By Lady Manager
“ย้อนไป 5 ปีที่แล้ว โดยเฉลี่ยคนหนึ่งคนจะมีกางเกงยีนส์อยู่ในตู้เสื้อผ้าแค่ 4-6 ตัว แต่ปัจจุบันมี 8-10 ตัว”
คุณวราวุธ มัทนพจนารถ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด กูรูยีนส์ตัวพ่อผู้บริหารแบรนด์ Lee Jeans ของประเทศไทย ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงยีนส์มานับสิบปี กล่าว
“ยุค 1990 สมัยนั้นคนยังไม่ใส่กางเกงยีนส์ทำงาน แต่ปัจจุบันเราเห็นชัดเจนเลยว่า สามารถใส่กางเกงยีนส์ทำงานได้หลายองค์กร
สมัยก่อนต้องใส่กางเกงสแล็คมาทำงาน ไม่มีสิทธิ์ได้ใส่ยีนส์ เพราะดูไม่สุภาพ
จะใส่ได้แค่เสาร์-อาทิตย์ อย่างเดียว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตลาดกางเกงยีนส์ถึงไม่โตมากในขณะนั้น
จากนั้นอีก 5 ปี ประมาณปี 1995 เริ่มเปลี่ยน มีการใส่ยีนส์มาทำงานได้ ที่เห็นชัดที่สุด จะเป็นองค์กรเกี่ยวกับวงการโฆษณาเอเจนซี เริ่มไม่ผูกไทด์ มีแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว กางเกงยีนส์
ทัศนคติของผู้บริหารก็เริ่มยอมรับมากขึ้น ว่าการแต่งตัวแบบนี้ มันทะมัดทะแมง สะดวกสบาย มีความคล่องตัวสูง
การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ทำให้มีการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จากวงการโฆษณา เอเจนซี ออแกไนเซอร์ การใส่กางเกงยีนส์ก็ค่อยๆลามมาที่บริษัทอื่นๆ”
คุณวราวุธ ยังเล่าต่อถึงต้นกำเนิดยีนส์ด้วยว่า ไม่ได้มีขึ้นมาเพื่อตอบสนองแฟชั่นแต่เพื่อตอบโจทย์คนใช้แรงงานโดยเฉพาะ
จุดเริ่มต้นยีนส์ เพื่อคนใช้แรงงาน เน้นผ้าทนทาน หนา ใส่ไม่ขาด!
“125 ปีที่ Lee เกิดขึ้นที่อเมริกา ผลิตยีนส์ออกมาให้สำหรับคนเหมือง คนทำทางรถไฟ ตากแดดทั้งวัน โดนน้ำโดนฝน เพราะเสื้อผ้าแบบนี้มันหนามาก ใส่เท่าไหร่ก็ไม่ขาด ใช้ใส่คลุมใส่ทับเพื่อความปลอดภัยของร่างกาย เพราะเขาใช้แรงงานหนักมาก เขาอยู่กับดิน หิน ทราย จำเป็นต้องใช้ผ้าที่หนาๆ ต้องการความทนทานเป็นหลัก”
ในโอกาสครบ 125 ปี Lee จึงผลิตกางเกงออริจินัลดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 125 ปีเป๊ะ แพทเทิร์นแรกของกางเกงยีนส์จะ เป็นจั๊มสูท (Jumpsuit) หรือเอี๊ยม!
“เพราะตามหลักจริงๆ ก่อนจะใส่เอี๊ยมนี้เขาจะใส่เสื้อผ้าไว้ข้างในชุดหนึ่ง แล้วใส่เอี๊ยมทับเพื่อปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจึงเป็นเหตุผลที่ เขาทำให้ตัวใหญ่ และขากว้างมาก เพราะการทำงานเกี่ยวกับเหมือง หรือทางรถไฟ โอกาสที่สะเก็ดหินกระเด็นใส่ ของแหลมคมกระเด็นใส่ หรือหกล้ม จะมีโอกาสสูงมาก
เอี๊ยมนี้คือตัวคลุม เพราะผ้ามันจะหนามาก เป็นผ้าแคนวาส (Canvas) เหมือนผ้าคลุมรถสิบล้อ แต่เป็นสีเดนิม สมัยก่อนทำความหนาแบบผ้าคลุมรถสิบล้อเลย”
“นั่นคือจุดเริ่มต้นของกางเกงยีนส์คือเป็นทรงเอี๊ยมมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ยีนส์ใดก็ตาม เพราะไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่เอาไว้ใช้งาน เพื่อความคงทน ปลอดภัยของร่างกาย จนปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นแฟชั่น ต่างจากสมัยก่อนมากที่เน้นความคงทน
อย่างสมัยก่อนจะมีทรงเดียวคือทรงกระบอกใหญ่ กว้างมาก ถ้าสังเกตจะมีรูไว้ล้วงอยู่ข้างสะโพกเพื่อเอาไว้แก้คัน สามารถล้วงเข้าไปเกา ล้วงเข้าไปหยิบของข้างในเสื้อผ้าด้านในอีกที และจะมีช่องไว้แขวนเกี่ยวอุปกรณ์การทำงาน เช่น ค้อน หรือช่องใส่ไขควง”
อื้อหือ!จะเห็นได้ว่า เน้นการใช้งานอย่างสมบุกสมบันสุดๆ
กูรูยีนส์ บอกด้วยว่า ปัจจุบันกางเกงยีนส์ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็ตาม ขาจะแคบลง 3 นิ้ว ไม่ได้กว้างมากแบบสมัยก่อนแล้วเพราะสมัยนี้เน้นแฟชั่น จะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเพียงทรงกระบอก แต่ทรงเดฟ สกินนี่ แฟชั่นมาเต็ม!
