...พี่ไตปลาเรียก”
“โอเค”
น้ำมนต์ยิ้มให้พีระ แล้วรีบเดินออกไป อัฐชัยรีบกางแขนขวางพีระเอาไว้ แต่หารู้ไม่พีระเดินตามน้ำมนต์ผ่านไปก่อนแล้ว อัฐชัยพูดกับอากาศคนเดียว
“หยุด...ฟังนะไอ้ผีไม่มีที่ไป ฉันไม่ชอบที่แกสนิทสนมกับน้ำมนต์มากอย่างนี้ อยู่ให้ห่างๆน้ำมนต์ซะ ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าเพื่อนคนนี้ไม่เตือน เข้าใจมั้ย ถ้าเข้าใจแล้ว ส่งสัญญาณด้วย นี่ กวนเหรอ อยากมีเรื่องใช่มั้ย ได้”
ว่าแล้วอัฐชัยก็เตะอากาศ ต่อยอากาศ ราวกับว่าพีระอยู่ตรงนั้น มีนักศึกษาผ่านไปมาเห็น หยุดมอง หัวเราะคิกคักกัน
“ไงล่ะ เอาอีกมั้ย...เงียบอีกเหรอ”
อัฐชัยเตะอีก
น้ำมนต์เดินกลับเข้ามา พวกเพื่อนๆรออยู่แล้ว
“นายไปทำอะไรที่ห้องสมุด”
“ผมมาหาข่าวอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อนอ่าน”
น้ำมนต์หันจ้อง รู้ว่าข่าวแม่ตนเอง
“นาย...”
“คุณช่วยผม ผมช่วยคุณไง เรารับปากกันแล้วนะ”
“แล้วได้อะไรมั้ยล่ะ”
“ก็ได้เท่าที่ข่าวนำเสนอ เกิดอุบัติเหตุ มีชาวบ้านเห็นว่ารถหรูเฉี่ยวแล้วขับหนี แต่ตำรวจสรุปคดีว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมอยากไปที่เกิดเหตุ คุณพาผมไปหน่อยสิ”
“นายจะไปทำไม”
“ถ้าคนยืนยันความจริงไม่ได้ ผมก็จะไปถามเจ้าที่เจ้าทางหรือสัมพะเวสีแถวนั้น พวกท่านต้องบอกความจริงได้แน่ว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ใครเป็นคนทำ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ความจริง”
น้ำมนต์ชั่งใจ ลำบากใจที่ต้องเผชิญความจริงของตัวเอง พีระส่งสายตาเว้าวอน
“นะ”
“ก็ได้ แต่ให้เสร็จงานวันนี้ก่อนนะ”
พีระยิ้มดีใจ
น้ำมนต์เดินเข้ามาที่ห้องซ้อม พิมพ์ดาว ลูกโป่ง ไตปลารีบเข้ามาหา ลูกโป่งรีบบอก
“น้ำมนต์ วันนี้งดซ้อมละครนะ จะได้ไปเตรียมตัวถ่ายรายการใหม่”
ไตปลายิ้มแย้ม
“คืนนี้พี่จะไปด้วย จะไปสังเกตการณ์เพื่อเอามาใช้ในละครของเรา”
เอมี่ที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จเดินกลับเข้ามาหาทุกคน
“เดี๋ยว...มีงานแทรก ก่อนจะไปถ่ายรายการ ต้องไปอีกที่นึงก่อน”
น้ำมนต์แปลกใจ
“ที่ไหนคะ”
ภายในบ้านเมสินี...ยุทธกำลังข้องใจที่เมสินีเชิญพวกเด็กมาบ้าน
“ทำไมคุณต้องเชิญพวกทีมคืนผจญผีมาที่บ้านด้วยครับ”
ละไมที่กำลังยกอาหารมาวางเตรียมเลี้ยงแขกรีบบ่นสำทับด้วยอีกคน
“นั่นน่ะสิคะ อยู่ดีๆก็หาเรื่องให้ละไมต้องเตรียมหาอาหารเลี้ยงกะทันหัน ละไมเหนื่อยนะคะ ไม่อยากจะบ่น”
เมสินีจ้องหน้า
“ละไม จะทำงานเงียบๆ หรือให้ฉันพูดดังๆว่า ไล่ออก”
ละไมผงะ ตัวแข็ง แทบกลั้นหายใจ รีบรูดซิปปากปิดเม้มสนิท ทำงานไปอย่างเงียบมากๆ ระมัดระวังมากๆ เมสินีหันมาหายุทธ
“เธอจำไม่ได้เหรอที่เอมี่บอกว่าน้ำมนต์มีแฟนแล้วชื่อพีระ...ก็แสดงว่าวิญญาณนายพีทน่าจะติดตามน้ำมนต์ไปทุกที่”
“แล้วไงครับ หรือคุณจะจับวิญญาณคุณพีทไปยืนยันกับตำรวจ”
“ถ้าตำรวจยอมให้วิญญาณคนตายเป็นหลักฐานได้ฉันทำแน่...แต่ที่แน่ๆก็คือเธอหาศพนายพีทไม่เจอ ตำรวจก็หาไม่เจอ ไม่มีใครรู้ว่าศพอยู่ที่ไหน ฉันก็เลยจะต้องถามเอากับเจ้าของศพน่ะสิ”
“คุณจะถามหาศพคุณพีทจากวิญญาณคุณพีท”
ทันใด เสียงกริ่งหน้าบ้านดังพอดี เมสินียิ้มเย็น
อาจารย์เทพถือขวดที่ใช้กักขังวิญญาณผีออกมาจากสำนักแล้วสวดบริกรรมคาถา ทันใด ก็ปรากฏวิญญาณผีออกมาจากขวดนั้น เป็นผีชายหนุ่มกำยำในชุดนักกรีฑา มีรอยแผลมีดแทงทะลุหัวใจ
“ฉันอยากทดสอบวิชาใหม่หน่อย หนีไป ถ้าแกหนีได้ แกจะได้เป็นอิสระ ไป”
ผีนั้นเงอะงะในทีแรก แต่พอเห็นอาจารย์เทพหลับตาและเริ่มท่องคาถา ผีนักกรีฑาก็รีบหันหลังแล้วกระโดดข้ามรั้วไปอย่างรวดเร็ว อาจารย์เทพท่องคาถา เสียงสวดนั้นฟังดูน่ากลัว แล้วทันใด อาจารย์เทพลืมตาขึ้นมา ผีนักกรีฑาที่วิ่งหนีอยู่ มีบางสิ่งบางอย่างวิ่งเลื้อยไล่ตามหลัง รวดเร็วมาก มันพุ่งเข้าตะครุบข้อเท้าผีนักกรีฑาจนล้มคว่ำไปทันที ผีนักกรีฑากรีดร้องลั่น
“อ๊าก”
อาจารย์เทพยิ้มแสยะ เตรียมเผด็จศึก
“จับได้แล้ว ต่อไปก็เผด็จศึก”
อาจารย์เทพจะท่องคาถาต่อ แต่ต้องชะงัก เพราะอยู่ๆเกี๊ยงเดินกลับเข้ามาในสำนัก
“ไอ้เกี๊ยง”
อาจารย์เทพหยุดท่องคาถาทันที รีบเข้าไปหาดีใจ ตื่นเต้น