กางเกงยีนส์คือซิกเนเจอร์ บอกเล่าความเฉพาะตัว
“คนสมัยก่อนเวลาเขาใส่ยีนส์เขาไม่ได้มองหรอกว่ามันเป็นแฟชั่น เพราะเขาเน้นการใช้งาน แต่คนปัจจุบันเขาต้องการอะไรที่เป็นความแตกต่างมากขึ้น เพราะสมัยก่อนไม่มีการฟอกย้อมแบบสมัยนี้
เขาก็ใส่ไปเรื่อยๆจนเป็นรอยตามสรีระของตัวเอง เพราะใส่ทุกวันทำงาน แต่คนสมัยก่อนก็ไม่ได้คิดหรอกว่าริ้วรอย หรือรอยขาดจากการใช้งานนั้นมันเป็นแฟชั่น
สังเกตสิ ว่ากางเกงยีนส์ทุกตัวที่ออกมาล็อตเดียวกันมันจะต้องฟอกเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะฟอกด้วยวิธีใดก็ตาม จะใช้เลเซอร์ยิง ก็จะใช้ฟอกเหมือนกันหมดทุกรุ่น
แต่เด็กวัยรุ่นปัจจุบันต้องการรอยฟอกที่ไม่เหมือนคนอื่น สรีระแต่ละคนไม่เท่ากัน เข่าของแต่ละคนสูงไม่เท่ากัน สะโพกก็ไม่เท่ากัน
ฉะนั้นพอใส่ไปแล้วนั่ง ฉะนั้นรอยยับ รอยบิด หรือรอยที่ถูกใช้งานบ่อยๆตามกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดรอยด่างต่างกันเปรียบเหมือนรอยฟอกประจำตัว ซึ่งเป็น Signature ของแต่ละคนไป
นั่นจึงที่มาของการคนเล่นยีนส์ส่วนใหญ่ไม่ยอมซักกางเกงยีนส์ เพราะซักเมื่อไหร่รอยจะหาย แต่ใช้วิธีตากแดดฆ่าเชื้อแทน แดดจะทำไม่เหม็น ใส่ 6 เดือน 1 ปี ก็ไม่ซัก แข็งจนตั้งได้เลย”
->สารพัดกรรมวิธีทำยีนส์ให้เท่ มีเพียงหนึ่งเดียว!
คุณวราวุธ กูรูยีนส์ ยังบอกถึงกรรมวิธีเคล็ดลับในการทำยีนส์ให้มีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร มีตัวเดียวในโลกด้วย
ลงน้ำทะเล-ทรายขัด -> เช่น มาริโอ เมาเร่อ เขามีวิธีการทำให้เป็นรอยเฉพาะตัว เขาจะใส่กางเกงยีนส์ที่ไม่ได้ฟอกไปที่ชายทะเล กระโดดลงน้ำทะเล เพราะน้ำทะเลคือเกลือ และประโยชน์ของน้ำทะเลคือทำให้สีอยู่คงทน
จากนั้นมาริโอเขาจะนั่งอยู่ที่ชายหาด และนำทรายมาขัดในจุดที่ตนเองชอบ อยากได้หน้าขาซีด ก็เอาทรายตรงนั้นมาขัดหน้าขา อยากได้ตรงไหนซีดอีกก็นำมาขัด นั่นคือสิ่งที่มาริโอทำ เขาจะมียีนส์ที่เป็นลายของตัวเอง
ใส่สิ่งของนูนลงในกระเป๋า -> หรืออย่างที่ผมทำคือ ซื้อกางเกงยีนส์มาถ้าให้ดีควรเป็นสีเข้ม ที่ยังผ่านการฟอกอะไร แล้วลองไปใส่เหรียญบาทเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังสัก 2 อาทิตย์ แล้วมาดูจะเห็นว่ามีรอยกลมๆอยู่ด้านหลังกางเกง สร้างความเป็นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ว่ามีรอยกลมๆด้านหลัง ไม่มีใครมีเหมือนเราแม้จะรุ่นเดียวกัน
เพราะมันมีรอยเหรียญบาทอยู่ที่ก้นเราคนเดียว หรือใส่กระเป๋าสตางค์ นามบัตร ไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตลอด มันจะเป็นรอยขอบสี่เหลี่ยมเลย สวยมากเลย ที่สำคัญอย่าไปซักนะครับ จะทำให้รอยมันจาง
แปรงลวด-กระดาษทราย-> ส่วนบางคนจะใช้แปรงลวดขัดเฉพาะจุด แต่ถ้าให้ดีกระดาษทรายง่ายสุด คือการใช้แปรงลวดควรใช้ในกรณีที่เราจะซักกางเกงยีนส์แล้วเราต้องการให้จุดไหนซีดกว่าปกติ
แต่ง่ายกว่านั้น คือ กระดาษทรายเบอร์ 0 ขัดตรงไหนก็ได้ที่คุณอยากได้ อยากจะให้ซีดก็ขัดตรงนั้น อยากจะให้ขาดก็ขัดจนกว่าจะขาด
แช่น้ำชา-> ถ้าอยากได้สีสนิม เหลืองๆทำอย่างไรล่ะ ไม่มีปัญหาเลย เอาน้ำชาลิปตัน หรือชาอะไรก็ได้ ที่สีออกแดงๆเหลืองๆ ผสมกับน้ำในถัง จากนั้นนำกางเกงยีนส์ไปแช่ในน้ำชาที่ผสมไว้ให้ท่วม กางเกงยีนส์เราจะกลายเป็นสีสนิมทันทีเลย แถมเป็นวิธีธรรมชาติด้วยไม่ได้ใช้สารเคมี กางเกงยีนส์เราก็จะดูเก่าและเท่ขึ้นมาทันที
ใบมีดโกน->เป็นวิธีที่ทำให้ขาดดูเซอร์ๆ ค่อยๆกรีดเบาๆ ประมาณ 3-4 เส้น พอกรีดจนขาด ให้นำกระดาษทรายมาขัดอีกรอบผ้าบริเวณที่กรีดและขาดจะลุ่ย และฟู
รักยีนส์ต้องไม่ซัก! ตากแดดฆ่าเชื้อโรคกันเหม็นอย่างเดียว
“ถ้าคุณไม่ซักกางเกงยีนส์นะมันจะสวยมากๆ แต่บางคนไปลุยฝนลุยโคลนนั่นก็ต้องจำยอมต้องซัก แต่โดยธรรมชาติถ้าไม่เลอะมากจริงๆ แค่ตากแดดก็พอ ถ้าอยากได้กางเกงยีนส์ที่ไม่เหมือนใครในโลกแนะนำว่าอย่าซัก ให้ตากแดดเพราะช่วยเรื่องกลิ่นได้มาก แดดฆ่าเชื้อโรคได้”
แต่ถ้าจำเป็นต้องซักจริงๆ เพราะไปบุกผ่าฝ่าดงลุยโคลนลุยฝามา แต่ไม่อยากให้สีซีด คุณวราวุธ แนะนำว่าให้แช่น้ำเกลือ
“ซื้อมาปุ้บให้แช่น้ำเกลือก่อนเลย เพราะจะช่วยในเรื่องของสีคงทน สีไม่ตก ธรรมชาติของกางเกงยีนส์ทุกตัวที่ไม่ได้ผ่านการฟอกมา สีจะต้องตกทุกตัว เพราะกางเกงยีนส์ทำมาจากคอตตอน 100% คอตตอนก็คือใยฝ้าย สีดั้งเดิมของฝ้ายคือสีขาว จากนั้นเขาเอาใยฝ้ายสีขาวมาปั่นมาทอให้เป็นผ้าเป็นชิ้นมาตัดเป็นกางเกงยีนส์
ก่อนหน้านั้นผ้าพวกนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์แล้วนำมาย้อมด้วยสีของเดนิม คือสียีนส์ คือจะออกสีน้ำเงิน ดังนั้นซักน้ำครั้งแรกสีตกแน่นอน ไม่ว่ายี่ห้ออะไรก็ตาม ยกเว้นกางเกงที่ผ่านการฟอกแล้วสีจะตกน้อยลงเพราะผ่านการถูกกัดสีไปแล้ว ดังนั้นหากต้องการให้สีตกน้อยกว่านั้น เราชอบสีนั้น แช่น้ำเกลือสีจะอยู่ได้นาน และควรกลับด้านตาก”
และกรณีอยากจะรีดกางเกงยีนส์ โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องเนี้ยบไว้ก่อน กูรูยีนส์แนะนำด้วยว่า
“เวลารีดอย่ารีดด้านหน้า ต้องกลับด้านรีดด้านใน เพราะความร้อนทำให้ใยผ้าฝ้ายตายมันจะทำให้ขึ้นเงา ควรกลับด้านไปรีดด้านในจะดีกว่า
แต่จริงๆแล้วไม่แนะนำให้รีดเลย จะดูตลกมาก เพราะเขาไม่รีดยีนส์กันหรอก ต้องใส่เซอร์ๆยับนิดๆ ใส่ไปสักพักกางเกงมันก็จะตึงไปตามสรีระเราเอง แต่ส่วนมากผู้หญิงรีด โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ใส่สกินนี่ ใส่พวกทรงกระบอกมักจะเห็นรอยยับชัดเจน เขาก็จะรีด
ส่วนการเก็บกางเกงยีนส์ก็ไม่ควรเก็บไว้ในที่ร้อนเพราะผ้ามันจะกรอบ ดึงแรงๆจะขาดออกมาเลย เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าไม่ดีนะ เพราะเป็นที่อับ ลมไม่ผ่าน เป็นการทำลายให้เสื่อมสภาพเร็ว หรือเป็นตู้เสื้อผ้าที่มีรู มีช่องให้ลมผ่านได้ ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง มีลมพัดผ่าน”
ก้นห้อยย้อยหลีกหนีสกินนี่เอวต่ำ แนะทรงบอยเฟรนด์พรางสะโพกบาน ขาใหญ่
“ถ้าผู้ใหญ่ที่อายุ 30 ปีขึ้นไปนะ จะชอบยีนส์สีเข้ม แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 30 ปีลงมาก็จะนิยมสีซีด จะดูเซอร์ๆเก่าๆ” คุณวราวุธ กล่าวถึงรสนิยมการเลือกกางเกงยีนส์ของคนแต่ละช่วงวัย
จะเห็นได้ว่า กางเกงยีนส์สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ใส่แล้วจะดูทะมัดทะแมง ทุกคนควรมีไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่ควรจะเลือกว่า ทรงไหนเหมาะกับตัวเรามากที่สุด