“นี่แกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ฉันกำลังจะไปล้างแค้นให้แกอยู่เลย นี่แกหนีรอดจากไอ้ผีคามินมาได้ยังไง เพราะอาคมที่ฉันสอนแกใช่มั้ย แกนี่มันเก่งใช้ได้เลยเว้ย”
อาจารย์เทพโผกอดแต่แล้วอยู่ๆสีหน้าของอาจารย์เทพก็ผงะ ตาเบิกโต ค่อยๆผละออกจากการกอดกับเกี๊ยง
“ไอ้เกี๊ยง...แก...ทำไม”
อาจารย์เทพก้มมองที่ท้องของตัวเอง มีมีดปักอยู่ โดยที่มือของเกี๊ยงยังกุมด้ามมีดเอาไว้ แล้วเกี๊ยงก็ดึงมีดออกมา
“โอ๊ย”
อาจารย์เทพเจ็บตามแรงกระชาก ทรุดลงไปกับพื้น และล้มคว่ำไป...ตึง เกี๊ยงยืนถือมีดที่เปื้อนเลือด สีหน้านิ่งสงัด ไร้อารมณ์ใดๆ ไร้วิญญาณ
พวกน้ำมนต์กำลังเดินตามสาวใช้เข้ามาภายในบริเวณบ้านเมสินี ลูกโป่งคุยโทรศัพท์
“ค่ะพี่ไตปลา พี่จะไปรอที่ตึกร้างเลยหรือที่ไหนก็แล้วแต่พี่ค่ะ เดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วจะโทรหานะคะ”
พีระเข้ามาคุยกับน้ำมนต์ที่เดินรั้งท้าย
“บ้านหลังนี้มียันต์หมอผีคุ้มกันอยู่ ผมเข้าไปไม่ได้”
“งั้นก็รอข้างนอก”
“อย่าเข้าไปเลย มันไม่น่าไว้ใจ เมสินีรู้ว่าคุณตามหาผมอยู่ เขาอาจจะคิดไม่ดีกับคุณก็ได้”
“งั้นฉันยิ่งต้องเข้าไป เผื่อจะเจอเบาะแสที่ยืนยันความผิดของเขาได้”
“แต่...”
น้ำมนต์สวน
“แล้วฉันจะหาทางปลดผ้ายันต์ออกด้วย นายจะได้เข้าบ้านตัวเองได้ เผื่อมันจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่ของนาย”
ละไมเดินนำทุกคนเข้ามา เมสินีออกมาต้อนรับถึงด้านนอก ยุทธตามมาด้วย ทุกคนยกมือไหว้สวัสดีเมสินีตามมารยาท
“เด็กๆ ยินดีต้อนรับทุกคนนะคะ ขอบคุณนะคะที่มากันครบทีมเลย มาๆ เชิญในบ้านดีกว่า ไปตากแอร์เย็นๆ กินพิซซ่าไก่ทอดอร่อยๆกันดีกว่านะ เชิญๆ”
เมสินีทำตัวน่ารัก เป็นมิตรเว่อร์ๆ เชิญชวนทุกคนเข้าบ้านไป ทุกคนทยอยเข้าไป พีระจะตามเข้า แต่เข้าไม่ได้ กระเด็นถอยออกมาอยู่คนเดียว พีระตะโกน
“ระวังตัวด้วยนะน้ำมนต์ ผมเป็นห่วง”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
อาจารย์เทพนอนฟุบที่พื้น หายใจถี่และหนักขึ้น เกี๊ยงที่ยืนนิ่ง อยู่ๆก็มืออ่อนปล่อยมีดร่วงลงจิ้มปักกับพื้น แล้วก็ทรุด คุกเข่า และล้มคว่ำ หันหน้าไปทางอาจารย์เทพ นอนตาเหลือกเหลือแต่ตาขาว ไม่ได้สติ
“ไอ้เกี๊ยง...”
แต่อยู่ๆเท้าของคามินเข้ามาอยู่ในสายตา อาจารย์เทพเงยหน้ามอง เห็นว่าเป็นคามิน อาจารย์เทพไม่อยากเชื่อว่าจะเจอ
“ไอ้คามิน...แก...แกออกมาได้ยังไง”
“ลูกศิษย์แกเป็นคนอัญเชิญฉันออกมา แล้วมันก็ยังให้ฉันสิงร่างได้ด้วย..วันนี้แกต้องตาย”
คามินแค่สะบัดมือ อาจารย์เทพก็กระเด็นไปกระแทกติดกับกำแพง คามินยกมือขึ้นมา ทำท่าบีบคอ อาจารย์เทพยืน ถูกกระชากดึงขึ้นมา ชิดผนัง หายใจไม่ออกราวถูกบีบคอ คามินชูสูงขึ้น อาจารย์เทพเริ่มตัวลอย เท้าไม่ติดพื้น ดิ้นๆ
เอมี่นำทีมทุกคนกราบขอบคุณเมสินี
“เด็กๆ กราบ”
ทุกคนไหว้
“ขอบคุณครับ/ค่ะคุณเมสินี”
“พวกน้องๆซาบซึ้งใจมากที่คุณเมสินีจะเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับละครเวทีของพวกน้องๆค่ะ”
ระหว่างนั้น น้ำมนต์มองไปนอกกระจกของตัวบ้าน เห็นพีระอยู่นอกกระจกคอยมองอยู่ตลอด เมสินียิ้มแย้ม
“แหม พวกเราช่วยทำรายการให้กับฉันมาตั้งนาน ฉันก็แค่ตอบแทนเล็กๆน้อยเป็นโบนัสแค่นั้นเอง อย่าคิดมาก แล้วอีกอย่าง ฉันชอบดูละครเวทีมาก ถ้าไม่ติดว่าต้องบริหารสถานี ฉันไปสมัครเล่นมิวสิคัลแล้วนะ” เมสินีร้องเพลง “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับฟัง ตามความคิดสติ เราให้ทัน”
เมสินีร้องไม่เพราะ ทุกคนงงๆกับเมสินีที่อยู่ๆก็ร้อง แต่เอมี่ยิ้มแย้มหัวเราะเอาใจเจ้านายไป
“ตายแล้ว เสียงดีมากๆเลยค่ะ กังว้านกังวาน”
“คุณเอมี่อย่าเอาใจหน่อยเลย เด็กๆไม่เห็นมีใครพูดสักคน”
“หรือพวกเธอคิดว่าเสียงไม่ดี”
ทุกคนอึกอัก แต่จำต้องรีบชื่นชมไป อัฐชัยรีบเยินยอ
“ที่เงียบเพราะผมตะลึงอยู่ครับ ฟังแล้วเคลิ้มตกในภวังค์เลยครับ”
“ดีว่าทั่วโลกเตรียมตัวตาย เสียงคุณเมเกิดมาเพื่อฌาปนกิจดีว่าชัดๆ” พิมพ์ดาวเสริม
“ถ้าได้เสียงนี้มาอยู่ในละครเวทีของพวกเธอด้วยต้องดีมากๆเลยเนอะ” ลูกโป่งยิ้มแย้ม
ทุกคนหันขวับจ้องลูกโป่ง
“หือ”
“พอๆ ฉันขอแค่เชิญไปดูด้วยก็พอจ้ะ” เมสินีเขินๆ
“เย้...”
ทุกคนเผลอดีใจ แล้วชะงัก รีบทำท่าสลด คอตก ถอนหายใจพร้อมกัน
“เฮ้อ น่าเสียดาย”
เมสินียิ้มแย้มๆ ขำๆ
อาจารย์เทพที่ถูกจับกดติดกำแพง แต่อยู่ๆก็ยิ้มแล้วหัวเราะออกมา
“หึๆ ฮ่าๆ ฉันกำลังหาหนูทดลองอาคมขั้นสูงอยู่พอดี”
อาจารย์เทพปากท่องคาถา ทันใด ท้องฟ้าแปรปรวน ลมพัดแรง มีเสียงหวีดหวิวของลม ผสมกับเสียงโหยหวยของภูติผีสัมภเวสีต่างๆ เสียงแหลมเล็ก น่ากลัว น่าขนลุก กลุ่มพลังงานของพวกสัมภเวสีบินว่อน คามินหัวเราะ
“แกจะเรียกสัมภเวสีมาจัดการฉันเหรอ ฮ่าๆ”
ทันใด พวกสัมภเวสีหายไป เสียงเล็กแหลมกลายเป็นเสียงสวดมนต์ที่ลอยมาจากทั่วสารทิศ เป็นเสียงสวดทำนองออกแนวขอมโบราณ พร้อมกับเสียงหนักหน่วงแบบกลอง เร่งเร้าอารมณ์ คามินผงะ ซวนเซ เจ็บปวดเพราะเสียงสวดมนต์
“เสียง...เสียงสวด”
อาจารย์เทพผละหลุดจากคามินมาได้
“แกจะต้องมาเป็นทาสรับใช้ของฉัน ไอ้คามิน”
อาจารย์เทพท่องคาถาเร่งเร้ามากยิ่งขึ้น ถี่ขึ้น กระแทกกระทั้น ดุดันยิ่งขึ้นๆ คามินส่งเสียงเจ็บปวด
“อ๊าก”
ทันใด ปรากฏรอยจุดดำเล็กๆที่คอของคามิน แล้วมันก็ค่อยๆลากเป็นเส้นอักขระ เหมือนมีใครเอาปากกาเขียนตัวอักขระที่คอคามิน เป็นอักขระแบบขอมโบราณ อักขระค่อยๆถูกเขียนขึ้นทีละตัวๆเรียงรอยไปๆ คามินผงะ เจ็บแสบที่คอ
“แกจะทำอะไร อ๊าก”
อักขระนั้นเขียนไม่หยุด วนไปรอบคอของคามิน จนกระทั่งครบรอบ ราวกับเป็นวงแหวนล็อกคอเอาไว้ มันเปล่งประกายสีแดงเลือด บีบรัดคอคามินด้วยอาคม
“อ๊าก”
คามินร้อง อ้าปากกว้าง
เอมี่อ้าปากกว้าง กัดน่องไก่ทอดเข้าปาก สีหน้าชวนฝัน
“อื้ม”
ทุกคนกำลังกินอาหารกันอย่างร่าเริงมีความสุข หยิบนั่นหยิบนี่ เมสินีพูดขึ้น
“เด็กๆ เดี๋ยวคืนนี้จะไปถ่ายเทปไพล็อตรายการใหม่ใช่มั้ย งั้นทานให้เต็มที่เลยนะ ให้เหมือนนี่คืออาหารมื้อสุดท้าย”
ทุกคนชะงัก มือที่ถืออาหารกำลังจะเข้าปาก ค้างอยู่อย่างนั้นทันที ยุทธรีบแก้
“คุณเมหมายถึงทานให้เต็มที่ไม่ต้องยั้งน่ะครับ”
ทุกคนค่อยร่าเริงหยิบอาหารกินกันอีกครั้ง พิมพ์ดาวส่งเค้กให้อัฐชัย
“อัฐ ชิมเค้กนี่สิ ชิ้นสุดท้าย อร่อยมาก”
“อร่อยจริงเหรอ งั้นฉันเอาไปให้น้ำมนต์นะ”
อัฐชัยจะเดินไปหาน้ำมนต์ แต่เมสินีเข้ามาหาน้ำมนต์ก่อน
“น้ำมนต์...ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอส่วนตัวหน่อยได้มั้ย”
น้ำมนต์แปลกใจ เดินตามเมสินีไป อัฐชัยมาไม่ทัน ยืนมอง
นอกตัวบ้าน พีระมองอยู่ เห็นน้ำมนต์กำลังเดินตามเมสินีไป
“เฮ้ย จะไปไหนสองต่อสอง อย่านะ อย่าไป”
พีระเผลอตัวจับตัวกระจกบ้าน แล้วต้องสะดุ้งเราะมีพลังอาคมรักษาไว้ ผงะออก พีระกังวล ห่วงน้ำมนต์
คามินถึงกับทรุด คุกเข่า แต่ไม่ยอมแพ้ พยายามเบ่งพลังต่อต้าน
“อ๊าก”
แต่ก็สู้ไม่ได้ ยังคงถูกวงแหวนอักขระรัดที่คอแน่น แต่แล้วคามินหันขวับจ้องอาจารย์เทพด้วยสายตาอาฆาตแค้น หมายจะจู่โจม แล้วก็พุ่งเข้าใส่
“แก”
อาจารย์เทพยืนนิ่งไม่ไหวติง ท่องคาถาเพียงนิดเดียว คามินก็หยุดชะงักเหมือนถูกพลังงานบางอย่างรั้งเอาไว้ ปลายเล็บจ่อที่หน้าอาจารย์เทพแค่เสี้ยวมิลลิเมตร
“แกต้องเป็นทาสรับใช้ฉัน”
สิ้นคำคามินก็โดนดึงตัวให้กระเด็นถอยกลับไป วงอักขระที่คอเปล่งแสงและรัดคอมากยิ่งขึ้น คามินดีดดิ้นเจ็บปวดทรมานที่สุด
“ฉันไม่มีวันรับใช้แก”
คามินหายตัวหนีไป อาจารย์เทพนิ่งสงบ ท่องคาถา แล้วอยู่ๆคามินก็ตกลงพรวดลงมาจากบนฟ้า กระแทกพื้น...อั๊ก
“แกไม่มีทางหนีไปไหนได้”