“ไม่ได้บอกว่าคนรูปร่างไม่ดีห้ามใส่นะ จริงๆแล้วกางเกงยีนส์มีหลายทรงมาก มีความหลากหลาย ต้องเลือกให้เหมาะกับสรีระของตัวเองแค่นั้นเอง
เช่น ถ้าคนที่หุ่นดี ใส่ทรงสกินนี่ได้ เพราะสกินนี่หากคนที่หุ่นไม่ดีจริง ต้นขาใหญ่ไม่กระชับไม่ควรใส่เพราะจะยิ่งไปเน้น สะโพกบานออกมา
แต่หากมีความรู้สึกว่าไม่คล่องตัว แนะนำทรง Boyfriend กำลังมาแรง จะทำให้ดูทะมัดทะแมง ดูเป็นแฟชั่นมากขึ้น จะเป็นกางเกงยีนส์ทรงหลวมๆ ใส่แล้วพับขานิดๆจะเก๋มาก
ดังนั้นผมแนะนำเลย คนที่มีปัญหาเรื่องสะโพก หรือต้นขา ใส่ Boyfriend เลยครับ มันจะพรางได้หมดทั้งตัว จะทำให้ดูสูง และดูไม่อ้วน
ส่วนกางเกงเอวต่ำตอนนี้เอาท์ เพราะเอวสูงกำลังมา แฟชั่นมันไม่หนีไปไหนหรอกจะวนเวียนอยู่แค่นี้ เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวก็มาฮิตอีก กลายเป็นเรื่องที่ตลกว่า ของเก่าจะดูมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อแฟชั่นมันกลับมา ฉะนั้นกางเกงยีนส์ไม่มีวันเอาท์ไม่มีวันตาย
สำหรับสาวก้นห้อย แนะนำให้ใส่กางเกงยีนส์ที่ไม่ฟอก สีเข้ม เพราะกางเกงยีนส์สีเข้มจะมีแรงดึงตัวของผ้าสูงมาก จะทำให้ดันก้นขึ้นมาได้ และถ้าให้ดีควรใส่เอวสูง กางเกงเอวต่ำไม่ควรใส่
สังเกตเวลาใส่มันจะไหลลง แล้วนิสัยผู้หญิงไม่ยอมใส่เข็มขัด จึงไม่มีตัวยึดทำให้ไหลลงมาที่สะโพก ก้นจะยิ่งย้อยหนักกว่าเดิม
กางเกง 1 ตัวใส่ได้ตั้งหลายแบบและสามารถเปลี่ยนบุคลิกคนได้ถึง 4-5 แบบเลยนะ พับขามาถึงหน้าแข้ง พับขึ้นมา 2 ทบ ใส่ปล่อยยาวก็ได้ ใส่กรอมเท้าก็ได้”
ส่วนเรื่องรองเท้าก็สำคัญ กูรูยีนส์ตัวพ่อ แนะนำเลยว่า
สำหรับสาวเอเชียรูปร่างไม่สูงมากหากอยากใส่กางเกงยีนส์ให้ดูดี รองเท้าส้นสูง จะทำให้ดูผอมและเพรียว ขึ้น ซึ่ง จะดูสวยมาก” คุณวราวุธ แนะนำการใส่ยีนส์ของผู้หญิงให้ดูเก๋และสวยงามปิดท้าย
->เก็บตกบรรยากาศเปิดตัว Lee by Nigo
เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 125 ปี และเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ Lee ได้จับมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังจากแดนปลาดิบ NIGO หรือที่รู้จักกันดีในนามดีไซเนอร์แห่งแบรนด์ A BATHING APE หรือ BAPE อันโด่งดังในวงการสตรีทแวร์
ออกแบบ DENIM CAPSULE COLLECTION MADE IN JAPAN ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นพรีเมี่ยมวินเทจยีนส์ มีให้เลือก 3 แบบ ออกแบบอย่างพิถีพิถันใส่รายละเอียดความเป็นวินเทจแบบจัดเต็มทุก
เรามีภาพบรรยากาศการเปิดตัวที่ Lee Shop Central World ชั้น 2 มาฝากกันกรุบกริบค่ะ
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
“ย้อนไป 5 ปีที่แล้ว โดยเฉลี่ยคนหนึ่งคนจะมีกางเกงยีนส์อยู่ในตู้เสื้อผ้าแค่ 4-6 ตัว แต่ปัจจุบันมี 8-10 ตัว”
คุณวราวุธ มัทนพจนารถ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด กูรูยีนส์ตัวพ่อผู้บริหารแบรนด์ Lee Jeans ของประเทศไทย ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงยีนส์มานับสิบปี กล่าว
“ยุค 1990 สมัยนั้นคนยังไม่ใส่กางเกงยีนส์ทำงาน แต่ปัจจุบันเราเห็นชัดเจนเลยว่า สามารถใส่กางเกงยีนส์ทำงานได้หลายองค์กร
สมัยก่อนต้องใส่กางเกงสแล็คมาทำงาน ไม่มีสิทธิ์ได้ใส่ยีนส์ เพราะดูไม่สุภาพ