คามินคำรามอย่างบ้าคลั่ง เหมือนสัตว์ป่าที่ถูกล่าม และพยายามขัดขืนการล่าม คามินพุ่งตัวหนีหายไปอีก แต่ก็จะถูกดึงให้กลับมาตกกระแทกที่เดิมซ้ำๆ อาจารย์เทพทรุดลงไปนั่ง เพราะเสียเลือดมาก แต่สีหน้าหัวเราะสะใจที่จัดการคามินได้
เมสินีเดินนำน้ำมนต์แยกออกมาฉันบนของบ้าน
“คุณเมสินีมีเรื่องอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ”
“น้ำมนต์...เธอสัญญาได้มั้ยว่าจะพูดกับฉันตรงๆ ไม่มีอะไรปิดบังกัน”
“เอ่อ ค่ะ เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่องนายพีท หรือนายพีระ ผีที่เธอคบเป็นแฟน”
น้ำมนต์อึ้ง
อีกมุมของบ้าน ยุทธเข้ามาถามละไมที่กำลังแอบกินพิซซ่าอยู่ด้านใน ระหว่างที่คุย พีระวิ่งผ่านกระจกด้านหลังไปมา ท่าทางเครียด ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับน้ำมนต์
“คนที่ให้ตามมา มาหรือยัง”
ละไมกินไปด้วย
“อย่าเร่งสิคะ จริงๆคุณยุทธต่างหากที่ต้องเป็นคนตาม”
“มันฉุกละหุก หมอผีที่ฉันรู้จักไม่มีใครว่าง เห็นคุณเมบอกว่าเธอรู้จักหมอผีฝีมือดีอยู่คน ก็เลยให้เธอตามมา”
ทันใด มือถือของละไมดัง เป็นข้อความเข้ามา
“อุ๊บ น่าจะมาแล้ว”
พีระตะโกนเรียกแมนสรวงอยู่ที่หน้าบ้าน
“แมนสรวง...ไอ้ยมทูต อยู่ไหน ฉันต้องการความช่วยเหลือ ถ้านายช่วยฉัน ฉันจะตั้งใจหาร่างของตัวเองให้เจอ ไอ้แมนสรวง”
อยู่ๆมีตุ๊กๆแล่นมาจอดด้านนอกรั้ว พีระได้ยินเสียงเลยมองไป เห็นชายนุ่งขาวห่มขาวโดดลงจากรถมาด้อมๆมองๆส่งๆหน้าบ้าน พีระแปลกใจ...ชายนุ่งขาวห่มขาวกำลังมองเลขบ้านเทียบกับกระดาษในมือ เห็นว่าใช่ที่นัดหมาย
“บ้านภาคภูมิใจบรรหาร หลังนี้แหละ” หมอผีเก๊รีบจ่ายเงินให้กับคนขับตุ๊กๆ “อ่ะๆ”
คนขับตุ๊กๆคือแมนสรวง ยิ้มแย้มรับเงินมา
“พี่ๆ พี่เป็นหมอผีเหรอครับ...บ๊ะ ไม่น่าถาม ชุดอย่างนี้คงไม่ใช่ตำรวจหรอกจริงมั้ย งั้นถ้าพี่เห็นผีที่ไหน พี่ก็รู้เลยดิ งั้นบอกสิว่าผมเป็นคนหรือผี”
“คนสิวะ ถามไรโง่ๆ”
“ให้พี่บอกอีกที ผมเป็นคนหรือผี”
หมอเก๊หันกลับมา พบว่าแมนสรวงอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาวแล้ว ส่วนตัวเองก็ใส่ชุดของแมนสรวงแทน
“เฮ้ย...นี่แก เล่นกลหรือไงวะ”
“รู้ยัง ว่าผม...คนหรือไม่ใช่คน”
หมอผีเก๊กระชากคอเสื้อ
“แกต้องการอะไร”
“ผมแค่อยากอยากรู้ว่าพี่เจ๋งจริงแค่ไหน”
ว่าแล้วแมนสรวงก็หายตัวไปให้เห็นต่อหน้าต่อตา หมอผีเก๊ผงะ ตกใจ ช็อก
“เฮ้ย”
หมอผีเก๊หันขวับจะวิ่งหนี แต่แมนสรวงมายืนขวางรออยู่ จับหน้าหมอผีเก๊ด้วยสองมือ หมอผีเก๊ เห็นใบหน้าแมนสรวงเละเป็นผี น่ากลัว น่าสยอง
“หลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น ตายไปจะต้องตกนรก ชดใช้กรรม ถูกมัดให้นอนเหนือแผ่นเหล็กที่ร้อนแรงด้วยไฟนรก ถูกตีด้วยเหล็กนรกใหญ่โตเท่าลำต้นตาล และถูกเลื่อยนรก เลื่อยให้ขาดเป็นท่อนๆยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์”
หมอผีเก๊ผละออก สติแตก ร้องโวยวาย
“ไม่...ม่าย”
หมอผีเก๊ลนลานวิ่งหนีไป พีระวิ่งออกมาพอดี
“ไอ้ยมทูต”
ประตูเล็กของรั้วก็เปิดออก ละไมโผล่มาตาม
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว อาจารย์ป๋องใช่มั้ย มาๆ”
แมนสรวงยักคิ้วให้พีระ วางท่าหมอผีทันที
“อาจารย์พร้อมจะปราบผีแล้ว”
ละไมพาแมนสรวงเข้าไป พีระอึ้ง
“หมอผี”
เมสินีกำลังร้องไห้ บีบน้ำตา