จะใส่ได้แค่เสาร์-อาทิตย์ อย่างเดียว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตลาดกางเกงยีนส์ถึงไม่โตมากในขณะนั้น
จากนั้นอีก 5 ปี ประมาณปี 1995 เริ่มเปลี่ยน มีการใส่ยีนส์มาทำงานได้ ที่เห็นชัดที่สุด จะเป็นองค์กรเกี่ยวกับวงการโฆษณาเอเจนซี เริ่มไม่ผูกไทด์ มีแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว กางเกงยีนส์
ทัศนคติของผู้บริหารก็เริ่มยอมรับมากขึ้น ว่าการแต่งตัวแบบนี้ มันทะมัดทะแมง สะดวกสบาย มีความคล่องตัวสูง
การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ทำให้มีการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จากวงการโฆษณา เอเจนซี ออแกไนเซอร์ การใส่กางเกงยีนส์ก็ค่อยๆลามมาที่บริษัทอื่นๆ”
คุณวราวุธ ยังเล่าต่อถึงต้นกำเนิดยีนส์ด้วยว่า ไม่ได้มีขึ้นมาเพื่อตอบสนองแฟชั่นแต่เพื่อตอบโจทย์คนใช้แรงงานโดยเฉพาะ
จุดเริ่มต้นยีนส์ เพื่อคนใช้แรงงาน เน้นผ้าทนทาน หนา ใส่ไม่ขาด!
“125 ปีที่ Lee เกิดขึ้นที่อเมริกา ผลิตยีนส์ออกมาให้สำหรับคนเหมือง คนทำทางรถไฟ ตากแดดทั้งวัน โดนน้ำโดนฝน เพราะเสื้อผ้าแบบนี้มันหนามาก ใส่เท่าไหร่ก็ไม่ขาด ใช้ใส่คลุมใส่ทับเพื่อความปลอดภัยของร่างกาย เพราะเขาใช้แรงงานหนักมาก เขาอยู่กับดิน หิน ทราย จำเป็นต้องใช้ผ้าที่หนาๆ ต้องการความทนทานเป็นหลัก”
ในโอกาสครบ 125 ปี Lee จึงผลิตกางเกงออริจินัลดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 125 ปีเป๊ะ แพทเทิร์นแรกของกางเกงยีนส์จะ เป็นจั๊มสูท (Jumpsuit) หรือเอี๊ยม!
“เพราะตามหลักจริงๆ ก่อนจะใส่เอี๊ยมนี้เขาจะใส่เสื้อผ้าไว้ข้างในชุดหนึ่ง แล้วใส่เอี๊ยมทับเพื่อปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจึงเป็นเหตุผลที่ เขาทำให้ตัวใหญ่ และขากว้างมาก เพราะการทำงานเกี่ยวกับเหมือง หรือทางรถไฟ โอกาสที่สะเก็ดหินกระเด็นใส่ ของแหลมคมกระเด็นใส่ หรือหกล้ม จะมีโอกาสสูงมาก
เอี๊ยมนี้คือตัวคลุม เพราะผ้ามันจะหนามาก เป็นผ้าแคนวาส (Canvas) เหมือนผ้าคลุมรถสิบล้อ แต่เป็นสีเดนิม สมัยก่อนทำความหนาแบบผ้าคลุมรถสิบล้อเลย”
“นั่นคือจุดเริ่มต้นของกางเกงยีนส์คือเป็นทรงเอี๊ยมมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ยีนส์ใดก็ตาม เพราะไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่เอาไว้ใช้งาน เพื่อความคงทน ปลอดภัยของร่างกาย จนปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นแฟชั่น ต่างจากสมัยก่อนมากที่เน้นความคงทน
อย่างสมัยก่อนจะมีทรงเดียวคือทรงกระบอกใหญ่ กว้างมาก ถ้าสังเกตจะมีรูไว้ล้วงอยู่ข้างสะโพกเพื่อเอาไว้แก้คัน สามารถล้วงเข้าไปเกา ล้วงเข้าไปหยิบของข้างในเสื้อผ้าด้านในอีกที และจะมีช่องไว้แขวนเกี่ยวอุปกรณ์การทำงาน เช่น ค้อน หรือช่องใส่ไขควง”
อื้อหือ!จะเห็นได้ว่า เน้นการใช้งานอย่างสมบุกสมบันสุดๆ
กูรูยีนส์ บอกด้วยว่า ปัจจุบันกางเกงยีนส์ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็ตาม ขาจะแคบลง 3 นิ้ว ไม่ได้กว้างมากแบบสมัยก่อนแล้วเพราะสมัยนี้เน้นแฟชั่น จะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเพียงทรงกระบอก แต่ทรงเดฟ สกินนี่ แฟชั่นมาเต็ม!