“เอมี่บอกฉันแล้วว่าผีที่ตามเธออยู่คือพีระ เขาสนิทสนมกับเธอถึงกับคบกันเป็นแฟนด้วย ใช่มั้ย"
น้ำมนต์ลังเล แต่ไม่คิดว่าต้องปิดบังอีก
“เอ่อ...ค่ะ คุณเมก็คงจะทราบทุกอย่างแล้ว”
“เขาอยู่กับเธอหรือเปล่าตอนนี้”
“ก็...อาจจะอยู่ หรือไม่อยู่ก็ได้ เขาไม่ใช่คนไปไหนมาไหนได้สะดวกอยู่แล้ว ทำไมเหรอคะ”
“ฉันอยากขอโทษเขา”
“หือ...” น้ำมนต์ชะงัก
“ฉันเสียใจที่เคยมองนายพีทผิดไป คิดไปเองว่าเขาเป็นโรคจิตชอบมาตามดักเฝ้าหน้าบ้าน แล้วยังหาว่าเขาจ้างคนมาลอบทำร้ายอีก จริงๆแล้วไม่ใช่นายพีทเลย แต่เป็นพวกที่มีปัญหาทางธุรกิจกับฉัน”
เมสินีบีบน้ำตา สะอื้น
“ฉันรู้สึกผิดมาก ฉันอยากขออโหสิกรรมจากเขา”
เมสินียิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล ยิ่งร้องโฮ น้ำมนต์ได้แต่มอง ไม่อยากเชื่อใจ แต่ก็หยิบทิชชู่ส่งให้
“คุณเมอยากขออโหสิกรรมจริงๆเหรอคะ”
อัฐชัย พิมพ์ดาว ลูกโป่งแปลกใจที่ได้เจอหมอผี
“หมอผี”
ยุทธแนะนำให้ทุกคนรู้จัก
“คุณเมให้ตามอาจารย์ป๋องมา เพื่อช่วยสื่อสารกับวิญญาณผีที่จะมาเป็นพิธีกรรายการใหม่น่ะครับ”
“คุณเมสินีคงไม่เชื่อว่าน้ำมนต์สื่อสารกับผีได้จริงๆ คิดว่าเราแหกตาสินะครับ” อัฐชัยไม่พอใจ
“ไม่ใช่เลยค่า คุณเมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย” ละไมรีบแย้ง
“ใช่ครับ” ยุทธสวน
“อ้าว” ละไมหน้าเหวอ
“อย่าว่าแต่คุณเมไม่เชื่อเลย ผมและคนดูทั่วประเทศก็เชื่อได้ยากว่านี่คือผีของจริง ไม่ใช่มายากล เราเลยจำเป็นต้องทดสอบ...พูดตรงๆคงไม่ว่ากันนะครับ ผีของพวกคุณอยู่ไหนล่ะครับ”
แมนสรวงแทรกขึ้น
“ถ้าอยากเจอผี ไปปลดผ้ายันต์ผืนนั้นออกก่อน ถ้าไม่เชื่อจารย์ ก็เชื่อเจ้านายคุณเถอะ”
“หมายความว่าไง” ยุทธชะงัก
เมสินีเดินออกมา พร้อมกับสั่ง น้ำมนต์เดินตามออกมา
“ปลดผ้ายันต์ออก”
“หา”
ยุทธอึ้ง แมนสรวงพูดตรงเผง แม่นจริง น้ำมนต์เห็นหน้าแมนสรวง
“นาย”
แมนสรวงรีบขยิบตาให้ น้ำมนต์นิ่งไป รู้กัน รอดูว่าแมนสรวงจะทำอะไร
พีระที่พยายามชะเง้อมอจากด้านนอก แต่แล้วแปลกใจ เห็นแสงอาคมที่ปกป้องบ้านอยู่ดับวูบไป พีระเอะใจ
“ทำไม...หรือว่า...”
พีระมาที่หน้าประตูกระจก ค่อยๆแตะประตูว่าจะสปาร์คมั้ย ปรากฏไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสัมผัสได้ก็ดีใจ
“ผ้ายันต์ถูกปลดออกแล้ว”
ละไมเอาผ้ายันต์ออกมา แมนสรวงสั่ง
“เอาออกไปทิ้งนอกบ้าน ไป”
เมสินีหันไปดุ
“รีบๆไปสิละไม”
“ค่ะๆ” ละไมรีบออกไป
เมสินีบอกกับน้ำมนต์
“น้ำมนต์ ตอนนี้ผีแฟนของเธออยู่ไหน เข้ามาหรือยัง ฉันจะได้ขออโหสิกรรมกับเขาได้”
แต่อยู่ๆเอมี่เดินเช็ดมือที่เปียก ประมาณว่าเพิ่งออกจากห้องน้ำมา
“นายแมนสรวง”
แมนสรวงผงะ ไม่คิดว่าจะเจอเอมี่ ทุกคนมองแมนสรวง อัฐชัยแปลกใจ
“พี่เอมี่ รู้จักกันเหรอ”
“รู้สิ...ไอ้เด็กเกรียน หัวเป็นเกาลัดอย่างนี้ รู้จักดีเลย นายแต่งชุดนี้ทำไม คิดจะหลอกลวงอะไร”
“นั่น...มันเข้ามาแล้ว”
แมนสรวงตัดบทด้วยการชี้ไปที่อากาศ โวยวายเหมือนว่าพีระเข้ามา เปลี่ยนความสนใจไป
“แก...แกชื่อพีระเหรอ”
“มันอยู่นั่นเหรออาจารย์” เมสินีผวา
“อาจารย์อะไร นายเป็นหมอผีเหรอ เหลวไหลใหญ่แล้ว”
เอมี่พูดมาก แมนสรวงเลยแกล้งทำท่าว่าถูกพีระชกจนกระเด็นเข้าใส่เอมี่
“โอ๊ย”
แมนสรวงทับเอมี่ไปเต็มๆ ล้มไปบนโซฟาด้วยกัน เอมี่รีบผลักออก แมนสรวงแกล้งถูกพีระจับเหวี่ยงไปทางนั้นทีทางนี้ที สร้างความอลหม่าน วุ่นวาย
“ฉันไม่ได้จะมาขัดขวางการทำรายการ แต่ฉันจะมาช่วย คุณเมสินีบอกให้มาช่วยพวกนาย เชื่อกันหน่อยสิ”
แมนสรวงกระเด็นล้มมาที่ประตูหน้าต่าง ซึ่งพีระกำลังเดินก้าวเข้ามาพอดี แมนสรวงกระซิบบอก
“จะไปสำรวจอะไรก็ไปสิเว้ย” แมนสรวงแอคติ้งต่อ ทำท่าว่าถูกลากไป “โอ๊ยๆ แกจะลากฉันไปไหน ช่วยด้วย”
แมนสรวงลากตัวเองออกไปนอกบ้าน
“ปล่อยช้าน”
เมสินีหน้าตื่น
“มันเฮี้ยนมาก ยุทธ ตามไปๆ”
เมสินีกับยุทธวิ่งตามออกไป น้ำมนต์รีบบอก
“พี่เอมี่ ทุกคน ออกไปช่วยพีระเร็ว”
ทุกคนออกไปหมด เหลือแค่น้ำมนต์กับพีระ
“ฉันจะอยู่กันคุณเม...นายรีบไปสำรวจ เผื่อนายจะจำอะไรได้บ้าง”
พีระรีบวิ่งขึ้นไป น้ำมนต์ตามพวกเมสินีไปด้านนอก
พีระวิ่งขึ้นมาชั้นบนของบ้าน พยายามมองมุมนั้นมุมนี้ แต่คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งไปสะดุดตากับรูปภาพรูปหนึ่ง ผงะ ยืนจ้องฉงน แววตาระริก ภาพในดีตแว่บเข้ามาเหมือนสายฟ้าฟาด
ในอดีต ตำแหน่งนั้นเป็นที่ตั้งรูปคู่ของธีระศิลป์และแม่ของพีระ แต่คนงานชายกำลังยกรูปออก แล้วจะเอารูปเดี่ยวเมสินีไปติดแทน พีระวัยหนุ่มพุ่งเข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว คว้ากรอบรูปเมสินีมาเขวี้ยงทิ้ง เมสินีพุ่งออกมาห้าม
“อย่านะ”
พีระผลักจนล้ม แล้วก็โยนกรอบรูปนั้นทิ้งกับพื้น พีระกระทืบทำลายรูป ต่อหน้าเมสินี สีหน้าพีระเกรี้ยวกราดมาก
พีระมีอาการเจ็บที่หัวรุนแรง ยิ่งคิดยิ่งจำอะไรได้ก็ยิ่งเจ็บ แต่เขาไม่หยุด เดินไปเปิดประตูที่ห้องๆหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องของเขาเองในอดีต ก้าวเข้าไปในห้อง มองภาพห้องนั้นเต็มๆตา เห็นกรอบรูปที่มีภาพตัวเองในวัยเด็ก
ในอดีตพีระชกกระจกแตก ชกกำแพงซ้ำๆจนมือแตกเลือดติดกำแพง...พีระคว้าไม้เบสบอลตีกวาดทรัพย์สินบนโต๊ะกระจายด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รุนแรง
พีระเจ็บมากขึ้น เจ็บที่หัว และที่มือมีเลือดไหลออก ราวกับเพิ่งชกกำแพง เขาเดินซวนเซ ถอยออกจากห้องตัวเอง...ภาพต่างๆในอดีตหลั่งไหลมามากขึ้น ปรากฏให้เห็นราวกับเกิดตรงหน้าแล้วอยู่ๆก็มีคนกระเด็นมาคว่ำที่พื้นตรงหน้า พีระหันมอง พบว่าเป็นยุทธในอดีตแล้วพีระก็มองเห็นตัวเองในอดีตกระโดดตามมาคร่อมยุทธ ชกและบีบคอยุทธ จะเอาให้ตาย
“แกตาย”
พีระเห็นเหตุการณ์นั้นยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ถึงกับซวนเซ
“โอ๊ย”
พีระซวนเซถอยหนี แต่กลับถอยไปชนประตูห้องนอนใหญ่ จนมันเปิดเอง พีระมองเข้าไปในห้อง เห็นว่ามีคนนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก พีระก้าวเข้าไปหยุดหน้าเตียง แล้วสองคนนั้นก็โผล่หัวมาจากใต้ผ้าห่ม คนแรกคือเมสินี อีกคนคือยุทธ พีระถึงกับผงะที่ได้พบความจริงอีกอย่าง
“โอ๊ย”
แล้วอยู่ๆพีระในอดีตก็เดินพุ่งเข้ามา กระชากยุทธในอดีตขึ้นมา ชกเปรี้ยง เมสินีกรีดร้องโวยวาย ทั้งสองคนไล่ชกกันออกไปนอกห้อง...พีระปัจจุบันทรุดอยู่ตรงนั้น เจ็บปวดกับอดีต...พีระในอดีตถูกยุทธชกเปรี้ยง
พีระปัจจุบันที่นั่งทรุด อยู่ๆก็มีเลือดออกจมูก
“พอ...”
พีระในอดีตชกยุทธจนกระเด็นคว่ำไป แล้วพีระอดีตก็กระโดดตามมาคร่อมยุทธ ชกและบีบคอจะเอาให้ตาย
“แกตาย”
แต่แล้วเมสินีก็เอากล่องไม้ที่วางแถวนั้นมาถือไว้
“ปล่อยนายยุทธ”
เมสินีฟาดเต็มๆ
พีระปัจจุบันเจ็บราวกับถูกฟาด อยู่ๆที่ศีรษะก็มีเลือดไหลย้อยลงมา
“พอแล้ว...”