กางเกงยีนส์คือซิกเนเจอร์ บอกเล่าความเฉพาะตัว
“คนสมัยก่อนเวลาเขาใส่ยีนส์เขาไม่ได้มองหรอกว่ามันเป็นแฟชั่น เพราะเขาเน้นการใช้งาน แต่คนปัจจุบันเขาต้องการอะไรที่เป็นความแตกต่างมากขึ้น เพราะสมัยก่อนไม่มีการฟอกย้อมแบบสมัยนี้
เขาก็ใส่ไปเรื่อยๆจนเป็นรอยตามสรีระของตัวเอง เพราะใส่ทุกวันทำงาน แต่คนสมัยก่อนก็ไม่ได้คิดหรอกว่าริ้วรอย หรือรอยขาดจากการใช้งานนั้นมันเป็นแฟชั่น
สังเกตสิ ว่ากางเกงยีนส์ทุกตัวที่ออกมาล็อตเดียวกันมันจะต้องฟอกเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะฟอกด้วยวิธีใดก็ตาม จะใช้เลเซอร์ยิง ก็จะใช้ฟอกเหมือนกันหมดทุกรุ่น
แต่เด็กวัยรุ่นปัจจุบันต้องการรอยฟอกที่ไม่เหมือนคนอื่น สรีระแต่ละคนไม่เท่ากัน เข่าของแต่ละคนสูงไม่เท่ากัน สะโพกก็ไม่เท่ากัน
ฉะนั้นพอใส่ไปแล้วนั่ง ฉะนั้นรอยยับ รอยบิด หรือรอยที่ถูกใช้งานบ่อยๆตามกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดรอยด่างต่างกันเปรียบเหมือนรอยฟอกประจำตัว ซึ่งเป็น Signature ของแต่ละคนไป
นั่นจึงที่มาของการคนเล่นยีนส์ส่วนใหญ่ไม่ยอมซักกางเกงยีนส์ เพราะซักเมื่อไหร่รอยจะหาย แต่ใช้วิธีตากแดดฆ่าเชื้อแทน แดดจะทำไม่เหม็น ใส่ 6 เดือน 1 ปี ก็ไม่ซัก แข็งจนตั้งได้เลย”
->สารพัดกรรมวิธีทำยีนส์ให้เท่ มีเพียงหนึ่งเดียว!
คุณวราวุธ กูรูยีนส์ ยังบอกถึงกรรมวิธีเคล็ดลับในการทำยีนส์ให้มีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร มีตัวเดียวในโลกด้วย
ลงน้ำทะเล-ทรายขัด -> เช่น มาริโอ เมาเร่อ เขามีวิธีการทำให้เป็นรอยเฉพาะตัว เขาจะใส่กางเกงยีนส์ที่ไม่ได้ฟอกไปที่ชายทะเล กระโดดลงน้ำทะเล เพราะน้ำทะเลคือเกลือ และประโยชน์ของน้ำทะเลคือทำให้สีอยู่คงทน
จากนั้นมาริโอเขาจะนั่งอยู่ที่ชายหาด และนำทรายมาขัดในจุดที่ตนเองชอบ อยากได้หน้าขาซีด ก็เอาทรายตรงนั้นมาขัดหน้าขา อยากได้ตรงไหนซีดอีกก็นำมาขัด นั่นคือสิ่งที่มาริโอทำ เขาจะมียีนส์ที่เป็นลายของตัวเอง
ใส่สิ่งของนูนลงในกระเป๋า -> หรืออย่างที่ผมทำคือ ซื้อกางเกงยีนส์มาถ้าให้ดีควรเป็นสีเข้ม ที่ยังผ่านการฟอกอะไร แล้วลองไปใส่เหรียญบาทเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังสัก 2 อาทิตย์ แล้วมาดูจะเห็นว่ามีรอยกลมๆอยู่ด้านหลังกางเกง สร้างความเป็นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ว่ามีรอยกลมๆด้านหลัง ไม่มีใครมีเหมือนเราแม้จะรุ่นเดียวกัน
เพราะมันมีรอยเหรียญบาทอยู่ที่ก้นเราคนเดียว หรือใส่กระเป๋าสตางค์ นามบัตร ไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตลอด มันจะเป็นรอยขอบสี่เหลี่ยมเลย สวยมากเลย ที่สำคัญอย่าไปซักนะครับ จะทำให้รอยมันจาง
แปรงลวด-กระดาษทราย-> ส่วนบางคนจะใช้แปรงลวดขัดเฉพาะจุด แต่ถ้าให้ดีกระดาษทรายง่ายสุด คือการใช้แปรงลวดควรใช้ในกรณีที่เราจะซักกางเกงยีนส์แล้วเราต้องการให้จุดไหนซีดกว่าปกติ
แต่ง่ายกว่านั้น คือ กระดาษทรายเบอร์ 0 ขัดตรงไหนก็ได้ที่คุณอยากได้ อยากจะให้ซีดก็ขัดตรงนั้น อยากจะให้ขาดก็ขัดจนกว่าจะขาด