พีระในอดีตล้มคว่ำไป ยุทธกลายเป็นฝ่ายขึ้นมาบีบคอพีระบ้าง
พีระปัจจุบันผวาเฮือก ราวกับถูกบีบคอ เส้นเลือดขึ้น คอแดงอัดอั้น เจ็บปวด จนทนไม่ไหว
“พอแล้ว...พอแล้ว...พอแล้ว”
พีระปัจจุบันแหกปากร้องลั่น
แมนสรวงวิ่งพล่านไปทั่วสนามหน้าบ้าน ราวกับว่าถูกพีระจับลากไป ปากก็ตะโกน
“ปล่อยฉันๆ”
น้ำมนต์มาขวางเพื่อนๆตัวเองไว้
“ไม่ต้องตามๆ มันเป็นแผนของนายพีระ”
“แผน...แผนอะไร” อัฐชัยงงๆ
“เหอะน่า แต่ปล่อยคนพวกนั้นเล่นกันไป พวกเราไม่ต้อง”
แมนสรวงวิ่งหนี ยุทธ ละไม เมสินี พยายามวิ่งมาดักต้อน จะตะครุบให้ได้ ราวกับนักรักบี้
“ละไม ดักซ้ายไว้ คุณเม ดักขวา” ยุทธสั่ง
ละไมกับเมสินีตะโกน
“ดักแล้ว”
แมนสรวงถูกล้อม
“แกหนีไม่รอดแน่ ฮ้า มันปล่อยฉันแล้ว มันไปนั่นแล้ว”
“ไหน” เมสินีมองตาม
แมนสรวงชี้ไป
“นั่นๆ ข้างหน้าคุณยุทธ ตะครุบเร็ว”
ยุทธตกใจกระโดดตะครุบ ล้มทับไปทั้งตัว
“ตะครุบอีก”
ละไมตะครุบทับยุทธ เมสินีทับละไมอีกที
“จับไว้ ผมจะจับมันลงหม้อ”
“เร็วๆสิ เร็วๆ” ยุทธรีบบอก
แมนสรวงหลอกล่อพวกเมสินีไป แต่แล้วน้ำมนต์ชะงัก เพราะมองไปที่ตัวบ้าน เห็นพีระเดินหมดแรงโซเซออกมา รีบเข้าไปหา
“พีระ เป็นไงบ้าง”
พีระทรุด คุกเข่า หมดแรง น้ำมนต์อึ้งๆ แมนสรวงหันมาเห็นเช่นกัน เมสินีหันมาถาม
“จับมันลงหม้อหรือยังหมอ”
แมนสรวงเอาผ้ามาปิดฝาหม้อลวกๆ แล้วส่งให้
“ลงแล้ว มันอยู่ในนี้แล้ว อ่ะ”
พวกเมสินีรับหม้อไป ดีใจ พีระหน้าตาเจ็บปวด
บ้านน้ำมนต์ยามค่ำคืน...อัฐชัยกำลังเตรียมกล้องสำหรับถ่ายรายการ ลูกโป่งกำลังแต่งหน้าให้น้ำมนต์ พิมพ์ดาวทำผมให้น้ำมนต์ เอมี่เข้ามาเร่ง
“เร่งมือหน่อย...สี่ทุ่มแล้ว ต้องไปถ่ายให้ทันเที่ยงคืนนะ เพราะเป็นช่วงที่ผีจะเฮี้ยนที่สุด”
“อย่ากดดันสิคะ ตื่นเต้นแล้วจะแต่งหน้าไม่สวยนะคะ” ลูกโป่งถอนใจ
น้ำมนต์พูดขึ้น
“พี่เอมี่ ทุกคน...ต่อไป ห้ามบอกเรื่องเกี่ยวกับพีระให้คุณเมสินีหรือใครๆรู้เด็ดขาดนะ รู้กันเองแค่เฉพาะพวกเราก็พอ”
“ทำไมล่ะ” พิมพ์ดาวแปลกใจ
“เพื่อความปลอดภัยของพีระ...มีคนคิดไม่ดีกับพีระอยู่”
ลูกโป่งหน้าตื่น
“หา...ใคร ถ้าใครจะมาทำร้ายคุณผีของฉันต้องข้ามศพแฟนคลับผีอย่างฉันไปก่อน”
เอมี่มองน้ำมนต์
“เธอคงไม่ได้หมายถึงคุณเมสินีใช่มั้ย เพราะพี่เคยบอกเขาไปว่าพีระเป็นแฟนกับเธอ แล้วที่พี่ขายรายการใหม่...พี่ก็บอกเขาว่า จะเอาพีระมาเป็นพิธีกร”
“อะไรบอกไปแล้วก็ช่างค่ะ แต่หลังจากนี้ อย่าบอกอีกนะคะ”
“คิดมากเองเปล่า คุณเมสินีใจดีจะตาย ขึ้นค่าตัวให้ ให้เราทำรายการใหม่ แล้วยังให้สปอนเวอร์เราทำละครอีก” อัฐชัยแทรกขึ้น
“ถ้างั้นทำไมวันนี้คุณเมถึงนัดพวกเราฉุกละหุกแล้วยังแอบนัดหมอผีมาด้วย” น้ำมนต์แย้ง
ทุกคนอึ้งๆ
หม้อดินเผาปิดด้วยผ้าเก่าๆวางอยู่ เมสินีหัวเราะ
“หึๆ ฮ่าๆ นายพีท...ได้ยินเสียงฉันมั้ย...ยะฮู้”
เมสินีสะใจที่ได้หม้อขังวิญญาณนายพีท ละไมเชื่อไปด้วย ในขณะที่ยุทธยังงงๆ ไม่อยากเชื่อ
“วิญญาณคุณพีทอยู่ในหม้อจริงๆเหรอครับ”
ละไมยืนยัน
“จริงสิคะ หมอผีที่ละไมติดต่อมาในเนตเขาว่ากันว่าฝีมือดีที่สุดเลยนะคะ ไม่มีพลาดแน่นอน”
เมสินีเคาะหม้อ
“ก๊อกๆ ลูกเลี้ยงจ๋า ได้ยินเสียงแม่เลี้ยงม้าย” เมสินีเงี่ยหูฟัง “ทำไมเงียบ”
“สงสัยจะถูกพลังอาคมสะกดไว้จนหมดฤทธิ์แล้วมั้งคะ”
“งั้นฟังให้ดีนะ...ถ้าอยากเป็นอิสระ ได้ไปผุดไปเกิด บอกฉันมาว่าศพของแกอยู่ที่ไหน ฉันให้เวลาแกคิดสองวัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะเอาแกไปถ่วงน้ำ ฮ่าๆ”
เมสินีหัวเราะ ละไมร่วมหัวเราะไปด้วย แต่ยุทธเกาหัวงงๆ ไม่อยากเชื่อ
เอมี่จำได้ว่าหมอผีที่ว่าคือแมนสรวง
“หมอผีที่คุณเมนัดมาคือไอ้เด็กหัวเกาลัดที่ชื่อแมนสรวงน่ะเหรอ มันเป็นหมอผีเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ...คุณเมนัดหมอผีอีกคนมา แต่คุณแมนสรวงมาขับไล่หมอผีนั้นไป แล้วสวมรอยมาเป็นหมอผีซะเอง เพื่อหลอกคุณเมอีกที”
“อ้าว ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น เขาเกี่ยวอะไรกับคุณผีของฉันด้วย” ลูกโป่งงงๆ
“เขามีหน้าที่ช่วยนายพีระ”
“ผู้ช่วย งั้นเขาก็เห็นผีน่ะสิ” พิมพ์ดาวชะงัก
“อื้อ” น้ำมนต์พยักหน้า
“คนเห็นผีเหรอ ฉันว่าอีตานี่น่าจะเป็นผีเองมากกว่า รู้ไปซะทุกอย่าง โผล่หน้าไปได้ซะทุกที่ที่อยากไป”เอมี่อึ้งๆ
“พี่เอมี่ชอบเขาหรือเปล่าคะ” น้ำมนต์ถามตรงๆ
“หา” ทุกคนตาโต
น้ำมนต์มองยิ้มๆ
“เขามาจีบพี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“เฮ้ย”
ทุกคนตะลึง หันมาจ้องเอมี่ รอคำตอบ ยิ้มๆแซวๆ เอมี่อึกอัก
“บ้า จีบเจิบอะไร ไม่มี๊...”