แช่น้ำชา-> ถ้าอยากได้สีสนิม เหลืองๆทำอย่างไรล่ะ ไม่มีปัญหาเลย เอาน้ำชาลิปตัน หรือชาอะไรก็ได้ ที่สีออกแดงๆเหลืองๆ ผสมกับน้ำในถัง จากนั้นนำกางเกงยีนส์ไปแช่ในน้ำชาที่ผสมไว้ให้ท่วม กางเกงยีนส์เราจะกลายเป็นสีสนิมทันทีเลย แถมเป็นวิธีธรรมชาติด้วยไม่ได้ใช้สารเคมี กางเกงยีนส์เราก็จะดูเก่าและเท่ขึ้นมาทันที
ใบมีดโกน->เป็นวิธีที่ทำให้ขาดดูเซอร์ๆ ค่อยๆกรีดเบาๆ ประมาณ 3-4 เส้น พอกรีดจนขาด ให้นำกระดาษทรายมาขัดอีกรอบผ้าบริเวณที่กรีดและขาดจะลุ่ย และฟู
รักยีนส์ต้องไม่ซัก! ตากแดดฆ่าเชื้อโรคกันเหม็นอย่างเดียว
“ถ้าคุณไม่ซักกางเกงยีนส์นะมันจะสวยมากๆ แต่บางคนไปลุยฝนลุยโคลนนั่นก็ต้องจำยอมต้องซัก แต่โดยธรรมชาติถ้าไม่เลอะมากจริงๆ แค่ตากแดดก็พอ ถ้าอยากได้กางเกงยีนส์ที่ไม่เหมือนใครในโลกแนะนำว่าอย่าซัก ให้ตากแดดเพราะช่วยเรื่องกลิ่นได้มาก แดดฆ่าเชื้อโรคได้”
แต่ถ้าจำเป็นต้องซักจริงๆ เพราะไปบุกผ่าฝ่าดงลุยโคลนลุยฝามา แต่ไม่อยากให้สีซีด คุณวราวุธ แนะนำว่าให้แช่น้ำเกลือ
“ซื้อมาปุ้บให้แช่น้ำเกลือก่อนเลย เพราะจะช่วยในเรื่องของสีคงทน สีไม่ตก ธรรมชาติของกางเกงยีนส์ทุกตัวที่ไม่ได้ผ่านการฟอกมา สีจะต้องตกทุกตัว เพราะกางเกงยีนส์ทำมาจากคอตตอน 100% คอตตอนก็คือใยฝ้าย สีดั้งเดิมของฝ้ายคือสีขาว จากนั้นเขาเอาใยฝ้ายสีขาวมาปั่นมาทอให้เป็นผ้าเป็นชิ้นมาตัดเป็นกางเกงยีนส์
ก่อนหน้านั้นผ้าพวกนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์แล้วนำมาย้อมด้วยสีของเดนิม คือสียีนส์ คือจะออกสีน้ำเงิน ดังนั้นซักน้ำครั้งแรกสีตกแน่นอน ไม่ว่ายี่ห้ออะไรก็ตาม ยกเว้นกางเกงที่ผ่านการฟอกแล้วสีจะตกน้อยลงเพราะผ่านการถูกกัดสีไปแล้ว ดังนั้นหากต้องการให้สีตกน้อยกว่านั้น เราชอบสีนั้น แช่น้ำเกลือสีจะอยู่ได้นาน และควรกลับด้านตาก”
และกรณีอยากจะรีดกางเกงยีนส์ โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องเนี้ยบไว้ก่อน กูรูยีนส์แนะนำด้วยว่า
“เวลารีดอย่ารีดด้านหน้า ต้องกลับด้านรีดด้านใน เพราะความร้อนทำให้ใยผ้าฝ้ายตายมันจะทำให้ขึ้นเงา ควรกลับด้านไปรีดด้านในจะดีกว่า
แต่จริงๆแล้วไม่แนะนำให้รีดเลย จะดูตลกมาก เพราะเขาไม่รีดยีนส์กันหรอก ต้องใส่เซอร์ๆยับนิดๆ ใส่ไปสักพักกางเกงมันก็จะตึงไปตามสรีระเราเอง แต่ส่วนมากผู้หญิงรีด โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ใส่สกินนี่ ใส่พวกทรงกระบอกมักจะเห็นรอยยับชัดเจน เขาก็จะรีด
ส่วนการเก็บกางเกงยีนส์ก็ไม่ควรเก็บไว้ในที่ร้อนเพราะผ้ามันจะกรอบ ดึงแรงๆจะขาดออกมาเลย เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าไม่ดีนะ เพราะเป็นที่อับ ลมไม่ผ่าน เป็นการทำลายให้เสื่อมสภาพเร็ว หรือเป็นตู้เสื้อผ้าที่มีรู มีช่องให้ลมผ่านได้ ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง มีลมพัดผ่าน”
ก้นห้อยย้อยหลีกหนีสกินนี่เอวต่ำ แนะทรงบอยเฟรนด์พรางสะโพกบาน ขาใหญ่
“ถ้าผู้ใหญ่ที่อายุ 30 ปีขึ้นไปนะ จะชอบยีนส์สีเข้ม แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 30 ปีลงมาก็จะนิยมสีซีด จะดูเซอร์ๆเก่าๆ” คุณวราวุธ กล่าวถึงรสนิยมการเลือกกางเกงยีนส์ของคนแต่ละช่วงวัย