ลูกโป่งส่ายหน้า
“ตายๆ พี่เอมี่จะกินเด็กเหรอ”
เอมี่พยายามจะปฏิเสธแต่พิมพ์ดาวกับลูกโป่งแซวเฮฮาว่าเอมี่จะกินเด็ก น้ำมนต์ขำๆไปด้วย
“ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
น้ำมนต์แยกไป อัฐชัยมองตามน้ำมนต์ไป
พีระนั่งเครียดอยู่คนเดียว ครุ่นคิดถึงความทรงจำที่เพิ่งเกิดขึ้น สับสนว่าตัวเองเป็นยังไงกันแน่ น้ำมนต์เดินถือชุดที่จะต้องไปเปลี่ยนเข้ามานั่งข้างๆ
“มีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย”
“น้ำมนต์...”
“ตั้งแต่ออกจากบ้านเมสินีมา นายก็เอาแต่นั่งบื้อใบ้ คิ้วขมวด หน้าผากย่น นายไปรู้ไปเห็นเรื่องราวในอดีตตอนที่มีชีวิตอยู่มาใช่มั้ย อดีตของตัวนายเองมันน่าเครียดขนาดนี้เลยเหรอ เล่าให้ฉันฟังได้นะ”
“ผม...ผมไม่รู้...ว่าผมเป็นคนยังไงกันแน่”
“นายเห็นอะไร”
พีระยิ่งเล่า ยิ่งกลัวตัวเอง ยิ่งสติแตก
“ผมเห็นเป็นช่วงๆ แต่ทุกเรื่องที่เห็น ผม ผมดูเป็นคนเกรี้ยวกราด โมโหร้าย ควบคุมตัวเองไม่ได้ สีหน้ากับแววตาของผม มันน่ากลัว อย่างกับว่า ผมสามารถฆ่าคนด้วยมือเปล่าๆได้ ผมอาจจะไม่ใช่คนดี ผมอาจเคยฆ่าคนตายมาแล้วด้วยซ้ำ บางที เพราะผมพยายามจะฆ่าเขา พวกเขาเลยต้องป้องกันตัวเอง แล้วก็ทำให้ผมตาย”
น้ำมนต์พยายามจะปลอบ
“ใจเย็นๆก่อน”
“ผม...อาจสมควรตายแล้วก็ได้”
พีระสติแตก น้ำตาไหล เครียด น้ำมนต์คว้าใบหน้าพีระด้วยสองมือ เรียกให้มีสติ
“พีระ..หยุด มองตาฉัน ตั้งสติหน่อยพีระ”
พีระกอดน้ำมนต์ ร้องไห้ กลัว น้ำมนต์เครียดไปด้วย
อัฐชัยเดินตามหาน้ำมนต์ แล้วชะงัก เพราะเห็นน้ำมนต์นั่งคุยอยู่คนเดียวที่ด้านหนึ่ง อัฐชัยหยุดฟัง พีระสงบลงแล้ว น้ำมนต์พยายามปลอบ
“มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นที่นายคิดก็ได้ ภาพที่นายเห็น มันไม่ได้ประติดประต่อกัน เป็นแค่ภาพเสี้ยวเดียวของเหตุการณ์ นายสรุปทุกอย่างจากภาพแค่นั้นไม่ได้ บางที ถ้านายจำทุกอย่างได้ มันอาจมีเหตุและผลอื่นที่ทำให้นายต้องโมโหเกรี้ยวกราดอย่างนั้นก็ได้”
“อย่าพยายามพูดให้ผมมองในแง่ดีเลย”
“แล้วถ้ามองในแง่ร้าย มันทำให้นายไปต่อได้มั้ยล่ะ ถ้าเอาแต่คิดร้าย คิดลบ แล้วชีวิตไปต่อไม่ได้ จะคิดทำไม”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง”
“ยอมรับมัน ไม่ว่าความทรงจำจะร้ายหรือจะดี มันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ยอมรับและใช้มันเป็นบทเรียน เพื่อเดินต่อไปข้างหน้าให้ถูกต้องกว่าที่ผ่านๆมา ถ้านายไม่อยากเป็นอย่างภาพที่นายเห็น นายก็ต้องให้โอกาสตัวเองได้กลับตัวแก้ไขอีกครั้ง”
พีระชื่นใจ จับมือ
“ขอบคุณนะน้ำมนต์ รู้มั้ยว่าที่ผมเครียดทั้งหมดเนี่ย เพราะผมกลัวว่าคุณจะรังเกียจผม ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ”
“หือ สบายใจอะไรไม่ทราบ”
“สบายใจว่าคุณเป็นคนดี คุณจะให้โอกาสผม”
น้ำมนต์แซวเล่น
“บอกเมื่อไหร่ว่าจะให้ ไม่มีทาง ผีกะล่อนอย่างนาย ไปหาโอกาสที่อื่นเถอะ”
“ถ้าไม่ให้ ผมไม่ไปถ่ายรายการกับคุณนะ”
น้ำมนต์แซวเล่นกับพีระ หัวเราะกันสนุกสนาน อัฐชัยมองน้ำมนต์ โมโหมาก จะไม่ยอมให้น้ำมนต์รักกับผี
“ฉันจะไม่ให้เธอรักกับผี ไม่ยอม ต้องขัดขวาง ฉันต้องเขี่ยผีร้ายออกจากชีวิตน้ำมนต์ให้ได้”
จบตอนที่ 7