จะเห็นได้ว่า กางเกงยีนส์สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ใส่แล้วจะดูทะมัดทะแมง ทุกคนควรมีไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่ควรจะเลือกว่า ทรงไหนเหมาะกับตัวเรามากที่สุด
“ไม่ได้บอกว่าคนรูปร่างไม่ดีห้ามใส่นะ จริงๆแล้วกางเกงยีนส์มีหลายทรงมาก มีความหลากหลาย ต้องเลือกให้เหมาะกับสรีระของตัวเองแค่นั้นเอง
เช่น ถ้าคนที่หุ่นดี ใส่ทรงสกินนี่ได้ เพราะสกินนี่หากคนที่หุ่นไม่ดีจริง ต้นขาใหญ่ไม่กระชับไม่ควรใส่เพราะจะยิ่งไปเน้น สะโพกบานออกมา
แต่หากมีความรู้สึกว่าไม่คล่องตัว แนะนำทรง Boyfriend กำลังมาแรง จะทำให้ดูทะมัดทะแมง ดูเป็นแฟชั่นมากขึ้น จะเป็นกางเกงยีนส์ทรงหลวมๆ ใส่แล้วพับขานิดๆจะเก๋มาก
ดังนั้นผมแนะนำเลย คนที่มีปัญหาเรื่องสะโพก หรือต้นขา ใส่ Boyfriend เลยครับ มันจะพรางได้หมดทั้งตัว จะทำให้ดูสูง และดูไม่อ้วน
ส่วนกางเกงเอวต่ำตอนนี้เอาท์ เพราะเอวสูงกำลังมา แฟชั่นมันไม่หนีไปไหนหรอกจะวนเวียนอยู่แค่นี้ เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวก็มาฮิตอีก กลายเป็นเรื่องที่ตลกว่า ของเก่าจะดูมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อแฟชั่นมันกลับมา ฉะนั้นกางเกงยีนส์ไม่มีวันเอาท์ไม่มีวันตาย
สำหรับสาวก้นห้อย แนะนำให้ใส่กางเกงยีนส์ที่ไม่ฟอก สีเข้ม เพราะกางเกงยีนส์สีเข้มจะมีแรงดึงตัวของผ้าสูงมาก จะทำให้ดันก้นขึ้นมาได้ และถ้าให้ดีควรใส่เอวสูง กางเกงเอวต่ำไม่ควรใส่
สังเกตเวลาใส่มันจะไหลลง แล้วนิสัยผู้หญิงไม่ยอมใส่เข็มขัด จึงไม่มีตัวยึดทำให้ไหลลงมาที่สะโพก ก้นจะยิ่งย้อยหนักกว่าเดิม
กางเกง 1 ตัวใส่ได้ตั้งหลายแบบและสามารถเปลี่ยนบุคลิกคนได้ถึง 4-5 แบบเลยนะ พับขามาถึงหน้าแข้ง พับขึ้นมา 2 ทบ ใส่ปล่อยยาวก็ได้ ใส่กรอมเท้าก็ได้”
ส่วนเรื่องรองเท้าก็สำคัญ กูรูยีนส์ตัวพ่อ แนะนำเลยว่า
สำหรับสาวเอเชียรูปร่างไม่สูงมากหากอยากใส่กางเกงยีนส์ให้ดูดี รองเท้าส้นสูง จะทำให้ดูผอมและเพรียว ขึ้น ซึ่ง จะดูสวยมาก” คุณวราวุธ แนะนำการใส่ยีนส์ของผู้หญิงให้ดูเก๋และสวยงามปิดท้าย
->เก็บตกบรรยากาศเปิดตัว Lee by Nigo
เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 125 ปี และเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ Lee ได้จับมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังจากแดนปลาดิบ NIGO หรือที่รู้จักกันดีในนามดีไซเนอร์แห่งแบรนด์ A BATHING APE หรือ BAPE อันโด่งดังในวงการสตรีทแวร์
ออกแบบ DENIM CAPSULE COLLECTION MADE IN JAPAN ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นพรีเมี่ยมวินเทจยีนส์ มีให้เลือก 3 แบบ ออกแบบอย่างพิถีพิถันใส่รายละเอียดความเป็นวินเทจแบบจัดเต็มทุก
เรามีภาพบรรยากาศการเปิดตัวที่ Lee Shop Central World ชั้น 2 มาฝากกันกรุบกริบค่ะ
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net